Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตามรอยพระ.พุทธเจ้า แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตามรอยพระ.พุทธเจ้า แสดงบทความทั้งหมด

13 ธันวาคม 2568

มนตราหิมาลัย สารคดี ตามรอยพระพุทธเจ้า

                        ตอนที่ 2 ทาชิโกมัง "จักรวาลย่อส่วน"  วิหารเคลื่อนที่อุปกรณ์สำคัญในการเผยแพร่ศาสนาพุทธสู่หมู่บ้านที่ห่างไกลทั่วประเทศภูฏาน พระสถูปย่อส่วนบรรจุพระพุทธรูปขนาดเล็กเท่านิ้วโป้ง 108 องค์ ตามความเชื่อของชาวภูฏาน "ทาชิโกมัง" เป็นวิหารไม้เคลื่อนที่ที่ "ลัมมานิป" แบกไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อเชื่อมต่อโลกของวัดกับชุมชนเข้าด้วยกัน
 ในขณะที่พระพุทธศาสนาเสื่อมสลายและหายไปจากแผ่นดินมาตุภูมิคืออินเดียนั้น แต่ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณเชิงเขาหิมาลัยยังนับถือพระพุทธศาสนาและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันตลอดมา บริเวณภูเขาสูงนามว่าหิมาลัยเช่นลาดักห์,ลาหุล,สปิติ,คินาอูระ,สิกขิมและอรุนาจัลประเทศ ปรากฏการณ์นี้ได้อุบัติขึ้นอย่างโอฬาร เพราะความสัมพันธ์ต่อประเทศทิเบต อาณาจักรในหุบเขาอันมหัศจรรย์ สถานที่ที่พระพุทธศาสนาเจาะลึกเข้าไปประมาณพุทธศตวรรษที่ 12
 และต่อมาก็ได้มีความเจริญรุ่งเรือง จนกระทั่งจีนเข้ายึดครองทิเบตในปีพุทธศักราช 2502 และผลักดันให้ทะไล ลามะ องค์ที่ 14 ผู้นำทางจิตวิญญาณและราชอาณาจักรของทิเบตต้องลี้ภัยไปอยู่อินเดีย ก่อนที่จะหันไปศึกษาเรื่องราวของพระพุทธศาสนาในบริเวณเทือกเขาหิมาลัย น่าจะมีความคุ้มค่าที่จะหันไปศึกษาความเจริญรุ่งเรืองและพัฒนาการของพระพุทธศาสนาในทิเบต
 แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะเข้าสู่ทิเบตครั้งแรกในพุทธศตวรรษที่ 9 ก็ตาม แต่ก็รอจนกระทั่งพุทธศตวรรษที่  12 จึงสามารถวางรากฐานอย่างมั่นคงได้ ด้วยความวิริยะอุตสาหะของผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่คนแรกของทิเบตคือซอนซัน สกัม ปะ (ซอนเซ็น คัมโป) (1163-1193) ในขณะนั้นทิเบตยังไม่มีภาษาเขียน พระองค์ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีผู้ฉลาดรอบรู้ทางด้านภาษาศาสตร์ชื่อโธมบี ชัมโบตะ เดินทางมาศึกษาศิลปะการเขียนที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ในอินเดีย เขาได้ศึกษาภาษาสันสกฤต,พุทธปรัชญาและวรรณกรรม
 เมื่อเดินทางกลับทิเบต ก็ได้ประดิษฐ์ตัวอักษรทิเบตขึ้นบนพื้นฐานอยู่บนตัวอักษรภาษาอินเดีย จากนั้นเป็นต้นมา วรรณกรรมในทิเบตทั้งหมดก็ได้รับการแปลและเขียนลงในตัวอักษรที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ในระหว่างที่พระเจ้าซองซัน คัมโปครองราชย์นั้น พระองค์ได้สร้างวัดที่มีชื่อเสียงขึ้นคือริมโปเชและโจคังในลาซา พระองค์ได้ประกาศใช้กฎหมายอย่างเป็นทางการ เพื่อให้กลมกลืนกับระบบคุณธรรม 10 ประการที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ หลังจากนั้นประมาณหนึ่งศตวรรษต่อมาธิซง เดตซัน หรือขริสโรน อิเดซาน (พ.ศ. 1318-1340) ผู้ปกครองทิเบตองค์ที่ 5  ได้นิมนต์พระศานตรักษิต จากมหาวิทยาลัยนาลันทามายังทิเบตเพื่อเผยแผ่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธศาสนาในทิเบต แต่ทว่าพระศานตรักษิตไม่ประสบความสำเร็จในการเผยแผ่ต่อประชาชน เพราะขณะนั้นศาสนาบอนยังคงมีอิทธิพลในหมู่มหาชน
 พระศานตรักษิตจึงได้แนะนำให้นิมนต์ปัทมะสัมภวะ ผู้เผยแผ่ศาสนาที่ทรงพลังคนหนึ่งในนิกายตันตระ มาจากหมู่บ้านอูรกยันในหุบเขาสวัต เพื่อทำการเผยแผ่พุทธศาสนาต่อไป ดังนั้นกษัตริย์ทิเบตจึงได้นิมนต์ปัทมสัมภวะมายังทิเบตในปีพุทธศักราช 1290 และท่านปัทมสัมภวะได้อุทิศตนเพื่องานเผยแผ่พระพุทธศาสนา จนกระทั่งชาวทิเบตได้หันมานับถือพระพุทธศาสนา ปัทมสัมภวะได้แนะนำรูปแบบใหม่ของพระพุทธศาสนาคือลัทธิลามะ ซึ่งแน่นอนทีเดียวว่าลัทธิบอนยังคงถูกรักษาและได้รับการปฏิบัติอยู่ในสภาพเดิม  สำหรับการปฏิบัติงานที่น่าอัศจรรย์เพื่อประโยชน์ของพระพุทธศาสนาของเขา ชาวทิเบตจึงเรียกปัทมสัมภวะว่า “คุรุรินโปเช” หรือครูที่ทรงคุณค่า
 ในปีพุทธศักราช 1292 ภายใต้คำแนะนำของปัทมสัมภวะกษัตริย์ทิเบตได้สร้างวัดขึ้นใกล้ ๆ สัมเย และแต่งตั้งพระศานตรักษิตเป็นหัวหน้า คุรุที่มีพลังมากที่สุดชาวอินเดียในยุคต่อมาที่เดินทางไปสู่ทิเบตเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาคืออติษะ ผู้ยิ่งใหญ่ แห่งวัดวิกรมศิลา ในรัฐพิหาร ชาวทิเบตนิยมเรียกท่านว่า “ทีปังกรศรีชญาณ” ท่านมาถึงทิเบตในปีพุทธศักราช 1581 เสียชีวิตในปีพุทธศักราช 1597 ผลของความเพียรพยายามของอติษะ ทำให้พระพุทธศาสนาได้วางรากฐานที่มั่นคงในทิเบต และมีความเจริญรุ่งเรืองเรื่อยมา และมีวิถีปฏิบัติอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายตามแนวคิดทางศาสนาและความคิดทางปรัชญา
        ด้วยเหตุที่คัมภีร์พระพุทธศาสนาถูกนำเสนอโดยนักปราชญ์ต่างๆ ทั้งอินเดียและทิเบต ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน นิกายที่แตกต่างกัน ตลอดจนนิกายย่อยที่เกิดขึ้นในทิเบต แต่ทั้งหมดก็มีหลักการอยู่บนทฤษฎีอันเดียวกัน นิกายหลักๆ แห่งพระพุทธศาสนาในทิเบตคือนยิงมาปะ,การกยุดปะ,ศากยะปะและเกลุกปะ นิกายที่เก่าแก่ที่สุดคือนยิงมาปะ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากคำสอนของปัทมสัมภวะผู้ที่นำเอาพระพุทธศาสนามาสู่ทิเบตในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13  และชาวทิเบตเรียกท่านว่าคุรุรินโปเช นิกายการกยุดปะ หรือนิกายที่มีการสืบต่อหลักคำสอนโดยประเพณีการท่องจำจากปากต่อปาก (มุขปาฐะ)
        กล่าวกันว่าตั้งขึ้นในพุทธศักราช 1593 โดยท่านมารปะ ลามะชาวทิเบต เพื่อนของอติษะ (ทีปังกร ศรีชญาณ) และลูกศิษย์ของตันตริกในอินเดียคือท่านนาโรปะหัวหน้ามหาวิทยาลัยนาลันทาในพิหารในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 ผู้ที่เป็นตัวแทนที่ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งในนิกายนี้คือมิลาเรปะ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ในทิเบต นิกายที่สามคือศากยะหรือศาสกยปะ ได้ชื่อมาจากสีของแผ่นดินอันเป็นที่ตั้งวัดแห่งแรกในนิกายนี้ในทิเบต สร้างขึ้นในปีพุทธศักราช 1614   นิกายนี้มีอิทธิพลอย่างมากในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 แต่ต่อมาก็เสื่อมสลายลง นิกายเหล่านี้เรียกว่านิกาย “หมวกแดง” ส่วนนิกายที่สี่คือนิกายเกลุกปะ(นิกายคุณธรรม) หรือนิกาย “หมวกเหลือง” เป็นนิกายที่ได้รับการปรับปรุงและก่อตั้งขึ้นโดยนักบุญซงขปะประมาณปีพุทธศักราช 1943 องค์ทะไล ลามะในปัจจุบันก็อยู่ในนิกายนี้
        ความก้าวหน้าของระบบการปกครองโดยคณะบริหารที่เป็นพระขององค์ทะไล ลามะ เป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดบทหนึ่ง  ในหนังสือ (ที่ประชุมสงฆ์) ในประวัติศาสตร์ของทิเบตในยุคต่อมา เส้นทางของทะไล ลามะ เริ่มต้นจาก เกดุน ทรุปะ (พุทธศตวรษที่ 19) จนกระทั่งมาถึงทะไล ลามะองค์ที่ 14 ในปัจจุบัน ผู้ที่ได้หลบลี้ภัยทางการเมืองในอินเดียในปีพุทธศักราช 2502 ได้ตกเป็นผู้ก่อการที่เด่นชัดมากที่สุดแห่งพระพุทธศาสนาในทิเบต ก่อนจะถึงปีพุทธศักราช 2502 ในทิเบตมีวัดมากกว่า 5,000 แห่ง กระจัดกระจายอยู่ทั่วทิเบต นิกายที่เป็นหลักมากที่สุดคือนิกายเกลุกปะ นิกายที่ทะไล ลามะสังกัดอยู่นั่นเอง วัดเดรปุง,เซราและกันเดน เคยเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในทิเบต ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มีลามะอยู่มากกว่า 20,000 รูป
        ชาวทิเบตไม่เพียงแต่จะปฏิบัติตามพุทธธรรมตลอดอายุเท่านั้น พวกเขายังรักษาตำราทางพระพุทธศาสนาจากอินเดียจำนวนหนึ่งทั้งต้นฉบับและฉบับแปล ชาวทิเบตมีตำราทางพระพุทธศาสนาจากอินเดียมากกว่า 4,566 เล่ม แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือคันเจอร์(คำสอนของพระพุทธเจ้า) มีตำราอยู่ถึง 1,108 เล่ม และตันเจอร์ คือเรื่องที่เป็นงานเขียนของนักปราชญ์อินเดียในเรื่องเกี่ยวกับปรัชญา,ศาสนา,ไวยากรณ์และประวัติศาสตร์ มีตำราอยู่ประมาณ 3,458 เล่ม
        พระพุทธศาสนาในหุบเขาหิมาลัยในอินเดียโดยสังเขป
   ทิเบต (Tibet) ตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยเป็นที่ราบสูงที่สูงที่สุดในโลกจนได้รับฉายาว่าหลังคาโลก  ปัจจุบันทิเบตเป็นเขตปกครองพิเศษของจีน หลังจากถูกยึดครองในปี พ.ศ.2494องค์ทะไล ลามะ เท็นซิน กยัตโซ ผู้นำทิเบตจึงเสด็จลี้ภัยไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นอยู่ ณ ธรรมศาลาทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ในปี พ.ศ.2502 โดยมีชาวทิเบตประมาณ 80,000 คนติดตามไปด้วย
         ในอดีตก่อนการยึดครองของจีน ทิเบตได้รับฉายาว่า "แดนแห่งพระธรรม" (Land of Dharma) ปัจจุบันก็ยังหลงเหลือภาพนี้อยู่ แม้จะมัวหมองไปมากหลังจากเป็นเมืองขึ้นของจีนชาวทิเบตนิยมบวชเป็นพระภิกษุ เฉพาะในลาซา เมืองหลวงของทิเบต มีพระอยู่ถึงครึ่งหนึ่งของพลเมืองทั้งหมด นอกเมืองหลวงก็มีอยู่จำนวนมาก แต่ละวัดมีพระอยู่หลายพันรูป เช่น วัดเซรามี 7,000 รูป วัดไคปุงมี 5,000 รูป วัดกันดันมี 3,000 รูป เป็นต้น ชาวทิเบตถือว่า 3 วัดนี้เป็นประดุจเสาค้ำชาติ 3 ต้น เหตุที่กุลบุตรออกบวชกันจำนวนมาก เพราะทิเบตมีวันธรรมอย่างหนึ่งคือ แต่ละครอบครัวจะต้องอุทิศบุตรชายอย่างน้อย 1 คน ให้บวชเป็นพระตลอดชีวิต
      ศาสนาในทัศนะของชาวทิเบต ไม่ใช่เป็นเพียงกฎเกณฑ์ที่ให้คนคอยปฏิบัติตาม แต่ศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ผสมผสานอยู่ในชีวิตประจำวันของพวกเขา ดังที่ท่านสังฆรักขิตะกล่าวว่า พระพุทธศาสนาในทิเบตคือวิถีชีวิต ทั้งชีวิตของชาวทิเบตคือพระพุทธศาสนาภาพแวดล้อมคือพระพุทธศาสนา ทุกอณูของพื้นแผ่นดินทิเบต เราจะเห็นเฉพาะภาพพระพุทธศาสนา
      ชาวทิเบตให้ความสำคัญกับการสวดมนต์มาก โดยเฉพาะบทสวดที่ชาวโลกคุ้นเคยกันดี คือ โอม มณี ปัทเท หุม อันเป็นมนต์ หรือมันตระแห่งความกรุณา พวกเขาเชื่อว่าถ้าสวดได้ถึง 600,000 จบ จะทำให้บรรลุพระนิพพาน แต่ละคนจะมีลูกประคำ 108 ลูกประจำตัว เพื่อเป็นอุปกรณ์ช่วยในการสวดมนต์ อิทธิพลของพระพุทธศาสนาทำให้ชาวทิเบตมีนิสัยอ่อนน้อมฉายภาพแห่งความเมตตากรุณาออกมาตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ในอดีตชาวทิเบตมีนิสัยโหดร้ายบางครั้งถึงกับกินเนื้อคนเลยทีเดียว
      ในสมัยพุทธกาล ทิเบตเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอินเดีย อยู่ในอาณาเขตแคว้นโกศลป่ามหาวัน ที่อยู่ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ มีบริเวณด้านเหนือครอบคลุมถึงภูเขาหิมาลัย ซึ่งเป็นที่ตั้งของทิเบตในปัจจุบัน พระพุทธองค์ทรงแสดงมหาสมยสูตรและมธุปิณฑิกสูตร ณ ป่ามหาวันดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงเข้าสู่ทิเบตตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว ต่อมาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งสมณทูต 9 สายไปประกาศพระศาสนา โดยสายของพระมัชฌิมเถระและคณะได้เดินทางมาประกาศพระพุทธศาสนา ณ บริเวณเทือกเขาหิมาลัยนี้

คำสอนมีชีวิต สารคดี ตามรอยพระพุทธเจ้า

ตอนที่ 1 นาลันทา เมืองนาลันทา 
                        ทรงแสดงพรหมชาลสูตร ประกาศทิฏฐิ ๖๒ | เป็นศูนย์กลางการศึกษาแม้ในครั้งพุทธกาล
 นาลันทา เป็นชื่อเมือง ๆ หนึ่งในแคว้นมคธ อยู่ห่างจากพระนครราชคฤห์ประมาณ 1 โยชน์ (ประมาณ 16 กิโลเมตร) ณ เมืองนี้มีสวนมะม่วง ชื่อ ปาวาริกัมพวัน (สวนมะม่วงของปาวาริกเศรษฐี) ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับแรมหลายครั้งคัมภีร์ฝ่ายมหายานกล่าวว่า พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ ซึ่งเป็นอัครสาวก เกิดที่เมืองนาลันทา แต่คัมภีร์ฝ่ายบาลีเรียกถิ่นเกิดของ พระสารีบุตรว่า หมู่บ้านนาลกะ หรือนาลันทคาม
                        ที่ตั้งของเมืองนาลันทาในปัจจุบัน
 นาลันทาเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ห่างจากเมืองราชคฤห์ใหม่ประมาณ 12 กิโลเมตร ห่างจากเมืองปัตนะ รัฐพิหาร ประมาณ 90 กิโลเมตร ถึงแม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ภายหลังการขุดค้นพบซากมหาวิทยาลัยนาลันทาแล้ว ทางรัฐบาลรัฐพิหารได้ประกาศยกฐานะหมู่บ้านนาลันทา เป็นอำเภอนาลันทา (ที่ว่าการอำเภออยู่ที่พิหารชารีฟ ตั้งอยู่ห่างจากนาลันทา 12 กิโลเมตร)
                        นาลันทาในความหมายเชิงนิรุกติศาสตร์ คำว่า นาลันทา วิเคราะห์เชิงนิรุกติศาสตร์ได้ 5 นัย ดังนี้
                      - โบราณาจารย์บอกว่านาลันทา เลือนมาจากประโยคว่า น อลม ทา แปลว่า ฉันจะไม่ให้ มีตำนานเสริมว่า สมัยหนึ่ง พระโพธิสัตว์บำเพ็ญทานบารมี เป็นที่รู้จักกันดี จนไม่มีใครได้ยินคำว่า ฉันจะไม่ให้ 
                      - นาลันทา มาจากคำ 2 คำ คือ นาลัน แปลว่า ดอกบัว และ ทา แปลว่า ให้ หมายถึง ให้ดอกบัว มีตำนานเสริมว่าบริเวณนี้มีดอกบัวมาก แม้ปัจจุบันก็ยังมี ดอกบัวมากอยู่ จึงเป็นเหมือนสถานที่ให้ดอกบัว 
                      - นาลันทา เป็นชื่อพญานาค ซึ่งอาศัยอยู่ในสระบัวใหญ่ ณ บริเวณมหาวิทยาลัยนาลันทาปัจจุบัน ตรงกับคตินิยม ของชาวอินเดียในปัจจุบันที่บูชางู มีพิธีเรียกว่านาคปัญจมี มีเมืองชื่อ นาคปุระ
                      - นาลันทา ประกอบด้วยคำ 3 คำ คือ น, อลัง, และ ทา แปลตามตัวอักษรว่า ให้ไม่พอ แต่ความหมายก็คือ ให้ไม่รู้จักพอ 
 สมณะอี้จิง บันทึกไว้ว่า นาลันทา แผลงมาจากคำว่า นาคนันทะ ซึ่งอาจตั้งชื่อตามชื่อพญานาคที่ยึดครองที่นั้นและต่อมา พญานาคนี้เป็นที่รู้จักกันดีว่า นาคแห่งนาลันทา หรือ นาลันทานาค ท่านธรรมสวามีชาวทิเบตซึ่งเดินทางมาเยี่ยมที่นี้เมื่อ พ.ศ. 1777 บันทึกไว้ว่า คำว่า นาลันทา หมายถึง เจ้าแห่งมนุษย์ (Lord of men)
                        นาลันทาในสมัยพุทธกาล
 คำว่า นาลันทา ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกและอรรถกถาหลายครั้งในพุทธกาล เช่น ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสเกวัฏฏสูตร แก่บุตรคฤบดีชื่อเกวัฏฏะ และปรากฏในคัมภีร์อรรถกถา ซึ่งแก้ข้อความพระสูตรเดียวกัน เมืองนาลันทาตั้งอยู่ห่างจากกรุงราชคฤห์ 1 โยชน์ (ประมาณ 16 กิโลเมตร) มีสถานะเป็นเมืองเล็ก (township) แต่เป็นสถานที่ซึ่งมีชื่อเสียง เจริญรุ่งเรือง มีคนอาศัยอยู่มาก เป็นศูนย์กลางการค้าขาย เห็นได้จากมีข้อความอ้างถึงเสมอ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จทางไกล ประทับแรม ณ ที่ใดที่หนึ่ง พระสังคีติกาจารย์อ้างเสมอว่า สถานที่นั้นอยู่บริเวณใดแน่ ก็จะอ้างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาลันทาว่า อนฺตรา จ ราชคหํ อนฺตรา จ นาฬนฺทํ ระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาลันทา เช่น
 สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จทางไกลระหว่างกรุงราชคฤห์ กับเมืองนาลันทา พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่ ประมาณ 500 รูป แม้สุปปิยปริพาชก ก็ได้เดินทางไกล ระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาลันทา พร้อมด้วยพรหมทัตมาณพผู้เป็นศิษย์... เมืองนาลันทา มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกรุงราชคฤห์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธ เป็นที่ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปมาเสมอ (โคจรคาม) นอกจากนี้ยังมีสถานที่สำคัญ ใกล้เคียง เช่น สวนมะม่วงชื่อ ปาวาริกะ ซึ่งทุสสิกปาวาริกเศรษฐี น้อมถวาย สวนอัมพลัฏฐิกา ปาฏลิคาม และพหุปุตตเจดีย์ นาลันทาในครั้งพุทธกาล ที่ตั้งและสถานะของนาลันทา
ความสำคัญของเมืองนาลันทาสมัยพุทธกาล
                       นาลันทามีความสำคัญมาแต่ครั้งพุทธกาล เห็นได้จากกรณีที่พระสารีบุตรบันลือสีหนาท ประกาศความเลื่อมใสของตน ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณของพระพุทธเจ้าว่า
                       ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ไม่เคยมี จักไม่มี และย่อมไม่มีสมณะหรือพราหมณ์ผู้อื่น ซึ่งจะมี ปัญญาในทางพระสัมมาสัมโพธิญาณ ยิ่งกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า
 เนื่องจากพระสารีบุตรต้องการประกาศ ความเลื่อมใสของตนในเมืองนาลันทา เพราะว่าเมืองนาลันทาเป็นศูนย์กลางการศึกษา แม้ในครั้งพุทธกาล เป็นศูนย์รวม นักปราชญ์นักวิชาการ พระสารีบุตรซึ่งเป็นเลิศทางด้านปัญญาประสงค์ จะประกาศให้เหล่านักวิชาการ แห่งนาลันทา รับรู้ความยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมโพธิญาณของพระผู้มีพระพุทธเจ้า
 หลักฐานที่แสดงถึงความสำคัญ ของนาลันทาอีกอย่างหนึ่ง คือ การที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพรหมชาลสูตร ประกาศทิฏฐิ ๖๒ และทรงแสดงเกวัฏฏสูตร แสดงภาวะนิพพาน ซึ่งเป็นจุดหมายสูงสุดแห่งพระพุทธศาสนา ทิฏฐิ 62 เป็นประเด็นที่เจ้าลัทธิต่าง ๆ อภิปรายกันไม่รู้จบ เพราะเป็นประเด็นเชิงอภิปรัชญา ไม่มีใครรู้จริง แต่อภิปรายกันตามความคิดเห็น พระพุทธองค์ทรงแสดง ให้บรรดาเจ้าลัทธิรู้ว่า วัตถุประสงค์และประโยชน์ของทิฏฐิเหล่านี้ คืออะไร มีขอบเขตเพียงไร อานิสงส์ที่เกิดจากการแสดงพระสูตรทั้ง 2 นี้มี 2 ระดับ คือ 
 ระดับวิชาการ พระพุทธองค์ทรงประกาศให้รู้ว่า อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ครอบคลุมภูมิปัญญาทุกระดับ ทิฏฐิ 62 ซึ่งเป็นเรื่องเชิงวิชาการ เป็นปรัชญา พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้ง แต่ไม่ประสงค์จะอภิปรายตอบข้อสงสัย เพราะไม่มีประโยชน์ และจะกลายเป็นประเด็นให้เจ้าลัทธิ นำไปกล่าวอ้างในที่ต่างๆ ว่า พระพุทธองค์ตรัสอย่างนี้ อย่างนี้ 
 ระดับอุดมการณ์ พระพุทธองค์ทรงประกาศภาวะยิ่งใหญ่แห่งนิพพานว่า เป็นที่ดับสนิทของมหาภูตรูป เป็นที่ดับสนิทแห่งนาม ภาวะที่เรียกว่านิพพาน นี่แหละคืออุดมการณ์สูงสุดแห่งการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา 
                        ความรุ่งเรืองหลังพุทธกาล
 ภายหลังพุทธกาล ชื่อเมืองนาลันทาเงียบหายไประยะหนึ่ง หลวงจีนฟาเหียน ซึ่งจาริกมาสืบศาสนาในชมพูทวีป ราว พ.ศ. 944-953 บันทึกไว้ว่าได้พบเพียงสถูปองค์หนึ่งที่นาลันทา แต่ต่อมาไม่นาน กษัตริย์ราชวงศ์คุปตะพระองค์หนึ่งพระนามว่าศักราทิตย์ หรือกุมารคุปตะที่ 1 ซึ่งครองราชย์ประมาณ พ.ศ. 958-998 ได้ทรงสร้างวัด อันเป็นสถานศึกษาขึ้นแห่งหนึ่ง ที่เมืองนาลันทา และกษัตริย์พระองค์ ต่อๆ มาในราชวงศ์นี้ก็ได้สร้างวัดอื่นๆ เพิ่มขึ้นในโอกาสต่างๆ จนมีถึง 6 วัด อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน ในที่สุด ได้มีการสร้างกำแพงใหญ่อันเดียวล้อมรอบ ทำให้วัดทั้ง 6 รวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว เรียกว่า นาลันทามหาวิหาร และได้กลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาที่ยิ่งใหญ่ แห่งสำคัญยิ่ง ที่นักประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบัน เรียกกันทั่วไปว่า “มหาวิทยาลัยนาลันทา”
                        มหาวิทยาลัยนาลันทา
 พระเจ้าหรรษาวรรธนะ มหาราชพระองค์หนึ่งของอินเดีย ซึ่งครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 1149-1191 ก็ได้ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ ของมหาวิทยาลัยนาลันทา หลวงจีนเหี้ยนจัง (พระถังซำจั๋ง) ซึ่งจาริกมาสืบพระศาสนาในอินเดียในรัชกาลนี้ ในช่วง พ.ศ. 1172-1187 ได้มาศึกษาที่นาลันทามหาวิหาร และได้เขียนบันทึกบรรยายอาคารสถานที่ที่ใหญ่โตและศิลปกรรมที่วิจิตรงดงาม ท่านเล่าถึงกิจกรรมทางการศึกษา ที่รุ่งเรืองยิ่ง นักศึกษามีประมาณ 10,000 คน และมีอาจารย์ประมาณ 1,500 คน พระมหากษัตริย์พระราชทานหมู่บ้าน 200 หมู่โดยรอบถวาย โดยทรงยกภาษีที่เก็บได้ให้เป็นค่าบำรุงมหาวิทยาลัย ผู้เล่าเรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น วิชาที่สอนมีทั้งปรัชญา โยคะ ศัพทศาสตร์ เวชชศาสตร์ ตรรกศาสตร์ นิติศาสตร์ นิรุกติศาสตร์ ตลอดจนโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ และตันตระ
 แต่ที่เด่นชัดก็คือ นาลันทาเป็นศูนย์กลางการศึกษาพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน และเพราะความที่มีกิตติศัพท์เลื่องลือมาก จึงมีมีนักศึกษา เดินทางมาจากต่างประเทศหลายแห่ง เช่น จีน ญี่ปุ่น เอเซียกลาง สุมาตรา ชวา ทิเบต และมองโกเลีย เป็นต้น หอสมุดของนาลันทาใหญ่โตมาก และมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เมื่อคราวที่ถูกเผาทำลายในสมัยต่อมา มีบันทึกกล่าวว่า หอสมุดนี้ไหม้อยู่เป็นเวลาหลายเดือน หลวงจีนอี้จิงซึ่งจาริกมาในระยะประมาณ พ.ศ. 1223 ก็ได้มาศึกษาที่นาลันทา และได้เขียนบันทึกเล่าไว้อีก นาลันทารุ่งเรืองสืบมาช้านาน จนถึงสมัยราชวงศ์ปาละ (พ.ศ. 1303-1685) กษัตริย์ราชวงศ์นี้ ก็ทรงอุปถัมภ์มหาวิหารแห่งนี้ เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ โดยเฉพาะโอทันตปุระที่ได้ทรงสถาปนาขึ้นใหม่ 
 อย่างไรก็ดี ในระยะหลังๆ นาลันทาได้หันไปสนใจการศึกษาพุทธศาสนาแบบตันตระ ที่ทำให้เกิดความย่อหย่อน และหลงเพลินทางกามารมณ์ และทำให้พุทธศาสนา กลมกลืนกับศาสนาฮินดูมากขึ้น เป็นเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง แห่งความเสื่อมโทรมของพระพุทธศาสนา
ความล่มสลายของมหาวิทยาลัยนาลันทา
 ในประมาณ พ.ศ. 1742 กองทัพมุสลิมเติรกส์ ได้ยกมารุกรานรบชนะกษัตริย์แห่งชมพูทวีปฝ่ายเหนือ และเข้าครอบครองดินแดงโดยลำดับ กองทัพมุสลิมเติรกส์ ได้เผาผลาญทำลายวัดและปูชนียสถาน ในพุทธศาสนาลงแทบทั้งหมด และสังหารผู้ที่ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนา นาลันทามหาวิหารก็ถูกเผาผลาญ ทำลายลงในช่วงระยะเวลานั้นด้วย มีบันทึกของนักประวัติศาสตร์ชาวมุสลิมเล่าว่า ที่นาลันทา พระภิกษุถูกสังหารแทบหมดสิ้น และมหาวิทยาลัยนาลันทา ก็ได้ถึงความพินาศสูญสิ้นลงแต่บัดนั้นมา ซากของนาลันทา ที่ถูกขุดค้นพบในภายหลัง ยังประกาศยืนยันอย่างชัดเจนถึงความยิ่งใหญ่ของนาลันทาในอดีตในปลายพุทธศตวรรษที่ 25
                        การค้นพบนาลันทา
 ในยุคที่อังกฤษปกครองอินเดีย นักโบราณคดีจำนวนมาก ได้มาสำรวจขุดค้นพุทธสถานต่างๆ ในอินเดียโดยอาศัยบันทึกของท่านเฮี่ยนจัง คนแรกที่มาสำรวจ คือ ท่าน ฮามินตัน (Lord Haminton) ใน พ.ศ. 2358 แต่ไม่พบ ได้พบเพียงพระพุทธรูป และเทวรูป 2 องค์เท่านั้น ซึ่งสถานที่พบอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น
 ต่อมาในปี พ.ศ. 2403 นายพลคันนิ่งแฮม ได้มาสำรวจและก็พบมหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งในขณะนั้นเป็นเพียงกองดินสูงเท่านั้น ต่อมาจึงได้ขุดสำรวจ ตามหลักวิชาการโบราณคดี มหาวิทยาลัยก็ได้ปรากฏ แก่สายตาชาวโลกอีกครั้งหนึ่ง บริเวณปัจจุบันมีเนื้อที่ประมาณ 80 ไร่ และตรงหน้ามหาวิทยาลัยนาลันทา ได้มีพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ที่เก็บรวมรวมโบราณวัตถุ ที่ขุดพบในมหาวิทยาลัยนาลันทา
                       สถาบันนาลันทาใหม่
 อินเดียตื่นตัว และตระหนักถึงความสำคัญของพระพุทธศาสนา ที่ได้มีบทบาทอันยิ่งใหญ่ในการสร้างสรรค์อารยธรรมของชมพูทวีป รวมทั้งบทบาทของมหาวิทยาลัยนาลันทานี้ด้วย ใน พ.ศ. 2494 ก็ได้มีการจัดตั้ง สถาบันบาลีนาลันทา ชื่อว่า “นวนาลันทามหาวิหาร” (นาลันทามหาวิหารแห่งใหม่) ขึ้น เพื่อแสดงความรำลึกคุณและยกย่องเกียรติแห่งพระพุทธศาสนา พร้อมทั้งเพื่อเป็นอนุสรณ์ แก่นาลันทามหาวิหาร มหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่ในสมัยอดีต
 สถาบันนาลันทาที่เกิดขึ้นนี้ เกิดจากความเลื่อมใสของ หลวงพ่อ เจ กัสสปะ สังฆนายกรูปแรกของสงฆ์อินเดีย ท่านเป็นชาวเมืองรานชี (Ranchi) เมืองหลวงของรัฐจักกัน ท่านเกิดในตระกูลที่ร่ำรวย เมื่อเป็นหนุ่มได้ศึกษาพุทธประวัติ เกิดศรัทธาอย่างมาก จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่ประเทศศรีลังกา และได้ออกปาฐก แสดงเรื่องความยิ่งใหญ่ ของมหาวิทยาลัยนาลันทาในอดีต แก่ผู้นำรัฐบาลในกรุงนิว เดลลี และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ โดยเปิดสอนในปี พ.ศ. 2494 และท่านได้เป็นครูสอน และผู้บริหารของสถาบัน ครั้งแรกเปิดสอนทีวัดจีนนาลันทา ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ตรงกันข้ามกับนาลันเก่า
 ต่อมาชาวมุสลิมที่อยู่ที่หมู่บ้านนาลันทา ต้องการจะไถ่บาปที่บรรพบุรุษของตนได้ทำไว้แก่ชาวพุทธ จึงมอบที่ดินจำนวน 12 ไร่ เพื่อสร้างเป็นสถาบันบาลีนาลันทาแห่งใหม่ สถาบันนาลันทาใหม่ ครั้งแรกมีเพียงตึก 2 หลัง ใช้เป็นสถานที่ทำงาน ของครูอาจารย์และห้องสมุด อีกหลังหนึ่งเป็นที่พำนักของนักศึกษานานาชาติ สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2500 สถาบันนวนาลันทา ที่เปิดสอนด้านภาษาบาลี และพระพุทธศาสนา ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี-ปริญญาเอก และได้รับการรับรอง และสนับสนุนจากรัฐบาลกลางนิวเดลลี มีพระสงฆ์จากประเทศต่างๆ ไปศึกษาอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ไทย พม่า กัมพูชา อินเดีย บังคลาเทศ