[๔๘๐] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
ครั้งนั้น ภิกษุณีรูปหนึ่งไม่มีผ้ารัดถัน เข้าไปเพื่อบิณฑะในหมู่บ้าน ลมบ้าหมูพัดเวิกผ้าสังฆาฏิขึ้นที่ถนนนั้น.
คนทั้งหลายได้ส่งเสียงว่าถันและท้องของแม่เจ้าสวย ภิกษุณีรูปนั้นถูกคนทั้งหลายเยาะเย้ยได้เป็นผู้เก้อเขิน ครั้นนางไปถึงสำนักแล้ว ได้เล่าเรื่องนั้นให้ภิกษุณีทั้งหลายฟัง.
บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีจึงไม่มีผ้ารัดถัน เข้าบ้านเล่า.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีไม่มีผ้ารัดถันเข้าบ้าน จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจึงไม่มีผ้ารัดถันเข้าบ้านเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระบัญญัติ ๑๕๑. ๑๓. อนึ่ง ภิกษุณีใด ไม่มีผ้ารัดถัน เข้าบ้าน เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีรูปหนึ่ง จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๔๘๑] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
บทว่า ไม่มีผ้ารัดถัน คือ ปราศจากผ้ารัดนม.
ที่ชื่อว่า ผ้ารัดถัน ได้แก่ ผ้าที่ใช้ปกปิดอวัยวะเบื้องต่ำตั้งแต่รากขวัญลงมา เบื้องบนตั้งแต่นาภีขึ้นไป.
คำว่า เข้าบ้าน คือ บ้านที่มีเครื่องล้อม เดินเลยเครื่องล้อม ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อนาปีตติวาร
[๔๘๒] มีจีวรถูกชิงไป ๑ มีจีวรหาย ๑ อาพาธ ๑ หลงลืมไป ๑ ไม่รู้ตัว ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๑๓ จบ.
ปาจิตติยวรรค ที่ ๙ จบ
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑๓ พึงทราบดังนี้ :-
สองบทว่า ปริกฺเขปํ อติกฺกมนฺติยา คือ เมื่อก้าวไปด้วยเท้าก้าวแรกเป็นทุกกฏ เมื่อก้าวไปด้วยเท้าก้าวที่ ๒ เป็นปาจิตตีย์.
แม้ในอุปจารก็นัยนี้เหมือนกัน.
ในคำว่า อจฺฉินฺนจีวริกาย เป็นต้น จีวร คือ ผ้ารัดถันนั่นแล บัณฑิตพึงทราบว่า จีวร.
บทว่า อาปทาสุ มีความว่า ผ้ารัดถันมีค่ามาก เมื่อภิกษุณีห่มเดินไป อันตรายจะเกิดขึ้นได้ ไม่เป็นอาบัติในอันตรายเช่นนี้.
คำที่เหลือง่ายทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ แล.
อรรถกถาฉัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑๓ จบ
อรรถกถาฉัตตวรรคที่ ๙ จบ.
บทสรุป
[๔๘๓] แม่เจ้าทั้งหลาย ธรรมคือปาจิตตีย์ ๑๖๖ สิกขาบท ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้วแล
ข้าพเจ้าขอถามแม่เจ้าทั้งหลาย ในธรรมคือปาจิตตีย์ ๑๖๖ สิกขาบทนั้นว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ ข้าพเจ้าขอถามแม้ครั้งที่สองว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ ข้าพเจ้าขอถาม
แม้ครั้งที่สามว่า
ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ แม่เจ้าทั้งหลายบริสุทธิ์แล้วในธรรมคือปาจิตตีย์ ทั้ง ๑๖๖ สิกขาบทเหล่านี้ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
ปาจิตติยกัณฑ์ จบ.
๑. วรรคที่ ๑๐ ถึงวรรคที่ ๑๖ มีวรรคละ ๑๐ สิกขาบท คือ มุสาวาทวรรคที่ ๑๐ มี ๑๐ สิกขาบท ภูตคามวรรคที่ ๑๑
มี ๑๐ สิกขาบท โภชนวรรคที่๑๒ มี ๑๐ สิกขาบท จริตตวรรคที่ ๑๓ มี ๑๐ สิกขาบท โชติวรรคที่ ๑๔ มี ๑๐ สิกขาบท
ทิฏฐิวรรคที่ ๑๕ มี ๑๐ สิกขาบทธัมมิกวรรคที่ ๑๖ มี ๑๐ สิกขาบท รวมอีก ๗๐ สิกขาบท เป็นอุภโตบัญญัติ ผู้ปรารถนา
พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในภิกขุวิภังค์โน้นเทอญ.
อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์บทสรุป
บทสรุปธรรมคือปาจิตตีย์
ในคำว่า อุทฺทิฏฺฐา โข อยฺยาโยฉสฺสฏฺฐิสตา ปาจิตฺติยา ธมฺมา นี้พึงทราบว่า สิกขาบท ๑๘๘ ทั้งหมดด้วยกัน คือสิกขาบทในขุททกะของพวกภิกษุณี ๙๖ สิกขาบท พวกภิกษุ ๙๒ สิกขาบท ชักออกจากสิกขาบท ๑๘๘ นั้นเสีย ๒๒ สิกขาบทนี้ คือภิกขุณีวรรค ทั้งสิ้น (๑๐ สิกขาบท) ปรัมปรโภชนสิกขาบท ๑
อนติริตตโภชนสิกขาบท ๑ อนติริตเตนอภิหัฏฐุมปวารณสิกขาบท ๑ ปณีตโภชนวิญญัติสิกขาบท ๑ อเจลกสิกขาบท ๑ ทุฏฐุลลปฏิจฉาทนสิกขาบท ๑ อูนวีสติวัสสูปสัมปาทนสิกขาบท ๑ สิกขาบทว่าด้วยการชักชวนกันเดินทางไกลกับมาตุคาม ๑
ราชันตนปุรัปเวสนสิกขาบท ๑ สิกขาบทว่าด้วยการไม่บอกลาภิกษุณีที่มีอยู่เข้าบ้านในเวลาวิกาล ๑ นิสีทนสิกขาบท ๑ วัสสิกสาฏิกสิกขาบท ๑ เหลืออีก ๑๖๖ สิกขาบท เป็นอันข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้ว ตามทางแห่งปาฏิโมกขุทเทส.
เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคีติกาจารย์จึงกล่าวว่า อุทฺทิฏฺฐา โข อยฺยาโย ฉสฺสฏฺฐิสตา ปาจิตฺติยา ธมฺมา ฯเปฯ เอวเมตํ ธารยามิ ดังนี้
[วินิจฉัยสมุฏฐานเป็นต้นโดยย่อ]
ในขุททกวรรณนาธิการนั้น มีวินิจฉัยสมุฏฐาน โดยสังเขปดังต่อไปนี้ :-
๑๐ สิกขาบทเหล่านี้ คือ คิรัคคสมัชชสิกขาบท ๑ จิตตาคารสิกขาบท ๑ สังฆาณีสิกขาบท ๑ อิตถาลังการสิกขาบท ๑ คันธวัณณกสิกขาบท ๑ วาสิตกปิญญากสิกขาบท ๑ การใช้ภิกษุณีเป็นต้น บีบนวด ๔ สิกขาบท เป็นอจิตตกะ โลกวัชชะ.
ก็ในสิกขาบท ๑๐ เหล่านี้ มีอธิบายดังต่อไปนี้ :-
สิกขาบทเหล่านี้ชื่อว่าเป็นอจิตตกะ เพราะแม้เว้นจากจิตก็ยังต้อง แต่เมื่อมีจิต ก็เป็นโลกวัชชะ เพราะจะพึงต้องด้วยอกุศลจิตเท่านั้น สิกขาบทที่เหลือเป็นอจิตตกะ เป็นปัณณัตติวัชชะ ทั้งนั้น.
๑๙ สิกขาบทเหล่านี้ คือ โจรีวุฏฐาปนสิกขาบท ๑ คามันตรอารามสิกขาบท ๑ ในคัพภินีวรรค ๗ สิกขาบท ตั้งแต่ต้น ในกุมารีภูตวรรค ๕ สิกขาบท ตั้งแต่ต้น
ปุริสสังสัฏฐสิกขาบท ๑ ปาริวาสิยฉันททานสิกขาบท ๑ อนุวัสสวุฏฐาปนสิกขาบท ๑ เอกันตริกวุฏฐาปนสิกขาบท ๑ เป็นสจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ ที่เหลือเป็นสจิตตกะ โลกวัชชะ ทั้งนั้นแล.
ขุททกกัณฑวรรณนาในภิกขุนีวิภังค์
ในอรรถกถาพระวินัย ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น