Translate

25 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะบรรพชา

 ทำบุญ  search-google  
    พระอัสสชิเถระ
   [๖๔] ก็โดยสมัยนั้นแล สญชัยปริพาชกอาศัยอยู่ในพระนครราชคฤห์ พร้อมด้วยปริพาชกบริษัทหมู่ใหญ่ จำนวน ๒๕๐ คน.
   ก็ครั้งนั้น พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในสำนักสญชัยปริพาชก. ท่านทั้งสองได้ทำกติกากันไว้ว่า ผู้ใดบรรลุอมตธรรมก่อนผู้นั้นจงบอกแก่อีกคนหนึ่ง. 
   ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า ท่านพระอัสสชินุ่งอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครราชคฤห์ มีมรรยาทก้าวไป ถอยกลับ แลเหลียว คู้แขน เหยียดแขนน่าเลื่อมใส มีนัยน์ตาทอดลง ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ. 
   สารีบุตรปาริพาชกได้เห็นท่านพระอัสสชิ กำลังเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ มีมรรยาทก้าวไป ถอยกลับ แลเหลียว คู้แขน เหยียดแขน น่าเลื่อมใส มีนัยน์ตาทอดลง ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ ครั้นแล้วได้มีความดำริว่าบรรดาพระอรหันต์ หรือท่านผู้ได้บรรลุพระอรหัตมรรคในโลก 
   ภิกษุรูปนี้คงเป็นผู้ใดผู้หนึ่งแน่ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปหาภิกษุรูปนี้ แล้วถามว่า ท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่านหรือท่านชอบใจธรรมของใคร? แล้วได้ดำริต่อไปว่า ยังเป็นกาลไม่สมควรจะถามภิกษุรูปนี้ 
   เพราะท่านกำลังเข้าละแวกบ้านเที่ยวบิณฑบาต ผิฉะนั้น เราพึงติดตามภิกษุรูปนี้ไปข้างหลังๆ เพราะเป็นทางอันผู้มุ่งประโยชน์ทั้งหลายจะต้องสนใจ. 
   ครั้งนั้น ท่านพระอัสสชิเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ ถือบิณฑบาตกลับไป. จึงสารีบุตรปริพาชกเข้าไปหาท่านพระอัสสชิ ถึงแล้วได้พูดปราศรัยกับท่านพระอัสสชิ 
   ครั้นผ่านการพูดปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิง เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง. 
   สารีบุตรปริพาชกยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าวคำนี้
กะท่านพระอัสสชิว่า อินทรีย์ของท่านผ่องใส ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร ขอรับ?
   อ. มีอยู่ ท่าน พระมหาสมณะศากยบุตร เสด็จออกทรงผนวชจากศากยตระกูล เราบวชเฉพาะพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดาของเรา และเราชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น.
สา. ก็พระศาสดาของท่านสอนอย่างไร แนะนำอย่างไร?
อ. เราเป็นคนใหม่ บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่พระธรรมวินัยนี้ ไม่อาจแสดงธรรมแก่ท่านได้กว้างขวาง แต่จักกล่าวใจความแก่ท่านโดยย่อ.
สา. น้อยหรือมาก นิมนต์กล่าวเถิด ท่านจงกล่าวแต่ใจความแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการใจความอย่างเดียว ท่านจักทำพยัญชนะให้มากทำไม.
พระอัสสชิเถระแสดงธรรม
   [๖๕] ลำดับนั้น ท่านพระอัสสชิ ได้กล่าวธรรมปริยายนี้แก่สารีบุตรปริพาชก ว่าดังนี้:-
ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติ
   ทรงสั่งสอนอย่างนี้.
สารีบุตรปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรม
   [๖๖] ครั้นได้ฟังธรรมปริยายนี้ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา ได้เกิดขึ้นแก่สารีบุตรปริพาชก
ธรรมนี้แหละถ้ามีก็เพียงนี้เท่านั้นท่านทั้งหลายจงแทง
ตลอดบทอันหาความโศกมิได้บทอันหาความโศกมิได้นี้ พวกเรายังไม่เห็น ล่วงเลยมาแล้วหลายหมื่นกัลป์.
สารีบุตรปริพาชกเปลื้องคำปฏิญาณ
   [๖๗] เวลาต่อมา สารีบุตรปริพาชกเข้าไปหาโมคคัลลานปริพาชก. โมคคัลลานปริพาชกได้เห็นสารีบุตรปริพาชกเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้วได้ถามสารีบุตรปริพาชกว่า ผู้มีอายุ อินทรีย์ของท่านผ่องใส ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านได้บรรลุอมตธรรมแล้วกระมังหนอ?
   สา. ถูกละ ผู้มีอายุ เราได้บรรลุอมตธรรมแล้ว.
   โมค. ท่านบรรลุอมตธรรมได้อย่างไร ด้วยวิธีไร?
    สา. ผู้มีอายุ วันนี้เราได้เห็นพระอัสสชิกำลังเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ มีมรรยาทก้าวไป ถอยกลับ แลเหลียว เหยียดแขน คู้แขน น่าเลื่อมใส มีนัยน์ตาทอดลง ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ ครั้นแล้วเราได้มีความดำริว่า 
   บรรดาพระอรหันต์หรือท่านผู้ได้บรรลุอรหัตมรรค
   ในโลก ภิกษุรูปนี้คงเป็นผู้ใดผู้หนึ่งแน่ ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปหาภิกษุรูปนี้ แล้วถามว่า ท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร เรานั้นได้ยั้งคิดว่า ยังเป็นกาลไม่สมควรจะถามภิกษุรูปนี้ เพราะท่านยังกำลังเข้าละแวกบ้านเที่ยวบิณฑบาต ผิฉะนั้น
   เราพึงติดตามภิกษุรูปนี้ไปข้างหลังๆ เพราะเป็นทางอันผู้มุ่งประโยชน์ทั้งหลายจะต้องสนใจ 
   ลำดับนั้น พระอัสสชิเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ ถือบิณฑบาตกลับไปแล้ว ต่อมา เราได้เข้าไปหาพระอัสสชิ ครั้นถึงแล้ว ได้พูดปราศรัยกับพระอัสสชิ ครั้นผ่านการพูดปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิง เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว 
   ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เรายืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าวคำนี้ต่อพระอัสสชิว่า อินทรีย์ของท่านผ่องใส ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร ขอรับ?
   พระอัสสชิตอบว่า มีอยู่ ท่าน พระมหาสมณะศากยบุตรเสด็จออกทรงผนวชจากศากยตระกูล เราบวชเฉพาะพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดาของเรา และเราชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น 
   เราได้ถามพระอัสสชิต่อไปว่า ก็พระศาสดาของท่านสอนอย่างไร แนะนำอย่างไร?
   พระอัสสชิตอบว่า เราเป็นคนใหม่ บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่พระธรรมวินัยนี้ ไม่อาจแสดงธรรมแก่ท่านได้กว้างขวาง แต่จักกล่าวใจความแก่ท่านโดยย่อ เราได้เรียนว่า น้อยหรือมาก นิมนต์กล่าวเถิด ท่านจงกล่าวแต่ใจความแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการใจความอย่างเดียว ท่านจักทำพยัญชนะให้มากทำไม.
[๖๘] ผู้มีอายุ ครั้งนั้น พระอัสสชิได้กล่าวธรรมปริยายนี้ ว่าดังนี้:-
ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ  พระตถาคตทรงแสดงเหตุ
แห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น
พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้.
โมคคัลลาน ปริพาชก ได้ดวงตาเห็นธรรม
   [๖๙] ครั้นได้ฟังธรรมปริยายนี้ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา ได้เกิดขึ้นแก่โมคคัลลานปริพาชก
   ธรรมนี้แหละถ้ามีก็เพียงนี้เท่านั้น ท่านทั้งหลายจงแทงตลอดบทอันหาความโศกมิได้ บทอันหาความโศกมิได้นี้ พวกเรายังไม่เห็น ล่วงเลยมาแล้ว   หลายหมื่นกัลป์.
สองสหายอำลาอาจารย์
   [๗๐] ครั้งนั้น โมคคัลลานปริพาชกได้กล่าวชักชวนสารีบุตรปริพาชกว่า ผู้มีอายุ เราพากันไปสำนักพระผู้มีพระภาคเถิด เพราะพระผู้มีพระภาคนั้นเป็นพระศาสดาของเรา.
   สารีบุตรปริพาชกกล่าวว่า ผู้มีอายุ ปริพาชก ๒๕๐ คนนี้อาศัยเรา เห็นแก่เรา จึงอยู่ในสำนักนี้ เราจงบอกกล่าวพวกนั้นก่อน พวกนั้นจักทำตามที่เข้าใจ.
   ลำดับนั้น สารีบุตรโมคคัลลานะพากันเข้าไปหาปริพาชกเหล่านั้น ครั้นถึงแล้วได้กล่าวคำนี้ต่อพวกปริพาชกนั้นว่า ท่านทั้งหลาย เราจะไปในสำนักพระผู้มีพระภาค เพราะพระผู้มีพระภาคนั้นเป็นพระศาสดาของเรา.
   พวกปริพาชกตอบว่า พวกข้าพเจ้าอาศัยท่าน เห็นแก่ท่านจึงอยู่ในสำนักนี้ ถ้าท่านจักประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ พวกข้าพเจ้าทั้งหมด ก็จักประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะด้วย.
   ต่อมา สารีบุตรโมคคัลลานะได้พากันเข้าไปหาท่านสญชัยปริพาชก ครั้นถึงแล้วได้เรียนว่า ท่านขอรับ พวกกระผมจะไปในสำนักพระผู้มีพระภาค เพราะพระผู้มีพระภาคนั้นเป็นพระศาสดาของพวกกระผม
   สญชัยปริพาชกพูดห้ามว่า อย่าเลย ท่านทั้งหลาย อย่าไปเลย เราทั้งหมด ๓ คน จักช่วยกันบริหารคณะนี้.
แม้ครั้งที่ ๒ ...
แม้ครั้งที่สาม 
   สารีบุตรโมคคัลลานะได้กล่าวคำนี้ต่อสญชัยปริพาชกว่า ท่านขอรับ พวกกระผมจะไปในสำนักพระผู้มีพระภาค เพราะพระผู้มีพระภาคนั้นเป็นพระศาสดาของพวกกระผม.
   สญชัยปริพาชกพูดห้ามว่า อย่าเลย ท่านทั้งหลาย อย่าไปเลย เราทั้งหมด ๓ คน จักช่วยกันบริหารคณะนี้.
   ครั้งนั้น สารีบุตรโมคคัลลานะพาปริพาชก ๒๕๐ คนนั้น มุ่งไปทางที่จะไปพระวิหารเวฬุวัน. ก็โลหิตร้อนได้พุ่งออกจากปากสญชัยปริพาชกในที่นั้นเอง.
ทรงพยากรณ์พระอัครสาวก
   [๗๑] พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นสารีบุตรโมคคัลลานะมาแต่ไกลเทียว ครั้นแล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สหายสองคนนั้น คือโกลิตะ และอุปติสสะกำลังมานั่น จักเป็นคู่สาวกของเรา จักเป็นคู่อันเจริญชั้นเยี่ยมของเรา
   ก็สหายสองคนนั้นพ้นวิเศษแล้ว ในธรรมอันเป็น
   ที่สิ้นอุปธิ อันยอดเยี่ยม มีญาณวิสัยอันลึกซึ้ง
   ยังมาไม่ทันถึงพระวิหารเวฬุวัน พระศาสดา
        ทรงพยากรณ์ ว่าดังนี้
   สหายสองคนนี้คือ โกลิตะและอุปติสสะกำลัง
   มานั่น จักเป็นคู่สาวกของเรา จักเป็นคู่อันเจริญ
        ชั้นเยี่ยมของเรา.
เข้าเฝ้าทูลขอบรรพชาอุปสมบท
   [๗๒] ครั้งนั้น สารีบุตรโมคคัลลานะได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นถึงแล้วได้ซบเศียรลงที่พระบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วทูลขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาคว่า ขอพวกข้าพระพุทธเจ้า พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด. พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น.
เสียงติเตียน
   [๗๓] ก็โดยสมัยนั้นแล พวกกุลบุตรชาวมคธที่มีชื่อเสียงๆ พากันประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค.
   ประชาชนพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะโคดมปฏิบัติเพื่อให้ชายไม่มีบุตร พระสมณโคดมปฏิบัติเพื่อให้หญิงเป็นหม้าย พระสมณโคดมปฏิบัติเพื่อตัดสกุล บัดนี้ 
   พระสมณโคดมให้ชฎิลพันรูปบวชแล้ว และให้ปริพาชกศิษย์ของท่านสญชัย ๒๕๐ คนนี้ บวชแล้ว และกุลบุตรชาวมคธที่มีชื่อเสียงๆ พากันประพฤติพรหมจรรย์ในพระสมณโคดม.
   อนึ่ง ประชาชนได้เห็นภิกษุทั้งหลายแล้วได้โจทย์ด้วยคาถานี้ ว่าดังนี้:-
   พระมหาสมณะเสด็จมาสู่พระนครคอกเขาของ
   ชาวมคธแล้ว ได้ทรงนำปริพาชกพวกสญชัย
   ทั้งปวงไปแล้ว บัดนี้ จักทรงนำใครไปอีกเล่า.
   [๗๔] ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียงนั้นจักอยู่ไม่ได้นาน จักอยู่ได้เพียง ๗ วันเท่านั้น พ้น ๗ วันก็จักหายไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าชนเหล่าใดกล่าวหาต่อพวกเธอ ด้วย
คาถานี้ ว่าดังนี้:-
   พระมหาสมณะเสด็จมาสู่พระนครคอกเขาของ
   ชาวมคธแล้ว ได้ทรงนำปริพาชกพวกสญชัย
   ทั้งปวงไปแล้ว บัดนี้ จักทรงนำใครไปอีกเล่า
   [๗๕] พวกเธอจงกล่าวโต้ตอบต่อชนเหล่านั้น ด้วยคาถานี้ ว่าดังนี้:-
   พระตถาคตทั้งหลายผู้แกล้วกล้ามาก ย่อมทรง
   นำชนทั้งหลายไปด้วยพระสัทธรรม เมื่อชน
   ทั้งหลายอันพระองค์ทรงนำไปอยู่โดยธรรม ผู้
      เข้าใจอย่างนี้จะริษยาทำไม.
   ก็โดยสมัยนั้นแล ประชาชนทั้งหลายได้เห็นภิกษุทั้งหลายแล้ว ย่อมกล่าวหาด้วยคาถานี้ ว่าดังนี้:-
   พระมหาสมณะเสด็จมาสู่พระนครคอกเขาของ
   ชาวมคธแล้ว ได้ทรงนำปริพาชกพวกสญชัย
   ทั้งปวงไปแล้ว บัดนี้ จักทรงนำใครไปอีกเล่า.
   ภิกษุทั้งหลายได้กล่าวโต้ตอบต่อประชาชนพวกนั้น ด้วยคาถานี้ ว่าดังนี้:-
   พระตถาคตทั้งหลายผู้แกล้วกล้ามาก ย่อมทรง
   นำชนทั้งหลายไปด้วยพระสัทธรรม เมื่อชน
   ทั้งหลายอันพระองค์ทรงนำไปอยู่โดยธรรม ผู้
      เข้าใจอย่างนี้จะริษยาทำไม.
   [๗๖] ประชาชนกล่าวอย่างนี้ว่า ได้ยินว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรทรงนำชนทั้งหลายไปโดยธรรม ไม่ทรงนำไปโดยอธรรม.
   เสียงนั้นได้มีเพียง ๗ วันเท่านั้น พ้น ๗ วันก็หายไป.
พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะบรรพชา จบ.
จตุตถภาณวาร จบ
อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ
อรรถกถา สารีปุตตโมคคัลลานบรรพชา
   บทว่า สารีปุตฺตโมคฺคลฺลานา ได้แก่ พระสารีบุตร ๑ พระโมคคัลลานะ ๑ ท่านทั้ง ๒ ได้ทำกติกากันไว้ว่า ผู้ใดพบอมตธรรมก่อน ผู้นั้นจงบอกแก่อีกฝ่ายหนึ่ง. 
   ได้ยินว่า ท่านทั้ง ๒ นั้นในเวลาเป็นคฤหัสถ์มีชื่อปรากฏอย่างนี้ว่า อุปติสสะ โกลิตะ มีมาณพ ๒๕๐ เป็นบริวาร ได้ไปดูมหรสพซึ่งมี ณ ยอดเขา.๑- สองสหายเห็นมหาชนในที่นั้นแล้ว ได้มีความรำพึงว่า ขึ้นชื่อว่าหมู่มหาชนอย่างนี้ๆ ยังไม่ทันถึง ๑๐๐ ปี ก็จักตกอยู่ในปากแห่งความตาย. 
   ลำดับนั้น สหายทั้ง ๒ เมื่อบริษัทลุกขึ้นแล้ว ได้ไต่ถามกันและกัน มีอัธยาศัยร่วมกัน มีความสำคัญว่าความตายปรากฏเฉพาะหน้า ปรึกษากันว่า เพื่อน เมื่อความตายมี ธรรมที่ไม่ตายก็ต้องมีด้วย. เอาเถิด เราค้นหาธรรมที่ไม่ตายกันเถิดดังนี้. 
๑- คิรคฺคสมชฺช มหรสพฉลองประจำปี
ณ กรุงราชคฤห์, มหรสพยอดเขา. 
   เพื่อค้นหาธรรมที่ไม่ตาย จึงพร้อมด้วยบริษัทบวชในสำนักสญชัยปริพาชกผู้นุ่งผ้า ไม่กี่วันนักก็ถึงฝั่งในลัทธิสมัยซึ่งเป็นวิสัยแห่งญาณของสญชัยนั้น. 
   เมื่อมองไม่เห็นอมตธรรม จึงถามว่า ท่านอาจารย์ กระผมขอถามแก่นสารแม้อื่นในบรรพชานี้จะยังมีอยู่หรือ? 
   ได้ฟังคำตอบของท่านว่า ไม่มี ผู้มีอายุ และว่า ลัทธินี้มีเท่านี้แล. จึงได้ทำกติกาไว้ว่า ผู้มีอายุ ลัทธินี้เหลวไหลไม่มีแก่นสาร ทีนี้ในพวกเรา ผู้ใดพบอมตธรรมก่อน ผู้นั้นจงบอกแก่อีกฝ่ายหนึ่ง. 
   เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ท่านทั้ง ๒ ได้ทำกติกากันไว้. 
   ตติยาวิภัตติในลักษณะแห่งอิตถัมภูต ผู้ศึกษาพึงทราบในบททั้งหลายว่า ปาสาทิเกน อภิกฺกนฺเตน เป็นต้น. 
คำนี้ว่า อตฺถิเกหิ อุปญาตํ มคฺคํ เป็นคำแสดงเหตุการติดตาม. จริงอยู่ มีคำที่ท่านอธิบายไว้ดังนี้ว่า อย่ากระนั้นเลย เราพึงตามติดภิกษุนี้ไปข้างหลังๆ. 
   เพราะเหตุไร?
เพราะเหตุว่าธรรมดาการตามติดไปข้างหลังๆ นี้ เป็นทางที่ผู้มีความต้องการทั้งหลาย รู้จักเข้าหาแล้ว. 
   อธิบายว่า เป็นมรรคา อันชนทั้งหลายผู้มีความต้องการรู้แล้วและดำเนินเข้ามาหาแล้ว. 
   อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นความในคำนี้อย่างนี้ว่า ขึ้นชื่อว่านิพพาน อันเราทั้งหลายผู้มีความต้องการ รู้ชัดแล้วว่ามีอยู่แน่นอน ด้วยอนุมานอย่างนี้ว่า เมื่อความตายมี ธรรมที่ไม่ตายก็ต้องมีด้วย อย่ากระนั้นเลย เราเมื่อแสวงหาคือเมื่อค้นหานิพพานนั้น พึงตามติดภิกษุนี้ไปข้างหลังๆ.
   หลายบทว่า ปิณฺฑปาตํ อาทาย ปฏิกฺกมิ มีความว่า พระอัสสชิผู้มีอายุเข้าไปนั่งชิดเชิงฝาแห่งใดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีประการดังกล่าวแล้วในสุทินนกัณฑ์.๒- 
   แม้สารีบุตรเล่ายืนคอยเวลาอยู่ว่า ยังไม่ใช่เวลาที่จะถามปัญหาก่อน เพื่อจะบำเพ็ญวัตตปฏิบัติ จึงถวายน้ำจากคนโทของตนแก่พระเถระผู้เสร็จภัตตกิจแล้ว กระทำปฏิสันถารกับพระเถระผู้ล้างมือและเท้าแล้ว ถามปัญหา. 
   เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า อถ โข สารีปุตฺโต ปริพฺพาชโก เป็นต้น. 
๒- มหาวิภงฺค.ปฐม. ๒๗
   สองบทว่า น ตฺยาหํ สกฺโกมิ ตัดบทว่า น เต อหํ สกฺโกมิ แปลว่า สำหรับท่าน เราไม่อาจ. 
   แต่ว่า พระเถระถึงปฏิสัมภิทาญาณในธรรมวินัยนี้ จะไม่อาจเพื่อแสดงธรรมเพียงเท่านี้หามิได้ โดยที่แท้ ท่านคิดว่า เราจักปลูกความเคารพในธรรมแก่ผู้นี้ ได้ถือเอาข้อที่การแสดงธรรมในพุทธวิสัยโดยอาการทั้งปวงไม่ใช่วิสัยของท่าน จึงกล่าวอย่างนั้น. 
   บาทคาถาว่า เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา มีความว่า เบญจขันธ์ชื่อว่าธรรมมีเหตุเป็นแดนเกิด. พระเถระแสดงทุกขสัจแก่สารีบุตรนั้นด้วยคำนั้น. 
   บาทคาถาว่า เตสํเหตุํ ตถาคโต อาห มีความว่า สมุทยสัจชื่อว่าเหตุแห่งเบญจขันธ์นั้น พระเถระแสดงว่า พระตถาคตตรัสสมุทยสัจนั้นด้วย. 
   บาทคาถาว่า เตสญฺจ โย นิโรโธ จ มีความว่า พระตถาคตตรัสความดับคือความไม่เป็นไปแห่งสัจจะแม้ทั้ง ๒ นั้นด้วย พระเถระแสดงนิโรธสัจแก่สารีบุตรนั้นด้วยคำนั้น.
   ส่วนมรรคสัจ แม้ท่านไม่ได้แสดงรวมไว้ในคาถานี้ ก็เป็นอันแสดงแล้วโดยนัย. เพราะว่าเมื่อกล่าวนิโรธ มรรคซึ่งเป็นเหตุให้ถึงนิโรธนั้น ก็เป็นอันกล่าวด้วย. 
   อีกอย่างหนึ่ง ในบาทคาถาว่า เตสญฺจ โย นิโรโธ จ นี้ สัจจะแม้ ๒ เป็นอันพระเถระแสดงแล้วอย่างนี้ว่า ความดับแห่งสัจจะทั้ง ๒ นั้นและอุบายแห่งความดับแห่งสัจจะทั้ง ๒ นั้น ฉะนี้แล. บัดนี้ พระเถระเมื่อจะยังเนื้อความนั้นนั่นแลให้รับกัน จึงกล่าวว่า พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้. 
   บาทคาถาว่า เอเสว ธมฺโม ยทิ ตาวเทว มีความว่า แม้ถ้าว่า ธรรมที่ยิ่งกว่านี้ไม่มีไซร้ ธรรมเพียงเท่านี้เท่านั้นคือคุณ มาตรว่าโสดาปัตติผลนี้เท่านั้น อันข้าพเจ้าจะพึงบรรลุ ถึงอย่างนั้นธรรมนี้นั่นแล อันข้าพเจ้าค้นหาแล้ว.๓- 
   บาทคาถาว่า ปจฺจพฺยถา ปทมโสกํ มีความว่า พวกข้าพเจ้าเที่ยวค้นหาทางอันไม่มีความโศกใด ท่านทั้งหลายนั่นแล ย่อมตรัสรู้ทางอันไม่มีความโศกนั้น. 
   อธิบายว่า ทางนั้น อันท่านทั้งหลายบรรลุแล้ว. 
   กึ่งคาถาว่า อทิฏฺฐํ อพฺภุติตํ พหุเกหิ กปฺปนหุเตหิ มีความว่า ทางอันไม่มีความโศกนี้ ชื่ออันข้าพเจ้าทั้งหลายไม่เห็นแล้วทีเดียว ล่วงไปนักหนาตั้งหลายนหุตแห่งกัลป์ สารีบุตรปริพาชกแสดงข้อที่ตนมีความเสื่อมใหญ่ตลอดกาลนาน เพราะเหตุที่ไม่ได้เห็นทางนั้นด้วยประการดังนี้. 
๓- ปาฐะในอรรถกถาว่า ตถาปิ เอโสเอว ธมฺโม.
โยชนาหน้า ๑๘๔แก้ขยายความว่า 
ตถาปิ เอโสเอวมยา คเวสิโต 
นิพฺพานสงฺขาโตธมฺโมติ อตฺโถ. 
จึงได้แปลไว้อย่างนี้ หรืออีกนัยหนึ่ง
ว่า ธรรมที่ข้าพเจ้าค้นหาแล้วก็ธรรมนี้นั่นแล. 
   บาทคาถาว่า คมฺภีเร ญาณวิสเย มีความว่า เป็นธรรมอันลึกซึ้งด้วย เป็นวิสัยแห่งญาณอันลึกซึ้งด้วย.
บาทคาถาว่า อนุตฺตเร อุปธิสงฺขเย ได้แก่ นิพพาน.
   บทว่า วิมุตฺเต มีความว่า ผู้นั้นพ้นแล้วด้วยวิมุตติมีนิพพานนั้นเป็นอารมณ์. 
   บทว่า พฺยากาสิ มีความว่า พระศาสดาเมื่อตรัสว่า คู่แห่งสหายนั้นจักเป็นคู่อัครสาวก เป็นคู่ที่เจริญของเรา ดังนี้ ชื่อว่าทรงพยากรณ์แล้วซึ่งคู่แห่งสหายในสาวกบารมีญาณ. 
   ข้อว่า สา ว เตสํ อายสฺมนฺตานํ อุปสมฺปทา อโหสิ มีความว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทานั้นแล ได้เป็นอุปสัมปทาของท่านทั้ง ๒ พร้อมทั้งบริษัท. 
   ก็แลในพระเถระทั้ง ๒ ซึ่งอุปสมบทแล้วอย่างนั้น พระมหาโมคคัลลานเถระ ๗ วันจึงได้สำเร็จพระอรหัต พระสารีบุตรเถระกึ่งเดือนจึงได้สำเร็จพระอรหัต. 
   ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าอโนมทัสสี เสด็จอุบัติในโลก. ดาบสชื่อสรทะกระทำมณฑปด้วยดอกไม้ต่างๆ ที่อาศรมของตน เพื่อพระพุทธเจ้านั้น 
   อัญเชิญพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ประทับบนอาสนะดอกไม้นั่นเทียว กระทำมณฑปอย่างนั้นแล ตั้งแต่งอาสนะดอกไม้สำหรับภิกษุสงฆ์ด้วย แล้วปรารถนาเป็นอัครสาวก. 
   ก็แลครั้นปรารถนาแล้ว จึงส่งข่าวไปบอกแก่เศรษฐีชื่อสิริวัฒน์ว่า ข้าพเจ้าได้ปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกแล้ว ถึงท่านก็จงมาปรารถนาตำแหน่งหนึ่ง. 
   เศรษฐีกระทำมณฑปดอกอุบลเขียว นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ฉันในมณฑปนั้น ครั้นให้ฉันเสร็จแล้ว ได้ปรารถนาเป็นสาวกที่ ๒. ในชนทั้ง ๒ นั้น สรทดาบสเกิดเป็นพระสารีบุตรเถระ
   สิริวัฒน์เศรษฐีเกิดเป็นพระมหาโมคคัลลานเถระ ฉะนี้แล บุพกรรมของพระอัครสาวกทั้ง ๒ นั้นเท่านี้.๔- 
วินิจฉัยในบทว่า อปุตฺตกตาย เป็นต้น ดังต่อไปนี้ :- 
   พระสมณโคดมปฏิบัติเพื่อความที่ชนทั้งหลายผู้มีบุตรบวชต้องเป็นคนไร้บุตร เพื่อความที่หญิงทั้งหลายผู้มีผัวบวชต้องเป็นหม้าย คือต้องเป็นคนร้างผัว เพื่อเข้าไปตัดสกุลเสีย แม้ด้วยอาการทั้ง ๒ อย่าง. 
   บทว่า สญฺชยานิ คือ ผู้เป็นอันเตวาสิกของสญชัย. 
   สองบทว่า มาคธานํ คิริพฺพชํ มีความว่า สู่คิริพพชนครของชาวมคธทั้งหลาย. 
   บทว่า มหาวีรา ได้แก่ ผู้มีความเพียรใหญ่. 
   บทว่า นียมานานํ มีความว่า ครั้นเมื่อกุลบุตรทั้งหลาย อันพระองค์ทรงแนะนำอยู่ 
   บทว่า นียมานานํ นี้เป็นฉัฏฐีวิภัตติใช้ในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ อีกนัยหนึ่ง ใช้ในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ. 
   บาทคาถาว่า กา อุสฺสูยา วิชานตํ มีความว่า จะต้องริษยาอะไรด้วยเล่า เมื่อรู้อยู่อย่างนี้ว่า พระตถาคตทั้งหลายทรงแนะนำโดยธรรม. 
 ๔- ชื่อนี้ตรงกับอรรถกถาธรรมบท แต่ในอปทาน
ว่า เดิมพระสารีบุตรชื่อสุรุจิดาบส พระ
โมคคัลลานะ
       เป็น พระยานาคชื่ออรุณ.

ไม่มีความคิดเห็น: