Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ นิทาน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ นิทาน แสดงบทความทั้งหมด

23 พฤศจิกายน 2568

佛說出家功德經 พระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าเรื่องคุณธรรมแห่งการสละ

 search-google   หากข้อความนี้สร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณ   พระพุทธเจ้าตรัสว่า การคัดลอกพระคัมภีร์ การพิมพ์พระคัมภีร์ และการแจกหนังสือ ล้วนเป็นวิธีสร้างความเชื่อมโยง แต่กุญแจสำคัญอยู่ที่เจตนาของคุณ
                       การสร้างความเชื่อมโยงเป็นมากกว่าแค่การให้ทาน การคัดลอกพระคัมภีร์ การพิมพ์พระคัมภีร์ และการแจกจ่ายหนังสือพระพุทธศาสนา ล้วนเป็นหนทางที่จะให้ธรรมะไหลเข้าสู่หัวใจของผู้คน ความเชื่อมโยงที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ แต่อยู่ที่เจตนา ขอให้จิตใจของคุณบริสุทธิ์ และขอให้คุณมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
 ข้าพเจ้าได้ยินมาดังนี้:
 ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในแคว้นไวศาลี เมื่อถึงเวลาเสวยพระกระยาหาร พระองค์เสด็จเข้าเมืองเพื่อขอทาน ในเวลานั้น ในเมืองไวศาลี มีรถสาลี่คันหนึ่งชื่อวีระเสนา( ออกเสียงว่า "หย่งจุน "ในสมัยราชวงศ์ฉิน)ดุจดังเทพบุตรผู้สำราญสำราญกับเหล่าเทพี เจ้าชายองค์นี้ก็สำราญสำราญกับเหล่าเทพีบนศาลา ดื่มด่ำในราคะฉันใด
 ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับฟังเสียงดนตรีนั้นด้วยพระปรีชาญาณแล้ว จึงตรัสกับพระอานนท์ว่า “เรารู้อยู่ว่า บุคคลผู้นี้โลภในกามคุณ ๕ ประการ จักดับไปในไม่ช้า เจ็ดวันต่อมา บุคคลนั้นจักต้องละกามคุณเหล่านั้นในวงศ์ตระกูลของตนเสีย จักดับไปเป็นแน่ อานนท์! บุคคลผู้นี้ถ้าไม่ละกามคุณ ไม่ละโลกียกรรมแล้ว เมื่อตายไปแล้วย่อมตกนรก”
 ขณะนั้น พระอานนท์ทรงเลื่อมใสในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและปรารถนาจะให้พระอนุชาของเจ้าชายองค์นี้ เสด็จไปยังเรือน เจ้าชายทรงทราบว่าพระอนุชาอยู่ข้างนอก จึงเสด็จออกไปถวายบังคม แล้วทรงเชิญพระอนุชาให้นั่งลงด้วยความเคารพ หลังจากประทับนั่งสักครู่ พระอนุชาก็ทรงกราบทูลพระอนุชาด้วยพระทัยเคารพว่า “เยี่ยมมาก! มีมิตรสหายที่ดีมาปรากฏ บัดนี้เป็นเวลาอันสมควรแล้ว ข้าพระองค์มีความยินดียิ่งที่ได้พบพระองค์ นามของพระองค์แปลว่า ‘ความยินดี’ ดังนั้นบัดนี้พระองค์ควรทรงสั่งสอนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแก่ข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะได้มีความยินดีเช่นกัน” พระอนุชาทรงขอร้องถึงสามครั้ง พระอนุชาทรงปรารถนาที่จะทำความดีอย่างยิ่ง จึงทรงนิ่งเงียบ
                        เจ้าชายจึงตรัสว่า “พระเวท มหาฤๅษี มีประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ท่านจะเก็บความเคียดแค้นไว้ได้อย่างไร นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา เหตุใดจึงไม่เอ่ยออกมาเล่า”
 แล้วพระศาสดาองค์ที่สาม ผู้ซึ่งยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าและทรงทำคุณประโยชน์แก่โลก ก็ตรัสอย่างเศร้าสร้อยว่า “จงฟังให้ดี! ภายในเจ็ดวันเจ้าจะต้องตาย หากเจ้าไม่สามารถตื่นจากมายาแห่งกิเลสห้าประการได้ และไม่ละทิ้งโลกียะ เจ้าอาจตกนรกเมื่อตายไปแล้ว พระพุทธเจ้าผู้ทรงรอบรู้ได้ตรัสไว้อย่างสัตย์จริง และทรงทำนายเรื่องนี้ไว้ในใจเจ้าแล้ว ดุจดังไฟที่ไม่เคยมอดไหม้โดยเปล่าประโยชน์ เรื่องนี้ก็จะเป็นจริงเช่นกัน จงใคร่ครวญเรื่องนี้ให้ดี!”
                       เมื่อเจ้าชายทรงสดับฟังถ้อยคำเหล่านี้ พระองค์ทรงโศกเศร้าและหวาดผวายิ่งนัก ทรงหดหู่และเศร้าโศกยิ่งนัก พระองค์ทรงรับคำชี้แนะของพระอานนท์ที่ว่า “เราจะละโลกนี้และมีความสุขอีกหกวัน ในวันที่เจ็ด เราจะละครอบครัวและญาติมิตร และละโลกนี้อย่างแน่นอน” พระอานนท์ทรงเห็นด้วย
                       ในวันที่เจ็ด ด้วยความเกรงกลัวความตาย จึงได้ทูลขอพระพุทธเจ้าให้อุปสมบท และพระพุทธเจ้าก็ทรงโปรดประทานพร พระองค์ทรงรักษาศีลบริสุทธิ์หนึ่งวันหนึ่งคืน แล้วจึงปรินิพพาน หลังจากจุดธูปแล้ว พระอานนท์และบริวารได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค! บัดนี้วิลาสเสนภิกษุนี้ปรินิพพานไปแล้ว ดวงจิตของท่านหายไปไหนแล้ว?”
 ครั้นแล้ว พระพุทธเจ้าผู้เป็นโลกียะ ศาสดาของเทวดาและมนุษย์ ผู้ทรงรอบรู้ ทรงเปล่งเสียงมหาพรหม ดังยิ่งกว่าเสียงกึกก้องของกาลวิณกะ ได้ตรัสกับพระอานนท์ด้วยพระสุรเสียงแปดเสียงว่า “ภิกษุวิลาสนี้ เกรงกลัวทุกข์แห่งการเกิด ความตาย และนรก จึงละทิ้งโลกียะและอุปสมบทเป็นภิกษุ หลังจากรักษาศีลบริสุทธิ์หนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ก็ได้เสด็จไปเกิดในสวรรค์ชั้นฟ้าของกษัตริย์ทั้งสี่ เป็นโอรสของไวศรวณ กษัตริย์แห่งสวรรค์ชั้นเหนือ พระองค์ทรงเสพสุขในกาม ๕ ประการ เสพสุขอย่างตะกละตะกลาม สำรวมอยู่กับหญิงงามเป็นเวลาห้าร้อยปี ห้าร้อยปีผ่านไป พระองค์ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้วสามสิบครั้ง...”
 พระองค์ทรงเป็นโอรสของพระอินทร์ เสพสุขในกาม ๕ ประการ สำรวมอยู่กับนางสาวทิพย์เป็นเวลาหนึ่งพันปี เมื่อสิ้นอายุขัย พระองค์ได้เสด็จไปเกิดในสวรรค์ชั้นเปลวเพลิงเป็นเจ้าชาย ทรงเสพสุขในกามสุขทั้งรูป รส กลิ่น และสัมผัส ทรงพบความสุขสูงสุด ครั้นเสด็จไปสองพันปีในสวรรค์ชั้นดุสิต ทรงเสพสุขในกามสุขทั้งห้า ดวงตาเปี่ยมด้วยกามสุข อิ่มเอมในพระทัย ตรัสธรรมและปัญญาแห่งการหลุดพ้น ทรงมีอายุขัยปานกลางในสวรรค์ชั้นสุคติ สี่พันปีผ่านไป ทรงเสพสุขในสวรรค์ชั้นสุคติ ทรงเสวยสุขในกามสุขทั้งห้า ทรงอยู่ในหมู่สาวพรหมจรรย์ เสพสุขอยู่แปดพันปี แปดพันปีผ่านไป ทรงสวรรคตและเสด็จไปเกิดในสวรรค์ชั้นปรนิมฺมิทวารสวรทินเป็นเจ้าชาย สวรรค์ชั้นหกนี้หาใดเปรียบมิได้ในสวรรค์ชั้นห้า เมื่อเสด็จไปประสูติ ณ ที่นั้น ทรงได้รับพรอันประเสริฐ สมบัติแห่งความสุขทั้งปวง ขณะที่พระองค์กำลังเสวยสุขนี้ จิตของพระองค์ก็มึนเมาอย่างที่สุด พระองค์ทรงเสวยสุขในความสุขสูงสุดอย่างบริบูรณ์เป็นเวลาหนึ่งหมื่นหกพันปี
 พระองค์ทรงเสวยสุขโดยเสด็จไปมาระหว่างสวรรค์ชั้นตัณหาทั้งหกเจ็ดครั้ง พระวิรกันต์นี้ เพราะทรงสละโลกียะหนึ่งวันหนึ่งคืน จึงไม่ตกนรก เปรต และสัตว์เดรัจฉานเป็นเวลายี่สิบกัลป์ แต่กลับบังเกิดในสวรรค์ชั้นตัณหา มนุษย์ย่อมได้รับพรเป็นธรรมดา ในที่สุด ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย พวกเขาก็บังเกิดในตระกูลที่มั่งคั่งและมีความสุข มีทรัพย์สมบัติมากมาย เมื่อพ้นวัยทองแล้ว เมื่อจิตทั้งหลายเจริญเต็มที่แล้ว ด้วยความกลัวต่อการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ย่อมละทิ้งโลก โกนศีรษะและเครา สวมจีวรสงฆ์ บำเพ็ญเพียร บำเพ็ญธรรม ประพฤติธรรม ๔ อิริยาบถ เจริญสติปัฏฐาน พิจารณาเห็นทุกข์ ว่าง ว่าง และอนิจจังของขันธ์ห้า เข้าใจเหตุปัจจัยแห่งธรรม บรรลุพระปัจเจกพุทธเจ้า พระนามว่า วิรุทธกะ ในเวลานั้น ย่อมเปล่งแสงอันไพศาล มนุษย์และเทวดามากมายเกิดมามีรากอันดีงาม ส่งผลให้สรรพสัตว์ทั้งหลายหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งการหลุดพ้นลงในยานทั้งสาม
 ขณะนั้น พระอานนท์ประสานพระหัตถ์แล้วทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า! หากผู้ใดอนุญาตให้ผู้อื่นละทิ้งโลกียะ และโลกียะนั้นอนุญาตให้เขาทำตามใจปรารถนา เขาจะได้รับประโยชน์มากเพียงไร? หากผู้ใดทำลายโอกาสการละทิ้งโลกียะของผู้อื่น เขาจะประสบผลกรรมใด? ข้าพเจ้าขอวิงวอนพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดอธิบายเรื่องนี้โดยละเอียด!”
 พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า “แม้ท่านจะถามเราถึงเรื่องนี้ตลอดร้อยปี แม้เราจะใช้ปัญญาอันไม่สิ้นสุด อธิบายบุญของบุคคลนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนตลอดร้อยปี (ไม่นับรวมเวลากินดื่ม) เราก็ยังไม่สามารถทำให้หมดสิ้นไปได้ บุคคลนี้ย่อมได้ไปเกิดในสวรรค์หรือในหมู่มนุษย์ เป็นพระราชาอยู่เนืองนิจ สุขสำราญในสวรรค์และในมนุษย์ตลอดไป หากผู้ใดในธรรมวินัยนี้ ชักชวนผู้อื่นให้ละโลกียโลกียะ หรือช่วยเหลือในเหตุปัจจัยแห่งการสละ บุคคลนั้นย่อมได้ความสุขในวัฏสงสารเสมอ แม้เราจะอธิบายบุญของเขาตลอดร้อยปี ก็ไม่มีวันหมดสิ้นไปได้ ฉะนั้น อานนท์! แม้ท่านจะถามเราถึงเรื่องนี้ตลอดร้อยปี แม้เราจะอธิบายบุญเหล่านี้จนนิพพาน เราก็ยังไม่สามารถทำให้หมดสิ้นไปได้”
 พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า “ผู้ใดทำลายโอกาสสละโลกของผู้อื่น เปรียบเสมือนการปล้นทรัพย์สมบัติและพรอันหาที่สุดมิได้ ทำลายปัจจัยสามสิบเจ็ดประการที่ส่งเสริมพระโพธิสัตว์และนิพพาน หากผู้ใดคิดจะทำลายโอกาสสละโลก ควรพิจารณาเรื่องนี้ให้รอบคอบ เพราะเหตุใด? เพราะบาปนี้ ย่อมตกนรก ตาบอดชั่วนิรันดร์ ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส หากเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ย่อมตาบอดชั่วนิรันดร์ หากเกิดเป็นเปรต ย่อมตาบอดชั่วนิรันดร์ จะต้องทนทุกข์ในภพสามภพชั่วกาลนาน กว่าจะหลุดพ้น หากเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมตาบอดตั้งแต่กำเนิด ท่านถามข้าพเจ้าเรื่องนี้มาเป็นร้อยปีแล้ว และข้าพเจ้าก็ใช้ปัญญาอันหาที่สุดมิได้อธิบายผลกรรมมาร้อยปีแล้ว แต่ก็ยังไม่สิ้นสุด ย่อมบังเกิดในภพสี่ภพชั่วกาล อาณาจักรต่างๆ และข้าจะไม่มีวันจดจำว่าคนเช่นนี้จะได้รับการปล่อยตัวออกมา เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ทั้งหมดนี้ก็เพราะทำลายโอกาสในการละทิ้งชีวิตทางโลก"
 หรือเมื่อบรรลุบุญอันหาที่สุดมิได้แล้ว ย่อมต้องรับบาปอันหาประมาณมิได้ เพราะทำลายเหตุปัจจัยอันดีเหล่านั้น เพราะการเบียดเบียนแห่งการบำเพ็ญตบะ ในกระจกแห่งปัญญาอันบริสุทธิ์นี้ เพื่อประโยชน์แห่งการหลุดพ้นจากธรรมอันดีทั้งปวง หากเห็นผู้บำเพ็ญตบะปฏิบัติศีลบริสุทธิ์มุ่งสู่การหลุดพ้น แล้วขัดขวางการบำเพ็ญตบะนั้น ก่ออุปสรรค เพราะเหตุนี้ ผู้จึงเกิดมาตาบอดตลอดกาล มองไม่เห็นนิพพาน เพราะการเบียดเบียนแห่งการบำเพ็ญตบะ พิจารณาไตรสิกขาปฏิจจสมุปบาท ๑๒ ประการ ซึ่งรวมถึงอวิชชาด้วย ย่อมบรรลุการหลุดพ้น แต่เพราะทำลายจักษุปัญญาของผู้อื่น และเพราะการเบียดเบียนแห่งการบำเพ็ญตบะบังจักษุปัญญา ตั้งแต่เกิดจนตาย ย่อมตาบอดตลอดกาล มองไม่เห็นไตรภูมิ เพราะการเบียดเบียนแห่งการบำเพ็ญตบะ
 ผู้บำเพ็ญตบะควรเห็นขันธ์ห้าและ อัตตา ๒๐ ประการ บุคคลพึงแสวงหาทางที่ถูกต้อง เพราะเหตุแห่งการสละสูญสิ้นไป และความเห็นชอบสูญสลายไป ย่อมบังเกิดในภาวะตาบอดชั่วกาลนาน มองไม่เห็นมรรคผล ผู้สละควรเห็นธรรมทั้งปวงเป็นขันธ์ เป็นที่อยู่ของธรรมอันบริสุทธิ์ และควรพิจารณากายธรรมอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เมื่อเหตุแห่งการสละสูญสิ้นไป ย่อมบังเกิดในภาวะตาบอดชั่วกาลนาน มองไม่เห็นกายธรรมของพระพุทธเจ้า ผู้สละควรมีกายเป็นพระภิกษุ ถือศีล เป็นทุ่งบุญอันบริสุทธิ์ และหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งมรรคผลแห่งพระพุทธเจ้า เพราะการสละสูญสิ้นไป ความหวังในธรรมอันบริสุทธิ์จึงสูญสิ้นไป และด้วยเหตุแห่งบาปนี้ ผู้จึงตาบอดชั่วกาลนาน เพราะการสละสูญสิ้นไป ผู้สละควรพิจารณากายและใจทั้งหลายด้วยความรอบคอบ โดยรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน และไม่บริสุทธิ์ การห้ามปรามผู้อื่นในการสละ ก่อให้เกิดอุปสรรค เท่ากับทำลายดวงตาคู่นี้
                        เพราะตานี้แตกสลายไปแล้ว จึงไม่สามารถมองเห็นมรรคสี่ สติปัฏฐานสี่ สัมมาทิฏฐิสี่ มรรคสี่ มรรคห้า พละห้า โพชฌงค์เจ็ด มรรคแปด หรือทางสู่พระนิพพานได้ เพราะบาปนี้เอง บุคคลจึงเกิดมาตาบอด แม้กระทั่งมองไม่เห็นธรรมอันบริสุทธิ์และดีงาม อันได้แก่ ความว่าง ความไม่เที่ยง และความไม่มีกิริยา อันเป็นทางสู่พระนิพพาน
                        เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาพึงทราบว่า ผู้ที่ละทิ้งโลกนี้ ควรบำเพ็ญธรรมอันดีงามนี้ และไม่ควรทำลายเหตุปัจจัยแห่งธรรมอันดีงามนี้ ให้เป็นเหตุให้เกิดบาปเหล่านั้น ผู้ใดทำลายเหตุปัจจัยแห่งความเห็นชอบของพระภิกษุผู้สละแล้ว ย่อมไม่อาจเห็นพระนิพพานได้ และจะต้องตกอยู่ในความมืดบอดชั่วนิรันดร์
                        "หากบุคคลใดจะละโลกและรักษาศีลบริสุทธิ์เป็นเวลาหนึ่งร้อยกัลป์ และหากบุคคลใดจะละโลกและรักษาศีลในชมพูทวีปนี้ แม้เพียงวันเดียวหรือคืนเดียว หรือแม้เพียงครู่เดียว และละโลกอย่างบริสุทธิ์ ในหนึ่งร้อยกัลป์นั้น บุคคลนั้นก็จะไม่ถึงศีลหนึ่งในสิบหกด้วยซ้ำ"
 หากบุคคลใดประพฤติผิด ล่วงประเวณีกับพี่สาวหรือญาติผู้หญิงอื่น หรือประพฤติตนไม่เหมาะสม หรือมีความโลภและความริษยา ผลกรรมจากการกระทำดังกล่าวย่อมประเมินค่ามิได้ หากบุคคลใดสามารถพิจารณาไตร่ตรองอย่างถูกต้อง มีจิตใจที่จะละทิ้งโลกียะ และปรารถนาที่จะละทิ้งความชั่วทั้งปวง และหากบุคคลอื่นขัดขวางเงื่อนไขแห่งกรรมของผู้นั้น และขัดขวางมิให้ความปรารถนาของเขาบรรลุผล ผลกรรมจากการกระทำดังกล่าวจะทวีคูณขึ้นเป็นร้อยเท่าจากเดิม
 ครั้นพระอานนท์จึงทูลถามพระพุทธเจ้าอีกครั้งว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า! วีระณะนี้เมื่อได้หยั่งรากลงแล้ว ย่อมได้ไปเกิดในที่อันประเสริฐและมีความสุข เป็นเพราะท่านได้กระทำความดีในอดีตชาติด้วยหรือ หรือเป็นเพราะบุญจากการบำเพ็ญเพียรหนึ่งวันหนึ่งคืนเท่านั้นจึงได้รับพรเช่นนี้?”
 พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า “ท่านไม่ควรยึดติดในเหตุปัจจัยในอดีต! เพราะการสละบริสุทธิ์เพียงหนึ่งวันและหนึ่งคืนนี้ รากแห่งบุญนี้จะนำมาซึ่งพรเจ็ดครั้งในหกภพแห่งความปรารถนา และท่านจะได้เสพสุขจากการเกิดและตายในโลกนี้ตลอดยี่สิบกัลป์ ในที่สุด ท่านก็จะได้เกิดในภพมนุษย์ในตระกูลแห่งความสุขและความสุขสำราญ เมื่ออายุขัยอันรุ่งโรจน์ของท่านผ่านไป และประสาทสัมผัสของท่านเจริญงอกงามแล้ว ด้วยความกลัวต่อการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และทุกข์ ท่านก็จะละทิ้งโลก รักษาศีล และบรรลุพระปัจเจกพุทธเจ้า”
 พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า “บัดนี้เราจะกล่าวเปรียบเทียบกัน ฟังให้ดี! ลองนึกภาพทวีปทั้งสี่ คือ ปุรววิเทหะตะวันออก ชัมบุตวิภาใต้ กายนีตะวันตก และอุตตระกุรุเหนือ เต็มไปด้วยพระอรหันต์ เปรียบเสมือนป่าข้าวและป่าน หากบุคคลใดอุทิศเครื่องนุ่งห่ม อาหาร ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย และเครื่องนอนให้แก่พระอรหันต์เหล่านี้อย่างเต็มเปี่ยมตลอดร้อยปี แม้หลังจากปรินิพพานแล้ว หากเขาสร้างเจดีย์และวิหาร ประดับประดาด้วยอัญมณี ดอกไม้ ธูป พวงมาลัย ธง มณฑป และดนตรี แขวนระฆังประดับอัญมณี โปรยน้ำหอม สรรเสริญและถวายเครื่องบูชาด้วยบทสวด บุญที่ได้ก็จะไม่ถึงหนึ่งในสิบหกของบุญที่บุคคลผู้ละโลก บวช และบำเพ็ญกุศลเพื่อนิพพาน แม้เพียงวันเดียวคืนเดียวได้ ด้วยเหตุนั้น ผู้มีศีล บุรุษทั้งหลายควรละโลกและบำเพ็ญศีลให้บริสุทธิ์ บุรุษผู้มีคุณธรรม! ผู้ที่ปรารถนาบุญ แสวงหาธรรมอันดีงาม หรือผู้ที่รับธรรมด้วยตนเอง ไม่ควรขัดขวางโอกาสในการละโลก พวกเขาควรส่งเสริมพวกเขาให้ทำเช่นนั้นอย่างขยันขันแข็งและด้วยความสามารถ”
 เมื่อที่ประชุมได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้ว ทุกคนก็เบื่อหน่ายโลก ละทิ้งโลกียะเพื่อรักษาศีล บางคนบรรลุพระโสดาบัน หรือกระทั่งบรรลุอรหันต์ บางคนได้เพาะเมล็ดพันธุ์แห่งพระปัจเจกพุทธเจ้า และบางคนได้บังเกิดเป็นพระโพธิสัตว์สูงสุด ทุกคนต่างมีความยินดีและปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ด้วยความเคารพ

22 พฤศจิกายน 2568

敦煌風格連環畫 "เหตุและปัจจัยอันละเอียดอ่อนแห่งความทุกข์ของภิกษุณี"

 search-google   ห้องสมุดศิษย์พุทธศาสนิกชน การ์ตูนสไตล์ตุนหวงเรื่อง "เหตุและปัจจัยอันละเอียดอ่อนแห่งความทุกข์ของภิกษุณี"  

               (1) กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายชราผู้มั่งคั่งคนหนึ่งไม่มีบุตร จึงรับหญิงยากจนคนหนึ่งมาเป็นภรรยาน้อย ชายชราหลงใหลภรรยาน้อยของตนมาก ไม่นานนางก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย ภรรยาคนแรกของผู้เฒ่าเกิดความหึงหวง เมื่อภรรยาน้อยไม่อยู่ นางจึงใช้เข็มเหล็กแทงหน้าผากทารกน้อย
               (2) ทารกน้อยเสียชีวิตภายในสองวัน พระสนมเสียใจมากและสงสัยว่าภรรยาคนแรกได้ฆ่าเขาอย่างลับๆ เธอจึงไปเผชิญหน้ากับภรรยาคนแรกและกล่าวว่า "เจ้าช่างโหดร้ายเกินไป เจ้าฆ่าลูกชายของข้า!" ภรรยาคนแรกชี้ไปบนฟ้าและสาบานว่า "หากข้าฆ่าลูกชายของเจ้า ขอให้ข้าไม่ได้มีชีวิตที่ดีในชาติหน้า ขอให้สามีของข้าตายหลังจากข้าแต่งงาน ขอให้ข้าถูกงูต่อย ขอให้ลูกของข้าตายหลังจากข้าคลอดลูก ขอให้ข้าจมน้ำตายและถูกหมาป่ากิน ขอให้ข้ากินลูกของตัวเอง ขอให้ข้าถูกฝังทั้งเป็น ขอให้บ้านของข้าถูกไฟไหม้และลูกๆ ทั้งหมดต้องตาย"
               (3) หลังจากภรรยาคนแรกเสียชีวิต เธอได้เกิดใหม่ในตระกูลพราหมณ์ผู้สูงศักดิ์และมั่งคั่ง เธอมีรูปร่างหน้าตางดงามและเฉลียวฉลาดตั้งแต่ยังเด็ก และพ่อแม่ของเธอรักเธอมาก พวกเขาตั้งชื่อเธอว่า เหมียวเหมี่ยว หลังจากเธอเติบโตขึ้น เธอได้หมั้นหมายกับบุตรชายของพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้มั่งคั่งและมีฐานะทางสังคมเท่าเทียมกัน
               (4) หลังจากที่เหมียวแต่งงานเข้าครอบครัว ทั้งสองครอบครัวก็ร่ำรวย ทั้งคู่รักกันและมีลูกชายด้วยกัน สองสามปีต่อมา พ่อตาแม่ยายของเธอก็เสียชีวิตลงทีละคน ทิ้งมรดกไว้มากมาย เธอและสามีใช้ชีวิตอย่างสุขสบายและมั่งคั่ง วันหนึ่ง เหมียวพูดกับสามีว่า "ฉันตั้งครรภ์และใกล้ถึงกำหนดคลอดแล้ว กรุณาส่งฉันกลับไปคลอดที่บ้านพ่อแม่ด้วย"
               (5) ตามธรรมเนียมอินเดียโบราณ ผู้หญิงต้องกลับไปคลอดลูกที่บ้านพ่อแม่ สามีจึงตกลงตามคำขออันละเอียดอ่อน จัดการเรื่องภายในบ้านให้เรียบร้อย แล้วทั้งคู่ก็พาลูกคนโตออกเดินทาง
               (6) เมื่อไปถึงครึ่งทาง เหมียวเหมียวก็ปวดท้องอย่างหนักจนเดินไม่ได้ ครอบครัวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพักผ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่กลางป่า เที่ยงคืน เหมียวเหมียวก็คลอดลูกออกมาเป็นเด็กชาย แต่เลือดกลับดึงดูดงูพิษตัวใหญ่มาต่อยสามีจนตาย เหมียวเหมียวร้องเรียกสามีอยู่นานในความมืด แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ
               (7) เมื่อรุ่งสาง เมี่ยวเมี่ยวพยายามลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เมื่อเห็นว่าสามียังไม่ตื่น เธอจึงเอื้อมมือไปดึงเขาขึ้นมา และพบว่าเขาถูกงูพิษต่อยจนตาย ร่างกายของเขาบวมเป่งและแขนขาแข็งเกร็ง เมี่ยวเมี่ยวหมดสติไปทันที
               (8) ผ่านไปนาน ท่ามกลางเสียงร้องไห้ของลูกสองคน เหมียวเหมี่ยวก็ตื่นขึ้นมาในที่สุด อุ้มลูกน้อยที่อยู่ข้างกายขึ้นมาร้องไห้คร่ำครวญเสียงดัง จากนั้นเธอก็คลุมร่างสามีด้วยหญ้า แบกลูกทั้งสองไว้บนหลัง แล้วเดินกลับบ้านพ่อแม่
               (9) แม่น้ำใหญ่ขวางทางพวกเขาไว้ ไม่มีสะพานและไม่มีเรือ พวกเขาจะพาเด็กสองคนข้ามไปได้อย่างไร เหมียวเมี่ยวอุ้มทารกน้อยข้ามไปก่อน แล้ววางไว้บนหญ้าริมฝั่ง จากนั้นก็ลุยน้ำกลับไปรับเด็กคนโต เมื่อเด็กคนโตเห็นแม่มารับ เขาก็รีบวิ่งลงไปในแม่น้ำ แต่กระแสน้ำเชี่ยวกรากทำให้จมน้ำตาย เมื่อเหมียวเมี่ยวหันกลับไปมองทารกน้อย หมาป่าหิวโหยได้กินเขาไปแล้ว
               (10) เมี่ยวเมี่ยวสูญเสียลูกสองคนไปในพริบตา เธอรู้สึกสิ้นหวังและเป็นลมอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ นานหลังจากนั้น สายลมอ่อนๆ พัดมาปลุกเธอ หวังจะหาที่หลบภัยกับพ่อแม่ เธอจึงออกเดินทางเพียงลำพัง ระหว่างทาง เธอได้พบกับเพื่อนของพ่อ และเล่าประสบการณ์อันน่าเศร้าให้พ่อฟัง พร้อมกับสอบถามเกี่ยวกับครอบครัว เพื่อนของพ่อกล่าวว่า "น่าเสียดายมาก บ้านของคุณถูกไฟไหม้ ครอบครัวของคุณทั้งหมดก็ตายหมด"
               (11) เมื่อเหมียวเหมียวได้ยินข่าวร้ายนี้ นับเป็นหายนะถึงสองเท่า เธอสิ้นหวังและหมดสติไปอีกครั้งในทันที เพื่อนเก่าของเธอช่วยชีวิตเธอไว้ พาเธอกลับบ้าน รับเธอเป็นลูกบุญธรรม และดูแลเธอด้วยความทุ่มเทอย่างสุดหัวใจ
               (12) ไม่นานนัก ชายผู้มีกิเลสตัณหาคนหนึ่งจากตระกูลขุนนางพราหมณ์ เห็นว่าเหมียวเมี่ยวยังสาวและงดงาม จึงต้องการแต่งงานกับเธอ เหมียวเมี่ยวรู้สึกว่าการอยู่อาศัยที่บ้านเพื่อนของบิดาไม่ใช่ทางออกในระยะยาว เธอจึงตกลงแต่งงาน
               (13) ไม่นานหลังจากแต่งงานกัน เหมียวก็ตั้งครรภ์ คืนก่อนกำหนดคลอด สามีของเธอกลับมาบ้านเพื่อนในสภาพเมามายและเริ่มเคาะประตู เหมียวกำลังเจ็บท้องคลอดและเปิดประตูให้สามีไม่ได้
               (14) หลังจากที่สามีของเธอเรียกหาเป็นเวลานานโดยไม่ได้รับคำตอบ เขาก็พังประตูเข้าไป ด้วยความโมโห เขาจึงลากเหมียวเหมียวลงจากเตียง และเตะและทุบตีเธอโดยไม่ถามอะไร เหมียวเหมียวอ้อนวอนและอธิบายว่า "ฉันกำลังจะคลอดลูก และเปิดประตูให้ไม่ได้"
               (15) สามีผู้ไร้หัวใจคว้าตัวทารกแรกเกิด สับเป็นชิ้นๆ ด้วยมีด โยนลงในกระทะน้ำมันทอดจนสุก แล้วบังคับให้เหมียวเหมียวกินลูกของตัวเอง เหมียวเหมียวไม่ยอมกิน สามีจึงตีเธออย่างบ้าคลั่ง เหมียวเหมียวทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสจนกินลูกที่ทอดแล้ว
               (16) เธอไม่อาจทนต่อการถูกสามีทุบตี ถูกเหยียดหยาม และประพฤติตนไร้มนุษยธรรมได้ จึงละทิ้งบ้านในคืนนั้น ขณะที่สามีเมาและหมดสติอยู่
               (17) ซับเทิลเดินทางไปพาราณสี วันหนึ่งเธอพักผ่อนใต้ต้นไม้ในสุสาน เธอเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังโศกเศร้ากับภรรยาที่เพิ่งเสียชีวิต ร้องไห้อย่างขมขื่น ซับเทิลคิดถึงสามีและลูกๆ ของตัวเอง และร้องไห้อย่างขมขื่นเช่นกัน ชายหนุ่มสังเกตเห็นเสียงร้องไห้ของเธอ ทั้งสองได้รู้จักกันและร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน พวกเขารู้สึกผูกพันกันอย่างลึกซึ้งและตัดสินใจแต่งงานกัน
               (18) เหมียวเมี่ยวผู้ไร้บ้านได้สร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับชายหนุ่มผู้มั่งคั่งคนนี้ แต่ความสุขของพวกเขาก็อยู่ได้เพียงช่วงสั้นๆ เมื่อชายหนุ่มป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายและเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ตามธรรมเนียมท้องถิ่น ภรรยาที่รักและทรัพย์สินอันล้ำค่าของสามีจะต้องถูกฝังไปพร้อมกับเขาในสุสาน ดังนั้นเหมียวเมี่ยวจึงถูกฝังทั้งเป็นเพื่อเป็นเครื่องบูชา
               (19) วัตถุโบราณอันล้ำค่าและมีค่าเหล่านี้ดึงดูดความสนใจของเหล่านักปล้นสุสาน คืนนั้น กลุ่มนักปล้นสุสานได้ขุดหลุมศพขึ้นมา แม้ว่าเมี่ยวเมี่ยวจะถูกฝังทั้งเป็นมาหนึ่งวันแล้ว แต่นางก็ไม่ได้ขาดอากาศหายใจและเสียชีวิต ลมกระโชกแรงพัดนางกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
               (20) หัวหน้ากลุ่มโจรปล้นสุสานเห็นว่าเหมียวเหมียวยังสาว สวย และมีเสน่ห์ จึงพาเธอกลับบ้าน หลังจากเหมียวเหมียวฟื้นขึ้นมา เขาก็บังคับให้เธอมาเป็นภรรยา
               (21) หลายวันต่อมา หัวหน้ากลุ่มโจรปล้นสุสานได้ไปปล้นสุสานอีกครั้ง คราวนี้เจ้าของสุสานพบและรายงานให้รัฐบาลทราบ รัฐบาลจึงส่งคนไปจับกุมหัวหน้ากลุ่มโจรปล้นสุสาน หัวหน้ากลุ่มโจรปล้นสุสานถูกทหารควบคุมตัวไปสอบสวน
               (22) ตามกฎหมายของเมืองพาราณสี ผู้ที่ปล้นสุสานผู้อื่นจะต้องถูกประหารชีวิต หัวหน้ากลุ่มโจรปล้นสุสานถูกลงโทษตามกฎหมายและถูกตัดสินประหารชีวิต ศีรษะถูกตัดศีรษะและนำมาแสดงต่อสาธารณชน ด้วยความโศกเศร้าเสียใจ เขาจึงยกมือขึ้นแตะพื้นและเป็นลมหมดสติอยู่ตรงนั้น
               (23) ตามธรรมเนียมพิธีศพของประเทศตน เหล่านักปล้นสุสานที่เหลือได้ฝังเหมียวเหมียวทั้งเป็นไว้ในสุสานพร้อมกับหัวหน้านักปล้นสุสาน โดยใช้เธอเป็นเครื่องบูชา สามวันต่อมา ฝูงหมาป่าหิวโหยได้ขุดค้นสุสานใหม่เพื่อค้นหาผู้ตาย พวกเขาขุดเพียงหลุมเดียวในห้องฝังศพ แต่โชคดีที่ไม่ได้กินเหมียวเหมียว อากาศบริสุทธิ์เข้าไปในสุสาน และเหมียวเหมียวก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง
              (24) เหมียวเมี่ยวคลานออกมาจากหลุมศพ เสื้อผ้าของนางขาดวิ่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพราะหมาป่าหิวโหย ทำให้นางไม่อาจปรากฏตัวต่อหน้าใครได้ ท่ามกลางความทุกข์ระทม นางร้องตะโกนไปทั่วสวรรค์และโลกว่า “เหตุใดโลกจึงโหดร้ายไร้หัวใจเช่นนี้ ก่อความทุกข์ทรมานให้ข้าฯ เกิดแล้วตายอีก ตายแล้วเกิดอีก” เสียงร้องของเหมียวเมี่ยวดังไปถึงพระกรรณของพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงนำพระสาวกไปหาเหมียวเมี่ยว ประทานเสื้อผ้าให้นางเป็นทาน และทรงอธิบายสาเหตุและสภาพในอดีตชาติของนางที่นำไปสู่ความทุกข์ในชาตินี้ให้นางฟัง หลังจากได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เหมียวเมี่ยวจึงทรงปลงพระทัยที่จะตัดขาดจากโลกภายนอก และทรงละทิ้งโลกภายนอกเพื่อศึกษาพระธรรม พระพุทธเจ้าจึงทรงรับเหมียวเมี่ยวเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า