Translate

30 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ อภยูวรภาณวาร ห้ามบวชโจรหนีเรือนจำ

     [๑๐๔] ก็โดยสมัยนั้นแล พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ได้ทรงมีพระบรมราชานุญาตไว้ว่า กุลบุตรเหล่าใดบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร กุลบุตรเหล่านั้น
   ใครๆ จะทำอะไรไม่ได้ เพราะธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
   สมัยต่อมา บุรุษคนหนึ่งทำโจรกรรมแล้ว ถูกเจ้าหน้าที่จองจำไว้ในเรือนจำ. เขาหนีเรือนจำหลบไปบวชในสำนักภิกษุ. 
   คนทั้งหลายเห็นแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุรูปนี้คือโจรหนี
   เรือนจำคนนั้น ถ้ากระไร พวกเราจงจับมัน.
   คนบางคนพูดทัดทานอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้พูดเช่นนี้ เพราะพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ได้มีพระบรมราชานุญาตไว้ว่า กุลบุตรเหล่าใดบวชในสำนักพระสมณะ
   เชื้อสายพระศากยบุตร กุลบุตรเหล่านั้น ใครๆ จะทำอะไรไม่ได้ เพราะธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
   ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ มิใช่ผู้หลบหลีกภัย ใครๆ จะทำอะไรไม่ได้ แต่ไฉนจึงให้โจรผู้หนีเรือนจำบวชเล่า.
      ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย โจรผู้หนีเรือนจำ ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.
&@ห้ามบวชโจรผู้ถูกออกหมายสั่งจับ
   [๑๐๕] ก็โดยสมัยนั้นแล บุรุษคนหนึ่งทำโจรกรรม แล้วหนีไปบวชในสำนักภิกษุและบุรุษนั้นถูกเจ้าหน้าที่ออกหมายประกาศไว้ทั่วราชอาณาจักรว่า พบในที่ใด พึงฆ่าเสียในที่นั้น.
   คนทั้งหลายเห็นแล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุรูปนี้ คือโจรผู้ถูกออกหมายจับคนนั้น ถ้ากระไรพวกเราจงฆ่ามันเสีย.
   คนบางพวกพูดทัดทานอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้พูดเช่นนี้ เพราะพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชได้มีพระบรมราชานุญาตไว้ว่า กุลบุตรเหล่าใดบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร กุลบุตรเหล่านั้น ใครๆ จะทำอะไรไม่ได้ เพราะธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
   ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้มิใช่ผู้หลบหลีกภัย ใครๆ จะทำอะไรไม่ได้ แต่ไฉนจึงให้โจรผู้ถูกออกหมายสั่งจับบวชเล่า.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย โจรผู้ถูกออกหมายสั่งจับภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ
&@ห้ามบวชบุรุษผู้ถูกเฆี่ยนด้วยหวาย
   [๑๐๖] ก็โดยสมัยนั้นแล บุรุษคนหนึ่งถูกลงอาญาเฆี่ยนด้วยหวาย บวชในสำนักภิกษุ ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงให้บุรุษผู้ถูกลงอาญาเฆี่ยนด้วยหวายบวชเล่า.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้ถูกลงอาญาเฆี่ยนด้วยหวาย ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.
&@ห้ามบวชบุรุษผู้ถูกสักหมายโทษ
   [๑๐๗] ก็โดยสมัยนั้นแล บุรุษคนหนึ่งถูกลงอาญาสักหมายโทษ บวชในสำนักภิกษุ ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงให้บุรุษผู้ถูกลงอาญาสักหมายโทษบวชเล่า. 
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้ถูกลงอาญาสักหมายโทษ ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.

&@ห้ามบวชคนมีหนี้
   [๑๐๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ลูกหนี้คนหนึ่งหนีบวชในสำนักภิกษุ. พวกเจ้าทรัพย์พบแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุรูปนี้คือลูกหนี้ของพวกเราคนนั้น ถ้ากระไร พวกเราจงจับมัน.
   เจ้าทรัพย์บางพวกพูดทัดทานอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้พูดเช่นนี้ เพราะพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ได้มีพระบรมราชานุญาตไว้ว่า กุลบุตรเหล่าใดบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร กุลบุตรเหล่านั้น ใครๆ จะทำอะไรไม่ได้ เพราะธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
   ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ มิใช่ผู้หลบหลีกภัย ใครๆ จะทำอะไรไม่ได้ แต่ไฉนจึงให้คนมีหนี้บวชเล่า. 
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลความเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนมีหนี้ ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.
อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ
อรรถห้ามบวชโจรหนีเรือนจำ เป็นต้น
อรรถกถาโจรวัตถุ
พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องโจรทั้งหลาย :- 
   สองบทว่า มนุสฺสา ปสฺสิตฺวา มีความว่า พระองคุลิมาลนั้นอันชนเหล่าใดเคยเห็นในเวลาที่ท่านเป็นคฤหัสถ์ และชนเหล่าใดได้ฟังต่อชนเหล่าอื่นว่า ภิกษุนี้คือองคุลิมาลนั้น ชนเหล่านั้นได้เห็นแล้ว ย่อมตกใจบ้าง ย่อมหวาดหวั่นบ้าง ย่อมปิดประตูบ้าง. แต่ท่านย่อมได้ภิกษาในเรือนของเหล่าชนที่ไม่รู้จัก. 
   บทว่า น ภิกฺขเว มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์เองเป็นเจ้าของแห่งธรรม เพราะฉะนั้น เมื่อจะทรงบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย เพื่อต้องการมิให้กระทำต่อไป จึงตรัสอย่างนั้น. 
   วินิจฉัยในคำนั้นว่า โจรชื่อว่าธชพันธะ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ดุจผูกธงเที่ยวไป. มีคำอธิบายว่า เป็นคนโด่งดังในโลก เหมือนมูลเทพ๑- เป็นต้น. 
   เพราะเหตุนั้น ผู้ใดเที่ยวทำการฆ่าชาวบ้านก็ดี รบกวนคนเดินทางก็ดี ทำกรรมมีตัดที่ต่อเป็นต้นในเมืองก็ดี อนึ่ง ผู้ใดอันชนทั้งหลายรู้จักกันแซ่ว่า คนชื่อโน้นทำกรรมนี้ๆ ผู้นั้นไม่ควรให้บวช. 
   ส่วนผู้ใดเป็นราชบุตรปรารถนาจะเป็นพระราชากระทำกรรมมีฆ่าชาวบ้านเป็นต้น ผู้นั้นควรให้บวช. เพราะว่าเมื่อราชบุตรนั้นผนวชแล้ว พระราชาทั้งหลายย่อมพอพระหฤทัย แต่ถ้าไม่ทรงพอพระหฤทัย ไม่ควรให้บวช. 
   โจรซึ่งลือชื่อในมหาชนในกาลก่อน ภายหลังละโจรกรรมเสีย สมาทานศีล   ๕. ถ้าหากชาวบ้านรู้จักเขาอย่างนั้น ควรให้บวช. ฝ่ายชนเหล่าใดเป็นผู้ลักของเล็กน้อยมีมะม่วงและขนุนเป็นต้น หรือเป็นโจรผู้ตัดที่ต่อเป็นต้นทีเดียว แต่แอบแฝงทำการลัก ทั้งภายหลังก็ไม่ปรากฏว่า กรรมนี้อันชนชื่อนี้ทำ จะให้ชนเหล่า บวชก็ควร.
๑- ในพระบาลีวินัยเป็น ธชพทฺโธ. ส่วนคำว่า 
มูลเทวาทโย โยชนาแก้อรรถว่า อาทิภูตเทวาทโย. ธชพทฺโธ
 หมายความไปในทางมีชื่อเสียงโด่งดังทางเสียอ้างว่า เหมือนมูลเทพเป็นต้น 
คำว่า มูลเทโว ทางสันสกฤต เป็นพระนามของท้าวกังสะ กษัตริย์ทรราชแห่งแคว้นมถุรา ทรงฆ่าทารกเสียมากมายก่ายกอง เพราะโหรทำนายว่า พระองค์จะถูกลูกชายของหญิงนางหนึ่งปลงพระชนม์ ด้วยความร้ายกาจนี้เอง ประชาชนพลเมืองจึงเห็นว่าท้าวเธอเป็นอสูร เป็นยักษ์ เป็นมาร มูลเทโว จะมาเป็นตัวอย่างในคำว่า มูลเทวาทโยนี้หรืออย่างไร? 
   สองบทว่า การํ ภินฺทิตฺวา 
มีความว่า ทำลายเครื่องจำคือขื่อเป็นต้น. 
   ในบทว่า อภยูวรา นี้ มีวินิจฉัยว่า 
   ชนเหล่าใดย่อมหลบหลีก เพราะความกลัว เหตุนั้น ชนเหล่านั้นชื่อภยูวรา ผู้หลบหลีกเพราะความกลัว ฝ่ายสมณะเหล่านี้ มิใช่ผู้หลบหลีกเพราะความกลัว เพราะเป็นผู้ได้รับอภัย เพราะฉะนั้นจึงชื่อ อภยูวรา มิใช่ผู้หลบหลีกเพราะความกลัว. 
   ก็แลในบทว่า อภยูวรา นี้พึงทราบว่า 
อาเทส ป อักษรให้เป็น ว อักษร. 
   ในคำว่า น ภิกฺขเว การเภทโก นี้ มีวินิจฉัยว่า 
   เรือนจำเรียกว่าการะ แต่ในอธิการนี้ เครื่องจำคือขื่อก็ดี เครื่องจำคือตรวนก็ดี เครื่องจำคือเชือกก็ดี ที่จำคือบ้านก็ดี ที่จำคือนิคมก็ดี ที่จำคือเมืองก็ดี การควบคุมด้วยบุรุษก็ดี ที่จำคือชนบทก็ดี ที่จำคือทวีปก็ดี จงยกไว้. 
   ผู้ใดทำลายหรือตัด หรือแก้หรือเปิดเครื่องจำชนิดใดชนิดหนึ่ง ในบรรดาเครื่องจำที่จำเหล่านี้ หนีไปซึ่งหน้าหรือไม่มีคนเห็น ผู้นั้นถึงความนับว่า การเภทก ผู้แหกเรือนจำ. 
   เพราะเหตุนั้น การเภทกโจรเหล่านี้ทำลายที่จำคือทวีป ไปยังทวีปอื่นแล้วก็ดี ไม่ควรให้บวช. 
   ฝ่ายผู้ใดที่มิใช่โจร แต่ไม่ยอมทำหัตถกรรมอย่างเดียว ถูกอิสรชนทั้งหลายมีขุนส่วยของพระราชาเป็นต้น จองจำเอาไว้ ด้วยหมายใจ เมื่อมีการจองจำไว้อย่างนี้ ผู้นี้จะหนีไม่ได้ จักทำการของเรา ดังนี้ก็ดี ผู้นั้นแม้ทำลายเครื่องจำหนีไป ก็ควรให้บวช. 
   ฝ่ายผู้ใดรับผูกขาดบ้าน นิคมและท่าเป็นต้นด้วยส่วย ไม่ส่งส่วยนั้นให้ครบ ถูกส่งไปยังเรือนจำ ผู้นั้นหนีมาแล้ว ไม่ควรให้บวช. 
   แม้ผู้ใดรวมเก็บทรัพย์ไว้ เลี้ยงชีวิตด้วยกสิกรรมเป็นต้น ถูกใครๆ ส่อเสียดใส่โทษเอาว่า ผู้นี้ได้ขุมทรัพย์ แล้วถูกจองจำจะให้ผู้นั้นบวชในถิ่นนั้นเอง ไม่ควร. แต่จะให้เขาซึ่งหนีไปแล้วบวชในที่ซึ่งไปแล้วทุกตำบล ควรอยู่. 
   ในข้อนี้ว่า น ภิกฺขเว ลิขิตโก เป็นต้นนี้ มีวินิจฉัยว่า 
   บุคคลที่ชื่อว่าผู้ร้ายซึ่งถูกเขียนไว้ จะได้แก่ผู้ร้ายซึ่งถูกเขียนไว้ว่า พบเข้าในที่ใดให้ฆ่าเสียในที่นั้น ดังนี้ 
   อย่างเดียวหามิได้ โดยที่แท้ผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งกระทำโจรกรรม หรือความผิดในพระราชาอย่างหนักชนิดอื่นแล้วหนีไป และพระราชารับสั่งให้เขียนผู้นั้นลงในหนังสือหรือใบลาน
   ว่า ผู้มีชื่อนี้ ใครพบเข้าในที่ใด พึงจับฆ่าเสียในที่นั้น
   หรือว่าพึงตัดอวัยวะมีมือและเท้าเป็นต้นของมันเสีย หรือว่าพึงให้นำมาซึ่งสินไหมมีประมาณเท่านี้ ผู้นี้ชื่อผู้ร้ายซึ่งถูกเขียนไว้ ผู้นั้นไม่ควรให้บวช. 
   ในคำว่า กสาหโต กตทณฺฑกมฺโม นี้ มีวินิจฉัยว่า 
   ผู้ใดไม่ยอมทำการมีให้การและยอมรับใช้เป็นต้น จึงถูกลงอาชญา ผู้นั้นไม่นับว่าผู้ถูกลงทัณฑกรรม. 
   ฝ่ายผู้ใดรับเก็บทรัพย์บางอย่างโดยเป็นส่วยหรือโดยประการอื่นแล้วกินเสีย เมื่อไม่สามารถจะใช้คืนให้ จึงถูกเฆี่ยนด้วยหวายว่า นี้แล จงเป็นสินไหมของเจ้า ผู้นี้ชื่อผู้ถูกเฆี่ยนด้วยหวาย ถูกลงทัณฑกรรม. 
   ก็แล เขาจะถูกเฆี่ยนด้วยหวายหรือถูกด้วยไม้ค้อนเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตามจงยกไว้ แผลยังสดอยู่เพียงใด ไม่ควรให้บวชเพียงนั้น.
   ต่อกระทำแผลทั้งหลายให้กลับเป็นปกติแล้วจึงควรให้บวช. 
   อนึ่ง ถ้าผู้ใดถูกเขาทำร้ายด้วยเข่าหรือด้วยศอก หรือด้วยผลมะพร้าวและก้อนหินเป็นต้นแล้วปล่อยไป และบวมโนในร่างกายของผู้นั้นยังปรากฎอยู่ ไม่ควรให้บวช. ผู้นั้นกระทำให้หายแล้ว เมื่อบวมโนอย่างนั้นยุบราบไปแล้ว ควรให้บวช. 
   ในคำว่า ลกฺขณาหโต กตทณฺฑกมฺโม นี้ มีวินิจฉัยว่า 
   ข้อที่เป็นผู้ลงทัณฑกรรม พึงทราบโดยนัยก่อนนั่นแล. 
   ก็รอยแผลเป็นซึ่งถูกนาบด้วยเหล็กแดงมีที่หน้าผาก หรือที่อวัยวะทั้งหลายมีอกเป็นต้นของบุรุษใด 
   ถ้าบุรุษนั้นเป็นไท แผลยังสดอยู่เพียงใด
ไม่ควรให้บวชเพียงนั้น. 
   ถ้าแม้แผลของเขาเป็นของงอกขึ้นเรียบเสมอกับผิวหนังแล้ว แต่รอยแผลเป็นยังปรากฎอยู่ เมื่อเขานุ่งแล้วห่มผ้าเฉวียงบ่าปกปิดเรียบร้อยครบ ๓ ประการ ถ้ารอยแผลเป็นนั้นอยู่ในโอกาสที่มิได้ปกปิด ไม่สมควรให้บวช. อรรถกถาโจรวัตถุ จบ.
ห้ามบวชคนมีหนี้
อรรถกถาอิณายิกวัตถุกถา ในคำว่า น ภิกฺขเว อิณายิโก เป็นต้น มีวินิจฉัยว่า 
   หนี้ที่บิดาและปู่ของบุรุษใด กู้เอาไปก็ดี หนี้ที่บุรุษใดกู้เองก็ดี ทรัพย์บางอย่างที่มารดาบิดามอบบุตรใดไว้เป็นประกันแล้วลืมเอาไปก็ดี บุรุษนั้นชื่อว่าลูกหนี้ บุรุษนั้นต้องรับหนี้นั้นของชนเหล่าอื่น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าลูกหนี้ 
   แต่ญาติอื่นๆ มอบบุตรใดไว้เป็นประกัน แล้วยืมทรัพย์บางอย่างไป บุรุษนั้นไม่จัดว่าเป็นลูกหนี้. เพราะว่าญาติอื่นๆ นั้น ไม่เป็นใหญ่ที่จะมอบบุรุษนั้นไว้เป็นประกันได้, เพราะเหตุนั้น จะให้บุรุษนั้นบวช สมควรอยู่. จะให้บุรุษนอกจากนี้บวช ไม่ควร. 
   แต่ถ้าญาติสาโลหิตทั้งหลายของเขารับใช้หนี้แทนว่า พวกข้าพเจ้าจักรับใช้ ขอท่านโปรดให้บวชเถิด หรือว่า ชนอื่นบางคนเห็นอาจารสมบัติของเขาแล้วกล่าวว่า ขอท่านจงให้เขาบวชเถิด ข้าพเจ้าจะใช้หนี้แทน ดังนี้ สมควรให้บวชได้. 
   เมื่อเข้าในที่ใด ให้ฆ่าเสียในที่นั้น ดังนี้ อย่างเดียวหามิได้ โดยที่แท้ผู้ใดผู้หนึ่งกระทำโจรกรรมหรือความผิดในพระราชาอย่างหนักชนิดอื่นแล้วหนีไป และ
   พระราชารับสั่งให้เขียนผู้นั้นลงในหนังสือหรือใบลานว่า ผู้มีชื่อนี้ ใครพบเข้าในที่ใด พึงจับฆ่าเสียในที่นั้น หรือว่า พึงตัดอวัยวะมีมือและเท้าเป็นต้นของมันเสีย หรือว่าพึงให้นำมาซึ่งสินไหมมีประมาณเท่านี้ ผู้นี้ชื่อผู้ร้ายซึ่งถูกเขียนไว้. ผู้นั้นไม่ควรให้บวช. 
   ในคำว่า กสาหโต กตทณฺฑกมฺโม นี้ มีวินิจฉัยว่า 
   ผู้ใดไม่ยอมทำการมีให้การและยอมรับใช้เป็นต้น จึงถูกลงอาชญา, ผู้นั้นไม่นับว่าผู้ถูกลงทัณฑกรรม. ฝ่ายผู้ใดรับเก็บทรัพย์บางอย่างโดยเป็นส่วย หรือโดยประการอื่นแล้วกินเสีย เมื่อไม่สามารถจะใช้คืนให้ จึงถูกเฆี่ยนด้วยหวายว่า นี้แล 
   จงเป็นสินไหมของเจ้า ผู้นี้ชื่อผู้ถูกเฆี่ยนด้วยหวาย ถูกลงทัณฑกรรม. ก็แลเขาจะถูกเฆี่ยนด้วยหวายหรือถูกด้วยไม้ค้อนเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม จงยกไว้, แผลยังสดอยู่เพียงใด ไม่ควรให้บวชเพียงนั้น. ต่อกระทำแผลทั้งหลายให้กลับเป็นปกติแล้วจึงควรให้บวช. 
   อนึ่ง ถ้าผู้ใดถูกเขาทำร้ายด้วยเข่าหรือด้วยศอก หรือด้วยผลมะพร้าวและก้อนหินเป็นต้นแล้วปล่อยไป และบวมโนในร่างกายของผู้นั้นยังปรากฎอยู่ ไม่ควรให้บวช. ผู้นั้นกระทำให้หายแล้ว เมื่อบวมโนอย่างนั้นยุบราบไปแล้ว ควรให้บวช. 
   ในคำว่า ลกฺขณาหโต กตทณฺฑกมฺโม นี้ มีวินิจฉัยว่า 
   ข้อที่ญาติสาโลหิตเหล่านั้นไม่มี ภิกษุพึงบอกแก่อุปัฎฐากเห็นปานนั้นก็ได้ว่า ผู้นี้เป็นบุคคลมีกุศลกรรมเป็นเหตุ แต่บวชไม่ได้เพราะกังวลด้วยหนี้. ถ้าเขารับจัดการ พึงให้บวช. 
   ถ้าแม้กัปปิยภัณฑ์ของตนมี พึงตั้งใจว่า เราจักเอากัปปิยภัณฑ์นั้นใช้ให้ แล้วให้บวช. แต่ถ้าชนทั้งหลายมีญาติเป็นต้นไม่รับจัดการทรัพย์ของตนก็ไม่มี ไม่สมควรให้บวช ด้วยทำในใจว่า เราจักให้บวชแล้วจักเที่ยวภิกษาเปลื้องหนี้ให้.
   ถ้าให้บวช ต้องทุกกฎ. แม้บุรุษนั้นหนีไป ภิกษุนั้นก็ต้องนำมาคืนให้. ถ้าไม่คืนให้ หนี้ทั้งหมดย่อมเป็นสินใช้. 
   เมื่อภิกษุไม่ทราบ ให้บวชไม่เป็นอาบัติ. แต่เมื่อพบปะเข้าต้องนำมาคืนให้แก่พวกเจ้าหนี้. ไม่เป็นสินใช้แก่ภิกษุผู้ไม่พบปะ. หากบุรุษผู้เป็นลูกหนี้ไปประเทศอื่นแล้ว แม้เมื่อภิกษุไต่ถามก็ตอบว่า ผมไม่ต้องรับหนี้ไรๆ ของใครๆ แล้วบวช. 
   ฝ่ายเจ้าหนี้เมื่อสืบเสาะหาตัวเขา จึงไปในประเทศนั้น. ภิกษุหนุ่มเห็นเจ้าหนี้นั้นเข้าจึงหนีไปเสีย. เขาเข้าไปหาพระเถระ ร้องเรียนว่า ท่านขอรับ ภิกษุรูปนี้ใครให้บวช? เธอยืมทรัพย์มีประมาณเท่านี้ของผมแล้วหนีไป. 
   พระเถระพึงตอบว่า อุบาสก เธอบอกว่าผมไม่มีหนี้สิน ฉันจึงให้บวช. บัดนี้ฉันจะทำอย่างไรเล่า? ท่านจงเห็นสิ่งของมาตรว่า บาตรจีวรของฉันเถอะ นี้เป็นสามีจิกรรมในข้อนั้น. และเมื่อภิกษุนั้นหนีไป สินใช้ย่อมไม่มี. 
   แต่ถ้าเจ้าหนี้พบภิกษุนั้นต่อหน้าพระเถระเทียว แล้วกล่าวว่า ภิกษุนี้เป็นลูกหนี้ของผม. พระเถระพึงตอบว่า ท่านจงรู้ลูกหนี้ของท่านเอาเองเถิด แม้อย่างนี้ย่อมไม่เป็นสินใช้.
   ถ้าแม้เขากล่าวว่า บัดนี้ ภิกษุนี้บวชแล้วจักไปไหนเสีย. พระเถระจึงตอบว่า ท่านจงรู้เองเถิด แม้อย่างนี้ เมื่อภิกษุนั้นหนีไป ย่อมไม่เป็นสินใช้แก่พระเถระนั้น. แต่ถ้าพระเถระกล่าวว่า บัดนี้ ภิกษุนี้จักไปไหนเสีย เธอจงอยู่ที่นี่แหละ ถ้าภิกษุนั้นหนีไป ต้องเป็นสินใช้.
   ถ้าเธอเป็นผู้มีกุศลกรรมเป็นเหตุถึงพร้อมด้วยวัตร. พระเถระพึงกล่าวว่า ภิกษุนี้ เป็นเช่นนี้. ถ้าเจ้าหนี้ยอมสละว่า ดีละ ข้อนี้เป็นอย่างนี้ได้เป็นการดี. ก็ถ้าเขาตอบว่า ขอท่านจงใช้ให้เล็กน้อยเถิด พระเถระพึงใช้ให้. 
   ต่อสมัยอื่น ภิกษุนั้นเป็นผู้ยังพระเถระให้พอใจยิ่งขึ้น แม้เมื่อเจ้าหนี้เขาทวงว่า ท่านจงใช้ทั้งหมด พระเถระควรใช้ให้แท้. และถ้าเธอเป็นผู้ฉลาดในอุทเทสแลปริปุจฉาเป็นต้น มีอุปการะมากแก่ภิกษุทั้งหลาย พระเถระจะพึงแสวงหาด้วยภิกษาจารวัตรก็ได้ ใช้หนี้เสียเถิด ฉะนี้แล.
อรรถกถาอิณายิกวัตถุกถา จบ. 

ไม่มีความคิดเห็น: