Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทายัชชภาณวาร. แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทายัชชภาณวาร. แสดงบทความทั้งหมด

01 พฤศจิกายน 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ บุคคลไม่ควรให้อุปสมบท ๒๐ จำพวก

[๑๓๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรผู้ไม่มีอุปัชฌาย์. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายกุลบุตรผู้ไม่มีอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ. สมัยต่อมา
   ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรมีสงฆ์เป็นอุปัชฌาย์.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายกุลบุตรมีสงฆ์เป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ. สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรมีคณะเป็นอุปัชฌาย์. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรมีคณะเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ. สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลาย อุปสมบทกุลบุตรมีบัณเฑาะก์เป็นอุปัชฌาย์.
   อุปสมบทกุลบุตรมีบุคคลลักเพศเป็นอุปัชฌาย์.
   อุปสมบทกุลบุตรมีภิกษุไปเข้ารีต
เดียรถีย์เป็นอุปัชฌาย์.
   อุปสมบทกุลบุตรมีสัตว์ดิรัจฉานเป็นอุปัชฌาย์.
   อุปสมบทกุลบุตรมีคนฆ่ามารดาเป็นอุปัชฌาย์.
   อุปสมบทกุลบุตรมีคนฆ่าบิดาเป็นอุปัชฌาย์.
   อุปสมบทกุลบุตรมีคนฆ่าพระอรหันต์เป็นอุปัชฌาย์.
   อุปสมบทกุลบุตรมีคนประทุษร้าย
ภิกษุณีเป็นอุปัชฌาย์.
   อุปสมบทกุลบุตรมีคนทำสังฆเภทเป็นอุปัชฌาย์
   อุปสมบทกุลบุตรมีคนทำร้ายพระศาสดา
จนห้อพระโลหิตเป็นอุปัชฌาย์
   อุปสมบทกุลบุตรมีอุภโตพยัญชนกเป็นอุปัชฌาย์.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   กุลบุตรมีบัณเฑาะก์เป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ... กุลบุตรมีบุคคลลักเพศเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ... กุลบุตรมีภิกษุไปเข้ารีตเดียรถีย์เป็นอุปัชฌาย์ 
   ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ... กุลบุตรมีสัตว์ดิรัจฉานเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ... กุลบุตรมีคนฆ่ามารดาเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ... กุลบุตรมีคนฆ่าบิดาเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ... กุลบุตรมีคนฆ่าพระอรหันต์เป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ...
   กุลบุตรมีคนประทุษร้ายภิกษุณีเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ...   กุลบุตรมีคนทำสังฆเภทเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้      กุลบุตรมีคนทำร้ายพระศาสดาจนห้อพระโลหิตเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้
   กุลบุตรมีอุภโตพยัญชนกเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   [๑๓๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรผู้ไม่มีบาตร. พวกเธอเที่ยวรับบิณฑบาตด้วยมือ.
   คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เที่ยวรับบิณฑบาตเหมือนพวกเดียรถีย์. 
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรไม่มีบาตร ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ 
   รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรมีบาตรที่ยืมเขามา. เมื่ออุปสมบทแล้วเจ้าของก็นำบาตรคืนไป.
   พวกเธอเที่ยวรับบิณฑบาตด้วยมือ. 
   คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เที่ยวรับบิณฑบาตเหมือนพวกเดียรถีย์. 
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายกุลบุตรมีบาตรที่ยืมเขามา ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ 
   รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรมีจีวรที่ยืมเขามา.
   เมื่ออุปสมบทแล้ว เจ้าของก็นำจีวรคืนไป.
   พวกเธอเปลือยกายเที่ยวรับบิณฑบาต.
   คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา ว่า เที่ยวรับบิณฑบาตเหมือนพวกเดียรถีย์.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรมีจีวรที่ยืมเขามา ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ. สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรมีบาตรและจีวรที่ยืมเขามา. 
   เมื่ออุปสมบทแล้ว เจ้าของก็นำบาตรและจีวรคืนไป.
   พวกเธอเปลือยกายเที่ยวรับบิณฑบาตด้วยมือ.
   คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เที่ยวรับบิณฑบาตเหมือนพวกเดียรถีย์. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   กุลบุตรมีบาตรและจีวรที่ยืมเขามา ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ. บุคคลไม่ควรให้อุปสมบท ๒๐ จำพวก จบ.

บุคคลไม่ควรให้ บรรพชา ๓๒ จำพวก

   [๑๓๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายบรรพชาคนมือด้วน ... บรรพชาคนเท้าด้วน ... บรรพชาคนทั้งมือและเท้าด้วน ... บรรพชาคนหูขาด ... บรรพชาคนจมูกแหว่ง
   บรรพชาคนทั้งหูขาดและจมูกแหว่ง ... บรรพชาคนนิ้วมือนิ้วเท้าขาด ... บรรพชาคนมีง่ามมือง่ามเท้าขาด ... บรรพชาคนเอ็นขาด ... บรรพชาคนมือเป็นแผ่น
   บรรพชาคนค่อม ... บรรพชาคนเตี้ย ... บรรพชาคนคอพอก ... บรรพชาคนถูกสักหมายโทษ ... บรรพชาคนมีรอยเฆี่ยนด้วยหวาย ... บรรพชาคนถูกออกหมายสั่งจับ ... บรรพชาคนเท้าปุก ... บรรพชาคนมีโรคเรื้อรัง
   บรรพชาคนมีรูปร่างไม่สมประกอบ ... บรรพชาคนตาบอดข้างเดียว ... บรรพชาคนง่อย ... บรรพชาคนกระจอก ... บรรพชาคนเป็นโรคอัมพาต  ... บรรพชาคนมีอิริยาบถขาด ... บรรพชาคนชราทุพพลภาพ ... บรรพชาคนตาบอดสองข้าง ... บรรพชาคนใบ้ ... บรรพชาคนหูหนวก
   บรรพชาคนทั้งบอดและใบ้
   บรรพชาคนทั้งบอดและหนวก
   บรรพชาคนทั้งใบ้และหนวก
   บรรพชาคนทั้งบอดใบ้และหนวก.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ภิกษุไม่พึงบรรพชาคนมือด้วน ... ไม่พึงบรรพชาคนเท้าด้วน ...ไม่พึงบรรพชาคนทั้งมือและเท้าด้วน
   ไม่พึงบรรพชาคนหูขาด ... ไม่พึงบรรพชาคนจมูกแหว่ง ...ไม่พึงบรรพชาคนทั้งหูขาดทั้งจมูกแหว่ง
   ไม่พึงบรรพชาคนนิ้วมือนิ้วเท้าขาด ... ไม่พึงบรรพชาคนง่ามมือง่ามเท้าขาด ... ไม่พึงบรรพชาคนเอ็นขาด
   ไม่พึงบรรพชาคนมือเป็นแผ่น ... ไม่พึงบรรพชาคนค่อม ...  ไม่พึงบรรพชาคนเตี้ย ... ไม่พึงบรรพชาคนคอพอก
   ไม่พึงบรรพชาคนถูกสักหมายโทษ ...ไม่พึงบรรพชาคนมีรอยเฆี่ยนด้วยหวาย ... ไม่พึงบรรพชาคนถูกออกหมายสั่งจับ ... ไม่พึงบรรพชาคนเท้าปุก ... ไม่พึงบรรพชาคนมีโรคเรื้อรัง ... ไม่พึงบรรพชาคนมีรูปร่างไม่สมประกอบ
   ไม่พึงบรรพชาคนตาบอดข้างเดียว ... ไม่พึงบรรพชาคนง่อย ... ไม่พึงบรรพชาคนกระจอก ... ไม่พึงบรรพชาคนเป็นโรคอัมพาต ... ไม่พึงบรรพชาคนมีอิริยาบถขาด ... ไม่พึงบรรพชาคนชราทุพพลภาพ ... ไม่พึงบรรพชาคนตาบอดสองข้าง ... ไม่พึงบรรพชาคนใบ้ ... ไม่พึงบรรพชาคนหูหนวก
   ไม่พึงบรรพชาคนทั้งบอดและใบ้ ... ไม่พึงบรรพชาคนทั้งบอดและหนวก ... ไม่พึงบรรพชาคนทั้งใบ้และหนวก ... ไม่พึงบรรพชาคนทั้งบอดใบ้และหนวก
รูปใดบรรพชาให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
บุคคลไม่ควรให้บรรพชา ๓๒ จำพวก จบ.
ทายัชชภาณวารที่ ๙ จบ.

ทรงห้ามให้นิสสัยแก่อลัชชี

   [๑๓๖] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ให้นิสสัยแก่ภิกษุพวกอลัชชี. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงให้นิสสัยแก่ภิกษุพวกอลัชชี รูปใดให้ต้องอาบัติทุกกฏ.
      สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายอยู่อาศัยภิกษุพวกอลัชชี.
   ไม่ช้าไม่นานเท่าไรนัก
   แม้พวกเธอก็กลายเป็นพวกอลัชชี
   เป็นภิกษุเลวทราม. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงอยู่อาศัยภิกษุพวกอลัชชี รูปใดอยู่ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า ไม่พึงให้นิสสัยแก่ภิกษุพวกอลัชชี และไม่พึงอยู่อาศัยภิกษุพวกอลัชชี ทำอย่างไรหนอพวกเราจึงจะรู้ว่า
   เป็นภิกษุลัชชี หรืออลัชชี แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รอ ๔-๕ วัน พอจะสืบสวนรู้ว่าภิกษุผู้ให้นิสสัยเป็นสภาคกัน.

 ภิกษุผู้ไม่ต้อง ถือนิสสัย

   [๑๓๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเดินทางไกลไปโกศลชนบท. คราวนั้นเธอได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุจะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ ดังนี้ ก็เรามีหน้าที่ต้องถือนิสสัยแต่จำต้องเดินทางไกล จะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอแล. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้เดินทางไกล เมื่อไม่ได้ผู้ให้นิสสัย ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
   [๑๓๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุ ๒ รูปเดินทางไกลไปโกศลชนบท. เธอทั้งสองพักอยู่ ณ อาวาสแห่งหนึ่ง.
   ในภิกษุ ๒ รูปนั้น รูปหนึ่งอาพาธ จึงรูปที่อาพาธนั้นได้มีความดำริว่าพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุจะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ ก็เรามีหน้าที่ต้องถือนิสัย แต่กำลังอาพาธ จะพึงปฏิบัติอย่างใดหนอแล. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุอาพาธเมื่อไม่ได้ผู้ให้นิสสัย ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
   ครั้งนั้น ภิกษุผู้พยาบาลไข้นั้นได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุจะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ ก็เรามีหน้าที่ต้องถือนิสสัย แต่ภิกษุรูปนี้ยังอาพาธ เราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอแล.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้พยาบาลไข้ เมื่อไม่ได้ผู้ให้นิสสัยถูกภิกษุอาพาธขอร้อง ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
   ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอยู่วัดป่า และเธอก็มีความผาสุกในเสนาสนะนั้น.คราวนั้นเธอได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า  ภิกษุจะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ ก็เรามีหน้าที่ต้องถือนิสสัย แต่ยังอยู่วัดป่า และเราก็มีความผาสุกในเสนาสนะนี้ จะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอแล.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร กำหนดการอยู่เป็นผาสุก เมื่อไม่ได้ผู้ให้นิสสัย ไม่ต้องถือนิสสัย ด้วยผูกใจว่า เมื่อใดมีภิกษุผู้ให้นิสสัยที่สมควร มาอยู่ จักอาศัยภิกษุนั้นอยู่.

อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๑ มหาขันธกะ

บุคคลไม่ควรให้ อุปสมบท ๒๐ จำพวก บุคคลไม่ควรให้บรรพชา ๓๒ จำพวก

อรรถกถาอนุปัชฌายกาทิวัตถุ
   หลายบทว่า เตน โข ปน สมเยน มีความว่า โดยสมัยใด สิกขาบทอันพระผู้มีพระภาคเจ้ายังมิได้ทรง
   บัญญัติแล้ว โดยสมัยนั้น.
  บทว่า อนุปชฺฌายกํ มีความว่า เว้นจากอุปัชฌาย์ทุกๆ อย่าง เพราะไม่ให้ถืออุปัชฌาย์.
   กุลบุตรทั้งหลายผู้อุปสมบทแล้วอย่างนั้น ย่อมไม่ได้ความสงเคราะห์โดยธรรม โดยอามิส
   เขาย่อมเสื่อมเท่านั้น ย่อมไม่เจริญ.
   หลายบทว่า น ภิกฺขเว อนุปชฺฌายโก เป็นต้น มีความว่า กุลบุตรชื่อผู้ไม่มีอุปัชฌาย์ เพราะไม่ให้ถืออุปัชฌาย์ ไม่พึงให้อุปสมบท. เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ให้อุปสมบทด้วยอาการอย่างนั้น จำเดิมแต่ทรงบัญญัติสิกขาบท
   ว่า ภิกษุใดพึงให้อุปสมบท ภิกษุนั้นต้องทุกกฎ. ส่วนกรรมหากำเริบไม่. พระอาจารย์บางพวกกล่าวว่า กำเริบ คำของอาจารย์บางพวกนั้น ไม่ควรถือเอา. 
   แม้ในคำทั้งหลาย มีคำว่า สงฺเฆน อุปชฺฌาเยน เป็นต้น มีอุภโตพยัญชนกเป็นอุปัชฌาย์เป็นที่สุด ก็นัยนี้แล. 
   ข้อว่า อปตฺตกา หตฺเถสุ ปิณฺฑาย จรนฺติ มีความว่า ภิกษุทั้งหลายผู้ไม่มีบาตรย่อมเที่ยวไป เพื่อประโยชน์
   แก่บิณฑะอันตนจะได้ในมือทั้ง ๒.
   ข้อว่า เสยฺยถาปิ ติตฺถิยา มีความว่า เหมือนพวกเดียรถีย์มีชื่ออาชีวก.  จริงอยู่ เดียรถีย์เหล่านั้น ย่อมฉันบิณฑะอันตนคลุกด้วยแกงและกับใส่ไว้ในมือทั้ง ๒ นั้นเอง. 
   สองบทว่า อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส มีความว่า เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ให้อุปสมบทด้วยอาการอย่างนั้นเท่านั้น. ส่วนกรรมไม่กำเริบแม้ในวัตถุว่าอจีวรกา เป็นต้น ก็นัยนี้แล. 
   บทว่า ยาจิตเกน มีความว่า ด้วยบาตรเป็นของยืมซึ่งอุปสัมปทาเปกขะอ้อนวอนยืมมาว่า ขอท่านจงให้เพียงที่ข้าพเจ้ากระทำการอุปสมบทเถิด. จริงอยู่ ย่อมเป็นอาบัติเฉพาะแก่ภิกษุผู้ให้อุปสมบทด้วยบาตรหรือจีวร หรือทั้งบาตรทั้งจีวร 
   เช่นนี้ แต่กรรมไม่กำเริบ.
   เพราะเหตุนั้น กุลบุตรผู้มีบาตรจีวรครบเท่านั้น จึงควรให้อุปสมบท. ถ้าของเขาไม่มี และอาจารย์อุปัชฌาย์อยากจะให้เขา หรือภิกษุเหล่าอื่นปรารถนาจะให้อาจารย์และอุปัชฌาย์
   หรือภิกษุเหล่าอื่นผู้ไม่เสียดาย พึงสละให้บาตรและจีวรที่ควรอธิษฐานได้. แต่จะให้บรรพชาเปกขะผู้ดังใบไม้เหลืองบวช ด้วยบาตรและจีวรแม้ที่ยืมมาสมควรอยู่, แม้ถือเอาด้วยวิสาสะในที่แห่งภิกษุผู้เป็นสภาคกันแล้วให้บวชก็ควร. 
   แต่ถ้าปัณฑุปลาสนั้น เป็นผู้ถือบาตรที่ยังมิได้ระบมและผ้าที่ควรแก่จีวรมา, บาตรยังระบมอยู่และจีวรยังกระทำอยู่เพียงใด ควรจะให้อนามัฏฐบิณฑบาตแก่เขาผู้พักอยู่ในวิหารเพียงนั้น.
   ปัณฑุปลาสนั้นจะบริโภคในบาตร ก็ควร. 
   ในเวลาก่อนฉันอาหาร ส่วนแห่งอามิสเท่ากับส่วนของสามเณรอันภิกษุผู้เป็นภัตตุทเทสก์สมควรจะให้. 
   ส่วนการถือเสนาสนะและภัตต่างๆ มีสลากภัต อุทเทสภัตและนิมันตนภัตเป็นต้น ไม่สมควรให้.
   แม้ในเวลาภายหลังอาหาร ส่วนแห่งเภสัชมีน้ำมัน น้ำผึ้งและน้ำอ้อยเป็นต้น เท่ากับส่วนของสามเณร อันภิกษุผู้เป็นภัตตุทเทสก์สมควรจะให้. ถ้าเขาเป็นไข้ ภิกษุทั้งหลายควรจะทำยาให้เขา และควรทำการปรนนิบัติทั้งปวงแก่เขา
   เหมือนทำแก่สามเณร ฉะนี้แล.
อรรถกถาอนุปัชฌายกาทิวัตถุ จบ.
อรรถกถาหัตถัจฉินนาทิวัตถุกถา
พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องคนมือด้วนเป็นต้นต่อไป :- 
   มือข้างเดียวหรือทั้ง ๒ ข้าง ของผู้ใด เป็นอวัยวะขาดไปที่ฝ่ามือก็ดี ที่ข้อมือก็ดี ที่ศอกก็ดี ส่วนใดส่วนหนึ่ง 
   ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีมือขาด.
   เท้าข้างเดียวหรือทั้ง ๒ ข้าง ของผู้ใด เป็นอวัยวะขาดไปที่ปลายเท้าก็ดี ที่ข้อเท้าก็ดี ที่แข้งก็ดี ส่วนใดส่วนหนึ่ง ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีเท้าขาด. ในมือและเท้าทั้ง ๔ โดยประการดังกล่าวแล้วนั่นแล มือและเท้าของผู้ใด ๒ หรือ ๓ หรือทั้งหมด เป็นอวัยวะขาดไป ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีมือและเท้าขาด. 
   หูของผู้ใด ข้างเดียวหรือทั้ง ๒ ข้างเป็นอวัยวะขาดไปที่เง่าหูก็ดี ที่ใบหูก็ดี ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีหูขาด. แต่หูของผู้ใด ย่อมฉีกที่ตุ้มแห่งหู แต่เป็นอวัยวะที่อาจต่อให้ติดกันได้ ผู้นั้นพึงให้ต่อหูให้ติดแล้ว จึงให้บวช. จมูกของผู้ใด เป็นอวัยวะแหว่งวิ่นไปที่ดั้งจมูกก็ดี ที่ช่องจมูกข้างเดียวก็ดี ช่องจมูกทั้ง ๒ ก็ดี ส่วนใดส่วนหนึ่ง ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีจมูกแหว่ง. แต่จมูกของผู้ใด เป็นอวัยวะที่อาจประสานให้ติดกันได้. ผู้นั้นพึงทำจมูกนั้นให้หายแล้วจึงให้บวช. 
   บุคคลที่ชื่อว่าผู้มีหูและจมูกแหว่ง พึงทราบด้วยอำนาจแห่งอวัยวะทั้ง ๒.   นิ้วของผู้ใด นิ้วเดียวหรือหลายนิ้ว เป็นอวัยวะขาดไป ไม่เห็นมีเล็บเหลือ ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีเล็บด้วน แต่เล็บที่เหลือของผู้ใด แม้ประมาณเท่าเส้นด้ายยังปรากฏ จะให้ผู้นั้นบวชควรอยู่. 
   ในหัวแม่มือแม่เท้าทั้ง ๔ นิ้ว หัวแม่มือและแม่เท้าของผู้ใด นิ้วเดียวหรือหลายนิ้ว เป็นอวัยวะขาดไป ตามนัยที่กล่าวแล้วในนิ้วผู้นั้นชื่อว่ามีง่าม มือง่ามเท้าขาด. 
   เอ็นใหญ่ที่ชื่อว่ากัณฑระของผู้ใด เป็นอวัยวะขาดไป ข้างหน้าก็ดี ข้างหลังก็ดี ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีเอ็นขาด บุคคลย่อมก้าวเดินด้วยปลายเท้าบ้าง ด้วยส้นเท้าบ้าง หรือไม่อาจยันเท้าลงตรงๆ ได้ ก็เพราะในเอ็นใหญ่เหล่านั้น แม้เอ็นหนึ่งขาดไป. 
   นิ้วมือของผู้ใด เป็นของติดกันเหมือนปีกค้างคาว ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีมือเป็นแผ่น. ภิกษุผู้ใคร่จะให้บุคคลนั้นบวช พึงผ่าหนังซึ่งมีในระหว่างนิ้ว เอาหนังในระหว่างออกทั้งหมด รักษาหายแล้วจึงให้บวช. แม้ผู้ใดมี ๖ นิ้ว ภิกษุผู้ใคร่จะให้ผู้นั้นบวชพึงตัดนิ้วที่เกินเสีย รักษาหายแล้วจึงให้บวช. 
   ผู้ใดจัดว่ามีร่างกายค่อม เพราะอกหรือหลัง หรือสีข้างโกง ผู้นั้นชื่อว่าคนค่อม. แต่อวัยวะน้อยใหญ่บางส่วนของผู้ใด โกงไปนิดหน่อย จะให้ผู้นั้นบวช สมควรอยู่. เพราะว่าพระมหาบุรุษเท่านั้นมีพระกายตรงดังกายพรหม สัตว์ที่เหลือชื่อว่าผู้ไม่ค่อมย่อมไม่มี. 
   คนมีขาสั้นก็ดี มีบั้นเอวสั้นก็ดี สั้นทั้ง ๒ ก็ดี ชื่อว่าคนเตี้ย. กายท่อนล่างตั้งแต่บั้นเอวลงมา แห่งคนขาสั้น เป็นของสั้น กายท่อนบนสมบูรณ์. กายท่อนบนตั้งแต่บั้นเอวขึ้นไป แห่งคนบั้นเอวสั้น เป็นของสั้น กายท่อนล่างบริบูรณ์. 
   กายทั้ง ๒ ท่อน แห่งคนสั้นทั้ง ๒ เป็นของสั้น. ร่างกายย่อมกลมรอบคล้ายหม้อมีกะพุ้งใหญ่เหมือนร่างกายแห่งภูตทั้งหลาย เพราะกายทั้ง ๒ ท่อนเหล่าไรเล่าเป็นของสั้น จะให้ชนนั้นแม้ทั้ง ๓ ชนิดบวช ย่อมไม่ควร. ที่คอแห่งผู้ใด มีพอกดังลูกฟัก ผู้นั้นชื่อว่าคนคอพอก. และคำนี้สักว่าแสดง แต่เมื่อมีพอกที่ประเทศอันใดอันหนึ่ง ก็ไม่ควรให้บวช. 
วินิจฉัยในคำว่า คลคณฺฑี นั้น พึงทราบ
ตามนัยที่กล่าวแล้วในคำนี้ว่า น ภิกฺขเว ปญฺจหิ อาพาเธหิ ผุฏฺโฐ ปพฺพาเชตพฺโพ นั่นแล
   คำใดที่จะพึงกล่าวในคนมีรอยแผลเป็น คนถูกเฆี่ยนด้วยหวายและคนถูกเขียนไว้ คำนั้นข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว ในข้อทั้งหลายมีข้อว่า น ภิกฺขเว ลกฺขณาหโต เป็นต้นนั่นแล. 
   คนมีเท้าเป็นตุ้ม ท่านเรียกว่าคนตีนปุก. เท้าของผู้ใดอูมเกิดเป็นตุ้มแข็ง ผู้นั้นไม่ควรให้บวช แต่เท้าของผู้ใด ยังไม่ทันจับแข็ง เป็นของที่อาจผูกเครื่องรัดแช่ไว้ในหลุมน้ำ กลบด้วยทรายเปียกน้ำให้เต็มให้เหี่ยวยุบลงจนเส้นเอ็นปรากฏ และแข้งเป็นเหมือนกระบอกน้ำมัน จะทำเท้าของผู้นั้นให้เป็นเช่นนี้ แล้วให้เขาบวชควรอยู่.

ทรงห้ามให้นิสสัยแก่อลัชชีเป็นต้น

อรรถกถานิสสยคหณกถา
   ในคำว่า อลชฺชีนํ นิสฺสาย วสนฺติ นี้ :- 
   บทว่า อลชฺชีนํ เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ใช้ในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ. ความว่า ภิกษุทั้งหลายพึ่งบุคคลผู้อลัชชีทั้งหลายอยู่. 
   คำว่า ยาว ภิกฺขูสภาคตํ ชานามิ มีความว่า เราจะทราบความที่ภิกษุผู้ให้นิสัยเป็นผู้ถูกส่วนกับภิกษุทั้งหลาย คือความเป็นผู้มีละอายเพียงไร. เพราะเหตุนั้น ภิกษุผู้ถึงฐานะใหม่ แม้อันภิกษุไรๆ กล่าวว่า ภิกษุ เธอจงมาถือนิสัย ดังนี้ พึงพิจารณาข้อที่ภิกษุผู้ให้นิสัยเป็นผู้มีความละอาย ๔-๕ วันแล้ว จึงค่อยถือนิสัย. 
   ถ้าได้ฟังในสำนักแห่งภิกษุทั้งหลายว่า พระเถระเป็นลัชชี เป็นผู้ปรารถนาจะถือในวันที่ตนมาทีเดียว. ฝ่ายพระเถระกล่าวว่า คุณจงรอก่อน คุณอยู่จักรู้ ดังนี้ แล้วตรวจดูอาจาระเสีย ๒-๓ วันแล้วจึงให้นิสัย การทำอย่างนี้ ย่อมควร. 
   โดยปกติ ภิกษุผู้ไปสู่สถานเป็นที่ถือนิสัย ต้องถือนิสัยในวันนั้นทีเดียว แม้วันเดียว ก็คุ้มไม่ได้. ถ้าในปฐมยาม อาจารย์ไม่มีโอกาส เมื่อไม่ได้โอกาสจะนอนด้วยผูกใจไว้ว่า เราจักถือในเวลาใกล้รุ่ง ถึงอรุณขึ้นแล้วไม่รู้ ไม่เป็นอาบัติ. แต่ถ้าไม่ทำความผูกใจว่า เราจักถือ แล้วนอน เป็นทุกกฎในเวลาอรุณขึ้น. 
   ภิกษุไปสู่สถานที่ไม่เคยไป ปรารถนาจะค้าง ๒-๓ วันแล้วไปไม่ต้องถือนิสัยอยู่ก็ได้. แต่เมื่อทำอาลัยว่า เราจักค้าง ๗ วันต้องถือนิสัย. ถ้าพระเถระพูดว่า จะมีประโยชน์อะไรด้วยนิสัยสำหรับผู้ค้าง ๗ วัน. เธอเป็นอันได้บริหาร จำเดิมแต่กาลที่พระเถระห้ามไป
๑- วินย. มหาคฺค. ทุติย. ๒๖๔ 
   บทว่า นิสฺสยกรณีโย มีความว่า เราเป็นผู้มีการถือนิสัยเป็นกิจควรทำ. อธิบายว่า นิสัยอันเราพึงทำ คือพึงถือ. 
   สองบทว่า นิสฺสยํ อลภมาเนน มีความว่า เมื่อไม่มีภิกษุผู้ให้นิสัยซึ่งเดินทางไปกับตน เธอชื่อว่าย่อมไม่ได้นิสัย อันภิกษุผู้ไม่ได้อย่างนั้น ไม่ต้องถือนิสัยไปได้สิ้นวันแม้มาก ถ้าเข้าไปสู่อาวาสบางตำบลซึ่งตนเคยถือนิสัยอยู่แม้ในกาลก่อน 
   แม้จะค้างคืนเดียว ก็ต้องถือนิสัย. พักอยู่ในระหว่างทางหรือหาพวกอยู่ ๒-๓ วัน ไม่เป็นอาบัติ. แต่ภายในพรรษาต้องอยู่ประจำที่ และต้องถือนิสัย. แต่ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไปในเรือ แต่ไม่ได้นิสัยในเมื่อฤดูฝนแม้มาแล้ว. 
   บทว่า ยาจิยมาเนน มีความว่า ผู้อันภิกษุไข้นั้นออกปากขอ ถ้าภิกษุไข้แม้เธอบอกว่า ท่านจงออกปากขอกะเรา ดังนี้ แต่ไม่ยอมออกปากขอ เพราะมานะ เธอพึงไป. 
   สองบทว่า ผาสุ โหติ มีความว่า ความสำราญ มีด้วยอำนาจแห่งการได้เฉพาะซึ่งสมถะและวิปัสสนา. อันที่จริง พระโสดาบันย่อมไม่ได้เลยซึ่งบริหารนี้ พระสกทาคามีพระอนาคามีและพระอรหันต์ ก็ไม่ได้ บุคคลผู้มีปกติได้สมาธิหรือวิปัสสนาอันแก่กล้าแล้ว
   ย่อมไม่ได้บริหารนี้. อันคำที่จะพึงกล่าวย่อมไม่มีในพาลปุถุชน ผู้ละเลยกัมมัฏฐานเสียแท้. แต่ว่าสมถะก็ดี วิปัสสนาก็ดี ของภิกษุใดแล ยังเป็นคุณชาติอ่อน ภิกษุนี้ย่อมได้บริหารนี้. 
   แม้ปวารณาสงเคราะห์๒- พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงอนุญาตแก่ภิกษุผู้มีสมถะและวิปัสสนายังอ่อนนี้เท่านั้น. เพราะเหตุนั้น บุคคลนี้ แม้เมื่ออาจารย์ปวารณาแล้วไปแล้วด้วยล่วง ๓ เดือน จะทำความผูกใจว่า เมื่อใด ภิกษุผู้ให้นิสัยซึ่งสมควรจักมา 
   เมื่อนั้น เราจักอาศัยภิกษุนั้นอยู่ แล้วไม่ถือนิสัยอยู่จนถึงวันอาสาฬหปุณณมีดิถีเพ็ญเดือน ๘ อีกก็ควร. แต่ถ้าในอาสาฬหมาส อาจารย์ไม่มา ควรไปในที่ซึ่งตนจะได้นิสัย. 
๒- คือทรงอนุญาตให้เลื่อนปวารณาไปทำ
ในวันเพ็ญเดือนกัตติกาหลัง.
อรรถกถานิสสยคหณกถา จบ.

31 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ เรื่องห้ามคนฆ่ามารดามิให้อุปสมบท

   [๑๒๘] ก็โดยสมัยนั้นแล มาณพผู้หนึ่งปลงชีวิตมารดาเสีย. เขาอึดอัด ระอา รังเกียจบาปกรรมอันนั้น และได้มีความดำริว่า ด้วยวิธีอะไรหนอ 
        เราจึงจะทำการออกจากบาปกรรมอันนี้ได้ 
   จึงหวนระลึกนึกขึ้นได้ว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ เป็นผู้ประพฤติธรรม ประพฤติสงบ ประพฤติพรหมจรรย์ กล่าวแต่คำสัตย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม
   ถ้าเราจะพึงบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ด้วยวิธีเช่นนี้ เราก็จะทำการออกจากบาปกรรมอันนี้ได้. ต่อมา เขาเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายขอบรรพชา. ภิกษุทั้งหลายได้แจ้งความนี้ต่อท่านพระอุบาลีว่าอาวุโส อุบาลี
   เมื่อครั้งก่อนแล นาคแปลงกายเป็นชายหนุ่มเข้ามาบวชในสำนักภิกษุ อาวุโสอุบาลี นิมนต์ท่านไต่สวนมาณพคนนี้. ครั้นมาณพนั้น ถูกท่านพระอุบาลีไต่สวนอยู่ จึงแจ้งเรื่องนั้น. 
   ท่านพระอุบาลีได้แจ้งให้พวกภิกษุทราบแล้ว. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ คนฆ่ามารดา ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.

เรื่องห้ามคนฆ่าบิดามิให้อุปสมบท

   [๑๒๙] ก็โดยสมัยนั้นแล มาณพผู้หนึ่งปลงชีวิตบิดาเสีย. เขาอึดอัด ระอา รังเกียจบาปกรรมอันนั้น และได้มีความดำริว่า ด้วยวิธีอะไรหนอ
   เราจึงจะทำการออกจากบาปกรรมอันนี้ได้ จึงหวนระลึกนึกขึ้นได้ว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ เป็นผู้ประพฤติธรรม ประพฤติสงบ ประพฤติพรหมจรรย์ กล่าวแต่คำสัตย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม ถ้าเราจะพึงบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร 
   ด้วยวิธีเช่นนี้ เราก็จะทำการออกจากบาปกรรมอันนี้ได้. ต่อมา เขาเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายแล้วขอบรรพชา.
   ภิกษุทั้งหลายได้แจ้งความนี้ต่อท่านพระอุบาลีว่า อาวุโสอุบาลี เมื่อครั้งก่อนแล นาคแปลงกายเป็นชายหนุ่มเข้ามาบวชในสำนักภิกษุ อาวุโสอุบาลี นิมนต์ท่านไต่สวนมาณพคนนี้.
   ครั้นมาณพนั้น ถูกท่านพระอุบาลีไต่สวนอยู่ จึงแจ้งเรื่องนั้น. ท่านพระอุบาลีได้แจ้งให้พวกภิกษุทราบแล้ว.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ คนฆ่าบิดาภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.

เรื่องห้ามคนฆ่าพระอรหันขมิให้อุปสมบท

   [๑๓๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกัน เดินทางไกล จากเมืองสาเกตไปพระนครสาวัตถี. ในระหว่างทาง พวกโจรพากันยกพวกออกมา แย่งชิงภิกษุบางพวก ฆ่าภิกษุบางพวก. เจ้าหน้าที่ยกออกไปจากพระนครสาวัตถี แล้วจับโจรได้เป็นบางพวก.
   บางพวกหลบหนีไปได้. พวกที่หลบหนีไป ได้บวชในสำนักภิกษุ. พวกที่ถูกจับได้ เจ้าหน้าที่กำลังนำไปฆ่า.
   พวกโจรที่บวชแล้วเหล่านั้นได้เห็นโจรพวกนั้นกำลังถูกนำไปฆ่า ครั้นแล้วจึงพูดอย่างนี้ว่า เคราะห์ดีพวกเราพากันหนีรอดมาได้ ถ้าวันนั้นถูกจับ จะต้องถูกเขาฆ่าเช่นนี้เหมือนกัน.
   ภิกษุทั้งหลายพากันถามว่า อาวุโสทั้งหลาย ก็พวกท่านได้ทำอะไรไว้? จึงบรรพชิตเหล่านั้นได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.
   ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกนั้นเป็นอรหันต์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบันคือคนฆ่าพระอรหันต์ ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.

เรื่องห้ามอุปสมบทคนประทุษร้ายภิกษุณี เป็นต้น

   [๑๓๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุณีหลายรูป เดินทางไกลจากเมืองสาเกตไปพระนครสาวัตถี. ในระหว่างทาง พวกโจรพากันยกออกมา แย่งชิงภิกษุณีบางพวก ทำร้ายภิกษุณีบางพวก.
   เจ้าหน้าที่ยกออกไปจากพระนครสาวัตถี แล้วจับโจรได้เป็นบางพวก. บางพวกหลบหนีไปได้. พวกที่หลบหนีไป ได้บวชในสำนักภิกษุ. พวกที่ถูกจับได้เจ้าหน้าที่กำลังนำไปฆ่า. พวกโจรที่บวชแล้วเหล่านั้น ได้เห็นโจรพวกนั้นกำลังถูกนำไปฆ่า
   ครั้นแล้วจึงพูดอย่างนี้ว่า เคราะห์ดี พวกเราพากันหนีรอดมาได้ ถ้าวันนั้นถูกจับ จะต้องถูกเขาฆ่าเช่นนี้เหมือนกัน. ภิกษุทั้งหลายพากันถามว่าอาวุโสทั้งหลาย ก็พวกท่านได้ทำอะไรไว้. จึงบรรพชิตเหล่านั้นได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือคนประทุษร้ายภิกษุณี ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือคนผู้ทำสังฆเภท ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือคนทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงห้อพระโลหิต ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.

เรื่องห้ามอุปสมบทอุภโตพยัญชนก

   [๑๓๒] ก็โดยสมัยนั้นแล อุภโตพยัญชนกคนหนึ่งได้บวชในสำนักภิกษุ. เธอเสพเมถุนธรรมในสตรีทั้งหลาย ด้วยปุริสนิมิตของตนบ้าง ให้บุรุษอื่นเสพเมถุนธรรมในอิตถีนิมิต
ของตนบ้าง.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ อุภโตพยัญชนก ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.

อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๑สามหาขันธกะ

เรื่อง ห้ามคนฆ่ามารดามิให้อุปสมบท เป็นต้น
 อรรถกถามาตุฆาตกาทิวัตถุ
พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องบุคคลผู้ฆ่ามารดาเป็นต้นต่อไป :- 
   สองบทว่า นิกฺขนฺตึ กเรยฺยํ มีความว่า เราพึงกระทำความออก คือความหลีกไป ความชำระสะสาง. 
ในคำว่า มาตุฆาตโก ภิกฺขเว นี้ มีวินิจฉัยว่า 
   มารดาผู้ให้เกิดซึ่งเป็นหญิงมนุษย์ อันบุคคลใดแม้ตนเองก็เป็นชาติมนุษย์เหมือนกันแกล้งปลงเสียจากชีวิต บุคคลนี้เป็นผู้ฆ่ามารดาด้วยอนันตริยมาตุฆาตกรรม. บรรพชาและอุปสมบทแห่งบุคคลนั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว. 
     ส่วนมารดาผู้เลี้ยงดูก็ดี ป้าก็ดี น้าก็ดี ซึ่งมิใช่ผู้ให้เกิด แม้เป็นหญิงมนุษย์ หรือมารดาผู้ให้เกิดแต่มิใช่หญิงมนุษย์ อันบุคคลใดฆ่าแล้ว บรรพชาของบุคคลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงห้าม และเขาไม่เป็นผู้มีอนันตริยกรรม. 
 มารดาผู้เป็นหญิงมนุษย์ อันบุคคลใดซึ่งตนเองเป็นสัตว์ดิรัจฉานฆ่าแล้ว แม้บุคคลนั้นย่อมไม่เป็นผู้มีอนันตริยกรรม. ส่วนบรรพชาของเขาเป็นอันทรงห้ามด้วย เพราะข้อที่เขาเป็นสัตว์ดิรัจฉาน.
คำที่เหลือเป็นคำตื้นทั้งนั้น. 
แม้ในบุคคลผู้ฆ่าบิดา ก็นัยนี้แล. 
   ก็ถ้าแม้บุรุษเป็นลูกหญิงแพศยา ไม่ทราบว่า ผู้นี้เป็นบิดาของเรา เขาเกิดด้วยน้ำสมภพของชายใด และชายนั้นอันเขาฆ่าแล้วย่อมถึงความนับว่าเป็นผู้ฆ่าบิดาเหมือนกัน ย่อมถูกอนันตริยกรรมด้วย. แม้บุคคลผู้ฆ่าพระอรหันต์ พึงทราบด้วยอำนาจพระอรหันต์ผู้เป็นมนุษย์เหมือนกัน. 
วินิจฉัยในอรหันตฆาตกวัตถุนี้ พึงทราบดังนี้ว่า 
      อันบุคคลเมื่อแกล้งปลงพระขีณาสพผู้เป็นชาติมนุษย์ โดยที่สุดแม้ไม่ใช่บรรพชิตเป็นทารกก็ตาม เป็นทาริกาก็ตาม จากชีวิต, ย่อมเป็นผู้ชื่อว่าพระอรหันต์แท้ ย่อมถูกอนันตริยกรรมด้วย และบรรพชาของผู้นั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้าม. 
 ส่วนบุคคลฆ่าพระอรหันต์ซึ่งมิใช่ชาติมนุษย์ หรือพระอริยบุคคลที่เหลือซึ่งเป็นชาติมนุษย์ ยังไม่เป็นผู้มีอนันตริยกรรม แม้บรรพชาของเขา ก็ไม่ทรงห้าม. แต่ว่า กรรมเป็นของรุนแรง. ดิรัจฉานแม้ฆ่าพระอรหันต์ซึ่งเป็นชาติมนุษย์ ก็ไม่เป็นผู้มีอนันตริยกรรม แต่ว่า เป็นกรรมอันหนัก. 
   หลายบทว่า เต วธาย โอนียนฺติ มีความว่า โจรเหล่านั้นอันพวกราชบุรุษย่อมนำไป เพื่อประโยชน์แก่การฆ่า. อธิบายว่า นำไปเพื่อประหารชีวิต. 
   ก็คำใดที่พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ในบาลีว่า สจา จ มยํ ความแห่งคำนั้นเท่านี้เองว่า สเจ มยํ. จริงอยู่ ในพระบาลีนี้ ท่านกล่าวนิบาตนี้ว่า สจา จ ในเมื่อนิบาตว่า สเจ อันท่านพึงกล่าว. 
   อีกอย่างหนึ่งปาฐะว่า สเจ จ ก็มี. ใน ๒ ศัพท์นั้น ศัพท์ว่า สเจเป็นสัมภาวนัตถนิบาต. ศัพท์ว่า  เป็นนิบาตใช้ในอรรถมาตรว่าเป็นเครื่องทำบทให้เต็ม. ปาฐะว่า สจชฺช มยํ บ้าง ความแห่งปาฐะนั้นว่า สเจ อชฺช มยํ.  อรรถกถามาตุฆาตกาทิวัตถุ จบ

เรื่อง ห้ามอุปสมบทคนประทุษร้ายภิกษุณี เป็นต้น

อรรถกถาภิกขุนีทุสกาทวัตถุ
พึงทราบวินิจฉัยในคำนี้ว่า ภิกฺขุนีทูสโก ภิกฺขเว เป็นต้นดังนี้ :- 
   บุรุษใดประทุษร้ายนางภิกษุณีผู้มีตนเป็นปกติ ในบรรดามรรค ๓ มรรคใดมรรคหนึ่ง บุรุษนี้ชื่อภิกขุนีทูสกะ. บรรพชาและอุปสมบทของบุรุษนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว.
   ฝ่ายบุรุษใดยังนางภิกษุณีให้ถึงศีลพินาศ กายสังสัคคะ บรรพชาและอุปสมบทแห่งบุรุษนั้นไม่ทรงห้าม. แม้บุรุษผู้ทำนางภิกษุณีให้นุ่งผ้าขาวแล้ว ประทุษร้ายนางผู้ไม่ยินยอมเลยทีเดียวด้วยพลการ ชื่อภิกขุนีทูสกะแท้.
   ฝ่ายบุรุษผู้นำนางภิกษุณีให้นุ่งขาวด้วยพลการแล้ว ประทุษร้ายนางผู้ยินยอมอยู่ ไม่เป็นผู้ชื่อภิกขุนีทูสกะ. 
   ถามว่า เพราะเหตุไร? 
   แก้ว่า เพราะนางภิกษุณีนั้นย่อมเป็นผู้มิใช่นางภิกษุณี ในเมื่อความเป็นคฤหัสถ์มาตรว่าอันตนยอมรับทีเดียว. 
   ส่วนบุรุษผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณีผู้เสียศีลแล้วคราวเดียว ในภายหลังและปฏิบัติผิดในนางสิกขมานาและสามเณรีทั้งหลาย ไม่จัดว่าภิกขุนีทูสกะเหมือนกัน; ย่อมได้ทั้งบรรพชา ทั้งอุปสมบท. 
   ในคำว่า สงฺฆเภทโก ภิกฺขเว เป็นต้นนี้ มีวินิจฉัยว่า 
   ผู้ใดทำพระศาสนาให้เป็นของนอกธรรมนอกวินัย ทำลายสงฆ์ด้วยอำนาจแห่งกรรม ๔ อย่างใดอย่างหนึ่ง เหมือนพระเทวทัต, ผู้นี้ชื่อสังฆเภทกะ ผู้ทำลายสงฆ์ บรรพชาและอุปสมบทแห่งบุคคลนั้นทรงห้าม. 
     พึงทราบวินิจฉัยแม้ในคำนี้ว่า โลหิตุปฺปาทโก ภิกฺขเว เป็นต้นดังนี้ :-  ผู้ใดมีจิตประทุษร้ายคิดฆ่า ยังพระโลหิตในพระสรีระซึ่งยังเป็นอยู่ของพระตถาคตเจ้า แม้พอที่แมลงวันเล็กๆ จะดื่มได้ให้ห้อขึ้นเหมือนพระเทวทัต ผู้นี้ชื่อผู้ทำโลหิตุปบาท. บรรพชาและอุปสมบทแห่งบุคคลนั้นทรงห้าม. 
   ส่วนผู้ใดใช้มีดผ่าตัดเอาเนื้อเสียและโลหิตออกทำให้ทรงสำราญเหมือนหมอชีวกได้ทำเพื่อให้พระโรคสงบไป ผู้นั้นย่อมประสบบุญมากฉะนี้. อรรถกถาภิกขุนีทูสกาทิวัตถุ จบ.

เรื่อง ห้ามอุปสมบทอุภโตพยัญชนก

อรรถกถาอุภโตพยัญชนกวัตถุ
   บทว่า อุภโตพฺยญฺชนโก มีอรรถวิเคราะห์ว่า นิมิตเครื่องปรากฏที่ตั้งขึ้นโดยกรรม ๒ อย่าง คือโดยกรรมเป็นเหตุยังอิตถีนิมิตให้เกิดขึ้น ๑ โดยกรรมเป็นเหตุยังปุริสนิมิตให้เกิดขึ้น ๑ ของบุคคลนั้นมีอยู่ เหตุนั้น เขาชื่ออุภโตพยัญชนก. 
   บทว่า กโรติ มีความว่า ย่อมทำตนเองด้วยความละเมิดด้วยอำนาจเมถุนในสตรีทั้งหลาย ด้วยปุริสนิมิต. 
   บทว่า การาเปติ มีความว่า ย่อมชวนบุรุษอื่นให้ทำความละเมิดด้วยอำนาจเมถุน ในอิตถีนิมิตของตน. อุภโตพยัญชนกนั้นมี ๒ ชนิด คือสตรีอุภโตพยัญชนก ๑. บุรุษอุภโตพยัญชนก ๑. 
   ใน ๒ ชนิดนั้น อิตถีนิมิตของสตรีอุภโตพยัญชนกปรากฏ ปุริสนิมิตเป็นของลี้ลับ. ปุริสนิมิตของบุรุษอุภโตพยัญชนกปรากฏ อิตถีนิมิตเป็นของลี้ลับ.
   เมื่อสตรีอุภโตพยัญชนกทำหน้าที่
   ของบุรุษในสตรีทั้งหลาย อิตถีนิมิตย่อมเป็นของลี้ลับ ปุริสนิมิตปรากฏ. เมื่อบุรุษอุภโตพยัญชนกเข้าถึงความเป็นสตรีสำหรับพวกบุรุษ ปุริสนิมิตเป็นของลี้ลับ อิตถีนิมิตปรากฏ. 
   เหตุซึ่งทำให้ต่างกันแห่งอุภโตพยัญชนก ๒ ชนิดนั้นดังนี้ คือสตรีอุภโตพยัญชนกมีครรภ์เองด้วย, ให้สตรีอื่นมีครรภ์ได้ด้วย. ส่วนบุรุษอุภโตพยัญชนกมีครรภ์เองไม่ได้ แต่ให้สตรีอื่นมีครรภ์ได้. 
       แต่ในอรรถกถากุรุนทีท่านแก้ว่า 
   ถ้าเพศชายเกิดในกำเนิดคือปฏิสนธิกาล เพศหญิงย่อมเกิดต่อเมื่อความกำหนัดในบุรุษเป็นไป.๑- ถ้าเพศหญิงเกิดในกำเนิดคือปฏิสนธิกาล เพศชายย่อมเกิดต่อเมื่อความกำหนัดในสตรีเป็นไป.๑- 
   ลำดับแห่งวิจารณ์ในความเกิดแห่ง ๒ เพศนั้น บัณฑิตพึงทราบพิสดารในอรรถกถาธรรมสังคหะชื่ออัฏฐสาลินี.๒- 
   ส่วนในบรรพชาธิการนี้ พึงทราบสันนิษฐานแม้นี้ว่า บรรพชาอุปสมบทแห่งอุภโตพยัญชนกทั้ง ๒ ชนิดนี้ ไม่มีเลย. 
๑- ปวตฺเต น่าจะหมายความว่า ในปวัตติกาล
๒- อฏฺฐาสาลินี. ๔๖๗-๔๗๐.
อรรถกถาอุภโตพยัญชนกวัตถุ จบ.

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ เรื่องห้ามบัณเฑาะก์มิให้อุปสมบท

  [๑๒๕] ก็โดยสมัยนั้นแล บัณเฑาะก์คนหนึ่งบวชในสำนักภิกษุ. เธอเข้าไปหาภิกษุหนุ่มๆ แล้วพูดชวนอย่างนี้ว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้า. ภิกษุทั้งหลายพูดรุกรานว่า เจ้าบัณเฑาะก์จงฉิบหาย เจ้าบัณเฑาะก์จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยเจ้า.
   เธอถูกพวกภิกษุพูดรุกราน จึงเข้าไปหาพวกสามเณรโค่งผู้มีร่างล่ำสัน แล้วพูดชวนอย่างนี้ว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้า. 
   พวกสามเณรพูดรุกรานว่า เจ้าบัณเฑาะก์จงฉิบหาย เจ้าบัณเฑาะก์จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยเจ้า. เธอถูกพวกสามเณรพูดรุกราน จึงเข้าไปหาพวกคนเลี้ยงช้าง คนเลี้ยงม้า แล้วพูดอย่างนี้ว่า มาเถิด ท่านทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้า.
   พวกคนเลี้ยงช้าง พวกคนเลี้ยงม้า ประทุษร้ายแล้วจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้เป็นบัณเฑาะก์ บรรดาพวกสมณะเหล่านี้ แม้พวกใดที่มิใช่บัณเฑาะก์ แม้พวกนั้นก็ประทุษร้ายบัณเฑาะก์ เมื่อเป็นเช่นนี้ 
   พระสมณะเหล่านี้ก็ล้วนแต่ไม่ใช่เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์. ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกคนเลี้ยงช้าง พวกคนเลี้ยงม้า พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ บัณเฑาะก์ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
เรื่องห้ามคนลักเพศและคนเข้ารีตมิให้อุปสมบท
   [๑๒๖] ก็โดยสมัยนั้นแล บุตรของตระกูลเก่าแก่คนหนึ่ง เป็นสุขุมาลชาติ มีหมู่ญาติที่รู้จักกันในตระกูลหมดสิ้นไป. 
   ครั้งนั้น เขาได้มีความดำริว่า เราเป็นผู้ดี ไม่สามารถจะหาโภคทรัพย์ที่ยังหาไม่ได้ หรือไม่สามารถจะทำโภคทรัพย์ที่หาได้แล้วให้เจริญงอกงาม ด้วยวิธีอะไรหนอ เราจึงจะอยู่เป็นสุข และไม่ต้องลำบาก แล้วคิดได้ในทันทีนั้นว่า พวกสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้แล มีปกติเป็นสุข
   มีความประพฤติเรียบร้อย ฉันอาหารที่ดี นอนในห้องนอนอันมิดชิด ถ้ากระไร เราพึงจัดแจงบาตรจีวร โกนผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาดเสียเองแล้วไปอารามอยู่ร่วมกับภิกษุทั้งหลาย. ต่อมา เขาได้จัดแจงบาตรจีวร โกนผมและหนวด ครองผ้า ย้อมฝาดเอง แล้วไปอารามกราบไหว้ภิกษุทั้งหลาย.
ภิกษุทั้งหลายถามว่า คุณมีพรรษาได้เท่าไร?
เขาย้อนถามว่า ที่ชื่อว่ามีพรรษาได้เท่าไร นั่นอะไรกัน ขอรับ?
ภิกษุทั้งหลายถามว่า อาวุโส ใครเป็นพระอุปัชฌาย์ของคุณ?
เขาย้อนถามว่า ที่ชื่อว่าพระอุปัชฌาย์ นั่นอะไรกัน ขอรับ?
   ภิกษุทั้งหลายได้แจ้งเรื่องนั้นต่อท่านพระอุบาลีว่า อาวุโสอุบาลี ขอนิมนต์ท่านสอบสวนบรรพชิตรูปนี้.
   ครั้นเขาถูกท่านพระอุบาลีสอบสวน จึงแจ้งเรื่องนั้นให้ทราบ. ท่านพระอุบาลีได้แจ้งให้ภิกษุทั้งหลายทราบแล้ว. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ คนลักเพศภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ ผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.
เรื่องนาคแปลงกายเป็นมนุษย์มาขอบวช
   [๑๒๗] ก็โดยสมัยนั้นแล นาคตัวหนึ่งอึดอัด ระอา เกลียดกำเนิดนาค จึงนาคนั้นได้มีความดำริว่า ด้วยวิธีอะไรหนอ เราจึงจะพ้นจากกำเนิดนาค และกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์เร็วพลัน.
   ครั้นแล้วได้ดำริต่อไปว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้แล เป็นผู้ประพฤติธรรม ประพฤติสงบ ประพฤติพรหมจรรย์ กล่าวแต่คำสัตย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม หากเราจะพึงบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ด้วยวิธีเช่นนี้ เราก็จะพ้นจากกำเนิดนาคและกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์เร็วพลัน
   ครั้นแล้วนาคนั้นจึงแปลงกายเป็นชายหนุ่ม แล้วเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายขอบรรพชา.  ภิกษุทั้งหลายจึงให้เขาบรรพชาอุปสมบท. สมัยต่อมา พระนาคนั้นอาศัยอยู่ในวิหารสุดเขตกับภิกษุรูปหนึ่ง. ครั้นปัจจุสสมัยแห่งราตรี ภิกษุรูปนั้น ตื่นนอนแล้วออกไปเดินจงกรมอยู่ในที่แจ้ง. ครั้นภิกษุรูปนั้นออกไปแล้ว.
   พระนาคนั้นก็วางใจจำวัด. วิหารทั้งหลังเต็มไปด้วยงู.   ขนดยื่นออกไปทางหน้าต่าง. ครั้นภิกษุรูปนั้นผลักบานประตูด้วยตั้งใจจักเข้าวิหาร ได้เห็นวิหารทั้งหลังเต็มไปด้วยงู เห็นขนดยื่นออกไปทางหน้าต่าง ก็ตกใจ จึงร้องเอะอะขึ้น.   ภิกษุทั้งหลายพากันวิ่งเข้าไปแล้วได้ถามภิกษุรูปนั้นว่า อาวุโส ท่านร้องเอะอะไปทำไม?
   ภิกษุรูปนั้นบอกว่า อาวุโสทั้งหลาย วิหารนี้ทั้งหลังเต็มไปด้วยงู ขนดยื่นออกไปทางหน้าต่าง.   ขณะนั้น พระนาคนั้น ได้ตื่นขึ้นเพราะเสียงนั้น แล้วนั่งอยู่บนอาสนะของตน.
ภิกษุทั้งหลายถามว่า อาวุโส ท่านเป็นใคร?
น. ผมเป็นนาค ขอรับ.
ภิ. อาวุโส ท่านได้ทำเช่นนี้เพื่อประสงค์อะไร?
   พระนาคนั้นจึงแจ้งเนื้อความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วได้ทรงประทานพระพุทธโธวาทนี้แก่นาคนั้นว่า พวกเจ้าเป็นนาค
   มีความไม่งอกงามในธรรมวินัยนี้เป็นธรรมดา ไปเถิดเจ้านาค จงไปรักษาอุโบสถในวันที่ ๑๔ ที่ ๑๕ และที่ ๘ แห่งปักษ์นั้นแหละ ด้วยวิธีนี้เจ้าจักพ้นจากกำเนิดนาค และจักกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์เร็วพลัน. ครั้นนาคนั้นได้ทราบว่า ตนมีความไม่งอกงามในพระธรรมวินัยนี้เป็นธรรมดาก็เสียใจหลั่งน้ำตา ส่งเสียงดังแล้วหลีกไป.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งความปรากฏตามสภาพของนาค มีสองประการนี้ คือ เวลาเสพเมถุนธรรมกับนางนาค ผู้มีชาติเสมอกัน ๑ เวลาวางใจนอนหลับ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งความปรากฏตามสภาพของนาค ๒ ประการนี้แล
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ สัตว์ดิรัจฉาน ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.

เรื่องห้ามบัณเฑาะว์มิให้อุปสมบท

อรรถกถาปัณฑกวัตถุ
   สองบทว่า ทหเร ทหเร ได้แก่ หนุ่มๆ. 
   บทว่า โมลิคลฺเล ได้แก่ ผู้มีร่างกายอวบ. 
   สองบทว่า หตฺถิภณฺเฑอสฺสภณฺเฑ ได้แก่ คนเลี้ยงช้างและคนเลี้ยงม้า. 
   ในคำว่า ปณฺฑโก ภิกฺขเว เป็นต้นนี้ มีวินิจฉัยว่า บัณเฑาะก์มี ๕ ชนิด คือ อาสิตตบัณเฑาะก์ ๑ อุสุยยบัณเฑาะก์ ๑ โอปักกมิยบัณเฑาะก์ ๑ ปักขบัณเฑาะก์ ๑ นปุงสกบัณเฑาะก์ ๑. 
   ในบัณเฑาะก์ ๕ ชนิดนั้น บัณเฑาะก์ใดเอาปากอมองคชาตของชายเหล่าอื่น ถูกน้ำอสุจิรดเอาแล้ว ความเร่าร้อนจึงสงบไป บัณเฑาะก์นี้ชื่ออาสิตตบัณเฑาะก์. 
   ฝ่ายบัณเฑาะก์ใดเห็นอัชฌาจารของชนเหล่าอื่น เมื่อความริษยาเกิดขึ้นแล้ว ความเร่าร้อนจึงสงบไป บัณเฑาะก์นี้ชื่ออุสุยยบัณเฑาะก์.    บัณเฑาะก์ใดมีอวัยวะดังพืชทั้งหลาย ถูกนำไปปราศแล้วคือ ถูกเขาตอนเสียแล้ว ด้วยความพยายาม๑- บัณเฑาะก์นี้ชื่อโอปักกมิยบัณเฑาะก์. 
   ส่วนบางคนข้างแรมเป็นบัณเฑาะก์ ด้วยอานุภาพแห่งอกุศลวิบาก แต่ข้างขึ้น ความเร่าร้อนของเขาย่อมสงบไป นี้ชื่อว่าปักขบัณเฑาะก์.    ส่วนบัณเฑาะก์ใดเกิดไม่มีเพศ ไม่มีภาวรูป ในปฏิสนธิทีเดียว คือไม่ปรากฏว่าชายหรือหญิงมาแต่กำเนิด บัณเฑาะก์นี้ชื่อนปุงสกบัณเฑาะก์. 
   ในอรรถกถาชื่อกุรุนทีแก้ว่า ในบัณเฑาะก์ ๕ ชนิดนั้น อาสิตตบัณเฑาะก์และอุสุยยบัณเฑาะก์ ไม่ห้ามบรรพชา, ๓ ชนิดนอกนี้ห้าม แม้ในบัณเฑาะก์ ๓ ชนิดนั้น สำหรับปักขบัณเฑาะก์ ห้ามบรรพชาแก่เขาเฉพาะปักข์ที่เป็นบัณเฑาะก์เท่านั้น.
   ก็ในบัณเฑาะก์ ๓ ชนิดนี้ บัณเฑาะก์ใดทรงห้ามบรรพชา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาบัณเฑาะก์นั้น ตรัสคำนี้ว่า อนุปสมฺปนฺโน นาเสตพฺโพ. บัณเฑาะก์แม้นั้น ภิกษุพึงให้ฉิบหายด้วยลิงคนาสนาทีเดียว. เบื้องหน้าแต่นี้ แม้ในคำที่กล่าวว่า พึงให้ฉิบหาย ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. 
๑- ทางสันสกฤต อุปกฺรม (อุปกฺกม) หมายความว่า 
จิกิตฺสา (ติกิจฺฉา) ก็ได้ดังนั้น อุปกฺกม ในที่นี้จึงน่า
จะหมายความไปทางวิธีหมอ เช่นการเยียวยา
ผ่าตัดเป็นต้นอรรถกถาปัณฑกวัตถุ จบ

เรื่องนาคแปลงกายเป็นมนุษย์มาขอบวช

อรรถกถาติรัจฉานคตวัตตกถา
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า นาคโยนิยา อฏฺฏิยติ นี้ ดังนี้ :- 
   นาคนั้น ในประวัติกาล ย่อมได้เสวยอิสริยสมบัติเช่นกับเทวสมบัติ ด้วยกุศลวิบากแม้โดยแท้. ถึงกระนั้น สรีระแห่งนาคผู้ปฏิสนธิด้วยอกุศลวิบาก มีปกติเที่ยวไปในน้ำ มีกบเป็นอาหารย่อมมีปรากฏ ด้วยการเสพเมถุนกับนางนาคชาติของตน คือมีชาติเสมอกัน และด้วยการวางใจหยั่งลงสู่ความหลับ เพราะเหตุนั้น นาคนั้นจึงระอาด้วยกำเนิดนาคนั้น. 
   บทว่า หรายติ ได้แก่ ย่อมละอาย. 
   บทว่า ชิคุจฺฉติ คือ ย่อมเกลียดชังอัตภาพ. 
   หลายบทว่า ตสฺส ภิกฺขุโน นิกฺขนฺเต มีความว่า เมื่อภิกษุนั้นออกไปแล้ว. 
      อีกอย่างหนึ่ง ความว่า ในเวลาที่ภิกษุนั้นออกไป. 
   ข้อว่า วิสฺสฏฺโฐ นิทฺทํ โอกฺกมิ มีความว่า เมื่อภิกษุนั้นยังไม่ออก นาคนั้นไม่ปล่อยสติหลับอยู่ด้วยอำนาจแห่งความหลับอย่างลิงนั่นแล เพราะกลัวแต่เสียงร้อง ครั้นภิกษุนั้นออกไปแล้วจึงปล่อยสติ วางใจคือหมดความระแวง ดำเนินไปสู่ความหลับอย่างเต็มที่. 
   สองบทว่า วิสฺสรมกาสิ มีความว่า ภิกษุนั้นด้วยอำนาจความกลัว ละสมณสัญญาเสีย ได้กระทำเสียงดังผิดรูป. 
   สองบทว่า ตุมฺเห ขฺวตฺถ ตัดบทว่า ตุมฺเห โข อตฺถ บทนั้น ท่านมิได้ทำการลบ อ อักษรกล่าวไว้. ความสังเขปในคำนี้ ผู้ศึกษาพึงทราบดังนี้ว่า ท่านทั้งหลายแล เป็นนาคชื่อเป็นผู้มีธรรมไม่งอกงาม คือไม่เป็นผู้มีธรรมอันงอกงามในธรรมวินัยนี้ เพราะเป็นผู้ไม่ควรแก่ฌานวิปัสสนาและมรรคผล. 
       บทว่า สชาติยา ได้แก่ นางนาคนั่นเอง. 
   แต่ว่า เมื่อใดนาคนั้นเสพเมถุนด้วยชาติอื่น ต่างโดยชนิดมีหญิงมนุษย์เป็นต้น เมื่อนั้นย่อมเป็นเหมือนเทพบุตร. ส่วนคำว่า ปัจจัย ๒ อย่างในพระบาลีนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ด้วยอำนาจแห่งการชี้กรรมซึ่งปรากฏตามสภาพเนืองๆ ในประวัติกาล. และกรรมซึ่งปรากฏตามสภาพ ย่อมมีแก่นาคใน ๕ กาล 
   คือ เวลาปฏิสนธิ ๑ เวลาที่ลอกคราบ ๑ เวลาที่เสพเมถุนด้วยนางนาคชาติของตน คือมีชาติเสมอกัน ๑ เวลาที่วางใจหยั่งลงสู่ความหลับ ๑ เวลาจุติ ๑. 
   ในคำว่า ติรจฺฉานคโต ภิกฺขเว เป็นต้นนี้ มีวินิจฉัยว่า 
   จะเป็นนาค หรือจะเป็นสัตว์พิเศษผู้ใดผู้หนึ่งมีสุบรรณมาณพเป็นต้นก็ตามที. ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งมิใช่มนุษยชาติโดยที่สุดแม้ท้าวสักกเทวราช บรรดามีทั้งหมดเทียว พึงทราบว่า เป็นดิรัจฉานในอรรถนี้ ผู้นั้นอันภิกษุทั้งหลายไม่ควรให้อุปสมบท ไม่ควรให้บรรพชา แม้อุปสมบทแล้ว ก็ควรให้ฉิบหายเสีย. อรรถกถาติรัจฉานคตวัตถุกถา จบ.

เรื่องห้ามคนลักเพศและคนเข้ารีดมิให้อุปสมบท

อรรถกถาเถยยสังวาสสกกถา
   บทว่า ปุราณกุลปุตฺโต ได้แก่ บุตรของสกุลเก่า คือถึงความย่อยยับโดยลำดับ. 
   บทว่า ขีณโกลญฺโญ มีอรรถวิเคราะห์ว่า ญาติทั้งหลายผู้รู้จักกันในสกุล ฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดาของเขา สิ้นแล้ว สาบสูญแล้ว คือตายแล้ว เหตุนั้น เขาชื่อว่า ขีณโกลญฺโญ ผู้มีญาติซึ่งรู้จักกันในสกุลสิ้นไปแล้ว. 
   บทว่า อนธิคตํ ได้แก่ ยังไม่ถึง. 
   สองบทว่า ผาตึกาตุํ ได้แก่ เพื่อให้เจริญ. ศัพท์ว่า อิงฺฆ เป็นอุยโยชนัตถนิบาต. 
   บทว่า อนุยุญฺชิยมาโน มีความว่า กุลบุตรนั้น อันท่านอุบาลีนำไป ณ ส่วนข้างหนึ่งแล้ว ถามถึงการปลงผมและหนวด การรับผ้ากาสายะ การถึงสรณะ การถืออุปัชฌาย์ กรรมวาจาและธรรมเป็นที่อาศัย. 
   สองบทว่า เอตมตฺถํ อาโรเจสิ มีความว่า บอกข้อที่ตนบวชเอาเองนั้น จำเดิมแต่ต้น. ในคำว่า เถยฺยสํวาสโก ภิกฺขเว นี้ มีวินิจฉัยว่า คนเถยยสังวาสก์มี ๓ ชนิด คือ คนลักเพศ ๑ คนลักสังวาส ๑ คนลักทั้ง ๒ อย่าง ๑. 
   ใน ๓ ชนิดนั้น ผู้ใดบวชเองแล้วไปวัดที่อยู่ ไม่นับพรรษาแห่งภิกษุ ไม่ยินดีการไหว้ตามลำดับผู้แก่ ไม่ห้ามด้วยอาสนะ ไม่เข้าในสังฆกรรมมีอุโบสถและปวารณาเป็นต้น ผู้นี้ชื่อคนลักเพศ เพราะเขาลักแต่เพียงเพศเท่านั้น. 
   ฝ่ายผู้ใดเป็นสามเณรซึ่งบวชแต่ภิกษุทั้งหลายแล้ว ไปต่างประเทศ กล่าวเท็จนับพรรษาแห่งภิกษุว่า ข้าพเจ้า ๑๐ พรรษา หรือว่า ข้าพเจ้า ๒๐ พรรษา ยินดีการไหว้ตามลำดับผู้แก่ ห้ามด้วยอาสนะ เข้าในสังฆกรรมมีอุโบสถและปวารณาเป็นต้น. ผู้นี้ชื่อคนลักสังวาส เพราะเขาลักแต่เพียงสังวาสเท่านั้น. 
   อันความต่างแห่งกิริยาแม้ทั้งปวง มีนับพรรษา แห่งภิกษุเป็นต้น ผู้ศึกษาควรทราบว่า สังวาส ในอรรถนี้. แม้ในบุคคลผู้ลาสิกขาแล้วปฏิบัติอยู่อย่างนั้น ด้วยคิดว่า ใครๆ ย่อมไม่รู้การลาของเราก็มีนัยเหมือนกัน. 
   ส่วนผู้ใดบวชเอาเองแล้วไปวัดที่อยู่ นับพรรษาแห่งภิกษุ ยินดีในการไหว้ตามลำดับผู้แก่ ห้ามด้วยอาสนะ เข้าในสังฆกรรมมีอุโบสถและปวารณาเป็นต้น ผู้นี้ชื่อคนลักทั้ง ๒ เพราะเหตุที่ตนลักทั้งเพศทั้งสังวาส, 
   คนเถยยสังวาสก์ทั้ง ๓ ชนิดนี้ เป็นอนุปสัมบัน ไม่ควรให้อุปสมบท, เป็นอุปสัมบัน ควรให้ฉิบหายเสีย, แม้ขอบวชอีก ก็ไม่ควรให้บวช.  และเพื่อไม่งมงายในเถยยสังวาสกาธิการนี้ 
พึงทราบบทปกิณณกะนี้ว่า :- 
   ชนใดถือเพศในพระศาสนานี้ เพราะราชภัย ทุพภิกขภัย กันตารภัย โรคภัยและเวรีภัยก็ดี เพื่อจะนำจีวรมาก็ดี ชนนั้นมีใจบริสุทธิ์ยังไม่รับสังวาสเพียงใด ชนนั้นบัณฑิตยังไม่กล่าวว่า เป็นคนเถยยสังวาส เพียงนั้น. 
พึงทราบนัยพิสดารในคาถานั้น ดังนี้ :- 
   พระราชาในโลกนี้ ย่อมเป็นผู้กริ้วต่อบุรุษบางคน. บุรุษนั้นคิดว่า ความสวัสดีจักมีแก่เราด้วยอุบายอย่างนี้ แล้วถือเพศเอาเองทีเดียวหนีไป. ชนทั้งหลายพบเขาแล้ว กราบทูลแด่พระราชา. พระราชาทรงบรรเทาความกริ้วโกรธในเขาเสีย 
   ด้วยทรงพระดำริว่า ถ้าบวชแล้ว เราไม่ได้เพื่อจะทำอะไรเขา แต่เขายังมิได้เข้าสู่ท่ามกลางสงฆ์ แต่ถือเพศคฤหัสถ์แล้วจึงมา ด้วยคิดว่า ราชภัยของเราสงบแล้ว ภิกษุทั้งหลายควรให้บวช. ถ้าแม้เขาเกิดความสังเวชว่า เราอาศัยพระศาสนาจึงคงชีวิตไว้ได้ เอาเถิด บัดนี้เราจะบวชละ ดังนี้ 
   มาด้วยเพศนั้นเอง แต่ไม่ยินดีอาคันตุกวัตรอันภิกษุทั้งหลายถามแล้วก็ตาม ไม่ถามก็ตาม ได้ชี้แจงตนตามเป็นจริงแล้ว ขอบรรพชา ภิกษุทั้งหลายพึงปลดเพศแล้วจึงให้บวช. แต่ถ้าเขายินดีวัตร แสดงท่าทางดังบรรพชิต ปฏิบัติวิธีต่างๆ โดยนับพรรษาเป็นต้น ซึ่งกล่าวแล้วในหนหลังทั้งหมด ผู้นี้ไม่ควรให้บวช. 
   อนึ่ง คนบางคนในโลกนี้ ไม่สามารถจะเป็นอยู่ได้ในคราวทุพภิกขภัย จึงถือเพศเอาเอง บริโภคอาหารที่เขาจัดไว้เพื่อนักบวชผู้เจ้าลัทธิทั้งปวง ครั้นทุพภิกขภัยผ่านพ้นไปแล้ว ยังมิได้เข้าสู่ท่ามกลางสงฆ์ ต่อถือเพศคฤหัสถ์แล้วจึงมา คำว่าดังนี้ทั้งหมด เช่นกับด้วยคำซึ่งกล่าวมาก่อนนั่นแล.
   อีกคนหนึ่ง เป็นผู้ใคร่จะข้ามกันดารใหญ่ และพ่อค้าเกวียนย่อมพาบรรพชิตทั้งหลายไป. เขาคิดว่า ด้วยอุบายอย่างนี้ พ่อค้าเกวียนจักพาเราไป จึงถือเพศเอาเอง ร่วมกับพ่อค้าเกวียนข้ามทางกันดารถึงส่วนอันเกษม แต่ยังมิได้เข้าสู่ท่ามกลางสงฆ์ ต่อถือเพศคฤหัสถ์แล้วจึงมา คำว่าดังนี้ทั้งปวง เช่นกับคำซึ่งว่ามาก่อนนั่นแล. 
   อีกคนหนึ่ง เมื่อภัยคือโรคเกิดขึ้น ไม่สามารถจะเป็นอยู่ได้จึงถือเพศเอาเอง บริโภคอาหารที่เขาจัดไว้เพื่อนักบวชผู้เจ้าลัทธิทั้งปวง. เมื่อภัยคือโรคสงบแล้ว ยังมิได้เข้าสู่ท่ามกลางสงฆ์ก่อน แต่เมื่อถือเพศคฤหัสถ์แล้วจึงมา คำว่าดังนี้ทั้งหมด เป็นเช่นกับคำซึ่งว่ามาก่อนนั่นแล. 
   คนคู่เวรคนหนึ่งของบุรุษอีกคนหนึ่ง เป็นผู้โกรธปองจะฆ่าเขาเที่ยวไป เขาคิดว่า ด้วยอุบายอย่างนี้ ความสวัสดีจักมีแก่เรา จึงถือเพศเอาเองแล้วหนีไป. คนผู้คู่เวรสืบหาอยู่ว่าเขาไปไหน ได้ยินว่า เขาบวชแล้วหนีไป จึงบรรเทาความโกรธในเขาเสีย 
   ด้วยคิดว่า เขาบวชแล้ว เราก็ทำอะไรเขาไม่ได้. เขายังมิได้เข้าสู่ท่ามกลางสงฆ์ก่อน ถือเพศคฤหัสถ์แล้วจึงมา ด้วยคิดว่า เวรีภัยของเราสงบแล้ว คำว่าดังนี้ทั้งหมด เป็นเช่นกับคำซึ่งว่ามาก่อนนั่นแล. 
   อีกคนหนึ่งไปสู่สกุลญาติ ลาสิกขาเป็นคฤหัสถ์แล้ว มาทำในใจว่า จีวรเหล่านี้จักฉิบหายเสียที่นี่ ถ้าแม้เราจักถือไปวิหารด้วยเพศคฤหัสถ์นี้ ในระหว่างทาง ชนทั้งหลายจักจับเราว่า เป็นโจร อย่ากระนั้นเลย เราพึงทำให้เป็นของอันกายพึงรักษาไว้ จึงไปเถิด ดังนี้ 
   เพื่อจะนำจีวรมา จึงนุ่งและห่มแล้วไปวัดที่อยู่ พวกสามเณรและภิกษุหนุ่มทั้งหลายเห็นเธอมาแต่ไกลแล้ว พากันตรงเข้าต้อนรับ แสดงวัตร. เธอไม่ยินดี ชี้แจงตนตามเป็นจริง. 
   ถ้าภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ทีนี้พวกเราจักไม่ปล่อยท่านไปละ เป็นผู้ใคร่จะให้บวชด้วยพลการ เธออันภิกษุทั้งหลายพึงเปลื้องผ้ากาสายะแล้วจึงให้บวชอีก. แต่ถ้าเธอคิดว่า ภิกษุเหล่านี้ไม่รู้ข้อที่เราเวียนมาเพื่อความเป็นคนเลวแล้ว ดังนี้ จึงปฏิญญาความเป็นภิกษุนั้นเอง ปฏิบัติวิธีต่างด้วยนับพรรษาเป็นต้น ซึ่งกล่าวแล้วในหนหลังทั้งหมดผู้นี้ไม่ควรให้บวช. 
   สามเณรโค่งอีกรูป ๑ ไปสู่สกุลญาติ สึกแล้ว เป็นผู้เบื่อหน่ายด้วยการทำการงาน จึงคิดว่า บัดนี้เราจักเป็นสมณะอีกเทียว แม้พระเถระย่อมไม่ทราบความที่เราสึกแล้ว จึงถือเอาบาตรและจีวรนั้นเองไปวิหาร ไม่บอกเนื้อความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ปฏิญญาความเป็นสามเณร. ผู้นี้เป็นเถยยสังวาสก์เหมือนกัน ย่อมไม่ได้บวช. 
   ถ้าแม้ในเวลาถือเพศเขามีความรำพึงอย่างนี้ว่า เราจักไม่บอกแก่ใครๆ ดังนี้ แต่เขาไปวิหารแล้ว ย่อมบอก. ด้วยการถือ (เพศ) นั่นเอง เขาเป็นคนเถยยสังวาสก์. 
   ถ้าแม้ในเวลาถือ (เพศ) เขามีความคิดเกิดขึ้นว่า เราจักบอก แต่ไปวิหารแล้ว ใครๆ ปราศรัยว่า ผู้มีอายุท่านไปไหนมา คิดว่า เดี๋ยวนี้ ชนเหล่านี้ไม่รู้เรา จึงลวง ไม่บอก; แม้ผู้นี้ก็ชื่อคนเถยยสังวาสก์แท้ พร้อมกับทอดธุระว่า เราจักไม่บอก. 
   แต่ถ้าถึงในเวลาถือ (เพศ) เขามีความคิดเกิดขึ้นว่า เราจักบอก แม้ไปวิหารแล้ว ย่อมบอก; ผู้นี้ย่อมได้บรรพชาอีก. 
   ก็หรือว่า สามเณรหนุ่มอื่นอีก เป็นคนใหญ่ แต่โง่ไม่ฉลาด เธอสึกแล้วโดยนัยก่อนนั่นแล ไม่อยากทำกิจมีเฝ้าโคเป็นต้นในเรือนญาติทั้งหลาย ให้เขานั้นนุ่งห่มผ้ากาสายะเหล่านั้นเอง 
   แล้วให้ภาชนะหรือบาตรในมือขับออกจากเรือนว่า เจ้าจงไปเป็นสมณะเถอะ. เขาไปวิหาร ภิกษุทั้งหลายไม่ทราบ เขาเลยว่า ผู้นี้สึกแล้วบวชเอาเองอีก ทั้งตัวเองก็ไม่ทราบว่า ผู้ใดบวชอย่างนั้น ผู้นั้นย่อมเป็นคนที่ชื่อเถยยสังวาสก์. 
   ถ้าภิกษุทั้งหลายให้อุปสมบทเขาผู้มีกาลฝนครบ ๒๐ เขาก็เป็นอันอุปสมบทดีแล้ว. แต่ถ้าในเวลาที่ตนยังเป็นอนุปสัมบันนั่นเอง เมื่อการวินิจฉัยวินัยเป็นไปอยู่เขาได้ฟังว่า ผู้ใดบวชอย่างนั่น 
   ผู้นั้นย่อมเป็นคนที่ชื่อเถยยสังวาสก์ เขาพึงบอกแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ข้าพเจ้าได้ทำอย่างนั้น ด้วยประการอย่างนี้ เขาย่อมได้บรรพชาอีก. ถ้าไม่บอกด้วยคิดว่า บัดนี้ใครๆ ไม่รู้เลย พอทอดธุระเขาย่อมเป็นคนเถยยสังวาสก์. 
   ภิกษุลาสิกขาละเพศแล้วทำทุศีลกรรมก็ตาม ไม่ทำก็ตาม ปฏิบัติวิธีต่างด้วยนับพรรษาเป็นต้น ซึ่งกล่าวแล้วในหนหลังทั้งหมด; ย่อมเป็นคนเถยยสังวาสก์. 
   ไม่ได้ลาสิกขา คงตั้งอยู่ในเพศของตน เสพเมถุน ใช้วิธีต่างด้วยนับพรรษาเป็นต้น ไม่เป็นคนเถยยสังวาสก์. ย่อมได้เพียงบรรพชา. แต่ในอันธกอรรถกถาแก้ว่า ผู้นี้เป็นคนเถยยสังวาสก์ 
   คำนั้นไม่ควรถือเอา. 
   ภิกษุรูป ๑ ยังมีอุตสาหะในผ้ากาสายะ นุ่งผ้าขาว เสพเมถุนแล้ว กลับนุ่งผ้ากาสายะอีก ใช้วิธีทั้งปวงต่างด้วยนับพรรษาเป็นต้น แม้ภิกษุนี้ย่อมไม่เป็นคนเถยยสังวาสก์ ย่อมได้เพียงบรรพชา. 
   แต่ถ้าทอดธุระในผ้ากาสายะแล้ว นุ่งขาว เสพเมถุน กลับนุ่งผ้ากาสายะอีก ใช้วิธีทั้งปวงต่างด้วยนับพรรษาเป็นต้น; เขาย่อมเป็นคนเถยยสังวาสก์. 
   สามเณรคงตั้งอยู่ในเพศของตน แม้ล่วงธรรมทำให้เป็นผู้มิใช่สมณะมีเมถุนเป็นต้นแล้ว ย่อมไม่เป็นคนเถยยสังวาสก์ ถึงหากว่ายังมีอุตสาหะในผ้ากาสายะ แต่เปลื้องออกเสียเสพเมถุนแล้ว กลับนุ่งผ้ากาสายะอีก; ไม่เป็นคนเถยยสังวาสก์เหมือนกัน, 
   แต่ถ้าทอดธุระในผ้ากาสายะแล้วเป็นผู้เปลือย หรือนุ่งขาวเป็นผู้มิใช่สมณะด้วยการเสพเมถุนเป็นต้น แล้วกลับนุ่งผ้ากาสายะ เขาเป็นคนเถยยสังวาสก์. 
   ถ้าสามเณรปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ จึงนุ่งผ้าอย่างคฤหัสถ์ ทำผ้ากาสายะโจงกระเบนก็ดี ด้วยอาการอย่างอื่นก็ดี เพื่อลองดูว่า เพศคฤหัสถ์ของเราสวยหรือไม่สวย ยังรักษาอยู่ก่อน, แต่ยอมรับว่าสวยแล้วกลับยินดีเพศอีกย่อมเป็นคนเถยยสังวาสก์. 
แม้ในการนุ่งขาวลองดูและยอมรับ ก็มีนัยเหมือนกันนั่นแล. 
   และถ้านุ่งขาวทับผ้ากาสายะที่นุ่งอยู่แล้ว ลองดูก็ตาม ยอมรับก็ตาม ยังรักษาอยู่แท้. แม้แห่งภิกษุณี ก็นัยนี้แล. 
   แม้นางภิกษุณีนั้นปรารถนาจะเป็นคฤหัสถ์ ถ้านุ่งผ้ากาสายะอย่างคฤหัสถ์ เพื่อลองดูว่า เพศคฤหัสถ์ของเราจะสวยหรือไม่สวย ยังรักษาอยู่ก่อน ถ้ายอมรับว่า สวย รักษาไว้ไม่ได้.
   ในการนุ่งขาวลองดูและยอมรับก็นัยนี้แล. 
   ส่วนผู้นุ่งขาวทับผ้ากาสายะที่นุ่งอยู่แล้ว จะลองดูก็ตาม ยอมรับก็ตาม ยังรักษาอยู่แท้. ถ้าสามเณรบางรูปบวชภายแก่ ไม่นับพรรษา ไม่ต้องอยู่แม้ในแถว มาทางข้างหนึ่ง เมื่อก้อนข้าวในลุ้งใหญ่เป็นต้น ซึ่งเขาเอาทัพพีตักขึ้น สอดบาตรเข้าไปรับเอาไปเหมือนเหยี่ยวเฉี่ยวชิ้นเนื้อไปฉะนั้น ยังไม่เป็นคนเถยยสังวาสก์. 
   แต่เมื่อนับพรรษาภิกษุรับเอา จัดว่าเป็นคนเถยยสังวาสก์. 
   สามเณรเองแล เมื่อนับพรรษาโกงด้วยลำดับของสามเณรรับเอาไป ยังไม่จัดเป็นเถยยสังวาสก์.    ภิกษุเมื่อนับพรรษาโกงด้วยลำดับของภิกษุรับเอาไป พึงปรับตามราคาแห่งภัณฑะ.
อรรถกถาเถยยสังวาสกกถา จบ.

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ เรื่องลงทัณฑกรรมแก่สามเณร องค์แห่งนาสนะ ๑๐ ของสามเณร

   [๑๒๑] ก็โดยสมัยนั้นแล พวกสามเณร ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรง มีความประพฤติไม่เหมาะสม ในภิกษุทั้งหลายอยู่. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่าไฉนพวกสามเณรจึงได้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรง มีความประพฤติไม่เหมาะสมในภิกษุทั้งหลายอยู่เล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ลงทัณฑกรรมแก่สามเณรผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ
   ๑. พยายามเพื่อความเสื่อมลาภแห่งภิกษุทั้งหลาย
   ๒. พยายามเพื่อความพินาศแห่งภิกษุทั้งหลาย
   ๓. พยายามเพื่อความอยู่ไม่ได้แห่งภิกษุทั้งหลาย
   ๔. ด่า บริภาษ ภิกษุทั้งหลาย
   ๕. ยุยงภิกษุต่อภิกษุให้แตกกัน
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   เราอนุญาตให้ลงทัณฑกรรมแก่สามเณรผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล.   ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความดำริว่า จะพึงลงทัณฑกรรมอย่างไรหนอแล แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้ลงทัณฑกรรม คือ ห้ามปราม.
   ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายลงทัณฑกรรมคือห้ามสังฆารามทุกแห่งแก่พวกสามเณร.สามเณรเข้าอารามไม่ได้ จึงหลีกไปเสียบ้าง สึกเสียบ้าง ไปเข้ารีตเดียรถีย์บ้าง. 
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงลงทัณฑกรรมคือห้ามสังฆารามทุกแห่ง รูปใดลงต้องอาบัติทุกกฏ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ลงทัณฑกรรม คือ ห้ามเฉพาะสถานที่ที่สามเณรจะอยู่หรือจะเข้าไปได้.
   ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายลงทัณฑกรรมคือห้ามอาหารซึ่งจะกลืนเข้าไปทางช่องปากแก่พวกสามเณร.
   คนทั้งหลายทำปานะคือยาคูบ้าง สังฆภัตรบ้าง จึงกล่าวนิมนต์พวกสามเณรอย่างนี้ว่า นิมนต์ท่านทั้งหลายมาดื่มยาคู นิมนต์ท่านทั้งหลายมาฉันภัตตาหาร. พวกสามเณรจึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกอาตมาทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะภิกษุทั้งหลายลงทัณฑกรรม คือ ห้ามไว้.
   ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย จึงได้ห้ามอาหาร ซึ่งจะกลืนเข้าไปทางช่องปากแก่พวกสามเณรเล่า.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงลงทัณฑกรรมคือห้ามอาหารที่จะกลืนเข้าไปทางช่องปาก รูปใดลง ต้องอาบัติทุกกฏ. เรื่องลงทัณฑกรรมแก่สามเณร จบ.

เรื่องกักกันสามเณรต้องขออนุญาตก่อน

   [๑๒๒] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ไม่อาปุจฉาพระอุปัชฌาย์ก่อน แล้วทำการกักกันสามเณรทั้งหลายไว้. พระอุปัชฌาย์ทั้งหลายเที่ยวตามหาด้วยนึกสงสัยว่า ทำไมหนอสามเณรของพวกเราจึงหายไป.
   ภิกษุทั้งหลายได้แจ้งให้ทราบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พระฉัพพัคคีย์ได้กักกันไว้.
   พระอุปัชฌาย์ทั้งหลาย จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงไม่อาปุจฉาพวกเราก่อน แล้วทำการกักกันสามเณรของพวกเราเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ไม่อาปุจฉาอุปัชฌาย์ก่อนแล้ว ไม่พึงทำการกักกันสามเณรไว้ รูปใดทำ ต้องอาบัติทุกกฏ.

เรื่องห้ามเกลี้ยกล่อมสามเณร

   [๑๒๓] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์พากันเกลี้ยกล่อมพวกสามเณรของพระเถระทั้งหลาย. พระเถระทั้งหลายต้องหยิบไม้ชำระฟันบ้าง ตักน้ำล้างหน้าบ้าง ด้วยตนเอง ย่อมลำบาก
   จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บริษัทของภิกษุอื่น ภิกษุไม่พึงเกลี้ยกล่อม รูปใดเกลี้ยกล่อม ต้องอาบัติทุกกฏ.

องค์แห่งเสนาสนะ ๑๐ ของสามเณร

   [๑๒๔] ก็โดยสมัยนั้นแล สามเณรของท่านพระอุปนันทศากยบุตรชื่อ กัณฏกะ ได้ประทุษร้ายภิกษุณีกัณฏกี.
   ภิกษุทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนสามเณรจึงได้ ประพฤติอนาจารเห็นปานนี้เล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้นาสนะ

สามเณรผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐ คือ

   ๑. ทำสัตว์ที่มีชีวิตให้ตกล่วงไป
   ๒. ถือเอาพัสดุอันเจ้าของมิได้ให้
   ๓. ประพฤติกรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์
   ๔. กล่าววาจาเท็จ
   ๕. ดื่มน้ำเมา
   ๖. กล่าวติพระพุทธเจ้า
   ๗. กล่าวติพระธรรม
   ๘. กล่าวติพระสงฆ์
   ๙. มีความเห็นผิด
   ๑๐. ประทุษร้ายภิกษุณี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้นาสนะสามเณรผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐ นี้.

เรื่อง ลงทัณฑ์กรรมแก่สามเณร เป็นต้น

อรรถกถานาสนังคทัณฑกรรมวัตถุ
   หลายบทว่า ยาวตเก วา ปน อุสฺสหติ มีความว่า ย่อมอาจเพื่อจะตักเตือนพร่ำสอนสามเณรมีประมาณเท่าใด. ในสิกขาบท ๑๐ ความละเมิด ๕ สิกขาบทเบื้องต้นเป็นวัตถุแห่งนาสนา, ความละเมิด ๕ สิกขาบทเบื้องปลายเป็นวัตถุแห่งทัณฑกรรม. 
   บทว่า อปฺปฏิสฺสา มีความว่า ไม่ตั้งภิกษุไว้ในฐานะผู้เจริญ คือในตำแหน่งแห่งผู้เป็นใหญ่. 
   บทว่า อสภาควุตฺติกา 
มีความว่า ไม่เป็นผู้เป็นอยู่เสมอกัน. 
   อธิบายว่า เป็นผู้เป็นอยู่ไม่สมส่วนกัน. 
   ข้อว่า อลาภาย ปริสกฺกติ มีความว่า ภิกษุทั้งหลายจะไม่ได้ลาภด้วยประการใด เธอย่อมพยายามด้วยประการนั้น. 
   บทว่า อนตฺถาย ได้แก่ เพื่ออุปัทวะ. 
   บทว่า อนาวาสาย มีความว่า เธอย่อมพยายามว่า ทำไฉนหนอ ภิกษุเหล่านั้นไม่พึงอยู่ในอาวาสนี้. 
   สองบทว่า อกฺโกสติ ปริภาสติ มีความว่า เธอย่อมด่าและย่อมขู่เข็ญด้วยแสดงภัย. 
   บทว่า เภเทติ มีความว่า เธอย่อมหาเรื่องส่อเสียดให้แตกกัน. สองบทว่า อาวรณํ กาตุํ มีความว่า เพื่อทำการห้ามว่า เธออย่าเข้ามาในที่นี้. 
   หลายบทว่า ยตฺถ วา วสติ ยตฺถ วา ปฏิกฺกมติ มีความว่า เธออยู่ก็ดี เข้าไปก็ดี ในที่ใด. บริเวณของตนและเสนาสนะที่ถึงตามลำดับพรรษา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วแม้ด้วยบททั้ง ๒. 
   หลายบทว่า มุขทฺวาริกํ อาหารํ อาวรณํ กโรนฺติ มีความว่า ภิกษุทั้งหลายย่อมห้ามอย่างนี้ว่า วันนี้เธอทั้งหลาย อย่าขบเคี้ยว อย่าฉัน. 
พึงทราบวินิจฉัยข้อนี้ว่า น ภิกฺขเว มุขทฺวาริโก อาหาโร อาวรณํ กาตพฺโพ นี้ ดังนี้ :- 
   เมื่อภิกษุกล่าวว่า เธออย่าขบเคี้ยว อย่าฉัน ดังนี้ก็ดี เก็บบาตรจีวรไว้ข้างใน ด้วยตั้งใจว่า เราจักห้ามอาหาร ดังนี้ก็ดี ต้องทุกกฎทุกๆ ประโยค. แต่จะทำทัณฑกรรมแก่สามเณรผู้ว่ายากไม่มีอาจาระ จะแสดงยาคูหรือภัต หรือบาตรและจีวรกล่าวว่า ครั้นเมื่อทัณฑกรรมชื่อมีประมาณเท่านี้ อันเธอยอมรับ เธอจักได้สิ่งนี้ ดังนี้ สมควรอยู่. 
   จริงอยู่ ทัณฑกรรมก็คือการห้าม อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ฝ่ายพระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายกล่าวว่า แม้การให้ขนมาซึ่งน้ำหรือฟืนหรือทรายเป็นต้น พอสมควรแก่ความผิด ภิกษุก็ควรทำได้. เพราะเหตุนั้น แม้การให้ขนซึ่งน้ำเป็นต้น
   นั้นอันภิกษุพึงทำ. ก็ทัณฑกรรมนั้นแล อันภิกษุพึงลงด้วยความเอ็นดูว่า เธอจักงด จักเว้น ไม่พึงลงด้วยอัธยาศัยอันลามก ซึ่งเป็นไปโดยนัยเป็นต้นว่า เธอจักวอดวาย เธอจักสึกไปเสีย. ด้วยคิดว่า เราจักลงทัณฑกรรม จะให้เธอนอนบนหินที่ร้อนหรือจะให้เธอทูลแผ่นหินและอิฐเป็นต้นไว้บนศีรษะ หรือจะให้เธอดำน้ำ ย่อมไม่ควร. 
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า น ภิกฺขเว อุปชฺฌายํ อนาปุจฺฉา นี้ ดังนี้ :- 
   ครั้นเมื่อตนบอกเล่าครบ ๓ ครั้งว่า สามเณรของท่านมีความผิดเช่นนี้ ท่านจงลงทัณฑกรรมแก่เธอ ถ้าอุปัชฌาย์ไม่ลงทัณฑกรรม จะลงเสียเองก็ควร ถ้าอุปัชฌาย์บอกไว้แต่แรกเทียวว่า เมื่อพวกสามเณรของข้าพเจ้ามีโทษ ท่านทั้งหลายนั่นแลจงลงทัณฑกรรม ดังนี้
   สมควรแท้ที่จะลง. แลจงลงทัณฑกรรม แม้แก่เหล่าสัทธิวิหาริกและอันเตวาสิก อย่างสามเณรทั้งหลายก็ควร. 
   บทว่า อปลาเฬนฺติ มีความว่า ย่อมเกลี้ยกล่อมเพื่อทำอุปฐากแก่ตนว่า พวกฉันจักให้บาตร จักให้จีวรแก่พวกเธอ. 
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า น ภิกฺขเว อญฺญสฺส ปริสา อปลาเฬตพฺพา นี้ ดังนี้ :- 
   จะเป็นสามเณรหรืออุปสัมบันก็ตามที อันภิกษุจะยุยงรับเอาชนซึ่งเป็นบริษัทของผู้อื่น โดยที่สุด แม้เป็นภิกษุผู้ทุศีล ย่อมไม่ควร แต่สมควรอยู่ที่จะแสดงโทษว่า การที่ท่านอาศัย
   คนทุศีลอยู่ทำลงไป ก็คล้ายการที่ชนมาเพื่อจะอาบแต่ไพล่ไปทาด้วยคูถ ดังนี้. ถ้าเธอทราบไปเองทีเดียว จึงขออุปัชฌาย์หรือนิสัย ภิกษุจะให้ก็ควร. 
   บรรดานาสนา ๓ ที่กล่าวแล้วในวรรณนาแห่งกัณฏกสิกขาบท๑- ลิงคนาสนาเท่านั้น ประสงค์ในคำว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว ทสหงฺเคหิ สมนฺนาคตํ สามเณรํนาเสตุํ นี้ เพราะเหตุนั้น ในกรรมทั้งหลายมีปาณาติบาตเป็นต้น สามเณรใดย่อมทำกรรม 
   แม้อย่างหนึ่ง สามเณรนั้นอันภิกษุพึงให้ฉิบหาย ด้วยลิงคนาสนาเหมือนอย่างว่า ภิกษุทั้งหลายย่อมเป็นอาบัติต่างๆ กัน ในเพราะกรรมทั้งหลายมีปาณาติบาตเป็นต้นฉันใด, 
   สามเณรทั้งหลายจะได้เป็นฉันนั้นหามิได้. เพราะว่า สามเณรยังมดดำมดแดงให้ตายก็ดี บี้ไข่เรือดก็ดี ย่อมถึงความเป็นผู้ควรให้ฉิบหายทีเดียว. สรณคมน์ การถืออุปัชฌาย์และการถือเสนาสนะของเธอ ย่อมระงับทันที. เธอย่อมไม่ได้ลาภสงฆ์, คงเหลืออยู่สิ่งเดียว เพียงเพศเท่านั้น. 
   ถ้าเธอเป็นผู้มีโทษซับซ้อน จะไม่ตั้งอยู่ในสังวรต่อไป พึงกำจัดออกเสีย. ถ้าเธอผิดพลาดพลั้งไปแล้ว ยอมรับว่า ความชั่วข้าพเจ้าได้ทำแล้ว ดังนี้ เป็นผู้ใคร่จะตั้งอยู่ในสังวรอีก 
   กิจคือลิงคนาสนาย่อมไม่มี, พึงให้สรณะทั้งหลาย พึงให้อุปัชฌาย์แก่เธอซึ่งคงนุ่งห่มอย่างเดิมทีเดียว. ส่วนสิกขาบททั้งหลายย่อมสำเร็จด้วยสรณคมน์นั่นเอง. 
   จริงอยู่ สรณคมน์ของสามเณรทั้งหลายเป็นเช่นกับกรรมวาจาในอุปสมบทของภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น ศีล ๑๐ เป็นอันสามเณรแม้นี้ สมาทานแล้วแท้ เหมือนจตุปาริสุทธิศีลอันภิกษุสมาทานแล้วฉะนั้น, แม้เป็นเช่นนี้ ศีล ๑๐ ก็ควรให้อีก 
   เพื่อทำให้มั่นคง คือเพื่อยังเธอให้ตั้งอยู่ในสังวรต่อไป ถ้าสรณะทั้งหลายอันเธอรับอีกในวัสสูปนายิกาต้น เธอจักได้ผ้าจำนำพรรษาในวัสสูปนายิกาหลัง. ถ้าเธอรับสรณะในวันสูปนายิกาหลัง ลาภอันสงฆ์พึงอปโลกน์ให้. 
๑- สมนฺต. ทุติย. ๔๖๕. 
   สามเณรย่อมเป็นผู้มิใช่สมณะ คือย่อมถึงความเป็นผู้ควรนาสนาเสียในเพราะอทินนาทาน ด้วยวัตถุแม้เพียงหญ้าเส้น ๑ ในเพราะอพรหมจรรย์ด้วยปฏิบัติผิดในมรรคใดมรรคหนึ่งใน ๓ มรรคในเพราะมุสาวาท เมื่อตนกล่าวเท็จ แม้ด้วยความเป็น
   ผู้ประสงค์จะหัวเราะเล่น ส่วนในเพราะดื่มน้ำเมา เป็นอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้แม้ไม่รู้ดื่มน้ำเมาจำเดิมแต่ส่า. 
   ฝ่ายสามเณร ต้องรู้แล้วดื่ม จึงต้องศีลเภท ไม่รู้ไม่ต้อง. ส่วน ๕ สิกขาบทนอกนี้เหล่าใด ของสามเณรนั้นบรรดามี ครั้นเมื่อสิกขาบทเหล่านั้นทำลายแล้ว เธออันภิกษุไม่พึงนาสนา พึงลงทัณฑกรรม. แลเมื่อสิกขาบทอันภิกษุได้ให้อีกก็ดี ยังมิได้ให้ก็ดี
   จะลงทัณฑกรรม ย่อมควร. แต่ว่าพึงปราบด้วยทัณฑกรรมแล้ว จึงค่อยให้สิกขาบท เพื่อประโยชน์แก่ความตั้งอยู่ในสังวรต่อไป. การดื่มน้ำเมาของเหล่าสามเณร เป็นสจิตตกะ จึงเป็นวัตถุแห่งปาราชิก. 
   ความแปลกกันเท่านี้.
   ก็แลวินิจฉัยในอวัณณภาสนะ พึงทราบดังนี้ :- 
   ในอรรถกถาชื่อกุรุนทีแก้ว่า สามเณรผู้กล่าวโทษแห่งพระพุทธเจ้า ด้วยอำนาจแห่งคำเป็นข้าศึกแก่พุทธคุณ เป็นต้นว่า อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ก็ดี แห่งพระธรรม ด้วยอำนาจเป็นข้าศึกแก่ธรรมคุณ เป็นต้นว่า สฺวากฺขาโต ก็ดี แห่งพระสงฆ์ ด้วยอำนาจแห่งคำเป็นข้าศึกแก่สังฆคุณเป็นต้นว่า สุปฏิปนฺโน ก็ดี ได้แก่นินทา
   คือติเตียนพระรัตนตรัย อันภิกษุทั้งหลายมีอาจารย์และอุปัชฌาย์เป็นต้น พึงแสดงโทษในการกล่าวโทษ ห้ามปรามเสียว่า เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น ถ้าเธออันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่ถึงครั้งที่ ๓ ยังไม่งดเว้น ภิกษุทั้งหลายพึงให้ฉิบหายเสีย ด้วยกัณฏกนาสนา. 
   ส่วนในมหาอรรถกถาแก้ว่า ถ้าเธออันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนั้น ยอมสละลัทธินั้น พึงให้ทำทัณฑกรรมแล้วแสดงโทษล่วงเกิน. ถ้ายังไม่ยอมสละ ยังยึดถือยกย่องยันอยู่อย่างนั้นเอง พึงให้ฉิบหายเสียด้วยลิงคนาสนา. 
   คำแห่งมหาอรรถกถานั้นชอบ. เพราะว่านาสนานี้เท่านั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์ในอธิบายนี้. แม้ในสามเณรผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิก็นัยนี้แล. อันสามเณรผู้มีบรรดาสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิชนิดใดชนิดหนึ่ง ถ้าเธออันภิกษุทั้งหลายมีอาจารย์เป็นต้น
   ตักเตือนอยู่สละเสียได้ พึงให้ทำทัณฑกรรมแล้ว ให้แสดงโทษล่วงเกิน เมื่อไม่ยอมสละนั่นแล พึงให้ฉิบหายเสีย ดังนี้แล. 
   ผู้ศึกษาพึงทราบสันนิษฐานว่า องค์ ๑๐ ต่างแผนก คือ ภิกฺขุนีทูสโก นี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ เพื่อแสดงเนื้อความนี้ว่า จริงอยู่ บรรดานาสนังคะ ๑๐ นี้ สามเณรผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณี อันพระองค์ทรงถือเอาด้วยพรหมจารีศัพท์โดยแท้.
   ถึงกระนั้นก็สมควรจะให้สรณะแล้วให้อุปสมบท อพรหมจารีสามเณรผู้ปรารถนาจะตั้งอยู่ในสังวรต่อไป. สามเณรผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณี ถึงใคร่จะตั้งอยู่ในสังวรต่อไป ย่อมไม่ได้แม้ซึ่งบรรพชา ไม่จำต้องกล่าวถึงอุปสมบท.
อรรถกถานาสนังคทัณฑกรรมวัตถุ จบ