แม่เจ้าทั้งหลาย อนึ่ง ธรรมคือเสขิยะเหล่านี้แล มาสู่อุเทศ
เสขิยะ สิกขาบทที่ ๑
เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์
[๔๙๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
ครั้งนั้น เหล่าภิกษุณีฉัพพัคคีย์นุ่งผ้าเลื้อยหน้าบ้าง เลื้อยหลังบ้าง.
ชาวบ้านทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุณีทั้งหลายจึงได้นุ่งผ้าเลื้อยหน้าบ้าง เลื้อยหลังบ้าง ดุจดังสตรีคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า.
ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินชาวบ้านพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้นุ่งผ้าเลื้อยหน้าบ้าง เลื้อยหลังบ้างเล่า ครั้นแล้วได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์นุ่งผ้าเลื้อยหน้าบ้าง เลื้อยหลังบ้าง จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบว่าทูล จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉน พวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้นุ่งผ้าเลื้อยหน้าบ้าง เลื้อยหลังบ้างเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระบัญญัติ ๒๓๐. ๑. ภิกษุณีพึงทำความศึกษาว่า เราจักนุ่งเป็นปริมณฑล.
เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๔๙๖] ที่ชื่อว่า นุ่งเป็นปริมณฑล คือ ปิดมณฑลสะดือ มณฑลเข่า.
ภิกษุณีใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นุ่งผ้าเลื้อยหน้าก็ดี เลื้อยหลังก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
[๔๙๗] ไม่แกล้ง ๑ ไม่ตั้งใจ ๑ เผลอ ๑ อาพาธ ๑ มีเหตุขัดข้อง ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
เสขิยะ สิกขาบทที่ ๑ จบ.
ความย่อ
เสขิยะ สิกขาบทที่ ๗๕
เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์
[๔๙๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
ครั้งนั้น เหล่าภิกษุณีฉัพพัคคีย์ถ่ายอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง บ้วนเขฬะบ้าง ลงในน้ำ.
ชาวบ้านพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุณีทั้งหลายจึงได้ถ่ายอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง บ้วนเขฬะบ้าง ลงในน้ำ เหมือนสตรีคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า.
ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินชาวบ้านพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุณีเหล่าฉัพพัคคีย์จึงได้ถ่ายอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง บ้วนเขฬะบ้าง ลงในน้ำเล่า ครั้นแล้วได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า พวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์ ถ่ายอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง บ้วนเขฬะบ้าง ลงในน้ำ จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉน พวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้ถ่ายอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง บ้วนเขฬะบ้าง ลงในน้ำเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- ๑. เสขิยสิกขาบทต่อไปนี้ ตั้งแต่สิกขาบทที่ ๒๓๑. ๒. ถึง ๓๐๓.๗๔ ท่านมิได้จารึกไว้ เพราะเป็นสาธารณบัญญัติ พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในมหาวิภังค์โน้น เทอญ.
พระบัญญัติ ๓๐๔. ๗๕ ภิกษุณีพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะ ลงในน้ำ.
ก็แลสิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุณีทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จบ.
ทรงอนุญาตแก่ภิกษุณีอาพาธ
[๔๙๙] ต่อจากสมัยนั้นแล ภิกษุณีทั้งหลายอาพาธ รังเกียจที่จะถ่ายอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง บ้วนเขฬะบ้าง ลงในน้ำ. ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค
ทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุณีผู้อาพาธถ่ายอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง ลงในน้ำได้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระอนุบัญญัติ ๓๐๔. ๗๕. ก. ภิกษุณีพึงทำความศึกษาว่า เราไม่เป็นไข้ จักไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะหรือบ้วนเขฬะ ลงในน้ำ.
เรื่องภิกษุณีอาพาธ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๕๐๐] ภิกษุณีไม่เป็นไข้ ไม่พึงถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะ ลงในน้ำ ภิกษุณีใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ไม่เป็นไข้ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะ ลงในน้ำ ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
[๕๐๑] ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ ถ่ายลงบนบกแล้วไหลลงน้ำ ๑ มีเหตุขัดข้อง ๑ วิกลจริต ๑ มีจิตฟุ้งซ่าน ๑ ผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
เสขิยะ สิกขาบทที่ ๗๕ จบ.
บทสรุป
[๕๐๒] แม่เจ้าทั้งหลาย ธรรมคือเสขิยะ ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้วแล ข้าพเจ้าขอถามแม่เจ้าทั้งหลายในธรรมคือเสขิยะเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ
ข้าพเจ้าขอถามแม้ครั้งที่สองว่า
ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ ข้าพเจ้าขอถามแม้ครั้งที่สามว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ แม่เจ้าทั้งหลายบริสุทธิ์แล้วในธรรมคือเสขิยะเหล่านี้ เหตุนั้นจึงนิ่ง
ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.
เสขิยกัณฑ์ จบ.
อธิกรณสมถกัณฑ์ที่สุด
[๕๐๓] อนึ่ง แม่เจ้าทั้งหลาย ธรรมคืออธิกรณสมถะ ๗ เหล่านี้แล มาสู่อุเทศ. คือ พึงให้สัมมุขาวินัย ๑ พึงให้สติวินัย ๑ พึงให้อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ เยภุยยสิกา ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑ เพื่อระงับอธิกรณ์ที่เกิดแล้วและเกิดแล้ว.
แม่เจ้าทั้งหลาย ธรรมคืออธิกรณสมถะ ๗ ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้วแล ข้าพเจ้าขอถาม แม่เจ้าทั้งหลายในธรรมคืออธิกรณสมถะเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ
ข้าพเจ้าขอถามแม้ครั้งที่สองว่า
ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ
ข้าพเจ้าขอถามแม้ครั้งที่สามว่า
ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ แม่เจ้าทั้งหลายบริสุทธิ์แล้วในธรรมคือ อธิกรณสมถะเหล่านี้ เหตุนั้นจึงนิ่ง
ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.
อธิกรณสมถกัณฑ์ จบ.
คำนิคม
[๕๐๔] แม่เจ้าทั้งหลาย นิทานข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้ว.
ธรรมคือปาราชิก ๘สิกขาบท
ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้ว.
ธรรมคือสังฆาทิเสส ๑๗ สิกขาบท
ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้ว.
ธรรมคือนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบท
ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้ว.
ธรรมคือปาจิตตีย์๑๖๖ สิกขาบท
ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้ว.
ธรรมคือปาฏิเทสนียะ ๘สิกขาบท
ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้ว.
ธรรมคือเสขิยะทั้งหลาย
ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้ว.
ธรรมคืออธิกรณสมถะ ๗ ประการ
ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้ว.
สิกขาบทของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น มีเท่านี้ มาในพระปาติโมกข์ นับเนื่องในพระปาติโมกข์ มาสู่อุเทศทุกกึ่งเดือน.
พวกเราทั้งหมดนี้แล พึงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน ศึกษาในพระปาติโมกข์นั้น เทอญ.
ภิกขุนีวิภังค์ จบ.
อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ เสขิยะกัณฑ์
คำนิคม
คาถาสรุปเสขิยาธิกรณธรรม
ก็ธรรม ๗๕ ชื่อว่าเสขิยะเหล่าใดที่พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายได้ยกขึ้นแสดงไว้ และธรรมเหล่าใดชื่อสัตตาธิกรณะ ซึ่งท่านยกขึ้นแสดงไว้ถัดจากลำดับเสขิยะเหล่านั้นมา,
อรรถวินิจฉัยธรรมคือเสขิยะและอธิกรณะเหล่านั้นอันใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในมหาวิภังค์, แม้ในภิกขุนีวิภังค์ ท่านผู้รู้ทั้งหลายก็กล่าวอรรถวินิจฉัยนั้นไว้เช่นนั้นเหมือนกัน. เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่กล่าวอรรถวรรณนาธรรมเหล่านั้นไว้อีกแผนกหนึ่ง.
ที่จริงอรรถวรรณาที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในมหาวิภังค์นั้น ชื่อว่าได้กล่าวแล้วในภิกขุนีวิภังค์นี้เหมือนกันแล.
ภิกขุนีวิภังคควรรณนา ในอรรถกถาพระวินัย
ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ.
อุยโยชนคาถาของท่านผู้รจนา
วรรณนาวิภังค์แห่งอุภโตปาฏิโมกข์ที่พระชินเจ้าตรัสไว้นี้
จบลงแล้ว โดยหาอันตรายมิได้ ฉันใด ขอสรรพสัตว์ แม้ ทุกหมู่เหล่า จงได้บรรลุมรรคอันละเสียซึ่งอาสวะทั้งปวง แล้ว ประสบพบเห็นแต่ความดับสนิทโดยหาอันตรายมิได้
ฉันนั้นเทอญ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น