Translate

14 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๑ เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์

     [๒๙๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
    ครั้งนั้น ในพระราชอุทยานของพระเจ้าปเสนทิโกศลมีลายภาพสวยงามซึ่งจิตกรเขียนไว้ในห้องภาพ คนเป็นอันมากพากันไปดูห้องภาพ แม้ภิกษุณีเหล่าฉัพพัคคีย์ก็ได้ไปดูห้องภาพ ชาวบ้าน พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้ไปดูห้องภาพ เหมือนสตรีชาวบ้านผู้บริโภคกามเล่า. 
    ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินชาวบ้านพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีเหล่าฉัพพัคคีย์จึงได้ไปดูห้องภาพเล่า 
ทรงสอบถาม
    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีเหล่าฉัพพัคคีย์ไปดูห้องภาพ จริงหรือ?. 
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีเหล่าฉัพพัคคีย์จึงได้ไปดูห้องภาพเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส. 
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ    ๙๖. ๑. อนึ่ง ภิกษุณีใด ไปดูโรงละครหลวงก็ดี อาคารประกวดภาพก็ดี สถานที่หย่อนใจก็ดี อุทยานก็ดี สระโบกขรณีก็ดี เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จบ. 
สิกขาบทวิภังค์
    [๒๙๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
    ที่ชื่อว่า โรงละครหลวง ได้แก่ สถานที่เขาสร้างขึ้นไว้ถวายพระราชาเพื่อให้ทรงเพลิดเพลิน เพื่อทรงพระสำราญ. 
    ที่ชื่อว่า อาคารประกวดภาพ ได้แก่ สถานที่เขาสร้างขึ้นไว้ เพื่อให้คนทั้งหลายชมเล่น เพื่อความรื่นเริง. 
    ที่ชื่อว่า สถานที่หย่อนใจ ได้แก่ สถานที่เขาสร้างขึ้นไว้เพื่อให้คนทั้งหลายเล่น เพื่อหย่อนอารมณ์. 
    ที่ชื่อว่า อุทยาน ได้แก่ อุทยานที่เขาจัดไว้เพื่อให้คนทั้งหลายเล่นกีฬา เพื่อพักผ่อน. 
    ที่ชื่อว่า สระโบกขรณี ได้แก่ ชลาสัยที่เขาขุดไว้เพื่อให้คนทั้งหลายเล่นกีฬา เพื่อรื่นเริง. 
    ไปดู ต้องอาบัติทุกกฏ ยืนอยู่สถานที่ใดมองเห็น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ พ้นสายตาไปแล้วกลับมามองดูอีก ต้องอาบัติปาจิตตีย์ 
    ไปดูอย่างหนึ่งๆ ต้องอาบัติทุกกฏ ยืนดูอยู่ในสถานที่ใดมองเห็น พ้นสายตาไปแล้วกลับมามองดูอีก ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
อนาปัตติวาร
    [๒๙๗] ยืนอยู่ในอารามมองเห็น ๑ เดินไปหรือเดินมาแลเห็น ๑ มีกิจธุระเดินไปพบเข้า ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. จิตตาคารวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ. 
อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์จิตตาคารวรรคสิกขาบทที่ ๑
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑ แห่งจิตตาคารวรรค 
พึงทราบดังต่อไปนี้ :- 
     บทว่า ราชาคารํ ได้แก่ โรงละครหลวง. 
     บทว่า จิตฺตาคารํ ได้แก่ ศาลาแสดงจิตรกรรมน่าเพลิดเพลิน. 
     บทว่า อารามํ ได้แก่ สวนที่เป็นสถานที่หย่อนใจ. 
     บทว่า อุยฺยานํ ได้แก่ อุทยานเป็นที่หย่อนอารมณ์. 
     บทว่า โปกฺขรณึ ได้แก่ สระโบกขรณีเป็นที่สำหรับเล่นกีฬา เพราะเหตุนั้นแล ในบทภาชนะ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสคำว่า ยตฺถ กตฺถจิ รฺโกีฬิตุํ เป็นต้น. 
     ในคำว่า ทสฺสนาย คจฺฉติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส นี้ พึงทราบ วินิจฉัยดังนี้ :- 
     เป็นทุกกฏ โดยนับย่างเท้า. 
     ก็ในคำว่า ยตฺถฐิตา ปสฺสติ นี้ มีวินิจฉัยว่า ถ้าภิกษุณียืนในที่เดียวนั่นแหละ ไม่ยกเท้าไปมาดูอยู่ถึง ๕ ครั้ง ก็เป็นปาจิตตีย์ตัวเดียวเท่านั้น. แต่เมื่อภิกษุณีมองดูทิศาภาคนั้นๆ แล้วดูอยู่ เป็นอาบัติ แยกออกไปหลายตัว. แต่เป็นทุกกฏแก่ภิกษุในที่ทั้งปวง. 
     สองบทว่า อาราเมฐิตา มีความว่า ชนทั้งหลายสร้างพระราชวังหลวงเป็นต้นใกล้อารามที่อยู่ ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุณีมองเห็นพระราชวังหลวงเป็นต้นนั้น. 
     สองบทว่า คจฺฉนฺตี วา อาคจฺฉนฺตี วา มีความว่า มองเห็นพระราชวังหลวงเป็นต้นนั้น ซึ่งมีอยู่ใกล้ทางของภิกษุณีผู้เดินไปเพื่อประโยชน์แก่บิณฑบาตเป็นต้น ไม่เป็นอาบัติ. 
     คำว่า สติ กรณีเย คนฺตฺวา มีความว่า ภิกษุณีไปยังราชสำนัก ด้วยกิจจำเป็นบางอย่าง แล้วเห็น ไม่เป็นอาบัติ. 
     บทว่า อาปทาสุ มีความว่า ภิกษุณีถูกอันตรายบางอย่างรบกวน หลบเข้าไปแล้วเห็นไม่เป็นอาบัติ. 
บทที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
     สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ แล.

ไม่มีความคิดเห็น: