[๓๓๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน เขตพระนครเวสาลี.
ครั้งนั้น ท่านพระกัปปิตกะอุปัชฌายะของท่านพระอุบาลียับยั้งอยู่ในสุสานประเทศ ครั้งนั้น มีภิกษุณีรูปหนึ่งผู้แก่กว่าพวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์ถึงมรณภาพลง.
ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ช่วยกันนำศพออกไปเผาแล้วก่อสถูปไว้ใกล้ๆ ที่อยู่ของท่านพระกัปปิตกะ แล้วพากันไปร้องไห้ ณ สถูปนั้น. จึงท่านพระกัปปิตกะรำคาญเสียงร้องไห้นั้น แล้วได้ทำลายสถูปนั้นพังกระจาย.
ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ปรึกษากันเป็นความลับว่า พระกัปปิตกะนี้ทำลายสถูปแม่เจ้าของพวกเรา มาพวกเรามาช่วยกันฆ่าท่านเสียเถิด.
ภิกษุณีรูปหนึ่งได้แจ้งข้อปรึกษากันนั้นแก่ท่านพระอุบาลี พระอุบาลี ได้กราบเรียนเรื่องนั้นให้ท่านพระกัปปิตกะทราบ ท่านพระกัปปิตกะได้ออกจากวิหารไปหลบซ่อนอยู่.
ครั้งนั้น ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ได้เดินผ่านเข้าไปทางวิหารของท่านพระกัปปิตกะแล้วช่วยกันขนก้อนหินและก้อนดินทับถมวิหารของท่าน แล้วหลีกไปด้วยเข้าใจว่า ท่านถึงมรณภาพแล้ว ครั้นราตรีนั้นผ่านไป ท่านครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปบิณฑบาตในเมืองเวสาลีแต่เช้า.
ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ได้เห็นท่านยังเดินเที่ยวบิณฑบาตอยู่ ครั้นแล้วได้พูดกันอย่างนี้ว่า พระกัปปิตกะนี้ยังมีชีวิตอยู่ ใครหนอนำเอาความลับของเราไปบอก ครั้นได้ทราบข่าวว่าพระคุณเจ้าอุบาลีนำไป
จึงพากันด่าท่านพระอุบาลีว่า ท่านนี้เป็นคนสำหรับคอยรับใช้เมื่อเวลาอาบน้ำ เป็นคนคอยชำระของเปรอะเปื้อน เป็นคนมีสกุลต่ำ ไฉนจึงได้ลอบนำความลับของเราไปเที่ยวบอกเขาเล่า.
บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้ด่าพระคุณเจ้าอุบาลีเล่า
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์พากันด่าภิกษุอุบาลี จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีเหล่าฉัพพัคคีย์จึงได้ด่าภิกษุอุบาลีเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ ๑๐๗. ๒. อนึ่ง ภิกษุณีใด ด่าก็ดี กล่าวขู่ก็ดี ซึ่งภิกษุ เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องพระกัปปิตกะเถระ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๓๓๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
บทว่า ภิกษุ ได้แก่อุปสัมบัน.
บทว่า ด่าก็ดี คือ ด่าด้วยวัตถุสำหรับด่าทั้ง ๑๐ อย่าง หรือด้วยอย่างใดอย่างหนึ่งในทั้ง ๑๐ นั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทว่า กล่าวขู่ก็ดี คือ แสดงเรื่องหรืออาการที่น่ากลัว ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
ติกะปาจิตตีย์
[๓๓๖] อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน ด่าก็ดี กล่าวขู่ก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย ด่าก็ดี กล่าวขู่ก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน ด่าก็ดี กล่าวขู่ก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
จตุกกะทุกกฎ
ด่าก็ดี กล่าวขู่ก็ดี ซึ่งอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร [๓๓๗] มุ่งอรรถ ๑ มุ่งธรรม ๑ มุ่งสั่งสอน ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อารามวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.
อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์อารามวรรคสิกขาบทที่ ๒
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๒ พึงทราบดังนี้ :-
สองบทว่า อายสฺมา กปฺปิตโก คือ ท่านผู้มีอายุนี้ เป็นพระเถระอยู่ภายในจำนวนภิกษุชฎิลพันรูป.
บทว่า สํหริ คือ ให้แพร่พรายแล้ว (ได้นำไปบอก).
บทว่า สํหโต คือ ท่านพระอุบาลีให้แพร่งพรายแล้ว (นำไปบอก).
บทว่า กสาวโฏ แปลว่า ช่างกัลบก. พวกภิกษุณีกล่าวหมายเอาผู้ที่นุ่งผ้าย้อมน้ำฝาด กระทำการงาน.
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา แล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น