ปัญจวัคคีย์ทูลขอบรรพชาอุปสมบท
[๑๘] ครั้งนั้น ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า
ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบท ในสำนักพระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วตรัสต่อไปว่าธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุนั้น.
[๑๙] ครั้นต่อมา พระผู้มีพระภาคได้ทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุทั้งหลายที่เหลือจากนั้นด้วยธรรมีกถา.
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนด้วยธรรมีกถาอยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระวัปปะและท่านพระภัททิยะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา.
ท่านทั้งสองนั้นได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย
ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ขอข้าพระองค์ทั้งสองพึงได้บรรพชาพึงได้อุปสมบท ในสำนักพระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอทั้งสองจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอทั้งสองจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุทั้งสองนั้น.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสวยพระกระยาหารที่ท่านทั้งสามนำมาถวาย ได้ทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุที่เหลือจากนั้นด้วยธรรมีกถา. ภิกษุเที่ยวบิณฑบาตนำบิณฑบาตใดมา ทั้ง ๖ รูปก็เลี้ยงชีพด้วยบิณฑบาตนั้น.
วันต่อมา เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนด้วยธรรมีกถาอยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระมหานามะและท่านพระอัสสชิว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา. ท่านทั้งสองได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย
ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ขอข้าพระองค์ทั้งสอง พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอทั้งสองจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่าธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอทั้งสองจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุทั้งสองนั้น.
ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร
[๒๐] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูปนี้ไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะรูปเป็นอนัตตา
ฉะนั้นรูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในรูปว่า
รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
เวทนาเป็นอนัตตา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าเวทนานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว เวทนานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในเวทนาว่า เวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด เวทนาของเราจงอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็เพราะเวทนาเป็นอนัตตา ฉะนั้น เวทนาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในเวทนาว่า เวทนาของเรา จงเป็นอย่างนั้นเถิด เวทนาของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
สัญญาเป็นอนัตตา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าสัญญานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สัญญานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะสัญญาเป็นอนัตตา
ฉะนั้น สัญญาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
สัญญาของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าสังขารเหล่านี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สังขารเหล่านี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็เพราะสังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา
ฉะนั้น สังขารทั้งหลายจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
วิญญาณเป็นอนัตตา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าวิญญาณนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว วิญญาณนี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะวิญญาณเป็นอนัตตา
ฉะนั้น วิญญาณจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ตรัสถามความเห็นของพระปัญจวัคคีย์
[๒๑] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนรูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. สังขารทั้งหลายเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
ตรัสให้พิจารณาโดยยถาภูตญาณทัสสนะ
[๒๒] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล รูปอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด
เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่ารูป เธอทั้งหลายพึงเห็นรูปนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา.
เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าเวทนา
เธอทั้งหลายพึงเห็นเวทนานั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา.
สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าสัญญา
เธอทั้งหลายพึงเห็นสัญญานั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา.
สังขารทั้งหลายอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าสังขาร
เธอทั้งหลายพึงเห็นสังขารนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา.
วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอกหยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าวิญญาณ
เธอทั้งหลายพึงเห็นวิญญาณนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา
นั่นไม่ใช่ตนของเรา.
[๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้น เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
[๒๔] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระสูตรนี้แล้ว พระปัญจวัคคีย์มีใจยินดี เพลิดเพลิน ภาษิตของพระผู้มีพระภาค.
ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ จิตของพระปัญจวัคคีย์พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
อนัตตลักขณสูตร จบ
ครั้งนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖ องค์.
ปฐมภาณวาร จบ
บทว่า ปณฺฑิโต ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยคุณเครื่องเป็นบัณฑิต.
บทว่า พฺยตฺโต ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยคุณเครื่องเป็นผู้ฉลาด.
บทว่า เมธาวี ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยปัญญาอันเกิดขึ้นฉับพลัน.๑-
บทว่า อปฺปรชกฺขชาติโก มีความว่า จัดว่าเป็นผู้มีชาติแห่งคนไม่มีกิเลส คือเป็นคนหมดจด เพราะข่มกิเลสไว้ด้วยสมาบัติ.
บทว่า อาชานิสฺสติ ได้แก่ จักกำหนดได้ คือจักแทงตลอด.
หลายบทว่า ภควโตปิ โข ญาณํ อุทปาทิ
มีความว่าพระสัพพัญญุตญาณได้เกิดขึ้นว่า อาฬารดาบส กาลามโคตรนั้นทำกาลกิริยาแล้ว ไปเกิดในอากิญจัญญายตนภพ ในเวลา ๗ วัน ตั้งแต่วันนี้ไป.
บทว่า มหาชานิโย มีอรรถวิเคราะห์ว่า ความเสื่อมใหญ่ชื่อว่ามีแก่เธอ เพราะเป็นผู้เสื่อมเสียจากมรรคผลที่จะพึงบรรลุ ในภายใน ๗ วัน เพราะฉะนั้น เธอจึงชื่อผู้มีความเสื่อมใหญ่.
อนึ่ง ชื่อผู้มีความเสื่อมใหญ่ เพราะเกิดในอักขณะ.๒-
บทว่า อภิโทสกาลกโต มีความว่า ได้ทำกาลกิริยาเสียเมื่อวันวาน. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นว่า แม้อุทกดาบสนั้นก็เกิดแล้วในเนวสัญญานาสัญญายตนภพ.
๑- ฐานศัพท์ลงในอรรถว่า ขณ คือ พลัน ทันทีทันใด เช่นในคำว่า ฐานโส อุปกปฺปติ. อนึ่ง คำนี้
ก็มีคำไขไว้ ในแก้อรรถ บทว่า วีมํสาย
หน้า ๒๓๔ ข้างหน้า
๒- สมัยมิใช่คราวมีพระพุทธเจ้า.
บทว่า พหูปการา คือ ผู้มีอุปการะมาก.
บทว่า ปธานปหิตตฺตํ มีความว่า ผู้ยอมตัวเพื่อประโยชน์แก่ความเพียร. บทว่า อุปฏฺฐหึสุ มีความว่า ได้บำรุงด้วยวัตรมีให้น้ำบ้วนปากเป็นต้น.
หลายบทว่า อนฺตรา จ โพธึ อนุตรา จ คยํ มีความว่า อาชีวกชื่ออุปกะ ได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ระหว่างโพธิมัณฑ์กับแม่น้ำคยาต่อกัน.
บทว่า อทฺธานมคฺคปฏิปนฺนํ มีความว่า เสด็จดำเนินทางไกล.
บทว่า สพฺพาภิภู มีความว่า เราครอบงำไตรภูมิกธรรมทั้งปวง.
บทว่า สพฺพวิทู มีความว่า ได้รู้ คือได้เข้าใจธรรมที่มี ๔ ภูมิทั้งหมด.
บาทพระคาถาว่า สพฺเพสุ ธมฺเมสุ อนูปลิตฺโต ความว่า อันเครื่องฉาบทาคือกิเลส ฉาบทาไม่ได้ในไตรภูมิกธรรมทั้งปวง.
บทว่า สพฺพญฺชโห ความว่า ตัดไตรภูมิกธรมทั้งปวงได้ขาด.
บทว่า ตณฺหกฺขเย วิมุตฺโต ความว่า เป็นผู้พ้นวิเศษ เพราะธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาคือนิพพาน ด้วยอำนาจทำให้เป็นอารมณ์.
บทว่า สยํ อภิญฺญาย ได้แก่ เรารู้ธรรมมี ๔ ภูมิทั้งหมดด้วยตนเอง. บทว่า กมุทฺทิเสยฺยํ ความว่า จะพึงอ้างเอาใครคือคนอื่นว่า ผู้นี้เป็นอาจารย์เราเล่า.
หลายบทว่า น เม อาจริโย อตฺถิ มีความว่า ขึ้นชื่อว่าอาจารย์ในโลกุตตรธรรมของเราย่อมไม่มี.
หลายบทว่า นตฺถิ เม ปฏิปุคฺคโล มีความว่า ขึ้นชื่อว่าบุคคลผู้เปรียบปานกับเราย่อมไม่มี.
บทว่า สีติภูโต มีความว่า จัดว่าเป็นผู้มีความเย็นใจ เพราะดับไฟคือกิเลสเสียทั้งหมด.
บทว่า นิพฺพุโต มีความว่า จัดว่าเป็นผู้ดับแล้ว เพราะกิเลสทั้งหลายนั่นเองดับไป.
สองบทว่า กาสีนํ ปุรํ ได้แก่ เมืองหลวงในแคว้นของชาวกาสี.
บาทคาถาว่า อหญฺญึ อมตทุนฺทภึ มีความว่า เราจะไปด้วย คิดว่าจักตีกลองอมฤตเพื่อได้ดวงตาเห็นธรรม.
สองบทว่า อรหสิ อนนฺตชิโน มีความว่า ท่านสมควรเป็นผู้ชำนะไม่มีที่สุดจริง.
บทว่า หุเวยฺยาวุโส มีความว่า ผู้มีอายุพึงเป็นได้ถึงอย่างนั้นเทียวนะ.๓-
๓- ในปฐมสมโพธิว่า ดูก่อนอาวุโส นามว่าอนันตชิโน พึงเป็นชื่อได้.
สองบทว่า สีสํ โอกมฺเปตฺวา ได้แก่ สั่นศีรษะ.
บทว่า สณฺเปสุํ คือ ได้ทำกติกา.
บทว่า พาหุลฺลิโก ได้แก่ ผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่ความเป็นผู้มีจีวรมากเป็นต้น.
บทว่า ปธานวิพฺภนฺโต ได้แก่ เป็นผู้คลายเสียแล้ว คือตกเสียแล้ว เสื่อมเสียแล้ว จากความเพียร.
สองบทว่า อาวตฺโต พาหุลฺลาย ได้แก่ ผู้เวียนมาเพื่อประโยชน์แก่ความเป็นผู้มักมากด้วยปัจจัยมีจีวรเป็นต้น.
หลายบทว่า โอทหถ ภิกฺขเว โสตํ มีความว่า ภิกษุทั้งหลาย ท่านจงเงี่ยโสต คือจงทำโสตินทรีย์ให้บ่ายหน้า เพื่อฟังธรรม.
ด้วยสองบทว่า อมตมธิคตํ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่าพระนิพพานเป็นธรรมไม่ตาย เราได้บรรลุแล้ว.
บทว่า จริยาย คือ ด้วยความประพฤติที่ทำได้ยาก.
บทว่า ปฏิปทาย ได้แก่ ด้วยข้อปฏิบัติที่ทำได้ยาก.
หลายบทว่า อภิชานาถ เม โน มีความว่า ท่านทั้งหลายจำได้อยู่ คือเล็งเห็นอยู่หรือ ได้แก่ซึ่งภาษิตเห็นปานนี้ของเรา.
บทว่า เอวรูปํ ภาสิตเมตํ ได้แก่ ความเผยกล่าวเห็นปานนี้.
ข้อว่า อสกฺขิ โข ภควา ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขูสฺาเปตุํ มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงอาจให้ภิกษุเบญจวัคคีย์ทราบว่า พระองค์ได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว.
บทว่า จกฺขุกรณี พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาดวงตา คือปัญญา.
ต่อจากนี้ไปทุกบท ว่าโดยใจความเฉพาะบทแล้ว เป็นคำตื้นๆ ทั้งนั้น ว่าโดยต่างแห่งอธิบายอนุสนธิและคำประกอบพึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในอรรถกถาแห่งมัชฌิมนิกาย
ชื่อปปัญจสูทนี๔- เถิด. และตั้งแต่นี้ไป เมื่อข้าพเจ้าจะคอยรักษาน้ำใจของมหาชน ผู้ขยาดต่อความพิสดารเกินไป จำต้องไม่พรรณนาสุตตันตกถา จักพรรณนาแต่วินัยกถาเท่านั้น.
๔- ป. สู. ๑๔๔.
ข้อว่า สา ว ตสฺส อายสฺมโต อุปสมฺปทา อโหสิ
มีความว่า ในวันเพ็ญเดือนแปด เมื่อพระผู้มีอายุโกณฑัญญะกับเทวดาสิบแปดโกฏิตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว พระวาจานั้นแล ซึ่งสำเร็จด้วยพระพุทธพจน์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ได้เป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทาของพระผู้มีอายุนั้น.
ในคำว่า อถ โข อายสฺมโต จ วปฺปสฺส เป็นต้น
มีวินิจฉัยว่า ในวันแรมค่ำหนึ่ง ดวงตาเห็นธรรมได้เกิดขึ้นแก่พระวัปปเถระ ในวันแรม ๒ ค่ำได้เกิดขึ้นแก่พระภัททิยเถระ ในวันแรม ๓ ค่ำได้เกิดแก่พระมหานามเถระ
ในวันแรม ๔ ค่ำ ได้เกิดขึ้นแก่พระอัสสชิเถระ.
ก็แลเพื่อชำระมลทินซึ่งเกิดขึ้นในกัมมัฏฐานของภิกษุเหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จอยู่ภายในวิหารเท่านั้น.
เมื่อมลทินแห่งกัมมัฏฐานเกิดขึ้นทีไร ก็ได้เสด็จลงมาทางอากาศแล้วทรงชำระเสีย.
ก็แลในวันแรม ๕ ค่ำแห่งปักษ์พระองค์ให้เธอทั้งหมดประชุมพร้อมกันแล้วตรัสสอนด้วยอนัตตสูตร.๕-
เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวคำว่า อถโข ภควา ปญฺจวคฺคิเย เป็นต้น.
ข้อว่า เตน โข ปน สมเยน ฉ โลเก อรหนฺโต โหนฺติ มีความว่า ในวันแรม ๕ ค่ำ มนุษย์ ๖ คน เป็นพระอรหันต์ในโลก.
๕- อนัตตลักขณสูตร มหาวคฺค. ปฐม. ๒๔
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น