ในขณะที่พระพุทธศาสนาเสื่อมสลายและหายไปจากแผ่นดินมาตุภูมิคืออินเดียนั้น แต่ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณเชิงเขาหิมาลัยยังนับถือพระพุทธศาสนาและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันตลอดมา บริเวณภูเขาสูงนามว่าหิมาลัยเช่นลาดักห์,ลาหุล,สปิติ,คินาอูระ,สิกขิมและอรุนาจัลประเทศ ปรากฏการณ์นี้ได้อุบัติขึ้นอย่างโอฬาร เพราะความสัมพันธ์ต่อประเทศทิเบต อาณาจักรในหุบเขาอันมหัศจรรย์ สถานที่ที่พระพุทธศาสนาเจาะลึกเข้าไปประมาณพุทธศตวรรษที่ 12
และต่อมาก็ได้มีความเจริญรุ่งเรือง จนกระทั่งจีนเข้ายึดครองทิเบตในปีพุทธศักราช 2502 และผลักดันให้ทะไล ลามะ องค์ที่ 14 ผู้นำทางจิตวิญญาณและราชอาณาจักรของทิเบตต้องลี้ภัยไปอยู่อินเดีย ก่อนที่จะหันไปศึกษาเรื่องราวของพระพุทธศาสนาในบริเวณเทือกเขาหิมาลัย น่าจะมีความคุ้มค่าที่จะหันไปศึกษาความเจริญรุ่งเรืองและพัฒนาการของพระพุทธศาสนาในทิเบต
แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะเข้าสู่ทิเบตครั้งแรกในพุทธศตวรรษที่ 9 ก็ตาม แต่ก็รอจนกระทั่งพุทธศตวรรษที่ 12 จึงสามารถวางรากฐานอย่างมั่นคงได้ ด้วยความวิริยะอุตสาหะของผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่คนแรกของทิเบตคือซอนซัน สกัม ปะ (ซอนเซ็น คัมโป) (1163-1193) ในขณะนั้นทิเบตยังไม่มีภาษาเขียน พระองค์ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีผู้ฉลาดรอบรู้ทางด้านภาษาศาสตร์ชื่อโธมบี ชัมโบตะ เดินทางมาศึกษาศิลปะการเขียนที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ในอินเดีย เขาได้ศึกษาภาษาสันสกฤต,พุทธปรัชญาและวรรณกรรม
เมื่อเดินทางกลับทิเบต ก็ได้ประดิษฐ์ตัวอักษรทิเบตขึ้นบนพื้นฐานอยู่บนตัวอักษรภาษาอินเดีย จากนั้นเป็นต้นมา วรรณกรรมในทิเบตทั้งหมดก็ได้รับการแปลและเขียนลงในตัวอักษรที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ในระหว่างที่พระเจ้าซองซัน คัมโปครองราชย์นั้น พระองค์ได้สร้างวัดที่มีชื่อเสียงขึ้นคือริมโปเชและโจคังในลาซา พระองค์ได้ประกาศใช้กฎหมายอย่างเป็นทางการ เพื่อให้กลมกลืนกับระบบคุณธรรม 10 ประการที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ หลังจากนั้นประมาณหนึ่งศตวรรษต่อมาธิซง เดตซัน หรือขริสโรน อิเดซาน (พ.ศ. 1318-1340) ผู้ปกครองทิเบตองค์ที่ 5 ได้นิมนต์พระศานตรักษิต จากมหาวิทยาลัยนาลันทามายังทิเบตเพื่อเผยแผ่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธศาสนาในทิเบต แต่ทว่าพระศานตรักษิตไม่ประสบความสำเร็จในการเผยแผ่ต่อประชาชน เพราะขณะนั้นศาสนาบอนยังคงมีอิทธิพลในหมู่มหาชน
พระศานตรักษิตจึงได้แนะนำให้นิมนต์ปัทมะสัมภวะ ผู้เผยแผ่ศาสนาที่ทรงพลังคนหนึ่งในนิกายตันตระ มาจากหมู่บ้านอูรกยันในหุบเขาสวัต เพื่อทำการเผยแผ่พุทธศาสนาต่อไป ดังนั้นกษัตริย์ทิเบตจึงได้นิมนต์ปัทมสัมภวะมายังทิเบตในปีพุทธศักราช 1290 และท่านปัทมสัมภวะได้อุทิศตนเพื่องานเผยแผ่พระพุทธศาสนา จนกระทั่งชาวทิเบตได้หันมานับถือพระพุทธศาสนา ปัทมสัมภวะได้แนะนำรูปแบบใหม่ของพระพุทธศาสนาคือลัทธิลามะ ซึ่งแน่นอนทีเดียวว่าลัทธิบอนยังคงถูกรักษาและได้รับการปฏิบัติอยู่ในสภาพเดิม สำหรับการปฏิบัติงานที่น่าอัศจรรย์เพื่อประโยชน์ของพระพุทธศาสนาของเขา ชาวทิเบตจึงเรียกปัทมสัมภวะว่า “คุรุรินโปเช” หรือครูที่ทรงคุณค่า
ในปีพุทธศักราช 1292 ภายใต้คำแนะนำของปัทมสัมภวะกษัตริย์ทิเบตได้สร้างวัดขึ้นใกล้ ๆ สัมเย และแต่งตั้งพระศานตรักษิตเป็นหัวหน้า คุรุที่มีพลังมากที่สุดชาวอินเดียในยุคต่อมาที่เดินทางไปสู่ทิเบตเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาคืออติษะ ผู้ยิ่งใหญ่ แห่งวัดวิกรมศิลา ในรัฐพิหาร ชาวทิเบตนิยมเรียกท่านว่า “ทีปังกรศรีชญาณ” ท่านมาถึงทิเบตในปีพุทธศักราช 1581 เสียชีวิตในปีพุทธศักราช 1597 ผลของความเพียรพยายามของอติษะ ทำให้พระพุทธศาสนาได้วางรากฐานที่มั่นคงในทิเบต และมีความเจริญรุ่งเรืองเรื่อยมา และมีวิถีปฏิบัติอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายตามแนวคิดทางศาสนาและความคิดทางปรัชญา
ด้วยเหตุที่คัมภีร์พระพุทธศาสนาถูกนำเสนอโดยนักปราชญ์ต่างๆ ทั้งอินเดียและทิเบต ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน นิกายที่แตกต่างกัน ตลอดจนนิกายย่อยที่เกิดขึ้นในทิเบต แต่ทั้งหมดก็มีหลักการอยู่บนทฤษฎีอันเดียวกัน นิกายหลักๆ แห่งพระพุทธศาสนาในทิเบตคือนยิงมาปะ,การกยุดปะ,ศากยะปะและเกลุกปะ นิกายที่เก่าแก่ที่สุดคือนยิงมาปะ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากคำสอนของปัทมสัมภวะผู้ที่นำเอาพระพุทธศาสนามาสู่ทิเบตในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 และชาวทิเบตเรียกท่านว่าคุรุรินโปเช นิกายการกยุดปะ หรือนิกายที่มีการสืบต่อหลักคำสอนโดยประเพณีการท่องจำจากปากต่อปาก (มุขปาฐะ)
กล่าวกันว่าตั้งขึ้นในพุทธศักราช 1593 โดยท่านมารปะ ลามะชาวทิเบต เพื่อนของอติษะ (ทีปังกร ศรีชญาณ) และลูกศิษย์ของตันตริกในอินเดียคือท่านนาโรปะหัวหน้ามหาวิทยาลัยนาลันทาในพิหารในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 ผู้ที่เป็นตัวแทนที่ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งในนิกายนี้คือมิลาเรปะ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ในทิเบต นิกายที่สามคือศากยะหรือศาสกยปะ ได้ชื่อมาจากสีของแผ่นดินอันเป็นที่ตั้งวัดแห่งแรกในนิกายนี้ในทิเบต สร้างขึ้นในปีพุทธศักราช 1614 นิกายนี้มีอิทธิพลอย่างมากในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 แต่ต่อมาก็เสื่อมสลายลง นิกายเหล่านี้เรียกว่านิกาย “หมวกแดง” ส่วนนิกายที่สี่คือนิกายเกลุกปะ(นิกายคุณธรรม) หรือนิกาย “หมวกเหลือง” เป็นนิกายที่ได้รับการปรับปรุงและก่อตั้งขึ้นโดยนักบุญซงขปะประมาณปีพุทธศักราช 1943 องค์ทะไล ลามะในปัจจุบันก็อยู่ในนิกายนี้
ความก้าวหน้าของระบบการปกครองโดยคณะบริหารที่เป็นพระขององค์ทะไล ลามะ เป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดบทหนึ่ง ในหนังสือ (ที่ประชุมสงฆ์) ในประวัติศาสตร์ของทิเบตในยุคต่อมา เส้นทางของทะไล ลามะ เริ่มต้นจาก เกดุน ทรุปะ (พุทธศตวรษที่ 19) จนกระทั่งมาถึงทะไล ลามะองค์ที่ 14 ในปัจจุบัน ผู้ที่ได้หลบลี้ภัยทางการเมืองในอินเดียในปีพุทธศักราช 2502 ได้ตกเป็นผู้ก่อการที่เด่นชัดมากที่สุดแห่งพระพุทธศาสนาในทิเบต ก่อนจะถึงปีพุทธศักราช 2502 ในทิเบตมีวัดมากกว่า 5,000 แห่ง กระจัดกระจายอยู่ทั่วทิเบต นิกายที่เป็นหลักมากที่สุดคือนิกายเกลุกปะ นิกายที่ทะไล ลามะสังกัดอยู่นั่นเอง วัดเดรปุง,เซราและกันเดน เคยเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในทิเบต ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มีลามะอยู่มากกว่า 20,000 รูป
ชาวทิเบตไม่เพียงแต่จะปฏิบัติตามพุทธธรรมตลอดอายุเท่านั้น พวกเขายังรักษาตำราทางพระพุทธศาสนาจากอินเดียจำนวนหนึ่งทั้งต้นฉบับและฉบับแปล ชาวทิเบตมีตำราทางพระพุทธศาสนาจากอินเดียมากกว่า 4,566 เล่ม แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือคันเจอร์(คำสอนของพระพุทธเจ้า) มีตำราอยู่ถึง 1,108 เล่ม และตันเจอร์ คือเรื่องที่เป็นงานเขียนของนักปราชญ์อินเดียในเรื่องเกี่ยวกับปรัชญา,ศาสนา,ไวยากรณ์และประวัติศาสตร์ มีตำราอยู่ประมาณ 3,458 เล่ม
พระพุทธศาสนาในหุบเขาหิมาลัยในอินเดียโดยสังเขป
ทิเบต (Tibet) ตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยเป็นที่ราบสูงที่สูงที่สุดในโลกจนได้รับฉายาว่าหลังคาโลก ปัจจุบันทิเบตเป็นเขตปกครองพิเศษของจีน หลังจากถูกยึดครองในปี พ.ศ.2494องค์ทะไล ลามะ เท็นซิน กยัตโซ ผู้นำทิเบตจึงเสด็จลี้ภัยไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นอยู่ ณ ธรรมศาลาทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ในปี พ.ศ.2502 โดยมีชาวทิเบตประมาณ 80,000 คนติดตามไปด้วย
ในอดีตก่อนการยึดครองของจีน ทิเบตได้รับฉายาว่า "แดนแห่งพระธรรม" (Land of Dharma) ปัจจุบันก็ยังหลงเหลือภาพนี้อยู่ แม้จะมัวหมองไปมากหลังจากเป็นเมืองขึ้นของจีนชาวทิเบตนิยมบวชเป็นพระภิกษุ เฉพาะในลาซา เมืองหลวงของทิเบต มีพระอยู่ถึงครึ่งหนึ่งของพลเมืองทั้งหมด นอกเมืองหลวงก็มีอยู่จำนวนมาก แต่ละวัดมีพระอยู่หลายพันรูป เช่น วัดเซรามี 7,000 รูป วัดไคปุงมี 5,000 รูป วัดกันดันมี 3,000 รูป เป็นต้น ชาวทิเบตถือว่า 3 วัดนี้เป็นประดุจเสาค้ำชาติ 3 ต้น เหตุที่กุลบุตรออกบวชกันจำนวนมาก เพราะทิเบตมีวันธรรมอย่างหนึ่งคือ แต่ละครอบครัวจะต้องอุทิศบุตรชายอย่างน้อย 1 คน ให้บวชเป็นพระตลอดชีวิต
ศาสนาในทัศนะของชาวทิเบต ไม่ใช่เป็นเพียงกฎเกณฑ์ที่ให้คนคอยปฏิบัติตาม แต่ศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ผสมผสานอยู่ในชีวิตประจำวันของพวกเขา ดังที่ท่านสังฆรักขิตะกล่าวว่า พระพุทธศาสนาในทิเบตคือวิถีชีวิต ทั้งชีวิตของชาวทิเบตคือพระพุทธศาสนาภาพแวดล้อมคือพระพุทธศาสนา ทุกอณูของพื้นแผ่นดินทิเบต เราจะเห็นเฉพาะภาพพระพุทธศาสนา
ชาวทิเบตให้ความสำคัญกับการสวดมนต์มาก โดยเฉพาะบทสวดที่ชาวโลกคุ้นเคยกันดี คือ โอม มณี ปัทเท หุม อันเป็นมนต์ หรือมันตระแห่งความกรุณา พวกเขาเชื่อว่าถ้าสวดได้ถึง 600,000 จบ จะทำให้บรรลุพระนิพพาน แต่ละคนจะมีลูกประคำ 108 ลูกประจำตัว เพื่อเป็นอุปกรณ์ช่วยในการสวดมนต์ อิทธิพลของพระพุทธศาสนาทำให้ชาวทิเบตมีนิสัยอ่อนน้อมฉายภาพแห่งความเมตตากรุณาออกมาตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ในอดีตชาวทิเบตมีนิสัยโหดร้ายบางครั้งถึงกับกินเนื้อคนเลยทีเดียว
ในสมัยพุทธกาล ทิเบตเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอินเดีย อยู่ในอาณาเขตแคว้นโกศลป่ามหาวัน ที่อยู่ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ มีบริเวณด้านเหนือครอบคลุมถึงภูเขาหิมาลัย ซึ่งเป็นที่ตั้งของทิเบตในปัจจุบัน พระพุทธองค์ทรงแสดงมหาสมยสูตรและมธุปิณฑิกสูตร ณ ป่ามหาวันดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงเข้าสู่ทิเบตตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว ต่อมาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งสมณทูต 9 สายไปประกาศพระศาสนา โดยสายของพระมัชฌิมเถระและคณะได้เดินทางมาประกาศพระพุทธศาสนา ณ บริเวณเทือกเขาหิมาลัยนี้

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น