Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปฐมภาณวาร แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปฐมภาณวาร แสดงบทความทั้งหมด

23 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ พุทธปริวิตกกถา เรื่องอุปกาชีวก เรื่องพระปัญจวัคคีย์ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ปฐมเทศนา

พุทธปริวิตกกถา

   [๑๐] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงดำริว่า เราจะพึงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ใครจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน ครั้นแล้วทรงพระดำริต่อไป
   ว่า อาฬารดาบส กาลามโคตรนี้แลเป็นผู้ฉลาด เฉียบแหลม มีปัญญา มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยเป็นปกติมานาน ถ้ากระไรเราพึงแสดงธรรมแก่อาฬารดาบส กาลามโคตรก่อน เธอจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน.
   ทีนั้นเทพดาอันตรธานมากราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า อาฬารดาบส กาลามโคตร สิ้นชีพได้ ๗ วันแล้วพระพุทธเจ้าข้า. 
   แม้พระผู้มีพระภาคก็ทรงทราบ
   ว่า อาฬารดาบสกาลามโคตรสิ้นชีพได้ ๗ วันแล้วจึงทรงพระดำริว่า อาฬารดาบสกาลามโคตร เป็นผู้มีความเสื่อมใหญ่ เพราะถ้าเธอได้ฟังธรรมนี้ จะพึงรู้ทั่วถึงได้ฉับพลัน.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า เราจะพึงแสดงธรรม แก่ใครก่อนหนอ ใครจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน ครั้นแล้วทรงพระดำริต่อไป
   ว่า อุทกดาบส รามบุตรนี้แลเป็นผู้ฉลาด เฉียบแหลม มีปัญญา มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยเป็นปกติมานาน ถ้ากระไร เราพึงแสดงธรรมแก่อุทกดาบส รามบุตรก่อน เธอจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน.
   ทีนั้น เทพดาอันตรธานมากราบทูลพระผู้มีพระภาค
   ว่า อุทกดาบส รามบุตรสิ้นชีพเสียวานนี้แล้ว พระพุทธเจ้าข้า. แม้พระผู้มีพระภาคก็ทรงทราบว่า อุทกดาบส รามบุตรสิ้นชีพเสียวานนี้แล้ว จึงทรงพระดำริ
   ว่า อุทกดาบส รามบุตรนี้ เป็นผู้มีความเสื่อมใหญ่ เพราะถ้าเธอได้ฟังธรรมนี้ จะพึงรู้ทั่วถึงได้ฉับพลัน.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า เราจะพึงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ใครจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน ครั้นแล้วทรงพระดำริต่อไป
   ว่า ภิกษุปัญจวัคคีย์มีอุปการะแก่เรามาก ได้บำรุงเราผู้ตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรอยู่ ถ้ากระไร เราพึงแสดงธรรมแก่ภิกษุปัญจวัคคีย์ก่อน ครั้นแล้วได้ทรงพระดำริต่อไป
   ว่า บัดนี้ ภิกษุปัญจวัคคีย์อยู่ที่ไหนหนอ. พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็นภิกษุปัญจวัคคีย์อยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุมนุษย์ 
   ครั้นพระองค์ประทับอยู่ ณ  อุรุเวลาประเทศตามควรแก่พุทธาภิรมย์แล้วเสด็จจาริกไปทางพระนครพาราณสี.

เรื่องอุปกาชีวก

[๑๑] อาชีวกชื่ออุปกะได้พบพระผู้มีพระภาคเสด็จดำเนินทางไกลระหว่างแม่น้ำคยาและไม้โพธิพฤกษ์ 
   ครั้นแล้วได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า ดูกรอาวุโส อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง
   ดูกรอาวุโส ท่านบวชอุทิศใคร? ใครเป็นศาสดาของท่าน? หรือท่านชอบธรรมของใคร?.
   เมื่ออุปกาชีวกกราบทูลอย่างนี้แล้ว. 
   พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาตอบอุปกาชีวกว่าดังนี้
เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง รู้ธรรมทั้งปวง
อันตัณหาและทิฏฐิไม่ฉาบทาแล้ว ในธรรมทั้งปวง
ละธรรมเป็นไปในภูมิสามได้หมด พ้นแล้วเพราะ
ความสิ้นไปแห่งตัณหา เราตรัสรู้ยิ่งเองแล้ว จะพึง
อ้างใครเล่า อาจารย์ของเราไม่มี คนเช่นเรา
ก็ไม่มี บุคคลเสมอเหมือนเราก็ไม่มี ในโลกกับ
ทั้งเทวโลก เพราะเราเป็นพระอรหันต์ในโลก
เราเป็นศาสดา หาศาสดาอื่นยิ่งกว่ามิได้ เราผู้เดียว
เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เราเป็นผู้เย็นใจ ดับกิเลส
ได้แล้ว เราจะไปเมืองในแคว้นกาสี เพื่อ
ประกาศธรรมจักรให้เป็นไป เราจะตีกลองประกาศ
อมตธรรมในโลกอันมืด เพื่อให้สัตว์ได้ธรรมจักษุ.
   อุปกาชีวกทูลว่า ดูกรอาวุโส ท่านปฏิญาณโดยประการใด  ท่านควรเป็นผู้ชนะหาที่สุดมิได้ โดยประการนั้น.
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลเหล่าใดถึงความสิ้นอาสวะแล้ว บุคคลเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้ชนะเช่นเรา ดูกรอุปกะ เราชนะธรรมอันลามกแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงชื่อว่าเป็นผู้ชนะ.
   เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว อุปกาชีวกทูลว่า เป็นให้พอเถิด พ่อ ดังนี้ แล้วสั่นศีรษะ ถือเอาทางผิดเดินหลีกไป. เรื่องอุปกาชีวก จบ

เรื่องพระปัญจวัคคีย์

   [๑๒] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกโดยลำดับ ถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวันแขวงเมืองพาราณสี เสด็จเข้าไปทางสำนักพระปัญจวัคคีย์. 
   พระปัญจวัคคีย์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล แล้วได้นัดหมายกันและกันว่า ท่านทั้งหลาย พระสมณะโคดมนี้เป็นผู้มักมากคลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็น
   คนมักมาก กำลังเสด็จมา พวกเราไม่พึงอภิวาท ไม่พึงลุกขึ้นต้อนรับพระองค์ ไม่พึงรับบาตรจีวรของพระองค์ แต่พึงวางอาสนะไว้  ถ้าพระองค์ปรารถนาก็จักประทับนั่ง.
   ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปถึงพระปัญจวัคคีย์ พระปัญจวัคคีย์นั้นไม่ตั้งอยู่ในกติกาของตน ต่างลุกขึ้นต้อนรับพระผู้มีพระภาค รูปหนึ่งรับบาตรจีวรของพระผู้มีพระภาค
รูปหนึ่งปูอาสนะ 
รูปหนึ่งจัดหาน้ำล้างพระบาท รูปหนึ่งจัดตั้งตั่งรองพระบาท 
รูปหนึ่งนำกระเบื้องเช็ดพระบาทเข้าไปถวาย พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะ ที่พระปัญจวัคคีย์จัดถวาย แล้วทรงล้างพระบาท. 
   ฝ่ายพระปัญจวัคคีย์เรียกพระผู้มีพระภาคโดยระบุพระนาม และใช้คำว่า "อาวุโส" เมื่อพระปัญจวัคคีย์กล่าวอย่างนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสห้ามพระปัญจวัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าเรียกตถาคตโดยระบุชื่อ และอย่าใช้คำว่า "อาวุโส"
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ตถาคตเป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ พวกเธอจงเงี่ยโสตสดับ เราได้บรรลุอมตธรรมแล้ว เราจะสั่งสอน จะแสดงธรรม พวกเธอปฏิบัติอยู่ตามที่เราสั่งสอนแล้ว ไม่ช้าสักเท่าไร 
   จักทำให้แจ้งซึ่งคุณอันยอดเยี่ยม อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.
   เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว.
   พระปัญจวัคคีย์ได้ทูลค้านพระผู้มีพระภาคว่าอาวุโสโคดม แม้ด้วยจริยานั้น แม้ด้วยปฏิปทานั้น แม้ด้วยทุกกรกิริยานั้น พระองค์ก็ยังไม่ได้บรรลุอุตตริมนุสสธรรม อันเป็นความรู้ความเห็นพิเศษอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ 
   ก็บัดนี้ พระองค์เป็นผู้มักมาก คลายความเพียรเวียนมาเพื่อความเป็นคนมักมาก ไฉนจักบรรลุอุตตริมนุสสธรรม อันเป็นความรู้ความเห็นพิเศษอย่างประเสริฐ อย่างสามารถได้เล่า.
   เมื่อพระปัญจวัคคีย์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายตถาคตไม่ใช่เป็นคนมักมาก ไม่ได้เป็นคนคลายความเพียร ไม่ได้เวียนมาเพื่อความเป็นคนมักมาก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   ตถาคตเป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ พวกเธอจงเงี่ยโสตสดับ เราได้บรรลุอมตธรรมแล้ว เราจะสั่งสอน จะแสดงธรรม พวกเธอปฏิบัติอยู่ตามที่เราสั่งสอนแล้วไม่ช้าสักเท่าไร
   จักทำให้แจ้งซึ่งคุณอันยอดเยี่ยม อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.
แม้ครั้งที่สอง
พระปัญจวัคคีย์ได้ทูลค้านพระผู้มีพระภาคว่า
แม้ครั้งที่สอง พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสว่า
แม้ครั้งที่สาม 
   พระปัญจวัคคีย์ได้ทูลค้านพระผู้มีพระภาคว่า อาวุโสโคดม แม้ด้วยจริยา นั้น แม้ด้วยปฏิปทานั้น แม้ด้วยทุกกรกิริยานั้น พระองค์ก็ยังไม่ได้บรรลุอุตตริมนุสสธรรม 
   อันเป็นความรู้ความเห็นพิเศษอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ ก็บัดนี้พระองค์เป็นผู้มักมาก คลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นคนมักมาก ไฉนจักบรรลุอุตตริมนุสสธรรม อันเป็นความรู้ความเห็นพิเศษอย่างประเสริฐ อย่างสามารถได้เล่า.
   เมื่อพระปัญจวัคคีย์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอยังจำได้หรือว่า ถ้อยคำเช่นนี้เราได้เคยพูดแล้วในปางก่อน แต่กาลนี้.
พระปัญจวัคคีย์กราบทูลว่า คำนี้ไม่เคยได้ฟังเลย พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ พวกเธอจงเงี่ยโสตสดับ เราได้บรรลุอมตธรรมแล้ว เราจะสั่งสอน จักแสดงธรรม พวกเธอปฏิบัติอยู่ตามที่เราสั่งสอนแล้ว ไม่ช้าสักเท่าไร 
   จักทำให้แจ้งซึ่งคุณอันยอดเยี่ยม อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.
พระผู้มีพระภาคทรงสามารถให้พระปัญจวัคคีย์ยินยอมได้แล้ว. 
   ลำดับนั้นพระปัญจวัคคีย์ ได้ยอมเชื่อฟังพระผู้มีพระภาค เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตเพื่อรู้ยิ่ง.

พระธรรมจักกัปปวัตตนสูตร

ปฐมเทศนา
   [๑๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ที่สุดสองอย่างนี้อันบรรพชิตไม่ควรเสพ คือ
   การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย เป็นธรรมอันเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑
   การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตน เป็นความลำบาก ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั้น นั่นตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น เป็นไฉน?
   ปฏิปทาสายกลางนั้น ได้แก่อริยมรรค มีองค์ ๘ นี้แหละ คือปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ตั้งจิตชอบ ๑
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือปฏิปทาสายกลางนั้น ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่งทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้เพื่อนิพพาน.
   [๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ คือตัณหาอันทำให้เกิดอีก ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน มีปกติเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธอริยสัจ คือ ตัณหานั่นแลดับ โดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สละ สละคืน ปล่อยไป ไม่พัวพัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แหละ คือ ปัญญาเห็นชอบ ๑ ตั้งจิตชอบ ๑.
   [๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล เราก็ได้กำหนดรู้แล้ว.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทัยอริยสัจ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล ควรละเสีย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล เราได้ละแล้ว
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล ควรทำให้แจ้ง.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล เราทำให้แจ้งแล้ว.

ญาณทัสสนะ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒

   [๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเราในอริยสัจ ๔ นี้ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ ยังไม่หมดจดดีแล้ว เพียงใด 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   เรายังยืนยันไม่ได้ว่าเป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เพียงนั้น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   ก็เมื่อใดแล ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเรา ในอริยสัจ ๔ นี้ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ หมดจดดีแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น เราจึงยืนยันได้ว่าเป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์.
   อนึ่ง ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความพ้นวิเศษของเราไม่กลับกำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุด ภพใหม่ไม่มีต่อไป.
   ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา.
   [๑๗] ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมจักรให้เป็นไปแล้ว เหล่าภุมมเทวดาได้บันลือเสียงว่า นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม พระผู้มีพระภาคทรงประกาศให้เป็นไปแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ  ในโลก จะปฏิวัติไม่ได้.
   เทวดาชั้นจาตุมหาราช ได้ยินเสียงของพวกภุมมเทวดาแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไป.
   เทวดาชั้นดาวดึงส์ ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไป.
เทวดาชั้นยามา ...
เทวดาชั้นดุสิต ...
เทวดาชั้นนิมมานรดี ...
เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวดี ...
   เทวดาที่นับเนื่องในหมู่พรหม ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวดีแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไปว่า นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม พระผู้มีพระภาคทรงประกาศให้เป็นไปแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ  ในโลก จะปฏิวัติไม่ได้.
   ชั่วขณะการครู่หนึ่งนั้น เสียงกระฉ่อนขึ้นไปจนถึงพรหมโลก ด้วยประการฉะนี้แล.
   ทั้งหมื่นโลกธาตุนี้ได้หวั่นไหวสะเทือนสะท้าน ทั้งแสงสว่างอันยิ่งใหญ่หาประมาณมิได้ได้ปรากฏแล้วในโลก ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งพระอุทานว่า 
ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ
ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ 
   เพราะเหตุนั้น คำว่า อัญญาโกณฑัญญะนี้ จึงได้เป็นชื่อของท่านพระโกณฑัญญะ ด้วยประการฉะนี้.
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จบ

22 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ อนัจฉริยคาถา พรหมยาจนกถา ท้าวสหัมบดีพรหมทราบพระปริวิตกแห่งจิตของพระผู้มีพระภาค

     [๗] ครั้นล่วง ๗ วัน พระผู้มีพระภาคทรงออกจากสมาธินั้นแล้ว เสด็จจากควงไม้ราชายตนะ เข้าไปยังต้นไม้อชปาลนิโครธ.
   ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ ณ ควงไม้อชปาลนิโครธนั้น และพระองค์เสด็จไปในที่สงัด หลีกเร้นอยู่ ได้มีพระปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้
   ว่า ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ เป็นคุณอันลึก เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก เป็นธรรมสงบ ประณีต ไม่หยั่งลงสู่ความตรึก ละเอียด เป็นวิสัยที่บัณฑิตจะพึงรู้แจ้ง ส่วนหมู่สัตว์นี้เริงรมย์ด้วยอาลัย ยินดีในอาลัย ชื่นชมในอาลัย
   ฐานะคือความที่อวิชชาเป็นปัจจัยแห่งสังขารเป็นต้นนี้ เป็นสภาพอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นนี้ อันหมู่สัตว์ผู้เริงรมย์ด้วยอาลัย ยินดีในอาลัย ชื่นชมในอาลัยเห็นได้ยาก 
   แม้ฐานะคือธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิท
   หากิเลสเครื่องร้อยรัดมิได้นี้ ก็แสนยากที่จะเห็นได้ ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม สัตว์เหล่าอื่นก็จะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่าแก่เรา จะพึงเป็นความลำบากเปล่าแก่เรา.
   อนึ่ง อนัจฉริยคาถาเหล่านี้ ที่ไม่เคยได้สดับในกาลก่อน ปรากฏแก่พระผู้มีพระภาค ว่าดังนี้:-

อนัจฉริยคาถา

   บัดนี้ เรายังไม่ควรจะประกาศธรรมที่เราได้บรรลุแล้ว
   โดยยาก เพราะธรรมนี้อันสัตว์ผู้อันราคะและโทสะ
   ครอบงำแล้วไม่ตรัสรู้ได้ง่าย สัตว์ผู้อันราคะย้อมแล้ว
   ถูกกองอวิชชาหุ้มห่อแล้ว จักไม่เห็นธรรมอันละเอียด
   ลึกซึ้ง ยากที่จะเห็น ละเอียดยิ่ง อันจะยังสัตว์
   ให้ถึงธรรมที่ทวนกระแสคือนิพพาน.
   เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงพิจารณาเห็นอยู่ ดังนี้ พระทัยก็น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรม.

พรหมยาจนคาถา

   [๘] ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมทราบพระปริวิตกแห่งจิตของพระผู้มีพระภาคด้วยใจของตนแล้วเกิดความปริวิตกว่า ชาวเราผู้เจริญ โลกจักฉิบหายหนอ โลกจักวินาศหนอ เพราะพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงน้อมพระทัยไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่ทรงน้อมพระทัยไปเพื่อทรงแสดงธรรม.
   ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมได้หายไปในพรหมโลก มาปรากฏ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค ดุจบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้หรือคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น 
   ครั้นแล้วห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า คุกชาณุมณฑลเบื้องขวาลงบนแผ่นดิน ประณมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคแล้วได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า 
   ขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดทรงแสดงธรรม
   ขอพระสุคตได้โปรดทรงแสดงธรรม  เพราะสัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลีในจักษุน้อยมีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักมี.
   ท้าวสหัมบดีพรหมได้กราบทูลดังนี้แล้ว จึงกราบทูลเป็นประพันธคาถาต่อไปว่า
   เมื่อก่อนธรรมไม่บริสุทธิ์อันคนมีมลทินทั้งหลาย
   คิดแล้วได้ปรากฏในมคธชนบท ขอพระองค์ได้
   โปรดทรงเปิดประตูแห่งอมตธรรมนี้ ขอสัตว์ทั้ง
   หลายจงฟังธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้หมด
   มลทินตรัสรู้แล้วตามลำดับ เปรียบเหมือนบุรุษ
   มีจักษุยืนอยู่บนยอดภูเขา ซึ่งล้วนแล้วด้วยศิลา
   พึงเห็นชุมชนได้โดยรอบฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้มี
   ปัญญาดี มีพระปัญญาจักษุรอบคอบ ขอพระองค์
   ผู้ปราศจากความโศกจงเสด็จขึ้นสู่ปราสาท อัน
   สำเร็จด้วยธรรม แล้วทรงพิจารณาชุมชน ผู้
   เกลื่อนกล่นด้วยความโศก ผู้อันชาติและชรา
   ครอบงำแล้ว มีอุปมัยฉันนั้นเถิด ข้าแต่
   พระองค์ผู้มีความเพียร ทรงชนะสงคราม ผู้นำหมู่
   หาหนี้มิได้ ขอพระองค์จงทรงอุตสาหะเที่ยวไป
   ในโลกเถิด ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรม
   เพราะสัตว์รู้ทั่วถึงธรรมจักมี.

ทรงพิจารณาสัตว์โลกเปรียบด้วยดอกบัว ๔ เหล่า

   [๙] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทราบคำทูลอาราธนาของพรหม และทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์ จึงทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ 
   เมื่อตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยก็มี ที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุมากก็มี 
   ที่มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี ที่มีอินทรีย์อ่อนก็มี ที่มีอาการดีก็มี ที่มีอาการทรามก็มี ที่จะสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี ที่จะสอนให้รู้ได้ยากก็มี ที่มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่ก็มี.
   มีอุปมาเหมือนดอกอุบลในกออุบล ดอกปทุมในกอปทุม หรือดอกบุณฑริกในกอบุณฑริกที่เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ งอกงามแล้วในน้ำ บางเหล่ายังจมในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้ บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว.
   พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย 
   บางพวกมีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อย บางพวกมีธุลีคือกิเลสในจักษุมาก บางพวกมีอินทรีย์แก่กล้า
   บางพวกมีอินทรีย์อ่อน บางพวกมีอาการดี บางพวกมีอาการทราม บางพวกสอนให้รู้ได้ง่าย
   บางพวกสอนให้รู้ได้ยาก บางพวกมีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่ ฉันนั้น เหมือนกัน 
   ครั้นแล้วได้ตรัสคาถาตอบท้าวสหัมบดีพรหมว่า ดังนี้:-
   เราเปิดประตูอมตะแก่ท่านแล้ว สัตว์เหล่าใดจะฟัง
   จงปล่อยศรัทธามาเถิด ดูกรพรหม เพราะเรา
   มีความสำคัญในความลำบาก จึงไม่แสดงธรรม
   ที่เราคล่องแคล่ว ประณีต ในหมู่มนุษย์.
   ครั้นท้าวสหัมบดีพรหมทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงประทานโอกาสเพื่อจะแสดงธรรมแล้ว จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคทำประทักษิณแล้ว อันตรธานไปในที่นั้นแล.
พรหมยาจนกถา จบ

อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ

อรรถกถา พรหมยาจนกถา
   ครั้งนั้นแล พอล่วงเจ็ดวัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกจากสมาธินั้น เสร็จกิจทั้งปวงมีประการดังกล่าวแล้วนั้นแล ออกจากโคนต้นไม้เกต เสด็จเข้าไปยังต้นอชปาลนิโครธแม้อีก. 
   สองบทว่า ปริวิตกฺโก อุทปาทิ มีความว่า ความรำพึงแห่งใจนี้ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงประพฤติกันมาเป็นอาจิณ เกิดขึ้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พอประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธนั้นเท่านั้น. 
   ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ความรำพึงแห่งใจนี้จึงเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์? 
   ตอบว่า เพราะทรงพิจารณาข้อที่พระธรรมเป็นคุณใหญ่ เป็นคุณเลิศลอย เป็นของหนัก และเพราะเป็นผู้ใคร่จะทรงแสดงตามคำที่พรหมทูลวิงวอน. 
   จริงอยู่ พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงทราบว่า เมื่อพระองค์ทรงรำพึงอย่างนั้น พรหมจักมาทูลเชิญแสดงธรรม ทีนั้นสัตว์ทั้งหลายจักให้เกิดความเคารพในธรรม เพราะว่า โลกสันนิวาสเคารพพรหม. ความรำพึงนี้เกิดขึ้นเพราะเหตุ ๒ ประการนี้ ด้วยประการฉะนี้แล. 
   บรรดาบทเหล่านั้น หลายบทว่า อธิคโต โข มยายํ ตัดบทว่า อธิคโต โข เม อยํ ความว่า ธรรมนี้อันเราบรรลุแล้วแล. 
   บทว่า อาลยรามา มีความว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมพัวพันในกามคุณ ๕ อย่าง เพราะเหตุนั้น กามคุณ ๕ เหล่านั้น ท่านจึงเรียกว่าอาลัย หมู่สัตว์ย่อมรื่นรมย์ด้วยกามคุณเป็นที่พัวพันเหล่านั้น เหตุนั้นจึงชื่อว่าผู้รื่นรมย์ด้วยอาลัย.
   หมู่สัตว์ยินดีแล้วในกามคุณเป็นที่พัวพันทั้งหลาย เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าผู้ยินดีในอาลัย. หมู่สัตว์เพลินด้วยดีในกามคุณเป็นที่พัวพันทั้งหลาย เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าผู้เพลินในอาลัย. 
   บทว่า ยทิทํ เป็นนิบาต ความแห่งบทว่า ยทิทํ นั้นหมายเอาฐานะ พึงเห็นอย่างนี้ว่า ยํ อิทํ หมายเอาปฏิจจสมุปบาท พึงเห็นอย่างนี้ว่า โย อยํ. 
   บทว่า อิทปฺปจฺจยตาปฏิจฺจสมุปฺปาโท มีอรรถวิเคราะห์ว่า ธรรมเหล่านี้เป็นปัจจัยแห่งธรรมเหล่านี้ ชื่อ อิทปฺปจฺจยา อิทปฺปจฺจยา นั่น ชื่อว่า อิทปฺปจฺจยตา 
   ธรรมเหล่านี้เป็นปัจจัยแห่งธรรมเหล่านี้นั้น เป็นธรรมอาศัยกันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าธรรมเหล่านี้เป็นปัจจัยแห่งธรรมเหล่านี้ เป็นธรรมอาศัยกันเกิดขึ้น. 
   ข้อว่า โส มมสฺส กิลมโถ มีความว่า ขึ้นชื่อว่าเทศนาแก่เหล่าชนผู้ไม่รู้ พึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยแก่เรา พึงเป็นความลำบากแก่เรา. 
   บทว่า ภควนฺตํ แปลว่า แก่พระผู้มีพระภาคเจ้า. 
   บทว่า อนจฺฉริยา ได้แก่ ที่เป็นอัศจรรย์นักหนา.๑- 
๑- แปลเอาความตามนัยฎีกา สารตฺถทีปนี ภาค ๑ หน้า ๕๓๐ ซึ่งแก้ได้ว่า อนุอจฺฉริยาติ สวนกาเล อุปรปริ วิมฺหยกราติ อตฺโถ. 
   บทว่า ปฏิภํสุ มีความว่า ได้เป็นอารมณ์แห่งญาณกล่าวคือปฏิภาณ คือถึงความเป็นคาถาอันพระองค์พึงรำพึง. ห อักษรใน บทว่า หลํ นี้ สักว่าเป็นนิบาต ความว่า ไม่ควร. 
บทว่า ปกาสิตุํ ได้แก่ เพื่อแสดง. 
   มีคำอธิบายว่า บัดนี้ไม่ควรแสดงธรรมที่เราบรรลุได้โดยยากนี้. 
   บาทคาถาว่า นายํ ธมฺโม สุสมฺพุทฺโธํ มีความว่า ธรรมนี้ทำได้ง่ายๆ เพื่อจะตรัสรู้หามิได้ อธิบายว่า การที่จะรู้มิใช่ทำได้ง่ายๆ 
   บทว่า ปฏิโสตคามึ มีความว่า ให้ถึงนิพพานที่ท่านเรียกว่าธรรมอันทวนกระแส. 
   บทว่า ราคฺรตฺตา มีความว่า สัตว์ทั้งหลาย ผู้อันเครื่องย้อมคือกาม เครื่องย้อมคือภพ และเครื่องย้อมคือทิฏฐิย้อม (ใจ) แล้ว. 
บทว่า น ทกฺขนฺติ ได้แก่ ย่อมไม่เห็น. 
   สองบทว่า ตโมกฺขนฺเธน อาวุฏา มีความว่า ผู้อันกองแห่งอวิชชาปกคลุมไว้แล้ว. 
   บทว่า อปฺโปสฺสุกฺกตาย มีความว่า เพื่อความเป็นผู้ไม่ประสงค์จะแสดง เพราะค่าที่เป็นผู้ปราศจากความขวนขวาย. 
   บทว่า ยตฺร หิ นาม มีความว่า ในโลกชื่อใด. 
   บทว่า ภควโต ปุรโต ปาตุรโหสิ มีความว่า ท้าวสหัมบดีพรหมได้พามหาพรหมทั้งหลายในหมื่นจักรวาล มาปรากฏเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทูลวิงวอนให้ทรงแสดงธรรม. 
   บทว่า อปฺปรชกฺขชาติกา มีอรรถวิเคราะห์ว่า ธุลี คือราคะโทสะโมหะน้อยในจักษุ ที่แล้วด้วยปัญญา เป็นปกติแห่งตนของสัตว์เหล่านี้ เหตุนั้น สัตว์เหล่านี้ชื่อผู้มีชาติแห่งสัตว์ผู้มีธุลีน้อยในจักษุ. 
   บทว่า ภวิสฺสนฺติ ธมฺมสฺส ได้แก่ ธรรมคือสัจจะ ๔. 
บทว่า อญฺญาตาโร ได้แก่ ผู้ตรัสรู้. 
บทว่า ปาตุรโหสิ ได้แก่ มีปรากฏ. 
   สองบทว่า สมเลหิ จินฺติโต มีความว่า อันครูทั้งหกผู้มีมลทินมีราคะเป็นต้น คิดแล้ว. 
   บทว่า อปาปุเรตํ มีความว่า ขอจงเปิดประตูนั้น. 
   สองบทว่า อมตสฺส ทฺวารํ มีความว่า อริยมรรคเป็นประตู แห่งนิพพานซึ่งเป็นธรรมไม่ตาย. 
   บาทพระคาถาว่า สุณนฺตุ ธมฺมํ วิมเลนานุพุทฺธํ มีความว่า สัตว์เหล่านี้จงฟังธรรมคือสัจจะ ๔ ที่พระสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้ปราศจากมลทิน เพราะไม่มีมลทินมีราคะเป็นต้น ตรัสรู้สมควรแล้ว. 
   บาทพระคาถาว่า เสเล ยถาปพฺพตมุทฺธนิฏฺฐิโต มีความว่า 
   เหมือนอย่างว่า บุรุษผู้มีดวงตานั้น ยืนบนยอดภูเขาซึ่งล้วนแล้วด้วยศิลาเป็นเทือกเดียวกัน จะพึงเห็นประชุมชนได้รอบด้านฉันใด. ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีเมธาดี คือ
   ผู้มีปัญญาดี ผู้มีพระจักษุรอบคอบด้วยพระสัพพัญญุตญาณ แม้พระองค์เสด็จขึ้นสู่ปราสาทซึ่งแล้วด้วยธรรม คือล้วนด้วยพระปัญญา พระองค์เองปราศจากความโศกแล้ว ขอจงทรงแลดู คือ
   ทรงพิจารณาประชุมชนผู้คับคั่งด้วยความโศก ถูกความเกิดและความแก่ครอบงำแล้ว ฉันนั้นเถิด. ท้าวสหัมบดีพรหม เมื่อจะทรงวิงวอนให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปเพื่อทรงแสดงธรรม จึงทูลว่า ขอจงเสด็จลุกขึ้นเถิด.
พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า วีร เป็นต้น ดังนี้ :- 
   พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระนามว่าวีระ เพราะทรงมีความเพียร ทรงพระนามว่าวิชิตสงคราม เพราะทรงชำนะเทวบุตรมาร มัจจุมาร กิเลสมารและอภิสังขารมาร 
   ทรงพระนามว่าสัตถวาหะ เพราะทรงสามารถช่วยหมู่สัตว์ให้พ้นจากกันดารมีชาติกันดารเป็นต้น ทรงพระนามว่าผู้ไม่มีหนี้ เพราะไม่มีหนี้ คือกามฉันท์. 
บทว่า อชฺเฌสนํ ได้แก่ คำวิงวอน. 
   บทว่า พุทฺธจกฺขุนา คือ ด้วยอินทริยปโรปริยัติญาณและอาสยานุสยญาณ.    จริงอยู่ คำว่า พุทธจักขุ เป็นชื่อแห่งพระญาณ ๒ อย่างนี้. 
บทว่า อปฺปรชกฺเข เป็นต้น มีความว่า 
   ธุลีมีราคะเป็นต้นในปัญญาจักขุของสัตว์เหล่าใดมีน้อย สัตว์เหล่านั้นชื่อผู้มีธุลีในจักษุน้อย. ของสัตว์เหล่าใดมีมาก สัตว์เหล่านั้นชื่อว่าผู้มีธุลีในจักษุมาก. อินทรีย์มีศรัทธาเป็นต้นของสัตว์เหล่าใดกล้า สัตว์เหล่านั้นชื่อผู้มีอินทรีย์กล้า, ของสัตว์เหล่าใดอ่อน สัตว์เหล่านั้นชื่อผู้มีอินทรีย์อ่อน.
   อาการมีศรัทธาเป็นต้นของสัตว์เหล่าใดดี สัตว์เหล่านั้นชื่อผู้มีอาการดี, ของสัตว์เหล่าใดไม่ดี สัตว์เหล่านั้นชื่อผู้มีอาการชั่ว. สัตว์เหล่าใดกำหนดเหตุที่ท่านกล่าวได้ คือเป็นผู้ที่สามารถจะให้รู้ได้โดยง่าย สัตว์เหล่านั้นชื่อผู้ที่จะพึงสอนให้รู้ได้โดยง่าย.
   สัตว์เหล่าใดไม่เป็นอย่างนั้น สัตว์เหล่านั้นชื่อผู้ที่จะพึงสอนให้รู้โดยยาก. สัตว์เหล่าใดเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย สัตว์เหล่านั้นชื่อผู้มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย. 
บทว่า อุปฺปลินิยํ ได้แก่ ในกออุบล. 
แม้ในบทนอกจากนี้ ก็นัยนี้เหมือนกัน. 
   บทว่า อนุโตนิมุคฺคโปสินี ได้แก่ ดอกบัวที่ยังจมอยู่ภายในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้. 
   บทว่า สโมทกฏฺฐิตานิ ได้แก่ ดอกบัวที่ตั้งอยู่เสมอน้ำ. 
   หลายบทว่า อุทกํ อจฺจุคฺคมฺม ติฏฺฐนฺติ ได้แก่ ตั้งอยู่พ้นน้ำ. 
บทว่า อปารุตา ได้แก่ เปิดแล้ว. 
   สองบทว่า อมตสฺส ทฺวารา ได้แก่ อริยมรรค.    จริงอยู่ อริยมรรคนั้นเป็นประตูแห่งพระนิพพาน กล่าวคืออมตธรรม. 
   สองบทว่า ปมุญฺจนฺตุ สทฺธํ มีความว่า ชนทั้งปวงจงปล่อย คือจงสละความเชื่อของตน.
   ในสองบทข้างท้าย มีเนื้อความดังนี้นี่เอง เพราะว่า เราเป็นผู้มีความสำคัญว่าจะต้องลำบากกายวาจา จึงไม่ได้แสดงธรรมที่อุดมประณีตนี้ แม้ที่เป็นไปดีแคล่วคล่องสำหรับตนในหมู่มนุษย์ คือในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย.

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ ราชายตนกถา เรื่องตปุสสะภัลลิกะ ๒ พ่อค้า

     [๖] ครั้นล่วง ๗ วัน พระผู้มีพระภาคทรงออกจากสมาธินั้น แล้วเสด็จจากควงไม้มุจจลินท์ เข้าไปยังต้นไม้ราชายตนะ
แล้วประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว เสวยวิมุตติสุข 
ณ ควงไม้ราชายตนะ ตลอด ๗ วัน.
   ก็สมัยนั้น พ่อค้าชื่อตปุสสะ ๑ ภัลลิกะ ๑ 
เดินทางไกลจากอุกกลชนบทถึงตำบลนั้น.
   ครั้งนั้น เป็นเทพยดาผู้เป็นญาติสาโลหิตของตปุสสะ ภัลลิกะ ๒ พ่อค้า ได้กล่าวคำนี้กะ ๒ พ่อค้านั้นว่า 
ดูกรท่านผู้นิรทุกข์
   พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้แรกตรัสรู้ ประทับอยู่ ณ ควงไม้ราชายตนะ ท่านทั้งสองจงไปบูชาพระผู้มีพระภาคนั้น ด้วยสัตตุผง และ สัตตุก้อน การบูชาของท่านทั้งสองนั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ท่านทั้งหลายตลอดกาลนาน.
   ครั้งนั้น พ่อค้าชื่อตปุสสะ และภัลลิกะ ถือสัตตุผงและสัตตุก้อนเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วถวายบังคม ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. 
   สองพ่อค้านั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ครั้นแล้วได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า 
   ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงรับสัตตุผงสัตตุก้อนของข้าพระพุทธเจ้าทั้งสอง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายตลอดกาลนาน. 
   ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงปริวิตกว่า พระตถาคตทั้งหลาย ไม่รับวัตถุด้วยมือ เราจะพึงรับสัตตุผง และสัตตุก้อนด้วยอะไรหนอ
   ลำดับนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ องค์ทรงทราบพระปริวิตกแห่งจิตของพระผู้มีพระภาค ด้วยใจของตนแล้ว เสด็จมาจาก ๔ ทิศ ทรงนำบาตรที่สำเร็จด้วยศิลา ๔ ใบเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาค กราบทูลว่า 
   ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงรับสัตตุผงและสัตตุก้อนด้วยบาตรนี้ พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคทรงใช้บาตรสำเร็จด้วยศิลาอันใหม่เอี่ยม รับสัตตุผงและสัตตุก้อนแล้วเสวย.
   ครั้งนั้น พ่อค้าตปุสสะและภัลลิกะ ได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองนี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาคและพระธรรมว่า เป็นสรณะ
   ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองว่าเป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะ จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป. ก็นายพาณิชสองคนนั้น ได้เป็นอุบาสกกล่าวอ้าง ๒ รัตนะ เป็นชุดแรกในโลก.
ราชายตนกถา จบ

อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ

อรรถกถา ราชายตนกถา
   บทว่า มุจฺจลินฺทมูลา ได้แก่ จากโคนต้นไม้จิก ซึ่งตั้งอยู่ในแถบทิศปราจีนแต่มหาโพธิ์. 
   บทว่า ราชายตนํ มีความว่า เสด็จเข้าไปยังโคนไม้เกต ซึ่งตั้งอยู่ด้านทิศทักษิณ. 
   ข้อว่า เตน โข ปน สมเยน มีคำถามว่า โดยสมัยไหน? 
   ตอบว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งด้วยการนั่งขัดสมาธิอย่างเดียวตลอด ๗ วันที่โคนต้นไม้เกต ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่า ต้องมีกิจเนื่องด้วยพระกระยาหาร จึงทรงน้อมถวายผลสมอเป็นพระโอสถ ในเวลาอรุณขึ้น ณ วันที่ทรงออกจากสมาธิทีเดียว. 
   พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยผลสมอพระโอสถนั้น พอเสวยเสร็จเท่านั้น ก็ได้มีกิจเนื่องด้วยพระสรีระ ท้าวสักกะได้ถวายน้ำบ้วนพระโอษฐ์แล้ว. 
   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบ้วนพระโอษฐ์แล้วประทับนั่งที่โคนต้นไม้นั้นนั่นแล. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งในเมื่ออรุณขึ้นแล้ว ด้วยประการอย่างนั้น. ก็โดยสมัยนั้นแล. 
   สองบทว่า ตปุสฺสภลฺลิกา วาณิชา ได้แก่ พานิชสองพี่น้อง คือตปุสสะ ๑ ภัลลิกะ ๑. 
บทว่า อุกฺกลา ได้แก่ จากอุกกลชนบท. 
   สองบทว่า ตํ เทสํ มีความว่า สู่ประเทศเป็นที่เสด็จอยู่ของพระผู้มีพระภาคเจ้า. 
   ถามว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ในประเทศไหนเล่า? 
   ตอบว่า ในมัชฌิมประเทศ. 
   เพราะฉะนั้น ในคำนี้จึงมีเนื้อความดังนี้ สองพานิชนั้นเป็นผู้เดินทางไกล เพื่อไปยังมัชฌิมประเทศ. 
   สองบทว่า ญาติสาโลหิตา เทวตา ได้แก่ เทวดาผู้เคยเป็นญาติของสองพานิชนั้น. 
สองบทว่า เอตทโวจ มีความว่า 
   ได้ยินว่า เทวดานั้นได้บันดาลให้เกวียนทั้งหมดของพานิชนั้นหยุด. 
   ลำดับนั้น เขาทั้งสองมาใคร่ครวญดูว่า นี่เป็นเหตุอะไรกัน? จึงได้ทำพลีกรรมแก่เทวดาผู้เป็นเจ้าทางทั้งหลาย. ในเวลาทำพลีกรรมของเขา เทวดานั้นสำแดงกายให้เห็น ได้กล่าวคำนี้. 
   สองบทว่า มนฺเถน จ มธุปิณฺฑิกาย จ ได้แก่ ข้าวสัตตุผงและข้าวสัตตุก้อน ปรุงด้วยเนยใสน้ำผึ้งและน้ำตาลเป็นต้น. 
บทว่า ปฏิมาเนถ ได้แก่ จงบำรุง. 
   สองบทว่า ตํ โว มีความว่า ความบำรุงนั้น จักมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ท่านทั้งหลายตลอดกาลนาน. 
   สองบทว่า ยํ อมฺหากํ มีความว่า การรับอันใดจะพึงมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เหล่าข้าพระองค์ตลอดกาลนาน. 
สองบทว่า ภควโต เอตทโหสิ มีความว่า 
   ได้ยินว่า บาตรใดของพระองค์ได้มีในเวลาทรงประกอบความเพียร บาตรนั้นได้หายไปแต่เมื่อนางสุชาดามาถวายข้าวปายาส. เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงได้ทรงมีพระรำพึงนี้ว่า บาตรของเราไม่มี. 
   ก็แลพระตถาคตทั้งหลายองค์ก่อนๆ ไม่ทรงรับด้วยพระหัตถ์เลย. เราจะพึงรับข้าวสัตตุผงและข้าวสัตตุก้อนปรุงน้ำผึ้งด้วยอะไรเล่าหนอ? 
   บทว่า ปริวิตกฺกญฺญาย มีความว่า กระยาหารที่นางสุชาดาถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าในกาลก่อนแต่นี้ ยังคงอยู่ด้วยอำนาจที่หล่อเลี้ยงโอชะไว้ 
   ความหิว ความกระหาย ความเป็นผู้มีกายอิดโรยหาได้มีไม่ ตลอดกาลเท่านี้ ก็บัดนี้พระรำพึงโดยนัยเป็นต้นว่า นโข ตถาคตา ได้เกิดขึ้น 
ก็เพราะพระองค์ใคร่จะทรงรับพระกระยาหาร. 
   ทราบพระรำพึงในพระหฤทัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งเกิดขึ้นอย่างนั้นด้วยใจของตน. 
บทว่า จตุทฺทิสา คือ จาก ๔ ทิศ. 
   สองบทว่า เสลมเย ปตฺเต ได้แก่ บาตรที่แล้วด้วยศิลามีพรรณคล้ายถั่วเขียว. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับบาตรนี้แล. 
คำว่าบาตรแล้วด้วยศิลา ท่านกล่าวหมายเอาบาตรเหล่านั้น. 
ก็ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ได้น้อมถวายบาตรแล้วด้วยแก้วอินทนิล๑- ก่อน. 
   พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงรับบาตรเหล่านั้น ลำดับนั้น จึงน้อมถวายบาตรแล้วด้วยศิลา มีพรรณดังถั่วเขียวทั้ง ๔ บาตรนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงรับทั้ง ๔ บาตรเพื่อต้องการจะรักษาความเลื่อมใสของท้าวมหาราชทั้ง ๔ นั้น 
   ไม่ใช่เพราะความมักมาก. ก็แลครั้นทรงรับแล้ว ได้ทรงอธิษฐานบาตรทั้ง ๔ ให้เป็นบาตรเดียว ผลบุญแห่งท้าวเธอทั้ง ๔ ได้เป็นเช่นเดียวกัน 
   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับข้าวสัตตุผงและข้าวสัตตุก้อนปรุงน้ำผึ้งด้วยบาตรศิลามีค่ามาก ที่ทรงอธิษฐานให้เป็นบาตรเดียวด้วยประการฉะนี้. 
๑- มีพรรณเขียวเลื่อมประภัสสร
ดังแสงปีกแมลงทับ 
ในตำหรับไสยศาสตร์ ชื่อว่าแก้วมรกต. 
บทว่า ปจฺจคฺเฆ คือ มีค่ามาก. 
อธิบายว่า แต่ละบาตรมีค่ามาก. 
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปจฺจคฺเฆ
ได้แก่ ใหม่เอี่ยม คือเพิ่งระบมเสร็จ. 
   ความว่า เกิดในขณะนั้น. เขาชื่อว่ามีวาจาสอง เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ได้เป็นผู้มีวาจาสอง. 
   อีกอย่างหนึ่ง ความว่า สองพานิชนั้นถึงความเป็นอุบาสกด้วยวาจาสอง. 
   สองพานิชนั้นครั้นประกาศความเป็นอุบาสกอย่างนั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ทีนี้ ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าพระองค์พึงทำการอภิวาทและยืนรับใครเล่า พระเจ้าข้า? 
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงลูบพระเศียร. 
   พระเกศาติดพระหัตถ์ ได้ประทานพระเกศาเหล่านั้นแก่เขาทั้งสอง ด้วยตรัสว่าท่านจงรักษาผมเหล่านี้ไว้. 
   สองพานิชนั้นได้พระเกศธาตุราวกะได้อภิเษกด้วยอมตธรรม รื่นเริงยินดีถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วหลีกไป

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ มุจจลินทกถา เรื่องมุจจลินทนาคราช

     [๕] ครั้นล่วง ๗ วัน พระผู้มีพระภาคทรงออกจากสมาธินั้น เสด็จจากควงไม้อชปาลนิโครธ เข้าไปยังต้นไม้มุจจลินท์   แล้วประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว เสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้มุจจลินท์ตลอด ๗ วัน.
ครั้งนั้น เมฆใหญ่ในสมัยมิใช่ฤดูกาลตั้งขึ้นแล้ว
ฝนตกพรำเจือด้วยลมหนาว ตลอด ๗ วัน. 
   ครั้งนั้น มุจจลินทนาคราชออกจากที่อยู่ของตน ได้แวดวงพระกายพระผู้มีพระภาคด้วยขนด ๗ รอบ ได้แผ่พังพานใหญ่เหนือพระเศียรสถิตอยู่ด้วยหวังใจว่า ความหนาว ความร้อน อย่าเบียดเบียนพระผู้มีพระภาค สัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน อย่าเบียดเบียนพระผู้มีพระภาค. 
   ครั้นล่วง ๗ วัน มุจจลินทนาคราชรู้ว่า อากาศปลอดโปร่งปราศจากฝนแล้ว จึงคลายขนดจากพระกายของพระผู้มีพระภาค จำแลงรูปของตนเป็นเพศมาณพ ได้ยืนประคองอัญชลีถวายนมัสการพระผู้มีพระภาค   ทางเบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาค.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น ว่าดังนี้:-

พุทธอุทานคาถา

ความสงัดเป็นสุขของบุคคลผู้สันโดษ 
   มีธรรมปรากฏแล้ว เห็นอยู่ ความไม่พยาบาท คือความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย เป็นสุขในโลก ความปราศจากกำหนัด คือความล่วงกามทั้งหลายเสียได้ เป็นสุขในโลก การกำจัดอัสมิมานะเสียได้นั่นแล เป็นสุขอย่างยิ่ง.
มุจจลินทกถา จบ

อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ

อรรถกถา มุจจลินทกถา
   หลายบทว่า อถ โข มุจฺจลินฺโท นาคราชา มีความว่า พระยานาคผู้มีอานุภาพใหญ่ เกิดขึ้นที่สระโบกขรณีใกล้ต้นไม้จิกนั่นเอง. 
   หลายบทว่า สตฺตกฺขตฺตุํ โภเคหิ ปริกฺขิปิตฺวา มีความว่า เมื่อพระยานาคนั้นวงรอบพระกายด้วยขนด ๗ รอบ แผ่พังพานใหญ่ปกเบื้องบนพระเศียรอยู่อย่างนั้น 
   ร่วมในแห่งวงขนดของพระยานาคนั้น มีประมาณเท่าห้องเรือนคลังในโลหปราสาท เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเป็นเหมือนประทับนั่งในปราสาทอันอับลม มีประตูหน้าต่างปิด. 
   คำว่า มา ภควนฺตํ สีตํ เป็นต้น แสดงเหตุที่พระยานาคนั้นทำอย่างนั้น. 
   จริงอยู่ พระยานาคนั้นทำได้อย่างนั้น ก็ด้วยตั้งใจว่า หนาวอย่าได้เบียดเบียนพระผู้มีพระภาคเจ้า. ร้อนอย่าได้เบียดเบียนพระผู้มีพระภาคเจ้า และสัมผัสเหลือบเป็นต้นอย่าได้เบียดเบียนพระผู้มีพระภาคเจ้า 
   อันที่จริง เมื่อมีฝนตกพรำตลอด ๗ วัน ในที่นั้น ไม่มีความร้อนเลย. ถึงอย่างนั้น ก็สมควรที่พระยานาคนั้นจะคิดอย่างนี้ว่า ถ้าเมฆจะหายไปในระหว่างๆ ความร้อนคงจะมี แม้ความร้อนนั้นอย่าได้เบียดเบียนพระองค์เลย. 
   บทว่า วิทฺธํ ได้แก่ หายแล้ว. อธิบายว่า เป็นของมีไกลเพราะหมดเมฆ. 
บทว่า วิคตวลาหกํ ได้แก่ ปราศจากเมฆ. 
บทว่า เทวํ ได้แก่อากาศ. 
บทว่า สกวณฺณํ ได้แก่ รูปของตน. 
   สองบทว่า สุโข วิเวโก มีความว่า อุปธิวิเวก กล่าวคือ นิพพานเป็นสุข. 
   บทว่า ตุฏฺฐสฺส มีความว่า ผู้สันโดษด้วยความยินดีในจตุมรรคญาณ. 
   บทว่า สุต๑- ธมฺมสฺส ได้แก่ ผู้มีธรรมปรากฏแล้ว. 
   บทว่า ปสฺสโต มีความว่า ผู้เห็นอยู่ซึ่งวิเวกนั้น หรือธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งจะพึงเห็นได้ทั้งหมด ด้วยดวงตาคือญาณ ซึ่งได้บรรลุด้วยกำลังความเพียรของตน. 
   ความไม่เกรี้ยวกราดกัน ชื่อว่าความไม่เบียดเบียนกัน. 
   ธรรมเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งเมตตา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงด้วยบทว่า ความไม่เบียดเบียนนั้น. 
   สองบทว่า ปาณภูเตสุสญฺญโม มีความว่า และความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย. อธิบายว่า ความที่ไม่เบียดเบียนกัน เป็นความสุข. 
   ธรรมเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งกรุณา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงด้วยบทว่า ความสำรวมนั้น. 
   บาทคาถาว่า สุขา วิราคตา โลเก มีความว่า แม้ความปราศจากกำหนัด ก็จัดเป็นความสุข. 
ถามว่า ความปราศจากกำหนัดเป็นเช่นไร? 
ตอบว่า คือความล่วงกามทั้งหลายเสีย. 
   อธิบายว่า ความปราศจากกำหนัดอันใด ที่ท่านเรียกว่าความล่วงกามทั้งหลายเสีย แม้ความปราศจากกำหนัดอันนั้น ก็จัดเป็นความสุข. อนาคามิมรรค พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยบทว่า ความปราศจากกำหนัดนั้น. 
   ส่วนพระอรหัต พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยคำนี้ว่า ความกำจัดอัสมิมานะเสีย. 
   จริงอยู่ พระอรหัตท่านกล่าวว่าเป็นความกำจัดด้วยระงับอัสมิมานะ. ก็ขึ้นชื่อว่าสุขอื่นจากพระอรหัตนี้ไม่มี เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ข้อนี้แลเป็นสุขอย่างยิ่ง. 
๑- สุต ศัพท์ในที่นี้ ท่านให้แปลว่า ปรากฏ.เช่น
อ้างไว้ใน สุมงฺคลวิลาสินีภาค ๑ หน้า ๓๗.

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ อชปาล นิโครธกถา เรื่องพราหมณ์หุหุกชาติ

     [๔] ครั้นล่วง ๗ วัน พระผู้มีพระภาคทรงออกจากสมาธินั้น เสด็จจากควงไม้โพธิพฤกษ์ เข้าไปยังต้นไม้อชปาลนิโครธ แล้ว   ประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว เสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้อชปาลนิโครธตลอด ๗ วัน.
   ครั้งนั้น พราหมณ์หุหุกชาติคนหนึ่ง ได้ไปในพุทธสำนัก ครั้นถึงแล้วได้ทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการทูลปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิง เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว 
   ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พราหมณ์นั้นได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ทูลคำนี้แด่ผู้มีพระภาคว่า ท่านพระโคดม บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ 
   ก็แล ธรรมเหล่าไหนทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์?
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น ว่าดังนี้:-

พุทธอุทานคาถา

   พราหมณ์ใดมีบาปธรรมอันลอยเสียแล้ว ไม่ตวาดผู้อื่นว่า หึ หึ ไม่มีกิเลสดุจน้ำฝาด มีตน
   สำรวมแล้ว ถึงที่สุดแห่งเวท มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว พราหมณ์นั้นไม่มีกิเลสเครื่องฟูขึ้น ในอารมณ์ไหนๆ  ในโลก ควรกล่าวถ้อยคำว่า ตนเป็นพราหมณ์โดยธรรม.
อชปาลนิโครธกถา จบ

อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ

อรรถกถา อชปาลนิโครธกถา
   ในคำว่า อถ โข ภควา ตสฺส สตฺตาหสฺส อจฺจเยน ตมฺหา สมาธิมฺหา วุฏฺฐหิตฺวา โพธิรุกฺขมูลา, เยน อชปาลนิโคฺรโธ เตนุปสงฺกมิ นี้
ผู้ศึกษาพึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- 
   พระผู้มีพระภาคเจ้าออกจากสมาธินั้นแล้ว เสด็จเข้าไปที่ต้นอชปาลนิโครธ จากโคนโพธิพฤกษ์ ในทันทีทีเดียวหามิได้ เหมือนอย่างว่าในคำที่พูดกันว่า ผู้นี้กินแล้วก็นอน 
   จะได้มีคำอธิบายอย่างนี้ว่า เขาไม่ล้างมือ ไม่บ้วนปาก ไม่ไปไกล้ที่นอน ไม่ทำการเจรจาปราศรัยอะไรบ้าง อย่างอื่นแล้วนอน หามิได้ แต่ในคำนี้มีความหมายที่ผู้กล่าวแสดงดังนี้
   ว่า เขานอนภายหลังแต่การรับประทาน เขาไม่ได้นอนหามิได้ ข้อนี้ฉันใด แม้ในคำนี้ก็ฉันนั้น จะได้คำอธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าออกจากสมาธินั้นแล้ว เสด็จหลีกไปในทันทีทีเดียวหามิได้ ที่แท้ในคำนี้มีความหมายที่ท่านผู้กล่าวแสดงดังนี้ ว่า พระองค์เสด็จหลีกไปภายหลังแต่การออก ไม่ได้เสด็จหลีกไปหามิได้. 
   ถามว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เสด็จหลีกไปในทันทีแล้ว ได้ทรงทำอะไรเล่า? 
   ตอบว่า ได้ทรงให้ ๓ สัปดาห์แม้อื่นอีกผ่านพ้นไปในประเทศใกล้เคียงโพธิพฤกษ์นั่นเอง. 
ในข้อนั้นมีอนุปุพพีกถาดังนี้ :- 
   ได้ยินว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ประทับนั่งด้วยการนั่งขัดสมาธิอันเดียว สัปดาห์ ๑ เทวดาบางพวกเกิดความแคลงใจขึ้นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เสด็จลุกขึ้น ธรรมที่ทำความเป็นพระพุทธเจ้า แม้อื่นจะมีอีกละกระมัง? 
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าออกจากสมาบัติในวันที่ ๘ ทรงทราบความแคลงใจของเหล่าเทวดา เพื่อตัดความแคลงใจจึงทรงเหาะขึ้นไปในอากาศ แสดงยมกปาฏิหาริย์ 
   กำจัดความแคลงใจของเหล่าเทวดาเหล่านั้นแล้ว ประทับยืนจ้องดูด้วยพระเนตรมิได้กระพริบ ซึ่งพระบัลลังก์และโพธิพฤกษ์ อันเป็นสถานที่บรรลุผลแห่งพระบารมีที่ทรงสร้างมา
   ตลอด ๔ อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัลป์ ให้สัปดาห์ ๑ ผ่านพ้นไปทางด้านทิศอุดรเฉียงไปทางทิศปราจีนหน่อยหนึ่ง (ทิศอีสาน) แต่พระบัลลังก์ สถานที่นั้นชื่ออนิมมิสเจดีย์. 
   ลำดับนั้น เสด็จจงกรม ณ รัตนจงกรมอันยาวยืดไปข้างหน้าและข้างหลังระหว่างพระบัลลังก์กับที่เสด็จประทับยืน (อนิมมิสเจดีย์) สัปดาห์ ๑ ผ่านพ้นไป. สถานที่นั้นชื่อรัตนจงกรมเจดีย์. 
   ต่อจากนั้น เทวดาทั้งหลายนิรมิตเรือนแก้วขึ้นทางด้านทิศประจิม พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จนั่งขัดสมาธิ ณ เรือนแก้วนั้น ทรงพิจารณาอภิธรรมปิฎกคือสมันตปัฏฐาน ซึ่งมีนัยไม่สิ้นสุดในอภิธรรมปิฎกนี้ โดยพิสดารให้สัปดาห์ ๑ ผ่านพ้นไป. 
สถานที่นั้นชื่อรัตนฆรเจดีย์. 
   พระผู้มีพระภาคเจ้าให้ ๔ สัปดาห์ผ่านพ้นไป ในประเทศใกล้เคียงโพธิพฤกษ์นั่นเอง จึงในสัปดาห์คำรบ ๕ เสด็จจากโคนโพธิพฤกษ์เข้าไปที่ต้นอชปาลนิโครธ ด้วยประการฉะนี้ 
   ได้ยินว่า คนเลี้ยงแพะไปนั่งที่ร่มเงาแห่งต้นนิโครธนั้น เพราะเหตุนั้น ต้นนิโครธจึงเกิดชื่อว่าอชปาลนิโครธ. 
   สองบทว่า สตฺตาหํ วิมุตฺติสุขปฏิสํเวที มีความว่า เมื่อทรงพิจารณาธรรมอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธแม้นั้นนั่นแล ชื่อว่าประทับเสวยวิมุตติสุข ต้นไม้นั้น อยู่ด้านทิศตะวันออกจากต้นโพธิ. 
   ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งอย่างนั้นที่ต้นอชปาลนิโครธนี้ พราหมณ์คนหนึ่งได้มาทูลถามปัญหากะพระองค์. เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าว
คำว่า อถ โข อญฺญตโร เป็นต้น. 
   บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หุํหุํกชาติโก มีความว่า ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นชื่อทิฏฐมังคลิกะ เที่ยวตวาดว่า หึหึ ด้วยอำนาจความถือตัวและด้วยอำนาจความโกรธ 
 เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกแกว่า พราหมณ์หุงหุงกะชาติ บางอาจารย์ก็กล่าวว่า พราหมณ์หุหุกชาติบ้าง.
   สองบทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบใจความสำคัญแห่งคำที่แกกล่าวนั้น จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น. 
   เนื้อความแห่งอุทานนั้นว่า พราหมณ์ใดชื่อว่าเป็นพราหมณ์ เพราะมีบาปธรรมอันลอยเสียแล้ว จึงได้เป็นผู้ประกอบด้วยบาปธรรมมีกิเลสเป็นเครื่องขู่ผู้อื่นว่า หึหึ และกิเลสดุจน้ำฝาดเป็นต้น เพราะค่าที่มาถือว่า สิ่งที่เห็นแล้วเป็นมงคล 
   ปฏิญาณข้อที่ตนเป็นพราหมณ์ด้วยเหตุสักว่าชาติอย่างเดียว หามิได้, พราหมณ์นั้น ชื่อว่าเป็นผู้มีบาปธรรมอันลอยแล้ว เพราะเป็นผู้ลอยบาปธรรมเสีย 
   ชื่อว่าผู้ไม่มีกิเลสเป็นเครื่องขู่ผู้อื่นว่า หึหึ เพราะมาละกิเลสเป็นเครื่องขู่ผู้อื่นว่า หึหึ เสียได้ ชื่อว่าผู้ไม่มีกิเลสดุจน้ำฝาด เพราะไม่มีกิเลสดุจน้ำฝาดมีราคะเป็นต้น ชื่อว่ามีตนสำรวมแล้ว เพราะเป็นผู้มีจิตประกอบด้วยภาวนานุโยค 
   อนึ่ง ชื่อว่าผู้มีตนสำรวมแล้ว เพราะเป็นผู้มีจิตสำรวมแล้วด้วยศีลสังวร ชื่อว่าผู้จบเวทแล้ว เพราะเป็นผู้ถึงที่สุดด้วยเวททั้งหลาย กล่าวคือจตุมรรคญาณ หรือเพราะเป็นผู้เรียนจบไตรเพท ชื่อว่าผู้จบพรหมจรรย์แล้ว เพราะพรหมจรรย์คือมรรค ๔ อันตนได้อยู่เสร็จแล้ว. 
   บาทพระคาถาว่า ธมฺเมน โส พฺรหฺมวาทํ วเทยฺย มีความว่า กิเลสเครื่องฟูขึ้น ๕ อย่างนี้คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ในเพราะอารมณ์น้อยหนึ่ง คือว่า แม้ในเพราะอารมณ์อย่างหนึ่งในโลกทั้งมวลไม่มีแก่พราหมณ์ใด พราหมณ์นั้นโดยทางธรรม ควรกล่าววาทะนี้ว่า เราเป็นพราหมณ์. 
   เมฆที่เกิดขึ้นในเมื่อยังไม่ถึงฤดูฝน ชื่อว่า อกาลเมฆ ก็แลเมฆนี้เกิดขึ้นในเดือนท้ายแห่งฤดูร้อน. 
   บทว่า สตฺตาหวทฺทลิกา มีความว่า เมื่ออกาลเมฆนั้นเกิดขึ้นแล้วได้มีฝนตกพรำตลอด ๗ วัน. 
   บทว่า สีตวาตทุทฺทินี มีความว่า ก็แลฝนตกพรำตลอด ๗ วันนั้นได้ชื่อว่า ฝนเจือลมหนาว เพราะเป็นวันที่ลมหนาวเจือเม็ดฝนพัดวนไปโดยรอบโกรกแล้ว.

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ โพธิกถา ปฏิจจสมุปบาทมนสิการ

     ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

มหาขันธกะ โพธิกถา ปฏิจจสมุปบาทมนสิการ

   [๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า แรกตรัสรู้ ประทับอยู่ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในอุรุเวลาประเทศ.
   ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว เสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ตลอด ๗ วัน และทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาทเป็นอนุโลมและปฏิโลม ตลอดปฐมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้:

ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
   เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
   เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
   เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.

ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม

   อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขาร จึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
   เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
   เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น ว่าดังนี้:-

พุทธอุทานคาถาที่ ๑

เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์
   ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวง
   ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะมารู้ธรรม
พร้อมทั้งเหตุ.
   [๒] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท เป็นอนุโลมและปฏิโลม ตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้:-

ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
   เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
   เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
   เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.

ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม

   อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขาร จึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
   เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับ
ตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ   เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
   เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น ว่าดังนี้:-

พุทธอุทานคาถาที่ ๒

เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์
   ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวง 
ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป 
   เพราะได้รู้ความสิ้นแห่งปัจจัยทั้งหลาย.
   [๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท เป็นอนุโลมและปฏิโลม ตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้:-

ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม

   เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
   เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
   เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
   เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
   เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.

ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม

   อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขาร จึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
   เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น ว่าดังนี้:-

พุทธอุทานคาถาที่ ๓

เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์
   ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น พราหมณ์นั้น ย่อม
กำจัดมารและเสนาเสียได้
   ดุจพระอาทิตย์อุทัยทำอากาศให้สว่าง ฉะนั้น.
โพธิกถา จบ

อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะโพธิกถา

ตติยสมันตปาสาทิกา อรรถกถาพระวินัยปิฎก
มหาขันธกวรรณนา มหาวรรค
อปโลกคาถา
   พระมหาเถระทั้งหลายผู้รู้เนื้อความในขันธกะ ได้สังคายนาขันธกะอันใด เป็นลำดับแห่งการสังคายนาปาติโมกข์ทั้ง ๒. บัดนี้ถึงลำดับสังวรรณนาแห่งขันธกะนั้นแล้ว, 
   เพราะฉะนั้น สังวรรณนานี้จึงเป็นแต่อธิบายความยังไม่ชัดเจนแห่งขันธกะนั้น, เนื้อความเหล่าใด แห่งบทเหล่าใด 
   ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ประกาศแล้วในบทภาชนีย์, 
   ถ้าว่าข้าพเจ้าจะต้องกล่าวซ้ำเนื้อความเหล่านั้นแห่งบทเหล่านั้นอีกไซร้, เมื่อไรจักจบ. ส่วนเนื้อความเหล่าใดชัดเจนแล้ว จะมีประโยชน์อะไรด้วยการสังวรรณนาเนื้อความเหล่านั้น. 
   ก็แลเนื้อความเหล่าใดยังไม่ชัดเจน ด้วยอธิบายและอนุสนธิและด้วยพยัญชนะ เนื้อความเหล่านั้นไม่พรรณนาไว้ใครๆ ก็ไม่สามารถจะทราบได้, เพราะฉะนั้น จึงมีสังวรรณนานัยเนื้อความเหล่านั้น ดังนี้ :-
อรรถกถาโพธิกถา
   ในคำว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา อุรุเวลายํ วิหรติ นชฺชา เนรญฺชราย ตีเร โพธิรุกฺขมูเล ปฐมาภิสมฺพุทฺโธ นี้. 
   ถึงจะไม่มีเหตุพิเศษเพราะตติยาวิภัตติ เหมือนในคำที่ว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา เวรญฺชายํ เป็นต้น 
   ก็จริงแล, แต่โวหารนี้ ท่านยกขึ้นด้วยตติยาวิภัตติเหมือนกัน เพราะเพ่งวินัย เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบสันนิษฐานว่า คำนั้นท่านกล่าวตามทำนองโวหารที่ยกขึ้นแต่แรกนั่นเอง. 
ในคำอื่นๆ นอกจากคำนี้ แม้อื่นอีกแต่เห็นปานนี้ก็นัยนั้น. 
ถามว่า ก็อะไรเป็นประโยชน์ในการกล่าวคำนั้นเล่า? 
ตอบว่า การแสดงเหตุตั้งแต่แรกแห่งวินัยกรรมทั้งหลายมีบรรพชาเป็นต้น เป็นประโยชน์. 
   จริงอยู่ ผู้ศึกษาพึงทราบว่า ประโยชน์ในการกล่าวคำนั้น ก็คือการแสดงเหตุตั้งแต่แรกแห่งวินัยกรรมทั้งหลายมีบรรพชาเป็นต้นเหล่านั้น อย่างนี้ว่า บรรพชาและอุปสมบทอันใด 
   ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตอย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบรรพชาและอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์เหล่านี้ ดังนี้๑- และวัตรทั้งหลายมีอุปัชฌายวัตร อาจริยวัตรเป็นต้นเหล่าใด ซึ่งทรงอนุญาตในที่ทั้งหลายมีกรุงราชคฤห์เป็นต้น 
   บรรพชาอุปสมบทและอุปัชฌายวัตรเป็นต้นเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุอภิสัมโพธิญาณแล้ว ให้ ๗ สัปดาห์ผ่านพ้นไปที่โพธิมัณฑ์ ทรงประกาศพระธรรมจักรในกรุงพาราณสีแล้ว เสด็จถึงสถานนี้ๆ โดยลำดับนี้ ทรงบัญญัติแล้วเพราะเรื่องนี้ๆ. 
๑-มหาวคฺค ปฐม. ๔๒. 
   ในบทเหล่านั้น บทว่า อุรุเวลายํ ได้แก่ ที่แดนใหญ่. 
   อธิบายว่า ที่กองทรายใหญ่. อีกประการหนึ่ง ทราย เรียกว่าอุรุ, เขตคัน เรียกว่าเวลา. แลพึงเห็นความในบทนี้ อย่างนี้ว่า ทรายที่เขาขนมาเพราะเหตุที่ล่วงเขตคัน ชื่ออุรุเวลา. 
   ได้ยินว่า ในอดีตสมัย เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติ กุลบุตรหมื่นคนบวชเป็นดาบสอยู่ที่ประเทศนั้น 
   วันหนึ่งได้ประชุมกันทำกติกาวัตรไว้ว่า ธรรมดากายกรรม วจีกรรมเป็นของปรากฏแก่ผู้อื่นได้ ฝ่ายมโนกรรม หาปรากฏไม่ เพราะฉะนั้น ผู้ใดตรึกกามวิตกหรือพยาบาทวิตกหรือวิหิงสาวิตก คนอื่นที่จะโจทผู้นั้นย่อมไม่มี ผู้นั้นต้องโจทตน
   ด้วยตนเองแล้ว เอาห่อแห่งใบไม้๒- ขนทรายมาเกลี่ยในที่นี้ ด้วยตั้งใจว่า นี่พึงเป็นทัณฑกรรม จำเดิมแต่นั้นมาผู้ใดตรึกวิตกเช่นนั้น ผู้นั้นย่อมใช้ห่อแห่งใบไม้ขนทรายมาเกลี่ยในที่นั้น.
   ด้วยประการอย่างนี้ กองทรายในที่นั้นจึงใหญ่ขึ้นโดยลำดับ. ภายหลังมาประชุมชนในภายหลัง จึงได้แวดล้อมกองทรายใหญ่นั้นทำให้เป็นเจดียสถาน. 
๒- หรือว่าใบไม้สำหรับห่อ ตามนัยอรรถกถา สตฺติคุมฺพชาตก ที่ท่านชักมาไว้ใน มงฺคลตฺถทีปนี ว่า ปตฺตปูฏสฺเสวาติ ... ปลิเวฐนปณฺณสฺเสว. น่าจะเป็นอย่างที่เรียกว่า กระทง คือเอาใบไม้มาเย็ยมากลัดติดกันเป็นภาชนะใส่ของได้. 
ในโยชนาภาค ๒ หน้า ๑๖๗ แก้ว่า ปตฺตปูเฏนาติ ปณฺณปูเฏน. 
   ข้าพเจ้าหมายเอากองทรายนั้นกล่าวว่า บทว่า อุรุเวลายํ ได้แก่ ที่แดนใหญ่. 
   อธิบายว่า ที่กองทรายใหญ่. หมายเอากองทรายนั้นเองกล่าวว่า อีกประการหนึ่ง ทราย เรียกว่าอุรุ, เขตคัน เรียกว่าเวลา, และพึงเห็นความในบทนี้ อย่างนี้ว่า ทรายที่เขาขนมา เพราะเหตุที่ล่วงเขตคัน ชื่ออุรุเวลา. 
   บทว่า โพธิรุกฺขมูเล มีความว่า ญาณในมรรค ๔ เรียกว่าโพธิญาณ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุโพธิญาณนั้นที่ต้นไม้นี้ เพราะฉะนั้นต้นไม้จึงพลอยได้นามว่าโพธิพฤกษ์ด้วย ที่โคนแห่งโพธิพฤกษ์นั้นชื่อว่า โพธิรุกขมูล. 
   บทว่า ปฐมาภิสมฺพุทฺโธ ได้แก่ แรกตรัสรู้. 
   อธิบายว่า เป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเสร็จก่อนทุกอย่างทีเดียว. 
   บทว่า เอกปลฺลงฺเกน มีความว่า ประทับนั่ง ด้วยบัลลังก์อันเดียวตามที่ทรงคู้แล้วเท่านั้น ไม่เสด็จลุกขึ้นแม้ครั้งเดียว. 
   บทว่า วิมุตฺติสุขปฏิสํเวที มีความว่า เสวยวิมุตติสุข คือสุขที่เกิดแต่ผลสมาบัติ. 
   บทว่า ปฏิจฺจสมุปฺปาทํ ได้แก่ ปัจจยาการ. 
   จริง ปัจจยาการท่านเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า อาศัยกันและกัน ยังธรรมที่สืบเนื่องกันให้เกิดขึ้น. ความสังเขปในบทว่า ปฏิจฺจสมุปฺปาทํ นี้ เท่านี้. ส่วนความพิสดาร ผู้ปรารถนาวินิจฉัยที่พร้อมมูลด้วยอาการทั้งปวง พึงถือเอาจากวิสุทธิมรรค๓- และมหาปกรณ์. 
๓- วิ.ปญฺญา. ตติย. ๑๐๗. 
   บทว่า อนุโลมปฏิโลมํ มีวิเคราะห์ว่า ตามลำดับด้วย ทวนลำดับด้วย ชื่อว่าทั้งตามลำดับทั้งทวนลำดับ. ผู้ศึกษาพึงเห็นความในบทอย่างนี้แลว่า ในอนุโลมและปฏิโลมทั้ง ๒ นั้น ปัจจยาการมีอวิชชาเป็นต้น ที่ท่านกล่าวโดยนัยว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ดังนี้ เรียกว่า อนุโลม เพราะทำกิจที่ตนพึงทำ. 
   ปัจจยาการนั้นนั่นเองที่ท่านกล่าวโดยนัยเป็นต้นว่า อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ ดังนี้ เมื่อดับเพราะนิโรธ คือไม่เกิดขึ้นย่อมไม่ทำกิจนั้น เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า ปฏิโลม เพราะไม่ทำกิจนั้น. 
   อีกอย่างหนึ่ง ปัจจยาการที่กล่าวแล้ว ตามนัยก่อนนั่นแล เป็นไปตามประพฤติเหตุ นอกนี้เป็นไปย้อนประพฤติเหตุ. ก็แลความเป็นอนุโลมและปฏิโลมในปัจจยาการนี้ ยังไม่ต้องด้วยเนื้อความอื่นจากนี้ เพราะท่านมิได้กล่าวตั้งแต่ต้นจนปลายและตั้งแต่ปลายจนถึงต้น. 
   บทว่า มนสากาสิ ตัดบทว่า มนสิ อกาสิ แปลว่า ได้ทำในพระหฤทัยในอนุโลมและปฏิโลมทั้ง ๒ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำในพระหฤทัยด้วยอนุโลมด้วยประการใด เพื่อแสดงประการนี้ก่อนพระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวคำว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เป็นต้น. 
   ในคำนั้นผู้ศึกษาพึงทราบความในทั้งปวงโดยนัยนี้ว่า อวิชชานั้นด้วย เป็นปัจจัยด้วย เพราะฉะนั้น ชื่อว่า อวิชชาเป็นปัจจัย, สังขารทั้งหลายย่อมเกิดพร้อม เพราะอวิชชาอันเป็นปัจจัยนั้น ความสังเขปในบทว่า มนสากาสิ นี้เท่านี้. 
   ส่วนความพิสดารผู้ต้องการวินิจฉัยที่พร้อมมูลด้วยอาการทุกอย่าง พึงถือเอาจากวิสุทธิมรรค๔- สัมโมหวิโนทนี๕- และอรรถกถาแห่งมหาวิภังค์. 
   และพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำในพระหฤทัย โดยปฏิโลมด้วยประการใด เพื่อแสดงประการนี้ ท่านจึงกล่าวคำว่า อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ เป็นต้น. 
๔- วิ. ปญฺญา. ตติย. ๑๒๔.  ๕- สมฺ. วิ. ๑๖๘.  
ในคำนั้นพึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- 
   บทว่า อวิชฺชาย เตฺวว ตัดบทว่า อวิชฺชาย ตุ เอว. 
   บทว่า อเสสวิราคนิโรธา มีความว่า เพราะดับไม่เหลือด้วยมรรค กล่าวคือวิราคะ. 
   บทว่า สงฺขารนิโรโธ ได้แก่ ความดับ คือความไม่เกิดขึ้นแห่งสังขารทั้งหลาย. ก็แลเพื่อแสดงว่า ความดับแห่งวิญญาณ จะมีก็เพราะดับแห่งสังขารทั้งหลายที่ดับไปแล้วอย่างนั้น 
   และธรรมทั้งหลายมีนามรูปเป็นต้น จะเป็นธรรมที่ดับดีแล้วทีเดียว ก็เพราะดับแห่งธรรมทั้งหลายมีวิญญาณเป็นต้น 
   ท่านจึงกล่าวคำว่า สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ เป็นต้น แล้วกล่าวคำว่า กองทุกข์ทั้งสิ้นนี้เป็นอันดับไปด้วยประการอย่างนี้. 
ในบทเหล่านั้น บทว่า เกวลสฺส ได้แก่ทั้งมวลหรือล้วน.
ความว่า ปราศจากสัตว์.
บทว่า ทุกฺขกฺขนฺธสฺส ได้แก่กองทุกข์.
   สองบทว่า นิโรโธ โหติ มีความว่า ความไม่เกิดย่อมมี. 
   สองบทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา มีความว่า เนื้อความนี้ใดที่พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวว่า กองทุกข์มีสังขารเป็นต้น 
   เป็นอันเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้น และเป็นอันดับไปด้วยอำนาจดับแห่งปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้น ดังนี้ ทรงทราบเนื้อความนั้นด้วยอาการทั้งปวง. 
สองบทว่า ตายํ เวลายํ
ได้แก่ ในเวลาที่ทรงทราบเนื้อความนั้นๆ.
   บทว่า อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ มีความว่า ทรงเปล่งอุทานซึ่งมีญาณอันสัมปยุตด้วยโสมนัสเป็นแดนเกิด มีคำว่า ยทา หเว ปาตุภวนฺติ เป็นต้นนี้ ซึ่งแสดงอานุภาพแห่งความทรงทราบเหตุและธรรมที่เกิดแต่เหตุ ในเนื้อความที่ทรงทราบแล้วนั้น มีคำอธิบายว่า ทรงเปล่งพระวาจาแสดงความเบิกบานพระหฤทัย. 
เนื้อความแห่งอุทานนั้นว่า บทว่า ยทา หเว 
ได้แก่ ในกาลใดแล. 
บทว่า ปาตุภวนฺติ ได้แก่ ย่อมเกิด. 
   โพธิปักขิยธรรมซึ่งให้สำเร็จความตรัสรู้ปัจจยาการโดยอนุโลม ชื่อว่าธรรม. 
   อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปาตุภวนฺติ มีความว่า แจ่มแจ้ง คือเป็นของชัดเจน ปรากฏด้วยอำนาจความรู้ตรัสรู้. ธรรมคืออริยสัจ ๔ ชื่อว่าธรรม. ความเพียรเรียกว่า อาตาปะ เพราะอรรถว่าย่างกิเลสให้ร้อน 
   บทว่า อาตาปิโน ได้แก่ ผู้มีความเพียรอันบุคคลพึงตั้งไว้ชอบ. 
   บทว่า ฌายโต มีความว่า ผู้เพ่งด้วยฌาน ๒ คือด้วยการกำหนด คืออารัมมณูปนิชฌาน ๑ ด้วยการกำหนดคือลักขณูปนิชฌาน ๑. 
   บทว่า พฺราหฺมณสฺส ได้แก่ พระขีณาสพผู้ลอยบาปแล้ว. 
   หลายบทว่า อถสฺส กงฺขา วปยนฺติ มีความว่า เมื่อนั้นความสงสัยของพราหมณ์นั้น คือผู้มีธรรมปรากฏแล้วอย่างนั้นย่อมสิ้นไป. 
   บทว่า สพฺพา มีความว่า ความสงสัยในปัจจยาการที่ท่านกล่าวไว้โดยนัยเป็นต้นว่า เมื่อเขาถามว่า ใครเล่าหนอ? ย่อมถูกต้องพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ปัญหาไม่สมควรแก้๖- ดังนี้
   และโดยนัยเป็นต้นว่า เมื่อเขาถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญก็ชราและมรณะเป็นอย่างไรหนอ ก็แลชราและมรณะนี้จะมีแก่ใคร? พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ปัญหาไม่สมควรแก้. ดังนี้๗- 
   และความสงสัย ๑๖ อย่างเป็นต้นว่า ในอดีตกาลเราได้มีแล้วหรือหนอ? ซึ่งมาแล้วเพราะยังไม่ได้ตรัสรู้ปัจจยาการนั่นเอง (เหล่านี้) ทั้งหมดย่อมสิ้นไป คือย่อมปราศจากไป ย่อมดับไป. 
   เพราะเหตุไร? เพราะเหตุที่มาทราบธรรมพร้อมทั้งเหตุ. 
   มีอธิบายว่า เพราะทราบ คือทราบชัด ตรัสรู้ธรรมคือกองทุกข์ทั้งมวล มีสังขารเป็นต้นนี้พร้อมทั้งเหตุ ด้วยเหตุมีอวิชชาเป็นต้น. 
๖- สํ.นิ. เล่ม ๑๖/ข้อ ๓๓  ๗- สํ. นิ.
เล่ม ๑๖/ข้อ๑๒๙. 
พึงทราบวินิจฉัยในทุติยวาร :- 
   สามบทว่า อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ มีความว่า ทรงเปล่งอุทานมีประการดังกล่าวแล้วนี้ ซึ่งแสดงอานุภาพแห่งความตรัสรู้ ความสิ้นปัจจัย กล่าวคือนิพพานซึ่งปรากฏแล้วอย่างนี้ว่า อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ ในเนื้อความที่ทรงทราบแล้วนั้น. 
ความสังเขปในอุทานนั้นดังต่อไปนี้ :- 
   เพราะได้รู้ คือได้ทราบชัดได้ตรัสรู้นิพพานกล่าวคือความสิ้นปัจจัยทั้งหลาย เมื่อใดธรรมทั้งหลายมีประการดังกล่าวแล้วปรากฏแก่พราหมณ์นั้น ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยทุกอย่างที่จะพึงเกิดขึ้นเพราะไม่รู้นิพพาน ย่อมสิ้นไป. 
&@พึงทราบวินิจฉัยในตติยวาร :- 
   สามบทว่า อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ มีความว่า ทรงเปล่งอุทานมีประการดังกล่าวแล้วนี้ ซึ่งแสดงอานุภาพแห่งอริยมรรคที่เป็นเหตุ ทรงทราบเนื้อความกล่าวคือความเกิดและความดับแห่งกองทุกข์นั้น ด้วยอำนาจกิจและด้วยทำให้เป็นอารมณ์. 
ความสังเขปในอุทานนั้นดังต่อไปนี้ :- 
   เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น พราหมณ์นั้นย่อมกำจัด 
   เสนามารด้วยโพธิปักขิยธรรมซึ่งเกิดแล้วเหล่านั้น หรือด้วยอริยมรรคเป็นเครื่องปรากฏแห่งจตุสัจจธรรมดำรงอยู่ ข้อว่า วิธูปยํ ติฏฺฐติ มารเสนํ ความว่า ย่อมกำจัดคือผจญ ปราบเสนามารมีประการดังกล่าวแล้ว โดยนัยเป็นต้นว่า กามทั้งหลายเป็นเสนาที่ ๑ ของท่านดังนี้๘- ดำรงอยู่. 
๘- ขุ. สุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๓๕๕ 
ถามว่า กำจัดอย่างไร?
ตอบว่า เหมือนพระอาทิตย์ส่องอากาศให้สว่างฉะนั้น. 
   อธิบายว่า พระอาทิตย์ขึ้นไปแล้ว เมื่อส่องอากาศให้สว่างด้วยรัศมีของตนแล ชื่อว่ากำจัดมืดเสีย ข้อนี้ฉันใด.
 พราหมณ์แม้นั้นเมื่อตรัสรู้สัจจะทั้งหลายด้วยธรรมเหล่านั้นหรือด้วยมรรคนั้นแล ชื่อว่ากำจัดเสนามารเสียได้ ข้อนี้ก็ฉันนั้น 
เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบสันนิษฐานว่าใน ๓ อุทานนี้ 
อุทานที่ ๑ เกิดขึ้นด้วยอำนาจความพิจารณาปัจจยาการ 
อุทานที่ ๒ เกิดขึ้นด้วยอำนาจความพิจารณาพระนิพพาน 
อุทานที่ ๓ เกิดขึ้นด้วยอำนาจความพิจารณามรรค ด้วยประการฉะนี้. 
   ส่วนในอุทาน๙- ท่านกล่าวว่า ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทโดยอนุโลมตลอดยามต้นแห่งราตรี โดยปฏิโลมตลอดยามที่ ๒ โดยอนุโลมและปฏิโลมตลอดยามที่ ๓ คำนั้นท่านกล่าวหมายเอามนสิการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้เกิดขึ้นตลอดราตรี ด้วยทรงตั้งพระหฤทัยว่า พรุ่งนี้เราจักลุกจากอาสนะ เพราะครบ ๗ วัน. 
๙- ขุ. อุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๓๘ 
   จริงอยู่ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพิจารณาส่วนอันหนึ่งๆ เท่านั้น ตลอดปฐมยามและมัชฌิมยาม ด้วยอำนาจแห่งความทราบชัดซึ่งปัจจยาการและความบรรลุความสิ้นปัจจัย 
   ซึ่งมีอานุภาพอันอุทานคาถา ๒ เบื้องต้นแสดงไว้ แต่ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพิจารณาอย่างนั้นในราตรีวันปาฏิบท. 
   จริงอยู่ ในราตรีเพ็ญวิสาขมาส พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงระลึกปุพเพนิวาสในปฐมยาม ทรงชำระทิพยจักษุในมัชฌิมยาม ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทโดยอนุโลมและปฏิโลมในปัจฉิมยาม 
   ทรงบรรลุความเป็นพระสัพพัญญูในขณะที่จะพึงกล่าวว่า อรุณจักขึ้นเดี๋ยวนี้. อรุณขึ้นในเวลาติดต่อกับเวลาที่ได้ทรงบรรลุความเป็นพระสัพพัญญูทีเดียว. 
   แต่นั้น พระองค์ทรงปล่อยวันนั้นให้ผ่านพ้นไปด้วยการนั่งขัดสมาธินั้นแล แล้วทรงพิจารณาอย่างนั้น เปล่งอุทานเหล่านี้ในยามทั้ง ๓ แห่งราตรีวันปาฏิบทที่ถึงพร้อมแล้ว.
   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาอย่างนั้นในราตรีวันปาฏิบท ให้ ๗ วันที่ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า ประทับนั่งด้วยบัลลังก์อันเดียว ที่โพธิรุกขมูลตลอด ๗ วัน. นั้นผ่านพ้นไปที่โพธิรุกขมูลนั้นแล ด้วยประการฉะนี้แล.
อรรถกถาโพธิกถา จบ.