Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กตาปัตติวารที่.๒ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กตาปัตติวารที่.๒ แสดงบทความทั้งหมด

29 มกราคม 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ภิกขุนีวิภังค์ ๑๖ มหาวาร กตาปัตติวารที่ ๒ ปาจิตติยกัณฑ์ คำถามและคำตอบในลสุณวรรค ในรัตตันธการวรรค ในนหานวรรค ในตุวัฏฏวรรค ในจิตตาคารวรรค ในอารามวรรค ในคัพภินีวรรค ในกุมารีภูตวรรค ในฉัตตุปาหนวรรค

   ทำบุญ 
คำถามและคำตอบในลสุณวรรคที่ ๑
       [๖๗๕] ภิกษุณีฉันกระเทียม ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ  คำกลืน ๑.
       [๖๗๖] ภิกษุณีให้ถอนขนในที่แคบ ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ถอน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ถอนเสร็จแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๗๗] ภิกษุณีใช้ของลับกระทบกัน ต้องอาบัติ ๒ คือกำลังทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๗๘] ภิกษุณีใช้ท่อนยางเกลี้ยง ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังใช้ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อใช้เสร็จแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๗๙] ภิกษุณีใช้น้ำชำระให้สะอาดลึกเกิน ๒ ข้อองคุลีเป็นอย่างยิ่ง ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังใช้ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อใช้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๘๐] ภิกษุณีบำรุงภิกษุผู้กำลังฉัน ด้วยน้ำฉัน ด้วยการพัด ต้องอาบัติ ๒ คือ ยืนอยู่ในหัตถบาส ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ ยืนพ้นหัตถบาส ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
       [๖๘๑] ภิกษุณีขอข้าวเปลือกสดมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือรับประเคนด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกคำกลืน ๑.
       [๖๘๒] ภิกษุณีเทอุจจาระก็ดี ปัสสาวะก็ดี น้ำลายก็ดี หยากเยื่อก็ดี ของเป็นเดนก็ดี ที่ภายนอกฝา ต้องอาบัติ ๒ คือกำลังเท เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อเทแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๘๓] ภิกษุณีเทอุจจาระก็ดี ปัสสาวะก็ดี น้ำลายก็ดี หยากเยื่อก็ดี ของเป็นเดนก็ดี บนของเขียวสด ต้องอาบัติ ๒ คือกำลังเทเป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อเทแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๘๔] ภิกษุณีไปดูฟ้อนรำก็ดี ขับร้องก็ดี ประโคมก็ดี ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังไปต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ยืนอยู่ในที่ใดมองเห็นหรือได้ยิน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. ลสุณวรรคที่ ๑ จบ
คำถามและคำตอบในรัตตันธการวรรคที่ ๒
       [๖๘๕] ภิกษุณียืนร่วมกับบุรุษในเวลาค่ำคืน ไม่มีประทีปส่องหนึ่งต่อหนึ่งต้องอาบัติ ๒ คือ ยืนอยู่ในหัตถบาส ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ ยืนพ้นหัตถบาสต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
       [๖๘๖] ภิกษุณียืนร่วมกับบุรุษในโอกาสอันกำบังหนึ่งต่อหนึ่ง ต้องอาบัติ ๒ คือ ยืนอยู่ในหัตถบาส ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ ยืนพ้นหัตถบาส ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
       [๖๘๗] ภิกษุณียืนร่วมกับบุรุษในที่แจ้ง หนึ่งต่อหนึ่ง ต้องอาบัติ ๒ คือ ยืนอยู่ในหัตถบาส ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ ยืนพ้นหัตถบาส ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
       [๖๘๘] ภิกษุณียืนร่วมกับบุรุษ ในถนนก็ดี ในตรอกตันก็ดี ในทางสามแพร่งก็ดี หนึ่งต่อหนึ่ง ต้องอาบัติ ๒ คือ ยืนอยู่ในหัตถบาส ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ ยืนพ้นหัตถบาส ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
       [๖๘๙] ภิกษุณีเข้าไปสู่สกุลในเวลาเช้า นั่งบนอาสนะแล้ว ไม่บอกลาเจ้าของ กลับไปต้องอาบัติ ๒ คือ ก้าวเท้าที่ ๑ ล่วงพ้นชายคาไป ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ก้าวเท้าที่ ๒ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๙๐] ภิกษุณีเข้าไปสู่สกุลในเวลาหลังภัตตกาล ไม่บอกเจ้าของแล้วนั่งบนอาสนะ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังนั่ง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อนั่งแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๙๑] ภิกษุณีเข้าไปสู่สกุลในเวลาวิกาล ไม่บอกเจ้าของ ลาดเองก็ดี ให้ลาดก็ดี ซึ่งที่นอน แล้วขึ้นนั่ง ต้องอาบัติ ๒ คือ ขึ้นนั่ง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อขึ้นนั่งแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๙๒] ภิกษุณีให้ภิกษุณีรูปอื่นโพนทะนา ด้วยเรื่องที่ถือผิด เข้าใจผิด ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้โพนทะนา เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้โพนทะนาแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๙๓] ภิกษุณีแช่งตนก็ดี ผู้อื่นก็ดี ด้วยนรกก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังแช่ง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อแช่งแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๙๔] ภิกษุณีประหัตประหารตนแล้ว ร้องไห้ ต้องอาบัติ ๒ คือประหัตประหารแล้วร้องไห้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ ประหัตประหาร แต่ไม่ร้องไห้ต้องอาบัติทุกกฏ ๑. รัตตันธการวรรคที่ ๒ จบ
คำถามและคำตอบในนหานวรรคที่ ๓
       [๖๙๕] ภิกษุณีเปลือยกายอาบน้ำ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังอาบ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ อาบเสร็จ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๙๖] ภิกษุณีให้ทำผ้าอาบน้ำฝนเกินประมาณ ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ทำเป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้ทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๙๗] ภิกษุณีเลาะเองก็ดี ให้ผู้อื่นเลาะก็ดี ซึ่งจีวรของภิกษุณี แล้วไม่เย็บ ไม่ทำการขวนขวายเพื่อให้เย็บ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ปาจิตตีย์.
       [๖๙๘] ภิกษุณีผลัดเปลี่ยนผ้าสังฆาฏิ อันมีกำหนด ๕ วัน ให้เกินไปต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ปาจิตตีย์.
       [๖๙๙] ภิกษุณีใช้จีวรสับเปลี่ยน ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังใช้ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อใช้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๐๐] ภิกษุณีทำลาภคือจีวรของหมู่ให้เป็นอันตราย ต้องอาบัติ ๒ คือกำลังทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๐๑] ภิกษุณีห้ามการแจกจีวร อันเป็นไปโดยชอบธรรม ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังห้าม เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อห้ามแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๐๒] ภิกษุณีให้สมณจีวรแก่ชาวบ้านก็ดี ปริพาชกก็ดี ปริพาชิกาก็ดี ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๐๓] ภิกษุณียังสมัยจีวรกาลให้ล่วงไป ด้วยหวังจะได้จีวรอันไม่แน่นอน ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ล่วงไป เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ล่วงไปแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๐๔] ภิกษุณีห้ามการเดาะกฐิน อันเป็นไปโดยชอบธรรม ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังห้าม เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อห้ามแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.  นหานวรรคที่ ๓ จบ
คำถามและคำตอบในตุวัฏฏวรรคที่ ๔
       [๗๐๕] ภิกษุณีสองรูป นอนบนเตียงเดียวกัน ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังนอน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อนอนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๐๖] ภิกษุณี ๒ รูป มีเครื่องลาดและผ้าห่มผืนเดียวกันนอน ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังนอน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อนอนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๐๗] ภิกษุณีแกล้งทำความไม่ผาสุกแก่ภิกษุณี ต้องอาบัติ ๒ คือกำลังทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๐๘] ภิกษุณีไม่บำรุงสหชีวินีผู้ได้รับทุกข์ ทั้งไม่ทำการขวนขวายเพื่อให้ผู้อื่นบำรุง ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือปาจิตตีย์.
       [๗๐๙] ภิกษุณีให้ที่อาศัยแก่ภิกษุณีแล้ว โกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าออก ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังฉุดคร่า เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อฉุดคร่าออกแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๑๐] ภิกษุณีผู้คลุกคลีไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติ ๒ คือ จบญัตติ เป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๑๑] ภิกษุณีไม่มีพวกเกวียนเป็นเพื่อน เที่ยวจาริกภายในแว่นแคว้น ซึ่งรู้กันว่าเป็นที่มีรังเกียจ มีภัยเฉพาะหน้า ต้องอาบัติ ๒ คือ เดินไป เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อเดินไปแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๑๒] ภิกษุณีไม่มีพวกเกวียนเป็นเพื่อน เที่ยวจาริกภายนอกแว่นแคว้น ซึ่งรู้กันว่าเป็นที่มีรังเกียจ มีภัยเฉพาะหน้า ต้องอาบัติ ๒ คือ เดินไป เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อเดินไปแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๑๓] ภิกษุณีเที่ยวจาริกภายในพรรษา ต้องอาบัติ ๒ คือ เดินไปเป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อเดินไปแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๑๔] ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้ว ไม่หลีกไปสู่จาริก ต้องอาบัติตัวหนึ่งคือ ปาจิตตีย์.  ตุวัฏฏวรรคที่ ๔ จบ
คำถามและคำตอบในจิตตาคารวรรคที่ ๕
       [๗๑๕] ภิกษุณีไปชมโรงละครหลวงก็ดี โรงประกวดภาพก็ดี สถานที่หย่อนใจก็ดี อุทยานก็ดี สระโบกขรณีก็ดี ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังไป เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ยืนอยู่ในที่ใดมองเห็น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๑๖] ภิกษุณีใช้สอยอาสันทิก็ดี บัลลังก์ก็ดี ต้องอาบัติ ๒ คือ ใช้สอย เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อใช้สอยแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๑๗] ภิกษุณีกรอด้าย ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังกรอ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ม้วนไปๆ  ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๑๘] ภิกษุณีช่วยทำธุระของคฤหัสถ์ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังทำเป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๑๙] ภิกษุณีผู้อันภิกษุณีกล่าวว่า มาเถิด แม่เจ้า ขอจงช่วยระงับอธิกรณ์นี้ รับคำว่า ดีละ แล้วไม่ช่วยระงับ ไม่ทำการขวนขวายเพื่อให้ระงับ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ปาจิตตีย์.
       [๗๒๐] ภิกษุณีให้ของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี แก่ชาวบ้านก็ดี แก่ปริพาชกก็ดี แก่ปริพาชิกาก็ดี ด้วยมือของตน ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๒๑] ภิกษุณีไม่สละผ้าอาศัยแล้วใช้เสียเอง ต้องอาบัติ ๒ คือใช้สอย เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อใช้สอยแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๒๒] ภิกษุณีไม่มอบหมายที่อยู่แล้วหลีกไปสู่จาริก ต้องอาบัติ ๒ คือเดินล่วงที่ล้อมก้าวหนึ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เดินล่วงที่ล้อมสองก้าว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๒๓] ภิกษุณีเรียนติรัจฉานวิชา ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังเรียนเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ  บท ๑.
       [๗๒๔] ภิกษุณีบอกติรัจฉานวิชา ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังบอกเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ  บท ๑.   จิตตาคารวรรคที่ ๕ จบ
คำถามและคำตอบในอารามวรรคที่ ๖
       [๗๒๕] ภิกษุณีรู้อยู่ ไม่บอกกล่าวก่อนเข้าไปสู่อารามที่มีภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือเดินล่วงที่ล้อมก้าวหนึ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เดินล่วงที่ล้อมสองก้าวต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๒๖] ภิกษุณีด่าบริภาษภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ ด่า เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อด่าแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๒๗] ภิกษุณีแค้นเคืองบริภาษคณะ ต้องอาบัติ ๒ คือ บริภาษ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อบริภาษแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๒๘] ภิกษุณีอันทายกนิมนต์แล้ว หรือห้ามภัตรแล้ว ฉันของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดีต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วยตั้งใจจักเคี้ยว จักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ  คำกลืน ๑.
       [๗๒๙] ภิกษุณีหวงตระกูล ต้องอาบัติ ๒ คือ หวง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อหวงแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๓๐] ภิกษุณีจำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ จัดแจงเสนาสนะจัดตั้งน้ำฉันน้ำใช้ กวาดบริเวณด้วยตั้งใจจะจำพรรษา ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์พร้อมกับอรุณขึ้น ๑.
       [๗๓๑] ภิกษุณีจำพรรษาแล้ว ไม่ปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย ด้วยสถาน ๓ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ปาจิตตีย์.
       [๗๓๒] ภิกษุณีไม่ไปเพื่อรับโอวาท หรือเพื่อร่วมสังฆกรรม ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือปาจิตตีย์.
       [๗๓๓] ภิกษุณีไม่ถามอุโบสถก็ดี ไม่ขอโอวาทก็ดี ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือปาจิตตีย์.
       [๗๓๔] ภิกษุณีไม่บอกสงฆ์หรือคณะ ให้บุรุษผ่าฝีก็ดี บาดแผลก็ดี ซึ่งเกิดที่แง้มขาตัวต่อตัวร่วมกัน ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ผ่า เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อผ่าแล้ว ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์ ๑.  อารามวรรคที่ ๖ จบ.
คำถามและคำตอบในคัพภินีวรรคที่ ๗
       [๗๓๕] ภิกษุณียังสตรีมีครรภ์ให้บวช ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้บวช เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้บวชแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๓๖] ภิกษุณียังสตรีแม่ลูกอ่อนให้บวช ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้บวชเป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้บวชแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๓๗] ภิกษุณียังสิกขมานาผู้มีสิกขายังไม่ได้ศึกษาในธรรม ๖ ประการ ตลอด ๒ ปีให้บวช ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้บวช เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้บวชแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๓๘] ภิกษุณียังสิกขมานาผู้มีสิกขาอันได้ศึกษาในธรรม ๖ ประการ ตลอด ๒ ปีแล้ว แต่สงฆ์ยังไม่ได้สมมติ ให้บวช ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้บวชเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้บวชแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๓๙] ภิกษุณียังเด็กหญิงมีอายุหย่อน ๑๒ ปี ให้บวช ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้บวชเป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้บวชแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๔๐] ภิกษุณียังเด็กหญิงมีอายุครบ ๑๒ ปีแล้ว แต่มีสิกขายังไม่ได้ศึกษาในธรรม ๖ ประการตลอด ๒ ปี ต้องอาบัติ ๒ คือให้บวช เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้บวชแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๔๑] ภิกษุณียังเด็กหญิงมีอายุครบ ๑๒ ปี มีสิกขาอันได้ศึกษาในธรรม ๖ ประการตลอด ๒ ปีแล้ว แต่สงฆ์ยังไม่สมมติให้บวช ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้บวช เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้บวชแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๔๒] ภิกษุณียังสหชีวินีให้บวชแล้ว ไม่อนุเคราะห์ ไม่ให้ผู้อื่นอนุเคราะห์ตลอด ๒ ปี ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ปาจิตตีย์.
       [๗๔๓] ภิกษุณีไม่ติดตามปวัตตินีผู้ให้อุปสมบท ตลอด ๒ ปี ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ปาจิตตีย์.
       [๗๔๔] ภิกษุณียังสหชีวินีให้อุปสมบทแล้ว ไม่พาหลีกไปเอง ไม่ยังผู้อื่นให้พาหลีกไป ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ปาจิตตีย์.  คัพภินีวรรคที่ ๗ จบ.
คำถามและคำตอบในกุมารีภูตวรรคที่ ๘
       [๗๔๕] ภิกษุณียังสามเณรีที่เป็นเด็กหญิงมีอายุหย่อน ๒๐ ปี ให้อุปสมบท ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้อุปสมบท เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้อุปสมบทแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๔๖] ภิกษุณียังสามเณรีที่เป็นเด็กหญิงมีอายุครบ ๒๐ ปีแล้ว แต่มีสิกขายังไม่ได้ศึกษาในธรรม ๖ ประการตลอด ๒ ปี ให้อุปสมบท ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้อุปสมบท เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้อุปสมบทแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๔๗] ภิกษุณียังสามเณรีผู้มีอายุครบ ๒๐ ปี มีสิกขาอันได้ศึกษาในธรรม ๖ ประการตลอด ๒ ปีแล้ว แต่สงฆ์ยังไม่ได้สมมติให้อุปสมบท ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้อุปสมบท เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้อุปสมบทแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๔๘] ภิกษุณีมีพรรษาหย่อน ๑๒ ให้อุปสมบท ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้อุปสมบทเป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้อุปสมบทแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๔๙] ภิกษุณีมีพรรษาครบ ๑๒ แล้ว แต่สงฆ์ยังไม่ได้สมมติ ให้อุปสมบท ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้อุปสมบท เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้อุปสมบทแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๕๐] ภิกษุณีผู้อันภิกษุณีกล่าวอยู่ว่า อย่าเพ่อก่อน แม่คุณ ท่านอย่ายังสิกขมานาให้อุปสมบท รับคำว่า ดีละ แล้วถึงธรรมคือความบ่นว่าในภายหลังต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังบ่น
ว่า เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อบ่นว่าแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๕๑] ภิกษุณีกล่าวกะสิกขมานาว่า แม่เจ้า ถ้าท่านจักให้จีวรแก่เราๆ  จะให้ท่านอุปสมบทตามปรารถนา แล้วไม่ให้อุปสมบท ไม่ทำการขวนขวายเพื่อให้อุปสมบท ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ปาจิตตีย์.
       [๗๕๒] ภิกษุณีกล่าวกะสิกขมานาว่า แม่เจ้า ถ้าท่านจักติดตามเราตลอด ๒ ปี เราจักให้ท่านอุปสมบทตามปรารถนา แล้วไม่ให้อุปสมบท ไม่ทำการขวนขวายเพื่อให้อุปสมบท ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ปาจิตตีย์.
       [๗๕๓] ภิกษุณียังสิกขมานาผู้เกี่ยวข้องด้วยบุรุษ ผู้คลุกคลีกับเด็กหนุ่ม ผู้ดุร้าย ยังชายให้ระทมโศก ให้อุปสมบท ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้อุปสมบท เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้อุปสมบทแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๕๔] ภิกษุณียังสิกขมานาผู้อันมารดาบิดา หรือสามียังไม่อนุญาต ให้อุปสมบทต้องอาบัติ ๒ คือ ให้อุปสมบท เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้อุปสมบทแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๕๕] ภิกษุณียังสิกขมานาให้บวช ด้วยการให้ฉันทะค้างคราว ต้องอาบัติ ๒ คือให้บวช เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้บวชแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๕๖] ภิกษุณียังสิกขมานาให้บวชทุกปี ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้บวชเป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้บวชแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๕๗] ภิกษุณียังสิกขมานาให้บวชปีละ ๒ รูป ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้บวช เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้บวชแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.  กุมารีภูตวรรคที่ ๘ จบ.
คำถามและคำตอบในฉัตตุปาหนวรรคที่ ๙
       [๗๕๘] ภิกษุณีใช้ร่มและรองเท้า ต้องอาบัติ ๒ คือ ใช้ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อใช้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๕๙] ภิกษุณีไปด้วยยาน ต้องอาบัติ ๒ คือ ไป เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อไปแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๖๐] ภิกษุณีใช้เครื่องประดับเอว ต้องอาบัติ ๒ คือ ใช้ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อใช้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๖๑] ภิกษุณีใช้เครื่องประดับสำหรับสตรี ต้องอาบัติ ๒ คือ ใช้ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อใช้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๖๒] ภิกษุณีอาบน้ำปรุงเครื่องประเทืองผิว ต้องอาบัติ ๒ คือ อาบ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ อาบเสร็จ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๖๓] ภิกษุณีอาบน้ำปรุงกำยานเป็นเครื่องอบ ต้องอาบัติ ๒ คือ อาบเป็นทุกกฏในประโยค ๑ อาบเสร็จ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๖๔] ภิกษุณียังภิกษุณีให้นวด ให้ขยำ ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้นวด เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อนวดแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๖๕] ภิกษุณียังสิกขมานาให้นวด ให้ขยำ ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้นวด เป็นทุกกฏ ในประโยค ๑ เมื่อนวดแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๖๖] ภิกษุณียังสามเณรีให้นวด ให้ขยำ ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้นวดเป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อนวดแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       ภิกษุณียังหญิงคฤหัสถ์ให้นวด ให้ขยำ ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้นวดเป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อนวดแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       ภิกษุณีไม่ขอโอกาส นั่งบนอาสนะข้างหน้าภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ นั่งเป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อนั่งแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๖๗] ภิกษุณีถามปัญหากะภิกษุผู้ที่ตนยังมิได้ขอโอกาส ต้องอาบัติ ๒ คือ ถามเป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อถามแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
       [๗๖๘] ภิกษุณีไม่มีผ้ารัดถันเข้าไปสู่บ้าน ต้องอาบัติ ๒ คือ เดินล่วงที่ล้อมก้าวที่หนึ่งต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เดินล่วงที่ล้อมก้าวที่สอง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. ฉัตตุปาหนวรรคที่ ๙ จบ.
ขุททกสิกขาบท ๙ วรรค จบ
ปาฏิเทสนียกัณฑ์ คำถามและคำตอบในปาฏิเทสนียกัณฑ์
[๗๖๙] ภิกษุณีขอเนยใสมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วยมุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑.
[๗๗๐] ภิกษุณีขอน้ำมันมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วยมุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑. 
[๗๗๑] ภิกษุณีขอน้ำผึ้งมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วยมุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑. 
[๗๗๒] ภิกษุณีขอน้ำอ้อยมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วยมุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑.
[๗๗๓] ภิกษุณีขอปลามาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วยมุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑. 
[๗๗๔] ภิกษุณีขอเนื้อมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วยมุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑. 
[๗๗๕] ภิกษุณีขอนมสดมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วยมุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑. 
[๗๗๖] ภิกษุณีขอนมส้มมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วยมุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑.  ปาฏิเทสนียะ ๘ สิกขาบจบ
  กตาปัตติวารที่ ๒ จบ
 วิปัตติวารที่ ๓
 [๗๗๗] ถามว่า อาบัติของภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคล ผู้กำหนัด จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔?  ตอบว่า อาบัติของภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด จัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ ...
[๗๗๘] ถามว่า อาบัติของภิกษุณีผู้ขอนมส้มมาฉัน จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔?  ตอบว่า อาบัติของภิกษุณีผู้ขอนมส้มมาฉัน จัดเป็นวิบัติอย่างหนึ่ง บรรดาวิบัติ ๔ คือ อาจารวิบัติ วิปัตติวารที่ ๓ จบ 
สังคหวารที่ ๔
             [๗๗๙] ถามว่า อาบัติของภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗?
             ตอบว่า อาบัติของภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัดสงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๓ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ
             [๗๘๐] ถามว่า อาบัติของภิกษุณีผู้ขอนมส้มมาฉัน สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไรบรรดากองอาบัติ ๗?
                     ตอบว่า อาบัติของภิกษุณีผู้ขอนมส้มมาฉัน สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๒ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาฏิเทสนียะ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ. สังคหวารที่ ๔ จบ 
สมุฏฐานวารที่ ๕
             [๗๘๑] ถามว่า อาบัติของภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖
             ตอบว่า อาบัติของภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัดเกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา
             [๗๘๒] ถามว่า อาบัติของภิกษุณีผู้ขอนมส้มมาฉัน เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖?
             ตอบว่า อาบัติของภิกษุณีผู้ขอนมส้มมาฉัน เกิดด้วยสมุฏฐาน ๔ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต. สมุฏฐานวารที่ ๕ จบ
อธิกรณวารที่ ๖ 
             [๗๘๓] ถามว่า อาบัติของภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด จัดเป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔?
             ตอบว่า อาบัติของภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย ของบุรุษบุคคลผู้กำหนัดจัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔
             [๗๘๔] ถามว่า อาบัติของภิกษุณีผู้ขอนมส้มมาฉัน จัดเป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔?
             ตอบว่า อาบัติของภิกษุณีผู้ขอนมส้มมาฉัน จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์บรรดาอธิกรณ์ ๔. อธิกรณวารที่ ๖ จบ
สมถวารที่ ๗
             [๗๘๕] ถามว่า อาบัติของภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด ย่อมระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
             ตอบว่า อาบัติของภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย ของบุรุษบุคคลผู้กำหนัดย่อมระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑
             [๗๘๖] ถามว่า อาบัติของภิกษุณีผู้ขอนมส้มมาฉัน ย่อมระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
             ตอบว่า อาบัติของภิกษุณีผู้ขอนมส้มมาฉันย่อมระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือบางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑  สมถารที่ ๗ จบ
สมุจจยวารที่ ๘
             [๗๘๗] ภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย ของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด ต้องอาบัติเท่าไร?
             ตอบว่า ภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด ต้องอาบัติ ๓ คือ ยินดีการจับต้องอวัยวะใต้รากขวัญลงมา เหนือหัวเข่าขึ้นไป ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ยินดีการจับต้องอวัยวะเหนือรากขวัญขึ้นไป ใต้หัวเข่าลงมา ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ยินดีการจับต้อง ของเนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
             ภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย ของบุรุษบุคคลผู้กำหนัดต้องอาบัติ ๓เหล่านี้?
             ถ. อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗? เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖? จัดเป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔? ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?             
             ต. อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๓ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิกบางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ.
             เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจาจัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑
             [๗๘๘] ถามว่า ภิกษุณีขอนมส้มมาฉัน ต้องอาบัติเท่าไร?
             ตอบว่า ภิกษุณีขอนมส้มมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วยมุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑ ภิกษุณีขอนมส้มมาฉัน ต้องอาบัติ ๒เหล่านี้.             
             ถ. อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไรบรรดากองอาบัติ ๗? เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖? จัดเป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔? ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?             
             ต. อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติอย่างหนึ่ง บรรดาวิบัติ ๔ คืออาจารวิบัติ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๒ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาฏิเทสนียะ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ.
             เกิดด้วยสมุฏฐาน ๔ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจามิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับวาจามิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่กายวาจาและจิต จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือบางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
สมุจจยวารที่ ๘ จบ

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ภิกขุนีวิภังค์ ๑๖ มหาวาร กตาปัตติวารที่ ๒ คำถามและคำตอบในปาราชิก ในสังฆาทิเสส และ ในนิสสัคคิยปาจิตตีย์

   ทำบุญ 
คำถามและคำตอบในปาราชิก
       [๖๔๙] ถามว่า ภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัดต้องอาบัติเท่าไร?
       ตอบว่า ภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด ต้องอาบัติ ๓ คือ:-
       ยินดีการจับต้องอวัยวะใต้รากขวัญลงมา เหนือหัวเข่าขึ้นไป ต้องอาบัติปาราชิก ๑
       ยินดีการจับต้องอวัยวะเหนือรากขวัญขึ้นไป ใต้หัวเข่าลงมา ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑
       ยินดีการจับต้องของเนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑
       ภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
       [๖๕๐] ถามว่า ภิกษุณีผู้ปกปิดโทษ ปกปิดโทษไว้ ต้องอาบัติเท่าไร?
       ตอบว่า ภิกษุณีผู้ปกปิดโทษ ปกปิดโทษไว้ ต้องอาบัติ ๓ คือ รู้อยู่ปกปิดธรรมมีโทษถึงปาราชิก ต้องอาบัติปาราชิก ๑ มีความสงสัยปกปิด ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ปกปิดอาจารวิบัติ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑
ภิกษุณีผู้ปกปิดโทษ ปกปิดโทษไว้ ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
       [๖๕๑] ถามว่า ภิกษุณีผู้ประพฤติตามพระอริฏฐะผู้ถูกสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันยกวัตรไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติเท่าไร?
       ตอบว่า ภิกษุผู้ประพฤติตามพระอริฏฐะผู้ถูกสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันยกวัตร ไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติเป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจา ๒ ครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติปาราชิก ๑
       ภิกษุณีผู้ประพฤติตามพระอริฏฐะ ผู้ถูกสงฆ์พร้อมเพรียงกันยกวัตร ไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
       [๖๕๒] ถามว่า ภิกษุณีผู้ยังวัตถุที่ ๘ ให้บริบูรณ์ ต้องอาบัติเท่าไร?
       ตอบว่า ภิกษุณีผู้ยังวัตถุที่ ๘ ให้บริบูรณ์ ต้องอาบัติ ๓ คือ อันบุรุษกล่าวว่า จงเดินไปยังห้องชื่อนี้ แล้วเดินไป ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ พอล่วงเข้าหัตถบาสของบุรุษ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ยังวัตถุที่ ๘ ให้บริบูรณ์ ต้องอาบัติปาราชิก ๑
       ภิกษุณียังวัตถุที่ ๘ ให้บริบูรณ์ ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
ปาราชิก จบ
คำถามและคำตอบในสังฆาทิเสส
       [๖๕๓] ภิกษุณีผู้กล่าวให้ร้าย ก่อคดีขึ้น ต้องอาบัติ ๓ คือ บอกแก่คนๆ  เดียวต้องอาบัติทุกกฏ ๑ บอกแก่คนที่สอง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ คดีถึงที่สุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑
       [๖๕๔] ภิกษุณีรับหญิงโจรให้บวช ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติเป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
       [๖๕๕] ภิกษุณีไปสู่ละแวกบ้านแต่ผู้เดียว ต้องอาบัติ ๓ คือเดินไป ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เดินล่วงเขตล้อมไป ๑ ก้าว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เดินล่วงเขตล้อมไป ๒ ก้าว ต้อง อาบัติสังฆาทิเสส ๑.
       [๖๕๖] ภิกษุณีไม่บอกกล่าวการกสงฆ์ ไม่รู้ฉันทะของคณะ รับภิกษุณีผู้ซึ่งสงฆ์พร้อมเพรียงกันยกเสียจากหมู่แล้ว ตามธรรม ตามวินัย ตามสัตถุศาสน์ให้เข้าหมู่ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ เป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
       [๖๕๗] ภิกษุณีมีความพอใจ รับของเคี้ยวก็ตาม ของฉันก็ตาม จากมือของบุรุษบุคคลผู้มีความพอใจ ด้วยมือของตนแล้วฉัน ต้องอาบัติ ๓ คือ รับไว้ด้วยตั้งใจจักเคี้ยว จักฉัน ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ต้องอาบัติสังฆาทิเสสทุกๆ  คำกลืน ๑ รับน้ำและไม้ชำระฟันต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
       [๖๕๘] ภิกษุณีกล่าวว่า แม่เจ้า บุรุษบุคคลนั้น มีความพอใจก็ตาม ไม่มีความพอใจก็ตาม จักทำอะไรแก่แม่เจ้าได้ เพราะแม่เจ้าไม่มีความพอใจ นิมนต์เถิด เจ้าข้า บุรุษบุคคลนั้นจะถวายสิ่งใด เป็นของเคี้ยวก็ตาม ของฉันก็ตาม แก่แม่เจ้า ขอแม่เจ้าโปรดรับประเคนของสิ่งนั้นด้วยมือของตน แล้วเคี้ยว
หรือฉันเถิด ดังนี้แล้วส่งไป ต้องอาบัติ ๓ คือ รับประเคนด้วย ตั้งใจจักเคี้ยว จักฉันตามคำของภิกษุณีนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติถุลลัจจัยทุกๆ  คำกลืน ๑ ฉันเสร็จ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
       [๖๕๙] ภิกษุณีผู้โกรธ ไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ เป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
       [๖๖๐] ภิกษุณีผู้ถูกตัดสินให้แพ้ในอธิกรณ์เรื่องหนึ่ง โกรธ ไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ เป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
       [๖๖๑] ภิกษุณีหลายรูปผู้คลุกคลีกันอยู่ ไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ เป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
       [๖๖๒] ภิกษุณีผู้สั่งว่า แม่เจ้าทั้งหลาย พวกท่านจงอยู่คลุกคลีกันเถิด อย่าอยู่ต่างหากกันเลย ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ เป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑. สังฆาทิเสส  จบ
ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก :[คลิกเพื่อฟัง]

คำถามและคำตอบในนิสสัคคิยปาจิตตีย์
       [๖๖๓] ภิกษุณีทำการสั่งสมบาตร ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
       [๖๖๔] ภิกษุณีอธิษฐานอกาลจีวรว่าเป็นกาลจีวร แล้วให้แจกกัน ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้แจก เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อแจกแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๖๕] ภิกษุณีแลกเปลี่ยนจีวรกับภิกษุณีแล้วชิงเอาไป ต้องอาบัติ ๒ คือ ชิงเอาไปเป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อชิงเสร็จแล้วเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๖๖] ภิกษุณีขอสิ่งของอย่างอื่น แล้วขอสิ่งของอย่างอื่นอีก ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังขอ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ขอเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๖๗] ภิกษุณีให้จ่ายของสิ่งอื่นแล้วให้จ่ายของสิ่งอื่นอีก ต้องอาบัติ ๒ คือให้จ่ายเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้จ่ายแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๖๘] ภิกษุณีให้จ่ายของอย่างอื่น ด้วยบริขารของสงฆ์ที่เขาถวายไว้เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เจาะจงของอย่างอื่น ต้องอาบัติ ๒ คือให้จ่าย เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้จ่ายแล้วเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๖๙] ภิกษุณีให้จ่ายของอย่างอื่น ด้วยบริขารของสงฆ์ที่เขาถวายไว้เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เจาะจงของอย่างอื่น ที่ขอมาเอง ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้จ่ายเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้จ่ายแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๗๐] ภิกษุณีให้จ่ายของอย่างอื่น ด้วยบริขารของคนหมู่มากที่เขาถวายไว้เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เจาะจงของอย่างอื่น ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้จ่าย เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้จ่ายแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๗๑] ภิกษุณีให้จ่ายของอย่างอื่น ด้วยบริขารของคนหมู่มากที่เขาถวายเพื่อประโยชน์อย่างอื่น เจาะจงของอย่างอื่น ที่ขอมาเอง ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้จ่าย เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้จ่ายแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๗๒] ภิกษุณีให้จ่ายของอย่างอื่น ด้วยบริขารของบุคคลที่เขาถวายไว้ เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เจาะจงของอย่างอื่น ที่ขอมาเอง ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้จ่ายเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้จ่ายแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๗๓] ภิกษุณีให้จ่ายผ้าห่มหนาราคาเกินกว่า ๔ กังสะเป็นอย่างยิ่ง ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้จ่าย เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้จ่ายเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
       [๖๗๔] ภิกษุณีให้จ่ายผ้าห่มบางราคาเกินกว่า ๒ กังสะกึ่งเป็นอย่างยิ่ง ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้จ่าย เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อจ่ายให้เสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑. 
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ จบ