Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปาจิตตีย์.อันธการวรรค แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปาจิตตีย์.อันธการวรรค แสดงบทความทั้งหมด

12 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ เรื่องภิกษุณีจัณฑกาลี

 [๒๑๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุณีจัณฑกาลีทะเลาะกับภิกษุณีทั้งหลาย แล้วร้องไห้ประหารตนเอง.    บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าจัณฑกาลีจึงได้พร่ำตีตนแล้วร้องไห้เล่า. 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีจัณฑกาลีพร่ำตีตนแล้วร้องไห้ จริงหรือ? 
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจัณฑกาลีจึงได้พร่ำตีตนแล้วร้องไห้เล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

    ๗๕. ๑๐. อนึ่ง ภิกษุณีใด พร่ำตีตนแล้วร้องไห้ เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีจัณฑกาลี จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

       [๒๑๘] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
       บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
       บทว่า ตน คือ ร่างกายของตน. พร่ำตี แล้วร้องไห้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ตี ไม่ร้องไห้ ต้องอาบัติทุกกฏ. 
ร้องไห้ ไม่ตี ต้องอาบัติทุกกฏ 

อนาปัตติวาร

    [๒๑๙] อันความเสื่อมแห่งญาติ อันความวอดวายแห่งโภคะ หรืออันความเบียดเบียนแห่งโรคกระทบกระทั่ง จึงร้องไห้ ไม่ตีตน ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. 
อันธการวรรคสิกขาบทที่ ๑๐ จบ. ปาจิตตีย์วรรค ๒ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลันธการวรรค

สิกขาบทที่ ๑๐

คำทั้งหมดในสิกขาบทที่ ๑๐ ตื้นทั้งนั้น. 
     สิกขาบทนี้มีการทอดธุระเป็นสมุฏฐาน เกิดทางกายวาจาและจิต เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนาแล.
อรรถกถาอันธการวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ
อรรถกถาอันธการวรรคที่ ๒ จบ.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๙ เรื่องภิกษุณีจัณฑกาลี

 [๒๑๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุณีทั้งหลายหาบริขารของตนไม่พบ ต่างก็ถาม ภิกษุณีจัณฑกาลีดังนี้ว่า แม่เจ้า ท่านเห็นบริขารของพวกดิฉันบ้างไหม?  ภิกษุณีจัณฑกาลีเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ข้าพเจ้าคนเดียวเป็นโจรแน่ละ ข้าพเจ้าคนเดียวเป็นคนไม่ละอายแน่ละ เพราะแม่เจ้าพวกที่หาบริขารของตนไม่พบ ต่างก็มากล่าวอย่างนี้ กะ ข้าพเจ้าว่า แม่เจ้า ท่านเห็นบริขารของพวกดิฉันบ้างไหม แม่เจ้าทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้าถือเอาบริขารของพวกท่านไป ข้าพเจ้าก็มิใช่สมณะ ย่อมเคลื่อนจากพรหมจรรย์ ต้องตกนรก แม้แม่เจ้าที่กล่าวอย่างนั้นกะข้าพเจ้าด้วยคำไม่จริง ก็ขอให้เป็นไม่ใช่สมณะ ต้องเคลื่อนจากพรหมจรรย์ต้องตกนรก. บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าจัณฑกาลีจึงได้แช่งตนและคนอื่นด้วยนรกบ้าง ด้วยพรหมจรรย์บ้างเล่า 

ทรงสอบถาม

               พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีจัณฑกาลีแช่งตนและคนอื่น ด้วยนรกบ้าง ด้วยพรหมจรรย์บ้าง จริงหรือ? 
               ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจัณฑกาลีจึงได้แช่งตนและคนอื่น ด้วยนรกบ้าง ด้วยพรหมจรรย์บ้างเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความ เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

     ๗๔. ๙. อนึ่ง ภิกษุณีใด แช่งตนก็ดี คนอื่นก็ดี ด้วยนรก หรือด้วยพรหมจรรย์เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีจัณฑกาลี จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

               [๒๑๔] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
               บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
               บทว่า ตน คือ ตัวของตัวเอง. 
               บทว่า คนอื่น ได้แก่ อุปสัมบัน แช่ง ด้วยคำว่านรกก็ดี ด้วยคำว่า พรหมจรรย์ก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

               [๒๑๕] อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน แช่งด้วยนรกก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               อุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย แช่งด้วยนรกก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน แช่งด้วยนรกก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

ปัญจกะทุกกฎ

               ภิกษุณีแช่งด้วยคำว่ากำเนิดสัตว์ดิรัจฉานก็ดี ด้วยคำว่าเปรตวิสัยก็ดี ด้วยคำว่าเป็นคนโชคร้ายก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               แช่งอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               อนุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

 อนาปัตติวาร

    [๒๑๖] มุ่งอรรถ ๑ มุ่งธรรม ๑ มุ่งสั่งสอน ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลันธการวรรค

สิกขาบทที่ ๙

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๙ พึงทราบดังนี้ :-
บทว่า อภิสเปยฺย ได้แก่ พึงทำการสบถ. 
                อธิบายว่า ที่ชื่อว่าแช่งด้วยนรก ได้แก่ ด่าทอ ปริภาษ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ขอให้เราเกิดในนรก เกิดในอเวจีเถิด ขอให้ผู้ขโมย จงเกิดในนรก เกิดในอเวจีเถิด. 
                ที่ชื่อว่า แช่งด้วยพรหมจรรย์ ได้แก่ ด่าทอ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ขอให้เราจงเป็นคฤหัสถ์ เป็นผู้นุ่งผ้าขาว เป็นปริพาชิกาเถิด. หรือภิกษุณีนอกนี้ จงเป็นเช่นนี้เถิด. เป็นปาจิตตีย์ทุกๆ คำพูด 
                แต่เมื่อด่าโดยนัยเป็นต้นว่า ขอให้เราเป็นนางสุนัข เป็นนางสุกร เป็นคนตาบอด เป็นคนง่อยเถิด. เว้นนรกและและพรหมจรรย์เสีย เป็นทุกกฏทุกๆ คำพูด. 
                บทว่า อตฺถปุเรกฺขาราย คือ ผู้กล่าวอรรถกถา. 
                บทว่า ธมฺมปุเรกฺขาราย คือ ผู้สอนบอกบาลี. 
                บทว่าอนุสาสนีปุเรกฺขาราย มีความว่า เมื่อตั้งอยู่ในอนุสาสนีกล่าวสอนอย่างนี้ว่า แม้บัดนี้ ท่านยังเป็นเช่นนี้ ดีละท่านจงงดเว้น ถ้าท่านไม่งดเว้น จักทำกรรมเห็นปานนี้อีก ก็จักเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานแน่นอน ไม่เป็นอาบัติ.
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
                สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนาแล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๘ เรื่องภิกษุณีอันเตวาสินีของพระภัททากาปิลานีเถรี

 [๒๐๙] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี  ครั้งนั้น ภิกษุณีอันเตวาสินีของพระภัททากาปิลานีเถรี ย่อมตั้งใจปฏิบัติพระภัททากาปิลานีเถรีๆ จึงได้กล่าวคำนี้กะภิกษุณีทั้งหลายว่า แม่เจ้าทั้งหลาย ภิกษุณีรูปนี้ปฏิบัติข้าพเจ้าโดยเคารพ ข้าพเจ้าจักให้จีวรแก่ภิกษุณีรูปนี้ แต่ภิกษุณีรูปนั้นให้ภิกษุณีอื่นโพนทะนาโดยให้เชื่อถือผิดว่า เข้าใจผิดว่า แม่เจ้า ข่าวว่า ดิฉันมิได้ปฏิบัติแม่เจ้าโดยเคารพ ข่าวว่าแม่เจ้าจักไม่ให้จีวรแก่ดิฉัน ดังนี้. บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีจึงได้ให้ภิกษุณีอื่นโพนทะนาโดยให้เชื่อถือผิด เข้าใจผิดเล่า 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีให้ภิกษุณีอื่นโพนทะนา โดยให้เชื่อถือผิด เข้าใจผิด จริงหรือ? 
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจึงได้ให้ภิกษุณีอื่นโพนทะนาโดยให้เชื่อถือผิด เข้าใจผิดเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

    ๗๓. ๘. อนึ่ง ภิกษุณีใด ให้คนอื่นโพนทะนา โดยให้เชื่อผิด เข้าใจผิด เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีอันเตวาสินีของพระภัททากาปิลานีเถรี จบ.

สิกขาบทวิภังค์

    [๒๑๐] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด &@ บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
    บทว่า โดยให้เชื่อผิด คือ โดยให้เชื่อเป็นอย่างอื่น. 
    บทว่า เข้าใจผิด คือ ให้เข้าใจเป็นอย่างอื่น. 
    บทว่า คนอื่น ได้แก่ อุปสัมบัน ให้อุปสัมบันโพนทะนา ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

    [๒๑๑] อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน ให้โพนทะนา ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    อุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย ให้โพนทะนา ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    อุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่า อนุปสัมบัน ให้โพนทะนา ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

จตุกกะทุกกฎ

   ภิกษุณีให้อนุปสัมบันโพนทะนา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
   อนุปสัมบัน ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. 
   อนุปสัมบัน ภิกษุณีสำคัญว่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

อนาปัตติวาร

    [๒๑๒] วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลันธการวรรค

สิกขาบทที่ ๘

คำทั้งหมดในสิกขาบทที่ ๘ ตื้นทั้งนั้น. 
     สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนาแล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๗ เรื่องภิกษุณีหลายรูป

 [๒๐๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุณีหลายรูปพากันไปสู่พระนครสาวัตถีในโกศลชนบท พอเข้าถึงบ้านหมู่หนึ่งในเวลาเย็นได้เข้าสู่สกุลพราหมณ์สกุลหนึ่ง ขอที่พักแรม. จึงพราหมณีได้กล่าวคำนี้กะภิกษุณีเหล่านั้นว่า แม่เจ้าทั้งหลาย ขอได้โปรดรอจนกว่าท่านพราหมณ์จะมา.  ภิกษุณีทั้งหลายกล่าวว่า จนกว่าท่านพราหมณ์จะมา ดังนี้ แล้วได้จัดปูลาดเครื่องสำหรับนอน แล้วบ้างพวกนั่ง บางพวกนอน. 
                ตกค่ำพราหมณ์มาเห็นแล้วได้ถามพราหมณีนั้นว่า สตรีเหล่านี้คือใครกัน? 
                พราหมณี ตอบว่า ภิกษุณีเจ้าค่ะ. 
                พราหมณ์กล่าวว่า จงขับไล่ไป สตรีศีรษะโล้นเหล่านี้เป็นหญิงเสเพล ดังนี้ แล้วให้ขับไล่ออกจากเรือนไป. 
                ครั้นภิกษุณีเหล่านั้นไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ได้เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย. บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้เข้าสู่สกุลในเวลาวิกาล แล้วไม่บอกเจ้าของบ้าน ปูลาดเองบ้างให้ผู้อื่นปูลาดบ้าง ซึ่งเครื่องนอน แล้วนั่งบ้าง นอนบ้างเล่า 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีทั้งหลายเข้าสู่สกุลในเวลาวิกาล แล้วไม่บอกพวกเจ้าของบ้าน ปูลาดเองบ้าง ให้ผู้อื่นปูลาดบ้าง ซึ่งเครื่องนอน แล้วนั่งบ้าง นอนบ้าง จริงหรือ?
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้เข้าสู่สกุลในเวลาวิกาล แล้วไม่บอกพวกเจ้าของบ้าน ลาดเองบ้าง ให้ผู้อื่นลาดบ้าง ซึ่งเครื่องนอนแล้วนั่งบ้าง นอนบ้างเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

     ๗๒. ๗. อนึ่ง ภิกษุณีใด เข้าไปสู่สกุลทั้งหลาย ในเวลาวิกาล ไม่บอกพวกเจ้าของบ้าน ลาดก็ดี ให้ลาดก็ดี ซึ่งเครื่องนอน แล้วนั่งก็ดี นอนก็ดี เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

                [๒๐๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
                บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้. ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
                ที่ชื่อว่า เวลาวิกาล ได้แก่ เวลาตั้งแต่อาทิตย์อัสดงคตตราบเท่าถึงอรุณขึ้น. 
                ที่ชื่อว่า สกุล ได้แก่ สกุล ๔ คือ สกุลกษัตริย์ สกุลพราหมณ์ สกุลแพศย์ สกุลศูทร์. 
                บทว่า เข้าไป คือ ไปในสกุลนั้น.
                คำว่า ไม่บอกพวกเจ้าของบ้าน คือ ไม่บอกคนในสกุลนั้นซึ่งเป็นเจ้าของถวาย. 
                ที่ชื่อว่า เครื่องนอน ได้แก่ เครื่องปูลาด โดยที่สุดแม้เครื่องลาดที่ทำด้วยใบไม้. 
                บทว่า ลาด คือ ลาดเอง. 
                บทว่า ให้ลาด คือ ใช้คนอื่นลาด. 
                บทว่า นั่ง คือ นั่งบนเครื่องนอนที่ลาดนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
                บทว่า นอน คือ นอนบนเครื่องนอนที่ลาดนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

   [๒๐๗] มิได้บอกเจ้าของ ภิกษุณีสำคัญว่ามิได้บอก ลาดก็ดี ให้ลาดก็ดี ซึ่งเครื่องนอนแล้วนั่งหรือนอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    มิได้บอกเจ้าของ ภิกษุณีสงสัย ลาดก็ดี ให้ลาดก็ดี ซึ่งเครื่องนอน แล้วนั่งหรือนอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ 
    มิได้บอกเจ้าของ ภิกษุณีสำคัญว่าบอกแล้ว ลาดก็ดี ให้ลาดก็ดี ซึ่งเครื่องนอน แล้วนั่งหรือนอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

ทุกะทุกกฎ

      บอกเจ้าของแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่ามิได้บอก ต้องอาบัติทุกกฏ.  บอกเจ้าของแล้ว ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.

ไม่ต้องอาบัติ

    บอกเจ้าของแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่าบอกแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.

อนาปัตติวาร

    [๒๐๘] ภิกษุณีบอกเจ้าของแล้ว ลาดก็ดี ให้ลาดก็ดี ซึ่งเครื่องนอน แล้วนั่งหรือนอน ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๖ เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา

 [๒๐๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุณีถุลลนันทา เข้าไปสู่สกุลในเวลาหลังอาหารแล้วนั่งบ้าง นอนบ้าง บนอาสนะ ไม่บอกกล่าวเจ้าของบ้าน คนในบ้านกระดากภิกษุณีถุลลนันทาไม่กล้านั่ง ไม่กล้านอนบนอาสนะ  เขาจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงได้เข้าไปสู่สกุลในเวลาหลังอาหาร แล้วนั่งบ้าง นอนบ้าง บนอาสนะ ไม่บอกกล่าวเจ้าของบ้าน เล่า ...  ภิกษุณี ทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้น พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่. บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทา จึงได้เข้าไปสู่สกุลในเวลาหลังอาหาร แล้วนั่งบ้าง นอนบ้าง บนอาสนะ ไม่บอกกล่าวเจ้าของบ้านเล่า 

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีถุลลนันทาเข้าไปสู่สกุลในเวลาหลังอาหาร แล้วนั่งบ้าง นอนบ้าง บนอาสนะ ไม่บอกกล่าวเจ้าของบ้านจริงหรือ? 
    ภิกษุณีทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทาจึงได้เข้าไปสู่สกุลในเวลาหลังอาหาร แล้วนั่งบ้าง นอนบ้าง บนอาสนะไม่บอกกล่าวเจ้าของบ้านเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

  ๗๑. ๖. อนึ่ง ภิกษุณีใด เข้าไปสู่สกุลในเวลาหลังอาหารไม่บอกกล่าวพวกเจ้าของบ้าน นั่งก็ดี นอนก็ดี บนอาสนะ เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

    [๒๐๒] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้. ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
    ที่ชื่อว่า เวลาหลังอาหาร ได้แก่เวลาเที่ยงล่วงไปแล้ว ตราบเท่าพระอาทิตย์อัสดงคต. 
    ที่ชื่อว่า สกุล ได้แก่สกุล ๔ คือ สกุลกษัตริย์ สกุลพราหมณ์ สกุลแพศย์ สกุลศูทร์ 
    บทว่า เข้าไป คือ ไปในสกุลนั้น. 
    คำว่า ไม่บอกกล่าวพวกเจ้าของบ้าน คือ ไม่บอกคนในสกุลนั้นซึ่งเป็นเจ้าของถวาย. 
    ที่ชื่อว่า อาสนะ ได้แก่สถานที่เขาเรียกกันว่าแท่นหรือเตียงอันว่าง.     บทว่า นั่ง นั่งลงบนอาสนะนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บทว่า นอน คือ นอนลงบนอาสนะนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

    [๒๐๓] มิได้บอกกล่าว ภิกษุณีสำคัญว่ามิได้บอกกล่าว นั่งก็ดี นอนก็ดี บนอาสนะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    มิได้บอกกล่าว ภิกษุณีสงสัย นั่งก็ดี นอนก็ดี บนอาสนะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    มิได้บอกกล่าวภิกษุณีสำคัญว่าบอกกล่าวแล้ว นั่งก็ดี นอนก็ดี บนอาสนะต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

ติกะทุกกฎ

        นั่ง ณ สถานอันมิใช่แท่นหรือเตียง ต้องอาบัติทุกกฏ. 
       บอกกล่าวแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่ายังมิได้บอกกล่าว ต้องอาบัติทุกกฏ.  บอกกล่าวแล้ว ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ
    บอกกล่าวแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่าบอกกล่าวแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร     [๒๐๔] บอกแล้ว นั่งก็ดี นอนก็ดี บนอาสนะ ๑ บนอาสนะที่เขาปูไว้เป็นประจำ ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลันธการวรรค

สิกขาบทที่ ๖

 วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๖ พึงทราบดังนี้ :-
     บทว่า อภินิสีเทยฺย แปลว่า พึงนั่ง. เมื่อนั่งแล้วลุกไป เป็นอาบัติตัวเดียว. เมื่อไม่นั่ง นอนแล้วไป เป็นอาบัติตัวเดียว. เมื่อนั่งแล้วนอน เป็นอาบัติ ๒ ตัว. 
     บทว่า ธุวปญฺญตฺเต ได้แก่ อาสนะที่เขาปูไว้เป็นประจำ เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุณีทั้งหลาย. 
 คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานเหมือนกับกฐินสิกขาบท มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๕ เรื่องภิกษุณีรูปหนึ่ง

 [๑๙๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุณีรูปหนึ่งเป็นกุลุปิกาของสกุลแห่งหนึ่ง รับภัตตาหารเป็นประจำ จึงภิกษุณีนั้นครั้นเวลาเช้า ครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเดินผ่านเข้าไปทางสกุลนั้น ครั้นถึงจึงนั่งบนอาสนะแล้วไม่บอกลาเจ้าของบ้านกลับไป ทาสีแห่งสกุลนั้นมัวสาละวนเก็บกวาดเรือน ได้เก็บอาสนะนั้นลงในกระโถน คนในบ้านไม่เห็นอาสนะ จึงถามภิกษุณีนั้นว่า ข้าแต่แม่เจ้า อาสนะนั้นอยู่ที่ไหน? 
    ภิกษุณีนั้นปฏิเสธว่า อาวุโส ดิฉันไม่เห็นอาสนะนั้น. 
    คนเหล่านั้นกล่าวคาดคั้นว่า ข้าแต่แม่เจ้า ขอท่านจงให้อาสนะนั้น ดังนี้แล้ว ได้บอกเลิกถวายภัตตาหารประจำ ภายหลังเขาชำระเรือนพบอาสนะนั้นอยู่ในกระโถน จึงขอขมาโทษภิกษุณีนั้นแล้วได้เริ่มต้นถวายภัตตาหารประจำต่อไป. 
    ส่วนภิกษุณีนั้นได้เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย. บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีเข้าสู่สกุลในเวลา ก่อนอาหารนั่งบนอาสนะแล้ว จึงไม่ได้บอกลาเจ้าของบ้านก่อนกลับเล่า

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีเข้าสู่สกุลในเวลาก่อนอาหาร นั่งบนอาสนะแล้ว ไม่บอกลาเจ้าของบ้านก่อนกลับ จริงหรือ?
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีเข้าสู่สกุลในเวลาก่อนอาหาร นั่งบนอาสนะแล้ว จึงได้ไม่บอกลาเจ้าของบ้านก่อนกลับเล่า การกระทำของนางนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

     ๗๐. ๕. อนึ่ง ภิกษุณีใด เข้าไปสู่สกุลทั้งหลาย ในเวลาก่อนอาหาร นั่งบนอาสนะแล้ว ไม่บอกลาเจ้าของบ้าน หลีกไป เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีรูปหนึ่ง จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

    [๑๙๘] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้. ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
    ที่ชื่อว่า เวลาก่อนอาหาร คือเวลาอรุณขึ้นตราบเท่าเที่ยงวัน. 
    ที่ชื่อว่า สกุล ได้แก่สกุล ๔ คือ สกุลกษัตริย์ สกุลพราหมณ์ สกุลแพศย์ สกุลศูทร์. 
    บทว่า เข้าไป คือ ไปในสกุลนั้น.
    ที่ชื่อว่า อาสนะ ได้แก่ เอกเทสที่เขาเรียกกันว่าที่สำหรับนั่งพับพแนงเชิง. 
    บทว่า นั่ง คือ นั่งบนอาสนะนั้น. 
    คำว่า ไม่บอกลาเจ้าของบ้าน หลีกไป ความว่า ไม่อำลาคนในสกุลนั้นซึ่งเป็นเจ้าของถวาย. 
    เดินพ้นชายคา ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ในที่แจ้ง เดินล่วงอุปจาร ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

    [๑๙๙] ยังมิได้บอกลา ภิกษุณีสำคัญว่า ยังมิได้บอกลา หลีกไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    ยังมิได้บอกลา ภิกษุณีสงสัย หลีกไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
    ยังมิได้บอกลา ภิกษุณีสำคัญว่า บอกลาแล้ว หลีกไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

ติกะทุกกฎ

    ไม่ใช่สถานที่สำหรับนั่งพับพแนงเชิง ต้องอาบัติทุกกฏ.     บอกลาแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่า ยังมิได้บอกลา ต้องอาบัติทุกกฏ.     บอกลาแล้ว ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ
    บอกลาแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่าบอกลาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร   [๒๐๐] บอกลาแล้วไป ๑ อาสนะเคลื่อนที่ไม่ได้ ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลันธการวรรค

สิกขาบทที่ ๕

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๕ พึงทราบดังนี้ :- 
     สองบทว่า ฆรํ โสเธนฺตา มีความว่า ได้ยินว่า ชนเหล่านั้นได้มีความปริวิตกนี้ว่า การล่วงละเมิดทางกายทางวาจาบางอย่างของพระเถรีไม่ปรากฏ. พวกเราจงช่วยกันชำระเรือนดูบ้างก่อนเถิด เพราะฉะนั้น พวกเจ้าของบ้าน เมื่อชำระเรือนจึงได้พบอาสนะ. 
     สองบทว่า อโนวสฺสิกํ อติกฺกมนฺติยา มีความว่า ภิกษุณีเมื่อให้เท้าแรกก้าวเลยไป เป็นทุกกฎ. เมื่อให้เท้าที่ ๒ ก้าวเลยไปเป็นปาจิตตีย์. 
     แม้ในการก้าวล่วงอุปจาร ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. 
     บทว่า คิลานาย คือ ไม่อาจจะบอกลา เพราะอาพาธเช่นนั้น. 
     บทว่า อาปาทาสุ มีความว่า ที่เรือนเกิดไฟไหม้ขึ้น หรือถูกพวกโจรปล้น ในอันตรายเห็นปานนี้ ไม่บอกลาหลีกไปเสีย ไม่เป็นอาบัติ. 
 คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น.
     สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจกฐินสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายกับวาจา ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นทั้งกิริยาทั้งอกิริยา เป็นโนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๔ เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา

 [๑๙๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุณีถุลลนันทา ยืนร่วมบ้าง เจรจาร่วมบ้าง กระซิบใกล้หูบ้าง กับบุรุษ หนึ่งต่อหนึ่ง ในถนนบ้าง ในตรอกตันบ้าง ในทางสามแพ่งบ้าง ส่งภิกษุณีผู้เป็นเพื่อนกลับไปบ้าง. บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงได้ยืนร่วมบ้าง เจรจาร่วมบ้าง กระซิบใกล้หูบ้าง กับบุรุษหนึ่งต่อหนึ่ง ในถนนบ้าง ในตรอกตันบ้าง ในทางสามแพร่งบ้าง ส่งภิกษุณีผู้เป็นเพื่อนกลับไปบ้างเล่า.

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีถุลลนันทายืนร่วมบ้าง เจรจาร่วมบ้าง กระซิบใกล้หูบ้าง กับบุรุษหนึ่งต่อหนึ่ง ในถนนบ้าง ในตรอกตันบ้าง ในทางสามแพร่งบ้าง ส่งภิกษุณีผู้เป็นเพื่อนกลับไปบ้าง จริงหรือ?
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทาจึงได้ยืนร่วมบ้าง เจรจาร่วมบ้าง กระซิบใกล้หูบ้าง กับบุรุษหนึ่งต่อหนึ่ง ในถนนบ้าง ในตรอกตันบ้าง ในทางสามแพร่งบ้าง ส่งภิกษุณีผู้เป็นเพื่อนกลับไปบ้างเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 

พระบัญญัติ

     ๖๙. ๔. อนึ่ง ภิกษุณีใด ยืนร่วมก็ดี เจรจาร่วมก็ดี กระซิบใกล้หูก็ดี กับบุรุษหนึ่งต่อหนึ่ง ในถนนก็ดี ในตรอกตันก็ดี ในทางสามแพร่งก็ดี ส่งภิกษุณีผู้เป็นเพื่อนกลับไปก็ดี เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา จบ.

สิกขาบทวิภังค์

      [๑๙๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้. ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
    ที่ชื่อว่า ถนน ได้แก่ ทางเดิน.
    ที่ชื่อว่า ตรอกตัน ได้แก่ ทางที่เข้าทางใดออกทางนั้น.
    ที่ชื่อว่า ทางสามแพร่ง ได้แก่ชุมทางที่เที่ยวเตร่.
    ที่ชื่อว่า บุรุษ ได้แก่ มนุษย์ผู้ชาย มิใช่ยักษ์ผู้ชาย มิใช่เปรตผู้ชาย มิใช่สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ เป็นบุคคลผู้รู้ความ เป็นผู้สามารถจะยืนร่วม เจรจาร่วมได้.
    บทว่า กับ คือด้วยกัน.
    บทว่า หนึ่งต่อหนึ่ง คือ บุรุษผู้หนึ่ง และภิกษุณีอีกรูปหนึ่ง.
    บทว่า ยืนร่วมก็ดี คือ ยืนร่วมในระยะช่วงแขนของบุรุษ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บทว่า เจรจาร่วมก็ดี คือ เจรจาอยู่ในระยะช่วงแขนของบุรุษ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บทว่า กระซิบใกล้หูก็ดี คือ บอกเนื้อความใกล้หูของบุรุษ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    พากย์ว่า ส่งภิกษุณีผู้เป็นเพื่อนกลับไปก็ดี คือ ประสงค์จะประพฤติอนาจาร จึงส่งภิกษุณีผู้เป็นเพื่อนกลับไป ต้องอาบัติทุกกฏ. เมื่อภิกษุณีผู้เป็นเพื่อนละไปใกล้จะพ้นสายตา หรือสุดเสียงสั่ง ต้องอาบัติทุกกฏ. เมื่อภิกษุณีผู้เป็นเพื่อนพ้นไปแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    ยืนร่วม หรือเจรจาร่วม พ้นระยะช่วงแขน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
    ยืนร่วม หรือเจรจาร่วม กับยักษ์ผู้ชาย เปรตผู้ชาย บัณเฑาะก์ หรือสัตว์ดิรัจฉานตัวผู้มีร่างกายคล้ายมนุษย์ ต้องอาบัติทุกกฏ. 

อนาปัตติวาร

 [๑๙๖] มีสตรีผู้รู้ความคนใดคนหนึ่งอยู่เป็นเพื่อน ๑ ไม่เพ่งที่ลับ ยืนร่วมหรือเจรจาร่วม ๑ ส่งใจไปอื่น ยืนร่วมหรือเจรจาร่วม ๑ ไม่ประสงค์จะประพฤติอนาจาร มีกิจจำเป็นจึงส่งภิกษุณีผู้เพื่อนกลับ ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลันธการวรรค

สิกขาบทที่ ๔

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๔พึงทราบดังนี้ :-
    ที่ใกล้หู ท่านเรียกว่า นิกกัณณิกะ. มีคำอธิบายว่า กระซิบที่ใกล้หู
    สองบทว่า สติ กรณีเย มีความว่า มีกิจจำเป็นเพื่อต้องการจะนำสลากภัตเป็นต้นมา หรือเพื่อต้องการจะเก็บงำของที่วางไว้ไม่ดีในวัด.
คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
   สมุฏฐานเป็นต้น เป็นเช่นเดียวกันกับสิกขาบทก่อนทั้งนั้นแล.

11 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๓ เรื่องภิกษุณีอันเตวาสินีของพระภัททากาปิลานีเถรี

 [๑๙๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ญาติผู้ชายของภิกษุณีอันเตวาสีนีแห่งพระภัททากาปิลานีเถรี ได้จากบ้านไปสู่พระนครสาวัตถีด้วยกรณียกิจบางอย่าง ฝ่ายภิกษุณีนั้นทราบแล้วว่า พระผู้มีพระภาคทรงห้ามการยืนร่วม เจรจาร่วม กับบุรุษหนึ่งต่อหนึ่ง ในสถานที่กำบัง จงยืนร่วมบ้าง เจรจาร่วมบ้าง กับบุรุษคนนั้นแหละหนึ่งต่อหนึ่ง ในสถานที่แจ้ง.  บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีจึงได้ ยืนร่วมบ้าง เจรจาร่วมบ้าง กับบุรุษหนึ่งต่อหนึ่ง ในสถานที่แจ้งเล่า.

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณียืนร่วมบ้าง เจรจาร่วมบ้าง กับบุรุษหนึ่งต่อหนึ่ง ในสถานที่แจ้ง จริงหรือ?
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจึงได้ยืนร่วมบ้าง เจรจาร่วมบ้าง กับบุรุษหนึ่งต่อหนึ่ง ในสถานที่แจ้งเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

     ๖๘. ๓. อนึ่ง ภิกษุณีใด กับบุรุษหนึ่งต่อหนึ่ง ยืนร่วมก็ดี เจรจาร่วมก็ดี ในสถานที่แจ้ง เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีอันเตวาสินีของพระภัททากาปิลานีเถรี จบ.

สิกขาบทวิภังค์

    [๑๙๒] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้. ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
    ที่ชื่อว่า สถานที่แจ้ง ได้แก่ สถานที่อันมิได้กำบังด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่งคือ ฝา บานประตูลำแพน ม่าน ต้นไม้ เสา หรือฉางข้าว.
    ที่ชื่อว่า บุรุษ ได้แก่ มนุษย์ผู้ชาย มิใช่ยักษ์ผู้ชาย มิใช่เปรตผู้ชาย มิใช่สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ เป็นบุคคลผู้รู้ความ เป็นผู้สามารถจะยืนร่วม เจรจาร่วมได้.
    บทว่า กับ คือ ด้วยกัน.
    บทว่า หนึ่งต่อหนึ่ง คือ บุรุษผู้หนึ่ง และภิกษุณีรูปหนึ่ง.
    บทว่า ยืนร่วมก็ดี คือ ยืนอยู่ในระยะช่วงแขนของบุรุษ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บทว่า เจรจาร่วมก็ดี คือ เจรจาอยู่ในระยะช่วงแขนของบุรุษ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    ยืนร่วมหรือเจรจาร่วม พ้นระยะช่วงแขน ต้องอาบัติทุกกฏ.
    ยืนร่วมหรือเจรจาร่วม กับยักษ์ผู้ชาย บัณเฑาะก์ หรือสัตว์ดิรัจฉานตัวผู้มีร่างกายคล้ายมนุษย์ ต้องอาบัติทุกกฏ.
 อนาปัตติวาร
 [๑๙๓] มีสตรีผู้รู้ความคนใดคนหนึ่งอยู่เป็นเพื่อน ๑ ไม่เพ่งที่ลับ ยืนร่วมหรือเจรจาร่วม ๑ ส่งใจไปอื่น ยืนร่วมหรือเจรจาร่วม ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑๐ ไม่ต้องอาบัติแล. อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลันธการวรรค

สิกขาบทที่ ๓

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๓ พึงทราบดังนี้ :-
     คำว่า อชฺโฌกาเส (ในสถานที่แจ้ง) ต่างกัน.
    คำที่เหลือทั้งหมดเป็นเช่นนั้นนั่นแล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๒ เรื่องภิกษุณีอันเตวาสีนีของพระภัททากาปิลานีเถรี

 [๑๘๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ญาติผู้ชายของภิกษุณีอันเตวาสินีแห่งภัททากาปิลานีเถรีได้จากบ้านไปสู่พระนครสาวัตถีด้วยกรณียกิจบางอย่าง. ฝ่ายภิกษุณีนั้นทราบแล้วว่า พระผู้มีพระภาคทรงห้ามการยืนร่วม เจรจาร่วม กับบุรุษหนึ่งต่อหนึ่ง ในเวลาค่ำมืด ไม่มีประทีป จึงยืนร่วมบ้าง เจรจาร่วมบ้าง กับบุรุษผู้นั้นและหนึ่งต่อหนึ่ง ในสถานที่กำบัง. บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีจึงได้ยืนร่วมบ้าง เจรจาร่วมบ้าง กับบุรุษหนึ่งต่อหนึ่ง ในสถานที่กำบังเล่า.

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณียืนร่วมบ้าง เจรจาร่วมบ้าง กับบุรุษหนึ่งต่อหนึ่ง ในสถานที่กำบัง จริงหรือ?
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีจึงได้ยืนร่วมบ้าง เจรจาร่วมบ้าง กับบุรุษหนึ่งต่อหนึ่ง ในสถานที่กำบังเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

     ๖๗. ๒. อนึ่ง ภิกษุณีใด กับบุรุษหนึ่งต่อหนึ่ง ยืนร่วมก็ดี เจรจาร่วมก็ดี ในสถานที่กำบัง เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีอันเตวาสินีของพระภัททากาปิลานีเถรี จบ.

สิกขาบทวิภังค์

     [๑๘๙] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่าผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้. ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
    ที่ชื่อว่า สถานที่กำบัง ได้แก่ สถานที่ที่เขาบังด้วยฝา บานประตู ลำแพน ม่าน ต้นไม้เสา หรือฉางข้าว อย่างใดอย่างหนึ่ง.
    ที่ชื่อว่า บุรุษ ได้แก่ มนุษย์ผู้ชาย มิใช่ยักษ์ผู้ชาย มิใช่เปรตผู้ชาย มิใช่สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ เป็นบุคคลผู้รู้ความ เป็นผู้สามารถ จะยืนร่วม เจรจาร่วมได้.
    บทว่า กับ คือ ด้วยกัน.
    คำว่า หนึ่งต่อหนึ่ง คือ บุรุษผู้หนึ่ง และภิกษุณีรูปหนึ่ง
    บทว่า ยืนร่วมก็ดี คือ ยืนอยู่ในระยะช่วงแขนของบุรุษ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บทว่า เจรจาร่วมกันก็ดี คือ เจรจาในระยะช่วงแขนของบุรุษ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    ยืนร่วมหรือเจรจาร่วม พ้นช่วงระยะแขน ต้องอาบัติทุกกฏ.
    ยืนร่วมหรือเจรจาร่วมกับยักษ์ผู้ชาย เปรตผู้ชาย บัณเฑาะก์ หรือสัตว์ดิรัจฉานตัวผู้มีร่างกายคล้ายมนุษย์ ต้องอาบัติทุกกฏ. 

อนาปัตติวาร

 [๑๙๐] มีสตรีผู้รู้ความคนใดคนหนึ่งอยู่เป็นเพื่อน ๑ ไม่เพ่งที่ลับยืนร่วมหรือเจรจาร่วม ๑ ส่งใจไปอื่น ยืนร่วมหรือเจรจาร่วม ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลันธการวรรค

สิกขาบทที่ ๒

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๒ พึงทราบดังนี้ :-
    เฉพาะคำว่า ปฏิจฺฉนฺเน โอกาเส (สถานที่กำบัง) นี้เท่านั้นต่างกัน.    บทที่เหลือทั้งหมด เป็นอันเดียวกับสิกขาบทก่อนนั่นแล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตตีย์ อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๑ เรื่องภิกษุณีอันเตวาสินีของพระภัททากาปิลานีเถรี

 [๑๘๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดีเขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ญาติผู้ชายของภิกษุณี อันเตวาสินีแห่งพระภัททากาปิลานีเถรี ได้จากบ้านไปสู่พระนครสาวัตถีด้วยกรณียกิจบางอย่าง. ฝ่ายภิกษุณีนั้นกับญาติผู้ชายนั้นหนึ่งต่อหนึ่ง ยืนร่วมบ้าง เจรจาร่วมบ้าง ในเวลาค่ำมืด ไม่มีแสงสว่าง.  บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีจึงได้ยืนร่วมบ้าง เจรจาร่วมบ้าง กับบุรุษในเวลาค่ำมืด ที่ไม่มีแสงสว่าง หนึ่งต่อหนึ่งเล่า

ทรงสอบถาม

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุณีกับบุรุษหนึ่งต่อหนึ่ง ยืนร่วมบ้าง เจรจาร่วมบ้าง ในเวลาค่ำมืด ที่ไม่มีแสงสว่าง จริงหรือ?
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีกับบุรุษหนึ่งต่อหนึ่งจึงได้ยืนร่วมบ้าง เจรจาร่วมบ้าง ในเวลาค่ำมืด ที่ไม่มีแสงสว่างเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

     ๖๖. ๑. อนึ่ง ภิกษุณีใด กับบุรุษหนึ่งต่อหนึ่ง ยืนร่วมก็ดี เจรจาร่วมก็ดี ในเวลาค่ำมืด ไม่มีประทีป เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีอันเตวาสินีของพระภัททากาปิลานีเถรี จบ.

สิกขาบทวิภังค์

    [๑๘๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด ผู้เช่นใด
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
    บทว่า ในเวลาค่ำมืด ได้แก่ เวลาพระอาทิตย์ตกดินแล้ว.
    บทว่า ไม่มีประทีป คือ ไม่มีแสงสว่าง.
    ที่ชื่อว่า บุรุษ ได้แก่ มนุษย์ผู้ชาย มิใช่ยักษ์ผู้ชาย มิใช่เปรตผู้ชาย มิใช่สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ เป็นบุคคลผู้รู้ความ เป็นผู้สามารถจะยืนร่วม เจรจาร่วมได้.
    บทว่า กับ คือ ด้วยกัน.
    บทว่า หนึ่งต่อหนึ่ง คือ บุรุษหนึ่ง และภิกษุณีรูปหนึ่ง.
    บทว่า ยืนร่วมก็ดี คือ ยืนอยู่ในระยะช่วงแขนของบุรุษ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บทว่า เจรจาร่วมก็ดี คือ เจรจาอยู่ในช่วงแขนของบุรุษ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
    ยืนร่วม หรือเจรจาร่วม พ้นระยะช่วงแขน ต้องอาบัติทุกกฏ.
    ยืนร่วมหรือเจรจาร่วม กับยักษ์ผู้ชาย เปรตผู้ชาย บัณเฑาะก์หรือสัตว์ดิรัจฉานตัวผู้มีร่างกายคล้ายมนุษย์ ต้องอาบัติทุกกฏ.

อนาปัตติวาร

 [๑๘๗] มีสตรีผู้รู้ความคนใดคนหนึ่งอยู่เป็นเพื่อน ๑ ไม่เพ่งที่ลับยืนร่วมหรือเจรจาร่วม ๑ ส่งใจไปอื่น ยืนร่วมหรือเจรจาร่วม ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อันธการวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ลันธการวรรค

สิกขาบทที่ ๑

วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑ แห่งอันธการวรรค พึงทราบดังนี้ :-
       บทว่า อปฺปทีเป คือในที่ไม่มีแสงสว่าง ด้วยบรรดาแสงสว่างมีประทีป ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และไฟเป็นต้น แม้อย่างหนึ่ง. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล ในบทภาชนะแห่งบทว่า อปฺปทีเป นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อนาโลเก.
       บทว่า สลฺลเปยฺย วา ได้แก่ กล่าวถ้อยคำเกี่ยวด้วยการครองเรือน
    สองบทว่า อรโหเปกฺขา อญฺญาวิหิตา มีความว่า ไม่เพ่งความยินดีในที่ลับ เป็นผู้ส่งใจไปอื่น จากความยินดีในที่ลับ ไต่ถามถึงญาติ หรือเชื้อเชิญเขาในการถวายทานก็ดี ในการบูชาก็ดี.
บทที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
    สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจไถยสัตถสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายกับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๒ ฉะนี้แล.