Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทุติยปาราชิกสิกขาบท แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทุติยปาราชิกสิกขาบท แสดงบทความทั้งหมด

16 สิงหาคม 2567

อรรถกถา วินีตวัตถุ อุทานคาถา เรื่องช่างย้อม ๕ เรื่องเป็นต้น ทุติยปาราชิกสิกขาบท [ว่าด้วย อทินนาทาน] ปาราชิกกัณฑ์ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์

    วินีตวตฺถุวณฺณนา
[อรรถาธิบายอุทานคาถาในวินีตวัตถุ] 
     ในคาถาแห่งวินีตวัตถุ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-               เรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์ ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในอนุบัญญัตินั่นแล.
    ในเรื่องที่ ๒ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ขึ้นชื่อว่า จิตของพวกปุถุชน ละปกติไปด้วยอำนาจกิเลสมีราคะเป็นต้น ย่อมวิ่งไป คือพล่านไป ได้แก่ เร่ร่อนไป. ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เว้นความทำลายทางกายทวารและวจีทวารเสีย จะพึงทรงบัญญัติอาบัติด้วยเหตุเพียงจิตตุปบาท (เพียงเกิดความคิด) ใครจะพึงสามารถทำตนไม่ให้เป็นอาบัติได้เล่า?       เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า๑- ดู
ก่อนภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติ เพราะเพียงแต่เกิดความคิดขึ้น. แต่ภิกษุก็ไม่ควรเป็นไปในอำนาจแห่งจิต, ควรห้ามจิตไว้ด้วยกำลังแห่งการพิจารณาทีเดียวแล.           เรื่องการจับต้องผ้า ทำให้ผ้าไหวและทำให้ผ้าเคลื่อนจากฐาน มีเนื้อความตื้นแล้วทั้งนั้น. ส่วนเรื่องทั้งหลายซึ่งถัดจากเรื่องที่ทำผ้าให้เคลื่อนจากฐานนั้นไป มีเรื่องว่า ภิกษุมีไถยจิต หยิบทรัพย์นั้นขึ้นจากพื้นดิน๒- เป็นที่สุด มีเนื้อความตื้นแล้วทั้งนั้น.
  ในเรื่องตอบคำถามนำ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               บทว่า อาทิยิ ความว่า ภิกษุเจ้าของจีวร จับแล้ว คือยึดไว้ว่าท่านเป็นโจร. ส่วนภิกษุผู้ลักจีวรนอกนี้ เมื่อถูกภิกษุเจ้าของจีวรถามว่า จีวรของผม ใครลักไป? จึงได้ให้คำปฏิญญา โดยเสมอกับคำถามว่า ผมลักไป.
               จริงอยู่ ถ้าภิกษุเจ้าของจีวรนอกนี้จักกล่าวว่า จีวรของผม ใครถือเอา ใครนำไป ใครเก็บไว้? แม้ภิกษุนี้ก็จะพึงตอบว่า ผมถือเอา หรือว่า ผมนำไป หรือว่า ผมเก็บไว้ แน่นอน. ธรรมดาว่าปากอันธรรมดาแต่งไว้เพื่อประโยชน์แก่การบริโภค และเพื่อประโยชน์แก่การพูด แต่เว้นไถยจิตเสีย ก็ไม่เป็นอวหาร. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ เธอไม่เป็นอาบัติ เพราะตอบตามคำถามนำ ดังนี้.
               อธิบายว่า ไม่เป็นอาบัติ เพราะเพียงแต่กล่าวโดยสำนวนโวหาร.              เรื่องที่ถัดจากเรื่องตอบตามคำถามนำนั้นไป๓- ซึ่งมีเรื่องผ้าโพกเป็นที่สุด ทั้งหมดมีเนื้อความตื้นแล้วทั้งนั้น.
๑- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๒๘/ หน้า ๑๐๕ ๒- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๓๑/ หน้า ๑๐๗ ๓- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๓๒/ หน้า ๑๐๗
      ในเรื่องศพที่ยังสด มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               บทว่า อธิวตฺโถ ความว่า เปรตเกิดขึ้นในศพนั้นนั่นเอง เพราะความอยากในผ้าสาฎก.
               บทว่า อนาทิยนฺโต ความว่า ภิกษุไม่เชื่อคำของเปรตนั้น หรือไม่ทำความเอื้อเฟื้อ.
               หลายบทว่า ตํ สรีรํ อุฏฺฐหิตฺวา ความว่า เปรตบังคับให้ศพนั้นลุกขึ้น ด้วยอานุภาพของตน. เพราะเหตุนั้น พระอุบาลีเถระจึงกล่าวไว้ว่า ศพนั้นลุกขึ้น (เดินตามหลังภิกษุนั้นไป)๔-
               สองบทว่า ทฺวารํ ถเกสิ ความว่า วิหารของภิกษุมีอยู่ในที่ใกล้ป่าช้านั้นเอง เพราะเหตุนั้น ภิกษุเป็นผู้กลัวอยู่โดยปกติ จึงรีบเข้าไปในวิหารนั้นนั่นเอง แล้วปิดประตู.
               สองบทว่า ตตฺเถว ปริปติ ความว่า เมื่อภิกษุปิดประตูแล้วเปรตเป็นผู้หมดความอาลัยในผ้าสาฎก จึงละทิ้งศพนั้นไว้ แล้วไปตามยถากรรม. เพราะเหตุนั้น ร่างศพนั้นก็ล้มลง. มีคำอธิบายว่า ตกไปในที่นั้นนั่นแล.
               สองบทว่า อภินฺเน สรีเร ความว่า อันผ้าบังสุกุลที่ศพสดซึ่งยังอุ่นอยู่ ภิกษุไม่ควรถือเอา. เมื่อภิกษุถือเอา อุปัทวะเห็นปานนี้ย่อมมี และภิกษุย่อมต้องทุกกฏ แต่จะถือเอาที่ศพแตกแล้ว ควรอยู่. ๔- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๒๘/ หน้า ๑๐๙
               ถามว่า ก็ศพจะจัดว่า แตกแล้ว ด้วยเหตุเพียงไร?
               แก้ว่า แม้ด้วยเหตุเพียงถูกจะงอยปากหรือเขี้ยวอันสัตว์ทั้งหลายมีกา พังพอน สุนัขและสุนัขจิ้งจอกเป็นต้น กัดแล้วนิดหน่อย. ส่วนอวัยวะของศพใดที่ล้มลง เพียงผิวหนังถลอกไปด้วยการครูดสี. หนังยังไม่ขาดออก, ศพนั้นนับว่ายังสดทีเดียว, แต่เมื่อหนังขาดออกแล้วจัดว่าแตกแล้ว. แม้ศพใดในเวลายังมีชีวิตนั่นเอง มีฝีโรคเรื้อนและต่อม หรือแผลแตกพรุนทั่วไป, แม้ศพนี้ชื่อว่าแตกแล้ว. ตั้งแต่วันที่ ๓ ไป แม้สรีระที่ถึงความเป็นซากศพ โดยเป็นศพที่ขึ้นพองเป็นต้น จัดว่าเป็นศพที่แตกแล้วโดยแท้.
               อนึ่ง แม้ในศพที่ยังไม่แตกโดยประการทั้งปวง แต่คนผู้ดูแลป่าช้า หรือมนุษย์เหล่าอื่นให้ถือเอา ควรอยู่ ถ้าไม่ได้มนุษย์อื่น, ควรจะเอาศัสตราหรือวัตถุอะไรทำให้เป็นแผลแล้ว จึงถือเอา. แต่ในศพเพศตรงกันข้าม ภิกษุควรตั้งสติไว้ ประคองสมณสัญญาให้เกิดขึ้น ทำให้เป็นแผลที่ศีรษะ หรือที่หลังมือและหลังเท้าแล้วถือเอาสมควรอยู่.
               ในเรื่องอันเป็นลำดับแห่งสรีระยังไม่แตกนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               หลายบทว่า กุสํ สงฺกาเมตฺวา จีวรํ อคฺคเหสิ 
มีความว่า ภิกษุลักด้วยกุสาวหาร ในบรรดาเถยยาวหาร ปสัยหาวหาร ปริกัปปาวหาร ปฏิจฉันนาวหารและกุสาวหาร ซึ่งได้แสดงไว้แล้วแต่เพียงชื่อ ในการพรรณนาเนื้อความแห่งบทนี้ว่า อาทิเยยฺย ในเบื้องต้น.
               และพึงทราบความต่างกันแห่งอวหารเหล่านี้ ดังจะกล่าวต่อไปนี้ :-
               [อรรถาธิบายอวหาร ๕ อย่าง] 
             จริงอยู่ ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งแอบทำโจรกรรมมีการตัดที่ต่อเป็นต้น ลักทรัพย์ซึ่งมีเจ้าของ ในเวลากลางคืนหรือกลางวัน หรือหลอกลวงฉ้อเอาด้วยเครื่องตวงโกง และกหาปณะปลอมเป็นต้น, อวหารของภิกษุรูปนั้นนั่นแลผู้ถือเอาทรัพย์นั้น พึงทราบว่า เป็นเถยยาวหาร.
               ฝ่ายภิกษุใดข่มเหงผู้อื่น คือกดขี่เอาด้วยกำลัง, ก็หรือขู่กรรโชก คือแสดงภัย ถือเอาทรัพย์เป็นของชนเหล่านั้น เหมือนพวกโจรผู้ฆ่าเชลย ทำประทุษกรรม มีฆ่าคนเดินทางและฆ่าชาวบ้านเป็นต้น (และ) เหมือนอิสรชนมีพระราชาและมหาอำมาตย์ของพระราชาเป็นต้น ซึ่งทำการริบเอาเรือนของผู้อื่นด้วยอำนาจความโกรธ และใช้พลการเก็บพลี เกินกว่าพลีที่ถึงแก่ตน, อวหารของภิกษุนั้นผู้ถือเอาอย่างนั้น พึงทราบว่า เป็นปสัยหาวหาร.
               ส่วนอวหารของภิกษุผู้กำหนดหมายไว้แล้วถือเอา ท่านเรียกว่า ปริกัปปาวหาร. ปริกัปปาวหารนั้น มี ๒ อย่าง เนื่องด้วยกำหนดหมายสิ่งของ         และกำหนดหมายโอกาส.
               [อรรถาธิบายภัณฑปริกัป]
             ใน ๒ อย่างนั้น ภัณฑปริกัป พึงทราบอย่างนี้ :-
               ภิกษุบางรูปในศาสนานี้มีความต้องการด้วยผ้าผ้าสาฎก จึงเข้าไปยังห้อง หมายใจไว้ว่า ถ้าจักเป็นผ้าสาฎก เราจักถือเอา, ถ้าจักเป็นด้าย เราจักไม่ถือเอา แล้วถือเอากระสอบไปในเวลากลางคืน. ถ้าในกระสอบนั้นมีผ้าสาฎก เป็นปาราชิก ในขณะที่ยกขึ้นนั่นเอง.          ถ้ามีด้าย ยังรักษาอยู่. เธอนำออกไปข้างนอก แก้ออกรู้ว่า เป็นด้าย นำมาวางไว้ยังที่เดิมอีก ยังรักษาอยู่เหมือนกัน, แม้รู้ว่าเป็นด้าย แล้วเดินไปด้วยคิดว่า ได้สิ่งใดก็ต้องถือเอาสิ่งนั้น พึงปรับอาบัติด้วยย่างเท้า. วางไว้บนภาคพื้นแล้วถือเอา ต้องปาราชิก ในขณะที่ยกขึ้น.
       เธอถูกพวกเจ้าของเขาร้องเอะอะขึ้นว่า ขโมย ขโมย แล้วทิ้งหนีไป ยังรักษาอยู่. พวกเจ้าของพบแล้วถือเอาไป อย่างนั้นนั่นเป็นการดี ถ้าคนอื่นบางคน ถือเอา เป็นภัณฑไทยแก่เธอ. ภายหลังเมื่อพวกเจ้าของกลับไปแล้ว เธอเห็นของนั้นเข้าเองจึงถือเอาด้วยคิดว่า ของนี้เรานำออกมาก่อนบัดนี้ เป็นของๆ เรา ละดังนี้ ยังรักษาอยู่ แต่เป็นภัณฑไทย.    แม้เมื่อภิกษุกำหนดหมายไว้แล้วถือเอาโดยนัยเป็นต้นว่า ถ้าจักเป็นด้าย เราจักถือเอา ถ้าจักเป็นผ้าสาฎก เราจักไม่ถือเอา ถ้าจักเป็นเนยใส เราจักถือเอา ถ้าจักเป็นน้ำมัน เราจักไม่ถือเอา ดังนี้ มีนัยเหมือนกันนั่นแล.
     ส่วนในอรรถกถามหาปัจจรีเป็นต้น ท่านกล่าวไว้ว่า แม้ภิกษุมีความต้องการด้วยผ้าสาฎก ถือเอากระสอบผ้าสาฎกนั่นแหละออกไปวางไว้ข้างนอก แก้ออกแล้วเห็นว่านี้เป็นผ้าสาฎก แล้วไปพึงปรับด้วยการยกเท้าเหมือนกัน.      แต่ในอรรถมหาปัจจรีเป็นต้นนี้ ปริกัปชื่อว่าย่อมปรากฏ เพราะเธอได้กำหนดหมายสิ่งของไว้ว่า ถ้าจักเป็นผ้าสาฎก เราจักถือเอา ปริกัปปาวหาร ชื่อว่าไม่ปรากฏ เพราะเห็นแล้วจึงลัก. แต่ในมหาอรรถกถา ท่านปรับอวหารแก่ภิกษุผู้ยกขึ้นซึ่งสิ่งของที่ตนกำหนดหมายไว้ ที่ตนมองไม่เห็น แต่คงตั้งอยู่ในความเป็นสิ่งของที่ตนกำหนดหมายไว้แล้วนั่นเอง.
              เพราะเหตุนั้น ปริกัปปาวหารจึงชื่อว่าปรากฏในมหาอรรถกถานั้น.
              อวหารที่กล่าวไว้ในมหาอรรถกถานั้น สมด้วยพระบาลีว่า ตํ มญฺญมาโน ตํ อวหริ๑- สำคัญว่า เป็นสิ่งนั้น ลักสิ่งนั้น ฉะนี้แล. บรรดาปริกัปทั้ง ๒ นั้น ปริกัปนี้ใดที่เป็นไปโดยนัยเป็นต้นว่า ถ้าจักเป็นผ้าสาฎก เราจักถือเอา ดังนี้ ปริกัปนี้ชื่อว่า ภัณฑปริกัป. ๑- บาลีเป็น อวหรติฯ
               [อรรถาธิบายโอกาสปริกัป]
     ส่วนโอกาสปริกัป พึงทราบอย่างนี้ :-
               ภิกษุโลเลบางรูปในศาสนานี้เข้าไปยังบริเวณของผู้อื่น หรือเรือนของตระกูล หรือโรงซึ่งเป็นที่ทำการงานในป่าก็ดี แล้วนั่งในที่นั้น ด้วยการสนทนาปราศรัย ชำเลืองดูบริขารอันเป็นที่ตั้งแห่งความโลภบางอย่าง. ก็แลเมื่อชำเลืองดู พบเห็นแล้วจึงได้ทำความกำหนดหมายไว้ ด้วยอำนาจสถานที่มีประตู หน้ามุข ภายใต้ปราสาท บริเวณซุ้มประตูและโคนไม้เป็นต้น แล้วกำหนดหมายไว้ว่า ถ้าพวกชนจักเห็นเราในระหว่างนี้ เราจักคืนให้แก่ชนเหล่านั้นนั่นแหละ ทำทีเป็นหยิบ เพื่อต้องการจะดูเที่ยวไป ถ้าพวกเขาจักไม่เห็นไซร้ เราก็จักลักเอา ดังนี้. พอเมื่อภิกษุนั้นถือเอาทรัพย์นั้นล่วงเลยแดนกำหนดที่หมายไว้ไป เป็นปาราชิก.
               ถ้าเธอกำหนดหมายแดนอุปจารไว้ เดินมุ่งหน้าไปทาง
นั่นเอง มนสิการกรรมฐานเป็นต้นอยู่ก็ดี ส่งใจไปทางอื่นก็ดี ก้าวล่วงแดนอุปจารไป ด้วยทั้งไม่มีสติ เป็นภัณฑไทย.      แม้ถ้าเมื่อเธอไปถึงที่นั้นแล้ว มีโจร ช้าง เนื้อร้ายหรือมหาเมฆตั้งขึ้น และเธอก้าวล่วงสถานที่นั้นไปโดยเร็ว เพราะใคร่จะพ้นจากอุปัทวะนั้น เป็นภัณฑไทยเหมือนกัน.
               ก็ในคำนี้ อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เพราะในเบื้องต้นนั่นเอง เธอถือเอาด้วยไถยจิต ฉะนั้นจึงรักษาไว้ไม่ได้ เป็นอวหารทีเดียว. นี้เป็นนัยในมหาอรรถกถาก่อน. ส่วนในมหาปัจจรี ท่านกล่าวไว้ว่า แม้ถ้าเธอรูปนั้นขึ้นขี่ช้างหรือม้าอยู่ภายในแดนกำหนด ไม่ขับช้างหรือม้านั้นไปเอง ท่านไม่ให้ผู้อื่นขับไป แม้เมื่อล่วงเลยแดนกำหนดไป ย่อมไม่เป็นปาราชิก เป็นเพียงภัณฑไทยเท่านั้น.
               ในปริกัป ๒ อย่างนั้น ปริกัปที่เป็นไปว่า ถ้าพวกชนจักเห็นเราในระหว่างนี้ เราจักคืนแก่ชนเหล่านั้นนั่นแหละ ทำทีเป็นหยิบ เพื่อต้องการจะดูเที่ยวไป นี้ชื่อว่าโอกาสปริกัป.     อวหารของภิกษุผู้กำหนดไว้แล้วถือเอาด้วยอำนาจแห่งปริกัป แม้ทั้ง ๒ เหล่านี้ดังพรรณนามาอย่างนี้ พึงทราบว่าเป็นปริกัปปาวหาร.
               [อรรถาธิบายปฏิจฉันนาวหาร] 
             ส่วนการปกปิดไว้แล้วจึงลัก ชื่อว่าปฏิจฉันนาวหาร.
               ปฏิจฉันนาวหารนั้น พึงทราบอย่างนี้ :-
               ก็ภิกษุรูปใด เมื่อพวกมนุษย์กำลังเล่นอยู่ หรือกำลังเข้าไปในสวนเป็นต้น เห็นสิ่งของคือเครื่องอลังการซึ่งเขาถอดวางไว้ จึงเอาฝุ่นหรือใบไม้ปกปิดไว้ ด้วยคิดในใจว่า ถ้าเราจักก้มลงถือเอา พวกมนุษย์จักรู้เราว่า สมณะถือเอาอะไร? แล้วจะพึงเบียดเบียนเรา จึงคิดว่า ภายหลัง เราจักถือเอา ดังนี้, การยกสิ่งของขึ้นด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ยังไม่มีแก่ภิกษุรูปนั้น เพราะเหตุนั้น จึงไม่เป็นอวหารก่อน.
               แต่เวลาใด พวกมนุษย์เหล่านั้นประสงค์จะเข้าไปภายในบ้าน แม้เมื่อค้นหาสิ่งของนั้น ก็ไม่เห็น จึงคิดว่า บัดนี้ ค่ำมืดแล้ว, พรุ่งนี้ก่อนเถิด พวกเราจึงจักรู้ แล้วก็ไปทั้งที่ยังมีความอาลัยอยู่นั่นเอง, เวลานั้น เมื่อภิกษุนั้นยกสิ่งของนั้นขึ้น เป็นปาราชิกในขณะที่ยกขึ้น.
               แต่เมื่อภิกษุถือเอาในเวลาที่ปกปิดไว้แล้วนั่นเองด้วยสกสัญญาว่าเป็นของเรา หรือด้วยบังสุกุลสัญญาว่า บัดนี้ มนุษย์เหล่านั้นไปแล้ว พวกเขาได้ทิ้งสิ่งของนี้แล้ว เป็นภัณฑไทย.
               เมื่อมนุษย์เหล่านั้นกลับมาในวันที่ ๒ แม้ตรวจค้นดูแล้วก็ไม่เห็น จึงได้ทอดธุระกลับไป สิ่งของที่เธอถือเอาเป็นภัณฑไทยเหมือนกัน. เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่าพวกเขาไม่เห็นสิ่งของด้วยความพยายามของภิกษุนั้น.
               ส่วนภิกษุใดพบเห็นสิ่งของเห็นปานนั้น ซึ่งยังคงตั้งอยู่ในที่เดิมนั่นเอง ไม่ได้ปกปิดไว้ แต่มีไถยจิต เอาเท้าเหยียบกดให้จมลงในเปือกตมหรือในทราย, พอเธอกดให้จมลงเท่านั้นเป็นปาราชิก.
               [อรรถาธิบายกุสาวหาร]        
               การสับเปลี่ยนสลากแล้วลัก ท่านเรียกว่า กุสาวหาร.
      แม้กุสาวหารนั้น พึงทราบดังนี้ :-
               ภิกษุรูปใด เมื่อภิกษุจีวรภาชกะกำลังจัดวางสลากแจกจีวร ใคร่จะนำเอาส่วนของภิกษุรูปอื่น ซึ่งมีราคามากกว่า๑- ที่ตั้งอยู่ใกล้ส่วนของตนไป ใคร่จะวางไม้สลากที่จีวรภาชกภิกษุวางไว้ในส่วนของตนลงไว้ในส่วนของภิกษุรูปอื่น จึงยกขึ้น ยังรักษาอยู่ก่อน. เธอวางลงไว้ในส่วนของภิกษุรูปอื่น ก็ยังรักษาอยู่เหมือนกัน. แต่ในเวลาใด เมื่อเธอวางไม้สลากลงไว้แล้ว ยกไม้สลากของภิกษุรูปอื่นขึ้นจากส่วนของภิกษุรูปอื่น, เวลานั้นพอเธอสักว่ายกขึ้น ก็เป็นปาราชิก.
               ถ้าเธอยกไม้สลากขึ้นจากส่วนของภิกษุรูปอื่นเสียก่อน เพราะใคร่จะวางลงไว้ในส่วนของตน ในขณะที่ยกขึ้นยังรักษาอยู่, ในขณะที่วางลงไว้ ก็ยังรักษาอยู่, และยกไม้สลากของตนขึ้นจากส่วนของตน ในขณะที่ยกขึ้นนั่นเอง ยังรักษาอยู่, เมื่อยกไม้สลากนั้นขึ้นแล้ว วางลงไว้ในส่วนของภิกษุรูปอื่น พอพ้นจากมือก็เป็นปาราชิก.
           แต่ถ้าไม้สลากที่วางไว้ในส่วนทั้งสองมองไม่เห็น. ภายหลัง เมื่อภิกษุที่เหลือไปแล้ว นวกภิกษุรูปนอกนี้ถามว่า ท่านขอรับ ไม้สลากของผม ย่อมไม่ปรากฏ. ภิกษุผู้เฒ่าจึงพูดว่า คุณ แม้ของข้าพเจ้าก็ไม่ปรากฏ. นวกภิกษุถามว่า ท่านขอรับ ก็ส่วนของผมเป็นไฉน? ภิกษุผู้เฒ่าจึงแสดงส่วนของตนว่า นี้ส่วนของคุณ. เมื่อนวกภิกษุรูปนั้นโต้แย้งหรือไม่โต้แย้งก็ตาม รับเอาส่วนนั้นไป, ภิกษุนอกนี้ยกส่วนของนวกภิกษุนั้นขึ้น ต้องปาราชิกในขณะที่ยกขึ้น.
              แม้หากว่า เมื่อนวกภิกษุนั้นถึงจะเรียนว่า ผมจะไม่ยอมให้ส่วนของผมแก่ท่าน และท่านรู้ส่วนของตนแล้ว จงถือเอาเถิด. ภิกษุผู้เฒ่าถึงแม้รู้อยู่ว่า นี้ไม่ใช่ส่วนของเรา ได้ถือเอาส่วนของนวกภิกษุรูปนั้นนั่นเอง เป็นปาราชิกในขณะที่ยกขึ้น.
               แต่ถ้าภิกษุนอกนี้คิดว่า จะมีประโยชน์อะไรด้วยการวิวาทนี้ว่า นี้ส่วนของท่าน นี้ส่วนของผม จึงพูดว่า จะเป็นส่วนที่ถึงแก่ผมก็ตาม ถึงแก่ท่านก็ตาม ส่วนใดดี ท่านจงถือเอาส่วนนั้นเถิด ดังนี้. เธอชื่อว่าถือเอาส่วนที่เขาให้แล้ว จึงไม่มีอวหารในการถือเอานี้.
           ถ้าภิกษุนั้นกลัวต่อความถกเถียงกัน อันพวกภิกษุเตือนว่า คุณจงรับเอาส่วนตามที่คุณชอบใจเถิด ก็เว้นส่วนที่ดีซึ่งถึงแก่ตนเสีย ถือเอาส่วนที่เลวนั่นแลไป. ภายหลัง แม้เมื่อภิกษุนอกนี้ถือเอาส่วนที่ยังเหลือจากที่เลือกแล้ว ก็ไม่เป็นอวหารเหมือนกัน ฉะนี้แล.
๑- ประโยควรรคนี้ ตามเชิงอรรถไว้ก็ดี ในอรรถโยชนาก็ดี
๑- และสารัตถทีปนีก็ดี มีตกหล่นอยู่หลายศัพท์ แปลตามเชิงอรรถดังนี้ :-
๑- ภิกษุรูปใด ใคร่จะนำเอาส่วนของภิกษุรูปอื่น ซึ่งมีราคาน้อยกว่า
๑- หรือมากกว่า หรือเท่าๆ กัน โดยราคาแห่งส่วนของตน
๑- ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ส่วนของตนไป ดังนี้.
๑- สามนต์ฉบับที่เราใช้อยู่นี้ จะลอกคัดตกไปกระมัง
๑- เพราะในอรรถโยชนาและสารัตถทีปนี ก็มีแก้ไว้.
               จบกถาว่าด้วยการสับเปลี่ยนสลาก                
               กถาปรารภเรื่องทั่วไป         
        ก็พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลายว่า การแจกจีวรอย่างเดียวเท่านั้น มาแล้วด้วยอำนาจการสับเปลี่ยนสลากในที่นี้ แต่ควรนำความเกิดขึ้นแห่งปัจจัยทั้ง ๔ และการแจกมาแสดงไว้ด้วย.
       ก็แล ครั้นกล่าวไว้อย่างนั้นแล้ว จึงกล่าวกถาปรารภจีวรที่เกิดขึ้น เริ่มต้นแต่เรื่องหมอชีวกนี้ว่า๑- พระเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับคู่ผ้าที่ทอในแคว้นสีพีของข้าพระองค์เถิด, และขอทรงอนุญาตคฤหบดีจีวรแก่ภิกษุสงฆ์ด้วยเถิดดังนี้ โดยพิสดารในจีวรขันธกะ,
       กล่าวบิณฑบาตกถา เริ่มต้นแต่สูตรนี้ว่า๒- ก็โดยสมัยนั้นแล กรุงราชคฤห์มีภิกษาฝืดเคือง มนุษย์ทั้งหลายไม่อาจทำสังฆภัต นิมันตนภัต สลากภัต ปักขิกภัต อุโปสถิกภัต ปาฏิปทิกภัต ดังนี้ โดยพิสดารในเสนาสนขันธกะ,
               กล่าวอาคตเสนาสนกถา เริ่มต้นแต่เรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์นี้ว่า๓- ก็โดยสมัยนั้นแล พวกภิกษุสัตตรสวัคคีย์ซ่อมแซมวิหารซึ่งตั้งอยู่ปลายแดนหลังใดหลังหนึ่ง ด้วยหมายใจว่า พวกเราจักอยู่จำพรรษาในวิหารนี้ พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ได้เห็นพวกภิกษุสัตตรสวัคคีย์ กำลังซ่อมแซมวิหารแล ดังนี้ โดยพิสดารในเสนาสนขันธกะนั่นเอง, และกล่าวกถาปรารภเภสัชมีเนยใสเป็นต้น ในที่สุดแห่งเสนาสนกถานั้น โดยพิสดาร.      ส่วนข้าพเจ้าจักกล่าวกถานั้นทั้งหมด ในอนาคตสถานแห่งกถานั้นๆ นั่นแล. เมื่อข้าพเจ้ากล่าวอย่างนั้นเหตุ      เป็นอันข้าพเจ้ากล่าวไว้เสร็จแล้วในเบื้องต้นทีเดียว.
๑- วิ. มหา. เล่ม ๕/ข้อ ๑๓๕/หน้า ๑๙๑๒- วิ. จุลฺล. เล่ม ๗/ข้อ ๓๒๕/หน้า ๑๔๖ ๓- วิ. จุลฺล. เล่ม ๗/ข้อ ๒๗๖/หน้า ๑๒๔
               เรื่องเรือนไฟถัดจากเรื่องนี้ไป มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.
ในวิฆาสวัตถุ ๕ เรื่อง มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นให้อนุปสัมบันทำให้เป็นของควร แล้วฉัน. แต่เมื่อภิกษุจะถือเอาเนื้อซึ่งเป็นเดน พึงถือเอาเนื้อที่สัตว์เหล่านั้นกินเหลือทิ้งแล้ว. ถ้าอาจจะให้สัตว์เหล่านั้นซึ่งกำลังกินอยู่ให้ทิ้งไปแล้วถือเอา, แม้เนื้อที่เป็นเดนนั้น ก็ควร. แต่ไม่ควรถือเอา เพื่อประโยชน์แก่การคุ้มครองตน และเพื่อความเป็นผู้มีความเอ็นดูในสัตว์อื่น.
               ในเรื่องแจกข้าวสุก ของควรเคี้ยว ขนม อ้อยและผลมะพลับ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ภิกษุอ้างบุคคลซึ่งไม่มีตัวว่า ท่านจงให้ส่วนแก่ภิกษุรูปอื่นอีก.
               สองบทว่า อมูลกํ อคฺคเหสิ ความว่า เธอได้กล่าวมุสาวาท ถือเอาส่วนที่ไม่มีตัวบุคคลเป็นมูลอย่างเดียว. เธอหาได้ถือเอาส่วนนั้นด้วยไถยจิตไม่. เพราะเหตุนั่นแล พระผู้มีพระภาค
เจ้าจึงไม่ตรัสถามว่า เธอมีจิตอย่างไร? ตรัสว่า เป็นปาจิตตีย์.
               จริงอยู่ เมื่อเธอกล่าวว่า ท่านจงให้ส่วนแก่ภิกษุอีกรูปหนึ่ง วัตถุแห่งปาราชิกย่อมไม่ปรากฏ และพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ย่อมไม่ตรัสถามในฐานะเช่นนี้. แต่ถ้าคำนั้นจะพึงเป็นวัตถุแห่งปาราชิกไซร้, พึงทราบว่า พึงเป็นทุกกฏเท่านั้น เหมือนเป็นทุกกฏ เพราะการตู่เอาสวน ฉะนั้น. ความสังเขปในเรื่องนี้มีเท่านี้.     
                ส่วนความพิสดาร พึงทราบดังนี้ :-
ก็สิ่งใดเป็นของมีอยู่แห่งสงฆ์เท่านั้น เมื่อสิ่งนั้นอันภิกษุซึ่งสงฆ์สมมติหรือมิได้สมมติก็ตาม แจกอยู่, เมื่อภิกษุกล่าวว่า ท่านจงให้ส่วนแก่ภิกษุอีกรูปหนึ่งคืออ้างบุคคลที่ไม่มีตัว อย่างนั้น ถือเอาด้วยการกล่าวเท็จอย่างเดียว เป็นปาจิตตีย์ด้วย เป็นภัณฑไทยด้วย. เมื่อภิกษุถือเอาด้วยไถยจิต ก็มีนัยเหมือนกันนี้. ภิกษุรูปใดไม่ได้อ้างบุคคล กล่าวว่า ท่านจงให้อีกส่วนหนึ่ง แล้วถือเอาก็ดี นับพรรษาโกงถือเอาก็ดี, ภิกษุรูปนั้นพึงปรับตามราคาของ.
               ส่วนสิ่งใดเป็นของพวกคฤหัสถ์ที่เขาแจกถวายสงฆ์ในเรือน หรือในอารามของคฤหัสถ์เหล่านั้น ครั้นเมื่อสิ่งของนั้นอันเจ้าของก็ดี ชนอื่นซึ่งเจ้าของวานอย่างนี้ว่า ท่านจงถวายแก่ภิกษุนี้ก็ดี ถวายอยู่. แม้เมื่อภิกษุกล่าวว่า ท่านจงให้อีกส่วนหนึ่งแล้วถือเอาด้วยไถยจิต ไม่เป็นทั้งปาราชิก ไม่เป็นทั้งภัณฑไทย. แต่เป็นภัณฑไทยแก่ภิกษุผู้ถือเอา ด้วยโกงพรรษา.
               เมื่อสิ่งของนั้นอันชนอื่นซึ่งเจ้าของมิได้วานอย่างนี้ว่า ท่านจงถวายแก่ภิกษุนี้ ถวายอยู่. เมื่อภิกษุอ้างบุคคลถือเอาตามนัยก่อนนั่นแล เป็นปาจิตตีย์ด้วย เป็นภัณฑไทยด้วย.      เมื่อภิกษุกล่าวว่า ท่านจงให้อีกส่วนหนึ่ง แล้วถือเอาด้วยไถยจิตก็ดี ถือเอาด้วยนับพรรษาโกงก็ดี พึงปรับตามราคาของ.
               ก็วินิจฉัยนี้ ใครๆ ก็อาจรู้ได้ในอรรถกถาชื่อกุรุนที, แต่ในอรรถกถาอื่นๆ รู้ได้ยาก ทั้งมีพิรุธด้วย.
               สองบทว่า อมูลกํ อคฺคเหสิ ความว่า เมื่อพวกเจ้าของถวายภิกษุถือเอาได้.
               หลายบทว่า อนาปตฺติ ภิกฺขุ ปาราชิกกสฺส ความว่า สิ่งของที่พวกเจ้าของถวายแล้ว ภิกษุถือเอาได้ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า ภิกษุนั้นไม่เป็นอาบัติ.
               หลายบทว่า อาปตฺติ สมฺปชานมุสาวาเท ปาจิตฺติยสฺส 
ความว่า เพราะสัมปชานมุสาวาทที่ภิกษุรูปนั้นกล่าว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงปรับเป็นปาจิตตีย์ ดุจในเรื่องข้าวยาคูที่ปรุงด้วยของ ๓ อย่างข้างหน้า.
               ส่วนในการถือเอา พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :-
               อาหารมีข้าวสุกเป็นต้นของสงฆ์อันภิกษุซึ่งสงฆ์สมมติ หรือชนทั้งหลายมีอารามิกะเป็นต้นซึ่งสงฆ์สั่งไว้ กำลังถวาย และอาหารมีข้าวสุกเป็นต้น เป็นของพวกคฤหัสถ์อันเจ้าของหรือชนอื่นซึ่งเจ้าของวาน กำลังถวาย เมื่อภิกษุกล่าวว่า ท่านจงให้ส่วนแก่ภิกษุอีกรูปหนึ่ง แล้วถือเอาเป็นภัณฑไทย. เมื่อภิกษุถือเอาอาหารมีข้าวสุกเป็นต้นที่ชนอื่นกำลังถวาย พึงปรับตามราคาสิ่งของ.
               เมื่ออาหารมีข้าวสุกเป็นต้นอันภิกษุซึ่งสงฆ์มิได้สมมติ หรือคนที่เจ้าของมิได้วาน ถวายอยู่ ภิกษุเมื่อกล่าวว่า ท่านจงให้อีกส่วนหนึ่ง แล้วถือเอาก็ดี นับพรรษาโกง ถือเอาก็ดี พึงปรับตามราคาสิ่งของ ในขณะที่ยกส่วนนั้นขึ้นทีเดียว ดุจในปัตตจตุกกะฉะนั้น.
               อาหารมีข้าวสุกเป็นต้นที่เหล่าชนนอกนี้ถวายอยู่ เมื่อภิกษุถือเอาด้วยอาการอย่างนั้น เป็นภัณฑไทย. ส่วนสิ่งของๆ คฤหัสถ์ที่เจ้าของเขาวานไว้ว่า ท่านจงถวายแก่ภิกษุนี้ก็ดี เจ้าของเขาถวายเองก็ดี ก็เป็นอันถวายดีแล้ว ฉะนี้แล.
              ในอธิการว่าด้วยวัตถุมีข้าวสุกเป็นต้นนี้ มีสาระจากคำวินิจฉัย ในอรรถกถาทั้งปวงเพียงเท่านี้.
               ในเรื่องทั้งหลายมีเรื่องร้านขายข้าวสุกเป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               เรือนสำหรับหุงข้าวสวยขาย ชื่อโอทนิยฆระ (คือร้านขายข้าวสุก). เรือนสำหรับแกงเนื้อขาย ชื่อสูนาฆระ๔- (คือร้านขายแกงเนื้อ). เรือนสำหรับเจียวทอดของขบเคี้ยวขาย ชื่อปูวฆระ (คือร้านขายขนม).               คำที่เหลือในเรื่องร้านขายข้าวสุกเป็นต้นนี้ มีปรากฏชัดแล้วในเรื่องบริขารนั่นแล.
๔- บาลีเดิมเป็น สูนฆรํ.
               ในเรื่องตั่ง มีวินิจฉัยดังนี้ :-
   ภิกษุรูปนั้นกำหนดหมายถุงไว้ แล้วจึงให้ตั่งเลื่อนไป ด้วยคิดว่า เราจักถือเอาถุง ซึ่งมาถึงที่นี้. เพราะเหตุนั้น ในการเลื่อนตั่งไป อวหารจึงไม่มีแก่ภิกษุรูปนั้น. แต่ท่านปรับเป็นปาราชิกในการให้เลื่อนไปแล้วถือเอา จากโอกาสที่กำหนดหมายไว้. ก็ภิกษุเมื่อนำไปอย่างนั้น ถ้าไม่มีไถยจิตในตั่ง พระวินัยธรพึงให้ตีราคาถุง ปรับอาบัติ.            ถ้ามีแม้ในตัวตั่ง ควรให้ตีราคาทั้ง ๒ อย่าง       ปรับอาบัติ.
               ๓ เรื่องมีเรื่องฟูกเป็นต้น ปรากฏชัดแล้วทีเดียว.
           ใน ๓ เรื่องมีเรื่องการถือเอาด้วยวิสาสะเป็นต้น ไม่เป็นอาบัติ เพราะการถือเอา. เมื่อพวกเจ้าของให้นำมาคืน เป็นภัณฑไทย. ส่วนของภิกษุผู้เข้าไปบิณฑบาต ภิกษุรูปที่ยังอยู่ภายในอุปจารสีมาเท่านั้นรับเอา จึงควร. แต่ถ้าพวกทายกเผดียงแม้แก่พวกภิกษุผู้อยู่ภายนอกอุปจารว่า พวกท่านรับเอาเถิด ขอรับ! ภิกษุทั้งหลายมาแล้วจักฉันด้วยคำเผดียงอย่างนี้      แม้พวกภิกษุผู้อยู่ภายในบ้านจะรับเอา ก็ควร.
               คำที่เหลือในเรื่องทั้ง ๓ นี้มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.
               ใน ๗ เรื่องมีเรื่องขโมยมะม่วงเป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
             ไม่เป็นอาบัติ เพราะถือเอาด้วยบังสุกุลสัญญา, เมื่อพวกเจ้าของให้นำมาคืน เป็นภัณฑไทย, เพราะบริโภคด้วยไถยจิต เป็นปาราชิก.ในเรื่องทั้งหลายมีเรื่องพวกขโมยลักมะม่วงเป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               ทั้งพวกเจ้าของก็มีความอาลัย ทั้งพวกโจรก็มีความอาลัย, เมื่อภิกษุฉันด้วยบังสุกุลสัญญา เป็นภัณฑไทย.     เมื่อถือเอาด้วยไถยจิต เป็นอวหารในขณะที่ยกขึ้นนั่นเอง, ภิกษุนั้นอันพระวินัยธรพึงให้ตีราคาสิ่งของปรับอาบัติ.
               พวกเจ้าของยังมีความอาลัย แต่พวกโจรหมดความอาลัยก็มีนัยเหมือนกันนี้.
               พวกเจ้าของหมดความอาลัย พวกโจรหมดความอาลัย ซ่อนไว้ในที่รกชัฏแห่งใดแห่งหนึ่งด้วยคิดว่า จักถือเอาอีก ดังนี้แล้วไป มีนัยเหมือนกันนี้. ทั้ง ๒ ฝ่ายหมดความอาลัย, เมื่อภิกษุขบฉันด้วยบังสุกุลสัญญา ไม่เป็นอาบัติ, เมื่อขบฉันด้วยไถยจิต เป็นทุกกฏ.
            ส่วนในมะม่วงเป็นต้นของสงฆ์ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ผลไม้มีมะม่วงเป็นต้นซึ่งเกิดอยู่ในสังฆาราม หรือที่เขานำมาถวายก็ตามที ซึ่งมีราคา ๕ มาสกหรือเกินกว่า ๕ มาสก. เมื่อภิกษุลักไปเป็นปาราชิก.
               ในปัจจันตชนบท เมื่อพวกชาวบ้านอพยพหนีไป เพราะอุปัทวะคือโจร, พวกภิกษุก็ละทิ้งวิหารไป ทั้งที่ยังมีความอุตสาหะอยู่นั่นเอง ด้วยคิดว่า เมื่อชนบทสงบลงแล้ว พวกเราจักกลับมา. พวกภิกษุไปถึงวิหารเช่นนั้น คิดว่า ผลไม้ทั้งหลายมีมะม่วงสุกเป็นต้น เป็นของที่เขาละทิ้งแล้ว จึงฉันด้วยบังสุกุล สัญญา ไม่เป็นอาบัติ. เมื่อฉันด้วยไถยจิต เป็นอวหาร.         ภิกษุรูปนั้นอันพระวินัยธรพึงให้ตีราคาของ ปรับอาบัติ.
               ส่วนในมหาปัจจรีและในสังเขปอรรถกถา ท่านกล่าวไว้โดยไม่แปลกกันว่า    เมื่อภิกษุฉันผลไม้น้อยใหญ่ในวัดร้างด้วยไถยจิต ไม่เป็นปาราชิก.  เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า ผลไม้ทั้งหลายในวัดร้างเป็นของๆ พวกภิกษุที่มาแล้วๆ. ก็เหตุสักว่ามีความอุตสาหะเท่านั้น เป็นประมาณในผลไม้ที่เป็นของๆ คณะ และที่เป็นของจำเพาะบุคคล.
               แต่ถ้าภิกษุให้ผลมะม่วงสุกเป็นต้นจากผลไม้ที่เป็นของคณะหรือของบุคคลนั้น เพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์ตระกูล ย่อมต้องทุกกฏ เพราะกุลทูสกสิกขาบท.
               ภิกษุเมื่อให้ด้วยไถยจิต พึงปรับอาบัติตามราคา (สิ่งของ).
               แม้ในผลไม้ที่เป็นของสงฆ์ ก็มีนัยเหมือนกันนี้.
               เมื่อภิกษุให้ผลมะม่วงสุกเป็นต้นที่เขากำหนดไว้เพื่อประโยชน์แก่เสนาสนะ เพื่อต้องการแก่การสงเคราะห์ตระกูล เป็นทุกกฏ, 
               เมื่อให้เพราะความที่ตนมีอิสระ เป็นถุลลัจจัย, เมื่อให้ด้วยไถยจิต เป็นปาราชิก. ถ้าวัตถุแห่งปาราชิกยังไม่พอ พึงปรับอาบัติตามราคา (สิ่งของ).
               เมื่อภิกษุนั่งฉันอยู่ภายนอกอุปจารสีมา เพราะความที่ตนมีอิสระ ก็เป็นสินใช้. ผลไม้ที่ภิกษุเคาะระฆังประกาศเวลา แล้วขบฉันด้วยทำในใจว่า ของนี้ถึงแก่เรา ดังนี้ก็เป็นอันขบฉันดีแล้ว. ผลไม้ที่ภิกษุไม่เคาะระฆัง เป็นแต่ประกาศเวลาอย่างเดียวแล้ว ฉันก็ดี เคาะระฆังอย่างเดียวแต่ไม่ประกาศเวลา ฉันก็ดี ไม่เคาะทั้งระฆังไม่ประกาศทั้งเวลา ฉันก็ดี รู้ว่าไม่มีภิกษุเหล่าอื่นแล้ว ฉันด้วยคิดว่า ผลไม้นี้ถึงแก่เรา ดังนี้ก็ดีเป็นอันฉันดีแล้วเหมือนกัน.
               เรื่องสวนดอกไม้ ๒ เรื่อง ปรากฏชัดแล้วทีเดียว.
               ใน ๓ เรื่องของภิกษุผู้พูดตามคำบอก มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               สองบทว่า วุตฺโต วชฺเชมิ ความว่า ผมเป็นผู้อันท่านบอกแล้ว จะบอกตามคำของท่าน.
               หลายบทว่า อนาปตฺติ ภิกฺขุ ปาราชิกสฺส ความว่า ผ้าสาฎกอันพวกเจ้าของถวายแล้ว จึงไม่เป็นอาบัติ.
               หลายบทว่า น จ ภิกฺขเว วุตฺโต วชฺเชมีติ วตฺตพฺโพ ความว่า ภิกษุรูปอื่นอันภิกษุอีกรูปหนึ่ง ไม่พึงกล่าวอย่างนี้ว่า  ผมเป็นผู้อันท่านบอกแล้ว จะบอกตามคำของท่าน. ก็ภิกษุจะทำความกำหนด พูดว่า ผมจักถือเอาผ้าสาฎกอันนี้ตามคำของท่าน ควรอยู่.
               สองบทว่า วุตฺโต วชฺเชหิ ความว่า ท่านเป็นผู้อันผมบอกแล้วจงบอกตามคำของผม. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. ภิกษุจะทำความกำหนดพูดใน ๒ เรื่องแม้นี้ ก็ควร. 
               จริงอยู่ ภิกษุย่อมเป็นผู้พ้นจากการข้อนขอด ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล.
               ในเรื่องซึ่งมีอยู่ท่ามกลางแห่งเรื่องแก้วมณี ๓ เรื่อง มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               สองบทว่า นาหํ อกลฺลโก  ความว่า ผมหาได้เป็นผู้อาพาธไม่.      คำที่เหลือปรากฎชัดแล้วทีเดียว.
               ในเรื่องสุกร ๒ เรื่อง พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :-
               ชื่อว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุรูปที่หนึ่ง เพราะค่าที่เธอเห็นว่า มันมีความหิวครอบงำ แล้วปล่อยไปด้วยความเป็นผู้มีกรุณา แม้โดยแท้, ถึงกระนั้น เมื่อพวกเจ้าของไม่ยินยอม ย่อมเป็นภัณฑไทย, ควรจะนำสุกรที่ตายที่ใหญ่เท่านั้นมาใช้ให้ หรือให้สิ่งของที่มีราคาเท่านั้นก็ได้. ถ้าเธอไม่เห็นพวกเจ้าของบ่วงแม้ในที่ไหนๆ พึงวางผ้ากาสาวะหรือถาดซึ่งมีราคาเท่านั้น ไว้ในที่ซึ่งพวกเจ้าของนั้นมาแล้วจะเห็นได้โดยรอบแห่งบ่วง แล้วจึงไป. แต่เป็นปาราชิกแก่ภิกษุผู้ปล่อยไปด้วยไถยจิตแท้.
               ก็บรรดาสุกรเหล่านี้ สุกรบางตัวเอาเท้าดึงบ่วง พอบ่วงขาดแล้ว ยืนอยู่ด้วยกิริยายืนซึ่งมีอันให้เคลื่อนจากฐานได้เป็นธรรมดา เหมือนเรือที่ผูกไว้ที่กระแสน้ำเชี่ยวฉะนั้น บางตัวยืนอยู่ตามธรรมดาของตน, บางตัวนอน, บางตัวเป็นสัตว์อันบ่วงโกงมัดไว้แล้ว.
               ที่ชื่อว่าบ่วงโกง ได้แก่ บ่วงที่มีไม้คันธนู หรือขอ หรือท่อนไม้อื่นบางอย่าง ติดไว้ที่ปลาย, และเป็นบ่วงที่คล้องไว้
ที่ต้นไม้เป็นต้น ในที่นั้นๆ กันมิให้สุกรเดินไปได้.
               ในสุกรเหล่านั้น สุกรที่ดึงบ่วงยืนอยู่มีฐานเดียวเท่านั้น คือที่ผูกบ่วง.
               จริงอยู่ สุกรนั้นเมื่อบ่วงหลุด หรือพอบ่วงขาด ย่อมหนีไปได้.
               สุกรที่ยืนอยู่ตามธรรมดาของตนมีฐาน ๕ คือที่ผูกและเท้าทั้ง ๔. สุกรที่นอนอยู่มีฐาน ๒ คือ ที่ผูก ๑ ที่นอน ๑. สุกรที่ติดบ่วง มันไปในที่ใดๆ ที่นั้นๆ แลเป็นฐาน. เพราะเหตุนั้น ภิกษุ ๑๐ รูปก็ดี ๒๐ รูปก็ดี ๑๐๐ รูปก็ดี เมื่อปล่อยสุกรนั้นพ้นไปจากฐานนั้นๆ ย่อมต้องปาราชิกเหมือนภิกษุหลายรูปเห็นทาสคนเดียวเท่านั้นมาแล้วในที่นั้นๆ แล้วให้หนีไปเสีย ต้องปาราชิก ฉะนั้น.
               ส่วนการให้สุกรทั้ง ๓ ข้างต้นดิ้นรนไปและให้เคลื่อนจากฐาน พึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้แล้วในกถาว่าด้วยสัตว์ ๔ เท้า. แม้เมื่อภิกษุให้ปล่อยสุกรที่สุนัขกัดไปด้วยการุญญาธิบาย เป็นภัณฑไทย, ด้วยไถยจิต เป็นปาราชิก. แต่ไม่เป็นอวหารแก่ภิกษุผู้เดินสวนทางไป แล้วยังสุกรซึ่งยังไม่ทันถึงที่ตั้งบ่วง หรือที่ใกล้สุนัข ให้หนีไปเสียก่อน.
           แม้ภิกษุรูปใดให้เหยื่อและน้ำแก่สุกรที่ติดแล้ว ให้มันได้กำลังแล้วทำการตะเพิด ด้วยตั้งใจว่า มันจักตกใจ แล้วหนีไปเสีย, ถ้ามันหนีไป ภิกษุนั้นต้องปาราชิก. แม้เมื่อภิกษุทำบ่วงให้ชำรุด แล้วไล่ให้หนีไปด้วยเสียงตะเพิด ก็มีนัยเหมือนกันนี้.
               ฝ่ายภิกษุใดให้เหยื่อและน้ำแล้วไปเสีย ด้วยทำในใจว่า มันจักได้กำลังแล้วหนีไปเสีย, ถ้ามันหนีไป เป็นภัณฑไทยแก่ภิกษุรูปนั้น. แม้เมื่อ
       ภิกษุทำบ่วงให้ชำรุดแล้วไปเสีย ก็มีนัยเหมือนกันนี้.
     ภิกษุวางมีดหรือก่อไฟไว้ใกล้บ่วง ด้วยคิดว่า เมื่อบ่วงถูกมีดตัดขาด หรือถูกไฟไหม้ มันจักหนีเอง. สุกรให้บ่วงเคลื่อนไปมา แล้วหนีไปได้ ในเมื่อบ่วงถูกตัดขาดหรือถูกไฟไหม้ เป็นภัณฑไทยแก่ภิกษุรูปนั้นโดยแท้. ภิกษุทำให้บ่วงพร้อมทั้งคันล้มลง ภายหลังสุกรเหยียบย่ำบ่วงนั้นไปเสีย เป็นภัณฑไทย.
               สุกรเป็นสัตว์ถูกหินฟ้าถล่มทั้งหลายทับแล้ว. เมื่อภิกษุใคร่จะให้สุกรนั้นหนีไป จึงยกฟ้าถล่มขึ้นด้วยความกรุณา เป็นภัณฑไทย, ยกขึ้นด้วยไถยจิต เป็นปาราชิก. ถ้าเมื่อฟ้าถล่มนั้น พอภิกษุยกขึ้นแล้ว สุกรยังไม่ไป ภายหลังจึงไป เป็นภัณฑไทยเท่านั้น. ภิกษุยังฟ้าถล่มที่เขายกขึ้นค้างไว้ให้ตกลง, ภายหลัง สุกรเหยียบฟ้าถล่มนั้นไปเสีย เป็นภัณฑไทย.
               เมื่อภิกษุช่วยยกขึ้น แม้ซึ่งสุกรที่ตกหลุมพรางแล้วด้วยความกรุณา เป็นภัณฑไทย, ยกขึ้นด้วยไถยจิต เป็นปาราชิก. ภิกษุยังหลุมพรางให้เต็ม ให้ใช้ไม่ได้, ภายหลังสุกรเหยียบย่ำหลุมพรางนั้นไปเสีย เป็นภัณฑไทย. ภิกษุช่วยสุกรที่ถูกหลาวแทงแล้ว ด้วยความกรุณา เป็นภัณฑไทย, ยกขึ้นด้วยไถยจิต เป็นปาราชิก. ภิกษุซักหลาวทิ้งเสีย เป็นภัณฑไทย.
               อนึ่ง เมื่อพวกชาวบ้านดักบ่วงหรือฟ้าถล่มไว้ในพื้นที่วัด ภิกษุควรห้ามว่า ที่นี้เป็นสถานที่พึ่งอาศัยของพวกเนื้อ, พวกท่านอย่าทำอย่างนี้ในที่นี้เลย ถ้าพวกเขากล่าวว่า ท่านจงให้นำออกไปเสียขอรับ ภิกษุจะให้นำออกไปเสีย ก็ควร. ถ้าเขานำออกไปเสียเอง เป็นความดีแท้.
               ถ้าเจ้าของเขาไม่นำออกไปเอง ทั้งไม่ยอมให้ผู้อื่นนำออก, จะขออารักขาแล้วให้นำออกเสีย ก็ควร.
               ในเวลารักษาข้าวกล้า พวกชาวบ้านย่อมทำบ่วงและเครื่องดักสัตว์ทั้งหลายมีฟ้าถล่มเป็นต้นไว้ในนา ด้วยพูดว่า พวกเราจักรักษาข้าวกล้า กินเนื้อไปด้วย. ครั้นฤดูข้าวกล้าผ่านไปแล้ว เมื่อพวกเขาไม่มีความอาลัย หลีกไป ภิกษุจะปล่อยสุกรที่ติดหรือที่ตกแล้ว ในบ่วงและฟ้าถล่มเป็นต้นนั้นควรอยู่.
               วินิจฉัยแม้ในเรื่องเนื้อ ๒ เรื่องก็เป็นเช่นกับที่กล่าวไว้แล้วในเรื่องสุกรนั่นเอง.             แม้ในเรื่องปลา ๒ เรื่องก็มีนัยเหมือนกันนี้.
       ส่วนความแปลกกัน มีดังต่อไปนี้ :-
             เมื่อภิกษุเปิดปากไซออก ภายหลังจึงแก้กระพุ้งออก หรือทำเป็นช่องไว้ที่ข้าง แล้วเคาะให้ปลาหนีออกไปจากไซ เป็นปาราชิก. เป็นปาราชิกแม้แก่ภิกษุผู้แสดงเมล็ดข้าวสุกนั่นแลล่อปลาให้หนีไป. เมื่อยกปลาขึ้นพร้อมทั้งไซ ก็เป็น
ปาราชิก.
               ภิกษุเปิดปากไซออกอย่างเดียว ภายหลังจึงแก้กระพุ้งออก หรือทำเป็นช่องไว้, และปลาทั้งหลายก็หนีไปตามธรรมดาของตน เป็นภัณฑไทย.
               ภิกษุทำไว้อย่างนี้แล้ว จึงแสดงเมล็ดข้าวสุกล่อปลา ปลาทั้งหลายหนีออกไป เพื่อต้องการอาหาร เป็นภัณฑไทยเหมือนกัน.
               ภิกษุเปิดปาก (ไซ) ออกแล้ว ภายหลังไม่ได้แก้กระพุ้งออก ทั้งไม่ได้ทำเป็นช่องไว้ที่ข้าง เอาแต่เมล็ดข้าวสุกแสดงล่ออย่างเดียว, ส่วนปลาทั้งหลาย เพราะถูกความหิวครอบงำ จึงเอาศีรษะกระแทกทำช่องแล้ว หนีออกไป เพื่อต้องการอาหาร เป็นภัณฑไทยเหมือนกัน.
               ภิกษุเปิดปากไซเปล่าไว้ หรือภายหลังแก้กระพุ้งออก
 หรือทำเป็นช่องไว้, ปลาทั้งหลายที่ว่ายมาแล้วๆ ถึงประตูแล้วก็หนีไปทางกระพุ้งและช่อง เป็นภัณฑไทยเหมือนกัน.
               ภิกษุจับไซเปล่าโยนไปไว้บนพุ่มไม้ เป็นภัณฑไทยเหมือนกัน ฉะนี้แล.
               ภัณฑะบนยาน ก็เป็นเช่นกับภัณฑะในถุงที่วางไว้บนตั่ง.
    ในเรื่องชิ้นเนื้อ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ถ้าภิกษุรับเอา (ชิ้นเนื้อ) ในอากาศที่ๆ ภิกษุรับเอานั่นเองเป็นฐาน. พึงกำหนดฐานนั้นด้วยอาการ ๖ แล้วทราบการให้เคลื่อนจากฐาน. คำที่เหลือในเรื่องชิ้นเนื้อนี้ และในเรื่องแพไม้ เรื่องคนเลี้ยงโค กับเรื่องผ้าสาฎกของช่างย้อม พึงวินิจฉัยโดยนัยแห่งเรื่องมีเรื่องพวกขโมยลักมะม่วงเป็นต้น.
               ในเรื่องหม้อ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ภิกษุใดถือเอาเนยใสและน้ำมันเป็นต้นซึ่งมีราคาไม่ถึงบาท ด้วยทำในใจว่า เราจักไม่ทำอย่างนี้อีก ตั้งอยู่ในสังวร แม้ในวันที่สองเป็นต้น เมื่อเกิดความคิดขึ้นอีก ก็ทำการทอดธุระเหมือนอย่างนั้นนั่นแล ขณะฉันก็ฉันเนยใสและน้ำมันเป็นต้นนั้นแม้ทั้งหมด, ไม่เป็นปาราชิกเลย, เธอย่อมต้องทุกกฏหรือถุลลัจจัย และเป็นภัณฑไทยด้วย. ภิกษุแม้นี้ก็ได้ทำอย่างนั้นเหมือนกัน. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก. ก็เมื่อภิกษุไม่ทำการทอดธุระ แต่ฉันเนยใสและน้ำมันเป็นต้นนั้น แม้ทีละน้อยๆ ด้วยตั้งใจว่า เราจักฉันทุกวันๆ ดังนี้, ในวันใดมีราคาเต็มบาท, ในวันนั้นเป็นปาราชิก.
               เรื่องชักชวนกันลัก พึงทราบตามนัยแห่งการวินิจฉัยที่กล่าวแล้วในสังวิธาวหาร.       เรื่องกำมือ พึงทราบตามนัยแห่งการวินิจฉัยที่กล่าวแล้ว ในเรื่องทั้งหลายมีเรื่องร้านขายข้าวสุกเป็นต้น, เรื่องเนื้อเดน ๒ เรื่อง พึงทราบตามนัยแห่งการวินิจฉัยที่กล่าวแล้วใน เรื่องทั้งหลายมีเรื่องขโมยลักมะม่วงเป็นต้น.  เรื่องหญ้า ๒ เรื่องมีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.
               ในเรื่องทั้งหลายมีเรื่องให้แบ่งมะม่วงเป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
 ภิกษุเหล่านั้นได้ไปยังอาวาสใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งมีกำหนดจำนวนภิกษุไว้. พวกภิกษุผู้อยู่ในอาวาสแห่งนั้นนั่นแหละ แม้เมื่อจะฉันผลไม้น้อยใหญ่ ในเมื่อพระอาคันตุกะเหล่านั้นมาแล้ว ไม่ได้บอกกัปปิยการกว่า พวกเธอจงถวายผลไม้แก่พระเถระทั้งหลาย. คราวนั้น ภิกษุเหล่านั้นจึงกล่าวว่า มะม่วงของสงฆ์ ไม่ถึงแก่พวกกระผมหรือ?
 จึงให้เคาะระฆังแจกกัน ได้ถวายส่วนแก่ภิกษุเจ้าถิ่นแม้เหล่านั้น ตามลำดับพรรษา แม้ตนเองก็ฉัน. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสแก่พระอาคันตุกะเหล่านั้นว่า ภิกษุทั้งหลาย เพื่อต้องการฉัน ไม่เป็นอาบัติ. เพราะเหตุนั้น บัดนี้ ในอาวาสใด ภิกษุเจ้าของถิ่นไม่ถวายแก่พวกภิกษุอาคันตุกะ และเมื่อถึงหน้าผลไม้ เห็นว่าภิกษุอาคันตุกะเหล่าอื่นไม่มีตนเองก็ฉันเสียด้วยกิริยาที่เป็นโจร, การที่พวกภิกษุอาคันตุกะเคาะระฆังขึ้นแล้ว แจกกันฉันในอาวาสเช่นนั้น ย่อมควร.
       ส่วนในต้นไม้ใด พวกภิกษุเจ้าของถิ่นรักษาต้นไม้ทั้งหลาย เมื่อถึงหน้าผลไม้ก็แจกกันฉัน ทั้งนำไปใช้ในปัจจัย ๔ โดยชอบ, พวกภิกษุอาคันตุกะไม่มีอิสระในต้นไม้นั้น. ต้นไม้แม้เหล่าใดที่ทายกกำหนดถวายไว้ เพื่อประโยชน์แก่จีวร, พวกภิกษุอาคันตุกะไม่มีอิสระในต้นไม้แม้เหล่านั้น.
               แม้ในต้นไม้ทั้งหลายที่ทายกกำหนดถวายไว้เพื่อประโยชน์แก่ปัจจัยที่เหลือ ก็มีนัยเหมือนกันนี้.
               ส่วนต้นไม้เหล่าใดที่ทายกไม่ได้กำหนดไว้อย่างนั้น และพวกภิกษุเจ้าถิ่นก็รักษาปกครองต้นไม้เหล่านั้นไว้ ทั้งฉันอยู่ด้วยกิริยาที่เป็นโจร๑-, ในต้นไม้เหล่านั้น พระอาคันตุกะทั้งหลายไม่ควรตั้งอยู่ในข้อกติกาของพวกภิกษุเจ้าถิ่น. ต้นไม้เหล่าใดที่ทายกถวายไว้เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่การบริโภคผล และพวกภิกษุเจ้าถิ่นก็รักษาปกครองต้นไม้เหล่านั้นไว้ นำไปใช้สอยโดยชอบ, ในต้นไม้เหล่านั้นนั่นแหละ พระอาคันตุกะทั้งหลายควรตั้งอยู่ในข้อกติกาของพวกภิกษุเจ้าถิ่นเหล่านั้น.
๑- ประโยชน์นี้ อัตถโยชนา ๑/๓๕๔... เนว รกฺขิตฺวา น โคปิตฺวา โจรกาย ปริภุญฺชนฺติ แปลว่า ... ทั้งไม่ได้รักษาไม่ได้คุ้มครอง ฉันด้วยกิริยาโจร.
             ส่วนในมหาปัจจรี ท่านกล่าวไว้ว่า ภิกษุเมื่อฉันผลไม้ ที่ทายกกำหนดถวายไว้เพื่อปัจจัย ๔ ด้วยไถยจิต พึงให้ตีราคา
สิ่งของปรับอาบัติ, เมื่อแจกกันฉันด้วยอำนาจการบริโภค เป็นภัณฑไทย,  ก็บรรดาผลไม้เหล่านี้ เมื่อภิกษุแจกกันฉันผลไม้ที่ทายกกำหนดไว้เพื่อประโยชน์แก่เสนาสนะ ด้วยอำนาจการบริโภค.  เป็นถุลลัจจัยด้วย เป็นภัณฑไทยด้วย.
               ผลไม้ที่ทายกอุทิศถวายไว้เพื่อประโยชน์แก่จีวร ควรน้อมเข้าไปในจีวรเท่านั้น. ถ้าเป็นวัดที่มีภิกษาหาได้โดยยาก ภิกษุทั้งหลายย่อมลำบากด้วยบิณฑบาต, ส่วนจีวรหาได้ง่าย จะทำอปโลกนกรรมเพื่อความเห็นชอบแห่งสงฆ์ แล้วน้อมเข้าไปในบิณฑบาต ก็ควร.
               เมื่อลำบากอยู่ด้วยเสนาสนะหรือคิลานปัจจัย จะทำอปโลกนกรรมเพื่อความเห็นชอบแห่งสงฆ์ แล้วน้อมเข้าไปเพื่อประโยชน์  แก่เสนาสนะและคิลานปัจจัยนั้น ก็ควร.
               แม้ในผลไม้ที่ทายกอุทิศถวายไว้เพื่อประโยชน์แก่บิณฑบาต และเพื่อประโยชน์แก่คิลานปัจจัย ก็มีนัยเหมือนกันนี้.
        ส่วนสิ่งของที่ทายกอุทิศถวายไว้เพื่อประโยชน์แก่เสนาสนะ เป็นครุภัณฑ์, ควรรักษาปกครองสิ่งนั้นไว้ แล้วน้อมเข้าไปเพื่อประโยชน์แก่เสนาสนะนั้นเท่านั้น. ก็ถ้าเป็นวัดที่ภิกษาหาได้โดยยาก, ภิกษุทั้งหลายจะเลี้ยงอัตภาพให้เป็นไปด้วยบิณฑบาตไม่ได้, ในวัดหรือรัฐนี้ วิหารของพวกภิกษุผู้อพยพไปในที่อื่น เพราะราชภัย โรคภัยและโจรภัยเป็นต้น ย่อมชำรุดไป, ชนเหล่าอื่นย่อมทำต้นตาลและต้นมะพร้าวเป็นต้นให้เสียหายไป, 
   ส่วนภิกษุอาศัยเสนาสนปัจจัยแล้ว ย่อมอาจเลี้ยงอัตภาพให้เป็นไปได้, ในกาลเห็นปานนี้ แม้จำหน่ายเสนาสนะแล้วบริโภค เพื่อประโยชน์แก่การรักษาเสนาสนะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้แล้ว. เพราะฉะนั้น เว้นเสนาสนะที่ดีไว้ หนึ่งหลังหรือสองหลัง เสนาสนะนอกนี้ ตั้งต้นแต่เสนาสนะเลวที่สุด จะจำหน่ายเพื่อประโยชน์แก่บิณฑบาต ก็ควร, แต่ไม่ควรน้อมเข้าไปทำให้วัตถุที่เป็นมูลเดิมขาด.
         ส่วนในสวนที่ทายกกำหนดถวายไว้เพื่อประโยชน์แก่ปัจจัย ๔ ไม่ควรทำอปโลกนกรรม, แต่จะน้อมเข้าไปเพื่อประโยชน์แก่ปัจจัยที่ยังพร่องอยู่ ย่อมสมควร. ควรรักษาสวนไว้ แม้จะจ่ายสินจ้างไปให้รักษาไว้ ก็ควร.
  ส่วนชนเหล่าใดได้รับสินจ้าง สร้างเรือนอยู่รักษาในสวนนั่นเอง, ถ้าชนเหล่านั้นถวายมะพร้าวหรือผลตาลสุกแก่ภิกษุทั้งหลายผู้มาแล้ว, ชนผู้รักษาสวนเหล่านั้นย่อมได้เพื่อถวายผลไม้ เฉพาะที่สงฆ์อนุญาตแก่พวกเขาว่า พวกเธอจะกินผลไม้มีประมาณเท่านี้ได้ทุกวัน ดังนี้. การที่ภิกษุจะรับเอาผลไม้ของชนเหล่านั้น แม้ผู้ถวายมากยิ่งขึ้นไปกว่าผลไม้ที่สงฆ์อนุญาตนั้น ย่อมไม่ควร.
  ส่วนผู้ใดได้รับเช่าสวนแล้ว ย่อมถวายเฉพาะกัปปิยภัณฑ์เท่านั้นแก่สงฆ์ เพื่อประโยชน์แก่ปัจจัย ๔, ผู้นี้ย่อมได้เพื่อถวายผลไม้แม้มาก. แม้สวนที่ทายกถวายไว้แก่พระเจดีย์ เพื่อประโยชน์แก่ประทีป หรือเพื่อต้องการปฏิสังขรณ์สิ่งที่ชำรุดหักพัง สงฆ์ควรรักษาไว้, ถึงจะจ่ายสินจ้างไปบ้าง ก็ควรให้รักษาไว้.
               ก็แลในสวนที่ทายกถวายไว้แก่พระเจดีย์นี้ จะจ่ายสินจ้างที่เป็นของเจดีย์บ้าง ที่เป็นของสงฆ์บ้าง ควรอยู่. การถวายผลไม้ที่เกิดขึ้นในสวนนั้น (แก่ภิกษุทั้งหลายผู้มาแล้วๆ) ของพวกชนผู้พักอยู่ในสวนนั้นนั่นเอง รักษาสวนแม้นั้นอยู่ด้วยสินจ้าง และของพวกชนผู้รับเช่าสวน แล้วถวายแต่กัปปิยภัณฑ์ (แก่สงฆ์) พึงทราบโดยนัยดังที่กล่าวแล้วนั้นนั่นแล.
               ใน๑- คำนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ต้องอาบัติ เพราะคนรักษาถวาย ซึ่งมีอยู่ในเรื่องทั้งหลายมีเรื่องคนรักษามะม่วงเป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ถามว่า คนรักษาถวายเท่าไร จึงควร? ถวายเท่าไร ไม่ควร?
               แก้ว่า พระมหาสุมัตเถระกล่าวไว้ก่อนว่า ผลไม้ใดซึ่งคนรักษากำหนดถวายด้วยคำว่า พระคุณเจ้าจงถือเอาผลไม้มีประมาณเท่านี้ทุกวันๆ ผลไม้นั้นนั่นแหละย่อมควร เขาถวายเกินไปกว่านั้นไม่ควร. ส่วนพระมหาปทุมเถระกล่าวไว้ว่า หนังสือที่พวกคนรักษาเขียนไว้ หรือทำสัญญาเครื่องหมายถวายไว้ จะมีประโยชน์อะไร? คนรักษาเหล่านั้นก็เป็นอิสระแห่งผลไม้ที่เขาสละแล้วในมือของพวกเขา เพราะเหตุนั้น ผลไม้ซึ่งคนรักษาเหล่านั้นถวายแม้มากก็ควร.๑- แปลตามอัตถโยชนา ๑/๓๕๕-๓๕๖.
               ส่วนในอรรถกถากุรุนที ท่านกล่าวว่า พวกเด็กหนุ่มของชาวบ้านย่อมรักษาสวน หรือผลไม้น้อยใหญ่อย่างอื่นไว้, ผลไม้น้อยใหญ่ที่เด็กหนุ่มเหล่านั้นถวาย ย่อมควร, แต่ภิกษุไม่ควรใช้ให้พวกเด็กนำมาแล้วจึงรับ, การถวายผลไม้ของชนผู้รับเช่ารักษาสวนของสงฆ์และของเจดีย์นั่นแหละ ย่อมควร, การถวายของชนผู้รักษาด้วยสินจ้างเพียงส่วนของตน จึงควร.
  ในมหาปัจจรีท่านกล่าวว่า พวกลูกจ้างผู้รักษาสวนของคฤหัสถ์ถวายผลไม้ใดแก่ภิกษุทั้งหลาย ผลไม้นั้นย่อมควร, พวกคนผู้รักษาสวนของภิกษุสงฆ์ แบ่งผลไม้ใดจากค่าจ้างของตนถวาย ผลไม้นั้นก็สมควร, แม้ผู้ใดได้รับค่าจ้างแล้วจึงรักษาสวนเพียงกึ่งหนึ่ง หรือต้นไม้บางชนิดเท่านั้น, การถวายผลไม้จากต้นไม้ที่ถึงแก่ตนนั่นเองแม้ของผู้นั้น ก็ควร, แต่สำหรับชนผู้รับเช่ารักษาสวนจะถวายผลไม้ทั้งหมด ก็ควร.    ก็คำที่ท่านกล่าวมานั่นทั้งหมดต่างกันแต่โดยพยัญชนะ โดยอรรถก็เป็นอันเดียวกันนั่นเอง เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาควรทราบความอธิบายแล้ว จึงถือเอา.
               ในเรื่องไม้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
     หลายบทว่า ตาวกาลิโก อนํ ภควา ความว่า ภิกษุนั้นใคร่จะกราบทูลว่าข้าพระองค์มีความคิดจะขอยืมพระพุทธเจ้าข้าดังนี้ จึงได้กราบทูลแล้ว.
               คำว่า ตาวกาลิกจิตฺโต นี้ ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ข้าพระพุทธเจ้ามีความคิดอย่างนี้ว่า จักนำมาคืนให้อีก. พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสว่า เธอไม่เป็นอาบัติ เพราะขอยืม.
               ก็ในเรื่องไม้นี้มีวินิจฉัยที่พ้นจากบาลี ดังต่อไปนี้ :-
             ถ้าสงฆ์ใช้ให้ภิกษุทำการงานของสงฆ์ จะเป็นโรงอุโบสถหรือหอฉันก็ตาม, ภิกษุต้องถามการกสงฆ์เสียก่อน จึงควรขอยืมไป จากไม้ที่เป็นทัพสัมภาระ ซึ่งเก็บไว้เพื่อสร้างโรงอุโบสถเป็นต้นนั้น.
               ส่วนทัพสัมภาระที่เป็นของสงฆ์อันใดไม่ได้คุ้มครองไว้ ย่อมเปียกในเมื่อฝนตก ทั้งแห้งเพราะแดดเผา, ภิกษุจะนำทัพสัมภาระแม้ทั้งหมดนั้นมาสร้างเป็นที่อยู่ของตน ก็ควร, เมื่อสงฆ์ให้นำคืนมา ควรตกลงยินยอมกันด้วยทัพสัมภาระ หรือด้วยมูลค่าอย่างอื่น. ถ้าไม่อาจตกลงยินยอมกันได้, เธอควรจะกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เสนาสนะที่ผมสร้างด้วยทัพสัมภาระของสงฆ์, ขอท่านทั้งหลายจงใช้สอยโดยบริโภค เป็นของสงฆ์เถิด. แต่ภิกษุนี้เท่านั้นเป็นอิสระแห่งเสนาสนะแล. แม้ถ้าเสาหินก็ดี เสาไม้ก็ดี บานประตูก็ดี หน้าต่างก็ดี ไม่เพียงพอไซร้, จะขอยืมของสงฆ์ทำให้เป็นปกติ ก็ควร. ในทัพสัมภาระแม้อย่างอื่น ก็มีนัยเหมือนกันนี้.
               ในเรื่องน้ำ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ในกาลใด น้ำย่อมเป็นของหาได้ยาก ในกาลนั้น เขาย่อมนำน้ำมาไกลโยชน์หนึ่งบ้าง กึ่งโยชน์บ้าง, ในน้ำที่เขาหวงแหนเห็นปานนั้น ย่อมเป็นอวหาร.
               พวกชนย่อมปรุงข้าวต้มและข้าวสวยให้สำเร็จได้แม้ด้วยน้ำใดที่เขานำมา หรือที่ขังอยู่ในชลาลัยทั้งหลายมีสระโปกขรณีเป็นต้น ทั้งทำเป็นน้ำดื่มและน้ำใช้อย่างเดียว หาได้ทำเป็นน้ำสำหรับใช้สอยอย่างเหลือเฟืออย่างอื่นไม่, เมื่อภิกษุถือเอาน้ำแม้นั้นด้วยไถยจิต ย่อมเป็นอวหาร.
               ส่วนภิกษุถือเอาน้ำหนึ่งหม้อหรือสองหม้อจากน้ำใด ย่อมได้เพื่อล้างอาสนะ รดต้นโพธิ์ ทำการบูชาด้วยน้ำ (และ) เพื่อต้มน้ำย้อม ควรปฏิบัติในน้ำนั้น ด้วยอำนาจแห่งข้อกติกาของสงฆ์ทีเดียว. ภิกษุผู้รับเอาน้ำมากเกินไป หรือใส่วัตถุทั้งหลายมีดินเหนียวเป็นต้นปนลงด้วยไถยจิต พระวินัยธรพึงให้ตีราคาสิ่งของปรับอาบัติ.
     ถ้าพวกภิกษุเจ้าของถิ่นทำข้อกติกาวัตรไว้อย่างมั่นคง ไม่ยอมให้ภิกษุเหล่าอื่นใช้ล้างสิ่งของ หรือใช้ย้อมผ้า แต่ตนเองถือเอาทำกิจทุกอย่าง เมื่อภิกษุเหล่าอื่นไม่เห็น พวกภิกษุอาคันตุกะไม่ต้องตั้งอยู่ในข้อกติกาของภิกษุเจ้าถิ่นเหล่านั้น พึงใช้ล้างสิ่งของมีประมาณเท่ากับที่ภิกษุเจ้าของถิ่นใช้ล้าง.
               ถ้าสงฆ์มีสระโปกขรณีหรือมีบ่อน้ำอยู่สองสามแห่งไซร้ และสงฆ์ก็ทำข้อกติกาไว้ว่า ภิกษุทั้งหลายควรสรงน้ำในสระโปกขรณีและบ่อน้ำนี้, ควรรับเอาน้ำดื่มจากที่นี้, ควรทำการใช้สอยกิจทุกอย่างในสระโปกขรณีและบ่อน้ำนี้ พวกภิกษุอาคันตุกะควรทำกิจทั้งหมดด้วยข้อกติกาวัตรนั่นแล. ในสระโบกขรณีเป็นต้นใด ไม่มีข้อกติกา, การใช้สอยกิจทุกอย่างในสระโปกขรณีเป็นต้นนั้น ย่อมควร ฉะนี้แล.
      ในเรื่องดินเหนียว มีวินิจฉัยดังนี้ :-
          ในที่ใด ดินเหนียวเป็นของหาได้ยากหรือดินเหนียวมีสีมีประการต่างๆ อันพวกชนขนมากองไว้, ในที่นั้นแม้ดินเหนียวนิดหน่อยก็มีราคาถึง ๕ มาสก เพราะเหตุนั้น จึงเป็นปาราชิก.
               อนึ่ง เมื่อการงานของสงฆ์และการงานในพระเจดีย์สำเร็จแล้ว การที่ภิกษุถามสงฆ์เสียก่อน จึงถือเอาหรือขอยืมเอา ควรอยู่.
               ในปูนขาวก็ดี ในจิตรกรรมและวรรณกรรมก็ดี ก็มีนัยเหมือนกันนี้.
ในเรื่องหญ้าทั้งหลาย มีวินิจฉัยดังนี้:-
               ในหญ้าที่ภิกษุเอาไฟเผาเป็นทุกกฏ เพราะไม่มีการให้เคลื่อนจากฐาน แต่เป็นภัณฑไทย. สงฆ์รักษาพื้นที่ที่ปลูกหญ้าไว้ แล้วใช้หญ้านั้นมุงที่อยู่ของสงฆ์, บางคราวสงฆ์ย่อมไม่อาจรักษาได้อีก. ครั้งนั้น มีภิกษุอีกรูปหนึ่งรักษาไว้ด้วยมุ่งวัตรเป็นใหญ่. หญ้านั่นเป็นของสงฆ์เหมือนกัน. ถ้าไม่มีใครรักษา สงฆ์ควรสั่งภิกษุรูปหนึ่งว่า ท่านจงช่วยรักษาให้ที. ถ้าเธอรูปนั้นปรารถนาส่วนแบ่งไซร้ สงฆ์แม้จะต้องเสียส่วนแบ่งให้ ก็ควรให้เธอรูปนั้นรักษา. ถ้าเธอขอเพิ่มส่วนแบ่งไซร้ สงฆ์ควรให้โดยแท้. ภิกษุขอเพิ่มเติมขึ้นอีก สงฆ์ควรพูดว่า ท่านจงไปรักษาแล้วเอาหญ้าทั้งหมด มุงเสนาสนะของตนเถิด.
               เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า เมื่อหญ้าฉิบหาย ก็ไม่มีประโยชน์.
               แต่ภิกษุทั้งหลาย เมื่อจะให้ ไม่ควรให้พร้อมทั้งพื้นที่ที่เป็นครุภัณฑ์ ควรให้เพียงหญ้าเท่านั้น. เมื่อภิกษุรูปนั้นรักษาไว้แล้ว ใช้มุงเสนาสนะของตน, ถ้าสงฆ์ยังจะสามารถจะรักษาได้อีก, สงฆ์ควรจะพูดกะภิกษุรูปนั้นว่า ท่านไม่ต้องรักษา, สงฆ์จักรักษาเอง ดังนี้.
               ๗ เรื่องมีเรื่องเตียงเป็นต้น ปรากฏชัดแล้วแล.
               ก็เมื่อภิกษุลักเสาหินก็ดี เสาไม้ก็ดี หรือสิ่งของอะไรๆ อย่างอื่น แม้ที่ไม่ได้มาในพระบาลีซึ่งมีราคาถึงบาท เป็นปาราชิกเหมือนกัน.
               ในเรือนสำหรับทำความเพียรเป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               แม้เมื่อภิกษุพังฝาก็ดี กำแพงก็ดี แห่งสถานที่มีบริเวณเป็นต้นซึ่งถูกเจ้าของเขาทอดทิ้งเรี่ยราดไว้ แล้วลักเอาทัพ
สัมภาระมีอิฐเป็นต้นไป ก็มีนัยนั่นเหมือนกัน.
               เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า ภิกษุทั้งหลาย บางคราวย่อมอยู่ครอบครองเสนาสนะ ที่ชื่อว่าเป็นของสงฆ์ บางคราวก็ไม่อยู่ครอบครอง. แม้เมื่อภิกษุลักเอาบริขารบางอย่าง ในสถานที่ทั้งหลายมีวัดที่ถูกทอดทิ้งแล้วเป็นต้น ในเมื่อชาวชนบทอพยพหนีไป เพราะโจรภัยในชายแดน ก็มีนัยนั่นเหมือนกัน.
               ส่วนภิกษุเหล่าใดนำทัพสัมภาระไปใช้ชั่วคราว จากวัดที่เขาทอดทิ้งแล้วนั้น และในเมื่อวัดมีภิกษุกลับมาอยู่ ภิกษุทั้งหลายสั่งภิกษุเหล่านั้นให้นำมาคืน ควรให้คืน. แม้ถ้าเธอทั้งหลายนำสัมภาระไม้เป็นต้นจากวัดที่เขาทอดทิ้งแล้วนั้น มาสร้างเป็นเสนาสนะ, สิ่งของที่พวกเธอนำมานั้นหรือเสนาสนะที่มีราคาเท่ากับสิ่งของนั้น ควรให้คืนเหมือนกัน. เมื่อชาวชนบทยังไม่ตัดความอาลัย อพยพไปด้วยคิดว่า พวกเราจักกลับมาอยู่ครอบครองอีก, เสนาสนะที่เป็นของคณะหรือเป็นของบุคคล เป็นอันเขายังถือกรรมสิทธิ์อยู่. ถ้าเขาเหล่านั้นอนุญาตให้ ไม่มีกิจด้วยการทำคืน. ส่วนทัพสัมภาระของสงฆ์จัดเป็นครุภัณฑ์ เพราะฉะนั้น ควรจัดการให้คืนเหมือนกัน.          เรื่องเครื่องใช้สอยในวิหารมีเนื้อความกระจ่างทั้งนั้น.
               ในพระพุทธานุญาตนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้นำไปใช้ได้ชั่วคราว       ดังนี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
                ภิกษุใดยืมเตียงหรือตั่งของสงฆ์ไปใช้สอยโดยการใช้สอยอย่างของสงฆ์ หนึ่งเดือนบ้าง สองเดือนบ้าง ในสถานที่ผาสุกของตน. เมื่อภิกษุทั้งหลายผู้แก่กว่ามาแล้วก็ถวาย, ไม่นำกลับคืน. เมื่อเตียงและตั่งนั้นหายไปบ้าง ชำรุดไปบ้าง คนอื่นลักไปโดยความเป็นขโมยบ้าง ย่อมไม่เป็นสินใช้แก่ภิกษุรูปนั้น.
               แต่เมื่อเธออยู่แล้วจะไป ควรจะเก็บไว้ในที่เดิม.
     ส่วนภิกษุใดใช้สอยโดยการใช้สอยเป็นของบุคคล ไม่ได้ถวายแก่ภิกษุทั้งหลายผู้แก่กว่าซึ่งมาแล้วๆ (เมื่อเตียงและตั่งนั้นเสียหายไปบ้างชำรุดไปบ้าง คนอื่นลักไปโดยความเป็นขโมยบ้าง) ย่อมเป็นสินใช้แก่ภิกษุรูปนั้น.
               ในสังเขปอรรถกถา ท่านกล่าวไว้ว่า ก็ภิกษุผู้นำไปสู่อาวาสอื่นแล้วใช้สอย ถ้าในอาวาสนั้น ภิกษุผู้แก่กว่ามาบังคับให้ภิกษุนั้นออกไปเสีย ควรพูดว่า ผมนำเตียงและตั่งนี้มาจากอาวาสชื่อโน้น, ผมจะไป ผมจะจัดเตียงและตั่งนั้นให้เป็นปกติ. ถ้าภิกษุผู้แก่กว่านั้นพูดว่า ข้าพเจ้าจักจัดให้เป็นปกติเอง. แม้จะทำให้เป็นภาระของภิกษุผู้เฒ่านั้น ไปเสีย ก็ควร.
     ในเรื่องเมืองจัมปา มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ข้าวยาคูที่พวกชนใส่อปรัณชาติชนิดเอกอย่างใดอย่างหนึ่ง รวมกับน้ำมันงาและข้าวสาร แล้วปรุงด้วยวัตถุ ๓ อย่าง คือน้ำมันงา ข้าวสารและถั่วเขียว, หรือน้ำมันงา ข้าวสารและถั่วราชมาษ, หรือน้ำมันงา ข้าวสารและเยื่อถั่วพู ชื่อว่า เตกฏุละ๑- (ข้าวยาคูปรุงด้วยวัตถุ ๓ อย่าง).
               ได้ยินว่า พวกชนย่อมประกอบปรุงข้าวยาคู ชื่อเตกฏุละ นั่นด้วยวัตถุ ๓ อย่างมีเนยใส น้ำผึ้งและน้ำตาลกรวดเป็นต้นเหล่านี้ ในน้ำนมที่เดือดด้วยน้ำ ๔ ส่วน. ๑- บาลีเดิมเป็น เตกฏุลฺล.
   ในเรื่องเมืองราชคฤห์ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ขนมที่มีรสดียิ่ง ท่านเรียกว่าขนมรวงผึ้ง อาจารย์บางพวกกล่าวว่า รวงผึ้ง บ้าง. คำที่เหลือ แม้ใน ๒ เรื่องนี้ก็พึงทราบ
โดยนัยดังกล่าวแล้ว ในเรื่องแจกข้าวสุกนั่นแล.
      ในเรื่องพระอัชชุกะ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               บทว่า เอตทโวจ ความว่า คฤหบดีนั้นเป็นไข้ ได้สั่งไว้แล้ว.
               หลายบทว่า อายสฺมา อุปาลิ อายสฺมโต อชฺชุกสฺส ปกฺโข ความว่า
               ท่านพระอุบาลีหาใช่เป็นฝักฝ่าย (ของท่านพระอัชชกะนั้น) ด้วยอำนาจถึงความลำเอียงไม่ โดยที่แท้ บัณฑิตพึงทราบว่า พระเถระเป็นฝักฝ่าย (ของท่านพระอัชชุกะนั้น) ด้วยความอนุเคราะห์ผู้เป็นลัชชี และอนุเคราะห์พระวินัย เพราะรู้ว่าท่านไม่เป็นอาบัติ.
               คำที่เหลือในเรื่องพระอัชชุกะนี้ มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.
               ในเรื่องเมืองพาราณสี มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               สองบทว่า โจเรหิ อุปฺปทฺทุตํ ความว่า ถูกพวกโจรปล้นแล้ว.
               หลายบทว่า อิทฺธิยา อาเนตฺวา ปาสาเท ฐเปสิ ความว่า 
ได้ยินว่า พระเถระได้เห็นสกุลนั้นเพียบพร้อมอยู่ด้วยลูกศรคือความโศก วนเวียนกลับไปกลับมาอยู่ จึงได้อธิษฐานปราสาทของคนเหล่านั้นแล ด้วยฤทธิ์ของตนว่า จงปรากฏมีในที่ใกล้เด็กทั้งหลาย โดยความอนุเคราะห์ธรรม เพื่อความกรุณา เพื่อประโยชน์แก่การตามรักษาความเลื่อมใสแห่งสกุลนั้น.
               เด็กทั้ง ๒ ก็จำได้ว่า ปราสาทของพวกเรา จึงได้ขึ้นไป.
               ลำดับนั้น พระเถระได้คลายฤทธิ์แล้ว. แม้ปราสาทก็ได้ตั้งอยู่ในที่ของตนตามเดิม. แต่พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ด้วยอำนาจโวหารว่า พระเถระนำเด็ก ๒ คนนั้นมาด้วยฤทธิ์แล้วพักไว้ในปราสาท.
               บทว่า อิทฺธิวิสเย คือ ไม่เป็นอาบัติ เพราะอธิษฐานฤทธิ์เช่นนี้. ส่วนฤทธิ์ คือการแผลงต่างๆ ย่อมไม่ควร ฉะนี้แล.
               ๒ เรื่องในที่สุด มีเนื้อความตื้นทั้งนั้นแล.
               จบทุติยปาราชิกวรรณนา ในวินัยสังวรรณนา               
               ชื่อสมันตปาสาทิกาแปล     
                      [คาถาสรูปทุติยปาราชิกสิกขาบท]               
               ในทุติยปาราชิกสิกขาบทนี้ มีอนุศาสนี ดังต่อไปนี้ :-
               ทุติยปาราชิกสิกขาบทนี้ใด อันพระชินเจ้าผู้ไม่เป็นที่ ๒ มีกิเลสอันพ่ายแพ้แล้ว ทรงประกาศแล้วในพระศาสนานี้, สิกขาบทอื่นไรๆ ที่มีนัยอันซับซ้อนมากมาย มีเนื้อความและวินิจฉัยลึกซึ้ง เสมอด้วยทุติยปาราชิกสิกขาบทนั้น ย่อมไม่มี. เพราะเหตุนั้น เมื่อเรื่องหยั่งลงแล้ว ภิกษุผู้รู้ทั่วถึงพระวินัยจะทำการวินิจฉัยในเรื่องที่หยั่งลงแล้วนี้ ด้วยความอนุเคราะห์พระวินัย พึงพิจารณาพระบาลีและอรรถกถาพร้อมทั้งอธิบาย โดยถ้วนถี่ อย่าเป็นผู้ประมาท ทำการวินิจฉัยเถิด. ในกาลไหนๆ ไม่พึงทำความอาจหาญในการชี้อาบัติ,        ควรใส่ใจว่า เราจักเห็นอนาบัติ.
               อนึ่ง แม้เห็นอาบัติแล้ว อย่าเพ่อพูดเพรื่อไปก่อน พึงใคร่ครวญและหารือกับท่านผู้รู้ทั้งหลายแล้ว จึงปรับอาบัตินั้น.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นปุถุชนในศาสนานี้ย่อมเคลื่อนจากคุณ คือความเป็นสมณะด้วยอำนาจแห่งจิตที่มักกลับกลอกเร็วในเพราะเรื่องแม้ที่ควร.              เพราะเหตุนั้น ภิกษุผู้เฉลียวฉลาด เมื่อเล็งเห็นบริขารของผู้อื่น เป็นเหมือนงูมีพิษร้ายและเหมือนไฟ พึงจับต้องเถิด.

15 สิงหาคม 2567

วินีตวัตถุ อุทานคาถา ทุติยปาราชิกสิกขาบท [ว่าด้วย อทินนาทาน] ปาราชิกกัณฑ์ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์

พระผู้มีพระภาคเจ้า
             [๑๒๖] พระอุบาลีเถระชี้แจง เรื่องช่างย้อม ๕ เรื่อง
             เรื่องผ้าห่มที่ตาก ๔ เรื่อง เรื่องกลางคืน ๕ เรื่อง
             เรื่องทรัพย์ที่ภิกษุนำไปเอง ๕ เรื่อง เรื่องตอบคำถามนำ ๕ เรื่อง
             เรื่องลม ๒ เรื่อง เรื่องศพที่ยังสด ๑ เรื่อง
             เรื่องสับเปลี่ยนสลาก ๑ เรื่อง เรื่องไฟฟ้า ๑ เรื่อง
             เรื่องเนื้อเดนสัตว์ ๕ เรื่อง เรื่องส่วนไม่มีมูล ๕ เรื่อง
             เรื่องข้าวสุกในสมัยข้าวแพง ๑ เรื่อง เรื่องเนื้อในสมัยข้าวแพง ๑ เรื่อง
             เรื่องขนมในสมัยข้าวแพง ๑ เรื่อง เรื่องน้ำตาลกรวด ๑ เรื่อง
             เรื่องขนมต้ม ๑ เรื่อง เรื่องบริขาร ๕ เรื่อง
             เรื่องถุง ๑ เรื่อง เรื่องฟูก ๑ เรื่อง
             เรื่องราวจีวร ๑ เรื่อง เรื่องไม่ออกไป ๑ เรื่อง
             เรื่องถือวิสาสะฉันของเคี้ยว ๑ เรื่อง เรื่องสำคัญว่าของตน ๒ เรื่อง
             เรื่องไม่ลัก ๗ เรื่อง เรื่องลัก ๗ เรื่อง
             เรื่องลักของสงฆ์ ๗ เรื่อง เรื่องลักดอกไม้ ๒ เรื่อง
             เรื่องพูดตามคำบอก ๓ เรื่อง เรื่องนำมณีล่วงด่านภาษี ๓ เรื่อง
             เรื่องปล่อยหมู ๒ เรื่อง เรื่องปล่อยเนื้อ ๒ เรื่อง
             เรื่องปล่อยปลา ๒ เรื่อง เรื่องกลิ้งทรัพย์ในยาน ๑ เรื่อง
             เรื่องชิ้นเนื้อ ๒ เรื่อง เรื่องไม้ ๒ เรื่อง
             เรื่องผ้าบังสุกุล ๑ เรื่อง เรื่องข้ามน้ำ ๒ เรื่อง
             เรื่องฉันทีละน้อย ๑ เรื่อง เรื่องชวนกันลัก ๒ เรื่อง
             เรื่องกำมือที่เมืองสาวัตถี ๔ เรื่อง เรื่องเนื้อเดน ๒ เรื่อง
             เรื่องหญ้า ๒ เรื่อง เรื่องให้แบ่งของสงฆ์ ๗ เรื่อง
             เรื่องไม่ใช่เจ้าของ ๗ เรื่อง เรื่องยืมไม้ของสงฆ์ ๑ เรื่อง
             เรื่องลักน้ำของสงฆ์ ๑ เรื่อง เรื่องลักดินของสงฆ์ ๑ เรื่อง
             เรื่องลักหญ้าของสงฆ์ ๒ เรื่อง เรื่องลักเสนาสนะของสงฆ์ ๗ เรื่อง
             เรื่องของมีเจ้าของไม่ควรนำไปใช้ ๑ เรื่อง
             เรื่องของมีเจ้าของควรขอยืม ๑ เรื่อง
             เรื่องนางภิกษุณีชาวเมืองจัมปา ๑ เรื่อง
             เรื่องนางภิกษุณีชาวเมืองราชคฤห์ ๑ เรื่อง
             เรื่องพระอัชชุกะเมืองเวสาลี ๑ เรื่อง
             เรื่องทารกชาวเมืองพาราณสี ๑ เรื่อง
             เรื่องเมืองโกสัมพี ๑ เรื่อง
             เรื่องสัทธิวิหาริกพระทัฬหิกะเมืองสาคละ ๑ เรื่อง.เรื่องช่างย้อม ๕ เรื่อง
             [๑๒๗] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ ไปสู่ลานตากผ้าของช่างย้อมผ้า ลักห่อผ้าของช่างย้อมไปแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว พวกเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล     เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             [๑๒๘] ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง ไปสู่ลานตากผ้าของช่างย้อมเห็นผ้ามีราคามาก ยังไถยจิตให้เกิดแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติ เพราะเพียงแต่คิด
             ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง ไปสู่ลานตากผ้าของช่างย้อม เห็นผ้ามีราคามาก มีไถยจิตจับต้องผ้านั้นแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุเธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ
             ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งไปสู่ลานตากผ้าของช่างย้อม เห็นผ้ามีราคามาก มีไถยจิตทำผ้านั้นให้ไหวแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พระผู้มีพระภาค ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย
             ๕. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง ไปสู่ลานตากผ้าของช่างย้อม เห็นผ้ามีราคามาก มีไถยจิตทำผ้านั้นให้เคลื่อนจากฐานแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
๔. เรื่องผ้าห่มที่ตาก ๔ เรื่อง
             [๑๒๙] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่งพบผ้าห่มที่เขาตากไว้ มีราคามาก ยังไถยจิตให้เกิดขึ้นแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติ เพราะเพียงแต่คิด
  ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่ง พบผ้าห่มที่เขาตากไว้มีราคามาก มีไถยจิตจับต้องแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ
 ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่ง พบผ้าที่เขาตากไว้ มีราคามาก มีไถยจิตยังผ้านั้นให้ไหวแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย
 ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่ง พบผ้าห่มที่เขาตากไว้มีราคามาก มีไถยจิตทำผ้านั้นให้เคลื่อนจากฐานแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า            ดูกรภิกษุเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องกลางคืน ๕ เรื่อง
             [๑๓๐] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเห็นทรัพย์ในกลางวัน แล้วได้ทำนิมิตไว้ด้วยหมายใจว่า จักลักในกลางคืน เธอเข้าใจทรัพย์นั้นแน่ จึงลักทรัพย์นั้นมาแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเห็นทรัพย์ในกลางวัน แล้วได้ทำนิมิตไว้ด้วยหมายใจว่า จักลักในกลางคืน เธอเข้าใจทรัพย์นั้นแน่ แต่ลักทรัพย์อื่นมาแล้ว ได้มีความรังเกียจว่าเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเห็นทรัพย์ในกลางวัน แล้วได้ทำนิมิตไว้ด้วยหมายใจว่า จักลักในกลางคืน เธอเข้าใจทรัพย์อื่น แต่ลักทรัพย์นั้นมาแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเห็นทรัพย์ในกลางวัน แล้วได้ทำนิมิตไว้ด้วยหมายใจว่า จักลักในกลางคืน เธอเข้าใจทรัพย์อื่น จึงลักทรัพย์อื่นมาแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า  ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๕. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเห็นทรัพย์ในกลางวัน แล้วได้ทำนิมิตไว้ด้วยหมายใจว่า จักลักในกลางคืน เธอเข้าใจทรัพย์นั้นแน่ แต่ลักทรัพย์ของตนมาแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องทรัพย์ที่ภิกษุนำไปเอง ๕ เรื่อง
             [๑๓๑] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง นำทรัพย์ของผู้อื่นไป มีไถยจิตจับต้องภาระบนศีรษะแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ
             ... มีไถลจิตยังภาระบนศีรษะให้ไหว ... พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุเธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย
             ... มีไถยจิตลดภาระบนศีรษะลงสู่คอ ... พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งนำทรัพย์ของผู้อื่นไป มีไถยจิตจับต้องภาระที่คอแล้วได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ
             ... มีไถยจิตยังภาระที่คอให้ไหว ... พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย
             ... มีไถยจิตลดภาระที่คอลงสู่สะเอว ... พระผู้มีพระภาคตรัสว่า   ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
             ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง นำทรัพย์ของผู้อื่นไป มีไถยจิตจับต้องภาระที่สะเอวแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ
             ... มีไถยจิตยังภาระที่สะเอวให้ไหว ... พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย
             ... มีไถยจิตลดภาระที่สะเอวลงถือด้วยมือ ... พระผู้มีพระภาคตรัสว่า         ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
             ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง นำทรัพย์ของผู้อื่นไป มีไถยจิตวางภาระในมือลงบนพื้นแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า  ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
             ๕. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง นำทรัพย์ของผู้อื่นไป มีไถยจิตหยิบทรัพย์นั้นขึ้นจากพื้นดินแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า
 เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องตอบตามคำถามนำ ๕ เรื่อง
             [๑๓๒] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งผึ่งจีวรไว้กลางแจ้งแล้วเข้าไปสู่วิหาร ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้เก็บไว้ด้วยคิดว่า จีวรนี้ อย่าหายเสียเลย ภิกษุเจ้าของออกมา ถามภิกษุนั้นว่า อาวุโส จีวรของผม ใครลักไป ภิกษุนั้นตอบอย่างนี้ว่าผมลักไปภิกษุเจ้าของยึดถือภิกษุนั้นว่าไม่เป็นสมณะเธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า ตอบตามคำถามนำ พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ ไม่เป็นอาบัติ เพราะตอบตามคำถามนำ
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งพาดจีวรไว้บนตั่ง แล้วเข้าไปสู่วิหารภิกษุอีกรูปหนึ่งเก็บไว้ด้วยคิดว่า จีวรนี้ อย่าหายเสียเลย ภิกษุเจ้าของออกมาถามภิกษุนั้นว่า อาวุโส จีวรของผมใครลักไป ภิกษุนั้นตอบอย่างนี้ว่า ผมลักไป ภิกษุเจ้าของยึดถือภิกษุนั้นว่าไม่เป็นสมณะ เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า ตอบตามคำถามนำ พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ ไม่เป็นอาบัติ เพราะตอบตามคำถามนำ
             ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งพาดผ้านิสีทนะไว้บนตั่ง แล้วเข้าไปสู่วิหาร ภิกษุอีกรูปหนึ่งเก็บไว้ด้วยคิดว่า ผ้านิสีทนะนี้ อย่าหายเสียเลย ภิกษุเจ้าของออกมา ถามภิกษุนั้นว่าอาวุโส ผ้านิสีทนะของผม ใครลักไป ภิกษุนั้นตอบอย่างนี้ว่า ผมลักไป ภิกษุเจ้าของยึดถือภิกษุนั้นว่าไม่เป็นสมณะ เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า ตอบตามคำถามนำ พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ ไม่เป็นอาบัติ เพราะตอบตามคำถามนำ
             ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งวางบาตรไว้ใต้ตั่ง แล้วเข้าไปสู่วิหาร ภิกษุอีกรูปหนึ่งเก็บไว้ด้วยคิดว่า บาตรนี้ อย่าหายเสียเลย ภิกษุเจ้าของออกมาถามภิกษุนั้นว่า อาวุโส บาตรของผม ใครลักไป ภิกษุนั้นตอบอย่างนี้ว่า ผมลักไป ภิกษุเจ้าของยึดถือภิกษุนั้นว่าไม่เป็นสมณะเธอได้มีควารังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า ตอบตามคำถามนำ พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ ไม่เป็นอาบัติ เพราะตอบตามคำถามนำ
             ๕. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุณีรูปหนึ่งผึ่งจีวรไว้ที่รั้วแล้วเข้าไปสู่วิหาร ภิกษุณีอีกรูปหนึ่งเก็บไว้ด้วยคิดว่า จีวรนี้ อย่าหายเสียเลย ภิกษุณีผู้เจ้าของออกมา ถามภิกษุณีนั้นว่า แม่เจ้า จีวรของดิฉัน ใครลักไป ภิกษุณีนั้นตอบอย่างนี้ว่า ดิฉันลักไป ภิกษุณีเจ้าของ ยึดถือภิกษุณีนั้นว่าไม่เป็นสมณะ เธอได้มีความรังเกียจ จึงแจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลายๆ แจ้งแก่ภิกษุทั้งหลายๆกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่เป็นอาบัติเพราะตอบตามคำถามนำ.
เรื่องลม ๒ เรื่อง
             [๑๓๓] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเห็นผ้าสาฎกถูกลมบ้าหมูพัดหอบไป จึงเก็บไว้ ด้วยตั้งใจว่าจักให้แก่เจ้าของ เจ้าของโจทภิกษุนั้นว่าไม่เป็นสมณะ เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคพระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า  ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า ไม่มีไถยจิต พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ ภิกษุผู้ไม่มีไถยจิต ไม่ต้องอาบัติ
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีไถยจิตถือเอาผ้าโพกซึ่งถูกลมบ้าหมูพัดหอบไปด้วยเกรงว่าเจ้าของจะเห็นเสียก่อน เจ้าของโจทภิกษุนั้นว่าไม่เป็นสมณะ เธอได้มีความรังเกียจว่าเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคพระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้าคิดลัก พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องศพที่ยังสด
             [๑๓๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งไปป่าช้าแล้ว ถือเอาผ้าบังสุกุลที่ศพสด และในร่างศพนั้นมีเปรตสิงอยู่ จึงเปรตนั้น ได้กล่าวกะภิกษุนั้นว่าท่านผู้เจริญท่านอย่าได้ถือเอาผ้าสากฎของข้าพเจ้าไป ภิกษุนั้นไม่เอื้อเฟื้อจึงได้ถือเอาไป ทันใดศพนั้นลุกขึ้นเดินตามหลังภิกษุนั้นไป ภิกษุนั้นเข้าไปสู่วิหารปิดประตู ร่างศพนั้นได้ล้มลง ณ ที่นั้นทันที เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันผ้าบังสุกุลที่ศพสด ภิกษุทั้งหลายไม่พึงถือเอา ภิกษุใดถือเอา ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องสับเปลี่ยนสลาก
             [๑๓๕] ก็โดยสมัยนั้นแล เมื่อจีวรของสงฆ์ อันภิกษุจีวรภาชกะแจกอยู่ ภิกษุรูปหนึ่งมีไถยจิตสับเปลี่ยนสลาก แล้ว
รับจีวรไป เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องเรือนไฟ
       [๑๓๖] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระอานนท์สำคัญผ้าอันตรวาสกของภิกษุรูปหนึ่งในเรือนไฟว่าของตน จึงนุ่งแล้ว ภิกษุนั้นได้ถามท่านพระอานนท์ว่า อาวุโสอานนท์ ไฉนท่านจึงนุ่งผ้าอันตรวาสกของผมเล่า?
             ท่านพระอานนท์ตอบว่า อาวุโส ผมเข้าใจว่าของผม
             ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีความเข้าใจว่าของตน ไม่ต้องอาบัติ.
เรื่องเนื้อเดนสัตว์ ๕ เรื่อง
             [๑๓๗] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุหลายรูปลงจากภูเขาคิชฌกูฏ พบเนื้อเดนราชสีห์จึงใช้อนุปสัมบันให้ต้มแกงฉัน แล้วมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคพระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่เป็นอาบัติ เพราะเนื้อเดนราชสีห์
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุหลายรูปลงจากภูเขาคิชฌกูฏ พบเนื้อเดนเสือโคร่งจึงใช้อนุปสัมบันให้ต้มแกงฉัน แล้วมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ไม่เป็นอาบัติ เพราะเนื้อเดนเสือโคร่ง
             ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุหลายรูปลงจากภูเขาคิชฌกูฏ พบเนื้อเดนเสือเหลือง จึงใช้อนุปสัมบันให้ต้มแกงฉัน แล้วมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่เป็นอาบัติ เพราะเนื้อเดนเสือเหลือง
       ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุหลายรูปลงจากภูเขาคิชฌกูฏ พบเนื้อเดนเสือดาว จึงใช้อนุปสัมบันให้ต้มแกงฉัน แล้วมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย  ไม่เป็นอาบัติ เพราะเนื้อเดนเสือดาว
             ๕. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุหลายรูปลงจากภูเขาคิชฌกูฏ พบเนื้อเดนสุนัขป่า จึงใช้อนุปสัมบันให้ต้มแกงฉัน แล้วมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่เป็นอาบัติ เพราะเนื้ออันสัตว์ดิรัจฉานหวงแหน.
เรื่องส่วนไม่มีมูล ๕ เรื่อง
             [๑๓๘] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล เมื่อข้าวสุกของสงฆ์อันภิกษุภัตตุทเทสก์แจกอยู่ ภิกษุรูปหนึ่งพูดว่า ขอท่านจงให้ส่วนของภิกษุอื่นอีก แล้วรับส่วนที่ไม่มีมูลไป เธอได้มีความรังเกียจว่าเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะสัมปชานมุสาวาท
           ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล เมื่อของเคี้ยวของสงฆ์อันภิกษุขัชชภาชกะแจกอยู่ ภิกษุรูปหนึ่งพูดว่า ขอท่านจงให้ส่วนของภิกษุอื่นอีก แล้วรับส่วนที่ไม่มีมูลไป เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะสัมปชานมุสาวาท
             ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล เมื่อขนมของสงฆ์อันภิกษุปูวภาชกะแจกอยู่ ภิกษุรูปหนึ่งพูดว่าขอท่านจงให้ส่วนของภิกษุอื่นอีก แล้วรับส่วนที่ไม่มีมูลไป เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะสัมปชานมุสาวาท
             ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล เมื่ออ้อยของสงฆ์ อันภิกษุอุจฉุภาชกะแจกอยู่ ภิกษุรูปหนึ่งพูดว่าขอท่านจงให้ส่วนของภิกษุอื่นอีก แล้วรับส่วนที่ไม่มีมูลไป เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่าดูกรภิกษุเธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะสัมปชานมุสาวาท
             ๕. ก็โดยสมัยนั้นแล เมื่อผลมะพลับของสงฆ์อันภิกษุผลภาชกะแจกอยู่ ภิกษุรูปหนึ่งพูดว่า ขอท่านจงให้ส่วนของภิกษุอื่นอีก แล้วรับส่วนที่ไม่มีมูลไป เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะสัมปชานมุสาวาท.
เรื่องข้าวสุก
             [๑๓๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ข้าวแพง ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปสู่ร้านขายข้าวสุก มีไถยจิตลักข้าวสุกไปเต็มบาตร แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องเนื้อ
             ก็โดยสมัยนั้นแล ข้าวแพง ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปสู่ร้านขายแกงเนื้อ มีไถยจิตลักเนื้อไปเต็มบาตร แล้วมีความรังเกียจว่า 
เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องขนม
             ก็โดยสมัยนั้นแล ข้าวแพง ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปสู่ร้านขายขนม มีไถยจิตลักขนมไปเต็มบาตร แล้วมีความรังเกียจว่า 
เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องน้ำตาลกรวด
             ก็โดยสมัยนั้นแล ข้าวแพง ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปสู่ร้านขายน้ำตาลกรวด มีไถยจิตลักน้ำตาลกรวดไปเต็มบาตร แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องขนมต้ม
           ก็โดยสมัยนั้นแล ข้าวแพง ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปสู่ร้านขายขนมต้ม มีไถยจิตลักขนมต้มไปเต็มบาตร แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องบริขาร ๕ เรื่อง
             [๑๔๐] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเห็นบริขารในกลางวัน แล้วได้ทำนิมิตไว้ว่าจักลักในกลางคืน ภิกษุนั้นสำคัญบริขารนั้นแน่ จึงลักบริขารนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า    ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเห็นบริขารในกลางวัน แล้วได้ทำนิมิตไว้ว่า จักลักในกลางคืน ภิกษุนั้นสำคัญบริขาร
นั้นแน่ แต่ลักบริขารอื่น แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า   ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเห็นบริขารในกลางวัน แล้วได้ทำนิมิตไว้ว่า จักลักในในกลางคืน ภิกษุนั้นสำคัญว่าบริขารอื่น แต่ลักบริขารนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า  ดูกรภิกษุเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเห็นบริขารในกลางวัน แล้วได้ทำนิมิตไว้ว่า จักลักในกลางคืน ภิกษุนั้นสำคัญว่าบริขาร
อื่น จึงลักบริขารอื่น แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรภิกษุเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๕. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเห็นบริขารในกลางวัน แล้วได้ทำนิมิตไว้ว่า จักลักในกลางคืน ภิกษุนั้นสำคัญบริขาร
นั้นแน่ แต่ลักบริขารของตน แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องถุง
          [๑๔๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเห็นถุงวางอยู่บนตั่งแล้วคิดว่าเราถือไปจากตั่งนี้จักเป็นปาราชิก จึงได้ยกถือเอาพร้อมทั้งตั่ง แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิก แล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องฟูก
             [๑๔๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีไถยจิตลักฟูกของสงฆ์ แล้วมีความรังเกียจว่าเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องราวจีวร
             [๑๔๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีไถยจิตลักจีวรที่ราวจีวรไป แล้วมีความรังเกียจว่าเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า          ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องไม่ออกไป
[๑๔๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง ลักจีวรในวิหารแล้วคิดว่าเราออกจากวิหารนี้ไปจักเป็นปาราชิก จึงไม่ออกจากวิหาร ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษนั้นจะพึงออกไปก็ตาม ไม่ออกไปก็ตาม ก็ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องถือวิสสาสะฉันของเคี้ยว
             [๑๔๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุสองรูปเป็นเพื่อนกัน รูปหนึ่งเข้าไปบิณฑบาตในบ้านรูปที่สอง เมื่อของเคี้ยวของสงฆ์ อันภิกษุภัตตุทเทสก์แจกอยู่ได้รับเอาส่วนของเพื่อน แล้วถือวิสสาสะฉันส่วนของเพื่อนนั้น ภิกษุรูปที่หนึ่งนั้นทราบแล้วโจทภิกษุรูปที่สองว่าท่านไม่เป็นสมณะภิกษุรูปที่สองมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้าถือวิสสาสะ พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ ไม่เป็นอาบัติ เพราะถือวิสสาสะ.
เรื่องฉันของเคี้ยวด้วยสำคัญว่าของตน ๒ เรื่อง
[๑๔๖] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุหลายรูปกำลังทำจีวรกันอยู่ เมื่อของเคี้ยวของสงฆ์อันภิกษุขัชชภาชกะแจกอยู่ ภิกษุทุกรูปต่างนำส่วนของตนไปเก็บไว้ ภิกษุรูปหนึ่งสำคัญส่วนของภิกษุอีกรูปหนึ่งว่าของตน จึงฉัน ภิกษุผู้เจ้าของทราบแล้ว โจทภิกษุนั้นว่า ท่านไม่เป็นสมณะภิกษุนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้มีความสำคัญว่าของตน
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุหลายรูปกำลังทำจีวรกันอยู่ เมื่อของเคี้ยวของสงฆ์ อันภิกษุขัชชภาชกะแจกอยู่ ภิกษุรูปหนึ่งได้เอาบาตรของภิกษุอีกรูปหนึ่งไปนำส่วนของตนมาเก็บไว้ ภิกษุเจ้าของบาตรสำคัญว่าของตน จึงฉัน ภิกษุนั้นทราบแล้ว โจทภิกษุเจ้าของบาตรว่า ท่านไม่เป็นสมณะ ภิกษุเจ้าของบาตรมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคพระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้มีความสำคัญว่าของตน.
ไม่ลัก ๗ เรื่อง
             [๑๔๗] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกขโมยลักมะม่วง ทำมะม่วงให้หล่นแล้วห่อถือไปพวกเจ้าของติดตามพวกขโมยเหล่านั้นไป พวกขโมยเห็นพวกเจ้าของ แล้วทิ้งห่อมะม่วงหนีไปภิกษุทั้งหลายมีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล จึงพากันเก็บมะม่วงห่อนั้นไปฉัน พวกเจ้าของโจทภิกษุเหล่านั้นว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะ ภิกษุเหล่านั้นมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอคิดอย่างไร?
  ภิ. พวกข้าพระพุทธเจ้า สำคัญว่าเป็นของบังสุกุล พระพุทธเจ้าข้า
   ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้มีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล
   ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกขโมยลักชมพู่ ทำชมพู่ให้หล่นแล้วห่อถือไปพวกเจ้าของติดตามพวกขโมยเหล่านั้น พวกขโมยเห็นพวกเจ้าของ แล้วทิ้งห่อชมพู่หนีไป ภิกษุทั้งหลายมีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล จึงพากันเก็บชมพู่ห่อนั้นไปฉัน พวกเจ้าของโจทภิกษุเหล่านั้นว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะ ภิกษุเหล่านั้นมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพนะภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอคิดอย่างไร?
  ภิ. พวกข้าพระพุทธเจ้า มีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล พระพุทธเจ้าข้า
   ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้มีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล
๓. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกขโมยลักขนุนสำมะลอ ทำขนุนสำมะลอให้หล่นแล้วห่อถือไปพวกเจ้าของติดตามพวกขโมยเหล่านั้น พวกขโมยเห็นพวกเจ้าของ แล้วทิ้งห่อขนุนสำมะลอหนีไป ภิกษุทั้งหลายมีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล จึงพากันเก็บขนุนสำมะลอห่อนั้นไปฉัน พวกเจ้าของโจทภิกษุเหล่านั้นว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะ ภิกษุเหล่านั้นมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอคิดอย่างไร?
  ภิ. พวกข้าพระพุทธเจ้า มีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล พระพุทธเจ้าข้า
   ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้มีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล
  ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกขโมยลักขนุน ทำขนุนให้หล่นแล้วห่อถือไป พวกเจ้าของติดตามพวกขโมยเหล่านั้น พวกขโมยเห็นพวกเจ้าของแล้วทิ้งห่อขนุนหนีไป ภิกษุทั้งหลายมีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล จึงพากันเก็บขนุนห่อนั้นไปฉัน พวกเจ้าของโจทภิกษุเหล่านั้นว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะ ภิกษุเหล่านั้นมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอคิดอย่างไร?
  ภิ. พวกข้าพระพุทธเจ้า มีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล พระพุทธเจ้าข้า
   ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้มีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล
  ๕. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกขโมยลักผลตาลสุก ทำผลตาลสุกให้หล่นแล้วห่อถือไปพวกเจ้าของติดตามพวกขโมยเหล่านั้น พวกขโมยเห็นพวกเจ้าของ แล้วทิ้งห่อผลตาลสุกหนีไปภิกษุทั้งหลายมีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล จึงพากันเก็บผลตาลสุกห่อนั้นไปฉัน พวกเจ้าของโจทภิกษุเหล่านั้นว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะ ภิกษุเหล่านั้นมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอคิดอย่างไร?
  ภิ. พวกข้าพระพุทธเจ้า มีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล พระพุทธเจ้าข้า
   ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้มีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล
  ๖. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกขโมยลักอ้อย ตัดอ้อยแล้วห่อถือไป พวกเจ้าของติดตามพวกขโมยเหล่านั้น พวกขโมยเห็นพวกเจ้าของ แล้วทิ้งห่ออ้อยหนีไป ภิกษุทั้งหลายมีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล จึงพากันเก็บอ้อยห่อนั้นไปฉัน พวกเจ้าของโจทภิกษุเหล่านั้นว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะ ภิกษุเหล่านั้นมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอคิดอย่างไร?
  ภิ. พวกข้าพระพุทธเจ้า มีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล พระพุทธเจ้าข้า
  ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้มีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล
  ๗. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกขโมยลักมะพลับ เลือกเก็บมะพลับแล้วห่อถือไป พวกเจ้าของติดตามพวกขโมยเหล่านั้น พวกขโมยเห็นพวกเจ้าของ แล้วทิ้งห่อมะพลับหนีไป ภิกษุทั้งหลายมีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล จึงพากันเก็บมะพลับห่อนั้นไปฉัน พวกเจ้าของโจทภิกษุเหล่านั้นว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะ ภิกษุเหล่านั้นมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอคิดอย่างไร?
  ภิ. พวกข้าพระพุทธเจ้า มีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล พระพุทธเจ้าข้า
ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้มีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล.
เรื่องลัก ๗ เรื่อง
             [๑๔๘] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกขโมยลักมะม่วง ทำมะม่วงให้หล่นแล้วห่อถือไปพวกเจ้าของติดตามพวกขโมยๆ เห็นพวกเจ้าของ ได้ทิ้งห่อมะม่วงหนีไป ภิกษุทั้งหลายคิดว่าพวกเจ้าของจะเห็น แล้วมีไถยจิตฉันเสียก่อน พวกเจ้าของโจทภิกษุเหล่านั้นว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะ ภิกษุเหล่านั้นมีความรังเกียจว่า พวกเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า           ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกขโมยลักชมพู่ ทำชมพู่ให้หล่นแล้วห่อถือไป พวกเจ้าของติดตามพวกขโมยๆ เห็นพวกเจ้าของ ได้ทิ้งห่อชมพู่หนีไป ภิกษุทั้งหลายคิดว่า พวกเจ้าของจะเห็น แล้วมีไถยจิตฉันเสียก่อน พวกเจ้าของโจทภิกษุเหล่านั้นว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะ ภิกษุเหล่านั้นมีความรังเกียจว่า พวกเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกขโมยลักขนุนสำมะลอ ทำขนุนสำมะลอให้หล่นแล้วห่อถือไป พวกเจ้าของติดตามพวกขโมยๆ เห็นพวกเจ้าของ ได้ทิ้งห่อขนุนสำมะลอหนีไป ภิกษุทั้งหลายคิดว่าพวกเจ้าของจะเห็น แล้วมีไถยจิตฉันเสียก่อน พวกเจ้าของโจทภิกษุเหล่านั้นว่าพวกท่านไม่เป็นสมณะ ภิกษุเหล่านั้นมีความรังเกียจว่า พวกเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า      ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกขโมยลักขนุน ทำขนุนให้หล่นแล้วห่อถือไป พวกเจ้าของติดตามพวกขโมยๆ เห็นพวกเจ้าของ ได้ทิ้งห่อขนุนหนีไป ภิกษุทั้งหลายคิดว่า พวกเจ้าของจะเห็นแล้วมีไถยจิตฉันเสียก่อน พวกเจ้าของโจทภิกษุเหล่านั้นว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะ ภิกษุเหล่านั้นมีความรังเกียจว่า พวกเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๕. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกขโมยลักผลตาลสุก ทำผลตาลสุกให้หล่นแล้วห่อถือไป พวกเจ้าของติดตามพวกขโมยๆ เห็นพวกเจ้าของ ได้ทิ้งห่อผลตาลสุกหนีไป ภิกษุทั้งหลายคิดว่า พวกเจ้าของจะเห็น แล้วมีไถยจิตฉันเสียก่อน พวกเจ้าของโจทภิกษุเหล่านั้นว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะภิกษุเหล่านั้นมีความรังเกียจว่า พวกเราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า      ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๖. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกขโมยลักอ้อย ตัดอ้อยแล้วห่อถือไป พวกเจ้าของติดตามพวกขโมยๆ เห็นพวกเจ้าของ ได้ทิ้งห่ออ้อยหนีไป ภิกษุทั้งหลายคิดว่า พวกเจ้าของจะเห็น แล้วมีไถยจิตฉันเสียก่อน พวกเจ้าของโจทภิกษุเหล่านั้นว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะ ภิกษุเหล่านั้นมีความรังเกียจว่า พวกเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๗. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกขโมยลักมะพลับ เลือกเก็บมะพลับ แล้วห่อถือไป พวกเจ้าของติดตามพวกขโมยๆ เห็นพวกเจ้าของ ได้ทิ้งห่อมะพลับหนีไป ภิกษุทั้งหลายคิดว่า พวกเจ้าของจะเห็น แล้วมีไถยจิตฉันเสียก่อน พวกเจ้าของโจทภิกษุเหล่านั้นว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะภิกษุเหล่านั้นมีความรังเกียจว่าพวกเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องลักของสงฆ์ ๗ เรื่อง
[๑๔๙] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง มีไถยจิตลักมะม่วงของสงฆ์ แล้วได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง มีไถยจิตลักชมพู่ของสงฆ์ แล้วได้มีความรังเกียจว่าเราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง มีไถยจิตลักขนุนสำมะลอของสงฆ์ แล้วได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง มีไถยจิตลักขนุนของสงฆ์ แล้วได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๕. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง มีไถยจิตลักผลตาลสุกของสงฆ์ แล้วได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๖. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง มีไถยจิตลักอ้อยของสงฆ์ แล้วได้มีความรังเกียจว่าเราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๗. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง มีไถยจิตลักมะพลับของสงฆ์ แล้วได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องลักดอกไม้ ๒ เรื่อง
             [๑๕๐] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง ไปสู่สวนดอกไม้ มีไถยจิตลักดอกไม้ที่เขาเก็บไว้ ได้ราคา ๕ มาสก แล้วได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง ไปสู่สวนดอกไม้ มีไถยจิตลักเก็บดอกไม้ ได้ราคา ๕ มาสก แล้วได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า            ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องพูดตามคำบอก ๓ เรื่อง
         [๑๕๑] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง เมื่อจะไปสู่หมู่บ้านได้กล่าวกะภิกษุอีกรูปหนึ่งว่า ท่าน ผมจะบอกสกุลอุปัฏฐากของท่านตามที่ท่านบอกภิกษุนั้นไปถึงจึงให้เขานำผ้าสาฎกมาผืนหนึ่ง แล้วใช้เสียเอง ภิกษุผู้บอกรู้เข้าจึงโจทภิกษุนั้นว่า ท่านไม่เป็นสมณะ เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ภิกษุทั้งหลายไม่พึงกล่าวว่า ผมบอกตามที่ท่านบอก รูปใดกล่าว ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง เมื่อจะไปสู่หมู่บ้าน ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ได้กล่าวกะภิกษุนั้นว่า ท่าน ท่านจงบอกสกุลอุปัฏฐากของผมตามที่ผมบอก ภิกษุนั้นไปถึงจึงให้เขานำผ้าสาฎกมาคู่หนึ่ง แล้วใช้เสียเอง ๑ ผืน ให้ภิกษุผู้บอก ๑ ผืน ภิกษุผู้บอกรู้เข้าจึงโจทภิกษุนั้นว่า ท่านไม่เป็นสมณะ เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ภิกษุไม่พึงกล่าวว่า ท่านจงบอกตามที่ผมบอก รูปใดกล่าว ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง เมื่อจะไปสู่หมู่บ้าน ได้กล่าวกะภิกษุอีกรูปหนึ่งว่าท่าน ผมจะบอกสกุลอุปัฏฐากของท่านตามที่ท่านบอก แม้ภิกษุนั้นก็กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านจงบอกตามที่ผมบอกเถิด ภิกษุนั้นไปถึงจึงให้เขานำเนยใส ๑ อาฬหก ๑- น้ำอ้อยงบ ๑ ดุล ๒- ข้าวสาร ๑ โทณะ ๓- มาแล้วฉันเสียเอง ภิกษุผู้บอกรู้เข้าจึงโจทภิกษุนั้นว่า ท่านไม่เป็นสมณะ เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ภิกษุไม่พึงกล่าวว่า ผมบอกตามที่ท่านบอกรูปใดกล่าว ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องนำแก้วมณีล่วงด่านภาษี ๓ เรื่อง
  [๑๕๒] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล บุรุษผู้หนึ่งนำแก้วมณีซึ่งมีราคามากเดินทางไกลไปกับภิกษุรูปหนึ่ง ครั้นบุรุษนั้นเห็นด่านภาษี จึงหย่อนแก้วมณีลงในถุงย่ามของภิกษุนั้นผู้ไม่รู้ตัว เดินพ้นด่านภาษีไปแล้ว จึงถือนำไปเอง ภิกษุนั้นได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้ตัว พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ ภิกษุผู้ไม่รู้ตัว ไม่ต้องอาบัติ
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล บุรุษผู้หนึ่งนำแก้วมณีซึ่งมีราคามาก เดินทางไกลไปกับภิกษุรูปหนึ่ง ครั้นภิกษุนั้นเห็นด่านภาษี จึงทำลวงว่าเป็นไข้ แล้วได้ให้ห่อของของตนแก่ภิกษุนั้น ครั้นเดินทางพ้นด่านภาษีไปแล้ว บุรุษนั้นจึงได้กล่าวกะภิกษุนั้นว่าท่านผู้เจริญ ขอท่านจงนำห่อของของผมมา ผมหาได้เป็นไข้ไม่ ภิกษุนั้นถามว่า ท่าน ท่านได้ทำทีท่าเช่นนั้นเพื่อประสงค์อะไร บุรุษนั้นได้แจ้งความแก่ภิกษุนั้นแล้ว เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
๑. ๔ ปัตถะเป็น ๑ อาฬหก ๒. ร้อยปละเป็น ๑ ดุล ๓. สี่อาฬหกเป็น ๑ โทณะ ฯ
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้ตัว พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ ภิกษุผู้ไม่รู้ตัว ไม่ต้องอาบัติ
           ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเดินทางไกลไปกับพวกเกวียน บุรุษคนหนึ่งเกลี้ยกล่อมภิกษุนั้นด้วยอามิสแล้ว เห็นด่านภาษี จึงส่งแก้วมณีซึ่งมีราคามากให้แก่ภิกษุนั้น ด้วยขอร้องว่าท่านผู้เจริญ ขอท่านจงช่วยนำแก้วมณีนี้ผ่านด่านภาษีด้วย จึงภิกษุนั้นนำแก้วมณีนั้นให้ผ่านด่านภาษีไปแล้ว ได้มีความรังเกียจว่าเราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องปล่อยหมู ๒ เรื่อง
             [๑๕๓] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีความสงสาร ได้ปล่อยหมูที่ติดบ่วงไปแล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคพระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้ามีความประสงค์จะช่วยเหลือ พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ ภิกษุผู้มีความประสงค์จะช่วยเหลือ ไม่ต้องอาบัติ
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีไถยจิต ได้ปล่อยหมูที่ติดบ่วงไปเสียก่อนด้วยคิดว่าพวกเจ้าของจะเห็น แล้วมีความรังเกียจว่าเราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้ามีไถยจิต พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
เรื่องปล่อยเนื้อ ๒ เรื่อง
             ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีความสงสาร ได้ปล่อยเนื้อที่ติดบ่วงไปแล้ว มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติ
ปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้ามีความประสงค์จะช่วยเหลือ พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ ภิกษุผู้มีความประสงค์จะช่วยเหลือ ไม่ต้องอาบัติ
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีไถยจิต ได้ปล่อยเนื้อที่ติดบ่วงไปเสียก่อนด้วยคิดว่าพวกเจ้าของจะเห็น แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
            ภิ. ข้าพระพุทธเจ้ามีไถยจิต พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
เรื่องปล่อยปลา ๒ เรื่อง
             ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีความสงสาร ได้ปล่อยปลาที่ติดลอบไป แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้ามีความประสงค์จะช่วยเหลือ พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ ภิกษุผู้มีความประสงค์จะช่วยเหลือ ไม่ต้องอาบัติ
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีไถยจิต ได้ปล่อยปลาที่ติดลอบไปเสียก่อน ด้วยคิดว่า พวกเจ้าของจะเห็น แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้ามีไถยจิต พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องกลิ้งทรัพย์ในยาน
             [๑๕๔] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเห็นทรัพย์ในยานแล้วคิดว่า เราถือเอาไปจากยานนี้จักเป็นปาราชิก จึงเขี่ยให้กลิ้งถือเอาไป แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องชิ้นเนื้อ ๒ เรื่อง
             [๑๕๕] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งได้ถือเอาชิ้นเนื้อที่เหยี่ยวเฉี่ยวไป ด้วยตั้งใจว่าจักให้แก่พวกเจ้าของๆ โจทภิกษุนั้นว่า ท่านไม่เป็นสมณะ เธอมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ ภิกษุผู้หาไถยจิตมิได้ ไม่ต้องอาบัติ.
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีไถยจิตถือเอาชิ้นเนื้อที่เหยี่ยวเฉี่ยวไปเสียก่อนด้วยคิดว่า พวกเจ้าของจะเห็น พวกเจ้าของโจทภิกษุนั้นว่า ท่านไม่เป็นสมณะ เธอมีความรังเกียจว่าเราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องไม้ ๒ เรื่อง
             [๑๕๖] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล คนทั้งหลายผูกไม้แพแล้วให้ลอยไปตามกระแสในแม่น้ำอจิรวดี เมื่อเครื่องผูกขาด ไม้ได้ลอยกระจายไป ภิกษุทั้งหลายมีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุลจึงช่วยกันขนขึ้น พวกเจ้าของโจทภิกษุเหล่านั้นว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะ ภิกษุเหล่านั้นมีความรังเกียจว่า พวกเราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล ไม่ต้องอาบัติ
  ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล คนทั้งหลายผูกไม้แพแล้วให้ลอยไปตามกระแสในแม่น้ำอจิรวดี เมื่อเครื่องผูกขาด ไม้ได้ลอยกระจายไป ภิกษุทั้งหลายมีไถยจิต ช่วยกันขนขึ้นเสียก่อนด้วยคิดว่าพวกเจ้าของจะเห็น พวกเจ้าของโจทภิกษุเหล่านั้นว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะ ภิกษุเหล่านั้นมีความรังเกียจว่า พวกเราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องผ้าบังสุกุล
  [๑๕๗] ก็โดยสมัยนั้นแล คนเลี้ยงโคคนหนึ่งพาดผ้าสาฎก ไว้ที่ต้นไม้แล้วไปถ่ายอุจจาระ ภิกษุรูปหนึ่งมีความสำคัญว่าเป็นผ้าบังสุกุลจึงถือเอาไป คนเลี้ยงโคนั้นโจทภิกษุนั้นว่าท่านไม่เป็นสมณะ เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ ภิกษุผู้มีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล ไม่ต้องอาบัติ.
เรื่องข้ามน้ำ ๒ เรื่อง
  [๑๕๘] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งกำลังข้ามน้ำ ผ้าสาฎกที่หลุดจากมือของพวกช่างย้อม ไปคล้องอยู่ที่เท้าภิกษุๆ นั้นเก็บไว้ ด้วยตั้งใจว่าจักให้แก่พวกเจ้าของๆ โจทภิกษุนั้นว่าท่านไม่เป็นสมณะ ภิกษุนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ ภิกษุผู้หาไถยจิตมิได้ ไม่ต้องอาบัติ.
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งกำลังข้ามน้ำ ผ้าสาฎกที่หลุดจากมือของพวกช่างย้อมได้ไปคล้องอยู่ที่เท้าภิกษุๆ นั้นมีไถยจิตยึดเอาไว้เสียก่อน ด้วยคิดว่า พวกเจ้าของจักเห็นพวกเจ้าของโจทภิกษุนั้นว่า ท่านไม่เป็นสมณะ ภิกษุนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติ ปาราชิกแล้ว.
เรื่องฉันทีละน้อย
             [๑๕๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเห็นหม้อเนยใสแล้วฉันเข้าไปทีละน้อยๆ แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องชวนกันลักทรัพย์ ๒ เรื่อง
             [๑๖๐] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุหลายรูปชักชวนกันไป ด้วยตั้งใจว่าจักลักทรัพย์ภิกษุรูปหนึ่งลักทรัพย์มาได้ ภิกษุเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราไม่เป็นปาราชิก รูปใดลัก รูปนั้นเป็นปาราชิก แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุหลายรูปชวนกันลักทรัพย์มาได้แล้วแบ่งกัน เมื่อแบ่งทรัพย์กันภิกษุรูปหนึ่งๆ ได้ส่วนแบ่งไม่ครบ ๕ มาสก จึงกล่าวกันขึ้นอย่างนี้ว่า พวกเราไม่เป็นปาราชิกแล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องกำมือ ๔ เรื่อง
             [๑๖๑] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ในเมืองสาวัตถี มีข้าวแพง ภิกษุรูปหนึ่งมีไถยจิตลักข้าวสารของชาวร้าน ๑ กำมือ แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ในเมืองสาวัตถี มีข้าวแพง ภิกษุรูปหนึ่งมีไถยจิตลักถั่วเขียวชาวร้าน ๑ กำมือ แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล ในเมืองสาวัตถี มีข้าวแพง ภิกษุรูปหนึ่งมีไถยจิตลักถั่วฝักยาวของชาวร้าน ๑ กำมือ แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล ในเมืองสาวัตถี มีข้าวแพง ภิกษุรูปหนึ่งมีไถยจิตลักงาของชาวร้าน ๑ กำมือ แล้วมีความรังเกียจว่า
 เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องเนื้อเดน ๒ เรื่อง
             [๑๖๒] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกโจรในป่าอันธวันแขวงเมืองสาวัตถีฆ่าโคกินเนื้อแล้วซ่อนส่วนที่เหลือไว้แล้วพากันไป ภิกษุทั้งหลายสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล จึงให้ถือเอาไปฉันพวกโจรโจทภิกษุเหล่านั้นว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะ ภิกษุเหล่านั้นมีความรังเกียจว่า พวกเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่ผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล ไม่ต้องอาบัติ.
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกโจรในป่าอันธวันแขวงเมืองสาวัตถี ฆ่าหมูกินเนื้อแล้วซ่อนส่วนที่เหลือไว้แล้วพากันไป ภิกษุทั้งหลายสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล จึงให้ถือเอาไปฉัน พวกโจรโจทภิกษุเหล่านั้นว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะ ภิกษุเหล่านั้นมีความรังเกียจว่า พวกเราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่ผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีความสำคัญว่าเป็นของบังสุกุล ไม่ต้องอาบัติ.
เรื่องหญ้า ๒ เรื่อง
             [๑๖๓] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งไปสู่แดนดงหญ้า มีไถยจิตลักหญ้าที่เขาเกี่ยวไว้ได้ราคา ๕ มาสก แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             [๑๖๔] ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งไปสู่แดนดงหญ้า มีไถยจิตลักเกี่ยวหญ้าได้ราคา ๕ มาสก แล้วมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องให้แบ่งของสงฆ์ ๗ เรื่อง
             [๑๖๕] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล พระอาคันตุกะทั้งหลายยังกันและกัน ให้แจกมะม่วงของสงฆ์แล้วฉัน ภิกษุเจ้าถิ่นทั้งหลายโจทพวกพระอาคันตุกะว่าพวกท่านไม่เป็นสมณะ พวกพระอาคันตุกะมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอคิดอย่างไร?
             ภิ. พวกข้าพระพุทธเจ้า คิดเพื่อต้องการฉัน พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย คิดเพื่อต้องการฉัน ไม่ต้องอาบัติ
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล พระอาคันตุกะทั้งหลาย ยังกันและกัน ให้แจกชมพู่ของสงฆ์แล้วฉัน ภิกษุเจ้าถิ่นทั้งหลายโจทพวกพระอาคันตุกะว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะ พวกพระอาคันตุกะมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอคิดอย่างไร?
             ภิ. พวกข้าพระพุทธเจ้า คิดเพื่อต้องการฉัน พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย คิดเพื่อต้องการฉัน ไม่ต้องอาบัติ
             ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล พระอาคันตุกะทั้งหลาย ยังกันและกัน ให้แจกขนุนสำมะลอของสงฆ์แล้วฉัน ภิกษุเจ้าถิ่นทั้งหลายโจทพวกพระอาคันตุกะว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะ พวกพระอาคันตุกะมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอคิดอย่างไร?
             ภิ. พวกข้าพระพุทธเจ้า คิดเพื่อต้องการฉัน พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย คิดเพื่อต้องการฉัน ไม่ต้องอาบัติ
             ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล พระอาคันตุกะทั้งหลาย ยังกันและกัน ให้แจกขนุนของสงฆ์แล้วฉัน ภิกษุเจ้าถิ่นทั้งหลายโจทพวกพระอาคันตุกะว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะ พวกพระอาคันตุกะมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอคิดอย่างไร?
             ภิ. พวกข้าพระพุทธเจ้า คิดเพื่อต้องการฉัน พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย คิดเพื่อต้องการฉัน ไม่ต้องอาบัติ
   ๕. ก็โดยสมัยนั้นแล พระอาคันตุกะทั้งหลาย ยังกันและกัน ให้แจกผลตาลสุกของสงฆ์แล้วฉันภิกษุเจ้าถิ่นทั้งหลายโจทพวกพระอาคันตุกะว่าพวกท่านไม่เป็นสมณะ พวกพระอาคันตุกะมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอคิดอย่างไร?
             ภิ. พวกข้าพระพุทธเจ้า คิดเพื่อต้องการฉัน พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย คิดเพื่อต้องการฉัน ไม่ต้องอาบัติ
     ๖. ก็โดยสมัยนั้นแล พระอาคันตุกะทั้งหลายยังกันและกัน ให้แจกอ้อยของสงฆ์แล้วฉัน ภิกษุเจ้าถิ่นทั้งหลายโจทพวกพระอาคันตุกะว่า พวกท่านไม่เป็นสมณะ พวกพระอาคันตุกะมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอคิดอย่างไร?
             ภิ. พวกข้าพระพุทธเจ้า คิดเพื่อต้องการฉัน พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย คิดเพื่อต้องการฉัน ไม่ต้องอาบัติ
 ๗. ก็โดยสมัยนั้นแล พระอาคันตุกะทั้งหลาย ยังกันและกัน ให้แจกมะพลับของสงฆ์แล้วฉันภิกษุเจ้าถิ่นทั้งหลายโจทพวกพระอาคันตุกะว่าพวกท่านไม่เป็นสมณะ พวกพระอาคันตุกะมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ พวกเธอคิดอย่างไร?
             ภิ. พวกข้าพระพุทธเจ้า คิดเพื่อต้องการฉัน พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย คิดเพื่อต้องการฉัน ไม่ต้องอาบัติ
เรื่องไม่ใช่เจ้าของ ๗ เรื่อง
             [๑๖๖] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกคนรักษามะม่วงได้ถวายผลมะม่วงแก่ภิกษุทั้งหลายๆรังเกียจอยู่ว่า คนพวกนี้มีหน้าที่รักษา ไม่มีหน้าที่จะให้ จึงไม่รับ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่ต้องอาบัติ เพราะคนรักษาถวาย
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกคนรักษาชมพู่ ได้ถวายผลชมพู่แก่ภิกษุทั้งหลายๆ มีความรังเกียจอยู่ว่า คนพวกนี้มีหน้าที่รักษา ไม่มีหน้าที่จะให้ จึงไม่รับ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่ต้องอาบัติ เพราะคนรักษาถวาย
             ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกคนรักษาขนุนสำมะลอ ได้ถวายผลขนุนสำมะลอแก่ภิกษุทั้งหลายๆ รังเกียจอยู่ว่า คนพวกนี้มีหน้าที่รักษา ไม่มีหน้าที่จะให้ จึงไม่รับ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่ต้องอาบัติ เพราะคนรักษาถวาย
             ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกคนรักษาขนุน ได้ถวายผลขนุนแก่ภิกษุทั้งหลายๆ รังเกียจอยู่ว่า คนพวกนี้มีหน้าที่รักษา 
ไม่มีหน้าที่จะให้ จึงไม่รับ แล้วกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่ต้องอาบัติ เพราะคนรักษาถวาย
             ๕. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกคนรักษาผลตาลสุก ได้ถวายผลตาลสุกแก่ภิกษุทั้งหลายๆรังเกียจอยู่ว่า คนพวกนี้มีหน้าที่รักษา ไม่มีหน้าที่จะให้ จึงไม่รับ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่ต้องอาบัติ เพราะคนรักษาถวาย
             ๖. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกคนรักษาอ้อย ได้ถวายอ้อยแก่ภิกษุทั้งหลายๆ รังเกียจอยู่ว่าคนพวกนี้มีหน้าที่รักษา ไม่มีหน้าที่จะให้ จึงไม่รับ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มี
พระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่ต้องอาบัติ เพราะคนรักษาถวาย
             ๗. ก็โดยสมัยนั้นแล พวกคนรักษามะพลับ ได้ถวายผลมะพลับแก่ภิกษุทั้งหลายๆ รังเกียจอยู่ว่า คนพวกนี้มีหน้าที่รักษา 
ไม่มีหน้าที่จะให้ จึงไม่รับ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่ต้องอาบัติ เพราะคนรักษาถวาย
เรื่องยืมไม้ของสงฆ์
             [๑๖๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งขอยืมไม้ของสงฆ์ไปค้ำฝาที่อยู่ของตน ภิกษุทั้งหลายโจทภิกษุนั้นว่า ท่านไม่เป็นสมณะ เธอมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า คิดขอยืม พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติ เพราะขอยืม.
เรื่องลักน้ำของสงฆ์
             [๑๖๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีไถยจิตลักน้ำของสงฆ์ แล้วมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า คิดลัก พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
เรื่องลักดินของสงฆ์
             ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีไถยจิตลักดินของสงฆ์แล้วมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า คิดลัก พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
เรื่องหญ้า ๒ เรื่อง
             ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีไถยจิตลักหญ้ามุงกระต่ายของสงฆ์ แล้วมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า คิดลัก พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีไถยจิตเผาหญ้ามุงกระต่ายของสงฆ์ แล้วมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า คิดเผา พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องเสนาสนะของสงฆ์ ๗ เรื่อง
             [๑๖๙] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง มีไถยจิต ลักเตียงของสงฆ์ แล้วมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า คิดลัก พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง มีไถยจิต ลักตั่งของสงฆ์ แล้วมีความรังเกียจจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 
พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า คิดลัก พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
             ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง มีไถยจิต ลักฟูกของสงฆ์ แล้วมีความรังเกียจจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 
พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า คิดลัก พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
             ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง มีไถยจิต ลักหมอนของสงฆ์ แล้วมีความรังเกียจจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า คิดลัก พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
             ๕. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง มีไถยจิต ลักบานประตูของสงฆ์ แล้วมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า คิดลัก พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
             ๖. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง มีไถยจิต ลักบานหน้าต่างของสงฆ์ แล้วมีความรังเกียจจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า คิดลัก พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
             ๗. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง มีไถยจิต ลักไม้กลอนของสงฆ์ แล้วมีความรังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอคิดอย่างไร?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า คิดลัก พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
เรื่องของมีเจ้าของ ไม่ควรนำไปใช้
             [๑๗๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายนำเสนาสนะอันเป็นเครื่องใช้สำหรับวิหารของอุบาสกคนหนึ่ง ไปใช้สอย ณ ที่แห่งอื่น จึงอุบาสกนั้นเพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายจึงได้นำเครื่องใช้สอยในที่อื่นไปใช้สอยในที่อีกแห่งหนึ่งเล่า ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เครื่องใช้สอยในที่แห่งหนึ่งอันภิกษุไม่พึงใช้สอยในที่อีกแห่งหนึ่ง รูปใดใช้สอยต้องอาบัติทุกกฏ
เรื่องของมีเจ้าของ ควรขอยืม
             ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายรังเกียจที่จะนำกระทั่งผ้าปูนั่งประชุมไป แม้ ณ โรงอุโบสถจึงนั่งบนพื้นดิน เนื้อตัวก็ดี จีวรก็ดี แปดเปื้อนฝุ่น จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้นำไปใช้ได้ชั่วคราว ฯ
เรื่องภิกษุณีชาวเมืองจัมปา
             [๑๗๑] ก็โดยสมัยนั้นแล อันเตวาสิกาของภิกษุณีถุลลนันทา ไปสู่สกุลอุปัฏฐากของภิกษุณีถุลลนันทาในเมืองจัมปาแล้วบอกว่า แม่เจ้าปรารถนาจะดื่มยาคูที่ปรุงด้วยของ ๓ อย่างตนสั่งให้เขาหุงหาให้แล้วนำไปฉันเสีย ภิกษุณีถุลลนันทาทราบเข้า จึงโจทภิกษุณีอันเตวาสิกานั้นว่า เธอไม่เป็นสมณะ ภิกษุณีอันเตวาสิกามีความรังเกียจ จึงร้องเรียนแก่ภิกษุณีทั้งหลายๆแจ้งแก่ภิกษุทั้งหลายๆ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีนั้นไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะสัมปชานมุสาวาท
เรื่องภิกษุณีชาวเมืองราชคฤห์
           ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุณีอันเตวาสิกาของภิกษุณีถุลลนันทาไปสู่สกุลอุปัฏฐากของภิกษุณีถุลลนันทาในเมืองราชคฤห์แล้วบอกว่า แม่เจ้าปรารถนาจะฉันขนมรวงผึ้ง ตนสั่งให้เขาทอดแล้วนำไปฉันเสีย ภิกษุณีถุลลนันทาทราบเข้า จึงโจทภิกษุณีอันเตวาสิกานั้นว่า เธอไม่เป็นสมณะภิกษุณีอันเตวาสิกามีความรังเกียจ จึงร้องเรียนแก่ภิกษุณีทั้งหลายๆ แจ้งแก่ภิกษุทั้งหลายๆจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีนั้นไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะสัมปชานมุสาวาท.
เรื่องพระอัชชุกะเมืองเวสาลี
[๑๗๒] ก็โดยสมัยนั้นแล คหบดีอุปัฏฐากของท่านพระอัชชุกะในเมืองเวสาลี มีเด็กชาย ๒ คน คือ บุตรชายคนหนึ่ง หลานชายคนหนึ่ง ครั้งนั้นท่านคหบดีได้สั่งคำนี้ไว้กะท่านพระอัชชุกะว่า พระคุณเจ้าข้า บรรดาเด็ก ๒ คนนี้ เด็กคนใดมีศรัทธาเลื่อมใส พระคุณเจ้าพึงบอกสถานที่ฝังทรัพย์นี้แก่เด็กคนนั้น ดังนี้แล้วได้ถึงแก่กรรม ครั้นสมัยต่อมา หลานชายของคหบดีนั้นเป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใส จึงท่านพระอัชชุกะได้บอกสถานที่ฝังทรัพย์นั้นแก่เด็กหลานชายๆ นั้นได้รวบรวมทรัพย์ และเริ่มบำเพ็ญทานด้วยทรัพย์สมบัตินั้นแล้ว ภายหลัง บุตรชายคหบดีนั้น ได้เรียนถามเรื่องนี้กะท่านพระอานนท์ว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ใครหนอเป็นทายาทของบิดาบุตรชายหรือหลานชาย
             ท่านพระอานนท์ตอบว่า คุณ ธรรมดาบุตรชายเป็นทายาทของบิดา
             บุ. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระคุณเจ้าอัชชุกะนี้ ได้บอกทรัพย์สมบัติของกระผมให้แก่คู่แข่งขันของกระผม
             อา. คุณ ท่านพระอัชชุกะไม่เป็นสมณะ
       ลำดับนั้น ท่านพระอัชชุกะได้กล่าวคำนี้กะท่านพระอานนท์ว่า อาวุโส อานนท์ ขอท่านได้โปรดให้การวินิจฉัยแก่กระผมด้วยเถิด ก็ครั้งนั้นแล ท่านพระอุบาลีเป็นฝักฝ่ายของท่านพระอัชชุกะท่านจึงถามท่านพระอานนท์ว่าอาวุโส อานนท์ ภิกษุใดอันเจ้าของทรัพย์สั่งไว้ว่า ขอท่านได้โปรดบอกสถานที่ฝังทรัพย์นี้แก่ บุคคลนั้น ภิกษุนั้นจะต้องอาบัติด้วยหรือ?
             อา. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภิกษุนั้นไม่ต้องอาบัติสักน้อย                    โดยที่สุดแม้เพียงอาบัติทุกกฏ
             อุ. อาวุโส ท่านพระอัชชุกะนี้อันเจ้าของทรัพย์สั่งไว้ว่า ขอท่านได้โปรดบอกสถานที่ฝังทรัพย์นี้แก่บุคคลชื่อนี้ จึงได้
บอกแก่บุคคลนั้น ท่านพระอัชชุกะไม่ต้องอาบัติ.
เรื่องเมืองพาราณ
[๑๗๓] ก็โดยสมัยนั้นแล สกุลอุปัฏฐากของท่านพระปิลินทวัจฉะในเมืองพาราณสีถูกพวกโจรปล้น และเด็ก ๒ คน ถูกพวกโจรนำตัวไป ครั้งนั้นท่านพระปิลินทวัจฉะนำเด็ก ๒ คนนั้นมาด้วยฤทธิ์แล้วให้อยู่ในปราสาท ชาวบ้านเห็นเด็ก ๒ คน นั้นแล้ว ต่างพากันเลื่อมใสในท่านพระปิลินทวัจฉะเป็นอย่างยิ่งว่า นี้เป็นฤทธานุภาพของพระปิลินทวัจฉะ ภิกษุทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระปิลินทวัจฉะจึงได้นำเด็กที่ถูกพวกโจรนำตัวไปแล้วคืนมาเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่เป็นอาบัติ เพราะวิสัยแห่งฤทธิ์ของภิกษุผู้มีฤทธิ์.
เรื่องภิกษุชาวเมืองโกสัมพี
             [๑๗๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุ ๒ รูป ชื่อปัณฑกะ ๑ ชื่อกปิละ ๑ เป็นสหายกันรูปหนึ่งอยู่ในหมู่บ้าน อีกรูปหนึ่งอยู่ในเมืองโกสัมพี ขณะเมื่อภิกษุนั้นเดินทางจากหมู่บ้านไปเมืองโกสัมพี ข้ามแม่น้ำในระหว่างทาง เปลวมันข้นที่หลุดจากมือของพวกคนฆ่าหมูลอยติดอยู่ที่เท้า ภิกษุนั้นได้เก็บไว้ด้วยตั้งใจว่า จักให้แก่พวกเจ้าของๆ โจทภิกษุนั้นว่า ท่านไม่เป็นสมณะสตรีเลี้ยงโคคนหนึ่งเห็นภิกษุนั้นข้ามแม่น้ำขึ้นมาแล้ว ได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านเจ้าขา นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด ภิกษุนั้นคิดว่า แม้โดยปกติ เราก็ไม่เป็นสมณะแล้ว จึงเสพเมถุนธรรมในสตรีเลี้ยงโคนั้น ไปถึงเมืองโกสัมพีแล้ว แจ้งเรื่องนี้แก่ภิกษุทั้งหลายๆ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นไม่ต้องอาบัติปาราชิก เพราะอทินนาทานแต่ต้องอาบัติปาราชิก เพราะเสพเมถุนธรรมฯ
เรื่องสัทธิวิหาริกพระทัฬหิกะเมืองสาคละ
    [๑๗๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุสัทธิวิหาริกของท่านพระทัฬหิกะในเมืองสาคละ ถูกความกระสันบีบคั้นแล้ว ได้ลักผ้าโพกของชาวร้านไป แล้วได้กล่าวคำนี้กะท่านพระทัฬหิกะว่า กระผม ไม่เป็นสมณะ จักลาสิกขา ขอรับ
             ท่านพระทัฬหิกะถามว่า คุณทำอะไรไว้ฯ
             ภิกษุนั้นสารภาพว่า ลักผ้าโพกของชาวร้าน ขอรับ
             ท่านพระทัฬหิกะให้นำผ้าโพกนั้นมา แล้วให้ชาวร้านตีราคาเมื่อตีราคาผ้าโพกนั้น ราคาไม่ถึง ๕ มาสก ท่านพระทัฬหิกะชี้แจงเหตุผลว่า คุณไม่ต้องอาบัติปาราชิก ดังนี้ ภิกษุนั้นยินดี ยิ่งนักแล.
ปาราชิกสิกขาบท ที่ ๒ จบ.