Translate

31 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ เรื่องห้ามคนฆ่ามารดามิให้อุปสมบท

search-google ทำบุญ 
   [๑๒๘] ก็โดยสมัยนั้นแล มาณพผู้หนึ่งปลงชีวิตมารดาเสีย. เขาอึดอัด ระอา รังเกียจบาปกรรมอันนั้น และได้มีความดำริว่า ด้วยวิธีอะไรหนอ 
        เราจึงจะทำการออกจากบาปกรรมอันนี้ได้ 
   จึงหวนระลึกนึกขึ้นได้ว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ เป็นผู้ประพฤติธรรม ประพฤติสงบ ประพฤติพรหมจรรย์ กล่าวแต่คำสัตย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม
   ถ้าเราจะพึงบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ด้วยวิธีเช่นนี้ เราก็จะทำการออกจากบาปกรรมอันนี้ได้. ต่อมา เขาเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายขอบรรพชา. ภิกษุทั้งหลายได้แจ้งความนี้ต่อท่านพระอุบาลีว่าอาวุโส อุบาลี
   เมื่อครั้งก่อนแล นาคแปลงกายเป็นชายหนุ่มเข้ามาบวชในสำนักภิกษุ อาวุโสอุบาลี นิมนต์ท่านไต่สวนมาณพคนนี้. ครั้นมาณพนั้น ถูกท่านพระอุบาลีไต่สวนอยู่ จึงแจ้งเรื่องนั้น. 
   ท่านพระอุบาลีได้แจ้งให้พวกภิกษุทราบแล้ว. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ คนฆ่ามารดา ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
เรื่องห้ามคนฆ่าบิดามิให้อุปสมบท
   [๑๒๙] ก็โดยสมัยนั้นแล มาณพผู้หนึ่งปลงชีวิตบิดาเสีย. เขาอึดอัด ระอา รังเกียจบาปกรรมอันนั้น และได้มีความดำริว่า ด้วยวิธีอะไรหนอ
   เราจึงจะทำการออกจากบาปกรรมอันนี้ได้ จึงหวนระลึกนึกขึ้นได้ว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ เป็นผู้ประพฤติธรรม ประพฤติสงบ ประพฤติพรหมจรรย์ กล่าวแต่คำสัตย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม ถ้าเราจะพึงบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร 
   ด้วยวิธีเช่นนี้ เราก็จะทำการออกจากบาปกรรมอันนี้ได้. ต่อมา เขาเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายแล้วขอบรรพชา.
   ภิกษุทั้งหลายได้แจ้งความนี้ต่อท่านพระอุบาลีว่า อาวุโสอุบาลี เมื่อครั้งก่อนแล นาคแปลงกายเป็นชายหนุ่มเข้ามาบวชในสำนักภิกษุ อาวุโสอุบาลี นิมนต์ท่านไต่สวนมาณพคนนี้.
   ครั้นมาณพนั้น ถูกท่านพระอุบาลีไต่สวนอยู่ จึงแจ้งเรื่องนั้น. ท่านพระอุบาลีได้แจ้งให้พวกภิกษุทราบแล้ว.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ คนฆ่าบิดาภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
เรื่องห้ามคนฆ่าพระอรหันขมิให้อุปสมบท
   [๑๓๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกัน เดินทางไกล จากเมืองสาเกตไปพระนครสาวัตถี. ในระหว่างทาง พวกโจรพากันยกพวกออกมา แย่งชิงภิกษุบางพวก ฆ่าภิกษุบางพวก. เจ้าหน้าที่ยกออกไปจากพระนครสาวัตถี แล้วจับโจรได้เป็นบางพวก.
   บางพวกหลบหนีไปได้. พวกที่หลบหนีไป ได้บวชในสำนักภิกษุ. พวกที่ถูกจับได้ เจ้าหน้าที่กำลังนำไปฆ่า.
   พวกโจรที่บวชแล้วเหล่านั้นได้เห็นโจรพวกนั้นกำลังถูกนำไปฆ่า ครั้นแล้วจึงพูดอย่างนี้ว่า เคราะห์ดีพวกเราพากันหนีรอดมาได้ ถ้าวันนั้นถูกจับ จะต้องถูกเขาฆ่าเช่นนี้เหมือนกัน.
   ภิกษุทั้งหลายพากันถามว่า อาวุโสทั้งหลาย ก็พวกท่านได้ทำอะไรไว้? จึงบรรพชิตเหล่านั้นได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.
   ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกนั้นเป็นอรหันต์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบันคือคนฆ่าพระอรหันต์ ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
เรื่องห้ามอุปสมบทคนประทุษร้ายภิกษุณี เป็นต้น
   [๑๓๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุณีหลายรูป เดินทางไกลจากเมืองสาเกตไปพระนครสาวัตถี. ในระหว่างทาง พวกโจรพากันยกออกมา แย่งชิงภิกษุณีบางพวก ทำร้ายภิกษุณีบางพวก.
   เจ้าหน้าที่ยกออกไปจากพระนครสาวัตถี แล้วจับโจรได้เป็นบางพวก. บางพวกหลบหนีไปได้. พวกที่หลบหนีไป ได้บวชในสำนักภิกษุ. พวกที่ถูกจับได้เจ้าหน้าที่กำลังนำไปฆ่า. พวกโจรที่บวชแล้วเหล่านั้น ได้เห็นโจรพวกนั้นกำลังถูกนำไปฆ่า
   ครั้นแล้วจึงพูดอย่างนี้ว่า เคราะห์ดี พวกเราพากันหนีรอดมาได้ ถ้าวันนั้นถูกจับ จะต้องถูกเขาฆ่าเช่นนี้เหมือนกัน. ภิกษุทั้งหลายพากันถามว่าอาวุโสทั้งหลาย ก็พวกท่านได้ทำอะไรไว้. จึงบรรพชิตเหล่านั้นได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือคนประทุษร้ายภิกษุณี ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือคนผู้ทำสังฆเภท ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือคนทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงห้อพระโลหิต ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.
เรื่องห้ามอุปสมบทอุภโตพยัญชนก
   [๑๓๒] ก็โดยสมัยนั้นแล อุภโตพยัญชนกคนหนึ่งได้บวชในสำนักภิกษุ. เธอเสพเมถุนธรรมในสตรีทั้งหลาย ด้วยปุริสนิมิตของตนบ้าง ให้บุรุษอื่นเสพเมถุนธรรมในอิตถีนิมิต
ของตนบ้าง.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ อุภโตพยัญชนก ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๑สามหาขันธกะ
เรื่อง ห้ามคนฆ่ามารดามิให้อุปสมบท เป็นต้น
 อรรถกถามาตุฆาตกาทิวัตถุ
พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องบุคคลผู้ฆ่ามารดาเป็นต้นต่อไป :- 
   สองบทว่า นิกฺขนฺตึ กเรยฺยํ มีความว่า เราพึงกระทำความออก คือความหลีกไป ความชำระสะสาง. 
ในคำว่า มาตุฆาตโก ภิกฺขเว นี้ มีวินิจฉัยว่า 
   มารดาผู้ให้เกิดซึ่งเป็นหญิงมนุษย์ อันบุคคลใดแม้ตนเองก็เป็นชาติมนุษย์เหมือนกันแกล้งปลงเสียจากชีวิต บุคคลนี้เป็นผู้ฆ่ามารดาด้วยอนันตริยมาตุฆาตกรรม. บรรพชาและอุปสมบทแห่งบุคคลนั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว. 
     ส่วนมารดาผู้เลี้ยงดูก็ดี ป้าก็ดี น้าก็ดี ซึ่งมิใช่ผู้ให้เกิด แม้เป็นหญิงมนุษย์ หรือมารดาผู้ให้เกิดแต่มิใช่หญิงมนุษย์ อันบุคคลใดฆ่าแล้ว บรรพชาของบุคคลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงห้าม และเขาไม่เป็นผู้มีอนันตริยกรรม. 
 มารดาผู้เป็นหญิงมนุษย์ อันบุคคลใดซึ่งตนเองเป็นสัตว์ดิรัจฉานฆ่าแล้ว แม้บุคคลนั้นย่อมไม่เป็นผู้มีอนันตริยกรรม. ส่วนบรรพชาของเขาเป็นอันทรงห้ามด้วย เพราะข้อที่เขาเป็นสัตว์ดิรัจฉาน.
คำที่เหลือเป็นคำตื้นทั้งนั้น. 
แม้ในบุคคลผู้ฆ่าบิดา ก็นัยนี้แล. 
   ก็ถ้าแม้บุรุษเป็นลูกหญิงแพศยา ไม่ทราบว่า ผู้นี้เป็นบิดาของเรา เขาเกิดด้วยน้ำสมภพของชายใด และชายนั้นอันเขาฆ่าแล้วย่อมถึงความนับว่าเป็นผู้ฆ่าบิดาเหมือนกัน ย่อมถูกอนันตริยกรรมด้วย. แม้บุคคลผู้ฆ่าพระอรหันต์ พึงทราบด้วยอำนาจพระอรหันต์ผู้เป็นมนุษย์เหมือนกัน. 
วินิจฉัยในอรหันตฆาตกวัตถุนี้ พึงทราบดังนี้ว่า 
      อันบุคคลเมื่อแกล้งปลงพระขีณาสพผู้เป็นชาติมนุษย์ โดยที่สุดแม้ไม่ใช่บรรพชิตเป็นทารกก็ตาม เป็นทาริกาก็ตาม จากชีวิต, ย่อมเป็นผู้ชื่อว่าพระอรหันต์แท้ ย่อมถูกอนันตริยกรรมด้วย และบรรพชาของผู้นั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้าม. 
 ส่วนบุคคลฆ่าพระอรหันต์ซึ่งมิใช่ชาติมนุษย์ หรือพระอริยบุคคลที่เหลือซึ่งเป็นชาติมนุษย์ ยังไม่เป็นผู้มีอนันตริยกรรม แม้บรรพชาของเขา ก็ไม่ทรงห้าม. แต่ว่า กรรมเป็นของรุนแรง. ดิรัจฉานแม้ฆ่าพระอรหันต์ซึ่งเป็นชาติมนุษย์ ก็ไม่เป็นผู้มีอนันตริยกรรม แต่ว่า เป็นกรรมอันหนัก. 
   หลายบทว่า เต วธาย โอนียนฺติ มีความว่า โจรเหล่านั้นอันพวกราชบุรุษย่อมนำไป เพื่อประโยชน์แก่การฆ่า. อธิบายว่า นำไปเพื่อประหารชีวิต. 
   ก็คำใดที่พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ในบาลีว่า สจา จ มยํ ความแห่งคำนั้นเท่านี้เองว่า สเจ มยํ. จริงอยู่ ในพระบาลีนี้ ท่านกล่าวนิบาตนี้ว่า สจา จ ในเมื่อนิบาตว่า สเจ อันท่านพึงกล่าว. 
   อีกอย่างหนึ่งปาฐะว่า สเจ จ ก็มี. ใน ๒ ศัพท์นั้น ศัพท์ว่า สเจเป็นสัมภาวนัตถนิบาต. ศัพท์ว่า  เป็นนิบาตใช้ในอรรถมาตรว่าเป็นเครื่องทำบทให้เต็ม. ปาฐะว่า สจชฺช มยํ บ้าง ความแห่งปาฐะนั้นว่า สเจ อชฺช มยํ.
               อรรถกถามาตุฆาตกาทิวัตถุ จบ

เรื่อง ห้ามอุปสมบทคนประทุษร้ายภิกษุณี เป็นต้น
อรรถกถาภิกขุนีทุสกาทวัตถุ
พึงทราบวินิจฉัยในคำนี้ว่า ภิกฺขุนีทูสโก ภิกฺขเว เป็นต้นดังนี้ :- 
   บุรุษใดประทุษร้ายนางภิกษุณีผู้มีตนเป็นปกติ ในบรรดามรรค ๓ มรรคใดมรรคหนึ่ง บุรุษนี้ชื่อภิกขุนีทูสกะ. บรรพชาและอุปสมบทของบุรุษนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว.
   ฝ่ายบุรุษใดยังนางภิกษุณีให้ถึงศีลพินาศ กายสังสัคคะ บรรพชาและอุปสมบทแห่งบุรุษนั้นไม่ทรงห้าม. แม้บุรุษผู้ทำนางภิกษุณีให้นุ่งผ้าขาวแล้ว ประทุษร้ายนางผู้ไม่ยินยอมเลยทีเดียวด้วยพลการ ชื่อภิกขุนีทูสกะแท้.
   ฝ่ายบุรุษผู้นำนางภิกษุณีให้นุ่งขาวด้วยพลการแล้ว ประทุษร้ายนางผู้ยินยอมอยู่ ไม่เป็นผู้ชื่อภิกขุนีทูสกะ. 
   ถามว่า เพราะเหตุไร? 
   แก้ว่า เพราะนางภิกษุณีนั้นย่อมเป็นผู้มิใช่นางภิกษุณี ในเมื่อความเป็นคฤหัสถ์มาตรว่าอันตนยอมรับทีเดียว. 
   ส่วนบุรุษผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณีผู้เสียศีลแล้วคราวเดียว ในภายหลังและปฏิบัติผิดในนางสิกขมานาและสามเณรีทั้งหลาย ไม่จัดว่าภิกขุนีทูสกะเหมือนกัน; ย่อมได้ทั้งบรรพชา ทั้งอุปสมบท. 
   ในคำว่า สงฺฆเภทโก ภิกฺขเว เป็นต้นนี้ มีวินิจฉัยว่า 
   ผู้ใดทำพระศาสนาให้เป็นของนอกธรรมนอกวินัย ทำลายสงฆ์ด้วยอำนาจแห่งกรรม ๔ อย่างใดอย่างหนึ่ง เหมือนพระเทวทัต, ผู้นี้ชื่อสังฆเภทกะ ผู้ทำลายสงฆ์ บรรพชาและอุปสมบทแห่งบุคคลนั้นทรงห้าม. 
พึงทราบวินิจฉัยแม้ในคำนี้ว่า โลหิตุปฺปาทโก ภิกฺขเว เป็นต้นดังนี้ :- 
   ผู้ใดมีจิตประทุษร้ายคิดฆ่า ยังพระโลหิตในพระสรีระซึ่งยังเป็นอยู่ของพระตถาคตเจ้า แม้พอที่แมลงวันเล็กๆ จะดื่มได้ให้ห้อขึ้นเหมือนพระเทวทัต ผู้นี้ชื่อผู้ทำโลหิตุปบาท. บรรพชาและอุปสมบทแห่งบุคคลนั้นทรงห้าม. 
   ส่วนผู้ใดใช้มีดผ่าตัดเอาเนื้อเสียและโลหิตออกทำให้ทรงสำราญเหมือนหมอชีวกได้ทำเพื่อให้พระโรคสงบไป ผู้นั้นย่อมประสบบุญมากฉะนี้.
อรรถกถาภิกขุนีทูสกาทิวัตถุ จบ.

เรื่อง ห้ามอุปสมบทอุภโตพยัญชนก
อรรถกถาอุภโตพยัญชนกวัตถุ
   บทว่า อุภโตพฺยญฺชนโก มีอรรถวิเคราะห์ว่า นิมิตเครื่องปรากฏที่ตั้งขึ้นโดยกรรม ๒ อย่าง คือโดยกรรมเป็นเหตุยังอิตถีนิมิตให้เกิดขึ้น ๑ โดยกรรมเป็นเหตุยังปุริสนิมิตให้เกิดขึ้น ๑ ของบุคคลนั้นมีอยู่ เหตุนั้น เขาชื่ออุภโตพยัญชนก. 
   บทว่า กโรติ มีความว่า ย่อมทำตนเองด้วยความละเมิดด้วยอำนาจเมถุนในสตรีทั้งหลาย ด้วยปุริสนิมิต. 
   บทว่า การาเปติ มีความว่า ย่อมชวนบุรุษอื่นให้ทำความละเมิดด้วยอำนาจเมถุน ในอิตถีนิมิตของตน. อุภโตพยัญชนกนั้นมี ๒ ชนิด คือสตรีอุภโตพยัญชนก ๑. บุรุษอุภโตพยัญชนก ๑. 
   ใน ๒ ชนิดนั้น อิตถีนิมิตของสตรีอุภโตพยัญชนกปรากฏ ปุริสนิมิตเป็นของลี้ลับ. ปุริสนิมิตของบุรุษอุภโตพยัญชนกปรากฏ อิตถีนิมิตเป็นของลี้ลับ.
   เมื่อสตรีอุภโตพยัญชนกทำหน้าที่
   ของบุรุษในสตรีทั้งหลาย อิตถีนิมิตย่อมเป็นของลี้ลับ ปุริสนิมิตปรากฏ. เมื่อบุรุษอุภโตพยัญชนกเข้าถึงความเป็นสตรีสำหรับพวกบุรุษ ปุริสนิมิตเป็นของลี้ลับ อิตถีนิมิตปรากฏ. 
   เหตุซึ่งทำให้ต่างกันแห่งอุภโตพยัญชนก ๒ ชนิดนั้นดังนี้ คือสตรีอุภโตพยัญชนกมีครรภ์เองด้วย, ให้สตรีอื่นมีครรภ์ได้ด้วย. ส่วนบุรุษอุภโตพยัญชนกมีครรภ์เองไม่ได้ แต่ให้สตรีอื่นมีครรภ์ได้. 
       แต่ในอรรถกถากุรุนทีท่านแก้ว่า 
   ถ้าเพศชายเกิดในกำเนิดคือปฏิสนธิกาล เพศหญิงย่อมเกิดต่อเมื่อความกำหนัดในบุรุษเป็นไป.๑- ถ้าเพศหญิงเกิดในกำเนิดคือปฏิสนธิกาล เพศชายย่อมเกิดต่อเมื่อความกำหนัดในสตรีเป็นไป.๑- 
   ลำดับแห่งวิจารณ์ในความเกิดแห่ง ๒ เพศนั้น บัณฑิตพึงทราบพิสดารในอรรถกถาธรรมสังคหะชื่ออัฏฐสาลินี.๒- 
   ส่วนในบรรพชาธิการนี้ พึงทราบสันนิษฐานแม้นี้ว่า บรรพชาอุปสมบทแห่งอุภโตพยัญชนกทั้ง ๒ ชนิดนี้ ไม่มีเลย. 
๑- ปวตฺเต น่าจะหมายความว่า ในปวัตติกาล
๒- อฏฺฐาสาลินี. ๔๖๗-๔๗๐.
อรรถกถาอุภโตพยัญชนกวัตถุ จบ.

ไม่มีความคิดเห็น: