Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มุสาวาทวรรค๑ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มุสาวาทวรรค๑ แสดงบทความทั้งหมด

07 กันยายน 2567

ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ มุสาวาทวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๑๐ เรื่องภิกษุชาวรัฐอาฬวี [ว่าด้วย ขุดดิน] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่องภิกษุชาวรัฐอาฬวี
[๓๔๙] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ อัคคาฬวเจดีย์ เขตรัฐอาฬวี. ครั้งนั้น พวกภิกษุชาวรัฐอาฬวีช่วยกันทำนวกรรม ขุดเองบ้าง ให้คนอื่นขุดบ้างซึ่งปฐพี. คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ ขุดเองบ้าง ให้คนอื่นขุดบ้างซึ่งปฐพี? พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ย่อมเบียดเบียนอินทรีย์ อย่างหนึ่ง ซึ่งมีชีวะ. 
                  ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่. บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุชาวรัฐอาฬวีจึงได้ขุดเองบ้าง ให้คนอื่นขุดบ้างซึ่งปฐพีเล่า? แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม
                พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอขุดเองบ้าง ให้คนอื่นขุด บ้างซึ่งปฐพี จริงหรือ?
                 ภิกษุชาวรัฐอาฬวีทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
 พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงได้ขุด เองบ้าง ให้คนอื่นขุดบ้างซึ่งปฐพีเล่า? เพราะคนทั้งหลายสำคัญในปฐพีว่ามีชีวะ การกระทำ ของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๕๙. ๑๐. อนึ่ง ภิกษุใด ขุดก็ดี ให้ขุดก็ดี ซึ่งปฐพี, เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุชาวรัฐอาฬวี จบ.
สิกขาบทวิภังค์
             [๓๕๐] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือผู้เช่นใด ... 
              บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
              ที่ชื่อว่า ปฐพี ได้แก่ปฐพี ๒ อย่าง คือ ปฐพีแท้อย่างหนึ่ง ปฐพีไม่แท้อย่างหนึ่ง. 
             ที่ชื่อว่า ปฐพีแท้ คือ มีดินร่วนล้วน มีดินเหนียวล้วน มีหินน้อย มีกรวดน้อยมีกระเบื้องน้อย มีแร่น้อย มีทรายน้อย มีดินร่วนมาก มีดินเหนียวมาก แม้ดินที่ยังไม่ได้เผาไฟก็เรียกว่า ปฐพีแท้. 
              กองดินร่วนก็ดี กองดินเหนียวก็ดี ที่ฝนตกรดเกิน ๔ เดือนมาแล้ว แม้นี้ก็เรียกว่า ปฐพีแท้. 
              ที่ชื่อว่า ปฐพีไม่แท้ คือเป็นหินล้วน เป็นกรวดล้วน เป็นกระเบื้องล้วน เป็นแร่ล้วนเป็นทรายล้วน มีดินร่วนน้อย มีดินเหนียวน้อย มีหินมาก มีกรวด มีกระเบื้อง มีแร่ มีทรายมากแม้ดินที่เผาไฟแล้ว ก็เรียกว่า ปฐพีไม่แท้. 
              กองดินร่วนก็ดี กองดินเหนียวก็ดี ที่ฝนตกรดยังหย่อนกว่า ๔ เดือน, แม้นี้ก็เรียกว่าปฐพีไม่แท้. 
              [๓๕๑] บทว่า ขุด คือ ขุดเอง ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              บทว่า ให้ขุด คือ ใช้ให้คนอื่นขุด ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              สั่งครั้งเดียว เขาขุดแม้หลายครั้ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
            [๓๕๒] ปฐพี ภิกษุสำคัญว่า ปฐพี ขุดเองก็ดี ใช้ให้เขาขุดก็ดี ทำลายเองก็ดี ใช้ให้เขาทำลายก็ดี เผาไฟเองก็ดี ใช้ให้เขาเผาไฟก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              ปฐพี ภิกษุสงสัย ขุดเองก็ดี ใช้ให้เขาขุดก็ดี ทำลายเองก็ดี ใช้ให้เขาทำลายก็ดี เผาไฟเองก็ดี ใช้ให้เขาเผาไฟก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              ปฐพี ภิกษุสำคัญว่า มิใช่ปฐพี ขุดเองก็ดี ใช้ให้เขาขุดก็ดี ทำลายเองก็ดี ใช้ให้เขาทำลายก็ดี เผาไฟเองก็ดี ใช้ให้เขาเผาไฟก็ดี ไม่ต้องอาบัติ. 
                 มิใช่ปฐพี ภิกษุสำคัญว่า ปฐพี ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
                 มิใช่ปฐพี ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              ไม่ต้องอาบัติ              มิใช่ปฐพี ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ปฐพี ... ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
        [๓๕๓] ภิกษุกล่าวว่า ท่านจงรู้ดินนี้ ท่านจงให้ดินนี้ ท่านจงนำดินนี้มา เรามีความต้องการด้วยดินนี้ ท่านจงทำดินนี้ให้เป็นกัปปิยะ ดังนี้ ๑ ภิกษุไม่แกล้ง ๑ ภิกษุไม่มีสติ ๑ ภิกษุไม่รู้ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ.
ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๑ จบ.
หัวข้อประจำเรื่อง
            ๑. มุสาวาทสิกขาบท   ว่าด้วยพูดเท็จ 
            ๒. โอมสวาทสิกขาบท  ว่าด้วยพูดเสียดสี
            ๓. เปสุญญสิกขาบท ว่าด้วยพูดส่อเสียด
            ๔. ปทโสธัมมสิกขาบท ว่าด้วยสอนธรรมว่าพร้อมกัน 
            ๕. ปฐมสหเสยยสิกขาบท ว่าด้วยนอนร่วมกับอนุปสัมบัน 
            ๖. ทุติยสหเสยยสิกขาบท ว่าด้วยนอนร่วมกับมาตุคาม 
            ๗. ธัมมเทสนาสิกขาบท ว่าด้วยแสดงธรรม 
            ๘. ภูตาโรจนสิกขาบท ว่าด้วยบอกอุตตริมนุสสธรรม 
            ๙. ทุฏฐุลลาโรจนสิกขาบท ว่าด้วยบอกอาบัติชั่วหยาบ 
           ๑๐. ปฐวีขณนสิกขาบท ว่าด้วยขุดดิน 
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ มุสาวาทวรรคที่ ๑
สิกขาบทที่ ๑๐     มุสาวาทวรรค ปฐวีขนน
         พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :-
 [แก้อรรถ เรื่องปฐพีแท้ไม่แท้] 
                 พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงปฐพีแท้ และปฐพีไม่แท้ ด้วยบทเหล่านี้ว่า ชาตา จ ปฐวี อชาตา จ ปฐวี ดังนี้.
                 ในบททั้งหลายมีบทว่ามีหินน้อยเป็นต้น ผู้ศึกษาพึงเห็นใจความอย่างนี้ว่า ที่ปฐพีแท้นี้มีหินน้อย ฉะนั้น จึงชื่อว่า อัปปปาสาณะ. 
                 ในบทว่า มีหินน้อย เป็นต้นนั้น พึงทราบว่า มีหินเกินกว่าขนาดกำมือหนึ่ง. กรวด ก็พึงทราบว่า มีขนาดกำมือหนึ่ง. เศษกระเบื้องชื่อ กถลา. ก้อนกรวดที่ปรากฏ (หินกรวดคล้ายวลัย) ชื่อ มรุมพา. ทรายนั่นแหละ ชื่อว่า วาลุกา. 
                 สองบทว่า เยภุยฺเยน ปํสุ มีความว่า ใน ๓ ส่วน ๒ ส่วนเป็นดินร่วนเสีย, ส่วนหนึ่งเป็นหินเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง. 
                บทว่า อทฑฺฒาปิ มีความว่า ยังไม่ได้เผาไฟ โดยประการใดประการหนึ่ง ด้วยอำนาจแห่งเตาไฟ ที่ระบมบาตร และเตาช่างหม้อเป็นต้น. ก็ปฐพีที่ยังไม่ได้เผาไฟนั้น ไม่มีต่างหาก, พึงทราบว่าเป็นปฐพีชนิดใดชนิดหนึ่ง มีดินซุยล้วนเป็นต้น.  
                สองบทว่า เยภุยฺเยน สกฺขรา ได้แก่ มีก้อนกรวดมากกว่า. 
                 ได้ยินว่า ในหัตถิกุจฉิประเทศ พวกภิกษุให้ขนดินมาเต็มกระบุงหนึ่ง แล้วล้างในลำราง รู้ว่าเป็นปฐพีมีกรวดโดยมาก จึงขุดสระโบกขรณีเสียเอง. 
                 ก็สองบทว่า อปฺปปํสุ อปฺปมตฺติกา ซึ่งมีอยู่ตรงกลาง ผนวกเข้าหมวด ๕ มีหินโดยมากเป็นต้นนั่นแล. แท้จริง คำนี้เป็นคำแสดงชนิดแห่งปฐพีทั้ง ๒ นั้นนั่นแล. 
                 ในคำว่า สยํ ขนติ อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส นี้ ผู้ศึกษาพึงทราบว่า เป็นปาจิตตีย์ทุกๆ ครั้งที่ขุด.
                 คำว่า สกึ อาณตฺโต พหุกํปิ ขนติ มีความว่า ถ้าแม้นว่า ผู้รับสั่งขุดตลอดทั้งวัน ก็เป็นปาจิตตีย์ตัวเดียวเท่านั้นแก่ผู้สั่ง. แต่ถ้าผู้รับสั่งเป็นคนเกียจคร้าน ผู้สั่งต้องสั่งบ่อยๆ เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้สั่งให้เขาขุดทุกๆ คำ. 
                 พรรณนาบาลีเท่านี้ก่อน.
 [บาลีมุตตกวินิจฉัยว่าด้วยการขุดดินเป็นต้น] 
                 ส่วนวินิจฉัยนอกพระบาลี ดังต่อไปนี้ :- 
                 ภิกษุกล่าวว่า เธอจงขุดสระโบกขรณี ดังนี้ ควรอยู่. เพราะว่า สระที่ขุดแล้วเท่านั้น จึงชื่อว่าเป็นสระโบกขรณี ฉะนั้น โวหารนี้เป็นกัปปิยโวหาร. 
                      แม้ในคำเป็นต้นว่า จงขุด บึง บ่อ หลุม ดังนี้ ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. แต่จะกล่าวว่า จงขุดโอกาสนี้ จงขุดสระโบกขรณีในโอกาสนี้ ดังนี้ ไม่ควร. จะกล่าวไม่กำหนดแน่นอนลงไปว่า จงขุดเหง้า จงขุดราก ดังนี้ 
                     ควรอยู่. จะกล่าวว่า จงขุดเถาวัลย์นี้ จงขุดเหง้าหรือรากในโอกาสนี้ ดังนี้ ไม่สมควร. 
                 เมื่อชำระสระโบกขรณี อาจจะเอาหม้อวิดเปือกตมเหลวๆ ใดออกได้, จะนำเปือกตมนั้นออก ควรอยู่. จะนำเปือกตมที่ข้นออก 
                  ไม่ควร. เปือกตมแห้งเพราะแสงแดด แตกระแหง. ในเปือกตมแห้งนั้น ส่วนใดไม่เนื่องกับแผ่นดินในเบื้องล่าง, จะนำเปือกตมนั้นแลออก 
                  ควรอยู่. ชื่อว่าระแหง (แผ่นคราบน้ำ,๑- ดินร่วนเพราะน้ำแห้ง) มีอยู่ในที่น้ำไหลไป, ย่อมไหวเพราะถูกลมพัด จะนำเอาระแหงนั้นออก ควรอยู่. ฝั่ง (ตลิ่ง) แห่งสระโบกขรณีเป็นต้น พังตกลงไปริมน้ำ. ถ้าถูกฝนตกรดต่ำกว่า ๔ เดือน จะฟันออกหรือทุบออก ก็ควร. ถ้าเกิน ๔ เดือน 
                      ไม่ควร. แต่ถ้าตกลงในน้ำเลย. แม้เมื่อฝนตกรดเกิน ๔ เดือนแล้ว ก็ควร เพราะน้ำ (ฝน) ตกลงไปในน้ำเท่านั้น.
 ๑- วิมติ ; แก้ว่า อุทกปปฺปฏโกติ อุทเก อนฺโตภูมิยํ ปวิฏฺเฐ ตสฺส อุปริภาคํ ฉาเทตฺวา ตนุปํสุ วา มตฺติกา วา ปฏลํ หุตฺวา ปตมานา ติฏฺฐติ, ตสฺมึ อุทเก สุกฺเขปิ ตํ ปฎลํ วาเตน จลมานา ติฏฺฐติ, ตํ อุทกปปฺปฏโก นาม-ผู้ชำระ. 
                 ภิกษุทั้งหลายขุด (เจาะ) สะพังน้ำ (ตระพังหิน) บนหินดาด. ถ้าแม้นว่า ผงละเอียดตกลงไปในตระพังหินนั้น ตั้งแต่แรกทีเดียว. ผงละเอียดนั้นถูกฝนตกรด, ต่อล่วงไปได้ ๔ เดือน จึงถึงอันนับว่า เป็นอกัปปิยปฐพี. 
                เมื่อน้ำงวดแล้ว (แห้งแล้ว) พวกภิกษุผู้ชำระตระพังหิน จะแยกผงละเอียดนั้นออก ไม่ควร. ถ้าเต็มด้วยน้ำอยู่ก่อน, ผงละอองตกลงไปภายหลัง, จะแยกผงละอองนั้นออก ควรอยู่. 
                แท้จริง แม้เมื่อฝนตกในตระพังหินนั้น น้ำย่อมตกลงในน้ำเท่านั้น. ผงละเอียดมีอยู่บนพวกหินดาด ผงละเอียดนั้น เมื่อถูกฝนตกซะอยู่ ก็ติดกันเข้าอีก. จะแยกผงละอองแม้นั้นออกโดยล่วง ๔ เดือนไป ไม่ควร. 
                จอมปลวกเกิดขึ้นที่เงื้อมเป็นเองไม่มีคนสร้าง, จะแยกออกตามสะดวก ควรอยู่. ถ้าจอมปลวกเกิดขึ้นในที่แจ้ง ถูกฝนตกรดต่ำกว่า ๔ เดือนเท่านั้น จึงควร. แม้ในดินเหนียวของตัวปลวกที่ขึ้นไปบนต้นไม้เป็นต้น มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. แม้ในขุยไส้เดือน ขุยหนู และระแหงกีบโคเป็นต้น ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. 
               เปือกตมที่ถูกตัดด้วยกีบฝูงโค (โคลนรอยกีบฝูงโค) เรียกว่าระแหงกีบโค. ก็ถ้าว่า ระแหงกีบโคนั้น ติดกับแผ่นดินทางพื้นล่าง, แม้ในวันเดียวจะแยกออก ก็ไม่ควร.
              ภิกษุถือเอาก้อนดินเหนียวที่ถูกไถตัดแม้ในที่ที่ชาวนาไถไว้ ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. 
              เสนาสนะเก่า ไม่มีหลังคา หรือมีหลังคาพังก็ตาม ถูกฝนตกรดเกิน ๔ เดือน ย่อมถึงซึ่งอันนับว่า ปฐพีแท้เหมือนกัน. ภิกษุจะถือเอากระเบื้องมุงหลังคา หรือเครื่องอุปกรณ์มีกลอนเป็นต้น ที่เหลือจากเสนาสนะเก่านั้น ด้วยสำคัญว่า เราจะเอาอิฐ จะเอากลอน จะเอาเชิงฝา จะเอากระดานปูพื้น จะเอาเสาหิน ดังนี้ ควรอยู่. 
              ดินเหนียวตกลงติดกับกระเบื้องหลังคาเป็นต้นนั้น ไม่เป็นอาบัติ. แต่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้เอาดินเหนียวที่ฉาบฝา. ถ้าดินก้อนใดๆ ไม่เปียกชุ่ม, 
                ภิกษุถือเอาดินก้อนนั้นๆ ไม่เป็นอาบัติ. 
                ภายในเรือนมีกองดิน เมื่อกองดินนั้นถูกฝนตกรดเสียวันหนึ่ง ชนทั้งหลายจึงมุงเรือน. ถ้ากองดินเปียกทั้งหมด, ต่อล่วงไปได้ ๔ เดือน กลายเป็นปฐพีแท้เหมือนกัน. ถ้าส่วนเบื้องบนแห่งกองดินนั้นเท่านั้นเปียก ภายในไม่เปียก, 
                จะใช้ให้พวกกัปปิยการกคุ้ยเอาดินเท่าจำนวนที่เปียกออกเสีย ด้วยกัปปิยโวหารแล้ว ใช้สอยดินส่วนที่เหลือตามสะดวกก็ควร. 
                จริงอยู่ ดินที่เปียกน้ำแล้วจับติดเนื่องเป็นอันเดียวกันนั่นแล จัดเป็นปฐพีแท้, นอกนี้ไม่ใช่แล. 
                กำแพงดินเหนียวอยู่ในที่แจ้ง ถ้าถูกฝนตกรดเกิน ๔ เดือน ย่อมถึงอันนับว่า ปฐพีแท้. แต่ภิกษุจะเอามือเปียกจับต้องดินร่วนอันติดอยู่ที่ปฐพีแท้นั้น ควรอยู่. ถ้าหากว่า เป็นกำแพงอิฐ, ตั้งอยู่ในฐานเป็นเศษกระเบื้องอิฐเสียโดยมาก จะคุ้ยเขี่ยออกตามสบาย ก็ได้. 
                 ภิกษุจะโยกเอาเสามณฑปที่ตั้งอยู่ในที่แจ้ง ไปทางโน้นทางนี้ ทำให้ดินแยกออก ไม่ควร. ยกขึ้นตรงๆ เท่านั้น จึงควร. สำหรับภิกษุผู้จะถือเอาต้นไม้แห้ง หรือตอไม้แห้งแม้อย่างอื่น ก็นัยนี้แล. 
                ภิกษุทั้งหลายเอาพวกไม้ท่อนงัดหิน หรือต้นไม้กลิ้งไป เพื่อการก่อสร้าง. แผ่นดินในที่กลิ้งไปนั้น แตกเป็นรอย, ถ้าภิกษุทั้งหลายมีจิตบริสุทธิ์กลิ้งไป ไม่เป็นอาบัติ. แต่ทว่า 
                ภิกษุทั้งหลาย เป็นผู้ใคร่จะทำลายแผ่นดินด้วยเลศนั้นนั่นเอง เป็นอาบัติ. พวกภิกษุผู้ลากกิ่งไม้เป็นต้นไปก็ดี ผ่าฟืนบนแผ่นดินก็ดี ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. จะตอกหรือจะเสียบแม้วัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งมีกระดูก เข็มและหนามเป็นต้นลงไปในแผ่นดิน ก็ไม่ควร. 
                แม้จะถ่ายปัสสาวะ ด้วยคิดอย่างนี้ว่า เราจะพังแผ่นดินด้วยกำลังแห่งสายน้ำปัสสาวะ ก็ไม่ควร. 
               เมื่อภิกษุถ่าย ดินพัง เป็นอาบัติ. แม้จะเอาไม้กวาดครูดถู ด้วยคิดว่า เราจักทำพื้นดินที่ไม่เสมอ ให้เสมอ ดังนี้ ก็ไม่ควร. ความจริง ควรจะกวาดด้วยหัวข้อแห่งวัตรเท่านั้น. 
               ภิกษุบางพวกกระทุ้งแผ่นดิน ด้วยปลายไม้เท้า เอาปลายนิ้วหัวแม่เท้าขีดเขียน (แผ่นดิน). เดินจงกรมทำลายแผ่นดิน ครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยคิดว่า เราจักแสดงสถานที่ที่เราจงกรม ดังนี้, 
              กรรมเช่นนั้น ไม่ควรทุกอย่าง. แต่ภิกษุผู้กระทำสมณธรรมเพื่อยกย่องความเพียร มีจิตบริสุทธิ์ จงกรม สมควรอยู่. เมื่อกระทำ (การเดินจงกรมอยู่แผ่นดิน) จะแตกก็ไม่เป็นอาบัติ.              
              ภิกษุทั้งหลายครูดสีที่แผ่นดิน ด้วยคิดว่า จักล้างมือ ไม่ควร. ส่วนภิกษุผู้ไม่ครูดสี แต่วางมือเปียกลงบนแผ่นดิน แล้วแตะเอาละอองไป ได้อยู่. 
             ภิกษุบางพวกอาพาธด้วยโรคคันและหิดเป็นต้น จึงครูดสีอวัยวะใหญ่น้อยลงบนที่มีตลิ่งชันเป็นต้น, การทำนั้นก็ไม่สมควร.
 [ว่าด้วยการขุดเองและการใช้ให้ขุดแผ่นดินเป็นต้น] 
                 สองบทว่า ขนติ วา ขนาเปติ วา มีความว่า ภิกษุขุดเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นขุดก็ดี (ซึ่งแผ่นดิน) ชั้นที่สุดด้วยปลายนิ้วเท้าบ้าง ด้วยซี่ไม้กวาดบ้าง. 
                 สองบทว่า ภินฺทติ วา ภินฺทาเปติ วา มีความว่า ภิกษุทำลายเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นทำลายก็ดี (ซึ่งแผ่นดิน) ชั้นที่สุด แม้จะเทน้ำ. 
                 สองบทว่า ทหติ วา ทหาเปติ วา มีความว่า ภิกษุเผาเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นเผาก็ดี ชั้นที่สุดจะระบมบาตร. ภิกษุจุดไฟเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นจุด ในที่มีประมาณเท่าใด, เป็นปาจิตตีย์มีประมาณเท่านั้นตัว. 
                ภิกษุ แม้เมื่อจะระบมบาตร พึงระบมในที่เคยระบมแล้วนั่นแหละ. จะวางไฟลงบนแผ่นดินที่ไฟยังไม่ไหม้ ไม่ควร. แต่จะวางไฟลงบนกระเบื้องสำหรับระบมบาตร ควรอยู่.
               วางไฟลงบนกองฟืน, ไฟนั้นไหม้ฟืนเหล่านั้น แล้วจะลุกลามเลยไปไหม้ดิน ไม่ควร. แม้ในที่มีอิฐและหินเป็นต้น ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. 
               จริงอยู่ ในที่แม้นั้น จะวางไฟลงบนกองอิฐเป็นต้นนั่นแล ควรอยู่. เพราะเหตุไร? เพราะอิฐเป็นต้นนั้น มิใช่เชื้อไฟ. จริงอยู่ อิฐเป็นต้นนั้น ไม่ถึงอันนับว่า เป็นเชื้อแห่งไฟ. จะติดไฟแม้ที่ตอไม้แห้งและต้นไม้แห้งเป็นต้น ก็ไม่ควร. 
                 แต่ถ้าว่า ภิกษุจะติดไฟด้วยคิดว่า เราจักดับไฟที่ยังไม่ทันถึงแผ่นดินเสียก่อนแล้วจึงจักไป ดังนี้ ควรอยู่. 
                ภายหลังไม่อาจเพื่อจะดับได้ ไม่เป็นอาบัติ เพราะไม่ใช่วิสัย. ภิกษุถือคบเพลิงเดินไป เมื่อมือถูกไฟไหม้จึงทิ้งลงที่พื้น, ไม่เป็นอาบัติ. ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีว่า จะเติมเชื้อก่อไฟ ในที่คบเพลิงตกนั่นแหละ ควรอยู่. 
                ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีนั้นนั่นแลว่า ก็ที่มีประมาณเท่าใด ในแผ่นดินซึ่งถูกไฟไหม้ ไอร้อนระอุไปถึง จะโกยที่ทั้งหมดนั้นออก ควรอยู่. 
                ก็ภิกษุใดยังไม่รู้จะสีให้ไฟเกิดด้วยไม้สีไฟ เอามือหยิบขึ้นแล้วกล่าวว่า ผมจะทำอย่างไร? ภิกษุอื่นบอกว่า จงทำให้ลุกโพลงขึ้น. เธอกล่าวว่า มันจะไหม้มือผม จึงบอกว่า จงทำอย่างที่มันจะไม่ไหม้. แต่ไม่พึงบอกว่า จงทิ้งลงที่พื้น. 
                ถ้าว่า เมื่อไฟไหม้มือ เธอทิ้งลง, ไม่เป็นอาบัติ เพราะเธอไม่ได้ทิ้งลงด้วยตั้งใจว่า เราจักเผาแผ่นดิน. ท่านกล่าวไว้ในกุรุนทีว่า ถึงจะก่อไฟในที่ไฟตกลง ก็ควร. 
               ก็ในคำว่า อนาปตฺติ อิมํ ชาน เป็นต้น ผู้ศึกษาพึงทราบใจความอย่างนี้ คือ (ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้กล่าวว่า) เธอจงรู้หลุมสำหรับเสานี้, จงรู้ดินเหนียวก้อนใหญ่, จงรู้ดินปนแกลบ, จงให้ดินเหนียวก้อนใหญ่, จงให้ดินปนแกลบ, จงนำดินเหนียวมา, จงนำดินร่วนมา, ต้องการดินเหนียว, ต้องการดินร่วน, จงทำหลุมให้เป็นกัปปิยะสำหรับเสานี้, จงทำดินเหนียวนี้ให้เป็นกัปปิยะ, จงทำดินร่วนนี้ให้เป็นกัปปิยะ. 
               บทว่า อสญฺจิจฺจ มีความว่า เมื่อภิกษุกลิ้งหินและต้นไม้เป็นต้นไป หรือเดินเอาไม้เท้ายันๆ ไป แผ่นดินแตก. แผ่นดินนั้นชื่อว่า อันภิกษุไม่ได้แกล้งทำแตก เพราะเธอไม่ได้จงใจทำลายอย่างนี้ว่า เราจักทำลาย (แผ่นดิน) ด้วยไม้เท้านี้, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่แกล้งทำลาย ด้วยประการฉะนี้. 
               บทว่า อสติยา มีความว่า ภิกษุส่งใจไปทางอื่นยืนพูดอะไรกับคนบางคนเอานิ้วหัวแม่เท้า หรือไม้เท้าขีดเขียนแผ่นดินไปพลาง, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ขีดเขียน หรือทำลาย (ดิน) ด้วยไม่มีสติอย่างนี้. 
               บทว่า อชานนฺตสฺส มีความว่า ภิกษุไม่รู้แผ่นดินที่ฝนตกรดภายในเรือน ซึ่งมุงหลังคาปิดแล้วว่า เป็นอกัปปิยปฐพี จึงโกยออก ด้วยสำคัญว่า เป็นกัปปิยปฐพีก็ดี ไม่รู้ว่า เราขุด เราทำลาย เราเผาไฟก็ดี เก็บเสียมเป็นต้น เพื่อต้องการรักษาไว้อย่างเดียวก็ดี มือถูกไฟไหม้ ทิ้งไฟลงก็ดี, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่รู้อย่างนี้. 
                       บทที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
                สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เกิดขึ้นทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล. 
                       ปฐวีขนนสิกขาบทที่ ๑๐ จบ. มุสาวาทวรรคที่ ๑ 
จบบริบูรณ์ ตามวรรณนานุกรม.

06 กันยายน 2567

ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ มุสาวาทวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๙ เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร [ว่าด้วย บอกอาบัติชั่วหยาบ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร 
[๓๔๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตร กำลังเป็นผู้ก่อการ ทะเลาะกับพระฉัพพัคคีย์ ท่านต้องอาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ แล้วได้ขอปริวาสเพื่ออาบัติ นั้นต่อสงฆ์ๆ ได้ให้ปริวาสเพื่ออาบัตินั้นแก่ท่าน. 
          ก็แลสมัยนั้น ในพระนครสาวัตถีมีสังฆภัต ของประชาชนหมู่หนึ่ง ท่านกำลังอยู่ปริวาส จึงนั่งท้ายอาสนะในโรงภัต พระฉัพพัคคีย์ได้กล่าว กะอุบาสกเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลาย ท่านพระอุปนันทศากยบุตรนั่น เป็นพระประจำตระกูลที่ พวกท่านสรรเสริญ ได้พยายามปล่อยอสุจิด้วยมือ บริโภคของที่เขาถวายด้วยศรัทธา ท่านต้อง อาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้ว ได้ขออยู่ปริวาสเพื่ออาบัตินั้นต่อสงฆ์ๆ ได้ให้ปริวาสเพื่อ อาบัตินั้น แก่ท่านแล้ว ท่านกำลังอยู่ปริวาส จึงนั่งท้ายอาสนะ. บรรดาภิกษุที่มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็ เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์จึงได้บอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบันเล่า? แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม
               พระผู้มีพระภาคตรัสถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอบอกอาบัติ ชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบัน จริงหรือ?
               พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
               พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงบอก อาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบันเล่า? การกระทำของพวกเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อม- *ใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... 
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
               ๕๘. ๙. อนึ่ง ภิกษุใด บอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุ แก่อนุปสัมบัน เว้นไว้ แต่ภิกษุได้รับสมมติ, เป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๓๔๓] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ... บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. บทว่า ของภิกษุ คือ ของภิกษุรูปอื่น. อาบัติที่ชื่อว่า ชั่วหยาบ ได้แก่ ปาราชิก ๔ และสังฆาทิเสส ๑๓. ที่ชื่อว่า อนุปสัมบัน คือ เว้นภิกษุและภิกษุณี นอกนั้นชื่อว่าอนุปสัมบัน. บทว่า บอก คือ บอกแก่สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต. บทว่า เว้นไว้แต่ภิกษุได้รับสมมติ คือ ยกเว้นแต่ภิกษุที่สงฆ์สมมติ.
บทภาชนีย์
            [๓๔๔] การสมมติภิกษุ กำหนดอาบัติ ไม่กำหนดสกุลก็มี, การสมมติภิกษุ กำหนด สกุล ไม่กำหนดอาบัติก็มี, การสมมติภิกษุ กำหนดอาบัติและกำหนดสกุลก็มี, 
           การสมมติภิกษุ ไม่กำหนดอาบัติ ไม่กำหนดสกุลก็มี. ที่ชื่อว่า กำหนดอาบัติ คือ สงฆ์กำหนดอาบัติว่า พึงบอกตามจำนวนอาบัติเท่านี้. 
           ที่ชื่อว่า กำหนดสกุล คือ สงฆ์กำหนดสกุลว่า พึงบอกในสกุลมีจำนวนเท่านี้. 
          ที่ชื่อว่า กำหนดอาบัติและกำหนดสกุล คือ สงฆ์กำหนดอาบัติและกำหนดสกุลไว้ ว่า พึงบอกตามจำนวนอาบัติเท่านี้ ในสกุลมีจำนวนเท่านี้.
          ที่ชื่อว่า ไม่กำหนดอาบัติ ไม่กำหนดสกุล คือ สงฆ์ไม่ได้กำหนดอาบัติ และไม่ได้ กำหนดสกุลไว้ว่า พึงบอกตามจำนวนอาบัติเท่านี้ ในสกุลมีจำนวนเท่านี้. 
          [๓๔๕] ในการกำหนดอาบัติ ภิกษุบอกอาบัติอื่นนอกจากอาบัติที่สงฆ์กำหนดไว้ ต้อง อาบัติปาจิตตีย์. ในการกำหนดสกุล ภิกษุบอกในสกุลอื่นนอกจากสกุลที่สงฆ์กำหนดไว้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
          ในการกำหนดอาบัติและกำหนดสกุล ภิกษุบอกอาบัตินอกจากอาบัติที่สงฆ์กำหนดให้ ในสกุลนอกจากสกุลที่สงฆ์กำหนดให้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
          ในการไม่กำหนดอาบัติ ไม่กำหนดสกุล บอก ไม่ต้องอาบัติ.
ติกะปาจิตตีย์
           [๓๔๖] อาบัติชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่าอาบัติชั่วหยาบ บอกแก่อนุปสัมบัน เว้นไว้แต่ ภิกษุได้รับสมมติ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
           อาบัติชั่วหยาบ ภิกษุสงสัย บอกแก่อนุปสัมบัน เว้นไว้แต่ภิกษุได้รับสมมติ, ต้อง อาบัติปาจิตตีย์. 
          อาบัติชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่อาบัติชั่วหยาบ บอกแก่อนุปสัมบัน เว้นไว้แต่ภิกษุ ได้รับสมมติ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ
          [๓๔๗] ภิกษุบอกอาบัติไม่ชั่วหยาบ ต้องอาบัติทุกกฏ. ภิกษุบอกอัชฌาจารที่ชั่วหยาบก็ตาม ไม่ชั่วหยาบก็ตาม แก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
          อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่า อาบัติชั่วหยาบ ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
          อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
          อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่า อาบัติไม่ชั่วหยาบ ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
[๓๔๘] ภิกษุบอกวัตถุ ไม่บอกอาบัติ ๑ ภิกษุบอกอาบัติ ไม่บอกวัตถุ ๑ ภิกษุได้รับสมมติ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ.
               อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์  มุสาวาทวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๙  มุสาวาทวรรค ทุฏฐุลลาโรจน
               พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :-
 [แก้อรรถ เรื่องอาบัติชั่วหยาบ]
               ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปาราชิกไว้ในพระบาลีนี้ว่า อาบัติที่ชื่อว่า ชั่วหยาบ ได้แก่ปาราชิก ๔ และสังฆาทิเสส ๑๓ ดังนี้ เพื่อแสดงอรรถแห่งทุฏฐุลลศัพท์. แต่สังฆาทิเสสทรงประสงค์เอาในสิกขาบทนี้.
                ในบาลีนั้น มีการวิจารณ์ดังต่อไปนี้ :- 
                 ถ้าว่า เมื่อภิกษุบอกปาราชิก ไม่พึงเป็นปาจิตตีย์ไซร้. แม้เมื่อมีศัพท์ว่าอุปสัมบัน สำหรับภิกษุและภิกษุณี ในสิกขาบทใด ท่านไม่ประสงค์เอานางภิกษุณี, ในสิกขาบทนั้น เว้นภิกษุเสีย ที่เหลือนอกนี้ ท่านเรียกว่า อนุปสัมบัน ฉันใด, ในสิกขาบทนี้ก็ฉันนั้น แม้เมื่อมีศัพท์ว่าทุฏฐุลละ 
               สำหรับปาราชิกและสังฆาทิเสส ถ้าไม่ทรงประสงค์เอาปาราชิก พระผู้มีพระภาคเจ้าก็จะพึงตรัสคำนี้เท่านั้นว่า อาบัติที่ชื่อว่าชั่วหยาบ ได้แก่สังฆาทิเสส ๑๓. 
               ในคำว่า ทุฏฺฐุลฺลา นาม อาปตฺติ เป็นต้นนั้น พึงมีมติของบางอาจารย์ว่า ภิกษุใดต้องปาราชิกแล้ว, ภิกษุนั้นเคลื่อนแล้วจากภิกษุภาวะ เพราะเหตุนั้น ภิกษุ เมื่อบอกอาบัติของภิกษุนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ. เมื่อมีอธิบายอย่างนี้ แม้ภิกษุผู้ด่าก็พึงต้องอาบัติทุกกฏและต้องปาจิตตีย์เท่านั้น. 
               สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ (ในปาราชิก) ว่า บุคคลเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ต้องธรรมคือปาราชิกอย่างใดอย่างหนึ่ง, ถ้าบุคคลเป็นผู้มีความเข้าใจว่าบริสุทธิ์ ให้บุคคลผู้นั้นกระทำโอกาส แล้วพูดมีความประสงค์จะด่า ต้องโอมสวาท. 
               เมื่อบาลีถูกวิจารณ์อย่างนี้ ปาจิตตีย์นั่นแหละ ย่อมปรากฏแม้แก่ผู้บอกอาบัติปาราชิก. จะปรากฏ แม้ก็จริง, ถึงอย่างนั้น พระอรรถกถาจารย์เท่านั้นเป็นหลักได้ 
               ในคำว่า ทุฏฺฐุลฺลา นาม อาปตฺติ นี้เพราะ (คำว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปาราชิกไว้ เพื่อทรงแสดงอรรถแห่งทุฏฐุลลศัพท์ แต่สังฆาทิเสสทรงประสงค์เอาในสิกขาบทนี้) พระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้แล้วในอรรถกถาทั้งปวง. การวิจารณ์แม้อย่างอื่น หามีไม่. 
               แม้ในเบื้องต้น ข้าพเจ้าก็ได้กล่าวไว้แล้วว่า &@ ธรรมและวินัยใด อันพระพุทธเจ้าตรัสแล้ว 
               ธรรมและวินัยนั้น อันโอรสทั้งหลายของ &@ พระพุทธเจ้านั้นรู้แล้วอย่างนั้นนั่นเทียว ดังนี้เป็นต้น. 
               จริงอยู่ พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายย่อมทราบพระประสงค์ของพระพุทธเจ้า. 
               ก็คำของพระอรรถกถาจารย์นั่น บัณฑิตพึงทราบโดยบรรยายแม้นี้ :- 
               สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า เว้นไว้แต่ภิกษุผู้ได้รับสมมติ. 
            ก็การบอกแก่ภิกษุผู้ได้รับสมมติ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตเพื่อประโยชน์ในอันสำรวมต่อไป คือเพื่อประโยชน์จะไม่ต้องอาบัติเช่นนั้นอีก, และไม่ใช่เพื่อต้องการจะประกาศเพียงโทษของภิกษุนั้น, ทั้งไม่ใช่เพื่อต้องการเกียดกันที่พึ่งของภิกษุนั้นในพระศาสนา, และความเป็นภิกษุของผู้ต้องปาราชิกโดยไม่ต้องอาบัติเห็นปานนั้นอีก หามีไม่ เพราะเหตุนั้น 
              คำที่พระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปาราชิกไว้ เพื่อแสดงอรรถแห่งทุฏฐุลลศัพท์ แต่สังฆาทิเสส ทรงประสงค์เอาในสิกขาบทนี้ ดังนี้ เป็นอันท่านกล่าวชอบแล้ว. 
              ก็ในคำว่า อตฺถิ ภิกฺขุสมฺมติ อาปตฺติปริยนฺตา เป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
           ภิกษุสมมติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้นี้ไม่ได้มาในบางสิกขาบท, แต่เพราะภิกษุสมมติตรัสไว้ในสิกขาบทนี้นั่นแล จึงควรทราบว่า สงฆ์เห็นภิกษุผู้ต้องอาบัติเนืองๆ แล้วอปโลกน์ ๓ ครั้ง ทำด้วยความเป็นผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูลแก่ภิกษุนั้นว่า ภิกษุนี้จักถึงความสังวรต่อไป แม้ด้วยความละอายและความเกรงกลัวในคนเหล่าอื่นอย่างนี้. 
                 คำว่า อทุฏฺฐุลฺลํ อาปตฺตึ อาโรเจติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส มีความว่า เป็นทุกกฏ แก่ภิกษุผู้บอกกองอาบัติแม้ทั้ง ๕. ในมหาปัจจรีท่านปรับอาบัติทุกกฏอย่างเดียว แม้แก่ภิกษุผู้บอกอาบัติปาราชิก. 
                 ในคำว่า อนุปสมฺปนฺนสฺส ทุฏฺฐุลฺลํ วา อทุฏฺฐุลฺลํ วา อชฺฌาจารํ นี้ ท่านกล่าวรูปความไว้ว่า สิกขาบท ๕ ข้างต้น ชื่อว่าอัชฌาจารชั่วหยาบ ที่เหลือชื่อว่าอัชฌาจารไม่ชั่วหยาบ, ก็สุกกวิสัฏฐิ กายสังสัคคะ ทุฏฐุลลวาจา และอัตตกามะ ชื่อว่าเป็นอัชฌาจารของภิกษุนั้น. 
                 สองบทว่า วตฺถุํ อาโรเจติ มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้บอกอย่างนี้ว่า ภิกษุนี้ต้องสุกกวิสัฏฐิ ต้องกายสังสัคคะ ต้องทุฏฐุลละ ต้องอัตตกามะ. 
                 สองบทว่า อาปตฺตึ อาโรเจติ มีความว่า ภิกษุกล่าวว่า ภิกษุนี้ต้องปาราชิก ต้องสังฆาทิเสส ต้องถุลลัจจัย ต้องปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต ดังนี้ ไม่เป็นอาบัติ. เมื่อภิกษุบอกเชื่อมต่ออาบัติกับวัตถุโดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุนี้ปล่อยอสุจิ ต้องสังฆาทิเสส ดังนี้เท่านั้น จึงเป็นอาบัติ. 
                 คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น. 
                 สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เกิดขึ้นทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ดังนี้แล. 
 ทุฏฐุลลาโรจนสิกขาบทที่ ๙ จบ.

ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ มุสาวาทวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๘ เรื่องภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา [ว่าด้วย บอกอุตตริมนุสสธรรม] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่องภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา
[๓๐๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวันเขตพระนครเวสาลี. ครั้งนั้น ภิกษุมากรูปด้วยกัน ซึ่งเคยเห็นร่วมคบหากันมา จำพรรษาอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา. ก็แลสมัยนั้น วัชชีชนบทอัตคัดอาหาร. ประชาชนหาเลี้ยงชีพฝืดเคือง มีข้าวตายฝอยต้องมีสลากซื้ออาหาร. ภิกษุสงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการถือบาตรแสวงหา ก็ทำไม่ได้ง่าย.จึงภิกษุเหล่านั้นคิดกันว่า บัดนี้วัชชีชนบทอัตคัดอาหาร ประชาชนหาเลี้ยงชีพฝืดเคือง มีข้าวตายฝอย ต้องมีสลากซื้ออาหาร ภิกษุสงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการถือบาตรแสวงหา ก็ทำไม่ได้ง่าย. พวกเราจะพึงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุกและจักไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต ด้วยอุบายอย่างไรหนอ.
             ภิกษุบางพวกพูดอย่างนี้ อาวุโสทั้งหลาย ผิฉะนั้น พวกเราจะช่วยกันอำนวยกิจการอันเป็นหน้าที่ของพวกคฤหัสถ์เถิด,  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจักมุ่งถวายบิณฑบาตแก่พวกเรา ด้วยอุบายอย่างนี้,  พวกเราจะพึงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุกและจักไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต.
             ภิกษุบางพวกพูดอย่างนี้ว่า ไม่ควร ท่านทั้งหลาย จะประโยชน์อะไรด้วยการช่วยกันอำนวยกิจการอันเป็นหน้าที่ของพวกคฤหัสถ์ ท่านทั้งหลาย ผิฉะนั้น พวกเราจงช่วยกันนำข่าวสาส์นอันเป็นหน้าที่ทูตของพวกคฤหัสถ์เถิด เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจักมุ่งถวายบิณฑบาตแก่พวกเรา ด้วยอุบายอย่างนี้,  พวกเราจักเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก และจักไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต.
             ภิกษุบางพวกพูดอย่างนี้ว่า อย่าเลย ท่านทั้งหลาย จะประโยชน์อะไรด้วยการช่วยกันอำนวยกิจการอันเป็นหน้าที่ของพวกคฤหัสถ์ จะประโยชน์อะไรด้วยการช่วยกันนำข่าวสาส์นอันเป็นหน้าที่ทูตของพวกคฤหัสถ์ ท่านทั้งหลาย ผิฉะนั้น พวกเราจักกล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์ว่า
             ภิกษุรูปโน้นได้ปฐมฌาน รูปโน้นได้ทุติยฌาน รูปโน้นได้ตติยฌาน รูปโน้นได้จตุตถฌาน รูปโน้นเป็นพระโสดาบัน รูปโน้นเป็นพระสกทาคามี รูปโน้นเป็นพระอนาคามี รูปโน้นเป็นพระอรหันต์ รูปโน้นได้วิชชา ๓ รูปโน้นได้อภิญญา ๖ ดังนี้,
             เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจักมุ่งถวายบิณฑบาตแก่พวกเรา ด้วยอุบายอย่างนี้ พวกเราก็จะพึงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก และจักไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต.
             ภิกษุเหล่านั้นมีความเห็นร่วมกันว่า อาวุโสทั้งหลาย การที่พวกเราพากันกล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกัน แก่พวกคฤหัสถ์นี้แหละ ประเสริฐที่สุด แล้วพากันกล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์ว่า
             ภิกษุรูปโน้นได้ปฐมฌาน รูปโน้นได้ทุติยฌาน รูปโน้นได้ตติยฌาน รูปโน้นได้จตุตถฌาน รูปโน้นเป็นพระโสดาบัน รูปโน้นเป็นพระสกทาคามี รูปโน้นเป็นพระอนาคามี รูปโน้นเป็นพระอรหันต์ รูปโน้นได้วิชชา ๓ รูปโน้นได้อภิญญา ๖ ดังนี้.
ประชาชนพากันยินดี
             ครั้นต่อมา ประชาชนเหล่านั้นพากันยินดีว่า เป็นลาภของพวกเราหนอ พวกเราได้ดีแล้วหนอ ที่มีภิกษุทั้งหลายผู้ทรงคุณพิเศษเห็นปานนี้ อยู่จำพรรษา เพราะก่อนแต่นี้ ภิกษุทั้งหลายที่อยู่จำพรรษาของพวกเรา จะมีคุณสมบัติเหมือนภิกษุผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมเหล่านี้ไม่มีเลย,
             โภชนะชนิดที่พวกเขาจะถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น พวกเขาไม่บริโภคด้วยตน ไม่ให้มารดา บิดา บุตร ภรรยา คนรับใช้ กรรมกร มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต ของเคี้ยว ของลิ้ม น้ำดื่ม ชนิดที่พวกเขาจะถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น พวกเขาไม่ดื่มด้วยตน ไม่ให้มารดา บิดา บุตร ภรรยา คนรับใช้ กรรมกร มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต. จึงภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้มีน้ำนวล มีอินทรีย์ผ่องใส มีสีหน้าสดชื่น มีผิวพรรณผุดผ่อง.
ประเพณีเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
             [๓๐๕] ก็การที่ภิกษุทั้งหลายออกพรรษาแล้วเข้าเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาคนั่นเป็นประเพณี.
             ครั้นภิกษุเหล่านั้นจำพรรษาโดยล่วงไตรมาสแล้ว เก็บเสนาสนะ ถือบาตรจีวรหลีกไปโดยมรรคาอันจะไปสู่พระนครเวสาลี. ถึงพระนครเวสาลี ป่ามหาวัน กูฏาคารศาลา โดยลำดับ เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
             ก็โดยสมัยนั้นแล พวกภิกษุผู้จำพรรษาอยู่ในทิศทั้งหลาย เป็นผู้ผอม ซูบซีด มีผิวพรรณหมอง เหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น. ส่วนภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา เป็นผู้มีน้ำนวล มีอินทรีย์ผ่องใส มีสีหน้าสดชื่น มีผิวพรรณผุดผ่อง.
ทรงปราศรัยกับพระอาคันตุกะ
             อันการที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงปราศรัยกับพระอาคันตุกะทั้งหลาย นั่นเป็นพุทธประเพณี. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ร่างกายของพวกเธอยังพอทนได้หรือ ยังพอให้เป็นไปได้หรือ พวกเธอเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาตหรือ?
             ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ยังพอทนได้ พระพุทธเจ้าข้า ยังพอให้เป็นไปได้พระพุทธเจ้าข้า,  อนึ่ง พวกข้าพุทธเจ้าเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต พระพุทธเจ้าข้า.
พุทธประเพณี
           พระตถาคตทั้งหลาย ทรงทราบอยู่ ย่อมตรัสถามก็มี ทรงทราบอยู่ ย่อมไม่ตรัสถามก็มี ทรงทราบกาลแล้วตรัสถาม ทรงทราบกาลแล้วไม่ตรัสถาม พระตถาคตทั้งหลายย่อมตรัสถามสิ่งที่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ตรัสถามสิ่งที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ในสิ่งที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ พระตถาคตทรงกำจัดด้วยข้อปฏิบัติ พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายด้วยอาการ ๒ อย่าง คือ จักทรงแสดงธรรมอย่างหนึ่ง จักทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสาวกทั้งหลายอย่างหนึ่ง.
ตรัสถาม
             ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต ด้วยวิธีการอย่างไร
             ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลเนื้อความนั้นให้ทรงทราบแล้ว.
             ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย คุณวิเศษของพวกเธอนั่น มีจริงหรือ?
             ภิ. มีจริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
             พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึงได้กล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่งท้องเล่า ดูกรภิกษุทั้งหลายการกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
             ๕๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใดบอกอุตตริมนุสสธรรมแก่อนุปสัมบัน เป็นปาจิตตีย์เพราะมีจริง. เรื่องภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา จบ.
สิกขาบทวิภังค์
             [๓๐๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
             บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
             ที่ชื่อว่า อนุปสัมบัน ความว่า ยกเว้นภิกษุ ภิกษุณี นอกนั้นชื่อว่าอนุปสัมบัน.
บทภาชนีย์
             [๓๐๗] ที่ชื่อว่า อุตตริมนุสสธรรม ได้แก่ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติญาณทัสสนะ การทำมรรคให้เกิด การทำผลให้แจ้ง การละกิเลส ความเปิดจิต ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่า.
             [๓๐๘] ที่ชื่อว่า ฌาน ได้แก่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน.
             ที่ชื่อว่า วิโมกข์ ได้แก่ สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์.
             ที่ชื่อว่า สมาธิ ได้แก่ สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ อัปปณิหิตสมาธิ.
             ที่ชื่อว่า สมาบัติ ได้แก่ สุญญตสมาบัติ อนิมิตตสมาบัติ อัปปณิหิตสมาบัติ.
             ที่ชื่อว่า ญาณ ได้แก่วิชชา ๓
             ที่ชื่อว่า การทำมรรคให้เกิด ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘.
             ที่ชื่อว่า การทำผลให้แจ้ง ได้แก่ การทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ... สกทาคามิผล... อนาคามิผล ... อรหัตผล.
             ที่ชื่อว่า การละกิเลส ได้แก่ การละราคะ ... โทสะ ... โมหะ.
             ที่ชื่อว่า ความเปิดจิต ได้แก่ ความเปิดจิตจากราคะ ความเปิดจิตจากโทสะ ความเปิดจิตจากโมหะ.
             ที่ชื่อว่า ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่า ได้แก่ ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่าด้วยปฐมฌาน,  ...  ด้วยทุติยฌาน,  ...  ด้วยตติยฌาน,  ...  ด้วยจตุตถฌาน.
บอกปฐมฌาน
             [๓๐๙] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานอยู่ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าปฐมฌานแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้ปฐมฌาน ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญในปฐมฌาน ดังนี้ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ปฐมฌานข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ดังนี้ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกทุติยฌาน
             [๓๑๐] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าทุติยฌานแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ข้าพเจ้าเข้าทุติยฌานอยู่ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าทุติยฌานแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้ทุติยฌาน ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญในทุติยฌาน ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ทุติยฌานข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกตติยฌาน
             ... เข้าตติยฌานแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าตติยฌานอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าตติยฌานแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ตติยฌาน ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในตติยฌาน ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ตติยฌานข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจตุตถฌาน
             ... เข้าจตุตถฌานแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าจตุตถฌานอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าจตุตถฌานแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้จตุตถฌาน ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในจตุตถฌาน ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... จตุตถฌานข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกสุญญตวิโมกข์
             [๓๑๑] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าสุญญตวิโมกข์แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ข้าพเจ้าเข้าสุญญตวิโมกข์อยู่ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าสุญญตวิโมกข์แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้สุญญตวิโมกข์ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญในสุญญตวิโมกข์ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... สุญญตวิโมกข์ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอนิมิตตวิโมกข์
             ... เข้าอนิมิตตวิโมกข์แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าอนิมิตตวิโมกข์อยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าอนิมิตตวิโมกข์แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้อนิมิตตวิโมกข์ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในอนิมิตตวิโมกข์ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... อนิมิตตวิโมกข์ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอัปปณิหิตวิโมกข์
             ... เข้าอัปปณิหิตวิโมกข์แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าอัปปณิหิตวิโมกข์อยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าอัปปณิหิตวิโมกข์แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้อัปปณิหิตวิโมกข์ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในอัปปณิหิตวิโมกข์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... อัปปณิหิตวิโมกข์ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกสุญญตสมาธิ
             ... ข้าพเจ้าเข้าสุญญตสมาธิแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ข้าพเจ้าเข้าสุญญตสมาธิอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าสุญญตสมาธิแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้สุญญตสมาธิ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญในสุญญตสมาธิ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... สุญญตสมาธิข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอนิมิตตสมาธิ
             ... เข้าอนิมิตตสมาธิแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าอนิมิตตสมาธิอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าอนิมิตตสมาธิแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้อนิมิตตสมาธิ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในอนิมิตตสมาธิ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... อนิมิตตสมาธิข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอัปปณิหิตสมาธิ
             ... เข้าอัปปณิหิตสมาธิแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าอัปปณิหิตสมาธิอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าอัปปณิหิตสมาธิแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้อัปปณิหิตสมาธิ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในอัปปณิหิตสมาธิ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... อัปปณิหิตสมาธิข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกสุญญตสมาบัติ
             [๓๑๒] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าสุญญตสมาบัติแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ข้าพเจ้าเข้าสุญญตสมาบัติอยู่ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าสุญญตสมาบัติแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้สุญญตสมาบัติ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญในสุญญตสมาบัติ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... สุญญตสมาบัติข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอนิมิตตสมาบัติ
             ... เข้าอนิมิตตสมาบัติแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าอนิมิตตสมาบัติอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าอนิมิตตสมาบัติแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้อนิมิตตสมาบัติ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในอนิมิตตสมาบัติ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... อนิมิตตสมาบัติ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอัปปณิหิตสมาบัติ
             ... เข้าอัปปณิหิตสมาบัติแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าอัปปณิหิตสมาบัติอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าอัปปณิหิตสมาบัติแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้อัปปณิหิตสมาบัติ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในอัปปณิหิตสมาบัติ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... อัปปณิหิตสมาบัติ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกวิชชา ๓
             [๓๑๓] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าวิชชา ๓ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าวิชชา ๓ อยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าวิชชา ๓ แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้วิชชา ๓ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในวิชชา ๓ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... วิชชา ๓ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกสติปัฏฐาน ๔
             [๓๑๔] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าสติปัฏฐาน ๔ อยู่ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้สติปัฏฐาน ๔ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในสติปัฏฐาน ๔ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... สติปัฏฐาน ๔ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกสัมมัปปธาน ๔
             ... ข้าพเจ้าเข้าสัมมัปปธาน ๔ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าสัมมัปปธาน ๔ อยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าสัมมัปปธาน ๔ แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้สัมมัปปธาน ๔ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในสัมมัปปธาน ๔ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... สัมมัปปธาน ๔ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอิทธิบาท ๔
             ... ข้าพเจ้าเข้าอิทธิบาท ๔ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าอิทธิบาท ๔ อยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าอิทธิบาท ๔ แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้อิทธิบาท ๔ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในอิทธิบาท ๔ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... อิทธิบาท ๔ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอินทรีย์ ๕
             [๓๑๕] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าอินทรีย์ ๕ แล้วดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าอินทรีย์ ๕ อยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าอินทรีย์ ๕ แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้อินทรีย์ ๕  ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในอินทรีย์ ๕ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... อินทรีย์ ๕ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกพละ ๕
             ... ข้าพเจ้าเข้าพละ ๕ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าพละ ๕ อยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าพละ ๕ แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้พละ ๕  ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในพละ ๕ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... พละ ๕ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกโพชฌงค์ ๗
             [๓๑๖] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าโพชฌงค์ ๗ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าโพชฌงค์ ๗ อยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าโพชฌงค์ ๗ แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้โพชฌงค์ ๗ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในโพชฌงค์ ๗ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... โพชฌงค์ ๗ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอริยมรรคมีองค์ ๘
             [๓๑๗] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าอริยมรรคมีองค์ ๘ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าอริยมรรคมีองค์ ๘ อยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าอริยมรรคมีองค์ ๘ แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้อริยมรรคมีองค์ ๘ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในอริยมรรคมีองค์ ๘ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... อริยมรรคมีองค์ ๘ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกโสดาปัตติผล
             [๓๑๘] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าโสดาปัตติผลแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าโสดาปัตติผลอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าโสดาปัตติผลแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้โสดาปัตติผล ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในโสดาปัตติผล ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... โสดาปัตติผล ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกสกทาคามิผล
             ... ข้าพเจ้าเข้าสกทาคามิผลแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าสกทาคามิผลอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าสกทาคามิผลแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้สกทาคามิผล  ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในสกทาคามิผล ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... สกทาคามิผล ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอนาคามิผล
             ... ข้าพเจ้าเข้าอนาคามิผลแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าอนาคามิผลอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าอนาคามิผลแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้อนาคามิผล  ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในอนาคามิผล ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... อนาคามิผล ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกอรหัตตผล
             ... เข้าอรหัตตผลแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าอรหัตตผลอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าอรหัตตผลแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในอรหัตตผล ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... อรหัตตผล ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกสละ ราคะ โทสะ โมหะ
             [๓๑๙] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ราคะข้าพเจ้าสละแล้ว คายแล้ว พ้นแล้ว ละแล้ว สลัดแล้ว เพิกแล้ว ถอนแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... โทสะ ข้าพเจ้าสละแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... โมหะ ข้าพเจ้าสละแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจิตเปิดจากราคะ โทสะ โมหะ
             [๓๒๐] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า จิตของข้าพเจ้าเปิดจากราคะ ดังนี้,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโทสะ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานในสุญญาคาร
             [๓๒๑] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานในสุญญาคารแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานในสุญญาคารอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานในสุญญาคารแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานในสุญญาคาร ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานในสุญญาคาร ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานในสุญญาคาร ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานในสุญญาคาร
             ... ข้าพเจ้าเข้าทุติยฌานในสุญญาคารแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าทุติยฌานในสุญญาคารอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าทุติยฌานในสุญญาคารแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ทุติยฌานในสุญญาคาร ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญทุติยฌานในสุญญาคาร ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ทุติยฌานในสุญญาคาร ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าตติยฌานในสุญญาคาร
             ... ข้าพเจ้าเข้าตติยฌานในสุญญาคารแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าตติยฌานในสุญญาคารอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าตติยฌานในสุญญาคารแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ตติยฌานในสุญญาคาร ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญตติยฌานในสุญญาคาร ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ตติยฌานในสุญญาคาร ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าจตุตถฌานในสุญญาคาร
             ... ข้าพเจ้าเข้าจตุตถฌานในสุญญาคารแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าจตุตถฌานในสุญญาคารอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าจตุตถฌานในสุญญาคารแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้จตุตถฌานในสุญญาคาร ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในจตุตถฌานในสุญญาคาร ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... จตุตถฌานในสุญญาคาร ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและทุติยฌาน
             [๓๒๒] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานทุติยฌานแล้ว ดังนี้,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและทุติยฌานอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและทุติยฌานแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและทุติยฌาน ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและทุติยฌาน ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและทุติยฌาน ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและตติยฌาน
             ... ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและตติยฌานแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและตติยฌานอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและตติยฌานแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและตติยฌาน ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและตติยฌาน ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและตติยฌาน ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและจตุตถฌาน
             ... ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและจตุตถฌานแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและจตุตถฌานอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและจตุตถฌานแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและจตุตถฌาน ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและจตุตถฌาน ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและจตุตถฌาน ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและสุญญตวิโมกข์
             [๓๒๓] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและสุญญตวิโมกข์แล้ว ดังนี้,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและสุญญตวิโมกข์อยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและสุญญตวิโมกข์แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและสุญญตวิโมกข์ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและสุญญตวิโมกข์ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและสุญญตวิโมกข์ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและอนิมิตตวิโมกข์
             ... ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและอนิมิตตวิโมกข์แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและอนิมิตตวิโมกข์อยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและอนิมิตตวิโมกข์แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและอนิมิตตวิโมกข์ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและอนิมิตตวิโมกข์ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและอนิมิตตวิโมกข์ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและอัปปณิหิตวิโมกข์
             ... ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและอัปปณิหิตวิโมกข์แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและอัปปณิหิตวิโมกข์อยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและอัปปณิหิตวิโมกข์แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและอัปปณิหิตวิโมกข์ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและอัปปณิหิตวิโมกข์ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและอัปปณิหิตวิโมกข์ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและสุญญตสมาธิ
             ... ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและสุญญตสมาธิแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและสุญญตสมาธิอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและสุญญตสมาธิแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและสุญญตสมาธิ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและสุญญตสมาธิ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและสุญญตสมาธิ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและอนิมิตตสมาธิ
             ... ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและอนิมิตตสมาธิแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและอนิมิตตสมาธิอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและอนิมิตตสมาธิแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและอนิมิตตสมาธิ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและอนิมิตตสมาธิ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและอนิมิตตสมาธิ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและอัปปณิหิตสมาธิ
             ... ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและอัปปณิหิตสมาธิแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและอัปปณิหิตสมาธิอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและอัปปณิหิตสมาธิแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและอัปปณิหิตสมาธิ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและอัปปณิหิตสมาธิ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและอัปปณิหิตสมาธิ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและสุญญตสมาบัติ
             [๓๒๔] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและสุญญตสมาบัติแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและสุญญตสมาบัติอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและสุญญตสมาบัติแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและสุญญตสมาบัติ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและสุญญตสมาบัติ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและสุญญตสมาบัติ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและอนิมิตตสมาบัติ
             ... ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและอนิมิตตสมาบัติแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและอนิมิตตสมาบัติอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและอนิมิตตสมาบัติแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและอนิมิตตสมาบัติ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและอนิมิตตสมาบัติ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและอนิมิตตสมาบัติ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและอัปปณิหิตสมาบัติ
             ... ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและอัปปณิหิตสมาบัติแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและอัปปณิหิตสมาบัติอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและอัปปณิหิตสมาบัติแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและอัปปณิหิตสมาบัติ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและอัปปณิหิตสมาบัติ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและอัปปณิหิตสมาบัติ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและวิชชา ๓
             [๓๒๕] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและวิชชา ๓ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและวิชชา ๓ อยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและวิชชา ๓ แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและวิชชา ๓ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและวิชชา ๓  ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและวิชชา ๓ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและสติปัฏฐาน ๔
             [๓๒๖] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและสติปัฏฐาน ๔ อยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและสติปัฏฐาน ๔ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและสติปัฏฐาน ๔  ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและสติปัฏฐาน ๔ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและสัมมัปปธาน ๔
             ... ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและสัมมัปปธาน ๔ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและสัมมัปปธาน ๔ อยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและสัมมัปปธาน ๔ แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและสัมมัปปธาน ๔ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและสัมมัปปธาน ๔  ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและสัมมัปปธาน ๔ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและอิทธิบาท ๔
             ... ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและอิทธิบาท ๔ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและอิทธิบาท ๔ อยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและอิทธิบาท ๔ แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและอิทธิบาท ๔ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและอิทธิบาท ๔  ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและอิทธิบาท ๔ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและอินทรีย์ ๕
             [๓๒๗] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและอินทรีย์ ๕ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและอินทรีย์ ๕ อยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและอินทรีย์ ๕ แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและอินทรีย์ ๕ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและอินทรีย์ ๕  ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและอินทรีย์ ๕ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและพละ ๕
             ... ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและพละ ๕ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและพละ ๕ อยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและพละ ๕ แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและพละ ๕ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและพละ ๕  ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและพละ ๕ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและโพชฌงค์ ๗
             [๓๒๘] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและโพชฌงค์ ๗ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและโพชฌงค์ ๗ อยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและโพชฌงค์ ๗ แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและโพชฌงค์ ๗ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและโพชฌงค์ ๗ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและโพชฌงค์ ๗ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและอริยมรรคมีองค์ ๘
             [๓๒๙] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและอริยมรรคมีองค์ ๘ แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและอริยมรรคมีองค์ ๘ อยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและอริยมรรคมีองค์ ๘ แล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและอริยมรรคมีองค์ ๘ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและอริยมรรคมีองค์ ๘ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและอริยมรรคมีองค์ ๘ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและโสดาปัตติผล
             [๓๓๐] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและโสดาปัตติผลแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและโสดาปัตติผลอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและโสดาปัตติผลแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและโสดาปัตติผล ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและโสดาปัตติผล ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและโสดาปัตติผล ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและสกทาคามิผล
             ... ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและสกทาคามิผลแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและสกทาคามิผลอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและสกทาคามิผลแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและสกทาคามิผล ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและสกทาคามิผล ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและสกทาคามิผล ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและอนาคามิผล
             ... ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและอนาคามิผลแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและอนาคามิผลอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและอนาคามิผลแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและอนาคามิผล ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและอนาคามิผล ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและอนาคามิผล ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและอรหัตตผล
             ... ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานและอรหัตตผลแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าปฐมฌานและอรหัตตผลอยู่ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานและอรหัตตผลแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌานและอรหัตตผล ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌานและอรหัตตผล ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ปฐมฌานและอรหัตตผล ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและสละราคะ
             [๓๓๑] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานแล้ว และราคะข้าพเจ้าสละแล้ว คายแล้ว ปล่อยแล้ว ละแล้ว สลัดแล้ว เพิกแล้ว ถอนแล้ว ดังนี้ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เข้าปฐมฌานอยู่ และราคะข้าพเจ้าสละแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานแล้ว และราคะข้าพเจ้าสละแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌาน และราคะข้าพเจ้าสละแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌาน และราคะข้าพเจ้าสละแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... ปฐมฌานข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว และราคะข้าพเจ้าสละแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและสละโทสะ
             ... เข้าปฐมฌานแล้ว และโทสะข้าพเจ้าสละแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เข้าปฐมฌานอยู่ และโทสะข้าพเจ้าสละแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานแล้ว และโทสะข้าพเจ้าสละแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌาน และโทสะข้าพเจ้าสละแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌาน และโทสะข้าพเจ้าสละแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... ปฐมฌานข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว และโทสะข้าพเจ้าสละแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและสละโมหะ
             ... เข้าปฐมฌานแล้ว และโมหะข้าพเจ้าสละแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เข้าปฐมฌานอยู่ และโมหะข้าพเจ้าสละแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานแล้ว และโมหะข้าพเจ้าสละแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌาน และโมหะข้าพเจ้าสละแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌาน และโมหะข้าพเจ้าสละแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... ปฐมฌานข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว และโมหะข้าพเจ้าสละแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและจิตเปิดจากราคะ
             [๓๓๒] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานแล้ว และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากราคะ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เข้าปฐมฌานอยู่ และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากราคะ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานแล้ว และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากราคะ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌาน และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากราคะ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌาน และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากราคะ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... ปฐมฌานข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากราคะ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
บอกเข้าปฐมฌานและจิตเปิดจากโทสะ
             ... ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานแล้ว และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากโทสะ ดังนี้,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เข้าปฐมฌานอยู่ และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากโทสะ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานแล้ว และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากโทสะ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌาน และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากโทสะ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌาน และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากโทสะ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... ปฐมฌานข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากโทสะ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าปฐมฌานและจิตเปิดจากโมหะ
             ... เข้าปฐมฌานแล้ว และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เข้าปฐมฌานอยู่ และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เป็นผู้เข้าปฐมฌานแล้ว และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เป็นผู้ได้ปฐมฌาน และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... เป็นผู้ชำนาญในปฐมฌาน และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ... ปฐมฌานข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานและตติยฌาน
             [๓๓๓] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าทุติยฌานและตติยฌานแล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าทุติยฌานและตติยฌานอยู่ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าทุติยฌานและตติยฌานแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ทุติยฌานและตติยฌาน ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในทุติยฌานและตติยฌาน ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ทุติยฌานและตติยฌาน ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานและจตุตถฌาน
             ... ข้าพเจ้าเข้าทุติยฌานและจตุตถฌานแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าทุติยฌานและจตุตถฌานอยู่ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าทุติยฌานและจตุตถฌานแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ทุติยฌานและจตุตถฌาน ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในทุติยฌานและจตุตถฌาน ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ทุติยฌานและจตุตถฌาน ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานและสุญญตวิโมกข์
             ... ข้าพเจ้าเข้าทุติยฌานและสุญญตวิโมกข์แล้ว ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เข้าทุติยฌานและสุญญตวิโมกข์อยู่ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้เข้าทุติยฌานและสุญญตวิโมกข์แล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ได้ทุติยฌานและสุญญตวิโมกข์ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... เป็นผู้ชำนาญในทุติยฌานและสุญญตวิโมกข์ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ทุติยฌานและสุญญตวิโมกข์ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานและอนิมิตตวิโมกข์
             ... ๑- ทุติยฌานและอนิมิตตวิโมกข์ ...  ๒- ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานและอัปปณิหิตวิโมกข์
             ... ทุติยฌานและอัปปณิหิตวิโมกข์ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานและสมาธิ
             ... ทุติยฌานและสุญญตสมาธิ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ทุติยฌานและอนิมิตตสมาธิ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ทุติยฌานและอัปปณิหิตสมาธิ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานและสมาบัติ
             ... ทุติยฌานและสุญญตสมาบัติ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ทุติยฌานและอนิมิตตสมาบัติ ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ทุติยฌานและอัปปณิหิตสมาบัติ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
@๑. ที่ ... ไว้นี้ หมายความว่าข้าพเจ้าเข้า @๒. ที่ ... ไว้นี้ หมายความว่า เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ และทำให้แจ้ง
บอกเข้าทุติยฌานและวิชชา ๓
             ... ทุติยฌานและวิชชา ๓ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานและสติปัฏฐาน ๔
             ... ทุติยฌานและสติปัฏฐาน ๔ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานและสัมมัปปธาน ๔
             ... ทุติยฌานและสัมมัปปธาน ๔ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานและอิทธิบาท ๔
             ... ทุติยฌานและอิทธิบาท ๔ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานและอินทรีย์ ๕
             ... ทุติยฌานและอินทรีย์ ๕ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานและพละ ๕
             ... ทุติยฌานและพละ ๕ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานและโพชฌงค์ ๗
             ... ทุติยฌานและโพชฌงค์ ๗ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานและอริยมรรคมีองค์ ๘
             ... ทุติยฌานและอริยมรรคมีองค์ ๘ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานและอริยผล ๔
             ... ทุติยฌานและโสดาปัตติผล ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ทุติยฌานและสกทาคามิผล ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ทุติยฌานและอนาคามิผล ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ทุติยฌานและอรหัตตผล ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานและละกิเลส
             ... ทุติยฌานและราคะข้าพเจ้าสละแล้ว คายแล้ว ปล่อยแล้ว ละแล้ว สละแล้ว เพิกแล้ว ถอนแล้ว ดังนี้,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ทุติยฌานและโทสะข้าพเจ้าสละแล้ว ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ทุติยฌานและโมหะข้าพเจ้าสละแล้ว ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานและจิตเปิดจากกิเลส
             ... ทุติยฌาน และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากราคะ  ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ทุติยฌาน และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากโทสะ  ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... ทุติยฌาน และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ  ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกเข้าทุติยฌานและปฐมฌาน
             ... ทุติยฌานและปฐมฌาน  ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจิตเปิดจากโมหะและเข้าปฐมฌาน
             บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อุปสัมบันว่า จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานแล้ว ดังนี้,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานอยู่ ดังนี้,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และเข้าปฐมฌานได้แล้ว ดังนี้,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และเป็นผู้ได้ปฐมฌาน ดังนี้,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และเป็นผู้ชำนาญในปฐมฌาน ดังนี้,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และปฐมฌานข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ดังนี้,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจิตเปิดจากโมหะและเข้าทุติยฌาน
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้งแล้ว ซึ่งทุติยฌาน ดังนี้,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจิตเปิดจากโมหะและเข้าตติยฌาน
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้งแล้ว ซึ่งตติยฌาน ดังนี้,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจิตเปิดจากโมหะและเข้าจตุตถฌาน
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้งแล้ว ซึ่งจตุตถฌาน ดังนี้,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจิตเปิดจากโมหะและเข้าวิโมกข์
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้งแล้ว ซึ่งสูญญตวิโมกข์ ดังนี้,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว เข้าอยู่ ...  ซึ่งอนิมิตตวิโมกข์ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว เข้าอยู่ ... ซึ่งอัปปณิหิตวิโมกข์ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจิตเปิดจากโมหะและเข้าสมาธิ
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้งแล้ว ซึ่งสุญญตสมาธิ ดังนี้,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว ...  ซึ่งอนิมิตตสมาธิ ..., ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว ...  ซึ่งอัปปณิหิตสมาธิ ...,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจิตเปิดจากโมหะและเข้าสมาบัติ
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว ... ซึ่งสุญญตสมาบัติ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว ...  ซึ่งอนิมิตตสมาบัติ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว ...  ซึ่งอัปปณิหิตสมาบัติ ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจิตเปิดจากโมหะและเข้าวิชชา ๓
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว ... ซึ่งวิชชา ๓ ดังนี้, ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจิตเปิดจากโมหะและเข้าสติปัฏฐาน ๔
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว ... ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจิตเปิดจากโมหะและเข้าอิทธิบาท ๔
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว ... ซึ่งอิทธิบาท ๔ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจิตเปิดจากโมหะและเข้าอินทรีย์ ๕
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว ... ซึ่งอินทรีย์ ๕ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจิตเปิดจากโมหะและเข้าพละ ๕
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว ... ซึ่งพละ ๕ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจิตเปิดจากโมหะและเข้าโพชฌงค์ ๗
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว ... ซึ่งโพชฌงค์ ๗ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจิตเปิดจากโมหะและเข้าอริยมรรคมีองค์ ๘
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว ... ซึ่งอริยมรรคมีองค์ ๘ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจิตเปิดจากโมหะและเข้าอริยผล ๔
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว ... ซึ่งโสดาปัตติผล ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว ... ซึ่งสกทาคามิผล ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว ... ซึ่งอนาคามิผล ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และข้าพเจ้าเข้าแล้ว ... ซึ่งอรหัตผล ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจิตเปิดจากโมหะและสละกิเลส
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และราคะข้าพเจ้าสละแล้ว คายแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และโทสะข้าพเจ้าสละแล้ว คายแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และโมหะข้าพเจ้าสละแล้ว คายแล้ว ...  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจิตเปิดจากโมหะและจากราคะ
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากราคะ ดังนี้,  ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกจิตเปิดจากโมหะและจากโทสะ
             ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากโทสะ ดังนี้,  ... ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บอกรวมทุกอย่าง
         [๓๓๔] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นชำนาญ ทำให้แจ้งแล้ว ซึ่งปฐมฌาน ... ทุติยฌาน ... ตติยฌาน จตุตถฌาน ... สุญญตวิโมกข์ ... อนิมิตตวิโมกข์ ... อัปปณิหิตวิโมกข์ ... สุญญตสมาธิ ... อนิมิตตสมาธิ ... อัปปณิหิตสมาธิ ... สุญญตสมาบัติ ... อนิมิตตสมาบัติ ... อัปปณิหิตสมาบัติ ... วิชชา ๓ สติปัฏฐาน ๔ ... สัมมัปปธาน ๔ ... อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ ... พละ ๕ ... โพชฌงค์ ๗ ... อริยมรรคมีองค์ ๘ ... โสดาปัตติผล ... สกทาคามิผล ... อนาคามิผล ... อรหัตผล ... ราคะข้าพเจ้าสละแล้ว คายแล้ว ปล่อยแล้ว สละแล้ว สลัดแล้ว เพิกแล้ว ถอนแล้ว โทสะข้าพเจ้าสละแล้ว ... โมหะข้าพเจ้าสละแล้ว ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากราคะ ... จากโทสะ ... และจากโมหะ ... ดังนี้,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
วัตถุกามวารกถา ประสงค์จะบอกเข้าปฐมฌาน
             [๓๓๕] บทว่า บอก คือ ภิกษุประสงค์จะบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานแล้ว แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าทุติยฌานแล้ว ดังนี้,  เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าตติยฌานแล้ว ดังนี้,  เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าจตุตถฌานแล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,   ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าสุญญตวิโมกข์แล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,   ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าอนิมิตตวิโมกข์แล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,   ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าอัปปณิหิตวิโมกข์แล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,   ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าสุญญตสมาธิแล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,   ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าอนิมิตตสมาธิแล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,   ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าอัปปณิหิตสมาธิแล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,   ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าสุญญตสมาบัติแล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,   ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าอนิมิตตสมาบัติแล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,   ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าอัปปณิหิตสมาบัติแล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,   ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าวิชชา ๓ แล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่ เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าสัมมัปปธาน ๔ แล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าอิทธิบาท ๔ แล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าอินทรีย์ ๕ แล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าพละ ๕ แล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าโพชฌงค์ ๗ แล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าอริยมรรคมีองค์ ๘ แล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าโสดาปัตติผลแล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าสกทาคามิผลแล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าอนาคามิผลแล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าอรหัตผลแล้ว ... เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า ราคะข้าพเจ้าสละแล้ว คายแล้ว ปล่อยแล้ว ละแล้ว สลัดแล้ว เพิกแล้ว ถอนแล้ว ดังนี้,  เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า โทสะข้าพเจ้าสละแล้ว  ..., เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า โมหะข้าพเจ้าสละแล้ว  ..., เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า จิตของข้าพเจ้าเปิดจากราคะ ..., เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโทสะ ..., เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... แต่บอกว่า จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ ..., เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
ประสงค์จะบอกเข้าทุติยฌาน
             [๓๓๖] บทว่า บอก คือ ภิกษุประสงค์จะบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าทุติยฌานแล้ว แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าตติยฌานแล้ว  ..., เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,ต้องอาบัติทุกกฏ. ฯลฯ   ฯลฯ   ฯลฯ ๑-
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานแล้ว  ..., เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ, ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ฯลฯ   ฯลฯ   ฯลฯ ๒-
             บทว่า บอก คือ ภิกษุประสงค์จะบอกแก่อนุปสัมบันว่า จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะแต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานแล้ว  ..., เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ฯลฯ   ฯลฯ   ฯลฯ ๓-
             ... แต่บอกว่า จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโทสะ  ..., เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
สัพพมูลกนัย
    บทว่า บอก คือภิกษุประสงค์จะบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ อัปปณิหิตสมาธิ สุญญตสมาบัติ อนิมิตตสมาบัติ อัปปณิหิตสมาบัติ วิชชา ๓ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล และอรหัตผลแล้ว ราคะข้าพเจ้าสละแล้ว คายแล้ว ปล่อยแล้ว ละแล้ว สลัดแล้ว เพิกแล้ว ถอนแล้ว โทสะข้าพเจ้าสละแล้ว ... โมหะข้าพเจ้าสละแล้ว ... จิตของข้าพเจ้าเปิดจากราคะ
             @๑. ที่ ฯลฯ  ฯลฯ ไว้นี้หมายถึงว่า ประสงค์จะบอกว่า เข้าทุติยฌาน แต่บอกว่า เข้าจตุตถ @ฌาน เข้าวิโมกข์ เข้าสมาธิ เข้าสมาบัติ ตลอดถึงจิตเปิดจากโมหะ ฯ
             @๒. หมายถึงประสงค์จะบอกว่าเข้าตติยฌาน แต่บอกว่าเข้าจตุตถฌาน เข้าวิโมกข์ เข้าสมาธิ
             @เข้าสมาบัติ ตลอดถึงจิตเปิดจากโทสะ ฯ
             @๓. หมายถึงประสงค์จะบอกจิตเปิดจากโมหะ แต่บอกว่าเข้าทุติยฌาน ตติยฌาน เป็นต้น ไปถึง
             @จิตเปิดจากโมหะ ฯ
             และจิตของข้าพเจ้าเปิดจากโทสะ แต่บอกว่า จิตของข้าพเจ้าเปิดจากโมหะ ...  เมื่อเขาเข้าใจ,ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
บอกเข้าทุติยฌานและตติยฌาน
             [๓๓๗] บทว่า บอก คือภิกษุประสงค์จะบอกแก่อนุปสัมบันว่า ข้าพเจ้าเข้าทุติยฌานและ ตติยฌานแล้ว ...  แต่บอกว่าข้าพเจ้าเข้าจตุตถฌานแล้ว ... , เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์.เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ฯลฯ   ฯลฯ   ฯลฯ ๑-
             ... แต่บอกว่า ข้าพเจ้าเข้าปฐมฌานแล้ว  ..., เมื่อเขาเข้าใจ,  ต้องอาบัติปาจิตตีย์. เมื่อไม่เข้าใจ,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
บอกภิกษุอื่นเข้าปฐมฌาน
             [๓๓๘] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ภิกษุใดอยู่ในวิหารของท่าน ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง  ซึ่งปฐมฌาน ต้องอาบัติทุกกฏ
        ... ภิกษุใดอยู่ในวิหารของท่าน ภิกษุนั้นเข้าแล้ว ... ซึ่งทุติยฌาน ... ตติยฌาน ... จตุตถฌาน สุญญตวิโมกข์ ... อนิมิตตวิโมกข์ ... อัปปณิหิตวิโมกข์ ... สุญญตสมาธิ ... อนิมิตตสมาธิ ... อัปปณิหิตสมาธิ ... สุญญตสมาบัติ ... อนิมิตตสมาบัติ ... อัปปณิหิตสมาบัติ ... วิชชา ๓ ... สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ ... อิทธิบาท ๔ ... อินทรีย์ ๕ ... พละ ๕ ... โพชฌงค์ ๗ ... อริยมรรคมีองค์ ๘ ... โสดาปัตติผล ... สกทาคามิผล ... อนาคามิผล ... อรหัตผล ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... ภิกษุใดอยู่ในวิหารของท่าน: ราคะภิกษุนั้นสละแล้ว คายแล้ว ปล่อยแล้ว ละแล้ว สลัดแล้ว เพิกแล้ว ถอนแล้ว ... โทสะภิกษุนั้นสละแล้ว ... โมหะภิกษุนั้นสละแล้ว ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... ภิกษุใดอยู่ในวิหารของท่าน จิตของภิกษุนั้นเปิดจากราคะ  ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... จิตของภิกษุนั้นเปิดจากโทสะ ...  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... จิตของภิกษุนั้นเปิดจากโมหะ ...  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... ภิกษุใดอยู่ในวิหารของท่าน,  ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌานในสุญญาคาร ...  ซึ่งทุติยฌานในสุญญาคาร ... ซึ่งตติยฌานในสุญญาคาร ... ซึ่งจตุตถฌานในสุญญาคาร  ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
             @๑. ที่ ฯลฯ และ นี้ ... ผู้ต้องการทราบพิสดารพึงดูในเล่ม ๑ หน้า ๔๖๘ ข้อ (๒๗๙)
             บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ภิกษุใดใช้สอยวิหารของท่าน,  ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง  ซึ่งปฐมฌาน  ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ฯลฯ   ฯลฯ   ฯลฯ ๑-
             ... ภิกษุใดใช้สอยวิหารของท่าน,  ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ ได้เข้าแล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌานในสุญญาคาร ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... ทุติยฌานในสุญญาคาร ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... ตติยฌานในสุญญาคาร ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ... จตุตถฌานในสุญญาคาร ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
             บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ภิกษุใดนุ่งห่มจีวรของท่าน ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ฯลฯ   ฯลฯ   ฯลฯ ๑-
             ... ภิกษุใดนุ่งห่มจีวรของท่าน,  ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งจตุตถฌานในสุญญาคาร ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
             บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ภิกษุใดบริโภคบิณฑบาตของท่าน,  ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ฯลฯ   ฯลฯ   ฯลฯ ๑-
             ... ภิกษุใดบริโภคบิณฑบาตของท่าน,  ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้,เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งจตุตถฌานในสุญญาคาร ดังนี้,  ต้องอาบัติทุกกฏ.
             บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ภิกษุใดใช้สอยเสนาสนะของท่าน,  ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ฯลฯ   ฯลฯ   ฯลฯ ๑-
             ... ภิกษุใดใช้สอยเสนาสนะของท่าน,  ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งจตุตถฌานในสุญญาคาร ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
             บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ภิกษุใดบริโภคเครื่องยาอันเป็นปัจจัยของ
             @๑. ที่ ฯลฯ และ นี้ ... ผู้ต้องการทราบพิสดารพึงดูในเล่ม ๑ หน้า ๔๖๘ ข้อ (๒๗๙)
             ภิกษุไข้ของท่าน,  ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้งซึ่งปฐมฌาน ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ฯลฯ   ฯลฯ   ฯลฯ ๑-
             ... ภิกษุใดบริโภคเครื่องยาอันเป็นปัจจัยของภิกษุไข้ของท่าน ภิกษุนั้นเข้าแล้ว ... ซึ่งจตุตถฌานในสุญญาคาร ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             [๓๓๙] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า วิหารของท่านอันภิกษุใดอาศัยแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ฯลฯ   ฯลฯ   ฯลฯ ๑-
             ... วิหารของท่านอันภิกษุใดอาศัยแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว ... ซึ่งจตุตถฌานในสุญญาคาร ...ต้องอาบัติทุกกฏ.
             บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า จีวรของท่านอันภิกษุใดใช้สอยแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ฯลฯ   ฯลฯ   ฯลฯ ๑-
             ... จีวรของท่านอันภิกษุใดใช้สอยแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว ... ซึ่งจตุตถฌานในสุญญาคาร ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า บิณฑบาตของท่านอันภิกษุใดบริโภคแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ฯลฯ   ฯลฯ   ฯลฯ ๑-
             ... บิณฑบาตของท่านอันภิกษุใดบริโภคแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว ... ซึ่งจตุตถฌานในสุญญาคาร ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า เสนาสนะของท่านอันภิกษุใดใช้สอยแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ฯลฯ   ฯลฯ   ฯลฯ ๑-
             @๑. ที่ ฯลฯ ไว้นี้ พึงทราบตามนัยแห่งจตุตถปาราชิกโน้นเถิด
             ... เสนาสนะของท่านอันภิกษุใดใช้สอยแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว ... ซึ่งจตุตถฌานในสุญญาคาร ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             บทว่า บอก คือภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า เครื่องยาอันเป็นปัจจัยของภิกษุไข้ของท่าน อันภิกษุใดบริโภคแล้ว ... ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ฯลฯ   ฯลฯ   ฯลฯ ๑-
             ... เครื่องยาอันเป็นปัจจัยของภิกษุไข้ของท่านอันภิกษุใดบริโภคแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว ... ซึ่งจตุตถฌานในสุญญาคาร ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             [๓๔๐] บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ท่านอาศัยภิกษุใด ได้ถวายวิหารแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ฯลฯ   ฯลฯ   ฯลฯ ๑-
             ... ท่านอาศัยภิกษุใด ได้ถวายวิหารแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว ... ซึ่งจตุตถฌานในสุญญาคาร ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ท่านอาศัยภิกษุใดได้ถวายจีวรแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ฯลฯ   ฯลฯ   ฯลฯ ๑-
             ... ท่านอาศัยภิกษุใด ได้ถวายจีวรแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว ... ซึ่งจตุตถฌานในสุญญาคาร ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ท่านอาศัยภิกษุใด ได้ถวายบิณฑบาตแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ฯลฯ   ฯลฯ   ฯลฯ ๑-
             ... ท่านอาศัยภิกษุใด ได้ถวายบิณฑบาตแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว ... ซึ่งจตุตถฌานในสุญญาคาร ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             @๑. ที่ ฯลฯ ไว้นี้ พึงทราบตามนัยแห่งจตุตถปาราชิกโน้นเถิด
             บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ท่านอาศัยภิกษุใด ได้ถวายเสนาสนะแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ฯลฯ   ฯลฯ   ฯลฯ ๑-
             ... ท่านอาศัยภิกษุใด ได้ถวายเสนาสนะแล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว ... ซึ่งจตุตถฌานในสุญญาคาร ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             บทว่า บอก คือ ภิกษุบอกแก่อนุปสัมบันว่า ท่านอาศัยภิกษุใดได้ถวายเครื่องยาอันเป็นปัจจัยของภิกษุไข้แล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้ง ซึ่งปฐมฌาน ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ฯลฯ   ฯลฯ   ฯลฯ ๑-
             ... ท่านอาศัยภิกษุใด ได้ถวายเครื่องยาอันเป็นปัจจัยของภิกษุไข้แล้ว ภิกษุนั้นเข้าแล้ว ... ซึ่งจตุตถฌานในสุญญาคาร ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
             [๓๔๑] ภิกษุบอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริงแก่อุปสัมบัน ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ.
             @๑. ที่ ฯลฯ ไว้นี้ พึงทราบตามนัยแห่งจตุตถปาราชิกโน้นเถิด

             อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ มุสาวาทวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๘ มุสาวาทวรรค ภูตาโรจนสิกขาบทที่ ๘         
             พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๘ ดังต่อไปนี้ :-
         [แก้อรรถปฐมบัญญัติ เรื่องภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา]
         คำใดที่ข้าพเจ้าควรจะกล่าวก่อนในวัตถุกถา คำนั้นทั้งหมดมีนัยดังที่กล่าวแล้วในจตุตถปาราชิกวรรณนานั่นแล. 
         ส่วนความแปลกกัน ดังต่อไปนี้ :- 
         ในจตุตถปาราชิกนั้น พวกภิกษุบอกอุตริมนุสธรรมอันไม่มีจริง, ในสิกขาบทนี้ บอกอุตริมนุสธรรมที่มีจริง. ปุถุชนทั้งหลายบอกอุตริมนุสธรรมแม้ที่มีจริง. อริยเจ้าทั้งหลายไม่บอก. จริงอยู่ ชื่อว่า ปยุตตวาจา (วาจาที่เปล่งเพราะเหตุแห่งท้อง) ไม่มีแก่พระอริยเจ้าทั้งหลาย. แต่เมื่อผู้อื่นบอกคุณของตนเอง ท่านก็ไม่ห้ามคนเหล่าอื่น และยินดีปัจจัยทั้งหลายที่เกิดขึ้น โดยอาการที่ไม่ทราบว่าเกิดขึ้น (เพราะการบอกคุณของตน). 
         ก็ในคำว่า อถโข เต ภิกฺขู ภควโต เอตมตฺถํอาโรเจสุํ เป็นต้น บัณฑิตพึงทราบว่า ภิกษุทั้งหลายเหล่าใดกล่าวคุณแห่งอุตริมนุสธรรม ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลแล้ว. 
         พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คุณวิเสสของพวกเธอ มีจริงหรือ? ก็ภิกษุเหล่านั้นแม้ทั้งหมดทูลรับปฏิญาณว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า! มีจริง. เพราะว่า อุตริมนุสธรรมมีจริงในภายใน แม้แห่งพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ตรัสว่า โมฆปุริสา เพราะภิกษุเหล่านั้นปะปนด้วยพระอริยะ ตรัสว่า กถญฺหิ นาม ตุมฺเห ภิกฺขเว แล้ว จึงตรัสคำมีอาทิว่า อุทรสฺส การณา ดังนี้. 
         ในคำมีคำว่า กถญฺหิ นาม ตุมฺเห ภิกฺขเว เป็นต้นนั้น เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายฟังคำของคนเหล่าอื่น ถูกพวกชาวบ้านผู้มีความเลื่อมใสถามอยู่ โดยนัยเป็นต้นว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ! ได้ยินว่า พระผู้เป็นเจ้าเป็นโสดาบันหรือ? ดังนี้ มีปกติเห็นว่าไม่มีโทษ ในเมื่อสิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่ได้ทรงบัญญัติ จึงปฏิญาณการบรรลุคุณวิเสส ของตนและของคนเหล่าอื่น เพราะเป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์, และท่านเหล่านั้น เมื่อปฏิญาณอย่างนี้ แม้ยินดีอยู่ซึ่งบิณฑบาตที่ปุถุชนเหล่าอื่นกล่าวคุณแห่งอุตริมนุสธรรมเพราะเหตุแห่งท้องให้เกิดขึ้นแล้ว ด้วยความเป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์ จึงเป็นเหมือนกล่าวคุณแห่งอุตริมนุสธรรม เพราะเหตุแห่งท้อง ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสโดยสัพพสังคาหิกนัยนั่นแลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึงได้กล่าวชมอุตริมนุสธรรมของกันและกัน แก่คฤหัสถ์ทั้งหลาย เพราะเหตุแห่งท้องเล่า? ดังนี้. 
         คำที่เหลือเป็นเช่นเดียวกับเรื่องจตุตถปาราชิกทั้งนั้นแล. 
         แม้ในวิภังค์แห่งสิกขาบท ในจตุตถปาราชิกนั้นเป็นปาราชิกกับถุลลัจจัยอย่างเดียว. ในสิกขาบทนี้เป็นปาจิตตีย์และทุกกฏ เพราะเป็นคุณมีจริง นี้เป็นความแปลกกัน. 
         บทที่เหลือ มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. 
         คำว่า บอกคุณวิเสสที่มีจริง แก่อนุปสัมบัน (นี้) ท่านกล่าวหมายเอาอุตริมนุสธรรมนั่นเอง. จริงอยู่ ภิกษุผู้ถูกรบเร้าถามในเวลาปรินิพพานและในกาลอื่น จะบอกคุณที่มีจริงแก่อุปสัมบันก็ควร. 
         อนึ่ง จะบอกคุณ คือ สุตะ ปริยัติและศีล แม้แก่อนุปสัมบันก็ควร. ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ. แต่คำว่า อุมฺมตฺตกสฺส นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสไว้ในสิกขาบทนี้. เพราะเหตุไร? ท่านวิจารณ์ไว้ในอรรถกถามหาปัจจรีว่า เพราะท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ไม่มีความบ้า หรือจิตฟุ้งซ่าน ดังนี้. แต่ท่านผู้ได้ฌาน พึงเป็นบ้าได้ในเมื่อฌานเสื่อม. แม้สำหรับท่านผู้นั้นก็ไม่ควรกล่าวอนาบัติ ซึ่งมีการบอกฌานที่มีจริงเป็นปัจจัย เพราะฌานที่มีจริงนั่นแหละไม่มีฉะนี้แล. 
         บทที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้นแล. 
         สิกขาบทนี้ ชื่อว่าภูตาโรจนสิกขาบท เกิดขึ้นโดยสมุฏฐาน ๓ ที่มิได้ตรัสไว้ในเบื้องต้น คือ ทางกาย ๑ ทางวาจา ๑ ทางกายกับวาจา ๑ เป็นกิริยา ในสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๒ โดยเป็นกุศลจิตกับอัพยากตจิต มีเวทนา ๒ โดยเป็นสุขเวทนากับอุเบกขาเวทนา ฉะนี้แล.
         ภูตาโรจนสิกขาบทที่ ๘ จบ.