Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สมุฏฐาน.-ทุติยคาถาสังคณิกะ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สมุฏฐาน.-ทุติยคาถาสังคณิกะ แสดงบทความทั้งหมด

11 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร อรรถกถา ปริวาร ทุติยคาถาสังคณิกะ อาบัติทางกายเป็นต้น อปรทุติยคาถาสังคณิกวัณณนา

   อรรถกถา ปริวาร ทุติยคาถาสังคณิกะ อาบัติทางกายเป็นต้น 
อปรทุติยคาถาสังคณิกวัณณนา
               วินิจฉัยในวิสัชนาคาถาว่า กตาปตฺติโย กายิกา เป็นอาทิ พึงทราบดังนี้ :-
[อาบัติทางกายเป็นต้น]
   บาทคาถาว่า ฉ อาปตฺติโย กายิกา มีความว่า อาบัติทั้งหลายที่ท่านกล่าวไว้ในอันตรเปยยาล โดยนัยมีคำว่า ภิกษุต้องอาบัติ ๖ ด้วยอาปัตติสมุฏฐานที่ ๔ คือ ภิกษุเสพเมถุนธรรมต้องปาราชิก เป็นต้น. จริงอยู่ อาบัติเหล่านั้นตรัสว่า เนื่องด้วยกาย เพราะเกิดขึ้นในกายทวาร. 
   สองบทว่า ฉ วาจสิกา มีความว่า อาบัติทั้งหลาย ที่ตรัสไว้ในอันตรเปยยาลนั้นแล โดยนัยมีคำว่า ภิกษุต้องอาบัติ ๖ ด้วยอาปัตติสมุฏฐานที่ ๕ คือ ภิกษุผู้มีความปรารถนาลามก อันความปรารถนาลามกครอบงำแล้ว ดังนี้เป็นต้น. 
   สองบทว่า ฉาเทนฺตสฺส ติสฺโส มีความว่า เป็นปาราชิกแก่ภิกษุณีผู้ปกปิดโทษ, เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุ เพราะปกปิดอาบัติสังฆาทิเสส, เป็นทุกกฏ เพราะปกปิดอาบัติชั่วหยาบของตน. 
   สองบทว่า ปญฺจ สํสคฺคปจฺจยา มีความว่า อาบัติ ๕ มีการเคล้าคลึงด้วยกายเป็นปัจจัยเหล่านี้ คือ เพราะเคล้าคลึงด้วยกาย เป็นปาราชิกแก่ภิกษุณี, เป็นสังฆาทิเสสแก่ภิกษุ, เพราะกายกับของเนื่องด้วยกายถูกกัน เป็นถุลลัจจัย, เพราะของที่ซัดไปกับของเนื่องด้วยกายถูกกัน เป็นทุกกฏ, เพราะจี้ด้วยนิ้วมือ เป็นปาจิตตีย์.
[อาบัติเพราะอรุณขึ้นเป็นต้น]
   สองบทว่า อรุณุคฺเค ติสฺโส มีความว่า เพราะอรุณขึ้น ภิกษุย่อมต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ด้วยอำนาจก้าวล่วง ๑ ราตรี ๖ ราตรี ๗ วัน ๑๐ วัน และ ๑ เดือน, เป็นสังฆาทิเสสแก่ภิกษุณี เพราะอยู่ปราศ (จากเพื่อน) ตลอดราตรี, ภิกษุปิดอาบัติไว้ตลอดยามที่ ๑ ก็ดี ปิดไว้ ตลอดยามที่ ๒ ก็ดี ตลอดยามที่ ๓ ก็ดี อาบัติเป็นอันเธอปิดเมื่ออรุณขึ้นแล้ว เธอชื่อว่าย่อมปิดอาบัติไว้ พึงให้เธอแสดงอาบัติทุกกฏ. 
   สองบทว่า เทฺว ยาวตติยกา มีความว่า อาบัติชื่อยาวตติยกา มี ๑๑ แต่แบ่งเป็น ๒ ด้วยอำนาจพระบัญญัติ คือ ยาวตติยกาบัติ ของภิกษุ ยาวตติยกาบัติ ของภิกษุณี. 
   สองบทว่า เอเกตฺถ อฏฺฐวตฺถุกา มีความว่า อาบัติอย่างหนึ่งของภิกษุณีทั้งหลายเท่านั้น ชื่อว่าอัฏฐวัตถุกา ในศาสนานี้นี่. 
   สองบทว่า เอเกน สพฺพสงฺคโห มีความว่า สงเคราะห์สิกขาบททั้งมวล และปาฏิโมกขุทเทสทั้งมวล เข้าด้วยนิทานุทเทสอันเดียวนี้ว่า ภิกษุใด มีอาบัติอยู่, ภิกษุนั้น พึงเปิดเผยเสีย.
#- ที่ถูก ๑๒ คือภิกษุ ๔ ภิกษุณี ๘.
[มูลแห่งวินัยเป็นต้น]
   หลายบทว่า วินยสฺส เทฺว มูลานิ มีความว่า (มูลแห่งวินัยมี ๒ คือ) กาย ๑ วาจา ๑. 
   หลายบทว่า ครุกา เทฺว วุตฺตา มีความว่า (อาบัติหนักท่านกล่าวไว้ ๒ คือ) ปาราชิกและสังฆาทิเสส. 
   สองบทว่า เทฺว ทุฏฺฐุลฺลจฺฉาทนา มีความว่า ขึ้นชื่อว่าอาบัติ เพราะปิดโทษชั่วหยาบ มี ๒ เหล่านี้ คือเป็นปาราชิกแก่ภิกษุณีผู้ปิดโทษ (คือปาราชิกของภิกษุณีอื่น) เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ปิดสังฆาทิเสส (ของภิกษุอื่น).
[อาบัติในละแวกบ้านเป็นต้น]
   สองบทว่า คามนฺตเร จตสฺโส มีความว่า อาบัติ ๔ อย่าง ด้วยอำนาจทุกกฏ ปาจิตตีย์ ถุลลัจจัย และสังฆาทิเสส เพราะละแวกบ้านเหล่านี้ คือ ภิกษุกับภิกษุณีชวนกัน ต้องทุกกฏ. เข้าอุปจารบ้านอื่น ต้องปาจิตตีย์, เมื่อภิกษุณี ไปสู่ละแวกบ้าน ในบ้านที่ล้อมเป็นถุลลัจจัย ในย่างเท้าที่ ๑, เป็นสังฆาทิเสส
ในย่างเท้าที่ ๒, เป็นถุลลัจจัย ในย่างเท้าที่ ๑ ที่ก้าวเข้าอุปจารแห่งบ้านไม่ได้ล้อม, เป็นสังฆาทิเสส ในย่างเท้าที่ ๒. 
   สองบทว่า จตสฺโส นทีปารปจฺจยา มีความว่า อาบัติ ๔ อย่างเหล่านี้ คือภิกษุกับภิกษุณีชวนกัน ต้องทุกกฏ, ลงเรือ ต้องปาจิตตีย์, เมื่อภิกษุณี (รูปเดียว) ไปสู่ฝั่งแม่น้ำ ในเวลาข้าม เป็นถุลลัจจัย ในย่างเท้าที่ ๑, เป็นสังฆาทิเสส ในย่างเท้าที่ ๒. 
   สองบทว่า เอกมํเส ถุลฺลจฺจยํ มีความว่า (ภิกษุย่อมต้องถุลลัจจัย) เพราะเนื้อแห่งมนุษย์.
   สองบทว่า นวมํเสสุ ทุกฺกฏํ มีความว่า (ภิกษุย่อมต้องทุกกฏ) ในเพราะอกัปปิยมังสะที่เหลือ.
[อาบัติทางวาจาในราตรีเป็นต้น]
   หลายบทว่า เทฺว วาจสิกา รตฺตึ มีความว่า ภิกษุณียืนพูดในหัตถบาสกับบุรุษ ในเวลามืดๆ ค่ำๆ ไม่มีแสงไฟ ต้องปาจิตตีย์, เว้นหัตถบาส ยืนพูด ต้องทุกกฏ. 
   หลายบทว่า เทฺว วาจสิกา ทิวา มีความว่า ภิกษุณียืนพูดในหัตถบาสกับบุรุษ ในโอกาสที่ปิดบัง ในกลางวัน ต้องปาจิตตีย์, เว้นหัตถบาส ยืนพูด ต้องทุกกฏ. 
   สองบทว่า ททมานสฺส ติสฺโส มีความว่า เป็นอาบัติ ๓ อย่างแก่ภิกษุผู้ให้อย่างนี้ คือมีประสงค์จะให้ตาย ให้ยาพิษแก่มนุษย์ ถ้าว่า เขาตาย ด้วยยาพิษนั้น ภิกษุต้องปาราชิก, ให้แก่ยักษ์และเปรต ถ้าว่า ยักษ์และเปรตนั้นตาย ภิกษุต้องถุลลัจจัย, ให้แก่สัตว์ดิรัจฉาน ถ้าว่า มันตาย ภิกษุต้องปาจิตตีย์, แม้เพราะให้จีวรแก่ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ก็ต้องปาจิตตีย์. 
   สองบทว่า จตฺตาโร จ ปฏิคฺคเห มีความว่า เป็นสังฆาทิเสส เพราะจับมือและจับช้องผม, ต้องปาราชิก เพราะอมองคชาตด้วยปาก, ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เพราะรับจีวรของภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ, ต้องถุลลัจจัยแก่ภิกษุณีผู้กำหนัด รับของเคี้ยว ของบริโภค จากมือบุรุษผู้กำหนัด, กองอาบัติ ๔ ย่อมมีในเพราะรับ ด้วยประการอย่างนี้.
[อาบัติเป็นเทสนาคามินีเป็นต้น]
   สองบทว่า ปญฺจ เทสนาคามินิโย ได้แก่ ลหุกาบัติ ๕ กอง. 
   สองบทว่า ฉ สปฺปฏิกมฺมา มีความว่า เว้นปาราชิกเสียแล้ว อาบัติที่เหลือ (มีทางจะทำคืนได้). 
   สองบทว่า เอเกตฺถ อปฺปฏิกมฺมา มีความว่า (อาบัติที่ทำคืนไม่ได้ในศาสนานี้ มีอย่างเดียว คือ) อาบัติปาราชิก. 
   หลายบทว่า วินยครุกา เทฺว วุตฺตา ได้แก่ ปาราชิกและสังฆาทิเสส. 
   บทว่า กายวาจสิกานิ จ มีความว่า สิกขาบททั้งมวลทีเดียว เป็นไปในทางกายและวาจา. ไม่มีแม้เพียงสิกขาบทเดียว ที่ทรงบัญญัติในมโนทวาร. 
   หลายบทว่า เอโก วิกาเล ธญฺญรโส ได้แก่ ยาดองด้วยเกลือ. จริงอยู่ รสแห่งธัญชาติชนิดหนึ่งนี้แล ควรในวิกาล. 
   หลายบทว่า เอกา ฐตฺติจตุตฺเถน สมฺมติ ได้แก่ สมมติภิกษุผู้สอนภิกษุณี. จริงอยู่ สมมติด้วยญัตติจตุตถกรรมอันเดียวนี้เท่านั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว.
[ปาราชิกทางกายเป็นต้น]
   หลายบทว่า ปาราชิกา กายิกา เทฺว ได้แก่ เมถุนธรรมปาราชิกของภิกษุ และกายสังสัคคปาราชิกของภิกษุณี. 
   สองบทว่า เทฺว สํวาสกภูมิโย มีความว่า ภิกษุทำตนให้เป็นสมานสังวาสก์ด้วยตนเอง, หรือสงฆ์ผู้พร้อมเพรียง ประกาศถอนภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตรนั้นเสีย. 
   แต่ในกุรุนที กล่าวสังวาสกภูมิไว้ ๒ อย่างๆ นี้ คือ ภูมิแห่งสมานสังวาสก์ ๑ ภูมิแห่งนานาสังวาสก์ ๑. 
   สองบทว่า ทฺวินฺนญฺจ รตฺติจฺเฉโท ได้แก่ รัตติจเฉทของภิกษุผู้อยู่ปริวาส ๑ ของภิกษุผู้ประพฤติมานัตต์ ๑. 
   หลายบทว่า ปญฺญตฺตา ทฺวงฺคุลา ทุเว ได้แก่ พระบัญญัติว่าด้วยสองนิ้ว ๒ อย่าง คือ พระบัญญัติที่ว่า (ภิกษุณีเมื่อถือเอาให้สะอาดด้วยน้ำ) พึงถือเอาเพียง ๒ ข้อแห่งนิ้วมือเป็นอย่างยิ่งนี้ ๑ พระบัญญัติที่ว่า ภิกษุไว้ผม ๒ นิ้วหรือ ๒ เดือน นี้ ๑.
[อาบัติเพราะทำร้ายตัวเองเป็นต้น]
   หลายบทว่า เทฺว อตฺตานํ วธิตฺวาน มีความว่า ภิกษุณีทำร้ายตัวเอง ต้องอาบัติ ๒ อย่าง คือ ทำร้าย ร้องไห้ ต้องปาจิตตีย์, ทำร้ายไม่ร้องไห้ ต้องทุกกฏ. 
   หลายบทว่า ทฺวีหิ สงฺโฆ ภิชฺชติ มีความว่า (สงฆ์ย่อมแตกกัน ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ) ด้วยกรรม ๑ ด้วยจับสลาก ๑.
 สองบทว่า เทฺวตฺถ ปฐมาปตฺติกา มีความว่าในวินัยแม้ทั้งสิ้นนี้ มีอาบัติต้องแต่แรกทำ ๒ อย่าง เนื่องด้วยพระบัญญัติแห่งภิกษุและภิกษุณีทั้ง๒ ฝ่าย. แต่โดยประการนอกนี้ ปฐมาปัตติกาบัตินั้น ย่อมมี ๑๘ คือ ของภิกษุ ๙ ของภิกษุณี ๙. 
 หลายบทว่า ญตฺติยา กรณา ทุเว มีความว่า ญัตติกิจมี ๒ คือญัตติที่เป็นกรรมเอง ๑ ญัตติที่เป็นบาทแห่งกรรม ๑, ญัตติกิจย่อมเป็นกรรมเอง ใน ๙ สถาน, ตั้งอยู่โดยความเป็นบาทแห่งกรรมใน ๒ สถาน.
[อาบัติเพราะปาณาติบาตเป็นต้น]
 สองบทว่า ปาณาติปาเต ติสฺโส มีความว่า (ในเพราะปาณาติบาต) ย่อมมีอาบัติ ๓ เหล่านี้ คือ ภิกษุขุดหลุมพรางไว้ ไม่เจาะจง (ผู้ใด), ถ้ามนุษย์ตาย ต้องปาราชิก; ต้องถุลลัจจัย เพราะยักษ์และเปรตตาย, ต้องปาจิตตีย์ เพราะสัตว์ดิรัจฉานตาย. 
 หลายบทว่า วาจา ปาราชิกา ตโย มีความว่า (อาบัติปาราชิก เนื่องด้วยวาจา ๓ คือ) ปาราชิกในวัชชปฏิจฉาทิกาสิกขาบท ๑ ในอุกขิตตานุวัตติกาสิกขาบท ๑ ในอัฏฐวัตถุกาสิกขาบท ๑. 
 แต่ในกุรุนที ท่านกล่าวไว้ ๓ อย่างนี้ คือ ปาราชิกเพราะอทินนาทานและฆ่ามนุษย์ โดยสั่งบังคับ และเพราะอวดอุตริมนุสธรรม. 
 สองบทว่า โอภาสนา ตโย ได้แก่ สังฆาทิเสสเพราะพูดสรรเสริญและติพาดพิงทวารหนักทวารเบา, ถุลลัจจัย เพราะพูดสรรเสริญและติพาดพิงอวัยวะใต้รากขวัญลงมา เหนือช่วงเข่าขึ้นไป เว้นทวารหนักทวารเบาเสีย, ทุกกฏ เพราะพูดสรรเสริญและติพาดพิงอวัยวะเหนือรากขวัญขึ้นไป ใต้ช่วงเข่าลงมา. 
 สองบทว่า สญฺจริตฺเตน วา ตโย มีความว่า อาบัติ ๓ กองมีเพราะการชักสื่อเป็นเหตุ เหล่านี้ คือ ภิกษุรับคำ พูดชักสื่อ กลับมาบอก ต้องสังฆาทิเสส, รับคำ พูดชักสื่อ ไม่กลับมาบอก ต้องถุลลัจจัย, รับคำ ไม่พูด ชักสื่อ ไม่กลับมาบอก ต้องทุกกฏ.
[บุคคลที่ไม่ควรให้อุปสมบทเป็นต้น]
 หลายบทว่า ตโย ปุคฺคลา น อุปสมฺปาเทตพฺพา มีความว่า (บุคคลอันสงฆ์ไม่พึงให้อุปสมบท ๓ จำพวก คือ) บุคคลผู้มีกาล คือ อายุไม่ครบ ๑ ผู้มีอวัยวะบกพร่อง ๑ ผู้วิบัติโดยวัตถุ ๑. เหตุที่ทำบุคคล ๓ จำพวกนั้นให้ต่างกัน ได้กล่าวแล้ว. 
 อีกประการหนึ่ง ในบุคคล ๓ จำพวกนี้ บุคคลใด ไม่บริบูรณ์ด้วยบาตรและจีวร และบุคคลใด บริบูรณ์แต่ไม่ขอ, บุคคลเหล่านี้แล ท่านสงเคราะห์ ด้วยบุคคลผู้มีอวัยวะบกพร่องโดยเฉพาะ. ฝ่ายบุคคลผู้มีความกระทำเลวทราม มีผู้ฆ่ามารดาเป็นต้น พึงทราบว่าสงเคราะห์ ด้วยบุคคลผู้วิบัติโดยวัตถุโดยเฉพาะ
กล่าวคือ บัณเฑาะก์อุภโตพยัญชนก และสัตว์ดิรัจฉาน.
จริงอยู่ นัยนี้ ท่านกล่าวไว้ในกุรุนที. 
 หลายบทว่า ตโย กมฺมานํ สงฺคหา ได้แก่ (กรรมสังคหะ ๓ อย่างคือ) วาจากำหนดญัตติ คำประธานที่ทำค้าง คำระบุกรรมที่เสร็จไปแล้ว. 
 ในกรรมสังคหะ ๓ นั้น กรรมทั้งหลายอันท่านสงเคราะห์ด้วยลักษณะ ๓ เหล่านี้ คือ วาจาที่สวดต่างโดยคำว่า ทเทยฺย กเรยฺย เป็นอาทิ ชื่อว่าวาจากำหนดญัตติ. คำสวดประกาศต่างโดยคำว่า เทติ กโรติ เป็นอาทิ ชื่อว่าคำประธานที่ทำค้าง, คำสวดประกาศต่างโดยคำว่า ทินฺนํ กตํ เป็นอาทิ ชื่อว่าคำระบุกรรมที่เสร็จไปแล้ว. 
 กรรมทั้งหลายอันท่านสงเคราะห์ด้วยลักษณะ ๓ แม้อื่นอีก คือ ด้วยวัตถุ ญัตติ อนุสาวนา. จริงอยู่ กรรมที่พร้อมด้วยวัตถุ พร้อมด้วยญัตติและพร้อมด้วยอนุสาวนา จึงจัดเป็นกรรมแท้. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า กรรมสังคหะมี ๓. 
 ขึ้นชื่อว่า บุคคลที่สงฆ์นาสนะเสีย ท่านกล่าวไว้ ๓ จำพวก ได้แก่ บุคคล ๓ จำพวกที่สงฆ์ให้นาสนะเสีย ด้วยอำนาจลิงคนาสนา สังวาสนาสนาและทัณฑกรรมนาสนา พึงทราบ (โดยบาลี) อย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย จงนาสนะเมตติยาภิกษุณีเสีย, บุคคลผู้ประทุษร้าย สงฆ์พึงให้นาสนะเสีย, สามเณรประกอบด้วยองค์ ๑๐ ภิกษุพึงให้นาสนะเสีย, ท่านทั้งหลายจงให้นาสนะกัณกฏสามเณรเสีย. 
 สองบทว่า ติณฺณนฺนํ เอกวาจิกา มีความว่า อนุสาวนาอันเดียวควรแก่ชน ๓ มีอุปัชฌาย์เดียวกัน ต่างอาจารย์กัน โดยพระบาลีว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเพื่อทำบุคคล ๒-๓ คน ในอนุสาวนาเดียวกัน.
[อาบัติเพราะอทินนาทานเป็นต้น]
 สองบทว่า อทินฺนาทาเน ติสฺโส มีความว่า ในเพราะ (อทินนาทาน) บาทหนึ่ง หรือเกินกว่าบาท เป็นปาราชิก, เกินกว่า ๑ มาสก ต่ำกว่า ๕ มาสก เป็นถุลลัจจัย, ๑ มาสก หรือหย่อนมาสก เป็นทุกกฏ. 
 สองบทว่า จตสฺโส เมถุนปจฺจยา มีความว่า ภิกษุเสพเมถุนในทวารที่สัตว์ยังไม่กัด ต้องปาราชิก. ในทวารที่สัตว์กัดแล้วโดยมาก ต้องถุลลัจจัย, สอดองคชาตเข้าไปในปากที่อ้ามิให้กระทบ ต้องทุกกฏ, ภิกษุณีต้องปาจิตตีย์ เพราะขุนเพ็ดทำด้วยยาง. 
 สองบทว่า ฉินฺทนฺตสฺส ติสฺโส มีความว่า เป็นปาราชิกแก่ภิกษุผู้ (ลัก) ตัดต้นไม้ใหญ่, เป็นปาจิตตีย์ แก่ผู้ตัดภูตคาม, เป็นถุลลัจจัย แก่ผู้ตัดองคชาต. 
 สองบทว่า ปญฺจ ฉฑฺฑิตปจฺจยา มีความว่า ภิกษุทิ้งยาพิษ ไม่เจาะจง ถ้ามนุษย์ตายเพราะยาพิษนั้น ต้องปาราชิก, เมื่อยักษ์และเปรตตาย ต้องถุลลัจจัย, เมื่อสัตว์ดิรัจฉานตาย ต้องปาจิตตีย์. เพราะทิ้ง คือปล่อยสุกกะ เป็นสังฆาทิเสส, เพราะถ่ายอุจจาระและปัสสาวะในของเขียว ต้องทุกกฏ ในเสขิยวัตร, อาบัติ ๕ กองนี้ย่อมมี เพราะวัตถุที่ทิ้งเป็นปัจจัย.
[ปรับอาบัติควบกันเป็นต้น]
   หลายบทว่า ปาจิตฺติเยน ทุกฺกฏา กตา มีความว่า ท่านปรับทุกกฏควบกับปาจิตตีย์ด้วย ในสิกขาบททั้ง ๑๐ ในภิกขุโนวาทกวัคค์. 
   หลายบทว่า จตุเรตฺถ นวกา วุตฺตา มีความว่า ในสิกขาบทที่ ๑ นั่นแล ท่านกล่าวหมวด ๙ ไว้ ๔ หมวดอย่างนี้ คือในกรรมไม่เป็นธรรม ๒ หมวด ในกรรมเป็นธรรม ๒ หมวด. 
   สองบทว่า ทฺวินฺนํปิ จีวเรน จ มีความว่า เพราะจีวรเป็นต้นเหตุ ย่อมเป็นอาบัติ แก่ภิกษุผู้ให้จีวร แก่ภิกษุณี ๒ พวก อย่างนี้ คือ เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ให้จีวรแก่ภิกษุณี ผู้อุปสมบทในสำนักภิกษุทั้งหลาย, เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้ให้จีวรแก่ภิกษุณี ผู้อุปสมบทในสำนักภิกษุณีทั้งหลาย.
 ปาฏิเทสนียะ ๘ มาแล้วในบาลีแล.
 หลายบทว่า ภุชนฺตามกธญฺเญน ปาจิตฺติเยน ทุกฺกฏา กตา มีความว่า ท่านปรับทุกกฏควบกับปาจิตตีย์ด้วย แก่ภิกษุณีผู้ออกปากขอข้าวเปลือกฉัน.
[อาบัติเพราะเดินเป็นต้น]
   สองบทว่า คจฺฉนฺตสฺส จตสฺโส มีความว่า เป็นอาบัติ ๔ กองนี้แก่ผู้ไป คือ เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้ชวนกันเดินทาง กับภิกษุณี หรือมาตุคาม, เป็นปาจิตตีย์ เมื่อเข้าอุปจารบ้าน, ภิกษุณีใด ไปสู่ละแวกบ้านรูปเดียว เมื่อภิกษุณีนั้น เข้าอุปจารบ้าน เป็นถุลลัจจัย ในย่างเท้าที่ ๑, เป็นสังฆาทิเสสในย่างเท้าที่ ๒. 
   สองบทว่า ฐิตสฺส วาปิ ตตฺตกา มีความว่า อาบัติ ๔ กองนั่นแล ย่อมมีแม้แก่ผู้ยืนอยู่, อย่างไร? อย่างนี้ คือ ภิกษุณี ยืนในหัตถบาสของบุรุษด้วยอำนาจมิตตสันถวะ ในที่มืด หรือในโอกาสกำบัง ต้องปาจิตตีย์, ยืนเว้นหัตถบาส ต้องทุกกฏ. ในเวลาอรุณขึ้น ยืนเว้นหัตถบาสของภิกษุณีซึ่งเป็นเพื่อน ต้องถุลลัจจัย, เว้นหัตถบาสยืน ต้องสังฆาทิเสส. 
   หลายบทว่า นิสินฺนสฺส จตสฺโส อาปตฺติโย นิปนฺนสฺสาปิ ตตฺตกา มีความว่า ก็แม้ถ้าว่า ภิกษุณีนั้น นั่งก็ตาม นอนก็ตาม เธอย่อมต้องอาบัติ ๔ กองนั้นนั่นแล.
[อาบัติมากต้องในเขตเดียวกัน]
   สองบทว่า ปญฺจ ปาจิตฺติยานิ มีความว่า เภสัช ๕ ที่ภิกษุรับประเคนแล้วไม่ปนกัน ใส่ไว้ในภาชนะต่างกันก็ตาม ในภาชนะเดียวกันก็ตาม. เพราะล่วง ๗ วัน ภิกษุนั้น ย่อมต้องปาจิตตีย์หมดทั้ง ๕ ตัว ต่างวัตถุกันในขณะเดียวกัน. ไม่พึงกล่าวว่า ต้องอาบัตินี้ก่อน อาบัตินี้ภายหลัง. 
   สองบทว่า นว ปาจิตฺติยานิ มีความว่า ภิกษุใด ออกปากขอโภชนะประณีต ๙ อย่าง เคล้าคำข้าวคำหนึ่ง รวมกันกับโภชนะประณีตเหล่านั่นเทียว เปิบเข้าปาก ให้ล่วงลำคอเข้าไป, ภิกษุนี้ ย่อมต้องปาจิตตีย์ หมดทั้ง ๙ ตัว ต่างวัตถุกัน ในขณะเดียวกัน. ไม่พึงกล่าวว่า ต้องอาบัตินี้ก่อน อาบัตินี้ภายหลัง.
[วิธีแสดงอาบัติ]
   สองบทว่า เอกวาจาย เทเสยฺย มีความว่า ภิกษุพึงแสดงด้วยวาจาอันเดียว อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้ารับประเคนเภสัช ๕ ให้ล่วง ๗ วันไป ต้องอาบัติ ๕ จึงแสดงคืนอาบัติเหล่านั้นในสำนักท่าน อาบัติเหล่านั้น เป็นอันเธอแสดงแล้วแท้ ; ไม่มีกิจที่จะต้องทำด้วยวาจา ๒-๓ ครั้ง. แม้ในวิสัชนาที่ ๒
ก็พึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าออกปากขอโภชนะประณีต ๙ อย่างฉัน ต้องอาบัติ ๙ จึงแสดงคืนอาบัติเหล่านั้น ในสำนักท่าน. 
   หลายบทว่า วตฺถุํ กิตฺเตตฺวา เทเสยฺย มีความว่า พึงแสดงระบุวัตถุ อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้ารับประเคนเภสัช ๕ ให้ล่วง ๗ วันไป, ข้าพเจ้าแสดงอาบัติเหล่านั้นตามวัตถุ ในสำนักท่าน. อาบัติทั้งหลาย เป็นอันภิกษุนั้นแสดงแล้วแท้. ไม่มีกิจที่จะต้องระบุชื่ออาบัติ. แม้ในวิสัชนาที่ ๒ ก็พึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าออกปากขอโภชนะประณีต ๙ อย่าง ฉันแล้ว, ข้าพเจ้าแสดงคืนอาบัติเหล่านั้น ตามวัตถุ ในสำนักท่าน.
[ยาวตติยกาบัติเป็นต้น]
   สองบทว่า ยาวตติยเก ติสฺโส มีความว่า อาบัติ ๓ กองในยาวตติยกะเหล่านี้ คือ เป็นปาราชิกแก่ภิกษุณีผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตร, เป็นสังฆาทิเสส แก่ภิกษุทั้งหลาย มีพระโกกาลิกะเป็นต้น ผู้ประพฤติตามพระเทวทัตต์ผู้ทำลายสงฆ์ และเป็นปาจิตตีย์แก่นางจัณฑกาฬีภิกษุณี เพราะไม่สละทิฏฐิลามก. 
   สองบทว่า ฉ โวหารปจฺจยา มีความว่า ภิกษุย่อมต้องอาบัติ ๖ มีวาจาที่ตนประกอบเป็นปัจจัย. อย่างไร? อย่างนี้ คือ เพราะอาชีวะเป็นเหตุ เพราะอาชีวะเป็นการณ์ ภิกษุมีความปรารถนาลามก อันความปรารถนาลามกครอบงำแล้ว อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มี ไม่จริง ต้องปาราชิก, เพราะอาชีวะเป็นเหตุ
เพราะอาชีวะเป็นการณ์ ภิกษุถึงความชักสื่อ ต้องสังฆาทิเสส, เพราะอาชีวะเป็นเหตุ เพราะอาชีวะเป็นการณ์ (อวดโดยปริยายว่า) ภิกษุใดอยู่ในวิหารของท่าน ฯลฯ ต้องถุลลัจจัย, เพราะอาชีวะเป็นเหตุ เพราะอาชีวะเป็นการณ์ ภิกษุออกปากขอโภชนะประณีต เพื่อประโยชน์แก่ตนฉัน ต้องปาจิตตีย์, เพราะอาชีวะ
เป็นเหตุ เพราะอาชีวะเป็นการณ์ ภิกษุณีออกปากขอโภชนะประณีต เพื่อประโยชน์แก่ตนฉัน ต้องปาฏิเทสนียะ,
เพราะอาชีวะเป็นเหตุ เพราะอาชีวะเป็นการณ์ ภิกษุไม่อาพาธ ออกปากขอแกงหรือข้าวสุก
เพื่อประโยชน์แก่ตนฉัน ต้องทุกกฏ. 
   สองบทว่า ขาทนฺตสฺส ติสฺโส มีความว่า ภิกษุต้องถุลลัจจัย เพราะเนื้อมนุษย์, ต้องทุกกฏ
เพราะอกัปปิยมังสะที่เหลือ, เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุณี เพราะกระเทียม. 
   สองบทว่า ปญฺจ โภชนปจฺจยา มีความว่า ภิกษุณีผู้กำหนัดรับโภชนะจากมือของบุคคลคือบุรุษผู้กำหนัด
เติมเคล้าให้ระคนกันกลืนเข้าไป, อนึ่ง ถือเอาเนื้อมนุษย์ กระเทียม โภชนะประณีตที่ตนออกปากขอ
เพื่อประโยชน์แก่ตน และอกัปปิยมังสะที่เหลือ เติมเคล้าให้ระคนกันกลืนเข้าไป, ย่อมต้องอาบัติ ๕
มีโภชนะเป็นปัจจัย เหล่านี้ คือ สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ.
                            [ฐานะ ๕ แห่งยาวตติยกาบัติเป็นต้น]
   สองบทว่า ปญฺจ ฐานานิ มีความว่า ยาวตติยกาบัติทั้งปวง ย่อมถึงฐานะ ๕ อย่างนี้ คือ สำหรับภิกษุณี
ผู้ประพฤติตามภิกษุอันสงฆ์ยกวัตร ไม่ยอมสละ ด้วยวาจาประกาศเพียงครั้งที่ ๓ เพราะญัตติ ต้องทุกกฏ,
เพราะกรรมวาจา ๒ ต้องถุลลัจจัย, ในที่สุดแห่งกรรมวาจา ต้องปาราชิก, [สำหรับภิกษุ] เพราะบากบั่น
เพื่อทำลายสงฆ์เป็นต้น เป็นสังฆาทิเสส และเพราะไม่ยอมสละทิฏฐิลามกเป็นปาจิตตีย์.
   สองบทว่า ปญฺจนฺนญฺเจว อาปตฺติ มีความว่า ขึ้นชื่อว่าอาบัติย่อมมีแก่สหธรรมิกทั้ง ๕. ในสหธรรมิกทั้ง ๕
นั้น โดยนิปปริยาย อาบัติย่อมมีแก่ภิกษุและภิกษุณี ๒ พวกเท่านั้น. แต่สำหรับนางสิกขมานาสามเณร
และสามเณรี อาบัติย่อมมีโดยปริยายนี้ว่า ความเป็นของไม่ควร ย่อมไม่ควร. สหธรรมิก ๓ นั้น ภิกษุไม่พึง
ให้แสดงอาบัติ, แต่พึงลงทัณฑกรรมแก่พวกเธอ.
   สองบทว่า ปญฺจนฺนํ อธิกรเณน จ มีความว่า ก็แลอธิกรณ์ย่อมมีแก่สหธรรมิกทั้ง ๕ เหมือนกัน.
   จริงอยู่ วินิจฉัยโวหาร เพื่อประโยชน์แก่บริขารมีบาตรและจีวรเป็นต้น ของสหธรรมิกทั้ง ๕ นั่นแล
เรียกว่าอธิกรณ์ ส่วนวินิจฉัยโวหาร ของคฤหัสถ์ ย่อมจัดเป็นอัฏฏกรรม (คือการว่าคดี).
   หลายบทว่า ปญฺจนฺนํ วินิจฺฉโย โหติ มีความว่า ขึ้นชื่อว่าวินิจฉัยของสหธรรมิกทั้ง ๕ เหล่านั่นเอง ก็มีอยู่.
   สองบทว่า ปญฺจนฺนํ วูปสเมน จ มีความว่า อธิกรณ์ของสหธรรมิกทั้ง ๕ เหล่านั่นแล ที่ได้วินิจฉัยแล้ว
ชื่อว่าเป็นอันระงับไป.
   สองบทว่า ปญฺจนฺนญฺเจว อนาปตฺติ มีความว่า ขึ้นชื่อว่าอนาบัติ ย่อมมีแก่สหธรรมิกทั้ง ๕ เหล่านั่นแล.
   หลายบทว่า ตีหิ ฐาเนหิ โสภติ มีความว่า ภิกษุย่อมงามโดยเหตุ ๓ มีสงฆ์เป็นต้น.
   จริงอยู่ บุคคลผู้กระทำความละเมิดแล้วกระทำคืนอาบัติที่ยังทำคืนได้ ในท่ามกลางสงฆ์ หรือในท่ามกลาง
คณะหรือในสำนักบุคคล ย่อมเป็นผู้มีศีลใหม่เอี่ยม กลับตั้งอยู่ตามเดิม. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ย่อมงามโดยสถาน ๓.
                            [อาบัติทางกายในราตรีเป็นต้น]
   หลายบทว่า เทฺว กายิกา รตฺตึ มีความว่า ภิกษุณี ต้องอาบัติทางกายทวารเป็นแดนเกิด ๒ อย่าง
ในราตรี คือ เมื่อสำเร็จการยืนนั่งและนอน ในหัตถบาสของบุรุษ ในเวลามืดๆ ค่ำๆ ต้องปาจิตตีย์;
เมื่อสำเร็จการยืนเป็นอาทิ ละหัตถบาส ต้องทุกกฏ.
   หลายบทว่า เทฺว กายิกา ทิวา มีความว่า ภิกษุณี ต้องอาบัติ ๒ กอง ในโอกาสที่กำบัง ในเวลากลางวัน
โดยอุบายนั้นแล.
   หลายบทว่า นิชฺฌนฺตสฺส เอกา อาปตฺติ มีความว่า อาบัติกองเดียวนี้ ย่อมมีแก่ภิกษุผู้เพ่งดู [โดยบาลี]
ว่า ภิกษุทั้งหลาย ก็แลอันภิกษุผู้กำหนัดแล้ว ไม่พึงเพ่งดูองค์กำเนิดแห่งมาตุคาม ภิกษุใดพึงเพ่งดู ภิกษุนั้นต้องทุกกฏ.
   สองบทว่า เอกา ปิณฺฑปาตปจฺจยา ได้แก่ อาบัติทุกกฏที่ตรัสในบาลีนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ก็แลอันภิกษุไม่พึง
แลดูหน้า ของทายิกาผู้ถวายภิกษา. จริงอยู่ โดยที่สุด แลดูหน้าแม้ของสามเณรผู้ถวายข้าวต้มหรือกับข้าว
ก็เป็นทุกกฏเหมือนกัน.
   แต่ในกุรุนทีกล่าวว่า คำว่า อาบัติกองเดียว เพราะบิณฑบาตเป็นปัจจัย
   ได้แก่ เป็นปาจิตตีย์ แก่ภิกษุฉันบิณฑบาตซึ่งภิกษุณีแนะนำให้ถวาย.
                           [ภิกษุที่สงฆ์ยกวัตรเป็นต้น]
   สองบทว่า อฏฺฐานิสํเส สมฺปสฺสํ ได้แก่ อานิสงส์ที่ตรัสไว้ในโกสัมพิกขันธกะ.
   หลายบทว่า อุกฺขิตฺตกา ตโย วุตฺตา ได้แก่ (ภิกษุที่สงฆ์ยกวัตร ๓ พวก เพราะเหตุ ๓ ประการ คือ)
เพราะไม่เห็นอาบัติ ๑ เพราะไม่ทำคืน ๑ เพราะไม่ยอมสละทิฏฐิลามก ๑.
   สองบทว่า เตจตฺตาฬีส สมฺมาวตฺตนา ได้แก่ ความประพฤติชอบ ในวัตรทั้งหลาย มีประมาณเท่านั้น
ของภิกษุที่ถูกสงฆ์ยกวัตรเหล่านั้นนั่นแล.
   สองบทว่า ปญฺจฏฺฐาเน มุสาวาโท มีความว่า มุสาวาท ย่อมถึงฐานะ ๕ กล่าวคือ ปาราชิก สังฆาทิเสส
ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์และทุกกฏ.
   หลายบทว่า จุทฺทส ปรมนฺติ วุจฺจติ ได้แก่ สิกขาบทที่กล่าวแล้วในหนหลัง โดยนัยมี ๑๐ วันอย่างยิ่ง เป็นอาทิ.
   สองบทว่า ทฺวาทส ปาฏิเทสนียา ได้แก่ ปาฏิเทสนียะของภิกษุ ๔ ของภิกษุณี ๘.
   สองบทว่า จตุนฺนํ เทสนาย จ มีความว่า การแสดงโทษล่วงเกินของบุคคล ๔ จำพวก.
   ถามว่า ก็การแสดงโทษล่วงเกิน ๔ อย่างนั้น คือข้อไหนบ้าง? คือ ชื่อว่า การแสดงโทษล่วงเกินของบุคคล
๔ จำพวกนี้ คือการแสดงโทษล่วงเกินของนายขมังธนูผู้มุ่งไปฆ่า ซึ่งพระเทวทัตต์จัดส่งไป การแสดงโทษล่วงเกิน
   แห่งอุปัฏฐายิกาของพระอนุรุทธเถระ การแสดงโทษล่วงเกินของวัฑฒลิจฉวี การแสดงโทษล่วงเกินของ
ภิกษุทั้งหลาย ผู้กระทำอุกเขปนียกรรมแก่พระวาสภคามิยัตเถระแล้วกลับมา.
                            [มุสาวาทมีองค์ ๘ เป็นต้น]
   สองบทว่า อฏฐงฺคิโก มุสาวาโท มีความว่า มุสาวาทที่ประกอบด้วยองค์ ๘ ตั้งต้นแต่องค์ที่ว่า ก่อนแต่พูด ผู้นั้น
   มีความคิดว่า เราจักพูดปด ดังนี้ มีองค์ว่า ยันความจำ เป็นที่สุดจัดว่ามุสาวาท ประกอบด้วยองค์ ๘.
   แม้องค์อุโบสถ ๘ ก็ได้กล่าวแล้ว โดยนัยมีคำว่า ไม่พึงฆ่าสัตว์ เป็นอาทิ.
   สองบทว่า อฏฺฐ ทูเตยฺยงฺคานิ ได้แก่ (องค์เกื้อกูลแก่ความเป็นทูต ๘ ประการ) อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสไว้ในสังฆเภทกขันธกะ โดยนัยมีคำว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้ฟังเอง
และให้ผู้อื่นฟังเป็นอาทิ.
                            ติตถิยวัตร ๘ ได้กล่าวแล้วในมหาขันธกะ.
   คำว่า อุปสัมปทา มีวาจา ๘ ท่านกล่าวหมายถึงอุปสมบทของภิกษุณีทั้งหลาย.
   สองบทว่า อฏฺฐนฺนํ ปจฺจุฏฺฐาตพฺพํ มีความว่า ภิกษุณีทั้งหลายนอกนี้ พึงลุกขึ้นให้อาสนะแก่ภิกษุณี ๘ รูป ในหอฉัน.
   สองบทว่า ภิกฺขุโนวาทโก อฏฺฐหิ มีความว่า ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ อันสงฆ์พึงสมมติให้เป็นผู้สอนภิกษุณี.
  วินิจฉัยในคาถาว่า เอกสฺส เฉชฺชํ พึงทราบดังนี้ :- 
   ในชน ๙ ภิกษุใด ให้จับสลากทำลายสงฆ์ ความขาด ย่อมมีแก่ภิกษุนั้นแล คือ ย่อมต้องปาราชิกเหมือนอย่าง
พระเทวทัตต์. เป็นถุลลัจจัย แก่บุคคล ๔ คน ผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ เหมือนภิกษุทั้งหลายมี
พระโกกาลิกะเป็นต้น. ไม่เป็นอาบัติแก่บุคคล ๔ คน ผู้เป็นธรรมวาที. ก็อาบัติและอนาบัติเหล่านี้
ของคนทั้งปวง มีวัตถุอันเดียวกัน คือ มีสังฆเภทเป็นวัตถุเท่านั้น.
                            [กรรมเนื่องด้วยญัตติเป็นต้น]
  วินิจฉัยในคาถาว่า นว อาฆาตวตฺถูนิ พึงทราบดังนี้ :-
   บทว่า นวหิ มีความว่า สงฆ์ย่อมแตกกัน เพราะภิกษุ ๙ รูป.
   หลายบทว่า ญตฺติยา การณา นว มีความว่า กรรมที่สงฆ์พึงทำด้วยญัตติ มี ๙ อย่าง.
  คำที่เหลือ ตื้นทั้งนั้น.
   หลายบทว่า ทส ปุคฺคลา นาภิวาเทตพฺพา ได้แก่ ชน (ที่ไม่ควรไหว้) ๑๐ จำพวก ที่ตรัสไว้ ในเสนาสนขันธกะ.
   สองบทว่า อญฺชลิสามิเจน จ มีความว่า อัญชลีกรรมพร้อมทั้งสามีจิกรรม อันภิกษุไม่พึงทำแก่ชน
๑๐ จำพวกนั้น. อธิบายว่า วัตรในขันธกะมีถามถึงน้ำดื่มและฉวยพัดใบตาลเป็นต้น อันภิกษุไม่พึงแสดงแก่ชน
๑๐ จำพวกนั้น อัญชลีก็ไม่พึงประคอง.
   สองบทว่า ทสนฺนํ ทุกกฏํ มีความว่า เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้ทำอย่างนั้น แก่คน ๑๐ จำพวกนั้นแล.
   สองบทว่า ทส จีวรธารณา มีความว่า อนุญาตให้ทรงอติเรกจีวรไว้ ๑๐ วัน.
   หลายบทว่า ปญฺจนฺนํ วสฺสํ วุตฺถานํ ทาตพฺพํ อิธ จีวรํ ได้แก่ พึงให้ต่อหน้าสหธรรมิกทั้ง ๕ ทีเดียว.
   สองบทว่า สตฺตนฺนํ สนฺเต มีความว่า เมื่อมีผู้รับแทนที่สมควร พึงให้ลับหลังก็ได้ แก่ชน ๗ จำพวกนี้
คือ ภิกษุผู้หลีกไปต่างทิศ ภิกษุบ้า ภิกษุผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ภิกษุผู้ถูกเวทนาครอบงำ และภิกษุสงฆ์ยกวัตร ๓ พวก.
   สองบทว่า โสฬสนฺนํ น ทาตพฺพํ มีความว่า ไม่ควรให้แก่ชนที่เหลือ ๑๖ จำพวกมีบัณเฑาะก์เป็นต้น
ที่ตรัสไว้ ในจีวรขันธกะ. 
   หลายบทว่า กติสตํ รตฺติสตํ อาปตฺตึ ฉาทยิตฺวาน มีความว่า ภิกษุปิดอาบัติกี่ร้อย ไว้ร้อยราตรี. 
   หลายบทว่า ทสสตํ รตฺติสตํ อาปตฺตึ ฉาทยิตฺวาน มีความว่า ภิกษุปิดอาบัติ ๑ พัน ไว้ร้อยราตรี. 
               ก็ความสังเขปในคำนี้ ดังต่อไปนี้ :- 
   ภิกษุใด ต้องอาบัติสังฆาทิเสสวันละร้อย ปิดไว้ร้อยละ ๑๐ วัน. อาบัติ ๑ พัน ย่อมเป็นอันภิกษุนั้น
ปิดไว้ร้อยราตรี. ภิกษุนั้น พึงขอปริวาสว่า อาบัติเหล่านั้นทั้งหมดเทียว ข้าพเจ้าปิดไว้ ๑๐ วัน แล้วเป็น
ปาริวาสิกะ อยู่ปริวาส ๑๐ ราตรี พึงพ้นได้.
                            [ว่าด้วยกรรมโทษเป็นอาทิ]
   หลายบทว่า ทฺวาทส กมฺมโทสา วุตฺตา มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกรรมโทษ ๑๒ นับกรรมละ ๓ๆ
ในกรรม ๑ๆ อย่างนี้คือ อปโลกนกรรม เป็นวรรคโดยอธรรม พร้อมเพรียงโดยอธรรม เป็นวรรคโดยธรรม;
แม้ญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม ญัตติจตุตถกรรม ก็เหมือนกัน. 
   สองบทว่า จตสฺโส กมฺมสมฺปตฺติโย มีความว่า กรรมสมบัติที่ตรัสไว้ ๔ ประการ อย่างนี้ คือ อปโลกนกรรม
พร้อมเพรียงโดยธรรม แม้กรรมที่เหลือ ก็เหมือนกัน. 
   สองบทว่า ฉ กมฺมานิ มีความว่า กรรม ๖ อย่าง ที่ตรัสไว้อย่างนี้ คือ กรรมไม่เป็นธรรม กรรมเป็นวรรค
กรรมพร้อมเพรียง กรรมเป็นวรรค โดยอาการเทียมธรรม กรรมพร้อมเพรียงโดยอาการเทียมธรรม
กรรมพร้อมเพรียง โดยธรรม. 
   หลายบทว่า เอเกตฺถ ธมฺมิกา กตา มีความว่า ในกรรม ๖ อย่างนี้ กรรมพร้อมเพรียงโดยธรรม
อย่างเดียวเท่านั้น ตรัสเป็นกรรมที่ชอบธรรม. 
   แม้ในคำตอบในคาถาที่ ๒ กรรมพร้อมเพรียงกันโดยธรรมนั่นแล ก็เป็นกรรมชอบธรรม (เหมือนกัน).
                            [ว่าด้วยอาบัติระงับและไม่ระงับ]
   สองบทว่า ยํ เทสิตํ มีความว่า กองอาบัติเหล่าใด อันพระอนันตชินเจ้าทรงแสดงแล้วตรัสแล้ว คือประกาศแล้ว. 
   วินิจฉัยในคำว่า อนนฺตชิเนน เป็นต้น พึงทราบดังนี้ :- 
   นิพพานเรียกว่า อนันตะ เพราะเว้นจากความเป็นธรรมมีที่สุดรอบที่บัณฑิตจะกำหนดได้.
   นิพพานนั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปราบปรามกองกิเลส ชำนะแล้ว ชำนะเด็ดขาดแล้ว คือบรรลุแล้ว
ถึงพร้อมแล้ว เปรียบเหมือนราชสมบัติอันพระราชาทรงปราบปรามหมู่ข้าศึกได้แล้วฉะนั้น.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า บัณฑิตจึงขนานพระนามว่า อนันตชินะ. 
   พระอนันตชินะนั้นแล ชื่อว่าผู้คงที่ เพราะเป็นผู้ไม่มีวิการ ในเพราะอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์.
พระองค์ทรงเห็นวิเวก ๔ กล่าวคือตทังควิเวก วิกขัมภนวิเวก สมุจเฉทวิเวก ปฏิปัสสัทธิวิเวก และนิสสรณวิเวก
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าผู้เห็นวิเวก. กองอาบัติเหล่าใด อันพระอนันตชินะ ผู้คงที่ผู้เห็นวิเวกนั้นทรงแสดงแล้ว. 
   ในคำว่า เอเกตฺถ สมฺมติ วินา สมเถหิ นี้ มีบทสัมพันธ์ดังนี้ :- 
   กองอาบัติ ๗ เหล่าใด อันพระศาสดาทรงแสดงแล้ว ในกองอาบัติ ๗ นั้น อาบัติแม้กองหนึ่ง เว้นจาก
สมถะทั้งหลายเสีย หาระงับไม่. โดยที่แท้ ธรรมเหล่านี้แม้ทั้งหมด คือ สมถะ ๖ อธิกรณ์ ๔ ย่อมระงับ
คือย่อมถึงความประกอบโดยชอบ ด้วยสัมมุขาวินัย. แต่ในธรรมเหล่านี้ สัมมุขาวินัยอย่างเดียวแล เว้นสมถะ
ทั้งหลายเสียย่อมระงับ คือ ย่อมถึงความเป็นสมถะได้. จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่าความเว้นจากสมถะอื่นเสีย สำเร็จไม่ได้
แห่งสัมมุขาวินัยนั้น หามีไม่ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ในอาบัติ ๗ กองนี้ อาบัติกองหนึ่ง เว้นสมถะเสียก็
ระงับได้. เนื้อความนี้ ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลายโดยอธิบายนี้ก่อน. แต่ข้าพเจ้าถือเอาเนื้อความ
เพียงปฏิเสธแห่งนิบาต คือวินา ชอบใจเนื้อความนี้ที่ว่า
      ข้อว่า เอเกตฺถ สมฺมติ วินา สมเถหิ
      มีความว่า ในอาบัติ ๗ กองนั่น กองอาบัติปาราชิกกองเดียว เว้นสมถะเสีย ก็ระงับได้
      คือ ย่อมระงับด้วยสมถะทั้งหลายหามิได้. จริงอยู่ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสคำนี้ว่า อาบัติใด
ไม่มีส่วนเหลือ อาบัตินั้น ย่อมระงับด้วยอธิกรณ์ไหน หามิได้ ย่อมระงับในสถานไหน หามิได้
ย่อมระงับด้วยสมถะไหน หามิได้.
                            [ผู้ทำลายสงฆ์ไปสู่อบาย]
   บทว่า ฉอูนทิยฑฺฒสตา มีความว่า พึงทราบบุคคลผู้ทำลายสงฆ์ ต้องไปสู่อบาย ๑๔๔ พวก ด้วยอำนาจ
หมวดแปด ๑๘ หมวดเนื่องด้วยเภทกรวัตถุ ๑๘ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในสังฆเภทขันธกะอย่างนี้ว่า อุบาลี
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีความเห็นในประเภทแห่งอธัมมทิฏฐินั้น ว่า ไม่เป็นธรรม มีความเห็นในประเภทแห่ง
อธัมมทิฏฐินั้น ว่า เป็นธรรม มีความสงสัยในประเภทแห่งอธัมมทิฏฐินั้น มีความเห็นในประเภทแห่งธัมมทิฏฐิ
นั้นว่า เป็นอธรรม มีความสงสัยในประเภทแห่งธัมมทิฏฐินั้น มีความเห็นในประเภทแห่งผู้มีความสงสัยนั้น
ว่า เป็นอธรรม มีความเห็นในประเภท แห่งผู้มีความสงสัยนั้น ว่า เป็นธรรม มีความสงสัยในประเภทแห่ง
ผู้มีความสงสัยนั้น ย่อมแสดงอธรรม ว่าเป็นธรรม. 
   สองบทว่า อฏฺฐารส นาปายิกา ได้แก่ ชน ๑๘ พวก ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ในที่สุดแห่งสังฆเภทขันธกะ
นับหมวดละพวกอย่างนี้ว่า อุบาลี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีความเห็นในประเภทแห่งธัมมทิฏฐินั้น ว่า เป็นธรรม
ไม่ยืนยันความเห็น ไม่อิงความพอใจ ไม่อิงความชอบใจ ย่อมแสดงธรรม ว่า เป็นธรรม ย่อมสวดประกาศ
ให้จับสลาก ด้วยคำว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นสัตถุศาสนา ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้ จงชอบใจสลากนี้
อุบาลี ภิกษุแม้นี้แลเป็นผู้ทำลายสงฆ์ แต่หาไปสู่อบายไม่ หาไปสู่นรกไม่ หาตั้งอยู่ตลอดกัลป์ไม่ มิใช่ผู้เยียวยาไม่ได้. 
               หมวดแปด ๑๘ หมวด ได้กล่าวเสร็จแล้วในคำวิสัชนาด้วยบุคคลผู้ทำลายสงฆ์ ๑๔๔ พวก. 
               วิสัชนาคาถาทั้งปวง มีว่า กติ กมฺมานิ เป็นต้น ตื้นทั้งนั้นฉะนี้แล.
               อปรทุติยคาถาสังคณิกวัณณนา จบ.

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร [สมุฏฐาน] ภิกษุไม่มีความจงใจต้องอาบัติเป็นต้น [ทุติยคาถาสังคณิกะ] อาบัติทางกายเป็นต้น

ภิกษุไม่มีความจงใจต้องอาบัติเป็นต้น
   ทำบุญ 
       [๑๒๓๐] มีอยู่ อาบัติ ภิกษุไม่มีความจงใจต้อง มีความจงใจออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีความจงใจต้อง ไม่มีความจงใจออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุไม่มีความจงใจต้อง ไม่มีความจงใจออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีความจงใจต้อง มีความจงใจออก.
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นกุศลต้อง มีจิตเป็นกุศลออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นกุศลต้อง มีจิตเป็นอกุศลออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นกุศลต้อง มีจิตเป็นอัพยากฤตออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอกุศลต้อง มีจิตเป็นกุศลออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอกุศลต้อง มีจิตเป็นอกุศลออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอกุศลต้อง มีจิตเป็นอัพยากฤตออก.
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอัพยากฤตต้อง มีจิตเป็นกุศลออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอัพยากฤตต้อง มีจิตเป็นอกุศลออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอัพยากฤตต้อง มีจิตเป็นอัพยากฤตออก.
ปาราชิก ๔
       [๑๒๓๑] ถามว่า ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ตอบว่า ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
ถ. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ต. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต ๑.
ถ. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๓ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ต. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๓ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต ๑.
ถ. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๔ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
ต. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๔ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต ๑.   ปาราชิก ๔ สิกขาบท จบ.
สังฆาทิเสส ๑๓
   [๑๒๓๒] ถามว่า สังฆาทิเสสของภิกษุผู้พยายามปล่อยอสุจิ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ตอบว่า สังฆาทิเสสของภิกษุผู้พยายามปล่อยอสุจิ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
   ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับมาตุคาม เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับมาตุคาม เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
   ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้พูดเคาะมาตุคาม ด้วยวาจาชั่วหยาบ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้พูดเคาะมาตุคาม ด้วยวาจาชั่วหยาบ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กายวาจา และจิต ๑.
   ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุ ผู้กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกามในสำนักมาตุคาม เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ต. สังฆาทิเสสของภิกษุ ผู้กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกามในสำนักมาตุคาม เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.
   ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ถึงความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ถึงความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.
   ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ให้ทำกุฎี ด้วยอาการขอเอาเอง เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ให้ทำกุฎี ด้วยอาการขอเอาเอง เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.
   ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ให้ทำกุฎีใหญ่ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ให้ทำกุฎีใหญ่ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิดแต่กายมิใช่วาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.
   ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิกอันหามูลมิได้ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิกอันหามูลมิได้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.
   ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ถือเอาเอกเทศบางอย่าง แห่งอธิกรณ์อันเป็นเรื่องอื่น ให้เป็นเพียงเลศ ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรม อันมีโทษถึงปาราชิก เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ถือเอาเอกเทศบางอย่าง แห่งอธิกรณ์อันเป็นเรื่องอื่น ให้เป็นเพียงเลศ ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรม อันมีโทษถึงปาราชิก เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต ๑.
   ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ไม่สละกรรม เมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ไม่สละกรรมเมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจา และจิต.
   ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลาย ไม่สละกรรมเมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลาย ไม่สละกรรมเมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือเกิดแต่กาย วาจา และจิต.
   ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ว่ายาก ไม่สละกรรมเมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ว่ายาก ไม่สละกรรมเมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจาและจิต.
   ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล ไม่สละกรรมเมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล ไม่สละกรรมเมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจา และจิต.   สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท จบ
เสขิยวัตร
   [๑๒๓๓] ... ถามว่า ทุกกฏของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะหรือบ้วนเขฬะ ลงในน้ำ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ตอบว่า ทุกกฏของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย กับจิต มิใช่วาจา.  เสขิยวัตร จบ
ปาราชิก ๔
[๑๒๓๔] ถามว่า ปาราชิก ๔ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ตอบว่า ปาราชิก ๔ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.
สังฆาทิเสส ๑๓
[๑๒๓๕] ถามว่า สังฆาทิเสส ๑๓ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ตอบว่า สังฆาทิเสส ๑๓ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจามิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจา กับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต ๑.
อนิยต ๒
[๑๒๓๖] ถามว่า อนิยต ๒ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ตอบว่า อนิยต ๒ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย ๑ วาจา และจิต ๑.
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐
[๑๒๓๗] ถามว่า นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ตอบว่า นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจามิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต ๑.
ปาจิตตีย์ ๙๒
[๑๒๓๘] ถามว่า ปาจิตตีย์ ๙๒ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ตอบว่า ปาจิตตีย์ ๙๒ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต ๑.
ปาฏิเทสนียะ ๔
[๑๒๓๙] ถามว่า ปาฏิเทสนียะ ๔ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ตอบว่า ปาฏิเทสนียะ ๔ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๔ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจามิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา  และจิต ๑.
เสขิยะ ๗๕
[๑๒๔๐] ถามว่า เสขิยะ ๗๕ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร?
   ตอบว่า เสขิยะ ๗๕ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.  สมุฏฐานจบ
หัวข้อประจำเรื่อง
       [๑๒๔๑] ไม่มีความจงใจ ๑ มีจิตเป็นกุศล ๑ สมุฏฐานทุกสิกขาบท ๑ ขอท่านทั้งหลายจงรู้สมุฏฐาน โดยรู้ตามธรรมเทอญ.
 อรรถกถา ปริวาร [สมุฏฐาน]ภิกษุไม่มีความจงใจต้องอาบัติเป็นต้น
สมุฏฐานวัณณนา วินิจฉัยในคำว่า อจิตฺตโก อาปชฺชติ เป็นอาทิ พึงทราบดังนี้ :-
   ภิกษุผู้ไม่แกล้ง แต่ต้องโทษตามพระบัญญัติ มีสหไสยเป็นต้น ชื่อว่าไม่มีความจงใจต้อง, เมื่อแสดงเสีย ชื่อว่ามีความจงใจออก. 
   ภิกษุผู้แกล้งต้องโทษอย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่ามีความจงใจต้อง, เมื่อออกด้วยติณวัตถารกวินัย ชื่อว่าไม่มีความจงใจออก. 
   เมื่อออกอาบัติที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล ด้วยติณวัตถารกวินัย ชื่อว่าไม่มีความจงใจต้อง ไม่มีความจงใจออก. 
   เมื่อแสดงอาบัตินอกนี้ ชื่อว่ามีความจงใจต้อง มีความจงใจออก. 
   เมื่อคิดว่า เราจะทำธรรมทาน กระทำธรรมเป็นต้นโดยบท ชื่อว่ามีจิตเป็นกุศลต้อง. 
   เมื่อมีจิตเบิกบานว่า เราทำตามคำพร่ำสอนของพระพุทธเจ้า แสดง (อาบัติ) ชื่อว่ามีจิตเป็นกุศลออก. 
   เมื่อเป็นผู้ถึงความเสียใจแสดง ชื่อว่ามีจิตเป็นอกุศลออก. 
   เมื่อหลับเสีย ออกด้วยติณวัตถารกวินัย ชื่อว่ามีจิตเป็นอัพยากฤตออก. 
   เมื่อทำความละเมิดมีหลอนให้กลัวเป็นต้น แล้วถึงความดีใจว่า เราทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แสดง (อาบัติ) ชื่อว่ามีจิตเป็นอกุศลต้อง มีจิตเป็นกุศลออก. 
ถึงความเสียใจเทียวแสดง ชื่อว่ามีจิตเป็นอกุศลออก. 
   เมื่อออกด้วยติณวัตถารกวินัย ตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล ชื่อว่ามีจิต เป็นอัพยากฤตออก. 
   เมื่อต้องอาบัติเพราะนอนร่วมเรือน ในสมัยที่หยั่งลงสู่ความหลับ ชื่อว่ามีจิตเป็นอัพยากฤตต้อง. 
   ส่วนคำว่า มีจิตเป็นกุศลออก เป็นอาทิ พึงทราบในอาบัติที่ต้องเพราะนอนร่วมเรือนนี้ ตามนัยที่กล่าวนั่นแล. 
   คำว่า ปฐมํ ปาราชิกํ กตีหิ สมุฏฺฐาเนหิ เป็นอาทิ นับว่าตื้นทั้งนั้น เพราะมีนัยดังกล่าวแล้วในหลัง. 
   สมุฏฐานใดๆ ได้แก่อาบัติใดๆ, สมุฏฐานและอาบัตินั้นๆ ทั้งมวล เป็นอันได้กล่าวเสร็จแล้ว โดยกำหนดอย่างสูง ในคำว่า ปาราชิก ๔ ย่อมเกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ เป็นอาทิ.
สมุฏฐานวัณณนา จบ.
ทุติยคาถาสังคณิกะ อาบัติทางกายเป็นต้น
   [๑๒๔๒] ถามว่า อาบัติทางกายจัดไว้เท่าไร? ทางวาจาจัดไว้เท่าไร? เมื่อปกปิดต้องอาบัติเท่าไร? อาบัติมีการเคล้าคลึงเป็นปัจจัยมีเท่าไร?
   ตอบว่า อาบัติทางกายจัดไว้ ๖ ทางวาจาจัดไว้ ๖ เมื่อปกปิดต้องอาบัติ ๓ อาบัติมีการเคล้าคลึงเป็นปัจจัยมี ๕.
ต้องอาบัติเมื่ออรุณขึ้นเป็นต้น
   [๑๒๔๓] ถามว่า อาบัติเพราะอรุณขึ้นมีเท่าไร? อาบัติชื่อยาวตติยกา มีเท่าไร? อาบัติชื่ออัตถวัตถุกาในศาสนานี้มีเท่าไร? สงเคราะห์สิกขาบทและปาติโมก ขุทเทสทั้งมวลด้วยอุเทสเท่าไร?
   ตอบว่า อาบัติเพราะอรุณขึ้น มี ๓ อาบัติชื่อยาวตติยกามี ๒ อาบัติชื่ออัตถวัตถุกาในศาสนานี้มี ๑ สงเคราะห์สิกขาบทและปาติโมกขุทเทสทั้งมวล ด้วยนิทานุเทสอย่างเดียว.
มูลแห่งวินัยเป็นต้น
   [๑๒๔๔] ถามว่า มูลแห่งวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้มีเท่าไร? อาบัติหนักในฝ่ายวินัยตรัสไว้เท่าไร? อาบัติเพราะปิดอาบัติชั่วหยาบมีเท่าไร?
   ตอบว่า มูลแห่งวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้มี ๒ อาบัติหนักในฝ่ายวินัยตรัสไว้ ๒ อาบัติเพราะปิดอาบัติชั่วหยาบมี ๒
ต้องอาบัติในละแวกบ้านเป็นต้น
   [๑๒๔๕] ถามว่า อาบัติในละแวกบ้านมีเท่าไร? อาบัติมีฝั่งนทีเป็นปัจจัยมีเท่าไร? เป็นอาบัติถุลลัจจัย เพราะเนื้อกี่ชนิด? เป็นอาบัติทุกกฏ เพราะเนื้อกี่ชนิด?
   ตอบว่า อาบัติในละแวกบ้านมี ๔ อาบัติมีฝั่งนทีเป็นปัจจัยมี ๔ เป็นอาบัติถุลลัจจัย เพราะเนื้อชนิดเดียว เป็นอาบัติทุกกฏ เพราะเนื้อ ๙ ชนิด.
ต้องอาบัติทางวาจาในราตรีเป็นต้น
   [๑๒๔๖] ถามว่า อาบัติทางวาจาในกลางคืนมีเท่าไร? อาบัติทางวาจาในกลางวันมีเท่าไร? เมื่อให้ ต้องอาบัติเท่าไร? เมื่อรับ ต้องอาบัติเท่าไร?
   ตอบว่า อาบัติทางวาจาในกลางคืนมี ๒ อาบัติทางวาจาในกลางวันมี ๒ เมื่อให้ ต้องอาบัติ ๓ เพราะรับ ต้องอาบัติ ๔.
ต้องอาบัติเป็นเทสนาคามินีเป็นต้น
   [๑๒๔๗] ถามว่า อาบัติเป็นเทสนาคามินี มีเท่าไร? อาบัติที่ทำคืนได้ จัดไว้เท่าไร? อาบัติที่ทำคืนไม่ได้ในศาสนานี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร?
   ตอบว่า  อาบัติเป็นเทสนาคามินีมี ๕ อาบัติที่ทำคืนได้จัดไว้ ๖ อาบัติที่ทำคืนไม่ได้ในศาสนานี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้อย่างเดียว.
ต้องอาบัติหนักในฝ่ายวินัยเป็นต้น
   [๑๒๔๘] ถามว่า อาบัติหนักในฝ่ายวินัยเป็นไปทางกายและวาจา ตรัสไว้เท่าไร? ธัญญรสในเวลาวิกาลมีเท่าไร? สมมติด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจามีเท่าไร?
   ตอบว่า อาบัติหนักในฝ่ายวินัยเป็นไปทางกายและวาจาตรัสไว้ ๒ ธัญญรสในเวลาวิกาลมีอย่างเดียว สมมติด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจามีอย่างเดียว.
อาบัติปาราชิกทางกายเป็นต้น
   [๑๒๔๙] ถามว่า อาบัติปาราชิกทางกายมีเท่าไร? ภูมิของภิกษุผู้มีสังวาสเท่าไร? รัตติเฉทของภิกษุกี่พวก? และพระบัญญัติเรื่องสองนิ้วมีเท่าไร?
   ตอบว่า อาบัติปาราชิกทางกายมี ๒ ภูมิของภิกษุผู้มีสังวาสมี ๒ รัตติเฉทของภิกษุ ๒ พวก และพระบัญญัติเรื่องสองนิ้วมี ๒.
ต้องอาบัติเพราะทำร้ายตัวเองเป็นต้น
   [๑๒๕๐] ถามว่า เพราะทำร้ายตัวเอง ต้องอาบัติเท่าไร? สงฆ์แตกกัน ด้วยอาการเท่าไร? อาบัติชื่อปฐมาปัตติกาในศาสนานี้ มีเท่าไร? ทำญัตติมีเท่าไร?
   ตอบว่า เพราะทำร้ายตนเอง ต้องอาบัติ ๒ สงฆ์แตกกันด้วยอาการ ๒ อาบัติชื่อปฐมาปัตติกาในศาสนี้มี ๒ ทำญัตติมี ๒.
ต้องอาบัติเพราะปาณาติบาตเป็นต้น
   [๑๒๕๑] ถามว่า อาบัติเพราะปาณาติบาต มีเท่าไร? อาบัติปาราชิกเนื่องด้วยวาจามีเท่าไร? อาบัติเกี่ยวด้วยพูดเคาะ ตรัสไว้เท่าไร? อาบัติเกี่ยวด้วยเที่ยวชักสื่อ ตรัสไว้เท่าไร?
   ตอบว่า อาบัติเพราะปาณาติบาตมี ๓ อาบัติปาราชิกเนื่องด้วยวาจามี ๓ อาบัติเกี่ยวด้วยพูดเคาะ ตรัสไว้ ๓ และเกี่ยวด้วยเที่ยวชักสื่อ ตรัสไว้ ๓
บุคคลไม่ควรให้อุปสมบทเป็นต้น
   [๑๒๕๒] ถามว่า บุคคลที่ไม่ควรให้อุปสมบท มีเท่าไร? กรรมสงเคราะห์มีเท่าไร? บุคคลที่ถูกนาสนะตรัสไว้เท่าไร? อนุสาวนาเดียวกันสำหรับบุคคล มีจำนวนเท่าไร?
   ตอบว่า บุคคลที่ไม่ควรให้อุปสมบทมี ๓ พวก, กรรมสงเคราะห์มี ๓ อย่าง, บุคคลที่ถูกนาสนะตรัสไว้ ๓ พวก, อนุสาวนาเดียวกัน สำหรับบุคคลมีจำนวน ๓ คน.
                        ต้องอาบัติเพราะอทินนาทานเป็นต้น   
             [๑๒๕๓] ถามว่า อาบัติเพราะอทินนาทาน มีเท่าไร? อาบัติเพราะเมถุนเป็นปัจจัยมีเท่าไร?
เมื่อตัดเป็นอาบัติเท่าไร? เพราะการทิ้งเป็นปัจจัย เป็นอาบัติเท่าไร?
             ตอบว่า อาบัติเพราะอทินนาทานมี ๓ อาบัติเพราะเมถุนเป็นปัจจัยมี ๔ เมื่อตัดเป็น
อาบัติ ๓ ตัว อาบัติเพราะการทิ้งเป็นปัจจัยมี ๕.
                         ปรับอาบัติควบกันเป็นต้น
             [๑๒๕๔] ถามว่า ในภิกขุโนวาทกวรรค อาบัติทุกกฏ กับปาจิตตีย์ หมวดที่ตรัสไว้เป็น ๙
ในสิกขาบทที่ ๑ นั้น เป็นเท่าไร? ภิกษุณีเท่าไร เป็นอาบัติแก่ภิกษุเพราะจีวร?
             ตอบว่า ในภิกขุโนวาทกวรรค อาบัติทุกกฏ กับปาจิตตีย์ที่ตรัสไว้หมวด ๙ ในสิกขา-
บทที่ ๑ นั้น มี ๔ ภิกษุณี ๒ พวก เป็นอาบัติแก่ภิกษุเพราะจีวร.
                         ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะเป็นต้น
             [๑๒๕๕] ถามว่า อาบัติปาฏิเทสนียะสำหรับภิกษุณีที่ตรัสไว้เท่าไร? เพราะขอข้าวเปลือกดิบ
มาฉัน ปรับอาบัติทุกกฏกับปาจิตตีย์ หรือ?
             ตอบว่า อาบัติปาฏิเทสนียะ ที่ตรัสแก่ภิกษุณี ปรับอาบัติไว้ ๘ เพราะขอข้าวเปลือก
ดิบมาฉัน ปรับอาบัติทุกกฏกับปาจิตตีย์.
                         ต้องอาบัติเพราะเดินเป็นต้น
             [๑๒๕๖] ถามว่า ผู้เดินต้องอาบัติเท่าไร? ผู้ยืนต้องอาบัติเท่าไร? ผู้นั่งต้องอาบัติเท่าไร?
และผู้นอนต้องอาบัติเท่าไร?
             ตอบว่า ผู้เดินต้องอาบัติ ๔ ผู้ยืนต้องอาบัติเท่ากัน ผู้นั่งต้องอาบัติ ๔ และผู้นอน
ต้องอาบัติเท่ากัน.
                         ต้องอาบัติในเขตเดียวกัน
             [๑๒๕๗] ถามว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมด มีเท่าไร ที่ต่างวัตถุกันภิกษุพึงต้องในขณะเดียวกัน
ไม่ก่อน ไม่หลัง?
             ตอบว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดมี ๕ ที่ต่างวัตถุกัน ภิกษุพึงต้องในขณะเดียวกัน
ไม่ก่อน ไม่หลัง.
             [๑๒๕๘] ถามว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมด มีเท่าไร ที่ต่างวัตถุกันภิกษุพึงต้องในขณะเดียวกัน
ไม่ก่อน ไม่หลัง?
             ตอบว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดมี ๙ ที่ต่างวัตถุกัน ภิกษุพึงต้องในขณะเดียวกัน
ไม่ก่อน ไม่หลัง.
                         วิธีแสดงอาบัติ
             [๑๒๕๙] ถามว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมด มีเท่าไร? ที่ต่างวัตถุกันอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่า
แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสแล้ว ภิกษุพึงแสดงด้วยวาจาเท่าไร?
             ตอบว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดมี ๕ ที่ต่างวัตถุกัน อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระ
ราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสแล้ว ภิกษุพึงแสดงด้วยวาจาอย่างเดียว.
             [๑๒๖๐] ถามว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดมีเท่าไร? ที่ต่างวัตถุกันอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่ง
พระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสแล้ว ภิกษุพึงแสดงด้วยวาจาเท่าไร?
             ตอบว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดมี ๙ ที่ต่างวัตถุกัน อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่ง
พระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสแล้ว ภิกษุพึงแสดงด้วยวาจาอย่างเดียว.
             [๑๒๖๑] ถามว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดมีเท่าไร? ที่ต่างวัตถุกันอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่ง
พระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสแล้ว ภิกษุพึงแสดงระบุอะไร?
             ตอบว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดมี ๕ ที่ต่างวัตถุกัน อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่ง
พระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสแล้ว ภิกษุพึงแสดงระบุวัตถุ.
             [๑๒๖๒] ถามว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดมีเท่าไร? ที่ต่างวัตถุกันอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่ง
พระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสแล้ว ภิกษุพึงแสดงระบุอะไร?
             ตอบว่า อาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดมี ๙ ที่ต่างวัตถุกัน อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่ง
พระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสแล้ว ภิกษุพึงแสดงระบุวัตถุ.
                         ยาวตติยกาเป็นต้น
             [๑๒๖๓] ถามว่า เพราะสวดประกาศครบ ๓ จบ เป็นอาบัติเท่าไร? เพราะการกล่าวเป็น
ปัจจัย เป็นอาบัติเท่าไร? ภิกษุเคี้ยว ต้องอาบัติเท่าไร? เพราะฉันเป็นปัจจัย เป็น
อาบัติเท่าไร?
             ตอบว่า เพราะสวดประกาศครบ ๓ จบ เป็นอาบัติ ๓ เพราะการกล่าวเป็นปัจจัย
เป็นอาบัติ ๖ ภิกษุเคี้ยวต้องอาบัติ ๓ ตัว, เพราะฉันเป็นปัจจัย เป็นอาบัติ ๕.
                         ฐานะแห่งยาวตติยกาเป็นต้น
             [๑๒๖๔] ถามว่า ยาวตติยกาบัติทั้งมวล ย่อมถึงฐานะเท่าไร? อาบัติมีแก่คนกี่พวก?
และอธิกรณ์ มีแก่คนกี่พวก?
             ตอบว่า ยาวตติยกาบัติทั้งมวลย่อมถึงฐานะ ๕ อาบัติมีแก่สหธรรมิก ๕ และ
อธิกรณ์ มีแก่สหธรรมิก ๕.
                         วินิจฉัยเป็นต้น
             [๑๒๖๕] ถามว่า วินิจฉัยมีแก่บุคคลกี่พวก? การระงับ มีแก่บุคคลกี่พวก? บุคคลกี่พวก
ไม่ต้องอาบัติ? และภิกษุย่อมงามด้วยฐานะเท่าไร?
             ตอบว่า วินิจฉัยมีแก่สหธรรมิก ๕ พวก การระงับมีแก่สหธรรมิก ๕ พวก สหธรรมิก ๕
พวก ไม่ต้องอาบัติและภิกษุย่อมงามด้วยเหตุ ๓ สถาน
                         อาบัติทางกายในราตรีเป็นต้น
             [๑๒๖๖] ถามว่า อาบัติทางกายในราตรีมีเท่าไร? ทางกายในกลางวันมีเท่าไร? ภิกษุแพ่งดูต้อง
อาบัติเท่าไร? เพราะบิณฑบาตเป็นปัจจัยเป็นอาบัติเท่าไร?
             ตอบว่า อาบัติทางกายในราตรีมี ๒ ทางกายในกลางวันมี ๒ ภิกษุเพ่งดูต้อง
อาบัติตัวเดียว เพราะบิณฑบาตเป็นปัจจัยเป็นอาบัติตัวเดียว.
                         ภิกษุที่สงฆ์ยกวัตรเป็นต้น
             [๑๒๖๗] ถามว่า ภิกษุเห็นอานิสงส์เท่าไร จึงแสดง เพราะเชื่อผู้อื่น? ภิกษุผู้ถูกยกวัตรตรัส
ไว้มีเท่าไร? ความประพฤติชอบมีเท่าไร?
             ตอบว่า ภิกษุเห็นอานิสงส์ ๘ อย่าง จึงแสดงเพราะเชื่อผู้อื่น ภิกษุผู้ถูกยกวัตร
ตรัสไว้ มี ๓ พวก ความประพฤติชอบมี ๔๓ ข้อ
                         มุสาวาทเป็นต้น
             [๑๒๖๘] ถามว่า มุสาวาทถึงฐานะเท่าไร? ที่ตรัสว่าอย่างยิ่งมีเท่าไร? ปาฏิเทสนียะมีกี่สิกขาบท?
การแสดงโทษของบุคคลกี่จำพวก?
             ตอบว่า มุสาวาทถึงฐานะ ๕ ที่ตรัสว่าอย่างยิ่ง มี ๑๔ สิขาบท ปาฏิเทสนียะมี ๑๒
สิกขาบท การแสดงโทษของบุคคล ๕ จำพวก
                         องค์ของมุสาวาทเป็นต้น
             [๑๒๖๙] ถามว่า มุสาวาทมีองค์เท่าไร? องค์อุโบสถมีเท่าไร? องค์ของผู้ควรเป็นทูตมีเท่าไร?
ติตถิยวัตร มีเท่าไร?
             ตอบว่า มุสาวาทมีองค์ ๘ องค์อุโบสถมี ๘ องค์ของผู้ควรเป็นทูตมี ๘ ติตถิยวัตรมี ๘
                         อุปสัมปทาเป็นต้น
             [๑๒๗๐] ถามว่า อุปสัมปทามีวาจาเท่าไร? ภิกษุณีพึงลุกรับภิกษุณีกี่พวก? พึงให้อาสนะ
แก่ภิกษุณีกี่พวก? ภิกษุผู้สั่งสอนภิกษุณีต้องประกอบด้วยคุณสมบัติเท่าไร?
             ตอบว่า อุปสัมปทามีวาจา ๘ ภิกษุณีพึงลุกรับ ภิกษุณี ๘ พวกพึงให้อาสนะแก่
ภิกษุณี ๘ พวก ภิกษุผู้สั่งสอนภิกษุณีต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ๘
                         ความขาดเป็นต้น
             [๑๒๗๑] ถามว่า ความขาดมีแก่คนเท่าไร? อาบัติถุลลัจจัยมีแก่คนเท่าไร? บุคคลเท่าไร
ไม่ต้องอาบัติ? อาบัติและอนาบัติของคนทั้งหมดมีวัตถุอย่างเดียวกัน หรือ?
             ตอบว่า ความขาดมีแก่คนผู้เดียว อาบัติถุลลัจจัยมีแก่คน ๔ พวก บุคคล ๔ พวก
ไม่ต้องอาบัติอาบัติและอนาบัติของคนทั้งหมดมีวัตถุอย่างเดียวกัน
                         กรรมเนื่องด้วยญัตติเป็นต้น
             [๑๒๗๒] ถามว่า อาฆาตวัตถุมีเท่าไร? สงฆ์แตกกัน ด้วยเหตุเท่าไร? อาบัติชื่อปฐมาปัตติกา
ในศาสนานี้มีเท่าไร? ทำด้วยญัตติมีเท่าไร?
             ตอบว่า อาฆาตวัตถุมี ๙ สงฆ์แตกกันด้วยเหตุ ๙ อย่าง อาบัติชื่อปฐมาปัตติกา
ในศาสนานี้มี ๙ อย่าง ทำด้วยญัตติมี ๙.
                         บุคคลไม่ควรกราบไหว้เป็นต้น
             [๑๒๗๓] ถามว่า บุคคลเท่าไร อันภิกษุไม่พึงกราบไหว้ และไม่พึงทำอัญชลีกรรมและสามี
จิกรรม? เพราะทำแก่บุคคลเท่าไร ต้องอาบัติทุกกฏ? ทรงจีวรมีกำหนดเท่าไร?
             ตอบว่า บุคคล ๑๐ พวก อันภิกษุไม่พึงกราบไหว้ ไม่พึงทำอัญชลีกรรม และสามี
จิกรรม เพราะทำแก่บุคคล ๑๐ พวก ต้องอาบัติทุกกฏทรงจีวรมีกำหนด ๑๐ วัน
                         ให้จีวรเป็นต้น
             [๑๒๗๔] ถามว่า จีวรควรให้แก่บุคคลในศาสนานี้ ผู้จำพรรษาแล้วกี่พวก? เมื่อมีผู้รับแทนควรให้
แก่บุคคลกี่พวก? และไม่ควรให้แก่บุคคลกี่พวก?
             ตอบว่า จีวรควรให้แก่สหธรรมิก ๕ ในศาสนานี้ ผู้จำพรรษาแล้วเมื่อมีผู้รับแทน
ควรให้แก่บุคคล ๗ พวก ไม่ควรให้แก่บุคคล ๑๖ พวก
ภิกษุอยู่ปริวาส
             [๑๒๗๕] ถามว่า ชั่ว ๑๐๐ ราตรี ภิกษุอยู่ปริวาสปิดอาบัติไว้กี่ร้อย? ต้องอยู่ปริวาสกี่ราตรี
จึงจะพ้น?
             ตอบว่า ชั่ว ๑๐๐ ราตรี ภิกษุอยู่ปริวาสปิดอาบัติไว้ ๑๐ ร้อยราตรีต้องอยู่ปริวาส ๑๐
ราตรี จึงจะพ้น
                         โทษแห่งกรรม
             [๑๒๗๖] ถามว่า โทษแห่งกรรม อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้
เท่าไร? กรรมไม่เป็นธรรมทั้งหมดที่ตรัสไว้ในเรื่องวินัย ในพระนครจัมปามีเท่าไร?
             ตอบว่า โทษแห่งกรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้มี ๑๒
กรรมที่ตรัสไว้ในเรื่องวินัยในพระนครจัมปาล้วนไม่เป็นธรรม.
                         กรรมสมบัติ
             [๑๒๗๗] ถามว่า กรรมสมบัติอันพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้มีเท่าไร?
กรรมเป็นธรรมทั้งหมดที่ตรัสไว้ในเรื่องวินัย ในพระนครจำปามีเท่าไร?
             ตอบว่า กรรมสมบัติอันพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๔ อย่าง
กรรมที่ตรัสไว้ในเรื่องวินัย ในพระนครจัมปาล้วนเป็นธรรม
                         กรรม ๖ อย่าง
             [๑๒๗๘] ถามว่า กรรมอันพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร?
กรรมที่ตรัสไว้ในเรื่องวินัยในพระนครจัมปา ที่เป็นธรรมมีเท่าไร? ที่ไม่เป็นธรรมมีเท่าไร?
             ตอบว่า กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๖ อย่าง บรรดา
กรรม ๖ นี้ กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ในเรื่องวินัย ในพระนคร
จัมปา ที่เป็นธรรมอย่างเดียว, ที่ไม่เป็นธรรม ๕ อย่าง.
                         กรรม ๔ อย่าง
             [๑๒๗๙] ถามว่า กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร? กรรมที่
ตรัสไว้ในเรื่องวินัยในพระนครจัมปา ที่เป็นธรรมมีเท่าไร? ที่ไม่เป็นธรรมมีเท่าไร?
             ตอบว่า กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๔ อย่าง, บรรดา
กรรม ๔ นี้ กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ในเรื่องวินัย ในพระนคร
จัมปา ที่เป็นธรรมมีอย่างเดียว ที่ไม่เป็นธรรมมี ๓ อย่าง
อาบัติระงับและไม่ระงับ
             [๑๒๘๐] ถามว่า กองอาบัติใด อันพระอนันตชินเจ้าผู้คงที่ ผู้ทรงเห็นวิเวกทรงแสดงแล้ว
ในกองอาบัตินั้น กองอาบัติเท่าใด เว้นสมถะเสีย ย่อมระงับ? ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์
ข้าพเจ้าถามข้อนั้น ขอท่านจงบอก
             ตอบว่า กองอาบัติใดอันพระอนันตชินเจ้าผู้คงที่ ผู้ทรงเห็นวิเวกทรงแสดงแล้ว
ในกองอาบัตินั้น กองอาบัติกองเดียว เว้นสมถะเสียย่อมระงับ ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์
ข้าพเจ้าบอกข้อนั้น แก่ท่าน
                         ภิกษุทำลายสงฆ์ไปสู่อบาย
             [๑๒๘๑] ถามว่า ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ไปสู่อบาย อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์
ตรัสไว้เท่าไร? ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย
             ตอบว่า ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ไปสู่อบาย ตกนรกชั่วกัลป์อันพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเผ่าแห่ง
พระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๑๔๔ ขอท่านจงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย.
                         ภิกษุทำลายสงฆ์ไม่ไปสู่อบาย
             [๑๒๘๒] ถามว่า ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ไม่ไปสู่อบาย อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์
ตรัสไว้เท่าไร? ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย
             ตอบว่า ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ไม่ไปอบาย อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์
ตรัสไว้ ๑๘ ขอท่านจงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย.
                         หมวด ๘
             [๑๒๘๓] ถามว่า หมวด ๘ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร?
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย
             ตอบว่า หมวด ๘ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๑๘ หมวด
ขอท่านจงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะวินัย.
                         กรรม ๑๖ อย่าง
             [๑๒๘๔] ถามว่า กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร? ข้าพเจ้า
ทั้งหลาย ขอฟังนิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย
             ตอบว่า กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๑๖ ขอท่านจง
ฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย.
                         โทษแห่งกรรม ๑๒
             [๑๒๘๕] ถามว่า โทษแห่งกรรม อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร?
ข้าพเจ้าทั้งหลายขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย.
             ตอบว่า โทษแห่งกรรม อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๑๒
อย่าง ขอท่านจงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย.
                         กรรมสมบัติ ๔
             [๑๒๘๖] ถามว่า กรรมสมบัติ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร?
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย.
             ตอบว่า กรรมสมบัติ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๔ อย่าง
ขอท่านจงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะวินัย.
                         กรรม ๖
             [๑๒๘๗] ถามว่า กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร? ข้าพเจ้า
ทั้งหลายขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย
             ตอบว่า กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๖ อย่าง ขอท่าน
จงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย.
                         กรรม ๔
             [๑๒๘๘] ถามว่า กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร? ข้าพเจ้า
ทั้งหลายขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย,
             ตอบว่า กรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๔ อย่าง ขอท่าน
จงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย
                         ปาราชิก ๘
             [๑๒๘๙] ถามว่า ปาราชิก อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร?
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย.
             ตอบว่า ปาราชิก อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๘ ขอท่าน
จงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย.
                         สังฆาทิเสส ๒๓
             [๑๒๙๐] ถามว่า สังฆาทิเสส อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร?
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังนิสัยของท่านผู้รู้ เฉพาะพระวินัย
             ตอบว่า สังฆาทิเสส อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๒๓
ขอท่านจงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย.
                         อนิยต ๒
             [๑๒๙๑] ถามว่า อนิยต อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร?
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย
             ตอบว่า อนิยต อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๒ ขอท่าน
จงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย.
                         นิสสัคคิยะ ๔๒
             [๑๒๙๒] ถามว่า นิสสัคคิยะ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร?
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย
             ตอบว่า นิสสัคคิยะ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๔๒
ของท่านจงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย.
                         ปาจิตติยะ ๑๘๘
             [๑๒๙๓] ถามว่า ปาจิตติยะ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร?
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย
             ตอบว่า ปาจิตติยะ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๑๘๘
ขอท่านจงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย.
                         ปาฏิเทสนียะ ๑๒
             [๑๒๙๔] ถามว่า ปาฏิเทสนียะ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร?
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังวิสัยของท่านผู้รู้เฉพาะพระวินัย
             ตอบว่า ปาฏิเทสนียะ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๑๒
ขอท่านจงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะวินัย.
                         เสขิยะ  ๗๕
             [๑๒๙๕] ถามว่า เสขิยะ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้เท่าไร?
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอฟังวิสัยของผู้รู้เฉพาะพระวินัย
             ตอบว่า เสขิยะ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ตรัสไว้ ๗๕ ขอท่าน
จงฟังวิสัยของข้าพเจ้าผู้รู้เฉพาะพระวินัย.
             ปัญหาข้อใด ท่านถามแล้วด้วยดีฉันใด ปัญหาข้อนั้นข้าพเจ้าตอบแล้วด้วยดีฉันนั้น
อนึ่ง ในคำถามและคำตอบจะไม่อ้างถึงสูตรอะไรไม่มีแล.
       ทุติยคาถาสังคณิกะ จบ.