Translate

31 สิงหาคม 2567

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๗ ว่าด้วย การขอจีวรเกินกำหนด พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google   
        นิสสัคคิยปาจิตตีย์ จีวรวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๗     พรรณนาตทุตตริสิกขาบท    ตทุตตริสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
   ในตทุตตริสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               [แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องปวารณาเพื่อนำไป]               
               ศัพท์ว่า อภิ ในคำว่า อภิหฏฺฐุํ เป็นอุปสรรค. มีอรรถว่า เพื่อนำไป.            มีคำอธิบายว่า เพื่อถือเอา.              บทว่า ปวาเรยฺย มีความว่า พึงให้ปรารถนา คือให้เกิดความปรารถนา 
                      ความพอใจ. อธิบายว่า พึงบอก คือ พึงนิมนต์.
         เพื่อทรงแสดงอาการที่ผู้ปวารณาเพื่อให้นำไปจะพึงกล่าว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบทภาชนะแห่ง บท
 ว่า อภิหฏฺฐุํ ไว้อย่างนี้ว่า ท่านต้องการจีวรเท่าใด ก็จงรับไปเท่านั้นเถิด.     อีกอย่างหนึ่ง ในบาทคาถานี้ว่า เนกฺขมฺมํ ทฏฺฐุเขมโต มีอรรถว่า ทิสฺวา (เห็นแล้ว) ฉันใด, 
สอง บทว่า อภิหฏฺฐุํ  ปวาเรยฺย แม้ในสิกขาบทนี้ ก็มีอรรถว่า เขานำมาแล้วปวารณา ฉันนั้น.
           การนำมาในคำว่า อภิหริตฺวา นั้น มี ๒ อย่างคือ การนำมาด้วยกายอย่าง ๑ การนำมาด้วยวาจาอย่าง ๑. 
พ่อเจ้าเรือนก็ดี แม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ นำผ้าทั้งหลายมาด้วยกายแล้ววางไว้ที่ใกล้เท้า     พึงปวารณากล่าวว่า 
ท่านต้องการจีวรเท่าใด ก็จงรับไปเท่านั้นเถิด.              อนึ่ง พึงกล่าวปวารณาด้วยวาจาว่า เรือนคลังผ้า
ของพวกข้าพเจ้าเต็มบริบูรณ์, ท่านต้องการจีวรเท่าใด ก็จงรับไปเท่านั้นเถิด. ก็เพราะรวมการนำมาทั้งสองนั้น
เข้าเป็นอันเดียวกัน ตรัสเรียกว่า ปวารณาเพื่อนำไป.               บท ว่า สนฺตรุตฺตรปรมํ มีวิเคราะห์ว่า ผ้า
อุตราสงค์กับอันตรวาสก เป็นอย่างยิ่งแห่งจีวรนั้น เหตุนั้น จีวรนั้นจึงชื่อว่า มีอุตราสงค์กับอันตรวาสกเป็นอย่างยิ่ง.
               มีคำอธิบายว่า ผ้าห่มกับผ้านุ่ง เป็นกำหนดอย่างสูงแห่งจีวรนั้น.               หลาย บท ว่า ตโต จีวรํ สาทิตพฺพํ         มีความว่า                       ภิกษุพึงถือเอาจีวรมีประมาณเท่านี้
 จากจีวรที่คฤหบดีหรือคฤหปตานี ผู้มิใช่ญาตินำมาให้นั้น.               อธิบายว่า ไม่ควรรับเกินกว่านี้. ก็เพราะว่า
ภิกษุผู้มีเพียงไตรจีวรเท่านั้น ถูกโจรชิงเอาจีวรไปหมด ควรปฏิบัติอย่างนี้,  ภิกษุอื่นควรปฏิบัติแม้อย่างอื่น ฉะนั้น 
เพื่อจะทรงแสดงวิภาคนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบทภาชนะแห่ง บท ว่า ตโต จีวรํ สาทิตพฺพํ นั้น โดยนัยมี
       ว่า สเจ ตีณิ นฏฺฐานิ โหนฺติ เป็นต้น.              วินิจฉัยในคำว่า สเจ ตีณิ นฏฺฐานิ เป็นต้นนั้น ดังต่อไปนี้ :-
               ถ้าภิกษุใดมีจีวรหาย ๓ ผืน, ภิกษุนั้นพึงยินดี ๒ ผืน คือจักนุ่งผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง แล้วแสวงหาอีกผืนหนึ่ง
จากที่แห่งภิกษุผู้เป็นสภาคกัน. ภิกษุใดมีจีวรหาย ๒ ผืน ภิกษุนั้นพึงยินดีผืนเดียว. ถ้าภิกษุเที่ยวไปโดยปกติด้วย
อุตราสงค์กับอันตรวาสก พึงยินดี ๒ ผืน. เมื่อยินดีเช่นนั้น จักเป็นผู้เสมอกับภิกษุผู้ยินดีผืนเดียวนั่นเอง. 
หายผืนเดียว ไม่พึงยินดี. ภิกษุใดมีจีวรหายไปผืนเดียวในบรรดาจีวร ๓ ผืน ภิกษุนั้นไม่ควรยินดี. แต่บรรดาจีวร
 ๒ ผืนของภิกษุใดหายผืนเดียว เธอพึงยินดีผืนเดียว. แต่ของภิกษุใดมีผืนเดียวเท่านั้น และจีวรผืนนั้นหาย ภิกษุนั้น
พึงยินดี ๒ ผืน. แต่สำหรับภิกษุนี้ เมื่อหายไปทั้ง ๕ ผืน พึงยินดี ๒ ผืน. เมื่อหาย ๔ ผืน พึงยินดีผืนเดียว. เมื่อหาย
 ๓ ผืน ไม่พึงยินดีอะไรๆ เลย. ก็ในจีวรที่หายไป ๒ ผืนหรือ ๑ ผืน จะต้องกล่าวไปทำไมเล่า?
               จริงอยู่ ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งพึงตั้งอยู่ในความเป็นผู้มีอุตราสงค์กับอันตรวาสกเป็นอย่างยิ่ง. 
       ยิ่งกว่านั้นไปย่อมไม่ได้, คำดังกล่าวมานี้ เป็นลักษณะในข้อนี้.
               สอง บท ว่า เสสกํ อาหริสฺสามิ มีความว่า ข้าพเจ้า จักทำจีวรสองผืนแล้ว จักนำผ้าที่เหลือมาคืนให้.
               บท ว่า น อจฺฉินฺนการณา มีความว่า พวกทายกถวายด้วยอำนาจแห่งคุณมีความเป็นพหูสูตเป็นต้น.
               ในบท ว่า ญาตกานํ เป็นต้น มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ยินดีจีวรของพวกญาติถวาย ผู้ยินดีของพวก
         คนปวารณาถวาย ผู้ยินดี (จีวรที่จ่ายมา) ด้วยทรัพย์ของตน.
               อนึ่ง ในอรรถกถาทั้งหลาย ท่านกล่าวว่า ตามปกตินั่นแลจะขอจีวรแม้มากในที่แห่งญาติและคนปวารณา
ก็ควร, เพราะเหตุที่ถูกโจรเป็นต้นชิงไป ควรจะขอแต่พอประมาณเท่านั้น. คำนั้นไม่สมด้วยพระบาลี. ก็เพราะ
สิกขาบทนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติ ในเพราะเรื่องขอเพื่อประโยชน์แก่คนอื่นเท่านั้น เพราะฉะนั้น ใน
สิกขาบทนี้ พระองค์จึงไม่ตรัสว่า เพื่อประโยชน์แก่คนอื่น. 
คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น.
               บรรดาปกิณกะมีสมุฏฐานเป็นต้น สิกขาบทแม้นี้ก็มีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ 
อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.
        พรรณนาตทุตตริสิกขาบทที่ ๗ จบ. 

นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๗ ว่าด้วย การขอจีวรเกินกำหนด พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google   
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ 
[๕๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอาราม
ของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
 ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์เข้าไปหาภิกษุทั้งหลายผู้มีจีวร ถูกชิงไป
แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย การขอจีวรต่อพ่อเจ้าเรือนหรือแม่เจ้าเรือนผู้มิใช่ ญาติ พระผู้มีพระภาคทรง
    อนุญาตแก่ภิกษุผู้มีจีวรถูกชิงไป หรือ           ผู้มีจีวรฉิบหายแล้ว                          ท่านทั้งหลาย จงขอจีวรเถิด 
              ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า พอแล้ว ขอรับ พวกผมได้จีวรมาแล้ว. 
              ฉ. พวกผมจะขอเพื่อประโยชน์ของพวกท่าน.
               ภิ. จงขอเถิด ขอรับ. 
 ลำดับนั้น พระฉัพพัคคีย์เข้าไปหาพวกพ่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ แล้วกล่าวคำนี้ว่า ท่านทั้งหลาย พวกภิกษุที่มีจีวร
ถูกชิงไปมาแล้ว ขอท่านทั้งหลายจงถวายจีวรแก่พวกเธอ ดังนี้แล้ว ขอจีวรได้มาเป็นอันมาก ครั้งนั้น บุรุษผู้หนึ่ง 
นั่งอยู่ในที่ชุมชน พูดกะบุรุษอีกผู้หนึ่งว่า พระคุณเจ้าทั้งหลาย ผู้มีจีวรถูกชิงไปมาแล้ว ข้าพเจ้าได้ถวายจีวรแก่ท่าน
เหล่านั้นแล้ว แม้บุรุษอีกผู้หนึ่งนั้นก็กล่าว อย่างนี้ว่า แม้ข้าพเจ้าก็ได้ถวายไปแล้ว แม้บุรุษอื่นอีกก็กล่าวอย่างนี้ว่า
 แม้ข้าพเจ้าก็ได้ถวายไป แล้ว บุรุษเหล่านั้น จึงพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสาย
พระศากยบุตร จึงไม่รู้จักประมาณ ขอจีวรมามากมายเล่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จักทำการค้าผ้า หรือ
จัดตั้งร้านขายผ้า. ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้านเหล่านั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาภิกษุที่ เป็นผู้มัก
น้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์
จึงได้ไม่รู้จักประมาณ ขอจีวรมามากมายเล่า แล้วกราบทูลเรื่อง นั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม 
          พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุ แรกเกิดนั้น แล้วทรง
สอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอไม่รู้จัก ประมาณ ขอจีวรมาไว้มากมาย จริงหรือ? 
                           พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
  พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร
 ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนพวกเธอจึงไม่รู้จัก ประมาณ ขอจีวรมาไว้มากมายเล่า การกระทำ
 ของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของ ชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่
เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำ ของพวกเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใสและเพื่อ
                       ความเป็นอย่างอื่น ของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว. 
ทรงบัญญัติสิกขาบท 
  พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนพระฉัพพัคคีย์ โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่ง ความเป็นคนเลี้ยงยาก
ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่ง
ความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความจำกัด อาการที่น่า
เลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสม
 แก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติ
สิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัย อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ 
เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่อ อยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอา
สวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัด อาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยัง
ไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความ เลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตาม
พระวินัย ๑  ดูกรภิกษุทั้งหลาย                               ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ
            ๒๖. ๗. ถ้าพ่อเจ้าเรือนก็ดี แม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ ปวารณาต่อภิกษุ นั้น ด้วยจีวรเป็นอันมาก เพื่อนำไป
ได้ตามใจ ภิกษุนั้นพึงยินดีจีวร มีอุตราสงค์ อันตรวาสกเป็นอย่างมาก 
จากจีวรเหล่านั้น ถ้ายินดียิ่งกว่านั้น เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. 
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
             [๕๙] บทว่า ถ้า ... ต่อภิกษุนั้น ได้แก่ ภิกษุผู้มีจีวรถูกชิงไป.
             ที่ชื่อว่า ผู้มิใช่ญาติ คือไม่ใช่คนเนื่องถึงกัน ทางมารดาก็ดี ทางบิดาก็ดี ตลอด ๗ชั่วอายุของบุรพชนก.
             ที่ชื่อว่า พ่อเจ้าเรือน ได้แก่ บุรุษผู้ครอบครองเรือน.
             ที่ชื่อว่า แม่เจ้าเรือน ได้แก่สตรีผู้ครอบครองเรือน.
             บทว่า ด้วยจีวรเป็นอันมาก คือ จีวรหลายผืน.
             บทว่า ปวารณา ... เพื่อนำไปได้ตามใจ คือ ปวารณาว่า ท่านต้องการจีวรเท่าใดก็จงรับไปเท่านั้นเถิด.
             คำว่า ภิกษุนั้นพึงยินดีจีวรมีอุตราสงค์กับอันตรวาสกเป็นอย่างมาก จากจีวรเหล่านั้น 
               ความว่า ถ้าจีวรหาย ๓ ผืน เธอพึงยินดีเพียง ๒ ผืน หาย ๒ ผืน 
                พึงยินดีเพียงผืนเดียว หายผืนเดียว อย่าพึงยินดีเลย.
             คำว่า ถ้ายินดียิ่งกว่านั้น ความว่า ขอมาได้มากกว่านั้น เป็นทุกกฏ ในประโยคที่ยินดีเกินกำหนด 
เป็นนิสสัคคีย์ ด้วยได้จีวรมา ต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละจีวรนั้น อย่างนี้:-
วิธีเสียสละ
เสียสละแก่สงฆ์
     ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่านั่งกระโหย่ง ประนมมือ
 กล่าวอย่างนี้ว่า:-             ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ขอแล้วเกินกำหนดต่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ เป็น
ของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่สงฆ์.           ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับ
                อาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
 ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละเธอสละแล้วแก่สงฆ์ ถ้าความพร้อม
พรั่ง                  ของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่คณะ
      ภิกษุรูปนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่ง 
ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-        ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า       ขอแล้วเกินกำหนดต่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ
                   เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย.
         ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรม
วาจา ว่าดังนี้:-           ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้ว
แก่ท่านทั้งหลาย ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว ท่านทั้งหลายพึงให้จีวรผืนนี้ แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่บุคคล
     ภิกษุรูปนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-
             ท่าน จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ขอแล้วเกินกำหนด ต่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวร
ผืนนี้แก่ท่าน.       ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับ
อาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วย คำว่า ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้.
บทภาชนีย์
             [๖๐] เจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ขอจีวรเกินกำหนด เป็นนิสสัคคีย์ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             เจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ขอจีวรเกินกำหนด เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             เจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ขอจีวรเกินกำหนด เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ     เจ้าเรือนเป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ขอจีวร ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             เจ้าเรือนเป็นญาติ ภิกษุสงสัย ขอจีวร ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ     เจ้าเรือนเป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ... ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
             [๖๑] ภิกษุนำเอาไปด้วยคิดว่า จักนำจีวรที่เหลือมาคืน ๑ เจ้าเรือนถวายบอกว่า จีวร
ที่เหลือจงเป็นของท่านรูปเดียว ๑ เจ้าเรือนไม่ได้ถวายเพราะเหตุจีวรถูกชิงไป ๑ เจ้าเรือนไม่ได้
ถวายเพราะเหตุจีวรหาย ๑ ภิกษุขอต่อญาติ ๑ ภิกษุขอต่อคนปวารณา ๑ ภิกษุจ่ายมาด้วยทรัพย์
ของตน ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
จีวรวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ.

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๖ เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร ว่าด้วย การขอจีวรต่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

          นิสสัคคิยปาจิตตีย์ จีวรวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๖ 
พรรณนาอัญญาตกวิญญัตติสิกขาบท
                   อัญญาตกวิญญัตติสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น
               ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
               ในอัญญาตกวิญญัตติสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ 
               [แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องพระอุปนันทศากยบุตร]               
               สอง บทว่า อุปนนฺโท สกฺยปุตฺโต ได้แก่ บรรดาภิกษุผู้บวชจากศากยตระกูลประมาณแปดหมื่นรูป 
                    พระอุปนันทศากยบุตรเป็นภิกษุเลวทราม มีชาติโลเล.               บทว่า ปฏฺโฐ ได้แก่ เป็นผู้ฉลาด สามารถ เฉียบแหลมถึงพร้อม              ด้วยเสียง คือประกอบ
ด้วยความเป็นผู้มีลูกคอไพเราะ.
       บทว่า กิสฺมึ วิย มีความว่า ดูเหมือนกระไรอยู่ ดูเป็นผู้มีความเศร้าหมอง 
  คือเป็นดุจจะสะทกสะท้าน ดุจจะหวาดสะดุ้งด้วยอำนาจหิริและโอตัปปะ.
               บทว่า อทฺธานมคฺคํ มีความว่า ทางยาว กล่าวคือทางไกลไม่ใช่ทางถนนในเมือง.
               คำว่า เต ภิกฺขู อจฺฉินฺทึสุ มีความว่า ได้ปล้น คือได้แย่งชิงเอาบาตรและจีวรของภิกษุเหล่านั้นไป.
               บทว่า อนุยุญฺชาหิ ความว่า ท่านโปรดสอบถาม เพื่อต้องการทราบความเป็นภิกษุ.
               บทว่า อนุยุญฺชิยมานา ความว่า ภิกษุเหล่านั้นถูกท่านพระอุบาลี
สอบสวนถึงการบรรพชา อุปสมบท การอธิษฐานบาตรและจีวรเป็นต้นอยู่.
               ข้อว่า เอตมตฺถํอาโรเจสุํ มีความว่า ทูลให้ทราบว่าเป็นภิกษุแล้ว ได้กราบทูลเรื่องที่ภิกษุเหล่านั้นกล่าว 
โดยนัยเป็นต้นว่า เป็นผู้เดินทางไกลจากเมืองสาเกตสู่พระนครสาวัตถี.
               [เมื่อถูกโจรชิงเอาจีวรไปห้ามเปลือยกายเดินทาง]               
   ในคำว่า อญฺญาตกํ คหปตึ วา เป็นต้น ผู้ศึกษาพึงทราบอนุปุพพีกถา ตั้งต้นแต่คำที่ตรัสไว้ข้างหน้าว่า ปกปิด
แล้วด้วยหญ้าหรือด้วยใบไม้เป็นต้น โดยนัยดังจะกล่าวต่อไปอย่างนี้ :-
        ถ้าพวกภิกษุหนุ่มเห็นพวกโจรแล้วถือเอาบาตรและจีวรหนีไป, พวกโจรชิงเอาเพียงผ้านุ่งและผ้าห่มของพระ
เถระทั้งหลายเท่านั้นไป, พระเถระทั้งหลายยังไม่ควรให้ขอจีวรทีเดียวก่อน, ยังไม่ควรจะหักกิ่งไม้และเด็ดใบไม้. 
ถ้าพวกภิกษุหนุ่มทิ้งห่อของทั้งหมดหนีไป, พวกโจรชิงเอาผ้านุ่งและผ้าห่มของพระเถระและห่อสิ่งของนั้นไป, 
พวกภิกษุหนุ่มมาแล้ว ยังไม่ควรให้ผ้านุ่งและผ้าห่มของตนแก่พระเถระทั้งหลายก่อน.
               เพราะว่าพวกภิกษุผู้มิได้ถูกโจรชิงเอาจีวรไปย่อมไม่ได้เพื่อจะหักกิ่งไม้และใบไม้เพื่อประโยชน์แก่ตน, 
แต่ย่อมได้ (เพื่อจะหักกิ่งไม้และใบไม้) เพื่อประโยชน์แก่พวกภิกษุผู้ถูกโจรชิงเอาจีวรไป. และพวกภิกษุผู้ถูกโจร
ชิงเอาจีวรไปย่อมได้ (เพื่อหักกิ่งไม้และใบไม้) เพื่อประโยชน์ทั้งแก่ตนเองทั้งแก่คนอื่น. เพราะฉะนั้น พระเถระ
ทั้งหลายพึงหักกิ่งไม้และใบไม้เอาปอเป็นต้นถักแล้ว พึงให้แก่พวกภิกษุหนุ่ม หรือพวกภิกษุหนุ่มหักเพื่อประโยชน์
แก่พระเถระทั้งหลาย ถักแล้วให้แก่พระเถระเหล่านั้นที่มือ หรือไม่ให้ ตนนุ่งเสียเอง แล้วให้ผ้านุ่งและผ้าห่มของตน
แก่พระเถระทั้งหลาย. ไม่เป็นปาจิตตีย์ เพราะพรากภูตคามเลย. ไม่เป็นทุกกฏ เพราะทรงผ้าธงชัยของพวกเดียรถีย์
นั้น.         ถ้าในระหว่างทางมีลานของพวกช่างย้อม หรือพบเห็นชาวบ้านเหล่าอื่นผู้เช่นนั้นเข้า พึงให้ขอจีวร. และ
พวกชาวบ้านที่ถูกขอเหล่านั้น หรือชาวบ้านพวกอื่นเห็นพวกภิกษุนุ่งกิ่งไม้และใบไม้แล้วเกิดความอุตสาหะถวาย
ผ้าเหล่าใดแก่ภิกษุเหล่านั้น. ผ้าเหล่านั้นจะมีชายหรือไม่มีชายก็ตาม มีสีต่างๆ เช่นสีเขียวเป็นต้นก็ตาม เป็นกัปปิยะ
บ้าง เป็นอกัปปิยะบ้าง, ทั้งหมด ภิกษุเหล่านั้นควรนุ่งและควรห่มได้ทั้งนั้น
 เพราะพวกเธอตั้งอยู่ในฐานผู้ถูกโจรชิงจีวร.
               จริงอยู่ แม้ในคัมภีร์ปริวาร ท่านก็กล่าวคำนี้ไว้ว่า๑-
                         ผ้าที่ไม่ได้ทำกัปปะ ทั้งไม่ได้ย้อมด้วยน้ำย้อม
               ภิกษุพึงนุ่งห่มไปได้ตามปรารถนา และเธอไม่ต้อง
               อาบัติ, ก็ธรรมนั้น อันพระสุคตเจ้าทรงแสดงแล้ว,
               ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
๑- วิ. ปริ. เล่ม ๘/ข้อ ๑๓๓๕/หน้า ๕๓๕
 จริงอยู่ ปัญหาข้อนี้ ท่านกล่าวหมายถึงภิกษุผู้ถูกโจรชิงจีวร. ก็ถ้าว่า ภิกษุทั้งหลายสมาคมกับพวกเดียรถีย์ และ
พวกเดียรถีย์นั้นถวายจีวรคากรอง เปลือกไม้กรองและผลไม้กรอง, แม้ผ้าเหล่านั้นควรที่ภิกษุจะนุ่งห่มได้ไม่รับ
เอาลัทธิ คือแม้นุ่งห่มแล้ว ก็ไม่พึงถือลัทธิ (ของเขา).    บัดนี้ บัณฑิตพึงทราบสันนิษฐาน ในคำว่า ภิกษุเดินไป
ถึงวัดใดก่อน, ถ้าจีวรสำหรับวิหาร หรือของสงฆ์ในวัดนั้น มีอยู่ เป็นต้นว่า ที่
ชื่อว่า จีวรสำหรับวิหาร คือจีวรที่พวกชาวบ้านให้สร้างวัดแล้ว เตรียมจีวรไว้ด้วยกล่าวว่า ปัจจัย ๔ เป็นของส่วนตัว
ของพวกเราเท่านั้น จงถึงการใช้สอย แล้วตั้งไว้ในวัดที่ตนให้สร้าง                            จีวรนี้ชื่อว่า จีวรสำหรับวิหาร
                      เครื่องปูลาดบนเตียง ท่านเรียกว่า เครื่องลาดข้างบน.
               เครื่องปูลาดที่ทำด้วยเศษผ้า เพื่อต้องการจะรักษาพื้นที่ทำบริกรรม                     ท่านเรียกว่า ผ้าลาดพื้น. 
                ภิกษุทั้งหลายลาดเสื่ออ่อนบนเครื่องลาดนั้นแล้ว เดินจงกรม.
เปลือก (ปลอก) ฟูกรองเตียง หรือฟูกรองตั่ง ชื่อว่า เปลือกฟูก. ถ้าเปลือกฟูกเขายัดไว้เต็ม, แม้จะรื้อออกแล้วถือเอา
 ก็ควร. บรรดาจีวรสำหรับวิหารเป็นต้นเหล่านี้ ดังกล่าวมาอย่างนี้ จีวรที่มีอยู่ในวัดนั้น พวกภิกษุที่ถูกโจรชิงเอาไป 
แม้ไม่ขออนุญาตจะถือเอานุ่งหรือห่มก็ได้.
               ก็แลการนุ่งหรือการห่มนั้น ย่อมได้ด้วยความประสงค์ว่า เราได้ (ผ้านุ่งหรือผ้าห่มแล้ว) จักตั้งลงไว้ คือ
จักเก็บไว้อย่างเดิม, ย่อมไม่ได้ โดยการขาดมูลค่า      (การถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์ของตน).
               ก็แล ครั้นได้ (ผ้านุ่งหรือผ้าห่ม) จากญาติ หรือจากอุปัฏฐาก หรือแม้จากที่แห่งใดแห่งหนึ่งอื่นแล้ว 
พึงกระทำให้กลับเป็นปกติเดิมทีเดียว. ภิกษุไปยังต่างถิ่นแล้ว พึงเก็บไว้ในอาวาสของสงฆ์แห่งหนึ่ง เพื่อประโยชน์
แก่การใช้สอย โดยการใช้สอยเป็นของสงฆ์. ถ้าจีวรสำหรับวิหารนั้น ชำรุด
หรือหายไป โดยการใช้สอยของภิกษุนั้น ไม่เป็นสินใช้.
               แต่ถ้าว่า ภิกษุไม่ได้ผ้าอะไรๆ บรรดาผ้าเหล่านี้มีผ้าของคฤหัสถ์เป็นต้น มีเปลือกฟูกเป็นที่สุดมี
ประการดังกล่าวแล้ว, เธอพึงเอาหญ้า หรือใบไม้ปกปิดแล้วมาเถิด ฉะนี้แล.
               จีวรแม้ที่อาจารย์และอุปัชฌาย์ ผู้ถูกโจรชิงจีวรไป ขอกะชนเหล่าอื่นว่า นำจีวรมาเถิด อาวุโส! 
แล้วถือเอาไป หรือถือเอาไปด้วยวิสาสะ ย่อมควรเพื่อจะกล่าวว่า ถึงการ
สงเคราะห์เข้า ในคำว่า เกหิจิ วา อจฺฉินฺนํ (ถูกใครๆ ชิงเอาไปก็ดี) นี้.
 อนึ่ง แม้จีวรที่พวกนิสิตปกปิดด้วยหญ้า และใบไม้ด้วยตนเองแล้ว ถวายแก่ภิกษุมีอาจารย์และอุปัชฌาย์เป็นต้น
 ผู้ถูกโจรชิงจีวรย่อมควร เพื่อจะกล่าวว่า ถึงการสงเคราะห์เข้า ในคำว่า ปริโภคชิณฺณํ วา (ใช้สอยเก่าไปก็ดี) นี้.
               จริงอยู่ เมื่อมีเนื้อความที่ควรกล่าวอย่างนั้น ภิกษุเหล่านั้นจักเป็นผู้ตั้งอยู่ในฐานเป็นผู้ถูกชิงจีวร และในฐาน
เป็นผู้มีจีวรหายแท้. เพราะฉะนั้น อนาบัติในเพราะวิญญัตติ และใน
เพราะบริโภคอกัปปิยจีวร จักเป็นของสมควรแก่ภิกษุเหล่านั้นแล.
               ในคำว่า ญาตกานํ ปวาริตานํ นี้ บัณฑิตพึงเห็นความอย่างนี้ว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ออกปากขอ คือ 
ผู้อ้อนวอนขอกะญาติและคนปวารณาว่า พวกท่านจงถวายของตน แก่ภิกษุเหล่านี้, แท้จริง ไม่มีอาบัติหรือ
อนาบัติ แก่ภิกษุทั้งหลายที่พวกญาติปวารณาแล้ว.๒-
๒- แปลตามอัตถโยชนา ๑/๕๔๑. ญาตกานํ ปวาริตานนฺติ
๒- ญาตเกหิ ปริวาริตานํ ภิกฺขูนํ - ผู้ชำระ.
          แม้ในคำว่า อตฺตโน ธเนน นี้ บัณฑิตก็พึงเห็นความอย่างนี้ว่า
               ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ออกปากขอ คือผู้สั่งให้จ่าย หรือสั่ง
             ให้แลกเปลี่ยนด้วยกัปปิยภัณฑ์ของตน โดยกัปปิยโวหารเท่านั้น.
                          อนึ่ง ในคำว่า ปวาริตานํ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
           ในปัจจัยทั้งหลายที่เขาปวารณาไว้ด้วยอำนาจแห่งสงฆ์ ควรขอแต่พอประมาณเท่านั้น. ในการปวารณา
 เฉพาะบุคคล ควรขอแต่เฉพาะสิ่งของที่เขาปวารณาเหมือนกัน. แท้จริง คนใดปวารณาด้วยจตุปัจจัยกำหนดไว้เอง
ทีเดียว แล้วถวายสิ่งของที่ต้องการโดยอาการอย่างนี้ คือย่อมถวายจีวรตามสมควรแก่กาล ย่อมถวายอาหารมี
ข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้นทุกๆ วัน, กิจที่จะต้องออกปากขอกะคนเช่นนั้น ไม่มี.
               ส่วนบุคคลใดปวารณาแล้ว ย่อมไม่ให้ เพราะเป็นผู้เขลาหรือเพราะหลงลืมสติ, บุคคลนั้น อันภิกษุควรขอ. 
บุคคลกล่าวว่า ผมปวารณาเรือนของผม, ภิกษุพึงไปสู่เรือนของบุคคลนั้นแล้วพึงนั่ง พึงนอนตามสบาย ไม่พึงรับ
เอาอะไรๆ. ส่วนบุคคลใดกล่าวว่า ผมขอปวารณาสิ่งของที่มีอยู่ในเรือนของผม ดังนี้, พึงขอสิ่งของที่เป็นกัปปิยะซึ่งมี
        อยู่ในเรือนของบุคคลนั้น. ในกุรุนทีกล่าวว่า แต่ภิกษุจะนั่ง หรือ                               จะนอนในเรือน ไม่ได้.
               ในคำว่า อญฺญสฺสตฺถาย นี้มีอรรถอย่างหนึ่ง ดังนี้ว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ขอกะญาติและคนปวารณา
ของตน เพื่อประโยชน์แก่ตนเองอย่างเดียวหามิได้ โดยที่แท้ ขอเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุอื่น ก็ไม่เป็นอาบัติ.
               ส่วนอรรถอย่างที่สองในบทว่า อญฺญสฺส นี้ ดังต่อไปนี้ว่า
               ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ออกปากขอกะญาติและคนปวารณาของภิกษุอื่น เพื่อประโยชน์แก่
            ภิกษุนั้นนั่นเอง คือพระพุทธรักขิต ซึ่งได้โวหารว่า ผู้อื่น.๓-
               คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น.
               บรรดาปกิณกะมีสมุฏฐานเป็นต้น สิกขาบทแม้นี้ก็มีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ 
อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.
๓- อตฺถโยชนา ๑/๕๔๒/ กำหนดให้แปลว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ขอปัจจัยทั้งหลายที่พวกญาติของพวกภิกษุอื่น
ปวารณาไว้ เพื่อประโยชน์แก่พระพุทธรักขิต หรือพระธรรมรักขิตนั้นนั่นแล-ผู้ได้โวหารว่า "ภิกษุอื่น" - ผู้ชำระ.
               พรรณนาอัญญาตกวิญญัตติสิกขาบทที่ ๖ จบ.            

นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๖ เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร ว่าด้วย การขอจีวรต่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

 เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร
  [๕๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
 อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตร เป็นผู้เชี่ยวชาญ แสดง
ธรรมีกถา จึงเศรษฐีบุตรผู้หนึ่งเข้าไปหาพระอุปนันทศากยบุตร. ครั้นแล้วอภิวาทท่านพระอุปนันทศากยบุตรแล้ว
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ท่านพระอุปนันทศากยบุตรได้ชี้แจงด้วย ธรรมีกถาให้เศรษฐีบุตรสมาทาน อาจหาญ 
ร่าเริงแล้ว. เศรษฐีบุตรนั้น อันท่านพระอุปนันทศากยบุตรชี้แจงด้วยธรรมีกถา ให้สมาทาน อาจหาญร่าเริงแล้ว ได้
ปวารณาท่านพระอุปนันทศากยบุตรในทันใดนั้นแลอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้าพึงบอกสิ่งที่ ต้องประสงค์
 คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ เภสัชบริขารอันเป็น ปัจจัยของภิกษุไข้ ซึ่งข้าพเจ้าสามารถ จะจัดถวายแด่
พระคุณเจ้าได้. ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ได้กล่าวคำนี้กะเศรษฐีบุตรนั้นว่า ถ้าท่านประสงค์จะถวายแก่ อาตมา ก็
จงถวายผ้าสาฎกผืนหนึ่งจากผ้าเหล่านี้. เศรษฐีบุตรได้กล่าวขอผลัดว่า ท่านเจ้าข้า กระผมเป็นกุลบุตรจะเดินไปมีผ้า
ผืนเดียว ดูกระไร อยู่ โปรดรออยู่ชั่วเวลาที่กระผมกลับไปบ้าน กระผมไปถึงบ้านแล้ว จักจัดส่งผ้าสาฎกผืนหนึ่งจาก
 ผ้าเหล่านี้ หรือผ้าที่ดีกว่านี้มาถวาย. แม้ครั้งที่สองแล ท่านพระอุปนันทศากยบุตรก็ได้กล่าวคำนี้กะเศรษฐีบุตรนั้น
ว่า ถ้าท่าน ประสงค์จะถวายแก่อาตมา ก็จงถวายผ้าสาฎกผืนหนึ่งจากผ้าเหล่านี้. เศรษฐีบุตรได้กล่าวขอผลัดว่า 
ท่านเจ้าข้า กระผมเป็นกุลบุตรจะเดินไปมีผ้าผืนเดียวดู กระไรอยู่ โปรดรออยู่ชั่วเวลาที่กระผมกลับไปบ้านกระผม
ไปถึงบ้านแล้ว จักจัดส่งผ้าสาฎก                  ผืนหนึ่งจากผ้าเหล่านี้                              หรือผ้าที่ดีกว่านี้มาถวาย
แม้ครั้งที่สามแล ท่านพระอุปนันทศากยบุตรก็ได้กล่าวคำนี้กะเศรษฐีบุตรนั้นว่า ถ้าท่าน ประสงค์จะถวายแก่อาตมา 
ก็จงถวายผ้าสาฎกผืนหนึ่งจากผ้าเหล่านี้. เศรษฐีบุตรได้กล่าวขอผลัดว่า ท่านเจ้าข้า กระผมเป็นกุลบุตรจะเดินไปมีี
ผ้าผืนเดียว ดูกระไรอยู่ โปรดรออยู่ชั่วเวลาที่กระผมกลับไปบ้าน กระผมกลับไปถึงบ้านแล้ว จักจัดส่งผ้า สาฎก
ผืนหนึ่งจากผ้าเหล่านี้ หรือผ้าที่ดีกว่านี้มาถวาย. ท่านพระอุปนันทศากยบุตรกล่าวพ้อว่า ท่านไม่ประสงค์จะถวาย
ก็จะปวารณาทำไม ท่าน ปวารณาแล้วไม่ถวาย จะมีประโยชน์อะไร ครั้นเศรษฐีบุตรนั้นถูกท่านพระอุปนันท
ศากยบุตรแคะได้ จึงได้ถวายผ้าสาฎกผืนหนึ่งแล้ว กลับไป. ชาวบ้านพบเศรษฐีบุตรนั้นแล้วถามว่า นาย ทำไม
ท่านจึงมีผ้าผืนเดียวเดินกลับมา? จึงเศรษฐีบุตรได้เล่าเรื่องนั้นแก่ชาวบ้านเหล่านั้น. ชาวบ้านจึงเพ่งโทษ ติเตียน
โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ มักมาก ไม่สันโดษ จะปฏิบัติให้ถูกต้องตามที่เขาขอผลัด 
โดยธรรมสักหน่อยก็ไม่ได้ เมื่อเศรษฐีบุตรกระทำการขอผลัดโดยธรรม ไฉนจึงได้ถือเอาผ้าสาฎก ไปเล่า. 
 ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้านเหล่านั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาภิกษุที่เป็น ผู้มักน้อย สันโดษ 
มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขาต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระอุปนันทศากยบุตร
จึงได้ขอจีวรต่อเศรษฐีบุตรเล่า แล้วกราบทูล เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ทรงประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็น
เค้ามูลนั้น ใน เพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระอุปนันทะว่า
                ดูกรอุปนันทะ ข่าวว่าเธอขอจีวร ต่อเศรษฐีบุตรจริงหรือ? 
              ท่านพระอุปนันทะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
              ภ. ดูกรอุปนันทะ เขาเป็นญาติของเธอหรือมิใช่ญาติ? 
              อุ. มิใช่ญาติ พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียน 
      พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั้น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจ
ของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ คนที่มิใช่ญาติ ย่อมไม่รู้การกระทำ อันสมควร หรือไม่สมควร ของที่มีอยู่หรือ
ไม่มีของคนที่ไม่ใช่ญาติ เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอยังขอ            จีวรต่อเศรษฐีบุตรผู้มิใช่ญาติได้ การกระทำของเธอนั่น 
ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชน ที่ยังไม่เลื่อมใส หรือ   เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว 
โดยที่แท้ การกระทำของ เธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่
ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของ ชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
 ทรงบัญญัติสิกขาบท
               พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระอุปนันทะ โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษ แห่งความเป็นคน
เลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน 
ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความ มักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา 
ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่
สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสม แก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะ
เหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจ ประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดี
แห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่ม บุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ 
เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดใน ปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใส
ของชุมชนที่ยังไม่ เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ 
เพื่อถือตามพระวินัย ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ ๒๕. ๖. อนึ่ง ภิกษุใดขอต่อพ่อเจ้าเรือนก็ดี ต่อแม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
 ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการ ฉะนี้ 
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ. 
พระอนุบัญญัติ 
 เรื่องภิกษุเดินทางถูกแย่งชิงจีวร
     [๕๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุหลายรูปเดินทางจากเมืองสาเกตสู่พระนครสาวัตถี. พวก โจรในระหว่างทางได้
ออกแย่งชิงจีวรภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุเหล่านั้นรังเกียจอยู่ว่า การขอจีวรต่อพ่อ เจ้าเรือน หรือแม่เจ้าเรือนผู้มิใช่
ญาติ พระผู้มีพระภาคทรงห้ามไว้แล้ว จึงไม่กล้าขอ พากัน เปลือยกายเดินไปถึงพระนครสาวัตถี แล้วกราบไหว้ภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายพูดกันอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย พวกอาชีวกเหล่านี้ที่กราบไหว้ภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ เป็น
คนดีจริงๆ               ภิกษุผู้เปลือยกายเหล่านั้นตอบว่า พวกกระผมไม่ใช่อาชีวก ขอรับ พวกกระผมเป็นภิกษุ. 
       ภิกษุทั้งหลายได้เรียนท่านพระอุบาลีว่า            ข้าแต่ท่านพระอุบาลี                   โปรดสอบสวนภิกษุ เหล่านี้ 
              ภิกษุผู้เปลือยกายเหล่านั้น ถูกท่านพระอุบาลีสอบสวน ได้แจ้งเรื่องนั้นแล้ว. ครั้นท่านพระอุบาลีสอบสวน
ภิกษุเหล่านั้นแล้ว ได้แจ้งแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลาย พวกเปลือยกายเหล่านี้เป็นภิกษุ จงให้จีวรแก่ภิกษุ
เหล่านั้นเถิด. บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่าง ก็เพ่งโทษ ติเตียน
โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุทั้งหลายจึงได้เปลือยกายเดินมาเล่า ธรรมดาภิกษุ ควรจะต้องปกปิดด้วยหญ้าหรือใบไม้
เดินมา แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ทรงอนุญาตให้ขอจีวรได้ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะ 
เหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ถูก โจรแย่งชิงจีวรไป หรือ
มีจีวรหาย ขอจีวรต่อพ่อเจ้าเรือน หรือแม่เจ้าเรือน ผู้มิใช่ญาติ ได้ เธอเดินไปถึงวัดใดก่อน ถ้าจีวรสำหรับวิหารก็ดี 
ผ้าลาดเตียงก็ดี ผ้าลาดพื้นก็ดี ผ้าปูที่นอน ก็ดี ของสงฆ์ในวัดนั้นมีอยู่ จะถือเอาผ้าของสงฆ์นั้นไปห่มด้วยคิด
ว่า ได้จีวรนั้นมาแล้ว จักคืน ไว้ดังกล่าว ดังนี้ก็ควร. ถ้าจีวรสำหรับวิหารก็ดี ผ้าลาดเตียงก็ดี ผ้าลาดพื้นก็ดี ผ้าปู
ที่นอนก็ดี ของสงฆ์ไม่มี ต้องปกปิดด้วยหญ้าหรือใบไม้เดินมา ไม่พึงเปลือยกายเดินมา ภิกษุใดเปลือย กายเดินมา
 ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระอนุบัญญัติ
               ๒๕.๖. ก. อนึ่ง ภิกษุใด ขอจีวรต่อพ่อเจ้าเรือนก็ดี ต่อแม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ นอกจากสมัย เป็น
นิสสัคคิยปาจิตตีย์. สมัยในคำนั้นดังนี้: ภิกษุเป็นผู้มี     จีวรถูกชิงเอาไปก็ดี             มีจีวรฉิบหายก็ดี นี้สมัยในคำนั้น 
เรื่องภิกษุเดินทางถูกแย่งชิงจีวร จบ.
สิกขาบทวิภังค์
             [๕๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือผู้เช่นใด มีการงานอย่างใด มีชาติอย่างใดมีชื่ออย่างใด มีโคตร
อย่างใด มีปกติอย่างใด มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็นเถระก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม 
เป็นนวกะก็ตาม นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อนึ่ง ... ใด.
             บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้ขอ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า ประพฤติภิกขา
จริยวัตร ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า ทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว ชื่อว่า ภิกษุ โดยสมญา ชื่อว่า ภิกษุ โดยปฏิญญา
 ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นเอหิภิกษุ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์ 
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้เจริญ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า มีสารธรรม ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระ
เสขะ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระอเสขะ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบท
ให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ. บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่สงฆ์พร้อมเพรียงกัน อุปสมบทให้
ด้วยญัตติจตุตถกรรมอันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะนี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.

             ที่ชื่อว่า ผู้มิใช่ญาติ คือ ไม่ใช่คนเนื่องถึงกัน ทางมารดาก็ดี ทางบิดาก็ดี ตลอด ๗ ชั่วอายุของบุรพชนก.
             ที่ชื่อว่า พ่อเจ้าเรือน ได้แก่บุรุษผู้ครอบครองเรือน.
             ที่ชื่อว่า แม่เจ้าเรือน ได้แก่สตรีผู้ครอบครองเรือน.
             ที่ชื่อว่า จีวร ได้แก่จีวร ๖ ชนิด ชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเข้าองค์กำหนดแห่งผ้าต้องวิกัปเป็นอย่างต่ำ.
             บทว่า นอกจากสมัย คือ ยกเว้นสมัย.
             ที่ชื่อว่า เป็นผู้มีจีวรถูกชิงเอาไป ได้แก่จีวรของภิกษุผู้ถูกชิงเอาไป
 คือ ถูกพวกราชาก็ดี พวกโจรก็ดี พวกนักเลงก็ดี หรือคนพวกใดพวกหนึ่ง ชิงเอาไป.
             ที่ชื่อว่า มีจีวรฉิบหาย คือ จีวรของภิกษุถูกไฟไหม้ก็ดี ถูกน้ำพัดไป
ก็ดี ถูกหนูหรือปลวกกัดก็ดี เก่าเพราะใช้สอยก็ดี.
             ภิกษุขอ นอกจากสมัย เป็นทุกกฏ ในประโยคที่ขอ เป็นนิสสัคคีย์
ด้วย ได้จีวรมา ต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละจีวรนั้นอย่างนี้:-
วิธีเสียสละ
เสียสละแก่สงฆ์
             ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่านั่งกระโหย่ง
ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-          ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ขอแล้วต่อพ่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ นอกจากสมัย
เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่สงฆ์.         ครั้นสละแล้ว พึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับ
อาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-       ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า จีวร
ผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์ ถ้าความพร้อมพรั่ง
ของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่คณะ
    ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่ง
 ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-           ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ขอแล้วต่อพ่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ นอกจาก
สมัย เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย.     ครั้นสละแล้ว พึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด 
ผู้สามารถพึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-       ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า จีวร
ผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่
                        แล้ว       ท่านทั้งหลายพึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่บุคคล
        ภิกษุรูปนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประนมมือกล่าวอย่างนี้ว่า:-  
    ท่าน จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ขอแล้วต่อพ่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ นอกจากสมัย เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละ
จีวรผืนนี้แก่ท่าน.            ครั้นสละแล้ว พึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้
                         ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้.
บทภาชนีย์
ติกะนิสสัคคิยปาจิตตีย์
[๕๖] พ่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ขอจีวร นอกจากสมัยเป็นนิสสัคคีย์ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             พ่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ขอจีวร นอกจากสมัยเป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
       พ่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ขอจีวร นอกจากสมัย เป็นนิสสัคคีย์ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ            พ่อเจ้าเรือนเป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ขอจีวร ... ต้องอาบัติทุกกฏ. พ่อเจ้าเรือนเป็นญาติ
 ภิกษุสงสัย ขอจีวร ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ   พ่อเจ้าเรือนเป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ... ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
         [๕๗] ภิกษุขอในสมัย ๑ ภิกษุขอต่อญาติ ๑ ภิกษุขอต่อคนปวารณา ๑ ภิกษุขอเพื่อประโยชน์ของภิกษุอื่น ๑
 ภิกษุจ่ายมาด้วยทรัพย์ของตน ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
จีวรวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ.

30 สิงหาคม 2567

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๕ ว่าด้วย การรับจีวรจากมือภิกษุณี พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

              นิสสัคคิยปาจิตตีย์ จีวรวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๕                                          พรรณนาจีวรปฏิคคหณสิกขาบท
    จีวรปฏิคคหณสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
                       ในจีวรปฏิคคหณสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               [แก้อรรถศัพท์เรื่องปฐมบัญญัติ]
               บทว่า ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺตา แปลว่า กลับจากบิณฑบาต.
               ข้อว่า เยน อนฺธวนํ เตนุปสงฺกมิ มีความว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
ยังมิได้ทรงบัญญัติสิกขาบท ภิกษุณีอุบลวรรณาเดินเข้าไปทางป่าอันธวัน.
               บทว่า กตกมฺมา ได้แก่ ผู้กระทำโจรกรรม. 
มีคำอธิบายว่า ปล้นภัณฑะของผู้อื่นด้วยกรรมมีการตัดช่องเป็นต้น.
               บทว่า โจรคามณิโก ได้แก่ หัวหน้าโจร.
  ได้ยินว่า หัวหน้าโจรนั้นรู้จักพระเถรีมาก่อน เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อไปข้างหน้าของพวกโจรเห็นพระเถรีนั้น จึงกล่าวว่า
 พวกเธออย่าไปทางนั้น จงมาทางนี้ทั้งหมดดังนี้ แล้วได้พาพวกโจรเหล่านั้นไปทางอื่น.
               สอง บทว่า สมาธิมฺหา วุฏฺฐหิตฺวา มีความว่า ได้ยินว่า พระเถรีออกจากสมาธิในเวลาที่กำหนดไว้นั่นแล. 
แม้นายโจรนั้นได้พูดอย่างนั้น ในขณะนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น พระเถรีนั้นจึงได้ยิน.
               ก็แลพระเถรีครั้นได้ยินเสียงนั้นจึงคิดว่า บัดนี้ ในที่นี้ไม่มีสมณะหรือพราหมณ์อื่นนอกจากเรา จึงได้ถือเอา
มังสะนั้น. เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายจึงได้กล่าวว่า อถโข อุปฺปลวณฺณา ภิกฺขุนี ดังนี้เป็นต้น.
               บทว่า โอหียโก ได้แก่ คงอยู่คือเหลืออยู่, 
              อธิบายว่า ถึงวาระเฝ้าวิหาร อยู่ในวิหารเพียงรูปเดียว.
     [พระอุทายีขออันตรวาสกของพระเถรี] 
               ถามว่า เพราะเหตุไร พระอุทายีจึงกล่าวว่า ถ้าท่านพึงให้อันตรวาสกแก่เรา ดังนี้.
               แก้ว่า พระอุทายีเห็นอันตรวาสกเนื้อละเอียดแน่นและเกลี้ยง จึงกล่าวเพราะความอยากได้. 
อีกนัยหนึ่ง ความอยากได้ในอันตรวาสกของพระอุทายีนั้นเล็กน้อย, แต่โกฏฐาสสมบัติของพระเถรีถึงยอดสุด เพราะ
เหตุนั้น พระอุทายีจึงคิดว่า เราจักดูความอวบอัดแห่งสรีระร่างของพระเถรีนั้น แล้วยังความอยากได้ไม่สม่ำเสมอ
 (ความอยากได้ลุ่มๆ ดอนๆ) ให้เกิดขึ้น จึงได้กล่าวอย่างนี้.
               บทว่า อนฺติมํ ได้แก่ จีวรเป็นผืนสุดท้ายเขาทั้งหมดแห่งจีวร ๕ ผืน ชื่อว่าผืนสุดท้าย คือผืนท้ายสุด. 
จีวรผืนอื่นที่วิกัปหรือปัจจุทธรณ์ เก็บไว้แม้ด้วยเลศก็ไม่มี เพราะฉะนั้น พระเถรีกล่าวอย่างนี้ ด้วยอำนาจที่ทรงจีวร 
๕ ผืน ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาต ไม่ใช่ด้วยความโลภ.
               จริงอยู่ ความโลภของพระขีณาสพทั้งหลาย ย่อมไม่มี.
               บทว่า นิปฺปีฬิยมานา มีความว่า นางถูกพระอุทายีแสดงอุปมาแล้วคาดคั้นหนักเข้า.
               ข้อว่า อนฺตรวาสกํ ทตฺวา อคมาสิ มีความว่า พระเถรีนุ่งผ้ารัดถันแล้วได้แสดง (จีวร) บนฝ่ามือเท่านั้น
ถวาย โดยอาการที่มโนรถของพระอุทายีจะไม่เต็มที่ ได้ไปแล้ว.
               ถามว่า เพราะเหตุไร ภิกษุณีทั้งหลายจึงกล่าวโทษพวกภิกษุผู้ไม่รับจีวรที่แลกเปลี่ยน.
               แก้ว่า เพราะเป็นผู้ถูกความขาดแคลนมือ คือปัจจัยบีบคั้นอย่างนี้ว่า ถ้าพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายไม่มีความ
คุ้นเคยในพวกเรา แม้เพียงเท่านี้, พวกเราจักดำเนินชีวิตไปได้อย่างไรกัน?
               ข้อว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว อิเมสํ ปญฺจนฺนํ มีความว่า เราอนุญาตให้รับจีวรแลกเปลี่ยนกันของสหธรรมิก 
๕ จำพวกเหล่านี้ ผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีทิฏฐิเสมอกัน.
               สอง บทว่า ปโยเค ทุกฺกฏํ มีความว่า เป็นทุกกฏในเพราะอาการ
มีอันเหยียดมือออก เพื่อประสงค์จะรับเป็นต้น.
               บทว่า ปฏิลาเภน ได้แก่ เพราะรับ.
               ก็พึงทราบวินิจฉัยในการรับนั้นดังนี้ :-
    ภิกษุณีจงให้ที่มือด้วยมือก็ตาม วางไว้ที่ใกล้เท้าก็ตาม โยนไปในเบื้องบนก็ตาม, ถ้าภิกษุยินดี จีวรย่อม
เป็นอันภิกษุนั้นรับแล้วทีเดียว. ก็ถ้าว่าภิกษุรับเอาจีวรที่ภิกษุณีฝากไปในมือของนางสิกขมานา สามเณร สามเณรี
อุบาสกและอุบาสิกาเป็นต้น ไม่เป็นอาบัติ. บริษัททั้ง ๔ นำจีวรและผ้าสีต่างๆ มาวางไว้ใกล้เท้าแห่งภิกษุผู้กล่าว
ธรรมกถา หรือยืนในอุปาจาร หรือละอุปจารโยนให้. บรรดาผ้าเหล่านั้น จีวรใดเป็นของนางภิกษุณีทั้งหลาย, เป็น
อาบัติแก่ภิกษุผู้รับจีวรนั้นเหมือนกัน นอกจากแลกเปลี่ยนกัน.               ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีและกุรุนทีว่า
 ก็ถ้าว่า จีวรทั้งหลายย่อมเป็นอันบริษัท ๔ โยนไปในเวลากลางคืน, ภิกษุไม่อาจรู้ได้ว่า นี้ของภิกษุณี นี้ของคนอื่น, 
ไม่มีกิจด้วยการแลกเปลี่ยน. คำที่กล่าวไว้ในมหาปัจจรีและกุรุนทีนั้น ไม่สมกัน เพราะสิกขาบทเป็นอจิตตกะ.
   ถ้าภิกษุณีถวายผ้าอาบน้ำฝน พึงกระทำให้เป็นของแลกเปลี่ยนเหมือนกัน. ก็ถ้าภิกษุณีวางไว้ที่กองหยากเยื่อ
เป็นต้นด้วยตั้งใจว่า ภิกษุทั้งหลายจงถือเอาเป็นผ้าบังสุกุล ดังนี้, ภิกษุจะอธิษฐานเป็นผ้าบังสุกุลถือเอา ควรอยู่.
 ข้อว่า อญฺญาติกาย อญฺญาติกสญฺญี คือ เป็นติกปาจิตตีย์.        สอง บทว่า เอกโต อุปสมฺปนฺนาย มีความว่า เป็น
ทุกกฏแก่ภิกษุผู้รับจากมือของภิกษุณีผู้อุปสมบท ในสำนักนางภิกษุณีทั้งหลาย (ฝ่ายเดียว) แต่เป็นปาจิตตีย์ 
(แก่ภิกษุผู้รับจากมือ) ของภิกษุณีผู้อุปสมบทในสำนักแห่งภิกษุทั้งหลาย.    สอง บทว่า ปริตฺเตน วา วิปุลํ มีความว่า
 ถ้าแม้นว่า ภิกษุจะรับไตรจีวรมีค่ามาก ด้วยจีวรมีค่าน้อย หรือด้วยบริขารอื่นมีถุงรองเท้า ถลกบาตร ผ้าอังสะ และ
ประคดเอวเป็นต้น,       ไม่เป็นอาบัติ. แต่ในมหาปัจจรี         ท่านกล่าวว่า                    ชั้นที่สุดแม้ด้วยชิ้นสมอ.
               สอง บทว่า วิปุเลน วา ปริตฺตํ นี้ ผู้ศึกษาพึงทราบโดยความวิปลาส (ตรงกันข้าม) จากที่กล่าวแล้ว.
    สอง บทว่า อญฺญํ ปริกฺขารํ มีความว่า บริขารชนิดใดชนิดหนึ่งมีถลกบาตรเป็นต้น. แต่แม้ผ้ากรองน้ำมีขนาด
เท่าจีวรอย่างต่ำที่ต้องวิกัป ไม่ควร. จีวรใดไม่พอที่จะอธิษฐาน ไม่พอที่จะวิกัป, จีวรนั้นควรทุกอย่าง. ถ้าแม้นเป็น
ผ้าเปลือกฟูกมีขนาดเท่าเตียง                  ก็สมควรเหมือนกัน. ก็จะป่วยกล่าวไปไยในผ้าถลกบาตรเป็นต้นเล่า?
               บทที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น.      บรรดาสมุฏฐานเป็นต้น สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๖ เป็นทั้งกิริยา ทั้งอกิริยา 
เป็นโนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.
พรรณนาจีวรปฏิคคหณสิกขาบทที่ ๕ จบ.               

นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๕ ว่าด้วย การรับจีวรจากมือภิกษุณี พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่องภิกษุณีอุปปลวัณณา 
   [๔๖] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ
   พระเวฬุวัน อันเป็นสถานที่พระราชทาน
เหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์.
 ครั้งนั้น ภิกษุณีอุปปลวัณณาอยู่ในพระนคร สาวัตถี ครั้นเวลาเช้า นางครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี กลับจากบิณฑบาตในเวลาหลังอาหาร
แล้ว เดินเข้าไปทางป่าอันธวัน เพื่อพักผ่อนกลางวัน เข้าไป ถึงป่าอันธวันแล้ว นั่งพักกลางวันที่โคนไม้แห่งหนึ่ง. สมัยนั้น พวกโจรทำโจรกรรม ฆ่าแม่โคแล้วพากันถือเนื้อเข้าไปสู่ป่าอันธวัน. นายโจร แลเห็นภิกษุณีอุปปลวัณณา
นั่งพักกลางวันอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง ครั้นแล้วจึงดำริว่า ถ้าพวกโจร ลูกน้องของเราพบเข้า
 จักเบียดเบียนภิกษุณีนี้ แล้วได้เลี่ยงไปทางอื่น. ครั้นเมื่อเนื้อสุกแล้ว นายโจรนั้นได้เลือกเนื้อชิ้นที่ดีๆ เอาใบไม้ห่อแขวน
ไว้ที่ต้นไม้ใกล้ภิกษุณีอุปปลวัณณาแล้วกล่าวว่า เนื้อห่อนี้เราให้แล้วจริงๆ ผู้ใดเป็นสมณะหรือพราหมณ์ได้เห็น
 จงถือเอาไปเถิด ดังนี้แล้ว หลีกไป. ภิกษุณีอุปปลวัณณาออกจากสมาธิ ได้ยินนายโจรนั้นกล่าววาจานี้ จึงถือเอา
เนื้อนั้นไปสู่ สำนัก. ครั้นราตรีนั้นผ่านไป นางทำเนื้อนั้นสำเร็จแล้ว ห่อด้วยผ้าอุตราสงค์ เหาะไปลงที่พระเวฬุวัน.
 [๔๗] ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังหมู่บ้าน. ท่าน พระอุทายีเหลืออยู่เฝ้า
พระวิหาร. จึงภิกษุณีอุปปลวัณณาเข้าไปหาท่าน ครั้นแล้วถามว่า 
           ท่านเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ไหน? 
              ท่านพระอุทายีตอบว่า ดูกรน้องหญิง พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังหมู่บ้าน. 
              อุป. โปรดถวายเนื้อนี้แด่พระผู้มีพระภาค เจ้าข้า. 
   อุทายี. ดูกรน้องหญิง พระผู้มีพระภาคทรงอิ่มเอิบด้วยเนื้อของเธอ ถ้าเธอถวายผ้า อันตรวาสกแก่อาตมา 
แม้อาตมาก็จะพึงอิ่มเอิบด้วยผ้าอันตรวาสกเหมือนเช่นนั้น. 
              อุป. ท่านเจ้าข้า ความจริง พวกดิฉันชื่อว่ามาตุคาม มีลาภน้อย ทั้งผ้า
ผืนนี้ก็เป็นจีวร ผืนสุดท้ายที่ครบ ๕ ของดิฉัน ดิฉันถวายไม่ได้.
               อุทายี. ดูกรน้องหญิง เปรียบเหมือนบุรุษให้ช้างแล้ว ก็ควรสละสัปคับสำหรับช้างด้วย ฉันใด เธอก็ฉันนั้น
เหมือนกันแล ถวายเนื้อแด่พระผู้มีพระภาคแล้ว ก็จงสละผ้าอันตรวาสก ถวายแก่อาตมา. ครั้นนางถูกท่านพระอุทายี
แคะไค้ จึงได้ถวายผ้าอันตรวาสกแล้วกลับไปสู่สำนัก. ภิกษุณี ทั้งหลายที่คอยรับบาตรจีวรของภิกษุณีอุปปลวัณณา
ได้ถามว่า แม่เจ้า ผ้าอันตรวาสกของคุณแม่ อยู่ที่ไหน? นางได้เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย ภิกษุณีทั้งหลาย 
จึงพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระคุณเจ้าอุทายีจึงได้รับจีวรจากมือภิกษุณีเล่า เพราะมาตุคามมี
ลาภน้อย ครั้นแล้วภิกษุณีเหล่านั้นได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย. บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย 
มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็ เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระอุทายีจึงได้รับจีวรจากมือภิกษุณี
เล่า แล้วกราบ ทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม 
 ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้า
มูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระอุทายีว่า
                ดูกรอุทายี ข่าวว่าเธอรับจีวรจากมือ ภิกษุณี จริงหรือ?
               ท่านพระอุทายีทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
               ภ. ดูกรอุทายี นางเป็นญาติของเธอ หรือมิใช่ญาติ? 
              อุ. มิใช่ญาติ พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียน 
  พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ใช่กิจของสมณะ 
ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ บุรุษที่มิใช่ญาติ ย่อมไม่รู้การกระทำอันสมควรหรือไม่สมควร ของที่มีอยู่หรือไม่มีของสตรี
ที่มิใช่ญาติ เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอยังรับจีวรจากมือ ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติได้ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อ
ความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำ
ของเธอนั่น เป็นไป เพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อ
            ความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่ เลื่อมใสแล้ว. 
ทรงบัญญัติสิกขาบท 
  พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระอุทายี โดยอเนกปริยายดั่งนี้แล้ว ตรัสโทษแห่ง          ความเป็นคนเลี้ยงยาก 
ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความ คลุกคลี       ความเกียจคร้าน ตรัสคุณ
แห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา     ความกำจัด อาการที่
น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น 
ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย           เพราะเหตุนั้นแล 
เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัย อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีล
เป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะ บังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความ
เลื่อมใสของชุมชน ที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่ง
 พระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ 
              ๓๔. ๕. อนึ่ง ภิกษุใดรับจีวรจากมือภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. 
 ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการ ฉะนี้. 
เรื่องภิกษุณีอุปปลวัณณา จบ. 
พระอนุบัญญัติ 
เรื่องแลกเปลี่ยน 
    [๔๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายตั้งรังเกียจ ไม่รับจีวรแลกเปลี่ยนของภิกษุณี ทั้งหลาย ภิกษุณีทั้งหลาย 
จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระคุณเจ้าทั้งหลาย จึงไม่รับจีวร แลกเปลี่ยนของพวกเรา ภิกษุทั้งหลายได้ยิน
ภิกษุณีเหล่านั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ทรงอนุญาตให้รับจีวรแลกเปลี่ยน
              ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุ แรกเกิดนั้น แล้ว
รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รับจีวร แลกเปลี่ยนกันของสหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ
 ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี เราอนุญาตให้รับจีวรแลกเปลี่ยนกันของสหธรรมิกทั้ง ๕ นี้. 
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระอนุบัญญัติ 
  ๓๔.๕. ก. อนึ่ง ภิกษุใดรับจีวรจากมือภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ เว้นไว้แต่ของ แลกเปลี่ยน เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. 
เรื่องแลกเปลี่ยน จบ.
สิกขาบทวิภังค์
   [๔๙] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือผู้เช่นใด มีการงานอย่างใด มีชาติอย่างใด มีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด
 มีปกติอย่างใด มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็นเถระก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม เป็นนวกะก็ตาม นี้
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อนึ่ง ... ใด.     บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้ขอ ชื่อว่า ภิกษุ
เพราะอรรถว่า ประพฤติภิกขาจริยวัตร ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า ทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว ชื่อว่า ภิกษุ โดย
สมญา ชื่อว่า ภิกษุ โดยปริญญา ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นเอหิภิกษุชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อุปสมบท 
แล้วด้วยไตรสรณคมน์ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้เจริญ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า มีสารธรรม ชื่อว่า 
ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นพระเสขะ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระอเสขะ           ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็น
ผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่
สงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบควรแก่ฐานะ นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์
ในอรรถนี้.ที่ชื่อว่า ผู้มิใช่ญาติ คือไม่ใช่คนเนื่องถึงกัน ทางมารดาก็ดี ทางบิดาก็ดี ตลอด ๗ ชั่วอายุของบุรพชนก.
             ที่ชื่อว่า ภิกษุณี ได้แก่สตรีผู้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ ๒ ฝ่าย.
             ที่ชื่อว่า จีวร ได้แก่จีวร ๖ ชนิด ชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเข้าองค์กำหนดแห่งผ้าต้องวิกัปเป็นอย่างต่ำ.
         บทว่า เว้นไว้แต่ของแลกเปลี่ยน คือ ยกเสียแต่จีวรที่แลกเปลี่ยนกัน.
             ภิกษุรับ เป็นทุกกฏในประโยคที่รับ เป็นนิสสัคคีย์ด้วยได้จีวรมา ต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละจีวรนั้นอย่างนี้:-
วิธีเสียสละ
เสียสละแก่สงฆ์
             ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้า
ภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-
             ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า รับมาแล้วจากมือภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ เว้น
แต่แลกเปลี่ยนกัน เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่สงฆ์.
             ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ 
พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้เป็นของจำจะสละเธอสละแล้วแก่สงฆ์ 
ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่คณะ
             ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า
 กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-
   ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า รับมาแล้วจากมือภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ เว้นแต่
แลกเปลี่ยนกัน เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย.
             ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ 
พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
             ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย 
ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว ท่านทั้งหลายพึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่บุคคล
             ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-
             ท่าน จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า รับมาแล้วจากมือภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ เว้นแต่
แลกเปลี่ยนกัน เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่าน.
             ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ 
พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้.
บทภาชนีย์
ติกะนิสสัคคิยปาจิตตีย์
             [๕๐] ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ รับจีวรจากมือ 
            เว้นแต่แลกเปลี่ยนกัน เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย รับจีวรจากมือ เว้นแต่แลกเปลี่ยนกัน เป็นนิสสัคคีย์ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ รับจีวรจากมือ เว้นแต่
          แลกเปลี่ยนกัน เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ
         [๕๑] ภิกษุรับจีวรจากมือภิกษุณีผู้อุปสมบทแต่สงฆ์ฝ่ายเดียว เว้นแต่แลกเปลี่ยนกันต้องอาบัติทุกกฏ.
             ภิกษุณีผู้เป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ รับจีวรจากมือ ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ภิกษุณีผู้เป็นญาติ ภิกษุสงสัย รับจีวรจากมือ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ            ภิกษุณีผู้เป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ รับจีวรจากมือ ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร             [๕๒] ภิกษุรับจีวรของภิกษุณีผู้เป็นญาติ ๑ แลกเปลี่ยนกัน คือแลกเปลี่ยนจีวรดีกับจีวรเลว 
หรือจีวรเลวกับจีวรดี ๑ ภิกษุถือวิสาสะ ๑ ภิกษุขอยืมไป ๑ ภิกษุรับบริขารอื่นนอกจากจีวร ๑ 
ภิกษุรับจีวรของสิกขมานา ๑ ภิกษุรับจีวรของสามเณรี ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
จีวรวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ.