Translate

30 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ เรื่องราชภัฏบวช ทรงห้ามบวชราชภัฏ ห้ามบวชโจรที่ขึ้นชื่อโด่งดัง

     [๑๐๒] ก็โดยสมัยนั้นแล เมืองปลายเขตแดนของพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช เกิดจลาจล.   ครั้งนั้น 
   ท้าวเธอจึงมีพระบรมราชโองการสั่งพวกมหาอำมาตย์ผู้เป็นแม่ทัพนายกองว่า
ดูกรพนาย
ท่านทั้งหลายจงไปปรับปรุงเมืองปลายเขตแดนให้เรียบร้อย.
   พวกมหาอำมาตย์ผู้เป็นแม่ทัพนายกองกราบทูลรับสนองพระบรมราชโองการพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชว่า <i>ขอเดชะ</i> พระพุทธเจ้าข้า.
   ครั้งนั้น เหล่าทหารบรรดาที่มีชื่อเสียง ได้มีความปริวิตกว่า พวกเราพอใจในการรบ พากันไปทำบาปกรรม และประสพกรรมมิใช่บุญมาก ด้วยวิธีอย่างไรหนอ พวกเราพึงงดเว้นจากบาปกรรม แลทำแต่ความดี ดังนี้ และได้มีความปริวิตกต่อไปว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้แล 
   เป็นผู้ประพฤติธรรม ประพฤติสงบ ประพฤติพรหมจรรย์กล่าวแต่คำสัตย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม ถ้าแลพวกเราจะพึงบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ด้วยวิธีอย่างนี้ พวกเราก็จะพึงเว้นจากบาปกรรม และทำแต่ความดี ดังนี้
   จึงพากันเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายแล้วขอบรรพชา. ภิกษุทั้งหลายให้พวกเขาบรรพชาอุปสมบทแล้ว.
   พวกมหาอำมาตย์ผู้เป็นแม่ทัพนายกองถามพวกราชภัฏว่า แน่ะพนาย ทหารผู้มีชื่อนี้และมีชื่อนี้ หายไปไหน?
   พวกราชภัฏเรียนว่า นาย ทหารผู้มีชื่อนี้และมีชื่อนี้ บวชในสำนักภิกษุแล้ว ขอรับนาย.
   พวกมหาอำมาตย์ผู้เป็นแม่ทัพนายกอง จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนเหล่าพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ให้ราชภัฏบวชเล่า แล้วกราบบังคมทูลความเรื่องนั้นแด่พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช.   จึงท้าวเธอได้ตรัสถามมหาอำมาตย์ผู้พิพากษาว่า 
ดูกรพนาย 
ภิกษุรูปใดให้ราชภัฏบวช ภิกษุรูปนั้นจะต้องโทษสถานไร?
   คณะมหาอำมาตย์ผู้พิพากษากราบทูลว่า ขอเดชะ พระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม<i>พระอุปัชฌายะต้องถูกตัดศีรษะ</i> พระอนุสาวนาจารย์<i>ต้องถูกดึงลิ้นออกมา</i> พระคณะปูรกะต้องถูกหักซี่โครงแถบหนึ่ง พระพุทธเจ้าข้า
   จึงท้าวเธอเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นถึงแล้วจึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลขอประทานพรต่อพระผู้มีพระภาคว่า มีอยู่
   พระพุทธเจ้าข้า พระเจ้าแผ่นดินทั้งหลาย ที่ไม่มีศรัทธา ไม่ทรงเลื่อมใสจะพึงเบียดเบียนภิกษุทั้งหลาย แม้ด้วยกรณีเพียงเล็กน้อย หม่อมฉันขอประทานพระวโรกาส พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายไม่พึงให้ราชภัฏบวช. 
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชทรงเห็นแจ้ง ทรงสมาทาน ทรงอาจหาญ ทรงร่าเริงด้วยธรรมีกถา. ครั้นท้าวเธออัน พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจง ให้ทรงเห็นแจ้ง ทรงสมาทาน ทรงอาจหาญ ทรงร่าเริงด้วยธรรมีกถา แล้ว เสด็จลุกจากพระที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทรงทำประทักษิณแล้วเสด็จกลับ.
ทรงห้ามบวชราชภัฏ
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ราชภัฏ ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใด
ให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.
ห้ามบวชโจรที่ขึ้นชื่อโด่งดัง
   [๑๐๓] ก็โดยสมัยนั้นแล โจรองคุลิมาลบวชในสำนักภิกษุ. ชาวบ้านเห็นแล้วพากันหวาดเสียวบ้าง ตกใจบ้าง หนีไปบ้าง ไปโดยทางอื่นบ้าง เมินหน้าไปทางอื่นบ้าง ปิดประตูเสียบ้าง.
   ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงให้โจรที่ขึ้นชื่อโด่งดังบวชเล่า.
   ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย โจรที่ขึ้นชื่อโด่งดัง ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.

อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ
เรื่องราชภัฏบวช ทรงห้ามบวชราชภัฏ
อรรถกถาราชภัฏวัตถุ
พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องราชภัฏต่อไป :- 
   สองบทว่า ปจฺจนฺตํ ยุจฺจินถ มีความว่า ท่านทั้งหลายจงยังปัจจันตชนบทให้เจริญ. 
   มีคำอธิบายว่า ท่านทั้งหลายจงขับไล่พวกโจรเสียแล้ว จัดแจงบ้านที่พ้นโจรภัยแล้วให้ราบคาบ จัดการรักษาโดยกวดขัน ให้การกสิกรรมเป็นต้นเป็นไป.
    ฝ่ายพระราชาเพราะพระองค์เป็นพระโสดาบัน จึงไม่ทรงบังคับว่าจงฆ่า จงประหารพวกโจร. 
   พวกอำมาตย์ซึ่งเป็นหมอกฏหมายคิดว่า ในบรรพชา อุปัชฌาย์เป็นใหญ่ รองไปอาจารย์ รองลงไปคณะ จึงพากันกราบทูลคำทั้งปวงมีอาทิว่า ขอเดชะ พึงให้ตัดศีรษะอุปัชฌาย์เสีย ด้วยคิดเห็นว่า นี้มาในข้อวินิจฉัยแห่งกฏหมาย. 
ในข้อว่า น ภิกฺขเว ราชกโฏ ปพฺพาเชตพฺโพนี้ 
มีวินิจฉัยว่า 
   จะเป็นอำมาตย์หรือมหาอำมาตย์ หรือเสวกหรือผู้ได้ฐานันดรเล็กน้อยหรือผู้ไม่ได้ก็ตามที บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งได้รับเลี้ยงด้วยอาหารหรือเบี้ยเลี้ยงของพระราชา ถึงความนับว่า ราชภัฏทั้งหมด ราชภัฏนั้นไม่ควรให้บวช. 
   ฝ่ายบุตรพี่น้องชายและหลานชายเป็นต้นของราชภัฏนั้น ไม่ได้รับอาหารหรือเบี้ยเลี้ยงจากพระราชา จะให้ชนเหล่านั้นบวช ควรอยู่. 
   ฝ่ายผู้ใดถวายโภคะประจำหรือเงินเดือนเบี้ยหวัดรายเดือนรายปีซึ่งตนได้รับพระราชทาน คืนแด่พระราชา หรือให้บุตรและพี่น้องชายรับตำแหน่งนั้นแทน แล้วทูลลาพระราชาว่า บัดนี้ ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้ได้รับเลี้ยงของเทวะแล้ว.
   หรือว่าอาหารและเบี้ยเลี้ยงซึ่งผู้ใดได้รับเพราะเหตุแห่งราชการใด ราชการนั้นเป็นกิจอันตนทำเสร็จแล้ว, หรือผู้ใดเป็นผู้ได้บรมราชานุญาตว่า เจ้าจงบวช จะให้บุคคลแม้นั้นบวช ควรอยู่.
อรรถกถาราชภัฏวัตถุ จบ.  

ไม่มีความคิดเห็น: