Translate

16 ธันวาคม 2568

พระพุทธศาสนาในสาธารณรัฐเกาหลี: ประวัติศาสตร์ พัฒนาการ

โกโชซอน [ สีแดง ]               เขา [ สีน้ำเงิน ]
                         ปลายศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ในช่วงปลายศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล อาณาจักรโกโจซอนได้ฟื้นตัวจากผลกระทบของสงครามโกโจซอน-ยัน และกลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่เจริญรุ่งเรือง ควบคุมการค้าในแมนจูเรียและคาบสมุทรเกาหลี 
                        128 ปีก่อนคริสตศักราช ด้วยความหวาดหวั่นต่อการขยายอำนาจของอาณาจักรโกโจซอน ราชวงศ์ฮั่นจึงได้จัดตั้งกองบัญชาการชางไห่ขึ้นในเหลียวตง และพยายามปลูกฝังทัศนคติต่อต้านโกโจซอนในพื้นที่ดังกล่าว รวมถึงทัศนคติต่อต้านรัฐบาลในดินแดนใกล้เคียงของโกโจซอนด้วย เพื่อตอบโต้ รัฐบาลโกโจซอนจึงเร่งดำเนินนโยบายปิดกั้นการติดต่อโดยตรงระหว่างรัฐจินทางตอนใต้ของเกาหลีกับราชวงศ์ฮั่น ซึ่งทำให้ราชวงศ์ฮั่นไม่พอใจอย่างมาก และพวกเขายังเกรงว่าอาจเกิดพันธมิตรระหว่างชาว ซยงหนูและโกโจซอนอีกด้วย 
                        109 ปีก่อนคริสตศักราช ในที่สุด ราชวงศ์ฮั่นได้ส่งทูตชื่อเชอเหอไปเจรจากับราชสำนักโกโจซอน อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ระหว่างทางกลับ เช่เหอได้ฆ่าจาง ผู้คุ้มกันของเขา ซึ่งเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ของพระเจ้าอูเกอ กษัตริย์แห่งอาณาจักรโกโจซอน เมื่อกลับถึงฮั่น เช่เหอก็ได้ขึ้นเป็นผู้ปกครองเหลียวตง ซึ่งทำให้พระเจ้าอูเกอพิโรธอย่างมาก เพื่อเป็นการตอบโต้ พระเจ้าอูเกอจึงยกทัพไปรุกรานเหลียวตงและสังหารเช่อเหอ เหตุการณ์นี้สร้างความพิโรธให้กับราชสำนักฮั่น และใช้เหตุการณ์นี้เป็นข้ออ้างในการทำสงคราม กองทัพ 50,000 นายเคลื่อนพลไปยังแม่น้ำยาลู และอีก 7,000 นายแล่นเรือไปยังแม่น้ำแทดงทางทะเล
                         กองทัพหลังนี้ล้อมเมืองหลวงวังโ กึม (เปียงยาง) ของอาณาจักรโกโจซอนไว้ พระเจ้าอูเกอทรงนำทัพด้วยพระองค์เองและเอาชนะกองทัพฮั่นที่ล้อมเมืองวังเกออมได้สำเร็จ นอกจากนี้ยังทรงขับไล่การรุกรานของฮั่นที่เมืองเปซู (แม่น้ำยาลู) อีกด้วย ฝ่ายฮั่นรีบเสนอการเจรจา และส่งเจ้าชายแห่งโกโจซอนไปพบกับทูตฮั่นที่เมืองเปซู อย่างไรก็ตาม เจ้าชายเสด็จกลับหลังจากได้รับคำสั่งให้วางอาวุธก่อนข้ามแม่น้ำ
                        ราชวงศ์ฮั่นเริ่มสงครามขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้สามารถล้อมเมืองวัง โ ก้มได้สำเร็จ 109 ปีก่อนคริสตศักราช มิถุนายน กษัตริย์อูเกอถูกลอบสังหารโดยผู้ที่สนับสนุนราชวงศ์ฮั่น เช่น โนอิน, ฮันอึม, วังฮยอบ, อีกเย และซัม 
                        108 ปีก่อนคริสตศักราช ซองกี แม่ทัพคนสุดท้ายของโกโจซอนที่ต่อต้านราชวงศ์ฮั่นถูกลอบสังหาร และราชวงศ์ฮั่นก็ยึดครองวังโกอมได้สำเร็จ
                       [ สีแดง ]  รัฐสืบทอดของโกโจซอน พูยอ (เย)  โอคเจโอ (เย)  รัฐจิน
                        มีการจัดตั้งสี่กองบัญชาการแห่งราชวงศ์ฮั่นขึ้น และชาวโกโจซอนจำนวนมากอพยพลงใต้ รัฐสืบทอดต่อมาคือรัฐอ็อกเจโอ ซึ่งก่อตั้งโดยเผ่าเยในจังหวัดฮัมกยอง ส่วนบูยอ ซึ่งเป็นอาณาจักรของเผ่าเยเช่นกัน ก็สามารถถือได้ว่าเป็นรัฐสืบทอดต่อมาเช่นกัน เนื่องจากเคยแยกตัวออกจากโกโจซอนมาก่อน 
                       ศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราช รัฐผู้สืบทอดโกโชซอน  พูยอ (เย)  โอคเจโอ (เย)  ตะวันออกเย่  มาฮัน  บยอนฮัน จินฮัน เมื่อพิจารณาว่าจินฮันมีความคล้ายคลึงกับวัฒนธรรมโกโจซอนมากที่สุด และจินฮันกับบยอนฮันแทบจะเหมือนกันทุกประการ ในขณะที่มาฮันแตกต่างออกไปมาก จินฮันและบยอนฮันจึงน่าจะมีผู้ลี้ภัยจากโกโจซอนมากกว่ามาฮันอย่างแน่นอน 
                        82 ปีก่อนคริสตศักราช รัฐสืบทอดของโกโจซอน พูยอ (เย) โอคเจโอ (เย) อาณาจักรเย่ตะวันออกขยายอำนาจไปทางทิศเหนือ ตะวันออกเย่ มาฮาน จินฮัน บยอนฮัน 
                        37 ปีก่อนคริสตศักราช รัฐสืบทอดของโกโจซอน พูยอ (เย) โกกูรยอ (แมก) โอคเจโอ (เย) ตะวันออกเย่ โจซอน มาฮาน จินฮัน เก้าอี้ บยอนฮัน อาณาจักรโกกูรยอถูกก่อตั้งโดยชนเผ่าแมกตามริมแม่น้ำยาลู ส่วนอาณาจักรชิลลาถูกก่อตั้งขึ้นก่อนหน้านี้ในปี 57 ก่อนคริสต์ศักราช จากหมู่บ้านจินฮัน 6 แห่ง (ปัจจุบันอยู่ในเมืองคยองจู) ซึ่งประกอบด้วยผู้ลี้ภัยจากอาณาจักรโก 
                        ผู้สืบทอดรัฐ โกกูรยอ 7 อาณาจักรโกกูรยอพิชิตโอ๊กเจโอตอนเหนือ และอาณาจักรแพ็กเจ ซึ่งเป็นอาณาจักรของชาวแมก พิชิตมาฮานส่วนใหญ่  พูยอ (เย) โกโชซอน โอคเจโอ (เย) ตะวันออกเย่ แบคเจ (แมก) จินฮัน เก้าอี้ มาฮาน บยอนฮัน
๑. บทนำ
 ดินแดนเกาหลีมีหลักฐานที่ถูก บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่ามีการก่อตั้งเกิดขึ้นใน สมัยอาณาจักรโชซอนโบราณ (Gojoseon) ในช่วง ๒,๓๓๓ ปีก่อนคริสต์ศักราชโดยปฐม กษัตริย์ที่มีชื่อว่า ทันกุน (Dungun) มีเมือง หลวงตั้งที่เมืองเปียงยางในประเทศเกาหลี เหนือในปัจจุบัน มีกษัตริย์สืบต่อกันมาถึง ๔๕ พระองค์ จนถึงปี ๒๓๗ ก่อนคริสต์ศักราช ใน ระยะต่อมา กษัตริย์ฮั่นหวูตี้แห่งราชวงศ์ฮั่น ของจีนได้บุกยึดโกโชซอน และผนวกเข้าเป็น ดินแดนของจีนได้สำเร็จในปี ๑๐๘ ก่อน คริสต์ศักราช ดังนั้น อารยธรรมของจีนจึงเริ่ม หลั่งไหลและเข้ามามีอิทธิพลต่อชาวเกาหลี ตั้งแต่บัดนั้น และในสมัยราชวงศ์ฮั่นของจีน นี่เองที่ได้เริ่มรับเอาพระพุทธศาสนาอย่าง จริงจัง พระพุทธศาสนาจากจีนได้เริ่มเข้ามาใน
 ดินแดนเกาหลีตั้งแต่นั้นมา อย่างไรก็ตาม การ บันทึกการสร้างบ้านแปงเมืองของชาวเกาหลีที่ มีบันทึกอย่างจริงจัง เกิดขึ้นเมื่อ ๕๗ ปีก่อน คริสต์ศักราช เป็นช่วงสำคัญที่เรียกว่า ยุคแห่ง สามอาณาจักร หรือ สามก๊กฉบับเกาหลี คือ อาณาจักรโกกรูยอ (Koguryo) อาณาจักร แพกเจ (Packche) และอาณาจักรซิลลา (Silla)
๒. วัตถุประสงค์ของการวิจัย
 ๒.๑. เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครองและพัฒนาการของ พระพุทธศาสนาในประเทศสาธารณรัฐเกาหลี
 ๒.๒. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ด้าน สังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิต และสถานการณ์ใน ปัจจุบันของพระพุทธศาสนาในประเทศ สาธารณรัฐเกาหลี
๒.๓. เพื่อศึกษาวิเคราะห์แนวโน้ม และทิศทางการพัฒนาพระพุทธศาสนาเพื่อความมั่นคงและยั่งยืน
๓. วิธีการดำเนินการวิจัย
 โครงการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิง คุณภาพ โดยอาศัยวิธีศึกษาจากเอกสาร (Documents) การศึกษาภาคสนาม (Field Study) เพื่อทำการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interviews) การสนทนากลุ่ม (group discussion) และการสังเกตอย่างไม่เป็น ทางการ (Non-participants observation) โดยมีวิธีดำเนินการวิจัยดังนี้
 ๑. การเก็บและรวบรวมข้อมูลจาก งานเอกสาร ผู้วิจัยเก็บรวบรวม การจัดเก็บ ข้อมูลเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในประเทศ เกาหลีและในสาธารณรัฐเกาหลีในหนังสือเอกสารที่เกี่ยวข้องอื่นๆ การออกแบบ สอบถามและการสัมภาษณ์ผู้นำคณะสงฆ์และ องค์กรที่เกี่ยวข้อง
 ๒. การเก็บและรวบรวมข้อมูลจาก การสัมภาษณ์ ผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากการ สัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยใน ประเทศเกาหลี โดยการตั้งคำถามที่ สอดคล้องกับงานวิจัย เพื่อให้ได้ประเด็น ปัญหาที่ต้องการจะทราบรวมถึงแนวทาง วิธีแก้ไขปัญหาที่จะสามารถนำมาตอบโจทย์ งานวิจัยได้
 ๓. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยจะนำ ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาตรวจสอบข้อมูล จัดลำดับให้มีความสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ และทำการวิเคราะห์ข้อมูล และสังเคราะห์
 ๔. การเรียบเรียงข้อมูล ผู้วิจัยสรุป เนื้อหาสาระและเรียบเรียงใหม่เป็นคำบรรยาย เชิงวิเคราะห์และพรรณนา พร้อมนำเสนอให้ เห็นถึงแนวโน้มการเติมโตของพระพุทธศาสนา ในประเทศเกาหลี
 ๕. สรุปและนำเสนอ ผู้วิจัยสรุปผลที่ ได้จากการศึกษาวิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อตอบปัญหาการวิจัยที่ตั้งไว้ พร้อมทั้งการ วิเคราะห์อย่างเป็นระบบและนำเสนองานวิจัย
๔. ผลการวิจัย
 ๑. พระพุทธศาสนาในยุค ประวัติศาสตร์และปัจจุบัน
 ๑.๑ อาณาจักรโกกรูยอ (Koguryo) อาณาจักรนี้ตั้งขึ้นบนที่ราบสูงทาง ตอนเหนือของคาบสมุทรเกาหลี ในราว ๓๗ ปี ก่อนคริสต์ศักราช หลังจากราชวงศ์ฮั่นของจีน ล่มสลาย มีอำนาจปกครองถึงปี ค.ศ. ๖๖๘ รวมเวลา ๗๐๕ ปี มีกษัตริย์ปกครองทั้งสิ้น ๒๘ พระองค์ สถาปนาโดยพระเจ้าดงเมียงซอง หรือ พระนามเดิมคือ จูมง พระพุทธศาสนา เข้าสู่อาณาจักร โกกรูยออย่างเป็นทางการใน สมัยพระเจ้าโซซูริม (Sosurim) กษัตริย์ลำดับ
                        “จูมง เป็นอดีตหัวหน้าเผ่าพูยอ (Puyo) ในช่วงที่อาณาจักรฮั่นของจีนล่มสลาย อาณาจักร โกโชซอนที่เคยเป็นอาณานิคมของจีนก็แตกสลาย เป็นกลุ่มชนเผ่าต่างๆ คำว่า จูมง เป็นภาษาของ ชาวพูยอ แปลว่า นักแม่นธนู, เรื่องเดียวกัน, หน้า ๔๐.
 ที่ ๑๗ ซึ่งครองราชย์ช่วง ค.ศ.๓๗๑-๓๘๔ ตรงกับสมัยราชวงศ์จิ้น (Chin) ของจีน พระภิกษุที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนาพุทธในสมัยนี้ มีชื่อว่า พระภิกษุ “ซุนเถาหรือซุนเตา” (Sundo/Shun-tao) จากประเทศจีน ซึ่งเป็น พระพุทธศาสนาแบบมหายาน ได้นำพระสูตร มหายานยุคต้นมาด้วย พระสูตรที่นำเข้ามา ได้แก่ สัทธรรมปุณฑรีกสูตร วิมลเกียรตินิท เทสสูตร และ ทศภูมิกสูตร เน้นการสอนเรื่อง องค์พระโพธิสัตว์ในพระพุทธศาสนาสามารถ ปกป้องกษัตริย์ ประเทศชาติและโลกได้ จึงทำ ให้ราชสำนักให้การยอมรับและรับเอา พระพุทธศาสนาเข้าสู่อาณาจักรโกกรูยออย่าง ง่ายดาย
 ในรัชสมัยกษัตริย์กวางแกโต (Kwanggaet'o: ๓๙๑-๔๓๑) พระพุทธศาสนา เจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้นครอบคลุมทั่ว อาณาจักร และเป็นศาสนาประจำอาณาจักร ได้สำเร็จ พระองค์ได้รับสมัญญานามว่า "มหาราช" ด้วย สมัยพระเจ้าพยองวอน (Pyeongwon: ๕๕๙-๕๙๐) ได้ริเริ่มการไป เผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. ๕๖๐ ทรงส่งพระภิกษุชื่อเฮียบยอน (Hyep'yon ชาวญี่ปุ่นเรียก ไกเบน Keiben) ไปประเทศญี่ปุ่นซึ่งตรงกับสมัยกษัตริย์ไปดัสสุ (Bidatsu: ๕๓๙-๕๗๑) และในปี ค.ศ. ๕๙๕ พระภิกษุฮีจา (Hyeja ญี่ปุ่นเรียก ไคจิ Keiji) ได้เป็นอาจารย์ของมกุฎราชกุมารญี่ปุ่น โชโตกุ ไทชิ (Shotoku Taishi: ๕๗๓-๖๒๑) ซึ่งต่อมาเป็นผู้วางรากฐานพระพุทธศาสนาในญี่ปุ่นได้ อย่างมั่นคง
 ๑.๒ อาณาจักรแพกเจ (Packche) ตั้งอยู่ตรงอาณาบริเวณครอบคลุมฝั่ง ตะวันตกของคาบสมุทรเกาหลีมีอำนาจอยู่ ระหว่าง ๑๘ ปีก่อนคริสต์ศักราช ถึง ค.ศ. ๖๖๓ รวมเวลา ๖๘๕ ปี มีกษัตริย์ ปกครองทั้งสิ้นรวม ๓๑ พระองค์ ชนชาวแพก เจเคยเป็นชนเผ่าหนึ่งของชนเผ่าพูยอทางตอน เหนือ เช่นเดียวกับจูมงของโกกรูยอ แต่มาตั้ง ถิ่นฐานที่เมืองมีจูโฮลหรือเมืองอินซอนใน สถาปนาขึ้นเป็นอาณาจักรในรัชสมัยของ ปัจจุบัน โดยยึดครองชนเผ่ามาฮั่นไว้ได้ กษัตริย์โคอี (ค.ศ. ๒๓๔-๒๘๕) และมีอำนาจ ทัดเทียมกับอาณาจักรโกกรูยอทางตอนเหนือย่างเป็นทางการ ในปี ค.ศ. ๓๘๔ โดยมี พระภิกษุชาวอินเดียนามว่า “มารานันทา” หรือ “มาลานันทะ”เดินทางจากอาณาจักรจิ้น ตะวันออกทางตอนใต้ของจีนมายังอาณาจักร พระพุทธศาสนาได้เข้าสู่อาณาจักร แพกเจอพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำอาณาจักร แพกแจ แต่ได้กลับจีนไปในปีถัดไป ท่าน มาลานันทะได้รับการต้อนรับอย่างดีจาก กษัตริย์ในขณะนั้น คือกษัตริย์ชิมนยู (Chimnyu-wang) รัชกาลที่ ๑๕ แห่ง อาณาจักรแพกเจ ซึ่งมีความเลื่อมใสใน พระพุทธศาสนาอย่างมาก และได้ประกาศให้
                         เรื่องเดียวกัน, หน้า ๕๐.
                b Robert E. Buswell Jr., การติดตาม
                Back the Radiance: Chinul's Korean Way of Zen, (Honolulu: Kuroda Institute, 1991), p.6.
                        “ไพบูลย์ ปีตะเสน,  
                ประวัติศาสตร์ เกาหลี จากยุคเผ่าพันธุ์ถึงราชวงศ์สุดท้าย, (กรุงเทพฯ: คงวุฒิคุณากร, ๒๕๔๕), หน้า ๓๘-๓๙. ศาสนาพุทธเป็นที่ยอมรับนับถือในอาณาจักรนี้ สืบต่อมา
 พระภิกษุที่มีชื่อเสียงมากที่สุดใน อาณาจักรนี้คือพระภิกษุเคียวมิก (Kyomik) ในสมัยกษัตริย์ซอง (Song: ๕๒๓-๕๕๔) ที่ได้ ไปศึกษาพระพุทธศาสนาในอินเดีย ตามรอย พระภิกษุฟาเหียน ท่านได้นำพระอภิธรรม ปิฎกฉบับภาษาสันสกฤตมาด้วย ในปี ค.ศ. ๕๗๒ พระสงฆ์จากอาณาจักรแพกเจได้ อัญเชิญพระคัมภีร์พระไตรปิฎก พระพุทธรูป และศิลปะทางพระพุทธศาสนาอื่นๆ ไปเผยแผ่ ในประเทศญี่ปุ่น อาณาจักรแพกเจเป็น อาณาจักรแรกในสามอาณาจักรที่ไปเผยแพร่ พระพุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่น กษัตริย์ซอง ทรงส่งพระพุทธรูปและคัมภีร์ไปที่ญี่ปุ่นหลาย ครั้ง ครั้งหนึ่งท่านทรงเขียนจดหมายถึงกษัตริย์ ของญี่ปุ่นและอธิบายว่า คำสอนของ พระพุทธศาสนาสูงส่งกว่าคำสอนในลัทธิ ขงจื้อมากมาย และทั้งเป็นที่ยอมรับนับถือใน อินเดีย จีน และอาณาจักรแพกเจเอง
 ๑.๓ อาณาจักรซิลลา (Silla) ตั้งอยู่ตรงอาณาบริเวณแถบฝั่ง ตะวันออกเฉียงใต้ มีอำนาจอยู่ระหว่างปี ๕๘ ก่อนคริสต์ศักราชจนถึง ค.ศ. ๙๓๕ รวมเวลา ๙๙๓ ปี มีผู้ปกครองเป็นกษัตริย์ทั้งสิ้น ๕๓ พระองค์ เดิมพัฒนามาจากชนเผ่าซาโร และ ได้สถาปนาขึ้นเป็นอาณาจักร โดยพระเจ้าฮยอกอเซเป็นปฐมกษัตริย์ พระพุทธศาสนาเข้าสู่ อาณาจักรซิลลาในยุคสมัยกษัตริย์นุลจี (NuljiMaripgan: ๔๑๗-๔๕๗) กษัตริย์องค์ที่ ๑๙ แต่ไม่ได้รับความนิยมเพราะอาณาจักร ซิลลาแต่เดิมนั้นเคร่งครัดและรักษาวัฒนธรรม ท้องถิ่นของตนอย่างมาก มีการแบ่งชนชั้น อย่างเคร่งครัด ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ เท่าไรนัก ในตอนต้นรัชกาล ธิดาของกษัตริย์ นุลจีล้มป่วย ไม่มีใครรักษาให้หายได้ แต่มี พระภิกษุรูปหนึ่งนามว่า "ฮักเกาจา" (Hukhoja) ได้เข้าไปทำการรักษาโดยการสวด มนต์อ้อนวอนพระโพธิสัตว์ ปรากฏว่าพระธิดา หายป่วย กษัตริย์จึงพอพระทัยและยอมรับ พระพุทธศาสนาตั้งแต่บัดนั้น
 ในรัชสมัยของ กษัตริย์พอบฮึง (Pophung: ๕๑๔-๕๓๙) ในปี ค.ศ. ๕๓๖ ได้มีการรับเอาพระพุทธศาสนาเข้า มาในอาณาจักรอย่างจริงจัง และเป็นศาสนา ประจำชาติในที่สุด มีการสร้างวัดและเจดีย์ มาก และพระภิกษุสามารถออกเผยแพร่คำ สอนทั่วอาณาจักรได้ ด้วยความศรัทธาใน พระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า กษัตริย์พอบฮึง ได้สละราชสมบัติให้หลานของพระองค์เอง และได้บวชเป็นพระภิกษุ ได้ชื่อใหม่ว่า "พอบ คง" (Popkong) และไปจำวัดอยู่ที่วัดฮวางยุน ซา (Hungnyunsa) ชื่อวัดนี้มีความหมายว่า "วัดของพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ผู้หมุนวงล้อแห่ง ธรรมจักร" ที่ได้ทรงสั่งให้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. ๕๓๔ นอกจากนี้ พระราชินีก็ได้ออกบวชเป็น แม่ชีเช่นกัน และพำนักที่วัดยงฮวงซา (Yonghungsa)
                        อาณาจักรซิลลามีการปกครองด้วย ระบบชนชั้นที่เข้มงวด การปกครองในเขต เจมส์ เอช. เกรย์สัน, เกาหลี-เอ
                        ประวัติศาสตร์ศาสนา (นิวยอร์ก: RoutledgeCurzon, 2002), หน้า 29.
                        “เรื่องเดียวกัน, หน้า ๕๕.
 ต่างๆ จะอยู่ในความรับผิดชอบของทหาร มี โรงเรียนทหารที่เรียกว่า “ฮวารัง” เพื่อฝึก ทหารให้แก่บุตรหลานของขุนนาง สถาบัน ทหารฮวารังเป็นผลผลิตจากการผสมผสาน ระหว่างวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมกับพระพุทธศาสนา และคำสอนของขงจื้อ พระสงฆ์จากประเทศ จีนได้รับนิมนต์ให้มาเป็นอาจารย์ที่สถาบันนี้ เช่น พระวอนกวางพอบชา ผู้แต่งตำรา “บัญญัติ ๕ ประการ” หรือ “เซซกโอ-กเย” สำหรับการดำเนินชีวิตของฮวารัง
 ๑.๔ อาณาจักรรวมซิลลา (United Silla) อาณาจักรรวมซิลลาเกิดขึ้นในปี กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์โกกรูยอและ ค.ศ. ๖๖๘ เมื่อสามารถโค่นล้ม กษัตริย์โพจัง สามารถรบเอาชนะอาณาจักรแพกเจได้ในปี ค.ศ. ๖๖๓ ได้ตั้งเมืองหลวงใหม่ขึ้นชื่อ เคียงจู (Kyongju) เป็นยุคที่มีความสงบ เป็นอิสระ จากการเป็นอาณานิคมจากจีน แต่ก็ได้รับ อิทธิพลอย่างมากจากจีน มีความเจริญทั้งด้าน ศิลปะ ศาสนา การค้า การศึกษา และ วิทยาการด้านอื่นๆ พระพุทธศาสนามีความ เจริญรุ่งเรืองมากจนเรียกว่าเป็นยุคทองก็ว่าได้ ในสมัยกษัตริย์มุนมู ได้เริ่มมีการจัดระเบียบ การปกครองขนานใหญ่ เช่น แบ่งการปกครอง เป็นจังหวัด เป็นอำเภอ เป็นตำบล เป็นต้น และมีการตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจหลาย หน่วยงาน หนึ่งในนั้นคือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กับการสร้างวัดในพระพุทธศาสนา
 นอกจากนี้ ในสมัยอาณาจักรรวมซิลลา ยังได้มีการส่งพระภิกษุสงฆ์ไปเผยแพร่ พระพุทธศาสนารวมกับคณะทูตไปเจริญ สัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆด้วย ความสงบ ของอาณาจักรรวมซิลลาทำให้เกิดความเจริญ ทางด้านศาสนาและวัฒนธรรมมากยิ่งขึ้น การ แลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมกับราชวงศ์ถังของ จีนจะเน้นหนักไปเรื่องวัฒนธรรมและ พระพุทธศาสนาเป็นสำคัญ ในช่วงปลายของ อาณาจักร พระพุทธศาสนานิกายเซนหรือ“ซอน” ในภาษาเกาหลี เป็นที่นิยมอย่าง กว้างขวางเพราะไม่ต้องอ่านพระไตรปิฎก ไม่ ต้องสวดมนต์ก็บรรลุธรรมได้โดยการนั่งสมาธิ นิกายเซนนี้ได้รับการเผยแพร่โดยพระพอมรัง ไม่เป็นที่ยอมรับในเบื้องต้น แต่สุดท้ายกลุ่ม ที่รับมาจากจีนโดยตรง อย่างไรก็ตาม นิกายนี้ เศรษฐีและคนในตระกูลผู้มีอำนาจเป็นผู้ อุปถัมภ์ จึงเป็นที่นิยมกว้างขวาง มีการสร้าง วัดเซน ๙ แห่งบนภูเขา ๙ ลูก เรียกว่า “คู ซัน”
 สถาปัตยกรรมที่สำคัญในสมัยนี้ ได้แก่ เจดีย์ซอกกูรัม (Sokkuram) ตั้งอยู่เมือง เคียงจู เมืองหลวงของราชวงศ์ซิลลา ในอดีต มี อายุราว ๖๕๐ ปี พระพุทธรูปซอกกูรัมเป็น พระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ในถ้ำ ทำด้วย หินแกรนิต ปางมารวิชัย สร้างขึ้นในปี ค.ศ. ๗๕๑ ในรัชสมัยกษัตริย์คยองดอก ในสมัยนั้น มีพระภิกษุชาวเกาหลี ๘ ท่าน ได้เดินทาง จาริกแสวงบุญไปยังประเทศอินเดีย ตรงกับ สมัยราชวงศ์คุปตะ ดังนั้น เมื่อกลับมาถึง เกาหลีจึงได้สร้างพระพุทธรูปขึ้นซึ่งมีลักษณะ เดียวกับสมัยคุปตะและสร้างวิหารอย่างสถูป
สาญจี วัดพุลกุกซา ตั้งอยู่ใกล้กับเจดีย์ซอก กรัม สร้างขึ้นในปีเดียวกัน แต่ถูกทำลายสมัย ญี่ปุ่นปกครอง และได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ ส่วนที่เป็นหินจะยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน อาณาจักรรวมซิลลามีอายุอยู่ถึงปี ค.ศ. ๙๓๕ ก็ถึงกาลล่มสลายอันเนื่องมาจากความขัดแย้ง ภายในราชวงศ์ หมู่ขุนนางระดับสูง ที่นิยม ชมชอบการบริหารการปกครองแบบจีนตาม ลัทธิขงจื้อ จนเกิดช่องว่างของการปกครอง ทำ ให้กลุ่มเศรษฐีเจ้าของที่ดินตั้งตัวเป็นกลุ่มต่างๆ ๑๓ และกลุ่มชาวนาที่ยากจนรวมตัวกันปฏิวัติ
                        *ไพบูลย์ ปีตะเสน, ประวัติศาสตร์
               เกาหลี จากยุคเผ่าพันธุ์ถึงราชวงศ์สุดท้าย, หน้า ๗๐.
                        **เรื่องเดียวกัน, หน้า ๗๕.
 ๑.๕ อาณาจักรโครยอ (Koryo) ในช่วงปลายของอาณาจักรรวมซิลลา เกิดการสับสนวุ่นวายเนื่องจากการแย่งชิงราช บัลลังก์อยู่บ่อยครั้ง เกิดความอ่อนแอในราช สำนัก กอปรกับการติดพันสู้รบกับอาณาจักร แพกแจใหม่ที่แยกตัวออกไปเมื่อครั้งอาณาจักร รวมซิลลาก่อตั้ง จนในที่สุด ได้มีพ่อค้าคนหนึ่ง ชื่อ “วังกอน” (Wang Gon) ได้สู้รบด้วย ความสามารถ ในที่สุดกษัตริย์คยองซุน (GyeongsunWang) พระราชาลำดับที่ ๕๖ แห่งอาณาจักรรวมซิลลาก็สละราชสมบัติให้วัง กอน ในปี ค.ศ. ๙๓๖ วังกอนได้บุกอาณาจักร แพกแจอีกครั้งและสามารถรบชนะและ รวบรวมเกาหลีให้เป็นปึกแผ่นเป็นแผ่นดิน เดียวกันอีกครั้งหนึ่ง กษัตริย์วังกอน หรือภายหลังเรียกว่ากษัตริย์แทโจ ได้ย้ายเมือง หลวงไปอยู่ที่เมืองเกซอง ใกล้กับกรุงโซลในปัจจุบัน
 พระองค์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ พระพุทธศาสนาที่เคร่งครัดมาก ทรงแต่งตั้ง ตำแหน่งใหม่ๆ เช่น ตำแหน่งราชครู หรือ“คุกซา” ทรงอุปถัมภ์การสร้างวัดและ กำหนดให้มีเทศกาลทางพระพุทธศาสนาขึ้น ทรงบัญญัติ “หลักปกครอง ๑๐ ประการ” เป็นหลักของชาติ พระพุทธศาสนาได้มีอิทธิพล ต่อวิถีชีวิตในด้านอื่นๆ เช่น การจัดเทศกาล ประจำปี คือ เทศกาลโคมไฟ ในปัจจุบันยังคง ปฏิบัติสืบมาแต่จะกระทำในเทศกาลวันวิ สาขบูชา (ซึ่งนับไม่ตรงกับของไทย) เป็นต้น เมื่อทหารมองโกลได้บุกอาณาจักรโครยอได้ทำลายศิลปวัตถุและสถานที่สำคัญๆ เช่น พระเจดีย์เก้าชั้นภายในวัดฮวางยงซา และ แม่พิมพ์ไม้พระไตรปิฎกภายในวัดพูอินซา
 อย่างไรก็ตาม ทางราชสำนักโครยอที่หนีไปอยู่ บนเกาะคังฮวาได้จัดสร้างขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ. ๑๒๓๗ และใช้เวลาถึง ๑๖ ปี จึงแล้ว เสร็จ ปัจจุบันแม่พิมพ์ทั้ง ๘๖,๐๐๐ ชิ้น ยังคง ถูกเก็บรักษาไว้ในวัดแฮอินซาในเมืองแทกู อาณาจักรโครยอตกเป็นเมืองขึ้นของมองโกล ในสมัยพระเจ้าชุงยอลกษัตริย์ลำดับที่ ๒๕ นำ โดย”กุบไลข่าน” และรับเอาลัทธิขงจื้อใหม่ ปัจจุบัน และมีอิทธิพลต่อจีนและเกาหลีมาจนถึงอาณาจักรโครยอยุคปลายเริ่มเกิด ความขัดแย้ง นำโดยขุนนางรุ่นใหม่ๆ เกิดการ วิพากษ์วิจารณ์ถึงการที่รัฐใช้งบประมาณ จำนวนมากในพิธีทางพระพุทธศาสนา การถือ
                        *อ้างแล้ว **เรื่องเดียวกัน, หน้า ๘๑-๘๓.
                        “ดำรง ฐานดี, เกาหลีวันนี้,
                        (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๒), หน้า ๗.
 ครองที่ดินจำนวนมากของพระสงฆ์ เป็นต้น จึง เสนอให้ยกเลิกการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ริบคืนที่ดินและทรัพย์สิน และให้พระสงฆ์สึก ออกมาเพื่อทำงาน พระพุทธศาสนาในเกาหลี จึงเริ่มเสื่อมสลายและถูกกำจัดลงเรื่อยมา ตั้งแต่ปลายยุคอาณาจักรโครยอ มาจนถึงยุค อาณาจักรโชซอนและในเกาหลีสมัยใหม่ อาณาจักร อาณาจักรโครยอได้ปกครองคาบสมุทรทั้งหมด ได้ถึงห้าศตวรรษ เกิดอารยธรรมเกาหลีที่โดด เด่น มีการทำเครื่องเคลือบสีของสังคโลกด้วยสี เขียวอมฟ้า รวมถึงการประดิษฐ์ตัวพิมพ์ด้วย พระพุทธศาสนาได้ถึงเวลาเสื่อมถอยลงอย่าง มากที่สุด และถูกบดบังด้วยลัทธิขงจื้อใหม่เป็น การถาวร แม้พระพุทธศาสนาจะยังมีหลงเหลืออยู่บ้างแต่ก็ไม่เข้มแข็งเหมือนในอาณาจักร ก่อนๆ มา อาณาจักรโครยอ เจริญรุ่งเรืองนาน เกือบ ๕๐๐ ปี จนในที่สุด ก็ถูกปฏิวัติ รัฐประหารโดยนายพล “อี ซอง-กเย” (Lee Seong-gye) ในปี ค.ศ. ๑๓๘๘ ปกครอง ในปี ค.ศ. อาณาจักรโชซอน (Choson) ๑๓๙๒ สถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระเจ้าแทโจ
 ๑.๖ อาณาจักรโชซอน (Choson) เมื่อพระเจ้าแทโจขึ้นเป็นกษัตริย์ สถาปนาราชวงศ์ใหม่ ทรงย้ายเมืองหลวงจาก เมืองซองโดไปอยู่ที่เมืองฮันยาง (Hanyang) ซึ่งปัจจุบันคือกรุงโซล (Seoul) อย่างไรก็ ตาม แม้โชซอนจะถูกสถาปนาขึ้นมาใหม่แต่ก็ ยังสวามิภักดิ์กับจีนเช่นเดิม พระองค์ได้สร้าง พระราชวังขึ้นหลายแห่ง ที่สำคัญคือ
                        **ดวงธิดา ราเมศวร์, ประวัติอารย ธรรมอาเซีย: เกาหลี, (กรุงเทพฯ: แพรธรรม, ๒๕๕๕), หน้า ๘๑.
 พระราชวังคยองบก หรือ เคียงบก สร้างขึ้นใน ปี ค.ศ. ๑๓๙๔ ทางตอนเหนือของกรุงโซล ซึ่ง ลอกเลียนแบบพระราชวังนานกิงของจีนใน ราชวงศ์หมิง นอกจากนี้ยังได้จัดระเบียบการ ปกครองใหม่ตามแบบอย่างจีนทุกประการ และสนับสนุนให้ลัทธิขงจื้อใหม่เป็นอุดมการณ์ ของรัฐ และเร่งกำจัดพระพุทธศาสนาอย่าง จริงจัง ราชวงศ์โชซอนปกครองเกาหลีนานถึง ๕๑๘ ปีตั้งแต่ค.ศ. ๑๓๙๓ ๑๙๑๐ ๑๖ พระพุทธศาสนานอกจากจะไม่ได้รับการ อุปถัมภ์จากสถาบันกษัตริย์แล้ว วิธีกำจัดก็มี หลากหลาย เช่น ห้ามวัดถือครองที่ดินเพิ่มเติม ต้องเสียภาษีเหมือนบุคคลทั่วไป ถ้าจะบวช พระต้องเสียภาษีพิเศษ และวัดก็ถูกเวนคืน หรือริบที่ดินไปจำนวนมากเช่นกัน
 รัชกาลที่ สำคัญในราชวงศ์นี้คือรัชกาลที่ ๔ "พระเจ้าเซ จงมหาราช” ที่สร้างความเจริญสูงสุดด้าน วัฒนธรรม ทรงเลื่อมใสลัทธิขงจื้ออย่างมาก ทรงสั่งให้เผยแพร่คำสอนไปในหมู่ขุนนาง กษัตริย์เซจงทรงสั่งให้มีการประดิษฐ์อักษร ภาษาเกาหลีที่เรียกว่า “ฮันกึล” ขึ้นเป็นครั้ง แรกในประวัติศาสตร์นำมาใช้แทนอักษรจีน ประดิษฐ์ขึ้นในปี ค.ศ. ๑๔๔๓ และประกาศใช้ อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. ๑๔๔๖ ในสมัย กษัตริย์เซจงที่ลัทธิขงจื้อเฟื่องฟูอย่างมาก พระพุทธศาสนาสายต่างๆ ถูกรวบรวมเหลือเพียง ๒ สาย คือ พุทธศาสนาสาย “ซอน” (หรือ เซน) และ “คโย” วัดวาอารามหลวงทั่ว ประเทศถูกปิด คงหลงเหลือเพียง ๑๘ แห่ง
                        อ้างแล้ว. **ไพบูลย์ ปีตะเสน, ประวัติศาสตร์ เกาหลี จากยุคเผ่าพันธุ์ถึงราชวงศ์สุดท้าย, หน้า ๑๔๘.
 เท่านั้น แม้ราชวงศ์โชซอนจะสนับสนุนลัทธิ ขงจื้อเป็นพิเศษ แต่การเผยแพร่ พระพุทธศาสนาไปญี่ปุ่นก็เกิดขึ้นได้ เมื่อทาง ราชวงศ์ญี่ปุ่นได้ขอให้เกาหลีส่งคัมภีร์ พระไตรปิฎก ระฆังวัดพุทธ และช่างฝีมือไป ก่อสร้างวัดให้แก่ญี่ปุ่นหลายครั้ง จึงพบว่า สถาปัตยกรรมของญี่ปุ่นในสมัยนี้มีความ คล้ายคลึงกับเกาหลีมากนอกจากจีน ญี่ปุ่น แล้ว ยังมี ราชอาณาจักรสยาม เรือจากชวามา ติดต่ออีกด้วย เมื่อปี ค.ศ. ๑๘๙๕ เกิดความ ขัดแย้งและความวุ่นวายในราชสำนักและ สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น เมื่อจีนแพ้ญี่ปุ่น เกาหลีจึงตกต้องเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิ ญี่ปุ่นไปด้วย พระราชินีมินถูกลอบปลงพระ ชนม์ พระเจ้าโกจงหนีไปประทับกับกงสุล รัสเซีย ความขัดแย้งนี้สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ต่อจักรวรรดิญี่ปุ่น และราชวงศ์โชซอนก็เป็นอัน สิ้นสุดลง สถาบันกษัตริย์ของเกาหลีที่สืบเนื่อง ต่อกันมาเกือบ ๕,๐๐๐ ปี ก็เป็นอันปิดฉากลง ในปี ค.ศ. ๑๙๑๐
 ๑.๗ สงครามเกาหลีสู่ยุคปัจจุบัน หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในปี ค.ศ. ๑๙๔๕ ญี่ปุ่นได้คืนเอกราชให้เกาหลี เกาหลี ภายใต้อาณานิคมของญี่ปุ่น ๓๕ ปี มีการ เปลี่ยนแปลงทางสังคมอยู่มาก ญี่ปุ่นกดขี่ชาว เกาหลีทั้งด้านการศึกษา การนับถือศาสนา สถาปัตยกรรม และอื่นๆ ในที่สุดสงคราม เกาหลีก็เกิดขึ้น ในปี ค.ศ. ๑๙๕๐ และสิ้นสุด ในปี ค.ศ. ๑๙๕๓ โดยไม่มีผู้ชนะ มีการแบ่ง ดินแดนที่เส้นขนาน ๓ เหนือที่เส้นขนานนี้เป็นประเทศเกาหลีเหนือ ที่สนับสนุนโดยจีนและ รัสเซีย ปกครองด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์อย่าง สมบูรณ์แบบภายใต้ปรัญชาจูเชซึ่งพัฒนามา จากลัทธิขงจื้อที่เกาหลีคุ้นเคยมาเป็นพันปี ที่ ใต้เส้นขนานเป็นประเทศเกาหลีใต้สนับสนุน โดยสหรัฐอเมริกา ปกครองด้วยระบอบ ประชาธิปไตยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข
 ประเทศเกาหลีใต้ที่มีปกครองแบบ ประชาธิปไตย ให้อิสระในการนับถือศาสนา จะเห็นได้ว่าคริสต์ศาสนาซึ่งมีจุดแข็งในการ เข้ามาช่วยเหลือปลดปล่อยความเข้มงวดจาก ลัทธิขงจื้อแต่เดิมและได้เข้าไปช่วยเหลือชาว เกาหลีในช่วงที่ประสบความยากลำบากจาก ภาวะสงคราม ความยากจน ความขาดแคลน ทำให้ชนะใจชาวเกาหลีใต้เป็นอย่างมาก ผู้นำ ที่สำคัญที่ปลุกปั้นให้ชาติเกาหลีเติบโตอย่าง รวดเร็วคือ นโยบายการสร้างค่านิยมในการ ทำงานหนักของนายพลปักจุงฮี อดีต ประธานาธิบดี ที่ให้เชื่อมั่นในพลังของตนเอง ด้วยการสร้างกลุ่มเศรษฐกิจแชโบล (Chaebol)
 ในช่วงการกอบกู้ประเทศในยุคกลาง คือ ประมาณ ๔๐-๕๐ ปีก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีส่วนใหญ่เป็นคริสต์ศาสนิกชน ผู้ปกครองชั้นสูงก็เป็นคริสต์ศาสนิกชน ทำให้ การขับเคลื่อนของชาวคริสต์มีพลังอย่างมาก ในขณะเดียวกัน ชาวพุทธก็ถูกกดขี่บีบคั้น ดังเช่นในอดีตที่เคยถูกบีบคั้นจากผู้ที่นับถือลัทธิขงจื้อ ทำให้พระพุทธศาสนาถดถอยลงอีก ครั้งและต่อเนื่อง ในปัจจุบัน พระพุทธศาสนา ได้รับการยอมรับมากขึ้น มีอิสระในการ ประกอบศาสนกิจ และได้รับความคุ้มครอง อย่างเท่าเทียมภายใต้รัฐธรรมนูญ
                        เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๕๕.
 ๒. พระพุทธศาสนากับความสัมพันธ์ ทางสังคมและวัฒนธรรม
 ๒.๑.๑ พระพุทธศาสนากับการศึกษา ถ้าจะนับสถาบันการศึกษาที่ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการครั้งแรกนั้นคือสถาบันที่มีชื่อว่า “แทฮัก (Taehak)” ก่อตั้งในปี ค.ศ. ๓๗๒ เพื่อให้เป็นการศึกษาของชนชั้นสูงเรียนเฉพาะ ภาษาจีนและลัทธิขงจื้อเพื่อจะได้ศึกษาตำรา จากประเทศจีนและเพื่อการปกครองเท่านั้น ไม่มีการสอนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา การศึกษาที่เกี่ยวข้องกับศาสนาใน สมัยอาณาจักรแพกเจ เป็นพระพุทธศาสนา ความศรัทธาและการยึดมั่นในวินัยจะช่วย มหายานสายพระวินัย (Gyeyul) โดยเชื่อว่า ปกป้องรัฐและบ้านเมืองไว้ได้ในสมัย อาณาจักรชิลลาเป็นพระพุทธศาสนามหายาน สายพระนิพพาน (Yeolban) ที่นับถือมหา ปรินิพพานสูตร หลังจากรับเอา พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำรัฐแล้ว พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองมาก กล่าวกันว่า ประชาชนชาวชิลลา ๘๐-๙๐% หันมานับถือพระพุทธศาสนา ในสมัยอาณาจักรรวมชิลลานิกายที่ นิยมมากที่สุดคือสายสัทธรรมปุณฑริกสูตร
                        **เรื่องเดียวกัน หน้า ๕๓.
                        จอง-คยู ลี, นักบวช
                        ปัจจัยทางประวัติศาสตร์ที่มีผลต่อชนชั้นสูง/ผู้มีตำแหน่งสูงในเกาหลีสมัยก่อน
                        "การศึกษา" วารสาร SNU
                        งานวิจัยด้านการศึกษา [ออนไลน์] จาก http://s-space.snu.ac.kr/bitstream/10371/72660/1/03.pdf [9 มกราคม 2017], หน้า 40.
 (Wonyung) สาย โยคาจาร นิกายสุขาวดี และสายธรรมชาติ (Beopseong) พระพุทธศาสนาในสมัยรวมชิลลามีสายหลักๆ ๕ สาย ได้แก่ สายวินัย สายนิพพาน สาย ธรรมชาติ สายอวตังสกะหรือพระสูตร สายโย คาจาร ในนิกายทั้ง ๕ สายอวตังสกะเป็น สายที่คนนับถือมากที่สุด ในสมัยรวมซิลลานี้ พุทธศิลป์มีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีการสร้าง วัดสวยๆ ที่มีขนาดใหญ่มากมาย เช่น วัดพุล กุกซา (Bulguksa) พระพุทธรูปในถ้ำซอก กอรัม เป็นต้น พระพุทธศาสนาถูกเปลี่ยนแปลงลักษณะไป ในสมัยอาณาจักรโครยอมาก และเป็นลักษณะเฉพาะถึงปัจจุบัน เป็น จุดเริ่มต้นของการกำเนิดของแนวทางปฏิบัติที่ เรียกว่า "ซอน" หรือเซน และเป็นนิกายหลัก ของรัฐที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และมี อิทธิพลแผ่ขยายไปในทุกชนชั้น โดยเฉพาะชน ชั้นสูงและชั้นปกครอง
 พระพุทธศาสนานิกายซอนโดนเด่น (Jinul: มากขึ้น เพราะมีพระภิกษุจินุล ๑๑๕๘-๑๒๑๐) เป็นผู้นำ และมีบทบาทใน สภาวะที่พระพุทธศาสนาในขณะนั้นกำลัง วิกฤต ทั้งเรื่องคำสอนที่ผิดเพี้ยน พระ กลายเป็นหมอดู พระให้มนต์คาถาเพื่อความ ร่ำรวย พระคอรัปชั่น เป็นต้น ท่านจินุลมาช่วย คลี่คลายปัญหาเหล่านี้ ในช่วงจังหวะพอดี เนื่องจากมีความขัดแย้งกันในเรื่องคำสอนและ การปฏิบัติในนิกายซอน ท่านจินุลเข้ามาแก้ไขปัญหา รวมทั้งเรื่องคอรัปชั่นของพระภิกษุด้วย ได้ก่อตั้งขบวนการทางสังคมขึ้นมาเรียกว่า "สังคมแห่งสมาธิและปัญญา" (samādhi and prajñāsociety) โดยมีจุดประสงค์ที่จะสร้างสังคมใหม่ขึ้นมา เป็นสังคมที่มีระเบียบวินัย มี จิตใจที่บริสุทธิ์ด้วยการปฏิบัติตามพื้นที่ที่สงบ เช่น ภูเขา โดยท่านได้สร้างวัดขึ้นมาชื่อ "ซอง วังซา" (Seonggwangsa monastery) บน เทือกเขาโชเก และเป็นที่มาของชื่อนิกายที่ ใหญ่และสำคัญที่สุดของเกาหลีตราบจน ปัจจุบัน
 ในสมัยอาณาจักรโชซอน คำสอนจะ สืบต่อมาจากสมัยโครยอ มี ๕ นิกาย และ แนวทางการปฏิบัติแบบนิกายซอนนั้น ในสมัย นี้เหลืออยู่เพียง ๒ นิกายเท่านั้น คือ ซอน และ เกียวหรือการศึกษาเล่าเรียน แต่ในที่สุด ก็ ลดลงเหลือเพียง สำนักซอน สำนักเดียวและ ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม พระพุทธศาสนาก็ได้มี ผลต่อการศึกษาของชาวเกาหลีอยู่ไม่มากก็ น้อย สถาบันการศึกษาที่สำคัญและเก่าแก่คือมหาวิทยาลัยดองกุก (Dongguk University) ก่อตั้งในปี ค.ศ.๑๙๐๖ (พ.ศ.๒๔๔๙) โดย กำเนิดจากการเผยแผ่คำสอนของนิกายโชเก
 ๒.๑.๒ พระพุทธศาสนากับการเมือง การปกครอง
 ทั้งพระพุทธศาสนาและลัทธิขงจื้อมี บทบาทสำคัญในด้านการเมืองการปกครองใน ประเทศเกาหลี และมีอิทธิพลมานานร่วม ศตวรรษรัฐก็ยังควบคุมอย่างเข้มงวดต่อการ เผยแผ่คำสอนของพระพุทธศาสนา มีการสร้าง ระบบการจัดการดูแลวัดและพระสงฆ์ในสมัย ซิลลา มีการจัดการบริหารเจ้าอาวาส เป็น ระดับหมู่บ้าน จังหวัด และระดับประเทศ สำนักพระราชวังได้จัดให้มีการสอบพระภิกษุ และให้รางวัลกับผู้ที่สอบได้ และให้ตำแหน่ง ทางพระอีกด้วย นอกจากนี้ยังให้ใบประกาศรับรองแก่ประชาชนจำนวน ๔,๐๐๐ คน ที่ดู และพระภิกษุและพระพุทธศาสนาโดยรวม หลังพระราชินีมุนจงสิ้นพระชนม์และกษัตริย์ ในลัทธิขงจื้อ จึงมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ เมียงอองยองสิ้นพระชนม์ กษัตริย์ซอนโจ (King Seonjo) ขึ้นครองราชย์ พระองค์ฝักใฝ่ กับพระพุทธศาสนาอีกครั้ง
 ในช่วงปี ๑๙๑๐ อาณาจักรโชซอนล่มสลายและเกาหลี กลายเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นถึง ๓๐ ปี แต่ พระพุทธศาสนาในเกาหลีก็ยังไม่สามารถหลุด พ้นการภัยคุกคามจากการเมืองได้ ญี่ปุ่นได้ ตรากฎหมายต่างๆ และเอาพระพุทธศาสนา แบบญี่ปุ่นมาใช้ เช่น การให้พระแต่งงานมี ครอบครัวและให้ฉันเนื้อได้ ซึ่งเป็นการสร้าง ขึ้นเพื่อปั่นทำลายศรัทธาพระพุทธศาสนาใน เกาหลี และพยายามทำให้ศาสนาชินโตของตน เป็นศาสนาหลักแทน ข้าหลวงใหญ่ อาวาสวัดของเกาหลีและเป็นผู้ดูแลทรัพย์สิน ผู้ปกครองเกาหลีจากญี่ปุ่นจะเป็นผู้แต่งตั้งเจ้า ของวัด ออกกฎให้วัดทุกวัดต้องจงรักภักดีต่อจักรพรรดิญี่ปุ่น และต้องสวดมนต์เพื่อจักรพรรดิ แม้ญี่ปุ่นจะทำทุกวิถีทางที่จะให้วัด และพระเป็นไปตามญี่ปุ่นกำหนด แต่ก็มี ขบวนการคัดค้านเกิดขึ้นมากมาย เช่น ในปี ๑๙๑๙ มีขบวนการที่เรียกว่า March First Movement นำโดยพระภิกษุ ฮัน ยอง-อัน (Han Yong-un) และ แบค ยอง-ซอง (Baek Yong-seong) พระภิกษุชาวเกาหลีที่อาศัยอยู่ ประเทศอื่นก็เข้าร่วมขบวนการนี้ด้วย
                        ها คิม ยองแท ประวัติศาสตร์โลก ของพุทธศาสนาเกาหลี (โซล: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยดงกุก, 2014), หน้า 150
                        ในปี ๑๙๒๐ เกิดขบวนการที่เรียกว่า the Association of Young Korean Buddhist (JoseonbBulgyocheongnyeonhoe) ในปี ๑๙๒๑ เกิดขบวนการที่เรียกว่า การปฏิรูปศาสนาพุทธเกาหลี (JoseonBulgyoyusinhoe) ที่ต้องการให้แยก ศาสนาออกจากการเมืองและยกเลิกกฎ ต่างๆ
 *นิกายโชเกซึ่งเป็นนิกายใหญ่สุดได้ พยายามฟื้นฟูพระพุทธศาสนาอีกครั้ง โดยยึด หลัก ๓ ด้านคือ ด้านการศึกษา ด้านการเผย แผ่ และด้านการแปลพระคัมภีร์ ในปี ๑๙๘๐ เกิดการปฏิวัติอีกครั้ง ครั้งนี้เกิดการนองเลือด หลายพื้นที่รวมถึงการจำกุมพระ ฆ่าพระ ยึด วัด เพื่อเหตุผลว่าต้องการให้สังคมสะอาดบริ สุทธ์
 *พระพุทธศาสนาในเกาหลีถูกสูญ หายไปกับความวุ่นวายทางการเมืองเป็น ระยะเวลายาวนานและตกอยู่ในสถานการณ์ที่ ยากลำบากอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สมัยยุคโชซอน จนถึงญี่ปุ่นเข้าครอบครอง ต่อเนื่องถึง สหรัฐอเมริกาเข้ามาครอบครองต่อ จนถึง ปัจจุบันที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็น การเมืองการปกครองที่มีผลต่อเนื่องยาวนานนี้ คริสต์ศาสนิกชน ความยากลำบากจาก เพราะถูกแทรกแซงจากการเมืองตลอดเวลา การขัดแย้งสู้รบกันเองระหว่างสองนิกาย การ ขัดแย้งอันเป็นรากฐานมาจากการถูกปกครอง โดยญี่ปุ่น ทำให้ประชาชนทั่วไปเบื่อหน่าย พระภิกษุที่มีความรู้ความสามารถจริงๆ ก็ลด
                        *อ้างอิงจากแหล่งเดียวกัน หน้า 153
                        *อ้างอิงจากแหล่งเดียวกัน หน้า 168-169
 จำนวนลงอย่างมาก ชาวพุทธในเกาหลีจึงลด จำนวนลงอย่างมากและอย่างต่อเนื่อง และทำ ให้พระพุทธศาสนาในเกาหลีอยู่อย่างลำบาก และยากที่จะฟื้นฟูให้รุ่งเรืองได้เหมือนในอดีต ถ้าจะพัฒนาให้เจริญมั่นคงจะต้องปรับตัวให้ สมสมัยและตอบโจทย์ที่ท้าทายมากมายที่ เกิดขึ้นในประเทศที่พัฒนาทางเศรษฐกิจที่ รุ่งเรืองมากเช่นนี้
 ๒.๑.๓ พระพุทธศาสนากับวิถีชีวิต และวัฒนธรรม
 พระพุทธศาสนามีอิทธิพลต่อชาว เกาหลีในปัจจุบันไม่มาก แต่ค่านิยมต่างๆ มักจะได้รับมาจากลัทธิขงจื้อ เช่น ขยันไม่ย่อท้อ ทุ่มเทการทำงาน รักชาติ กตัญญู รัก การศึกษา มีวินัย เคารพในอาวุโส รู้จักหน้าที่ และปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง กระนั้นก็ ตาม การมีผู้นำที่ดี ก็จะช่วยนำทาง นำสังคม ไปในทางที่ดี ในช่วงที่เกาหลีประสบกับความ ยากลำบากจากสงคราม ภัยพิบัติ ทำให้เกิด ความยากจนแร้นแค้น แต่เพราะได้ผู้นำที่ดี อย่างประธานาธิบดี ปัก จุงฮี ที่ได้ก่อกำเนิด นโยบาย โครงการแซมาอึลวุนดง การทำงาน คือความขยันหมั่นเพียร การ (SaemualUndong) ที่ปลูกฝังจริยธรรมใน ช่วยเหลือตัวเอง และความร่วมมือร่วมใจกัน
                        “ดร.เจือจันทร์ จงสถิตอยู่ และ ดร. รุ่งเรือง สุขภิรมย์, "รายงานการสังเคราะห์ คุณธรรมจริยธรรมของประเทศต่างๆ", พิมพ์ครั้ง ที่ ๒, (กรุงเทพฯ: พริกหวาน กราฟฟิค, ๒๕๕๑), งานวิจัยคุณลักษณะและกระบวนการปลูกฝัง หน้า ๑๓.
                        เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๘.
 ชาวเกาหลีมีพื้นฐานที่เข้มแข็งจากรากฐาน วัฒนธรรมขงจื้อ ที่สร้างเสริมความรักชาติ ความขยัน ความอดทน ความกตัญญู ก็ยังคง มั่นคงหนักแน่น และทำให้ชาติพัฒนาไปอย่าง รวดเร็ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการพัฒนา ประเทศให้เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว เป็น เพราะมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลอย่าง ประธานาธิบดี ปัก จุง ฮี ด้วยนโยบายในการ สร้างชาติด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างก้าว กระโดด
 ดังนั้น หลักธรรมทาง คำสอนของขงจื้อ” ที่มุ่งสอนในเรื่องระเบียบ พระพุทธศาสนามีอิทธิพลน้อยกว่าแนวคิดและ ของสังคม การดำเนินวิถีชีวิตในครอบครัว การ รู้จักหน้าที่ของตนและการปฏิบัติตนให้ถูกต้อง ตามครรลอง ฯลฯ วัฒนธรรมและประเพณีที่ปรากฏโดย อิทธิพลจากพระพุทธศาสนายังคงมีอยู่ ได้แก่ ประเพณีวัน วิสาขบูชา หรือเรียกว่า Lotus Lantern Festival หรือเทศกาลโคมบัว หรือแท้จริงเรียกว่า ประเพณีวันเกิดพระพุทธเจ้า ซึ่งได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง นับจากปี 1996 โดยถือเอาดอกบัวแทนสัญลักษณ์ของ พระพุทธเจ้าประเพณีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดประเพณี หนึ่งของเกาหลีและเป็นสิ่งที่ดึงดูด นักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ซึ่งกล่าวกันว่าเป็น ประเพณีที่เก่าแก่ที่สุดย้อนไปถึงสมัยซิลลา ริเริ่มโดยกษัตริย์จินเฮือง (Jinheung: ๕๔๐-๕๗๖) และสืบเนื่องมายาวนานถึง ๑,๒๐๐ ปี๒๗
 ๓. วิเคราะห์แนวโน้มและทิศทางของ พระพุทธศาสนาในสาธารณรัฐเกาหลี
 ๓.๑ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของ พระพุทธศาสนาในสาธารณรัฐเกาหลีพัฒนาพระพุทธศาสนาในเกาหลีใต้ ผู้วิจัยขอเสนอใน ๔ มิติ ดังนี้ การเสริมสร้างความเข้มแข็งเพื่อการ
 มิติที่ ๑ ด้านการปฏิบัติจิตภาวนา
 พระพุทธศาสนาในเกาหลีใต้ปัจจุบัน มีจุดเด่นและจุดแข็งด้านการปฏิบัติสมาธิ เห็น ได้จากโครงการ "ปฏิบัติธรรมที่วัด" หรือ"Temple Stay" เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียง ระดับโลก มีคนสนใจมาปฏิบัติมากจากทุก สารทิศ ไม่ได้จำกัดเชื้อชาติ ศาสนาถ้าได้เน้น ทั้งสองด้านคือ ทั้งการปฏิบัติสมาธิและฟัง ธรรมมากกว่าเรื่องวัฒนธรรม พิธีกรรม จะช่วยให้คนที่เข้าวัดได้ข้อคิด ได้นำหลักธรรม ไปปฏิบัติได้มากขึ้น มีความเข้าใจใน พระพุทธศาสนามากขึ้น ทำให้เกิดศรัทธา เกิด ปัญญา และอาจทำให้หันมาเลื่อมใสและนับ ถือพระพุทธศาสนาได้ การปฏิบัติสมาธิภาวนา จะสามารถช่วยปลดปล่อยความทุกข์ ความเครียดได้ เนื่องจากการมาเข้าปฏิบัติ โครงการดังกล่าว มีค่าใช้จ่าย ทำให้เป็นจุด ด้อยที่พอเข้าใจได้ เพราะอาจทำให้คนเข้าใจ
                        องค์การการท่องเที่ยวเกาหลี,
                        เทศกาลโคมดอกบัว [ออนไลน์], จาก http://english.visitkorea.or.kr/enu/ATR/SI_ EN_3_2_1.jsp?cid=972387 [15 พฤษภาคม 2017]
                        ๒๖ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๐๖.
 ว่าเป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง ถ้าวัดที่จัดโครงการ เหล่านี้ มีผู้สนับสนุนค่าใช้จ่าย และเปิดให้คน ทำบุญได้ตามศรัทธาหรือเกิดจากการบริจาค หรือแสดงให้เห็นว่าการปฏิบัติธรรมไม่ใช่การ ทำธุรกิจ อาจจะเป็นจุดดึงดูดให้คนเข้าวัด ปฏิบัติธรรมมากขึ้นได้
 มิติที่ ๒ ด้านการสร้างศาสนาสถาน ใกล้ชุนชน เมืองใหญ่
 ในเกาหลีใต้ พบว่า เหตุผลหลักคือผู้ปกครอง ปัญหาที่สำคัญของพระพุทธศาสนา ไม่สนับสนุนหรือหันไปนับถือในลัทธิอื่น และ ได้กำจัดหรือออกกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้วัด และพระสงฆ์อยู่อย่างลำบาก จนยากที่จะ เผยแพร่สั่งสอนธรรมะได้ ถ้าพระพุทธศาสนา จะสามารถกลับมายืนหยัดและเจริญได้ดังเช่น อดีต ควรจะมีวัดในเมืองมากขึ้น หรือสถานที่ ที่คนสามารถไปทำบุญ สวดมนต์ ฟังธรรม ปฏิบัติธรรมได้ง่ายหรือไปมาได้อย่างสะดวก ถ้าเปรียบเทียบกับโบสถ์ของศาสนาคริสต์ใน ปัจจุบันพบว่ามีมากกว่า ๒๐,๐๐๐ แห่งทั่ว ๒๘ ประเทศ ซึ่งปรากฏอยู่ทุกมุมเมือง ในขณะที่ วัด ในปัจจุบันเหลือเพียง ๓,๐๐๐ วัดทั่ว ประเทศเท่านั้นที่ยังคงมีพระภิกษุอยู่อาศัย ๒๙
                        สารานุกรมวิกิพีเดีย, โบสถ์ในเกาหลี, [ออนไลน์], จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Christianity_i Korea [30 สิงหาคม 2017]
                        สารานุกรมโลกใหม่ ا๑๑ วัดพุทธเกาหลี [ออนไลน์], จาก http://www.newworldencyclopedia.org/e [30 สิงหาคม 2017]
 ดังนั้น จึงควรจะสร้างศาสนาสถานให้ชาวพุทธ สามารถเข้าไปปฏิบัติศาสนกิจได้ง่ายและไปมา สะดวกมากขึ้น
 มิติที่ ๓ ด้านวัฒนธรรมเชิงพุทธ
 ถึงแม้ว่าพระพุทธศาสนาจะเข้ามา สู่ดินแดนเกาหลีมากกว่า ๑,๗๐๐ ปี แต่ ไสยศาสตร์ลัทธิคนทรงเจ้าเข้าผีที่นับถือแต่เดิม และลัทธิขงจื้อซึ่งก็เข้ามาสู่ดินแดนเกาหลีนาน พระพุทธศาสนาถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่นำจิต พอๆกับศาสนาพุทธก็ยังคงมีอิทธิพลอยู่มาก วิญญาณแห่งความสุขความสงบ ในขณะที่ลัทธิ ขงจื้อมีบทบาทในด้านการปกครอง ทั้งฝ่าย บ้านเมืองและภายในครอบครัว ดังนั้น อิทธิพลของขงจื้อจึงโดดเด่นและปรากฏ ต่อเนื่องมาเป็นพันปีจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ ตาม วัฒนธรรมประเพณีที่เกี่ยวข้องกับ พระพุทธศาสนายังคงมีอยู่บ้าง เช่นประเพณี ที่สำคัญพิธีเดียวที่ยังคงหลงเหลืออยู่ เป็นพิธีที่ สำคัญและได้รับความสนใจจากทั่วโลก มีคน แห่โคมไฟในวันเกิดของพระพุทธเจ้า ที่เป็นพิธี เข้าร่วมงานนับหมื่นคน คณะสงฆ์เกาหลีควร ต้องมีเพิ่มเติมเพื่อให้คนคุ้นเคยมากขึ้น เช่น การนำเด็กเข้าวัดสวดมนต์ การประกาศตน เป็นพุทธมามกะ ก็เป็นสิ่งที่น่ากระทำได้ ประเพณีการเดินเขากราบพระที่ถ้ำซอกกูรัม ก็ เป็นสิ่งที่น่าจะสร้างขึ้นได้ กิจกรรมต่างๆอย่าง นี้ต้องอาศัยความเข้มแข็งของวัดและผู้นำวัด และชาวพุทธเป็นอย่างมาก แต่การจะ เสริมสร้างความเข้มแข็งของพระพุทธศาสนาก็ จำเป็นที่ต้องสร้างขึ้นมาใหม่
 มิติที่ ๔ ด้านพุทธศาสนาเพื่อสังคม
 มิติที่สำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนา ในประเทศเกาหลีใต้เสื่อมลงอย่างรวดเร็วคือการที่วัดและพระภิกษุถูกกดดันให้ออกไปจากเมือง ห่างไกลจากชุมชน จนประชาชนส่วน ใหญ่ไม่รู้จักและพร้อมที่จะยอมรับนับถือศาสนาอื่นๆได้ง่าย สิ่งที่พุทธศาสนิกชนใน เกาหลีสามารถทำได้ คือการทำงานเพื่อช่วยเหลือสังคมให้มากขึ้น แม้ว่าสังคมใน ประเทศเกาหลีใต้จะเป็นประเทศที่เจริญมาก สังคมหรือประชาชนที่ลำบากยากจนมีน้อย มาก ไม่เหมือนประเทศด้อยพัฒนา แต่การ ทำงานเพื่อสังคมอาจจะปรับเปลี่ยนให้ เหมาะสม เช่น การไปสอนธรรมะใน โรงพยาบาล การที่พระภิกษุไปเยี่ยมเยียน พุทธศาสนิกชนตามบ้านเรือน หรือ การก่อตั้ง มูลนิธิ หรือองค์กรต่างๆ เพื่อช่วยเหลือสังคม อาจทำให้คนเกาหลีเห็นคุณค่าของคณะสงฆ์ได้ เมื่อพบว่าพระพุทธศาสนาได้อยู่ใกล้ชิดและ ช่วยเหลือเกื้อกูลสังคม ไม่ได้แปลกแยกออก จากสังคม ประชาชนทั่วไปก็จะได้รับ ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับพระพุทธศาสนา และเห็นว่าพระภิกษุสงฆ์มีประโยชน์ทั้งด้านให้ กำลังใจ ด้านจิตวิญญาณและยังทำงานเพื่อช่วยเหลือสังคมด้วย ดังนั้น มิติทางด้านสังคม จึงเป็นจุดสำคัญที่จะทำให้พระพุทธศาสนา กลับมาเป็นที่ยอมรับและกลับมาสนใจศึกษา หรือนับถือกันมากขึ้น
 ๕. บทสรุป
 ทิศทางการพัฒนาพระพุทธศาสนาในเกาหลี ใต้เพื่อความมั่นคงและยั่งยืน ในงานวิจัยชิ้นนี้ ผู้วิจัยขอเสนอ"โครงการ พ-ว-ส-ร" เมื่อ พ=พุทธศาสนิกชน ทั้งอุบาสกและอุบาสิกา ว=วัด, ส=สังฆะหรือคณะสงฆ์, และ ร=รัฐบาลหรือผู้ปกครอง โดย โครงการนี้จะต้องบูรณาการร่วมกันในการทำ ให้การพัฒนาประสบความสำเร็จ พ-พุทธศาสนิกชน เป็นหน้าที่ของ พุทธศาสนิกชนชาวเกาหลีที่จะต้องทำงาน อย่างหนักมากในการจะสร้างศรัทธาเพื่อให้คน รุ่นใหม่หรือคนที่ยังไม่ได้นับถือศาสนาใดเห็น ประโยชน์ของการมีพระพุทธศาสนาในจิตใจ และใช้หลักธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ หลักธรรมที่สำคัญที่เสริมสร้างความเข้มแข็งใน ใจของพุทธศาสนิกชนเพื่อให้งานบรรลุผล ได้แก่ พละ ๕ หรือ กำลัง ๕ ประการ ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และ ปัญญา
 ว-วัดในที่นี้ หมายถึงภิกษุ ภิกษุณี ที่ อยู่ในวัด รวมถึงเจ้าอาวาสวัดยังต้องช่วยกันใน การที่จะทำให้ประชาชนศรัทธาเลื่อมใสทั้งใน ตัวภิกษุภิกษุณีเอง และยังต้องสร้างศรัทธา และความเลื่อมใสให้เกิดกับ ศาสนสถานต่างๆ ด้วย หลักธรรมพื้นฐานที่ควรจะน้อมนำไปใช้ และปฏิบัติ ได้แก่ หลักสังคหวัตถุ ๔๓๑ เพื่อสร้างให้คนในชุมชนในสังคมเห็นว่า วัด สามารถเป็นที่พึ่งและรักษาน้ำใจซึ่งกันและกัน ได้ ได้แก่ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา หลักการสำคัญอีกประการคือการเป็นพระ โพธิสัตว์ในคำสอนมหายาน คือ มหาปัญญา มหากรุณา มหาอุบาย สามารถน้อมนำมา ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติของคติมหายาน นอกจากนี้ การเป็นพระโพธิสัตว์ตามคติ มหายานที่จะต้องมีการประพฤติและสั่งสม บารมี หลักธรรมที่สำคัญคือ การบำเพ็ญ
                        พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต),
                        พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม, (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๔๖), หน้า ๑๘๗.
                       เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๔๒-๑๔๓.
 บารมี 5 ได้แก่ ทานบารมี ศีลบารมี ขันติ บารมีหรือ กษานติบารมี วิริยบารมี ฌาน บารมีหรือธยานบารมี ปัญญาบารมีหรือปรัชญาบารมี เป็นการทำงานเพื่อสั่งสมบารมี เป็นการทำงานเพื่อสั่งสมบารมี อัปปมัญญา๔ ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หลักธรรมเหล่านี้จะช่วยให้เสริมสร้าง ความมั่นคงในจิตใจของผู้ปฏิบัติในฐานะชาว วัดได้
 ส-สังฆะ/คณะสงฆ์ ในที่นี้ คือฝ่าย บริหารกิจการของสงฆ์ พระพุทธศาสนาใน เกาหลีมีนิกายย่อยหลายนิกาย เช่น โชเก แท โก เทียนไท้ วอน เป็นต้น แต่ละนิกายก็มีวัดมี พระภิกษุหรือภิกษุณีในสังกัดของตัวเอง การ ปกครองสงฆ์ที่มีหลายคณะ ความร่วมมืออาจจะไม่รวมเป็นหนึ่งแต่ก็ไม่มีความขัดแย้ง กัน อย่างไรก็ตาม ถ้าจะให้พระพุทธศาสนาใน เกาหลีกลับมารุ่งเรืองได้นั้น ต้องอาศัยการ ร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่าย คณะสงฆ์มีบทบาทสำคัญที่จะเป็น ผู้นำว่าจะมีทิศทางไปทางไหน ถ้าคณะสงฆ์ ประสานความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริหาร บ้านเมืองให้สนับสนุนกิจการพระพุทธศาสนา ได้ย่อมทำให้การพัฒนาประสบความสำเร็จได้ ดังนั้น การได้มีโอกาสปรึกษาหารือ ทำงาน ร่วมกัน จำเป็นที่ต้องมีหลักธรรมยึด ได้แก่ หลักอปริยหานิยธรรม ๗
 ร-รัฐบาล หรือผู้ปกครอง พระพุทธศาสนาในเกาหลีที่ตกต่ำ เสื่อมทราม ลงอย่างมากนี้ เพราะผู้ปกครองหันไปนับถือศาสนาลัทธิอื่นและปกครองอย่างยาวนาน ร่วม ๕๐๐ ปี จึงยากที่จะหันกลับมาฟื้นฟูได้ดังเดิม ลำพังการเปลี่ยนการนับถือศาสนาไม่ เท่าไร แต่การกวาดล้าง กดขี่ จ้องทำลาย เป็น สิ่งที่ทำให้พระพุทธศาสนาย่อยยับลง ถ้าจะให้ พระพุทธศาสนาในประเทศเกาหลีกลับมา พระพุทธศาสนาในประเทศเกาหลีกลับมา ผู้ปกครองต้องมีหลักธรรมนำทางที่เรียกว่า ทศพิธราชธรรม ซึ่งประกอบด้วย ทาน ศีล บริจาค ความซื่อตรง ความอ่อนโยน ความ เพียร ความไม่โกรธ ความไม่เบียดเบียน ความ อดทน ความเที่ยงธรรม
 โครงการที่ผู้วิจัยนำเสนอ คือ การ บูรณาการ "โครงการ พ-ว-ส-ร" หรือพุทธศาสนิกชน วัด สังฆะ/คณะสงฆ์ และ รัฐบาล ถ้าได้ร่วมมือกันทุกฝ่าย ย่อมทำให้การ พัฒนา การดำเนินกิจกรรมทางศาสนาของ พระพุทธศาสนาประสบความสำเร็จได้ แต้ถ้า ขาดกำลังภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่ง หรือภาค ส่วนใดอ่อนกำลังลง การที่จะได้เห็น พระพุทธศาสนาในประเทศเกาหลีกลับมา เฟื่องฟูรุ่งเรื่องเหมือนในอดีตอีกครั้ง คงจะ เพียงแสงที่ริบหรี่ผ่านไปตามกาลเวลา
 ประเทศสาธารณเกาหลี มีประวัติศาสตร์ที่ โดยสรุป พระพุทธศาสนาใน ยาวนานมากกว่า ๑,๗๐๐ ปี แต่ในปัจจุบัน ประคับประคองและเหล่าพุทธศาสนิกชน ทั้ง ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ต้องทำงาน อย่างหนักในการที่จะช่วยฟื้นฟูให้ พระพุทธศาสนากลับมาเจริญเฟื่องฟูอีกครั้ง ความเจริญความนิยมลดลงอย่างมาก จนเหลือเพียงสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ของประชากรเท่านั้น และโอกาสที่จะฟื้นคืนกลับมาเจริญรุ่งเรือง ดังเดิม คงเป็นไปได้ยาก นอกจากการ
                        เรื่องเดียวกัน, หน้า ๖๒-๖๓.
                        เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๔๐-๒๔๑.
 อย่างไรก็ดี พระพุทธศาสนาจะยังคงอยู่ใน ดินแดนนี้ตลอดไปแม้จะมีจำนวนไม่มากก็ตาม
บรรณานุกรม
 เจือจันทร์ จงสถิตอยู่ และ รุ่งเรือง สุขภิรมย์. "รายงานการสังเคราะห์งานวิจัยคุณลักษณะและ กระบวนการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมของประเทศต่างๆ". พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: พริกหวาน กราฟฟิค, ๒๕๕๑.
 ดวงธิดา ราเมศวร์. ประวัติอารยธรรมอาเซีย: เกาหลี. กรุงเทพฯ: แพรธรรม, ๒๕๕๕.
ดำรง ฐานดี. เกาหลีวันนี้. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๒.
                        พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖.
                        ไพบูลย์ ปีตะเสน. ประวัติศาสตร์เกาหลี จากยุคเผ่าพันธุ์ถึงราชวงศ์สุดท้าย. กรุงเทพฯ: คงวุฒิ คุณากร,๒๕๔๕.
                        วีระชัย โชคมุกดา. ประวัติศาสตร์เกาหลี. กรุงเทพฯ: ยิปซี, ๒๕๕๕.
                        Buswell, Robert E. Jr. ย้อนรอยรัศมี: วิถีเซนแบบเกาหลีของชินุล. โฮโนลูลู: สถาบันคุโรดะ, 1991.
                        เกรย์สัน, เจมส์ เอช. เกาหลี - ประวัติศาสตร์ทางศาสนา นิวยอร์ก: รูทเลดจ์-เคอร์ซอน, 2002.
                        คิม ยงแท. ประวัติศาสตร์สากลของพุทธศาสนาเกาหลี โซล: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยดงกุก, 2014
                        คู่มือพุทธศาสนา. พุทธศาสนาเกาหลี. [ออนไลน์]. จาก http://www.buddhism-guide.com/buddhism/hyeon_jeong_non.htm [1 เมษายน 2560].
                        ลี จอง-คยู. ปัจจัยทางศาสนาที่มีผลต่อชนชั้นสูง/การศึกษาระดับอุดมศึกษาของเกาหลีในยุคก่อนสมัยใหม่" วารสารวิจัยการศึกษา มหาวิทยาลัยรัฐอานธรประเทศ
                        [ออนไลน์].จาก http://s-space.snu.ac.kr/bitstream/10371/72660/1/03.pdf [9 มกราคม 2017]
                        องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี. เทศกาลโคมดอกบัว. [ออนไลน์]. จาก http://english.visitkorea.or.kr/enu/ATR/SI_EN_3_2_1.jsp?cid=972387 [15 พฤษภาคม 2560].
                        สารานุกรมโลกใหม่. วัดพุทธเกาหลี. [ออนไลน์]. จาก http://www.newworldencyclopedia.org/entry/Korean_Buddhist_temples[ 30 สิงหาคม 2017].
                        สารานุกรมวิกิพีเดีย. โบสถ์ในเกาหลี. [ออนไลน์]. https://en.wikipedia.org/wiki/Christianity_in_Korea [30 สิงหาคม 2017]. จาก 
ความสัมพันธ์ทางสังคมและสถานการณ์ปัจจุบัน
                        พุทธศาสนาในสาธารณรัฐเกาหลี: ประวัติศาสตร์ การพัฒนา ความสัมพันธ์ทางสังคม และสถานการณ์ปัจจุบัน
                        พระราชปริยัติมุนี (เทียบ สิริญาโณ/มาลัย) Phra Rajapariyattimuni
                        อรทัย มีแสง Orathai Meesang
                        เดชฤทธิ์ โอฐสู Dechrit Otsoo
บทคัดย่อ
 บทความนี้ได้ศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในประเทศเกาหลีใต้ พัฒนาการ และ สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมรวมถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน และได้เสนอวิธีการเสริมสร้างความเข้มแข็งเพื่อการพัฒนาพระพุทธศาสนาในเกาหลีใต้ใน ๔ มิติ คือ มิติด้านการปฏิบัติจิตภาวนา มิติด้านการ สร้างศาสนาสถานใกล้ชุนชน เมืองใหญ่ มิติด้านวัฒนธรรมเชิงพุทธ และมิติด้านพุทธศาสนาเพื่อสังคม นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังได้นำเสนอการพัฒนาพระพุทธศาสนาในประเทศเกาหลีใต้เพื่อให้เกิด ความมั่นคงและยั่งยืนด้วยการบูรณาการในโครงการ “พ-ว-ส-ร" หรือ โครงการ “พุทธศาสนิกชน วัด-สังฆะ-รัฐบาล”
                        คำสำคัญ: พระพุทธศาสนา, เกาหลี, ประวัติศาสตร์, พัฒนาการ
                        * ภาควิชาบาลีและสันสกต คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
                        ภาควิชาภาษาบาลีและสันสกฤต คณะพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ประเทศไทย
                        ๒ สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย Office of Buddhist Research Institute, Mahachulalongkornrajavidyalaya University, Thailand
                        สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย Office of Buddhist Research Institute, Mahachulalongkornrajavidyalaya University, Thailand

ไม่มีความคิดเห็น: