[๓๔๖] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
ครั้งนั้น ภิกษุณีรูปหนึ่งเที่ยวบิณฑบาตไปในตรอกแห่งหนึ่ง ในพระนครสาวัตถี ผ่านเข้าไปสู่สกุลแห่งหนึ่ง ครั้นแล้วได้นั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้. ครั้นเขานิมนต์ภิกษุณีรูปนั้นให้ฉันแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า แม่เจ้า แม้ภิกษุณีรูปอื่นๆ ก็จงมา.
ทันทีนั้น นางคิดว่า ทำไฉนภิกษุณีรูปอื่นๆ จึงจะไม่มา แล้วได้เข้าไปหาภิกษุณีทั้งหลายกล่าวคำนี้ว่า แม่เจ้า ณ สถานที่โน้นสุนัขดุ โคเปลี่ยวดุ สถานที่ลื่น ท่านทั้งหลายอย่าได้ไปสถานที่นั้นเลย.
แม้ภิกษุณีอีกรูปหนึ่งก็ได้เที่ยวบิณฑบาตไปในตรอกนั้น เดินผ่านเข้าไปถึงสกุลนั้น ครั้นแล้ว นั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย. ครั้นคนพวกนั้นนิมนต์ให้นางฉัน แล้วได้กล่าวคำนี้ว่า แม่เจ้า ทำไมภิกษุณีทั้งหลายจึงไม่ค่อยมา.
จึงภิกษุณีรูปนั้นได้เล่าเรื่องนั้นแก่เขาเหล่านั้น พวกเขาจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่าไฉนภิกษุณีจึงได้หวงตระกูลเล่า
ทรงสอบถาม พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีหวงตระกูล จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจึงได้หวงตระกูลเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระบัญญัติ ๑๑๐. ๕. อนึ่ง ภิกษุณีใด เป็นคนตระหนี่ตระกูล เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีรูปหนึ่ง จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๓๔๗] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า ตระกูล ได้แก่ ตระกูลทั้ง ๔ คือ ตระกูลกษัตริย์ ตระกูลพราหมณ์ ตระกูลแพศย์ ตระกูลศูทร.
บทว่า เป็นคนตระหนี่ตระกูล คือคิดว่า ทำไฉนภิกษุณีทั้งหลายจะไม่พึงมา แล้วกล่าวโทษของพวกพ้องในสำนักภิกษุณีทั้งหลาย ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือ กล่าวโทษของภิกษุณีทั้งหลายในสำนักของพวกพ้อง ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
อนาปัตติวาร [๓๔๘] ไม่หวงตระกูล บอกโทษเท่าที่มีอยู่ ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อารามวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ.
อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์อารามวรรคสิกขาบทที่ ๕
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๕ พึงทราบดังนี้ :-
ความหวงแหนตระกูล ชื่อว่า ความตระหนี่ตระกูล. ความตระหนี่ตระกูลมีแก่ภิกษุณีนั้น เหตุนั้น ภิกษุณีนั้นจึงชื่อว่าผู้มีความตระหนี่ตระกูล.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าเป็นคนตระหนี่ตระกูล เพราะอรรถว่าประพฤติตัวเป็นคนหวงแหนสกุล.
สองบทว่า กุลสฺส อวณฺณํ ได้แก่ กล่าวโทษว่า ตระกูลนั้นไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส.
สองบทว่า ภิกฺขุนีนํ อวณฺณํ ได้แก่ กล่าวโทษของพวกภิกษุณีว่า พวกภิกษุณี เป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก.
สองบทว่า สนฺตํเยว อาทีนวํ ได้แก่ บอกโทษมิใช่คุณที่มีอยู่ของตระกูล หรือของพวกภิกษุณี.
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา แล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น