Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สังฆาทิเสส ๑๓ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สังฆาทิเสส ๑๓ แสดงบทความทั้งหมด

27 สิงหาคม 2567

อรรถกถา สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑๓ [ว่าด้วย ประทุษร้ายสกุล] เตรสกัณฑ์ พระวินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ ปฐมภาค

สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๓ กุลทูสกสิกขาบทวรรณนา    
             กุลทูสกสิกขาบทว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา เป็นต้น
             ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
             ในกุลทูสกสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ 
   [แก้อรรถเรื่องพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ] 
             คำว่า อสฺสชิปุนพฺพสุกา นาม ได้แก่ ภิกษุชื่ออัสสชิและปุนัพพสุกะ.  บทว่า กิฏาคิริสฺมึ ได้แก่ ในชนบทที่มีชื่ออย่างนั้น.              
             ในคำว่า อาวาสิกา โหนฺติ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
             อาวาสของภิกษุเหล่านี้มีอยู่ เหตุนั้น ภิกษุเหล่านี้ จึงชื่อว่า อาวาสิกะ (เจ้าอาวาส). วิหารท่านเรียกว่า อาวาส. วิหารนั้นเกี่ยวเนื่องแก่ภิกษุเหล่าใด โดยความเป็นผู้ดำเนินหน้าที่มีการก่อสร้างสิ่งใหม่ๆ และการซ่อมแซมของเก่าเป็นต้น, ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่า อาวาสิกะ (เจ้าอาวาส).
             แต่ภิกษุเหล่าใดเพียงแต่อยู่ในวิหารอย่างเดียว ภิกษุเหล่านั้น ท่านเรียกว่า เนวาสิกะ (เจ้าถิ่น). ภิกษุอัสสชิและปุนัพพสุกะนี้ได้เป็นเจ้าอาวาส.
             สอง บท ว่า อลชฺชิโน ปาปภิกฺขู ได้แก่ เป็นพวกภิกษุลามก ไม่มีความละอาย. เพราะว่า ภิกษุอัสสชิและปุนัพพสุกะเหล่านั้น เป็นภิกษุ ฉัพพัคคีย์ชั้นหัวหน้าแห่งภิกษุฉัพพัคคีย์ทั้งหลาย.
 [ประวัติพวกภิกษุฉัพพัคคีย์]
             ได้ยินว่า ชน ๖ คน๑- ในกรุงสาวัตถีเป็นสหายกัน ปรึกษากันว่า การกสิกรรมเป็นต้นเป็นการงานที่ลำบาก, เอาเถิดสหายทั้งหลาย พวกเราจะพากันบวช, และพวกเราเมื่อจะบวช ควรบวชในฐานผู้ช่วยสลัดออกเสียในเมื่อมีกิจการเกิดขึ้น๒- ดังนี้แล้ว ได้บวชในสำนักแห่งพระอัครสาวกทั้งสอง.
             พวกเธอมีพรรษาครบ ๕ พรรษา ท่องมาติกาได้คล่อง
แล้วปรึกษากันว่า ธรรมดาว่าชนบท บางคราวก็มีภิกษาสมบูรณ์ บางคราวมีภิกษาฝืดเคือง, พวกเราอย่าอยู่รวมในที่แห่งเดียวกันเลย จงแยกกันอยู่ในที่ ๓ แห่ง.
             ๑- ๖ คน คือ ปัณฑุกะ ๑ โลหิตกะ ๑ เมตติยะ ๑ ภุมมชกะ ๑ อัสสชิ ๑ ปุนัพพสุกะ ๑ บวชแล้ว เรียกว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ แปลว่า มีพวก ๖.             
              ๒- นิตฺถเรณกฏฺฐาเนติ อุปฺปนฺนกิจฺจสฺส          นิปฺผาทนฏฺฐาเนติ โยชนาปาโฐ ฯ ๑/๔๙๓.
               ลำดับนั้น พวกเธอจึงกล่าวกะภิกษุชื่อบัณฑุกะและโลหิตกะว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่ากรุงสาวัตถี มีตระกูลห้าล้านเจ็ดแสนตระกูลอยู่ครอบครอง เป็นปากทางแห่งความเจริญของแคว้นกาสีและโกศลทั้งสอง กว้างประมาณ ๓๐๐ โยชน์ ประดับด้วยหมู่บ้าน ๘ หมื่นตำบล, พวกท่านจงให้สร้างสำนักในสถานที่ใกล้ๆ กรุงสาวัตถีนั้น นั่นแล แล้วปลูกมะม่วง ขนุนและมะพร้าวเป็นต้น สงเคราะห์ตระกูลด้วยดอกและผลไม้เหล่านั้น ให้พวกเด็กหนุ่มของตระกูลบวชแล้วขยายบริษัทให้เจริญเถิด.
             กล่าวกะพวกภิกษุชื่อว่าเมตติยะและภุมมชกะว่า ท่าน
ผู้มีอายุ! ชื่อว่ากรุงราชคฤห์มีพวกมนุษย์ ๑๘ โกฏิอยู่ครอบครอง เป็นปากทางแห่งความเจริญของแคว้นอังคะและมคธทั้งสอง กว้าง ๓๐๐ โยชน์ ประดับด้วยหมู่บ้าน ๘ หมื่นตำบล, พวกท่านจงให้สร้างสำนักในที่ใกล้ๆ กรุงราชคฤห์นั้นแล้ว ปลูกมะม่วง ขนุนและมะพร้าวเป็นต้น สงเคราะห์ตระกูลด้วยดอกและผลไม้เหล่านั้น ให้พวกเด็กหนุ่มของตระกูลบวชแล้ว ขยายบริษัทให้เจริญเถิด.
             กล่าวกะพวกภิกษุชื่อว่าอัสสชิและปุนัพพสุกะว่า ท่าน
ผู้มีอายุ! ขึ้นชื่อว่ากิฏาคีรีชนบท อันเมฆ (ฝน) ๒ ฤดูอำนวยแล้ว ย่อมได้ข้าวกล้า ๓ คราว, พวกท่านจงให้สร้างสำนักในที่ใกล้ๆ กิฏาคิรีชนบทนั้นนั่นแล ปลูกมะม่วง ขนุนและมะพร้าวเป็นต้นไว้ สงเคราะห์ตระกูลด้วยดอก และผลไม้เหล่านั้น ให้พวกเด็กหนุ่มของตระกูลบวชแล้วขยายบริษัทให้เจริญเถิด.
             พวกภิกษุฉัพพัคคีย์เหล่านั้นได้กระทำอย่างนั้น บรรดาพวกภิกษุฉัพพัคคีย์เหล่านั้น แต่ละฝ่ายมีภิกษุเป็นบริวารฝ่ายละ ๕๐๐ รูป รวมเป็นจำนวนภิกษุ ๑,๕๐๐ รูปกว่าด้วยประการอย่างนี้.      บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุชื่อปัณฑุกะและโลหิตกะ พร้อมทั้งบริวารเป็นผู้มีศีลแล เที่ยวไปยังชนบทเป็นที่จาริกร่วมเสด็จกับพระผู้มีพระภาคเจ้า.
             พวกเธอไม่ก่อให้เกิดเรื่องใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีใครทำ แต่ชอบย่ำยีสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแล้ว. ส่วนพวกภิกษุฉัพพัคคีย์ นอกนี้ทั้งหมดเป็นอลัชชี ย่อมก่อให้เกิดเรื่องใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีใครทำด้วย ย่อมพากันย่ำยีสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้วด้วย. เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกะทั้งหลายจึงกล่าวว่า             อลชฺชิโน ปาปภิกฺขู ดังนี้.
               บท ว่า เอวรูปํ ได้แก่ มีกำเนิดอย่างนี้.
               สอง บท ว่า อนาจารํ อาจรนฺติ ความว่า ย่อมประพฤติล่วงมารยาทที่ไม่ควรประพฤติ คือกระทำสิ่งที่ไม่ควรกระทำ.   บท ว่า มาลาวจฺฉํ ได้แก่ ต้นไม้มีดอกตูม (กอไม้ดอก).
               จริงอยู่ ต้นไม้ดอกก็ดี กอไม้ดอกก็ดี ที่ดอกยังตูม ท่านเรียกว่ากอไม้ดอกทั้งนั้น. ก็ภิกษุเหล่านั้นปลูกเองบ้าง ให้คนอื่นปลูกบ้างซึ่งกอไม้ดอกมีชนิดต่างๆ กันมากมาย. ด้วยเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกะทั้งหลายจึงกล่าวว่า มาลาวจฺฉํ โรเปนฺติปิ โรปาเปนฺติปิ ดังนี้.
               บท ว่า สิญฺจนฺติ ได้แก่ ย่อมรดน้ำเองบ้าง.
               บท ว่า สิญฺจาเปนฺติ ได้แก่ ย่อมใช้ให้คนอื่นรดบ้าง.
               [อธิบายลักษณะ ๕ มีอกัปปิยโวหารเป็นต้น]
               ก็ในอธิการนี้ ผู้ศึกษาพึงทราบลักษณะ ๕ อย่างเหล่านี้ คือ อกัปปิยโวหาร ๑ กัปปิยโวหาร ๑ ปริยาย ๑ โอภาส ๑ นิมิตกรรม ๑. บรรดาลักษณะ ๕ เหล่านั้นที่มีชื่อว่า อกัปปิยโวหาร ได้แก่ การตัดเอง การใช้ให้ตัดจำพวกของสดเขียว, การขุดเอง การใช้ให้ขุดหลุม, การปลูกเอง การใช้ให้ปลูกกอไม้ดอก, การก่อเอง การใช้ให้ก่อคันกั้น, การรดน้ำเอง การใช้ให้รดน้ำ, การทำรางน้ำให้ตรงไป การรดน้ำที่เป็นกัปปิยะ การรดด้วยน้ำล้าง
มือล้างหน้าล้างเท้าและน้ำอาบ.
              ที่ชื่อว่า กัปปิยโวหาร ได้แก่ คำว่า จงรู้ต้นไม้นี้, จงรู้หลุมนี้, จงรู้กอไม้ดอกนี้, จงรู้น้ำในที่นี้ และการทำรางน้ำที่แห้งให้ตรง.
               ที่ชื่อว่า ปริยาย ได้แก่ คำมีอาทิว่า บัณฑิตควรให้ปลูกต้นไม้ทั้งหลายมีต้นไม้ดอกเป็นต้น จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อกาลไม่นานนัก.
               ที่ชื่อว่า โอภาส ได้แก่ การยืนถือจอบและเสียมเป็นต้น และกอไม้ดอกทั้งหลายอยู่.
               จริงอยู่ พวกสามเณรเป็นต้นเห็นพระเถระยืนอยู่อย่างนั้น รู้ว่า พระเถระประสงค์จะใช้ให้ทำ แล้วจะมาทำให้.
               ที่ชื่อว่า นิมิตกรรม ได้แก่ การนำจอบ เสียม มีด ขวาน และภาชนะน้ำมาวางไว้ในที่ไกล้ๆ.
               ลักษณะทั้ง ๕ ประการนี้ย่อมไม่ควรในการปลูก เพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์ตระกูล. เพื่อประโยชน์แก่การบริโภคผล กิจ ๒ อย่างคืออกัปปิยโวหารและกัปปิยโวหารเท่านั้น ไม่ควร.
               กิจ ๓ อย่างนอกนี้ควรอยู่. แต่ในมหาปัจจรี ท่านกล่าวว่า แม้กัปปิยโวหาร ก็ควร. และการปลูกใด ย่อมควรเพื่อประโยชน์แก่การบริโภคของตน, การปลูกนั้นก็ควรเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น แก่สงฆ์หรือแก่เจดีย์ด้วย.
               แต่การใช้ให้ปลูก เพื่อต้องการอาราม เพื่อต้องการป่า และเพื่อต้องการร่มเงา เพียงเป็นอกัปปิยโวหารอย่างเดียว ไม่สมควร. ที่เหลือ ควรอยู่. และมิใช่จะควรแต่กิจที่เหลืออย่างเดียว ก็หามิได้, แม้การทำเหมืองให้ตรงก็ดี การรดนํ้าที่เป็นกัปปิยะก็ดี การทำห้องอาบนํ้าแล้วอาบเองก็ดี และการเทนํ้าล้างมือ ล้างเท้าและล้างหน้าลงในที่ปลูกต้นไม้นั้นก็ดีอย่างใดอย่างหนึ่ง สมควรอยู่.
               แต่ในมหาปัจจรีและในกุรุนที ท่านกล่าวว่า แม้จะปลูกเอง ในกัปปิยปฐพี ก็ควร. ถึงแม้จะบริโภคผลไม้ที่ปลูกเองหรือใช้ปลูกเพื่อประโยชน์แก่อารามเป็นต้น ก็ควร. ในการเก็บเองและในเพราะการใช้ให้เก็บผลไม้ แม้ตามปกติก็เป็นปาจิตตีย์. 
               แต่ (ในการเก็บและในการใช้ให้เก็บ) เพื่อต้องการประทุษร้ายตระกูล เป็นปาจิตตีย์ด้วยเป็นทุกกฏด้วย. ในเพราะการร้อยดอกไม้ มีการร้อยตรึงเป็นต้น มีพวงดอกไม้สำหรับประดับอกเป็นที่สุด เป็นทุกกฏอย่างเดียว แก่ภิกษุผู้ทำเพื่อต้องการประทุษร้ายตระกูล หรือเพื่อประการอื่น.                   
               ถามว่า เพราะเหตุไร.
               ตอบว่า เพราะเป็นอนาจาร และเพราะเป็นปาปสมาจารดังตรัสไว้ในคำว่า ปาปสมาจาโร นี้.
               หากโจทก์ท้วงว่า เหตุไร ในการปลูกต้นไม้เพื่อประโยชน์แก่การบูชาพระรัตนตรัย จึงไม่เป็นอนาบัติ เหมือนในการปลูกต้นไม้เพื่อประโยชน์แก่อารามเป็นต้นเล่า?
               เฉลยว่า เป็นอนาบัติเหมือนกัน. เหมือนอย่างว่า ในการปลูกต้นไม้ เพื่อประโยชน์แก่อารามเป็นต้นนั้น เป็นอนาบัติ เพราะกัปปิยโวหารและอาการมีปริยายเป็นต้นฉันใด, แม้ในการปลูกต้นไม้เพื่อประโยชน์แก่การบูชาพระรัตนตรัย ก็คงเป็นอนาบัติฉันนั้น.
               โจทก์ท้วงว่า ก็ในการปลูกต้นไม้นั้น แม้ปลูกเองในกัปปิยปฐพีย่อมควรมิใช่หรือ?
               เฉลยว่า คำนั้นท่านกล่าวแล้วในมหาปัจจรีและกุรุนที แต่ในมหาอรรถกถามิได้กล่าวไว้.
               ถ้าแม้นท่านจะพึงฉงนไปว่า ถึงคำที่กล่าวแล้วในอรรถกถานอกนี้จะเป็นประมาณได้ก็จริง, แต่การรดน้ำที่เป็นกัปปิยะ ท่านได้กล่าวไว้ในมหาอรรถกถา, การรดน้ำที่เป็นกัปปิยะนั้นเป็นอย่างไร?
               แม้การรดน้ำที่เป็นกัปปิยะนั้น ก็ไม่ผิด. อันที่จริงในการปลูกและการรดนั้น เมื่อท่านกล่าวอยู่ว่า ซึ่งดอกไม้ดอก ดังนี้ ในเมื่อท่านควรจะกล่าวโดยไม่แปลกกันว่า ปลูกเองบ้าง ให้ผู้อื่นปลูกบ้าง รดเองบ้าง ให้ผู้อื่นรดบ้างซึ่งต้นไม้ ดังนี้
               ชื่อว่า ย่อมให้ทราบ อธิบายว่า คำว่า กอไม้ดอก นี้กล่าวหมายเอาต้นไม้ที่มีดอกและผล เพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์ตระกูลเท่านั้น, 
               แต่ยังมีปริยายในการปลูก เพื่อประโยชน์แก่อารามเป็นต้นอย่างอื่น เพราะเหตุนั้น คำใดที่พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายทราบความมีปริยายในการปลูกเพื่อประโยชน์แก่อารามเป็นต้นนั้น และความไม่มีปริยายในการปลูก เพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์ตระกูลนี้แล้ว กล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลาย, คำนั้นเป็นอันท่านกล่าวชอบแท้.
             จริงอยู่ คำนี้ข้าพเจ้าก็ได้กล่าวแล้วว่า พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายในปางก่อนได้รจนาอรรถกถาทั้งหลาย ไม่ได้ละมติของพระสาวกทั้งหลายผู้รู้ธรรมและวินัย เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสแล้วทีเดียว เพราะเหตุนั้นแล คำใดที่กล่าวแล้วในอรรถกถาทั้งหลาย, คำนั้นทั้งหมด เว้นคำที่เขียนด้วยคำพลั้งเผลอเสียแล้ว ย่อมเป็นประมาณของบัณฑิตทั้งหลาย ผู้มีความเคารพในสิกขาในพระศาสนา เพราะเหตุใด.
               การปลูกเป็นต้นและการร้อยเป็นต้นทุกๆ อย่าง พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้ว.
               ในวิสัยมีการร้อยเป็นต้นนั้น พึงมีคำถามว่า ถ้าเป็นอาบัติในเพราะการร้อยเป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่การบูชาพระรัตนตรัยแล้ว เหตุไร ในเพราะการนำไปเป็นต้นจึงเป็นอนาบัติเล่า?
               มีคำแก้ว่า เพราะนำไปเพื่อประโยชน์แก่กุลสตรีเป็นต้น จึงเป็นอาบัติ. 
               จริงอยู่ ในหรณาธิการ พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายได้กล่าวไว้ให้พิเศษแล้วว่า เต กุลิตฺถีนํ เป็นต้น. เพราะเหตุนั้นจึงไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้นำไปเพื่อประโยชน์แก่พระพุทธเจ้าเป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอกโต วณฺฏิกํ ได้แก่ ระเบียบดอกไม้ที่จัดทำรวมขั้วดอกไม้เข้าด้วยกัน (มาลัยต่อก้าน).
               บทว่า อุภโต วณฺฏิกํ           ได้แก่ ระเบียบดอกไม้ที่ทำแยกขั้วดอกไม้ไว้สองข้าง (มาลัยเรียงก้าน).
               ส่วนในบทว่า มญฺชริกํ เป็นต้นมีวินิจฉัยว่า บุปผวิกัติที่ทำคล้ายกำไล เรียกว่า มัญชริกา (ดอกไม้ช่อ).
               ระเบียบดอกไม้ที่ใช้เข็มหรือซี่ไม้เสียบดอกย่างทรายเป็นต้นทำ ชื่อว่า วิธูติกา (ดอกไม้พุ่ม).
               บทว่า วฏํสโก ได้แก่ เทริด (ดอกไม้กรองบนศีรษะ).
               ระเบียบดอกไม้สำหรับประดับหู ชื่อ อาเวฬา (ดอกไม้พวง). พวงดอกไม้ที่ตั้งอยู่ตรงอก คล้าย แก้วมุกดาหาร ชื่อ ทับทรวง (ดอกไม้แผงสำหรับประดับ). พรรณนาเฉพาะบทในพระบาลีนี้เท่านี้ก่อน.
               [ว่าด้วยการวินิจฉัยอาบัติในการปลูกเองเป็นต้น]
               ก็แล พึงทราบวินิจฉัยอาบัติโดยพิสดารตั้งแต่ต้น ดังต่อไปนี้ :-
               เป็นอาบัติปาจิตตีย์กับทุกกฏ แก่ภิกษุผู้ปลูกกอไม้ดอกเอง ในอกัปปิยปฐพี เพื่อประโยชน์แก่การประทุษร้ายสกุล. ภิกษุใช้ให้ปลูกด้วยอกัปปิยโวหารก็เหมือนกัน, ในการปลูกเองก็ดี ใช้ให้ปลูกก็ดี ในกัปปิยปฐพีเป็นทุกกฏอย่างเดียว.
               ในปฐพีแม้ทั้งสอง ในเพราะใช้ให้ปลูกกอไม้ดอกแม้มาก ด้วยการสั่งครั้งเดียว เป็นปาจิตตีย์กับทุกกฏ หรือเป็นทุกกฏล้วน แก่ภิกษุนั้น ครั้งเดียวเท่านั้น, ไม่เป็นอาบัติในเพราะใช้ให้ปลูกด้วยกัปปิยโวหาร ในพื้นที่ที่เป็นกัปปิยะ หรือพื้นที่ที่เป็นอกัปปิยะ เพื่อประโยชน์แก่การบริโภค.
               แม้เพื่อประโยชน์แก่อารามเป็นต้น ในอกัปปิยปฐพี ก็คงเป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ปลูกเอง หรือใช้ให้ปลูกด้วยถ้อยคำที่เป็นอกัปปิยะ. แต่นัยนี้ ท่านมิได้จำแนกไว้ให้ละเอียดในมหาอรรถกถา, จำแนกไว้แต่ในมหาปัจจรี ฉะนี้แล.
               ก็ในการรดเอง และการใช้ให้รด มีวินิจฉัยอาบัติดังนี้ :-
               เป็นปาจิตตีย์ทุกๆ แห่ง ด้วยน้ำที่เป็นอกัปปิยะ. เพื่อประโยชน์แก่การประทุษร้ายตระกูลและบริโภค เป็นทุกกฏก็มี. แต่เพื่อประโยชน์แก่การทั้งสองนั้นเท่านั้น เป็นทุกกฏ ด้วยน้ำที่เป็นกัปปิยะ, ก็ในการประทุษร้ายตระกูลและการบริโภคนี้ เพื่อต้องการบริโภคไม่เป็นอาบัติในการใช้ให้รดน้ำด้วยกัปปิยโวหาร แต่ในฐานะแห่งอาบัติ ผู้ศึกษาพึงทราบความเป็นอาบัติมาก เพราะมีประโยคมาก ด้วยอำนาจสายน้ำขาด.
               ในการเก็บเอง เพื่อประโยชน์แก่การประทุษร้ายตระกูล เป็นทุกกฏกับปาจิตตีย์ตามจำนวนดอกไม้.
              ในการบูชาพระรัตนตรัยเป็นต้นอย่างอื่น เป็นปาจิตตีย์อย่างเดียว. แต่ภิกษุผู้เก็บดอกไม้เป็นจำนวนมากด้วยประโยคอันเดียว พระวินัยธรพึงปรับด้วยอำนาจแห่งประโยค. ในการใช้ให้เก็บ เพื่อประโยชน์แก่การประทุษร้ายตระกูล คนที่ภิกษุใช้ครั้งเดียว เก็บแม้มากครั้ง ก็เป็นปาจิตตีย์กับทุกกฏแก่ภิกษุนั้นครั้งเดียวเท่านั้น. ในการเก็บเพื่อบูชาพระรัตนตรัยเป็นต้น อย่างอื่นเป็นปาจิตตีย์อย่างเดียว.
               [อรรถาธิบายบุปผวิกัติ ๖ ชนิด]
               ในการร้อยดอกไม้ทั้งหลายมีการร้อยตรึงเป็นต้น ผู้ศึกษาพึงทราบบุปผวิกัติทั้งหมด ๖ ชนิด คือ คณฺฐิมํ ร้อยตรึง ๑ โคปฺปิมํ ร้อยควบหรือร้อยคุม ๑ เวธิมํ ร้อยแทงหรือร้อยเสียบ ๑ เวฐิมํ ร้อยพันหรือร้อยผูก ๑ ปูริมํ ร้อยวง ๑ วายิมํ ร้อยกรอง ๑.
               บรรดาบุปผวิกัติ ๖ ชนิดนั้น ที่ชื่อว่า คัณฐิมะ พึงเห็นในดอกอุบลและดอกปทุมเป็นต้นที่มีก้าน หรือในดอกไม้ทั้งหลายอื่นที่มีขั้วยาว. จริงอยู่ ดอกไม้ที่ร้อยตรึงก้านกับก้าน หรือขั้วกับขั้วนั่นเอง ชื่อ  คัณฐิมะ. แม้คัณฐิมะนั้น ภิกษุหรือภิกษุณีจะทำเองก็ดี ใช้ให้ทำด้วยถ้อยคำเป็นอกัปปิยะก็ดี ย่อมไม่ควร.
               แต่จะใช้ให้ทำด้วยกัปปิยวาจาเป็นต้นว่า จงรู้อย่างนี้, ทำได้อย่างนี้แล้วจะพึงงาม, จงทำดอกไม้ทั้งหลาย เหล่านี้ไม่ให้กระจัดกระจาย ดังนี้ ควรอยู่.
      การเอาด้ายหรือปอเป็นต้นร้อยคุมดอกไม้มีดอกมะลิเป็นต้น ด้วยอำนาจระเบียบดอกไม้มีขั้วข้างเดียวและมีขั้วสองข้าง (ด้วยอำนาจมาลัยต่อก้านและมาลัยเรียงก้าน) ชื่อว่า โคปปิมะ. คนทั้งหลายทบปอหรือเชือกเป็นสองเส้น และร้อยดอกไม้ไม่มีขั้วเป็นต้นในปอหรือเชือกนั้น แล้วขึงไว้ตามลำดับ, แม้ดอกไม้นี้ก็ ชื่อว่า โคปปิมะ เหมือนกัน. โคปปิมะทั้งหมด ไม่ควรโดยนัยก่อนเหมือนกัน.
               ที่ชื่อว่า เวธิมะ คือ ดอกไม้ที่คนทั้งหลายเสียบดอกไม้ที่มีขั้วมีดอกมะลิเป็นต้นที่ขั้ว หรือเสียบดอกไม้ที่ไม่มีขั้วมีดอกพิกุลเป็นต้น ภายในช่องดอก ด้วยเสี้ยนตาลเป็นต้นแล้วร้อยไว้นี้ ชื่อว่า เวธิมะ. แม้ดอกไม้นั้นก็ไม่สมควร โดยนัยก่อนเหมือนกัน.
               ก็คนบางคนเอาหนาม หรือเสี้ยนตาลเป็นต้นปักที่ต้นกล้วยแล้วเสียบดอกไม้ไว้ที่หนามเป็นต้นนั้น.
               บางพวกเสียบดอกไม้ไว้ที่กิ่งไม้มีหนาม.
               บางพวกเสียบดอกไม้ไว้ที่หนาม ซึ่งปักไว้ที่ฉัตรและฝา เพื่อกระทำฉัตรดอกไม้และเรือนยอดดอกไม้.
               บางพวกเสียบดอกไม้ไว้ที่หนามซึ่งผูกไว้ที่เพดานธรรมาสน์.
               บางพวกเสียบดอกไม้มีดอกกรรณิการ์เป็นต้นด้วยซี่ไม้ และกระทำให้เหมือนฉัตรซ้อนฉัตร.
               ดอกไม้ที่ทำอย่างนั้นโอฬารยิ่งนักแล.
               ก็การที่จะผูกหนามไว้ที่เพดานธรรมาสน์ เพื่อเสียบดอกไม้ก็ดี จะเสียบดอกไม้ดอกเดียวด้วยหนามเป็นต้นก็ดี จะเอาดอกไม้เสียบเข้าในดอกไม้ด้วยกันก็ดี ไม่ควร.
               ก็การจะแซมดอกไม้ทั้งหลายไว้ในช่องแห่งเพดานตาข่าย ชุกชี ฟันนาค (กระจัง) ที่วางดอกไม้และช่อใบตาลเป็นต้น หรือว่า ในระหว่างช่อดอกอโศก ไม่มีโทษ. เพราะดอกไม้อย่างนั้นไม่จัดเป็นเวธิมะ. แม้ในเชือกธรรมดา (เชือกสำหรับเสียบดอกไม้) ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน.
     ดอกไม้ที่มีชื่อว่า เวฐิมะ พึงเห็นในพวงดอกไม้และกำดอกไม้. อธิบายว่า คนบางพวก เมื่อจะทำพวงดอกไม้แขวนยอด (ธรรมาสน์เป็นต้น) จึงร้อยดอกไม้ทั้งหลาย๑- เพื่อแสดงอาการเป็นพุ่มอยู่ภายใต้ บางพวกมัดดอกอุบลเป็นต้นที่ก้านอย่างละ ๘ ดอกบ้าง อย่างละ ๑๐ ดอกบ้างด้วยด้ายหรือด้วยปอ กระทำให้เป็นกำดอกอุบล หรือเป็นกำดอกบัวหลวง. การทำดอกไม้อย่างนั้นไม่ควรทั้งสิ้น โดยนัยก่อนเหมือนกัน.แม้การที่จะเอาผ้ากาสาวะพันดอกอุบลเป็นต้นที่พวกสามเณรถอนขึ้นวางไว้บนบกให้เป็นห่อก็ไม่ควร.
               แต่จะเอาปอหรือก้านของดอกอุบลเป็นต้นนั้นนั่นแหละ มัดเข้าด้วยกัน หรือกระทำให้เป็นห่อสะพาย ควรอยู่. ๑- สารตฺถทีปนี ๓/๑๑๖ มตฺถกทามนฺติ ธมฺมาสนาทิมตฺถเก ลมฺพกทามํ.
               ที่ชื่อว่า ห่อสะพายนั้น คือพวกภิกษุรวบเอาชายทั้งสองข้างของผ้ากาสาวะที่พาดไว้บนคอเข้ามาแล้ว ทำให้เป็นถุง (โป่งผ้า) ใส่ดอกไม้ลงในถุงนั้น ดุจถุงกระสอบ นี้ ท่านเรียกว่า ห่อสะพาย. การกระทำดอกไม้เช่นนั้น ควรอยู่. คนทั้งหลายเอาก้านแทงใบบัว แล้วเอาใบห่อดอกอุบลเป็นต้น ถือไป. แม้ในวิสัยที่เอาใบอุบลเป็นต้น ห่อถือไปนั้น จะผูกใบปทุมเบื้องบนดอกไม้ทั้งหลายเท่านั้น ควรอยู่. แต่ก้านปทุม ไม่ควรผูกไว้ภายใต้ดอก (แต่การผูกก้านปทุมไว้ภายใต้ดอก ไม่ควร).
               ที่ชื่อว่า ปูริมะ พึงเห็นในพวงมาลัย และดอกไม้แผ่น. อธิบายว่า ผู้ใดเอาพวงมาลัยวงรอบเจดีย์ก็ดี ต้นโพธิ์ก็ดี ชุกชีก็ดี นำวกกลับมาให้เลยที่เดิม (ฐานเดิม) ไป, แม้ด้วยการวงรอบ เพียงเท่านั้น ดอกไม้ของผู้นั้นชื่อว่า ปูริมะ. ก็จะกล่าวอะไรสำหรับผู้ที่วงรอบมากครั้ง.
               เมื่อสอดเข้าไปทางระหว่างฟันนาค๒- (บันไดแก้ว). ปล่อยให้ย้อยลงมา แล้วตลบพันรอบฟันนาค (บันไดแก้ว) อีก แม้ดอกไม้นี้ก็ชื่อว่า ปูริมะ. แต่จะสอดวลัยดอกไม้เข้าไปในฟันนาค (บันไดแก้ว) สมควรอยู่. ๒- นาคทนฺตกํ แปลว่า ฟันนาค, ฟันมังกร, บันไดแก้ว, และกระจังก็ได้.
               คนทั้งหลายย่อมทำแผงดอกไม้ (ดอกไม้แผ่น) ด้วยพวงมาลัย. แม้ในวิสัยดอกไม้แผงนั้น จะขึงพวงมาลัยไปเพียงครั้งเดียว ควรอยู่. เมื่อนำย้อนกลับมาอีก จัดเป็นการร้อยวงทีเดียว. ดอกไม้ชนิดนั้นไม่ควรทุกอย่าง โดยนัยก่อนเหมือนกัน. ก็การได้พวงดอกไม้ที่เขาทำด้วยพวงมาลัยแม้เป็นอันมากแล้ว ผูกไว้เบื้องบนแห่งอาสนะเป็นต้น ควรอยู่.
               ก็การเอาพวงมาลัยที่ยาวมากขึงไป หรือวงรอบไปครั้งหนึ่งแล้ว (เมื่อถึงเงื่อนเดิม) อีก ให้แก่ภิกษุอื่นเสีย สมควรอยู่. แม้ยังภิกษุนั้นก็ควรทำอย่างนั้นเหมือนกัน.
               ที่ชื่อว่า วายิมะ พึงเห็นในดอกไม้ตาข่าย ดอกไม้แผ่น และดอกไม้รูปภาพ. เมื่อภิกษุกระทำตาข่ายดอกไม้ แม้บนพระเจดีย์เป็นทุกกฏทุกๆ ช่องตาข่ายแต่ละตา. ในฝาผนัง ฉัตร ต้นโพธิ์และเสาเป็นต้นก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. ก็การที่ภิกษุจะร้อยกรองแผงดอกไม้แม้ที่คนอื่นทำให้เต็มแล้ว ก็ไม่ได้.
               คนทั้งหลายย่อมกระทำรูปช้างและรูปม้าเป็นต้น ด้วยดอกไม้ที่ร้อยคุมทั้งหลายนั่นแล. แม้รูปช้างและรูปม้าเป็นต้นเหล่านั้น ก็ตั้งอยู่ในฐานแห่ง วายิมะ ดอกไม้นั้นย่อมไม่ควรทั้งสิ้น โดยนัยก่อนเหมือนกัน.
               แต่เมื่อจะวางดอกไม้ (ตามปกติไม่ได้ร้อย) ในตอนที่คนเหล่าอื่นทำไว้แล้ว กระทำแม้ให้เป็นรูปช้างและรูปม้าเป็นต้น ควรอยู่. แต่ในมหาปัจจรี ท่านกล่าวบุปผวิกัติไว้ ๘ ชนิด รวมกับพวงพู่ห้อยและพวงดังพระจันทร์เสี้ยว.
               บรรดาพวงพู่ห้อยและพวงดังพระจันทร์เสี้ยวนั้น พวงห้อยที่เป็นพู่ในระหว่างพวงพระจันทร์เสี้ยว ท่านเรียกชื่อว่า กลัมพกะ (พวงพู่ห้อย). การวงรอบพวงมาลัยกลับไปกลับมา (อันเขาทำ) โดยอาการดังพระจันทร์เสี้ยว ท่านเรียกชื่อว่า อัฑฒจันทกะ (พวงพระจันทร์เสี้ยว). แม้ดอกไม้ทั้งสองชนิดนั้นก็จัดเข้าในปูริมะ(ร้อยวง) เหมือนกัน.
           ส่วนในกุรุนที ท่านกล่าวว่า แม้การจัดพวงมาลัยสองสามพวงเข้าด้วยกัน แล้วทำให้เป็นพวงดอกไม้ก็ชื่อว่า วายิมะ เหมือนกัน. แม้การทำพวงดอกไม้นั้นในมหาอรรถกถานี้ ก็จัดเข้าในฐานแห่งปูริมะ เหมือนกัน.  และมิใช่แต่พวงดอกไม้อย่างเดียวเท่านั้น, พวงดอกไม้ทำด้วยแป้งก็ดี พวงดอกไม้ทำคล้ายลูกคลีก็ดี พวงดอกไม้ที่ทำคล้ายฟันสุนัข๓- (ที่ทำด้วยไม้ไผ่ก็ว่า) ซึ่งท่านกล่าวไว้ในกุรุนทีก็ดี พวกภิกษุก็ดี พวกภิกษุณีก็ดี จะทำเอง ก็ไม่ควร จะใช้ให้ทำก็ไม่ควร เพราะสิกขาบทเป็นสาธารณบัญญัติ. แต่จะกล่าวถ้อยคำที่เป็นกัปปิยะ มีการบูชาเป็นเครื่องหมาย สมควรทุกๆ แห่ง. ปริยายโอภาสและนิมิตกรรม สมควรทั้งนั้นแล.
               ๓- อตฺถโยชนา ๑/๕๐๑ ขรปตฺตทามนฺติ สุนขทนฺตสทิสํ กตปุปฺผทามํ, ๓- เวฬาทีหิ กตปุปฺผทามนฺติปิ เกจิ แปลว่า พวงดอกไม้ที่ทำคล้ายฟันสุนัข๓- ชื่อขรปัตตาทามะ, อาจารย์บางพวกกล่าวว่า พวงดอกไม้ทำด้วยไม้ไผ่ ๓- เป็นต้น ก็มี.
               [ว่าด้วยความประพฤติอนาจารต่างๆ]
               บทว่า ตุวฏฺเฏนฺติ แปลว่า ย่อมนอน.
               บทว่า ลาเสนฺติ มีความว่า พวกภิกษุอัสสชิและปุนัพพสุกะนั้นลุกขึ้นดุจลอยตัวอยู่เพราะปีติ แล้วให้นางระบำผู้ชำนาญเต้นรำ ร่ายระบำ รำฟ้อน คือให้จังหวะ (ร่ายรำ).๑-
               ๑- สารัตถทีปนี ๓/๑๑๘ แก้ไว้ว่า แสดงนัยยิ่งๆ มีอธิบายว่า ประกาศความ ๑- ประสงค์ของตนแล้วลุกขึ้นแสดงอาการฟ้อนรำก่อน ด้วยกล่าวว่า ควร ๑- ฟ้อนรำอย่างนี้ แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า สอดนิ้วมือเข้าปาก ทำเสียง ๑- หมุนตัวดุจจักร ชื่อว่า ให้ เรวกะ. - ผู้ชำระ.
               สอง บท ว่า นจฺจนฺติยาปิ นจฺจนฺติ มีความว่า ในเวลาที่หญิงฟ้อนร่ายรำอยู่ แม้ภิกษุพวกอัสสชิและปุนัพพสุกะนั้น ก็ร่ายรำไปข้างหน้าหรือข้างหลังแห่งหญิงฟ้อนนั้น.
               สอง บท ว่า นจฺจนฺติยาปิ คายนฺติ มีความว่า ในขณะที่หญิงฟ้อนนั้นฟ้อนอยู่ พวกภิกษุเหล่านั้น ย่อมขับร้องคลอไปตามการฟ้อนรำ. ในทุกๆ บท ก็มีนัยอย่างนี้. 
               สอง บท ว่า อฏฺฐปเทปิ กีฬนฺติ มีความว่า ย่อมเล่นหมากรุกบนกระดานหมากรุกแถวละ ๘ ตา. ในกระดานหมากรุกแถวละ ๑๐ ตา ก็เหมือนกัน.
               บท ว่า อากาเสปิ มีความว่า เล่นหมากเก็บในอากาศ เหมือนเล่นหมากรุกแถวละ ๘ ตา และแถวละ ๑๐ ตาฉะนั้น.
               บท ว่า ปริหารปเถ มีความว่า ทำวงเวียนมีเส้นต่างๆ ลงบนพื้นดินแล้ว เล่นวกวนไปตามเส้นวกวนในวงเวียนนั้น (เล่นชิงนาง). 
               สอง บท ว่า สนฺติกายปิ กีฬนฺติ ได้แก่ เล่นกีฬาหมากไหวบ้าง. อธิบายว่า ตัวหมากรุกและหินกรวดเป็นต้นที่ทอดไว้รวมกัน เอาเล็บเท่านั้นเขี่ยออก และเขี่ยเข้าไม่ให้ไหว. 
               ถ้าว่า ในลูกสกาตัวหมากรุกหรือหินกรวดเหล่านั้นบางอย่างไหว เป็นแพ้.
               บทว่า ขลิกาย ได้แก่ เล่นโยนห่วงบนกระดานสกา.
               บทว่า ฆฏิกาย มีความว่า การเล่นกีฬาไม้หึ่ง ท่านเรียกว่า ฆฏิกา เล่นด้วยกีฬาไม้หึ่งนั้น. ความว่า เที่ยวเอาไม้ยาวตีไม้สั้นเล่น.
                บทว่า สลากหตฺเถน มีความว่า เล่นเอาพู่กันจุ่มด้วยน้ำครั่ง น้ำ ฝาง หรือน้ำผสมแป้งแล้วถามว่า จะเป็นรูปอะไร? จึงแต้มพู่กันนั้นลงที่พื้น หรือที่ฝาผนังแสดงรูปช้างและรูปม้าเป็นต้น.
                บทว่า อกฺเขน แปลว่า ลูกสกา.
                บทว่า ปงฺกจิเรน มีความว่า หลอดใบไม้ ท่านเรียกว่า ปังกจิระ เล่นเป่าหลอดใบไม้นั้น.
               บทว่า วงฺกเกน ได้แก่ ไถเล็กๆ เป็นเครื่องเล่นของพวกเด็กชาวบ้าน.
               บทว่า โมกฺขจิกาย มีความว่า การเล่นหกคะเมน ตีลังกา ท่านเรียกว่า โมกขจิกา. อธิบายว่า เล่นค้ำยันไม้บนอากาศ หรือปักศีรษะลงที่พื้นแล้วหมุนไปรอบๆ ทั้งข้างล่างและข้างบน (เล่นจับบาร์หรือปักศีรษะลงจดพื้นแล้วหกคะเมนตีลังกา).
                บทว่า จิงฺคุเลน มีความว่า กังหันที่หมุนไปโดยถูกลมพัด ซึ่งกระทำด้วยใบตาลเป็นต้น เรียกว่า จิงคุลกะ, เล่นด้วยกังหันนั้น.
                 บทว่า ปตฺตาฬหเกน มีความว่า กรวยใบไม้ เรียกว่า ปัตตาฬหกะ เล่นตวงทรายเป็นต้น ด้วยกรวยใบไม้นั้น.
                 บทว่า รถิเกน ได้แก่ รถน้อยๆ. บทว่า ธนุเกน ได้แก่ ธนูน้อยๆ.  บทว่า อกฺขริกาย 
                 มีความว่า การเล่นทายอักษรที่อากาศ หรือที่หลัง เรียกว่า อักขริกา เล่นด้วยกีฬาทายอักษรนั้น.
                 บทว่า มเนสิกาย มีความว่า เล่นด้วยกีฬาทายความคิดทางใจที่ท่านเรียกว่า มเนสิกา.
                 บทว่า ยถาวชฺเชน มีความว่า การเล่นแสดงประกอบท่าทางของคนพิการมีคนตาบอด คนกระจอกและคนค่อมเป็นต้น ที่ท่านเรียกว่าเล่นเลียนคนพิการ.
                 ภิกษุอัสสชิและปุนัพพสุกะเล่นด้วยการเล่นเลียนคนพิการ เหมือนพวกชนชาวเวลัมพกเล่น (ชนพวกเล่นกายกรรม) ฉะนั้น.
                 สองบทว่า หตฺถิสฺมิมฺปิ สิกฺขนฺติ มีความว่า ย่อมศึกษาศิลปะที่ควรศึกษา มีช้างเป็นนิมิต. 
               แม้ในศิลปะมีม้าเป็นต้น ก็มีนัยอย่างนี้.
               บทว่า ธาวนฺติปิ ได้แก่ วิ่งขับไปตามหลัง.
               บทว่า อาธาวนฺติปิ มีความว่า วิ่งหันหน้าวกกลับมาตลอดระยะทางที่ตนวิ่งไป (วิ่งเปี้ยวกัน).
               บทว่า นิพฺพุชฺฌนฺติ ได้แก่ ย่อมทำการปล้ำกัน.
               สองบทว่า นลาฏิกมฺปิ เทนฺติ มีความว่า ย่อมแตะนิ้วที่หน้าผากตนแล้ว แตะที่หน้าผาก
               ของหญิงฟ้อนนั้น พร้อมกับพูดว่า ดีละ ดีแล้ว น้องหญิง!
               สองบทว่า วิวิธมฺปิ อนาจารํ มีความว่า ประพฤติอนาจารต่างๆ มีกลองปากเป็นต้น (ปี่พาทย์ปาก, ผิวปากเป็นต้น) แม้อื่นๆ ซึ่งไม่ได้มาในพระบาลี.
               [แก้อรรถตอนชาวกิฏาคีรีพบภิกษุอาคันตุกะ]
               บทว่า ปาสาทิเกน ได้แก่ อันนำมาซึ่งความเลื่อมใสคือสมควรเหมาะสมแก่สมณะ. บทว่า อภิกฺกนฺเตน คือมีการเดิน. บทว่า ปฏิกฺกนฺเตน คือ มีการถอยกลับ. บทว่า อวโลกิเตน คือ การมองดูไปข้างหน้า.
               บทว่า วิโลกิเตน คือ ดูข้างโน้นบ้างข้างนี้บ้าง.
               บทว่า สมฺมิญฺชิเตน คือ การคู้ข้ออวัยวะเข้า.
               บทว่า ปสาริเตน คือ การเหยียดข้อเหล่านั้นนั่นแหละออก.ในบททั้งปวงเป็นตติยาวิภัตติลงในอรรถบอกอิตถัมภูต. มีคำอธิบายว่า เป็นผู้มีการเดินไปข้างหน้า ถอยกลับ เหลียวซ้าย แลขวา คู้เข้า เหยียดออกอันน่าเลื่อมใส เพราะถูกควบคุมด้วยสติสัมปชัญญะ.
               บทว่า โอกฺขิตฺตจกฺขุ คือ มีจักษุทอดลงเบื้องต่ำ.
               บทว่า อิริยา ปถสมฺปนฺโน มีความว่า มีอิริยาบถเรียบร้อย เพราะมีกิริยาก้าวไปข้างหน้าเป็นต้น อันน่าเลื่อมใสนั้น.
               บทว่า กฺวายํ ตัดบทเป็น โก อยํ แปลว่า ภิกษุนี้เป็นใคร?
               บทว่า อพฬพโฬ วิย มีความว่า ได้ยินว่า ชนทั้งหลายเรียกคนอ่อนแอว่า อพฬ. ก็คำกล่าวย้ำนี้ เป็นไปในอรรถว่า อย่างยิ่ง, เพราะฉะนั้น จึงมีคำอธิบายว่า เหมือนคนอ่อนแอเหลือเกิน.
               ด้วยบทว่า มนฺทมนฺโท ชาวบ้านย่อมแสดงคุณแท้ๆ โดยเป็นโทษอย่างนี้ว่า เป็นผู้อ่อนแอนัก    คืออ่อนเปียกนัก                  เพราะเป็นผู้มีอิริยาบถมีการก้าวเดินเป็นต้นไม่ปราดเปรียว.       
               บทว่า ภากุฏิกภากุฏิโก วิย มีความว่า เพราะท่านเป็นผู้มีจักษุทอดลง ชาวบ้านจึงสำคัญพูดกันว่า ภิกษุนี้ ทำหน้าสยิ้ว มีหน้านิ่วคิ้วขมวด เที่ยวไปเหมือนคนโกรธ.
               บทว่า สณฺหา คือ เป็นผู้ละเอียด. อธิบายว่า เป็นผู้ฉลาดชักนำอุบาสกชนไปในฐานะอันควรอย่างนี้ว่า แน่ะโยมหญิง โยมชาย พี่สาว น้องสาว ท่านหาเป็นคนไม่มีพละกำลังเหมือนภิกษุรูปนี้ไม่.
                บทว่า สขิลา ได้แก่ เป็นผู้ประกอบด้วยความเป็นผู้มีวาจานุ่มนวล.      
                บทว่า สุขสํภาสา นี้ เป็นคำแสดงเหตุแห่งคำก่อน.
                จริงอยู่ ชนผู้มีการพูดจาอ่อนหวาน เป็น สัมโมทนียกถา ไม่หยาบคาย เสนาะหู ท่านเรียกว่า ผู้มีวาจาไพเราะ. ด้วยเหตุนั้น ชาวบ้านจึงกล่าวว่า (พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา) เป็นผู้พูดไพเราะ พูดอ่อนหวาน.
                ก็ในคำนี้มีอธิบาย ดังนี้ ว่า พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา เห็นพวกอุบาสกอุบาสิกาแล้วกล่าสัมโมทนียกถาไพเราะ เพราะฉะนั้น ท่านจึงเป็นผู้พูดไพเราะ อ่อนหวาน ไม่เป็นคนอ่อนแอและอ่อนเปียกเหมือนภิกษุนี้เลย.
               บทว่า มิหิตปุพฺพงฺคมา มีวิเคราะห์ว่า ภิกษุเหล่านี้มีการยิ้มแย้มเป็นไปก่อนพูด เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าผู้มีการยิ้มแย้มเป็นเบื้องหน้า. ความว่า ภิกษุเหล่านั้นยิ้มแย้มก่อนจึงพูดภายหลัง.
               บทว่า เอหิสฺวาคตวาทิโน มีความว่า เห็นอุบาสกแล้วมักพูดอย่างนี้ว่า มาเถิด ท่านมาดีแล้ว หาเป็นคนมีหน้าสยิ้ว เพราะเป็นคนมีหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนภิกษุนี้ไม่.
               พวกชาวกิฏาคีรีชนบท ครั้นแสดงความเป็นผู้มีหน้าไม่สยิ้ว เพราะเป็นผู้มีปกติยิ้มแย้มก่อนเป็นต้น โดยอรรถอย่างนี้แล้วเมื่อจะแสดงแม้โดยสรูปอีกจึงได้กล่าวว่า มีหน้าไม่สยิ้ว มีหน้าชื่นบาน มักพูดก่อน. อีกอย่างหนึ่ง ผู้ศึกษาพึงทราบว่า ทั้ง ๓ บทมีบทว่า อภากุฏิกา เป็นต้นนี้ แสดงความไม่มีแห่งอาการแม้ทั้ง ๓ โดยมาสับลำดับกัน.
               คือ อย่างไร? คือ บรรดาบททั้ง ๓ มีบทว่า อภากุฏิกา เป็นต้นนั่น ด้วยบทว่า อภากุฏิกา นี้ ท่านแสดงความไม่มีอาการสยิ้วหน้าสยิ้วตา. ด้วยบทว่า อุตฺตานมุขา นี้ ท่านแสดงความไม่มีแห่งอาการอ่อนแอและอ่อนเปียก.
               ก็ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้หน้าเบิกบานด้วยการลืมตาทั้งสองมองดู. ภิกษุเหล่านั้น ชื่อว่าไม่เป็นคนอ่อนแอและอ่อนเปียก.         ด้วยบทว่า ปุพฺพภาสิโน นี้ ท่านแสดงความไม่มีแห่งอาการอ่อนแอและอ่อนเปียก.
               ก็ภิกษุเหล่าใดย่อมทักทายก่อนว่า แน่ะโยมหญิง! โยมชาย! ดังนี้ เพราะเป็นผู้ฉลาดในการโอภาปราศรัย, ภิกษุเหล่านั้นหาเป็นผู้ไม่มีพละกำลังไม่ ฉะนี้แล.
               [อุบาสกนิมนต์ภิกษุอาคันตุกะไปยังเรือน]
               บทว่า เอหิ ภนฺเต ฆรํ คมิสฺสาม มีความว่า ได้ยินว่า อุบาสกนั้น เมื่อภิกษุกล่าวตอบว่า ท่านผู้มีอายุ! อาตมายังไม่ได้บิณฑบาตเลย ดังนี้ จึงกล่าวว่า พวกภิกษุนั่นแหละ ทำให้ท่านไม่ได้บิณฑบาตนั่น ถึงแม้ท่านจะเที่ยวไปจนทั่วหมู่บ้าน ก็จักไม่ได้เลย ประสงค์จะถวายบิณฑบาต จึงกล่าวว่า มาเถิด ขอรับ! พวกเราจักไปเรือนด้วยกัน.
               ถามว่า ก็วาจานี้ เป็นวิญญัติวาจา หรือไม่เป็น?
               ตอบว่า ไม่เป็น. ธรรมดาปัญหาที่เขาถามแล้วนี้ ควรจะตอบ. เพราะฉะนั้น ถ้าแม้นว่าในทุกวันนี้ ใครๆ ถามภิกษุผู้เข้าไปสู่ละแวก. บ้านในเวลาเช้าก็ดี ในเวลาเย็นก็ดี ว่า ท่านเที่ยวไปทำไม ขอรับ! การที่ภิกษุบอกความประสงค์ที่ตนเที่ยวไปแล้ว เมื่อเขาถามว่า ได้แล้วหรือยังไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้ก็บอกว่า ยังไม่ได้ แล้วรับเอาสิ่งของที่เขาถวาย ควรอยู่.
               บทว่า ทุฏฺโฐ มีความว่า ไม่ได้ทรุดโทรมลงด้วยการยังความเลื่อมใสเป็นต้นให้พินาศไป, แต่ทรุดโทรมลงด้วยอำนาจแห่งบุคคลผู้โทรม. ทานทั้งหลายนั่นแล ท่านเรียกว่า ทานบถ.              อีกอย่างหนึ่ง ทานประจำ ท่านเรียกว่า ทานบถ  มีคำอธิบายว่า ทานวัตร.
               บทว่า อุปจฺฉินฺนานิ ได้แก่ ถูกพวกทายกตัดขาดแล้ว.     อธิบายว่า บัดนี้พวกทายกเหล่านั้น ไม่ถวายทานนั้น.
               บทว่า ริญฺจนฺติ มีความว่า พวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก เป็นผู้แยกกันอยู่ คือกระจายกันอยู่. มีคำอธิบายว่า ย่อมพากันหลีกหนีไป.
               บทว่า สณฺฐเหยฺย มีความว่า พึงดำรงอยู่โดยชอบ คือพึงเป็นที่พำนักของเหล่าภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก.
               ภิกษุนั้นรับสาสน์ของอุบาสกผู้มีศรัทธามีความเลื่อมใส ด้วยคำว่า เอวมาวุโส ดังนี้แล. 
         ได้ยินว่า การนำข่าวสาสน์ที่เป็นกัปปิยะเห็นปานนี้ไป ย่อมควร. เพราะฉะนั้น ภิกษุไม่พึงทำความรังเกียจในข่าวสาสน์ ทั้งหลายเช่นนี้ว่า ขอท่านจงถวายบังคมพระบาทยุคลของพระผู้มีพระภาคเจ้าตามคำของเรา ดังนี้ก็ดี ว่า ขอท่านจงไหว้พระเจดีย์ พระปฏิมา ต้นโพธิ์ พระสังฆเถระ ดังนี้ก็ดี ว่า ท่านจงทำการบูชาด้วยของหอม การบูชาด้วยดอกไม้ที่พระเจดีย์ ดังนี้ก็ดี ว่า ขอท่านจงนิมนต์ให้ภิกษุทั้งหลายประชุมกัน, พวกเราจักถวายทาน จักฟังธรรม ดังนี้ก็ดี ข่าวสาสน์เหล่านี้เป็นกัปปิยสาสน์ ไม่เกี่ยวด้วยคิหิกรรมของพวกคฤหัสถ์ ด้วยประการฉะนี้แล.
               คำว่า กุโต จ ตฺวํ ภิกฺขุ อาคจฺฉติ มีความว่า ภิกษุนั้นนั่งอยู่แล้ว ไม่ใช่กำลังมา. แต่โดยอรรถภิกษุนั้นเป็นผู้มาแล้ว. แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ คำปัจจุบันกาลในอรรถอดีตที่ใกล้ต่อปัจจุบันกาล ย่อมมีได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความผิด.
                แม้ในคำว่า ตโต อหํ ภควา อาคจฺฉามิ นี้ ในสุดท้ายก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
[ทรงรับสั่งให้ลงปัพพาชนียกรรมพวกภิกษุฉัพพัคคีย์]
               ในคำว่า ปฐมํ อสฺสชิปุนพฺพสุกา ภิกฺขู โจเทตพฺพา นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ว่า พระอัสสชิและปุนัพพสุกะอันสงฆ์พึงให้ทำโอกาสว่า พวกผมต้องการจะพูดกะพวกท่าน แล้วพึงโจทด้วยวัตถุและอาบัติ, ครั้นโจทแล้วพึงให้ระลึกถึงอาบัติที่พวกเธอยังระลึกไม่ได้. ถ้าพวกเธอปฏิญญาวัตถุและอาบัติ หรือปฏิญญาเฉพาะอาบัติ ไม่ปฏิญญาวัตถุ พึงยกอาบัติขึ้นปรับ. ถ้าปฏิญญาเฉพาะวัตถุ ไม่ปฏิญญาอาบัติ, แม้ในการปฏิญญาอย่างนั้น ก็พึงยกอาบัติขึ้นทีเดียวว่า เป็นอาบัติชื่อนี้ ในเพราะวัตถุนี้. ถ้าพวกเธอไม่ปฏิญญาทั้งวัตถุ ไม่ปฏิญญาทั้งอาบัติ ไม่พึงยกอาบัติขึ้นปรับ.
               ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรับอาบัติตามปฏิญญาแล้ว เมื่อจะทรงแสดงว่าสงฆ์พึงลงปัพพาชนียกรรมอย่างนี้ จึงตรัสคำมีอาทิว่า พฺยตฺเตน ภิกฺขุนา ดังนี้.
              คำนั้นตื้นทั้งนั้น ก็ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลงปัพพาชนียกรรมอย่างนี้แล้ว ไม่ควรอยู่ในวัดที่ตนเคยอยู่ หรือในบ้านที่ตนทำกุลทูสกกรรม. 
              เมื่อจะอยู่ในวัดนั้น ไม่พึงเที่ยวไปบิณฑบาตในบ้านใกล้เคียง.  แม้จะอยู่ในวัดใกล้เคียง ก็ไม่ควรเที่ยวไปบิณฑบาตในบ้านนั้น. แต่พระอุปติสสเถระถูกพวกอันเตวาสิกค้านว่า ท่านขอรับ! ธรรมดาว่า นครใหญ่มีประมาณถึง ๑๒ โยชน์ ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า ภิกษุทำกุลทูสกกรรมในถนนใด, ท่านห้ามแต่ถนนนั้น.
               ลำดับนั้น ท่านถูกพวกอันเตวาสิกค้านเอาว่า แม้ถนนก็ใหญ่ มีประมาณเท่านครเทียว แล้วจึงกล่าวว่า ภิกษุกระทำกุลทูสกกรรมในลำดับเรือนแถวใด ท่านห้ามลำดับเรือนแถวนั้น ดังนี้. ท่านถูกพวกอันเตวาสิกค้านอีกว่า แม้ลำดับเรือน ก็มีขนาดเท่าถนนทีเดียว จึงกล่าวว่า ท่านห้าม ๗ หลังคาเรือนข้างโน้นและข้างนี้.
               ก็คำทั้งหมดนั้น เป็นเพียงมโนรถของพระเถระ เท่านั้น.        ถ้าแม้นวัดใหญ่มีขนาด ๓ โยชน์เป็นอย่างสูง และนครโตขนาด ๑๒ โยชน์เป็นอย่างยิ่ง, ภิกษุผู้ทำกุลทูสกกรรม จะอยู่ในวัดจะเที่ยวไปในนคร (นั้น) ไม่ได้เลย ฉะนี้แล.
               ข้อว่า เต สงฺเฆน ปพฺพาชนียกมฺมกตา มีความว่า ถามว่า สงฆ์ได้กระทำกรรมแก่พวกภิกษุอัสสชิและปุนัพพสุกะ
นั้น อย่างไร?
               ตอบว่า สงฆ์ไม่ได้ไปข่มขี่กระทำกรรมเลย, โดยที่แท้ เมื่อพวกตระกูลอาราธนา นิมนต์มาแล้วกระทำภัตเพื่อสงฆ์ พระเถระทั้งหลายในที่นั้นๆ แสดงข้อปฏิบัติของสมณะ ให้พวกมนุษย์เข้าใจว่า นี้เป็นสมณะ นี้ ไม่ใช่สมณะ แล้วให้ภิกษุ ๑ รูป ๒ รูป เข้าสู่สีมาแล้ว ได้กระทำปัพพาชนียกรรมแมแก่พวกภิกษุทั้งหมด โดยอุบายนี้นั่นแล.
               ก็เมื่อภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลงปัพพาชนียกรรมอย่างนี้แล้ว บำเพ็ญวัตร ๑๘ ประการให้บริบูรณ์ขออยู่ กรรมอันสงฆ์พึงระงับ. และแม้ภิกษุผู้มีกรรมระงับแล้วนั้น ตนทำกุลทูสกกรรมไว้ในตระกูลเหล่าใดในครั้งก่อน ไม่ควรรับปัจจัยจากตระกูลเหล่านั้น. แม้บรรลุความสิ้นไปแห่งอาสวะแล้วก็ไม่ควรรับ, ปัจจัยเหล่านั้น จัดเป็นของไม่สมควรแท้.
               เมื่อภิกษุถูกทายก ถามว่า ทำไม ท่านจึงไม่รับ?
               ตอบว่า เพราะได้กระทำไว้อย่างนี้เมื่อก่อน ดังนี้, ถ้าพวกชาวบ้านกล่าวว่า พวกกระผมไม่ถวายด้วยเหตุอย่างนั้น, ถวายเพราะท่านมีศีลในบัดนี้ (ต่างหาก) ดังนี้ ควรรับได้.
               กุลทูสกกรรม เป็นกรรมอันภิกษุผู้กระทำเฉพาะในสถานที่ให้ทานตามปกติ, จะรับทานตามปกติจากสถานที่นั้นนั่นแล ควรอยู่. ทานที่ทายกถวายเพิ่มเติม ไม่ควรรับ.
               บทว่า น สมฺมา วตฺตนฺติ มีความว่า ก็พวกภิกษุอัสสชิปุนัพพสุกะเหล่านั้นย่อมไม่ประพฤติโดยชอบ ในวัตร ๑๘ ประการ.
               ข้อว่า น โลมํ ปาเตนฺติ มีความว่า ชื่อว่า เป็นผู้ไม่หายเย่อหยิ่ง เพราะไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติอันสมควร.
               ข้อว่า น เนตฺถารํ วตฺตนฺติ มีความว่า ย่อมไม่ปฏิบัติตามทางเป็นเครื่องช่วยถอนตนเอง.
               ข้อว่า ภิกฺขู น ขมาเปนฺติ มีความว่า ย่อมไม่กระทำให้ภิกษุทั้งหลายอดโทษอย่างนี้ว่า พวกกระผมกระทำผิด ขอรับ! แต่พวกกระผมจะไม่กระทำเช่นนี้อีก, ขอท่านทั้งหลายจงอดโทษแก่พวกกระผมเถิด.
               บทว่า อกฺโกสนฺติ คือ ย่อมด่าการกสงฆ์ ด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐.
               บทว่า ปริภาสนฺติ คือ ย่อมแสดงภัยแก่ภิกษุเหล่านั้น.
               ข้อว่า ฉนฺทคามิตา ฯเปฯ ภยคามิตา ปาเปนฺติ มีความว่า ย่อมให้ถึง คือประกอบด้วยความลำเอียงเพราะรักใคร่กันบ้าง ฯลฯ ด้วยความลำเอียงเพราะกลัวบ้าง อย่างนี้ว่า ภิกษุเหล่านี้ เป็นผู้มีความลำเอียง เพราะรัก ฯลฯ และ มีความลำเอียงเพราะกลัว
                บทว่า ปกฺกมนฺติ มีความว่า บรรดาสมณะ ๕๐๐ ซึ่งเป็นบริวารของพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะนั้น บางพวกก็หลีกไปสู่ทิศ.
               บทว่า วิพฺภมนฺติ คือ บางพวกก็สึกเป็นคฤหัสถ์.
               ในคำว่า กถํ หิ นาม อสฺสชิปุนพฺพสุกา นี้ ท่านเรียกภิกษุแม้ทั้งหมดว่า อัสสชิปุนัพพสุกะ ด้วยอำนาจแห่งภิกษุทั้งสองรูปผู้เป็นหัวหน้า.
[อรรถาธิบายกุลทูสกกรรมมีการให้ดอกไม้เป็นต้น]
ในคำว่า คามํ นี้     แม้นครท่านก็ยึดเอาด้วยคามศัพท์เหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น ในบทภาชนะแห่งบทนั้น ท่านจึงกล่าวว่า    บ้านก็ดี นิคมก็ดี นครก็ดี ชื่อว่า คามและนิคม. บรรดาบ้านเป็นต้นนั้น หมู่บ้านที่ไม่มีกำแพงเป็นเครื่องล้อม มีร้านตลาด            พึงทราบว่า นิคม. ภิกษุใดประทุษร้ายซึ่งตระกูลทั้งหลาย เหตุนั้น ภิกษุนั้น  ชื่อว่า      กุลทูสกะ. และ เมื่อจะประทุษร้าย ไม่ใช่ประทุษร้ายด้วยของเสีย มีของไม่สะอาด และ เปือกตมเป็นต้น.
               โดยที่แท้ย่อมทำความเลื่อมใสของตระกูลทั้งหลายนั้นให้พินาศไปด้วยข้อปฏิบัติชั่วของตน, ด้วยเหตุนั้นแล ในบทภาชนะแห่งบทนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปุปฺเผน วา  เป็นต้น.
               พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า ปุปฺผทาเนน เป็นต้นนั้นดังนี้ :-  ภิกษุใดนำไปให้เองก็ดี ให้นำไปให้ก็ดี เรียกมาให้เองก็ดี ให้เรียกมาให้ก็ดี หรือว่าให้ดอกไม้ที่เป็นของตนอย่างใดอย่างหนึ่งแก่บุคคลทั้งหลายที่เข้าไปหาเอง เพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์ตระกูล, ภิกษุนั้นต้องทุกกฏ.
               ให้ดอกไม้ของคนอื่น ก็เป็นทุกกฏเหมือนกัน. ให้ด้วยไถยจิต พระวินัยธรพึงปรับตามราคาสิ่งของ. แม้ในของสงฆ์ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. ส่วนความแปลกกันดังต่อไปนี้ เป็นถุลลัจจัยแก่ภิกษุผู้ให้ดอกไม้ ที่เขากำหนดไว้ เพื่อประโยชน์แก่เสนาสนะ โดยถือว่าตนเป็นใหญ่.
               ถามว่า  ชื่อว่าดอกไม้ ควรให้แก่ใคร ไม่ให้แก่ใคร?
               ตอบว่า เมื่อจะให้แก่มารดาบิดาก่อน นำไปให้เองก็ดี ให้นำไปให้ก็ดี เรียกมาให้เองก็ดี ให้เรียกมาให้ก็ดี ควรทั้งนั้น.  สำหรับญาติที่เหลือให้เรียกมาให้เท่านั้นจึงควร. ก็แลการให้ดอกไม้นั้น. เพื่อประโยชน์แก่การบูชาพระรัตนตรัย จึงควร.
               แต่จะให้ดอกไม้แม้แก่ใครๆ เพื่อประโยชน์แก่การประดับ หรือเพื่อประโยชน์แก่การบูชาศิวลึงค์เป็นต้น  ไม่ควร. และเมื่อจะให้นำไปให้แก่มารดาบิดา ควรใช้สามเณรผู้เป็นญาติเท่านั้นให้นำไปให้. สามเณรผู้มิใช่ญาตินอกนั้น ถ้าปรารถนาจะนำไปเองเท่านั้น จึงควรให้นำไป.
               ภิกษุผู้แจกดอกไม้ที่ได้รับสมมติ จะให้ส่วนกึ่งหนึ่งแก่พวกสามเณรผู้มาถึงในเวลาแจกก็ควร.
              ในกุรุนทีท่านกล่าวว่า ควรให้ครึ่งส่วนแก่คฤหัสถ์ที่มาถึง, ในมหาปัจจรีกล่าวว่า ควรให้แต่น้อย. ภิกษุผู้ไม่ได้รับสมมติควรอปโลกน์ให้, พวกสามเณรผู้มีความเคารพในอาจารย์และอุปัชฌายะ ได้นำดอกไม้เป็นอันมากมากองไว้.
      พระเถระทั้งหลายให้แก่พวกสัทธิวิหาริกเป็นต้น หรือแก่พวกอุบาสกผู้มาถึงแต่เช้าตรู่ ด้วยกล่าวว่า เธอจงถือเอาดอกไม้นี้, เธอจงถือเอาดอกไม้นี้, ไม่จัดว่าเป็นการให้ดอกไม้. พวกภิกษุผู้ถือเอาไปด้วยคิดว่า พวกเราจักบูชาพระเจดีย์ก็ดี กำลังทำการบูชาก็ดี ให้แก่พวกคฤหัสถ์ผู้มาถึงในที่นั้นๆ เพื่อประโยชน์แก่การบูชาพระเจดีย์. แม้การให้นี้ ก็ไม่จัดว่าเป็นการให้ดอกไม้ แม้เห็นพวกอุบาสกกำลังบูชาด้วยดอกรักเป็นต้น แล้วกล่าวว่า อุบาสกทั้งหลาย ดอกกรรณิการ์เป็นต้นที่วัดมี พวกท่านจงไปเก็บดอกกรรณิการ์เป็นต้นมาบูชาเถิด ดังนี้ ก็ควร.
               พวกชาวบ้านถามภิกษุทั้งหลายผู้ทำการบูชาด้วยดอกไม้ แล้วเข้าไปยังบ้านค่อนข้างสายว่า เพราะเหตุไร ขอรับ! พวกท่านจึงเข้ามาสายนัก? พวกภิกษุตอบว่า ที่วัดมีดอกไม้มาก พวกเราได้ทำการบูชา (ก่อนเข้ามา). พวกชาวบ้านรู้ว่า                 ได้ทราบว่าที่วัดมีดอกไม้มาก
                วันรุ่งขึ้นจึงถือเอาของเคี้ยวของฉันเป็นอันมากไปสู่วัด                 กระทำการบูชาด้วยดอกไม้และถวายทาน,  การพูดนั่นก็ควร.
                พวกชาวบ้านขอวาระดอกไม้ว่า ท่านขอรับ! 
                พวกกระผมจักบูชา ณ วันชื่อโน้น แล้วมาในวันที่อนุญาต. และพวกสามเณรได้เก็บดอกไม้ไว้แต่เช้าตรู่.
                พวกชาวบ้านเมื่อไม่เห็นดอกไม้เป็นต้น จึงพูดว่า ดอกไม้อยู่ที่ไหน ขอรับ!
                พระเถระทั้งหลายตอบว่า พวกสามเณรเก็บไว้ ก็พวกท่านจงไปบูชากันเถิด, สงฆ์จักบูชาในวันอื่น.
               พวกชาวบ้านเหล่านั้นพากันบูชา ถวายทานแล้วไป, การพูดอย่างนั้น ก็ควร.
               แต่ในมหาปัจจรีและกุรุนที ท่านกล่าวว่า พระเถระทั้งหลายย่อมไม่ได้เพื่อจะใช้ให้พวกสามเณรให้, ถ้าพวกสามเณรให้ดอกไม้เหล่านั้นแก่พวกชาวบ้านเหล่านั้นเสียเองนั่นแล, การให้นั่น สมควร,  แต่พระเถระทั้งหลายควรกล่าวคำเพียงเท่านี้ว่า พวกสามเณรเก็บดอกไม้เหล่านี้ไว้.
               แต่ถ้าว่า พวกชาวบ้านขอวาระดอกไม้แล้ว เมื่อพวก สามเณรไม่ได้เก็บดอกไม้ไว้ ถือเอายาคูและภัตเป็นต้นมาแล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงให้สามเณรทั้งหลายเก็บให้ การใช้ให้พวกสามเณรผู้เป็นญาติเท่านั้นเก็บให้ จึงควร.
         พระเถระทั้งหลายยกพวกสามเณรที่มิใช่ญาติขึ้นวางบนกิ่งไม้. พวกสามเณรไม่ควรลงแล้วหนีไปเสีย ควรเก็บให้.               ในมหาปัจจรีและกุรุนทีกล่าวว่า ก็ถ้าว่า พระธรรมกถึกบางรูปจะกล่าวว่า อุบาสกและอุบาสิกาทั้งหลาย ดอกไม้ที่วัดมีมาก, พวกท่านจงถือเอายาคู และ ภัตเป็นต้น ไปทำการบูชาด้วยดอกไม้เถิด, ยาคูและภัตเป็นต้นนั้น ย่อมไม่สมควรแก่พระธรรมกถึกนั้นเท่านั้น.  แต่ในมหาอรรถกถา ท่านกล่าวไว้โดยไม่แปลกกันว่า ยาคูและภัตเป็นต้นนั้น เป็นอกัปปิยะ ไม่สมควร.แม้ผลไม้ที่เป็นของของตน จะให้แก่มารดาบิดาและพวกญาติที่เหลือย่อมควร โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
               แต่เมื่อภิกษุผู้ให้ เพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์ตระกูล พึงทราบว่าเป็นทุกกฏเป็นต้น ในเพราะผลไม้ของตน ของคนอื่น ของสงฆ์ และ ของที่เขากำหนดไว้เพื่อประโยชน์แก่เสนาสนะ โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. 
               เฉพาะผลไม้ที่เป็นของของตน จะให้แก่พวกคนไข้ หรือแก่พวกอิสรชนผู้มาถึงซึ่งหมดเสบียงลง ก็ควร. ไม่จัดเป็นการให้ผลไม้. แม้ภิกษุผู้แจกผลไม้ที่สงฆ์สมมติ จะให้กึ่งส่วนแก่พวกชาวบ้านผู้มาถึงในเวลาแจกผลไม้แก่สงฆ์ ก็ควร. ผู้ไม่ได้รับสมมติควรอปโลกน์ให้.
               แม้ในสังฆาราม สงฆ์ก็ควรทำกติกาไว้ ด้วยการกำหนดผลไม้หรือด้วยการกำหนดต้นไม้ เมื่อพวกคนไข้หรือพวกคนอื่นขอผลไม้จากผลหรือจากต้นไม้ที่กำหนดไว้นั้น พึงให้ผลไม้ ๔-๕ ผล หรือพึงแสดงต้นไม้ ตามที่กำหนดไว้ว่า พวกเธอถือเอาจากต้นนี้ได้ แต่ไม่ควรพูดว่า ผลไม้ที่ต้นนี้ดี, พวกเธอจงถือเอาจากต้นนี้.
                พึงทราบวินิจฉัย ในบทว่า จุณฺเณน นี้ ดังต่อไปนี้ :- 
                ภิกษุให้จุรณสน หรือน้ำฝาดอย่างอื่นของของตนเพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์ตระกูล เป็นทุกกฏ. แม้ในของของคนอื่นเป็นต้น ก็พึงทราบวินิจฉัยโดยนัยดังกล่าวมาแล้ว.
                ส่วนความแปลกกันดังต่อไปนี้ :-
                ในจุรณวิสัยนี้ เปลือกไม้แม้ที่สงฆ์รักษาและสงวนไว้ ก็จัดเป็นครุภัณฑ์แท้. แม้ในพวกดินเหนียว ไม้ชำระฟันและ ไม้ไผ่ บัณฑิตรู้จักของที่ควรเป็นครุภัณฑ์แล้ว พึงทราบวินิจฉัยดังกล่าวแล้วในจุรณนั่นแล. แต่การให้ใบไม้ ไม่มาในบาลีนี้. แม้การให้ใบไม้นั้น ก็พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วเหมือนกัน. ข้าพเจ้าจักพรรณนาการให้ใบไม้ทั้งหมด โดยพิสดารในการวินิจฉัยครุภัณฑ์ แม้ข้างหน้า.
                เวชกรรมวิธี ในบทว่า เวชฺชกาย วา นี้ บัณฑิตพึงทราบ  โดยนัยที่กล่าวไว้แล้ว  ในตติยปาราชิกวรรณนานั่นแล.
กรรม คือ การงานของทูตและการส่งข่าวสาสน์ของพวกคฤหัสถ์ ท่านเรียกว่า ชังฆเปสนียะ
               ในคำว่า ชงฺฆเปสนิเกน นี้, ข้อนั้น อันภิกษุไม่ควรกระทำ. ด้วยว่าเมื่อภิกษุรับข่าวสาสน์ของพวกคฤหัสถ์แล้วเดินไป เป็นทุกกฏ ทุกๆ ย่างเท้า. แม้เมื่อฉันโภชนะที่อาศัยกรรมนั้นได้มาก็เป็นทุกกฏ ทุกๆ คำกลืน. แม้เมื่อไม่รับข่าวสาสน์แต่แรกภายหลังตกลงใจว่า บัดนี้ นี้คือบ้านนั้น เอาละ เราจักแจ้งข่าวสาสน์นั้น แล้วแวะออกจากทาง ก็เป็นทุกกฎ ทุกๆ ย่างเท้า.
               เมื่อฉันโภชนะที่บอกข่าวสาสน์ได้มา เป็นทุกกฏโดยนัยก่อนเหมือนกัน. แต่ภิกษุไม่รับข่าวสาสน์มา เมื่อถูกคฤหัสถ์ถามว่า ท่านขอรับ! อันผู้มีชื่อนี้ ในบ้านนั้น มีข่าวคราวเป็นอย่างไร? ดังนี้ จะบอกก็ควร. ในปัญหาที่เขาถาม ไม่มีโทษ.
               แต่จะส่งข่าวสาสน์ของพวกสหธรรมิก ๕ ของมารดาบิดา คนปัณฑุปลาสและไวยาวัจกรของตนควรอยู่. และภิกษุ
จะส่งข่าวสาสน์ที่สมควร มีประการดังกล่าวแล้วในก่อน ของพวกคฤหัสถ์ควรอยู่. เพราะข่าวสาสน์ที่สมควรนี้ ย่อมไม่ชื่อว่าเป็นกรรม คือการเดินข่าว. ก็แลปัจจัยที่เกิดขึ้นจากกุลทูสกกรรม ๘ อย่างนี้ ย่อมไม่สมควรแก่สหธรรมิกทั้ง ๕ เป็นเช่นกับปัจจัยที่เกิดขึ้นจากการอวดอุตริมนุสธรรมอันไม่เป็นจริง และการซื้อขายด้วยรูปิยะทีเดียว.
               ภิกษุนั้นมีความประพฤติลามก เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ปาปสมาจาร. ก็เพราะปาปสมาจารมีการปลูกต้นไม้ดอกเป็นต้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์เอา แล้วในสิกขาบทนี้ ฉะนั้น พระองค์จึงตรัสไว้
              ในบทภาชนะแห่งบทว่า ปาปสมาจาร นี้ โดยนัยเป็นต้นว่า มาลาวจฺฉํ โรเปนฺติปิ ดังนี้.
              บทว่า ติโรกฺขา แปลว่า ลับหลัง. ก็คำว่า กุลานิ นี้ ใน
              คำว่า กุลานิ จ เตน ทุฏฺฐานิ นี้เป็นเพียงโวหาร. 
              แต่โดยความหมาย พวกชาวบ้านถูกภิกษุนั้นประทุษร้าย ฉะนั้น ในบทภาชนะแห่งบทว่า กุลานิ จ เตน ทุฏฺฐานิ
              พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำมีอาทิว่า ปุพฺเพ สทฺธา หุตฺวา ดังนี้.
              บทว่า ฉนฺทคามิโน มีวิเคราะห์ว่า ผู้ชื่อว่า มี ฉันทคามินะ เพราะอรรถว่า ย่อมลำเอียงเพราะชอบพอกัน. ในบทที่เหลือ ก็มีนัยอย่างนี้.
              ในคำว่า สมนุภาสิตพฺโพ ตสฺส ปฏินิสฺสคฺคาย นี้ บัณฑิตพึงเห็นความอย่างนี้ว่า เป็นทุกกฏอย่างเดียว เพราะกุลทูสกกรรม. 
              แต่ภิกษุนั้นหลีกเลี่ยงกล่าวคำใดกะสงฆ์ว่า เป็นผู้มีความลำเอียงเพราะชอบพอกันเป็นต้น สงฆ์พึงกระทำสมนุภาสนกรรม เพื่อสละคืนซึ่งคำว่า เป็นผู้มีลำเอียงเพราะชอบกัน
 เป็นต้นนั้นเสีย
              คำที่เหลือทุกๆ แห่ง มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น. แม้สมุฏฐานเป็นต้นก็เช่นเดียวกับปฐมสังฆเภทสิกขาบทนั้นแล.
   กุลทูสกสิกขาบทวรรณนา จบ.
อรรถกถา เตรสกัณฑ์  บทสรุปสังฆาทิเสส
[แก้อรรถบทสรูปสังฆาทิเสส]
               ในคำว่า อุทฺทิฏฺฐา โข ฯเปฯ เอวเมตํ ธารยามิ นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               ธรรมเหล่านี้มีการต้องแต่แรก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ปฐมาปัตติกะ. อธิบายว่า พึงต้องในครั้งแรก คือ ในขณะที่ล่วงละเมิดทีเดียว.
               ส่วนธรรมทั้งหลายนอกนี้ พึงทราบว่าเป็น ยาวตติยกะ ด้วยอรรถว่ามี (เป็นอาบัติ) ในเพราะสมนุภาสนกรรมครั้งที่ ๓ เหมือนโรคไข้เชื่อม (โรคผอม) มี (เป็น) ในวันที่ ๓ และที่ ๔ เขาเรียกว่า โรคที่ ๓ ที่ ๔ ฉะนั้น.
               ข้อว่า ยาวตีหํ ชานํ ปฏิจฺฉาเทติ มีความว่า รู้อยู่ ปกปิดไว้ คือไม่บอกแก่เพื่อนสพรหมจารีทั้งหลายว่า ข้าพเจ้าต้องอาบัติชื่อนี้ สิ้นวันมีประมาณเท่าใด.
               บทว่า ตาวตีหํ ความว่า (ต้องอยู่ปริวาสด้วยความไม่ปรารถนา) สิ้นวันมีประมาณเท่านั้น.
               ข้อว่า อกามา ปริวตฺตพฺพํ มีความว่า ไม่ใช่ด้วยความปรารถนา คือไม่ใช่ด้วยอำนาจ (ของตน), ที่แท้พึงสมาทานปริวาสอยู่ด้วยความไม่ปรารถนา คือ ด้วยมิใช่อำนาจ (ของตน).
               สองบทว่า อุตฺตรึ ฉารตฺตํ คือ สิ้น ๖ ราตรี เพิ่มขึ้นจากปริวาส.
               บทว่า ภิกฺขุมานตฺตาย ได้แก่ เพื่อความนับถือของภิกษุทั้งหลาย. มีคำอธิบายว่า เพื่อประโยชน์ให้ภิกษุทั้งหลายยินดี. ภิกษุสงฆ์นั้น ชื่อว่า วีสติคณะ เพราะมีคณะนับได้ ๒๐ รูป.
               บทว่า ตตฺถ มีความว่า ในสีมาที่ภิกษุสงฆ์ มีคณะ ๒๐ รูป โดยกำหนดอย่างต่ำกว่าเขาทั้งหมด.
               บทว่า อพฺเภตพฺโพ มีความว่า อันภิกษุสงฆ์พึงอัพภาน คือ พึงรับรอง. มีคำอธิบายว่า พึงเรียกเข้าด้วยอำนาจแห่งอัพภานกรรม.
               อีกอย่างหนึ่ง มีใจความว่า สงฆ์พึงเรียกเข้าหมู่.
               บทว่า อนพฺภิโต ได้แก่ เป็นผู้อันสงฆ์ไม่ได้อัพภาน คือไม่ได้รับรอง.
               มีคำอธิบายว่า ยังไม่ได้ทำอัพภานกรรม.
               อีกอย่างหนึ่ง มีใจความว่า สงฆ์ยังไม่ได้เรียกเข้าหมู่.
               บทว่า สามีจิ แปลว่า ตามธรรมดา.
               มีคำอธิบายว่า โอวาทานุสาสนีอันคล้อยตามโลกุตรธรรม เป็นสามีจิ คือเป็นธรรมดา (สามีจิกรรม).
               บทที่เหลือในคำว่า อุทฺทิฏฺฐา โข เป็นต้นนี้ มีนัยดังกล่าวแล้วทั้งนั้นแล.
           เตรสกัณฑวรรณนา ในอรรถกถาพระวินัย      ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ.    

สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑๓ [ว่าด้วย ประทุษร้ายสกุล] เตรสกัณฑ์. พระวินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ ปฐมภาค

เรื่องภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ    
             [๖๑๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถ บิณฑิกะคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ เป็น เจ้าถิ่นในชนบทกิฏาคีรี เป็นภิกษุอลัชชี ชั่วช้า ภิกษุพวกนั้นประพฤติอนาจารเห็นปานดังนี้ คือ ปลูกต้นไม้ดอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นปลูกบ้าง รดน้ำเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นรดบ้าง เก็บดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นเก็บบ้าง ร้อยกรองดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นร้อยกรองบ้าง ทำมาลัยต่อก้านเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำมาลัยเรียงก้านเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้ช่อเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่น ทำบ้าง ทำดอกไม้พุ่มเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้เทริดเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้พวงเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้แผงสำหรับประดับอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่น ทำบ้าง ภิกษุพวกนั้นนำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งมาลัยต่อก้าน นำไปเองบ้าง ใช้ให้ ผู้อื่นนำไปบ้างซึ่งมาลัยเรียงก้าน นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้ช่อ นำไปเอง บ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้พุ่ม นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้เทริด นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้พวง นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้แผงสำหรับประดับอก เพื่อกุลสตรี เพื่อกุลธิดา เพื่อกุลกุมารี เพื่อสะใภ้แห่งสกุลเพื่อกุลทาสี
             ภิกษุพวกนั้น ฉันอาหารในภาชนะอันเดียวกันบ้าง ดื่มน้ำในขันใบเดียวกันบ้าง นั่งบนอาสนะอันเดียวกันบ้าง นอนบนเตียงอันเดียวกันบ้าง นอนร่วมเครื่องลาดอันเดียวกันบ้าง นอนคลุมผ้าห่มผืนเดียวกันบ้าง นอนร่วมเครื่องลาดและคลุมผ้าห่มร่วมกันบ้าง กับกุลสตรี กุลธิดา กุลกุมารี สะใภ้แห่งสกุล กุลทาสี ฉันอาหารในเวลาวิกาลบ้าง ดื่มน้ำเมาบ้าง ทัดทรงดอกไม้ ของหอมและเครื่องลูบไล้บ้าง ฟ้อนรำบ้าง ขับร้องบ้าง ประโคมบ้าง เต้นรำบ้างฟ้อนรำกับ หญิงฟ้อนรำบ้าง ขับร้องกับหญิงฟ้อนรำบ้าง ประโคมกับหญิงฟ้อนรำบ้าง เต้นรำกับหญิงฟ้อนรำ บ้าง ฟ้อนรำกับหญิงขับร้องบ้าง ขับร้องกับหญิงขับร้องบ้าง ประโคมกับหญิงขับร้องบ้าง เต้นรำ กับหญิงขับร้องบ้าง ฟ้อนรำกับหญิงประโคมบ้าง ขับร้องกับหญิงประโคมบ้าง ประโคมกับหญิง ประโคมบ้าง เต้นรำกับหญิงประโคมบ้าง ฟ้อนรำกับหญิงเต้นรำบ้าง ขับร้องกับหญิงเต้นรำบ้าง ประโคมกับหญิงเต้นรำบ้าง เต้นรำกับหญิงเต้นรำบ้าง
             เล่นหมากรุกแถวละแปดตาบ้าง เล่นหมากรุกแถวละสิบตาบ้าง เล่นหมากเก็บบ้าง เล่นชิงนางบ้าง เล่นหมากไหวบ้าง เล่นโยนห่วง บ้าง เล่นไม้หึ่งบ้าง เล่นฟาดให้เป็นรูปต่างๆ บ้าง เล่นสะกาบ้าง เล่นเป่าใบไม้บ้าง เล่นไถน้อยๆ บ้าง เล่นหกคะเมนบ้าง เล่นไม้กังหันบ้าง เล่นตวงทรายด้วยไม้ไบ้บ้าง เล่นรถน้อยๆ บ้าง เล่นธนูน้อยๆ บ้าง เล่นเขียนทายบ้าง เล่นทายใจบ้าง เล่นเลียนคนพิการบ้าง หัดขี่ช้างบ้าง หัดขี่ม้าบ้าง หัดขี่รถบ้าง หัดยิงธนูบ้าง หัดเพลงอาวุธบ้าง วิ่งผลัดช้างบ้าง วิ่งผลัดม้าบ้าง วิ่ง ผลัดรถบ้าง วิ่งขับกันบ้าง วิ่งเปี้ยวกันบ้าง ผิวปากบ้าง ปรบมือบ้าง ปล้ำกันบ้าง ชกมวยกัน บ้าง ปูลาดผ้าสังฆาฏิ ณ กลางสถานเต้นรำแล้ว พูดกับหญิงฟ้อนรำอย่างนี้ว่า น้องหญิง เธอจง ฟ้อนรำ ณ ที่นี้ ดังนี้บ้าง ให้การคำนับบ้าง ประพฤติอนาจารมีอย่างต่างๆ บ้าง
          [๖๑๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาในแคว้นกาสี เดินทางไปพระนครสาวัตถีเพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงชนบทกิฏาคีรีแล้ว ครั้นเวลาเช้าภิกษุนั้นครองอันตรวาสก ถือ บาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังชนบทกิฏาคีรี มีอาการเดินไป ถอยกลับ แลเหลียว เหยียดแขน คู้แขน น่าเลื่อมใส มีจักษุทอดลง สมบูรณ์ด้วยอิริยาบถ คนทั้งหลายเห็นภิกษุรูปนั้นแล้ว พูดอย่างนี้ว่า ภิกษุรูปนี้เป็นใคร ดูคล้ายคนไม่ค่อยมีกำลัง เหมือนคนอ่อนแอ เหมือนคนมีหน้าสยิ้ว ใครเล่าจักถวายบิณฑะแก่ท่านผู้เข้าไปเที่ยว บิณฑบาตรูปนี้ ส่วนพระผู้เป็นเจ้าเหล่าพระอัสสชิ และพระปุนัพพสุกะของพวกเรา เป็นผู้อ่อนโยน พูดไพเราะ อ่อนหวาน ยิ้มแย้มก่อนมักพูดว่า มาเถิด มาดีแล้ว มีหน้าไม่สยิ้ว มีหน้าชื่นบาน มักพูดก่อน ใครๆ ก็ต้องถวายบิณฑะแก่ท่านเหล่านั้น อุบาสกคนหนึ่ง ได้แลเห็นภิกษุรูปนั้นกำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในชนบทกิฏาคีรี ครั้นแล้ว จึงเข้าไปหาภิกษุนั้น กราบเรียนถามภิกษุรูปนั้นว่า พระคุณเจ้าได้บิณฑะบ้างไหม ขอรับ 
              ภิกษุรูปนั้นตอบว่า ยังไม่ได้บิณฑะเลยจ้ะ อุบาสกกล่าวอาราธนาว่า นิมนต์ไปเรือนผมเถิด ขอรับ แล้วนำภิกษุนั้นไปเรือน นิมนต์ ให้ฉันแล้ว ถามว่า พระคุณเจ้าจักไปที่ไหน ขอรับ 
              ภิ. อาตมาจักไปพระนครสาวัตถี เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค 
              อุ. ถ้าเช่นนั้น ขอพระคุณเจ้า จงกราบถวายบังคมพระบาทของพระผู้มีพระภาคด้วย เศียรเกล้า และขอจงกราบทูลตามถ้อยคำของกระผมอย่างนี้ด้วยขอรับว่า พระพุทธเจ้าข้า วัดในชนบทกิฏาคีรีโทรม ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะเป็นเจ้าถิ่นในชนบทกิฏาคีรี เป็นภิกษุอลัชชี เลวทราม พวกเธอประพฤติอนาจารเห็นปานดั่งนี้ คือ ปลูกต้นไม้ดอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นปลูกบ้าง รดน้ำเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นรดบ้าง เก็บดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นเก็บบ้าง ร้อยกรองดอกไม้เอง ใช้ให้ผู้อื่นร้อยกรองบ้าง ทำมาลัยต่อก้านเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำ มาลัยเรียงก้านเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ... ประพฤติอนาจารมีอย่างต่างๆ บ้าง
             เมื่อก่อนชาวบ้าน ยังมีศรัทธาเลื่อมใส แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ศรัทธาไม่เลื่อมใสแล้ว แม้ทานประจำของสงฆ์ก่อนๆ บัดนี้ ทายกทายิกาได้ตัดขาดแล้ว ภิกษุมีศีลเป็นที่รักย่อมหลีกเลี่ยงไป ภิกษุเลวทรามอยู่ครอง พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้า ขอประทานพระวโรกาส พระผู้มีพระภาคพึงส่งภิกษุทั้งหลายไปสู่
ชนบท กิฏาคีรี เพื่อวัดชนบทกิฏาคีรีนี้จะพึงตั้งมั่นอยู่.
             ภิกษุนั้นรับคำของอุบาสกนั้นแล้ว หลีกไปโดยหนทางอันจะไปสู่พระนครสาวัตถี ถึง พระนครสาวัตถี พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดีโดยลำดับ เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. 
พุทธประเพณี
[๖๑๖] อันการที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายทรงปราศรัยกับพระอาคันตุกะทั้งหลาย นั่นเป็นพุทธประเพณี พระพุทธเจ้าทรงปราศรัย  ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามภิกษุนั้นว่า ดูกรภิกษุ เธอยังพอทนอยู่ดอกหรือ ยังพอครองอยู่ดอกหรือ เธอเดินทางมาเหนื่อยน้อยหรือ ก็นี่เธอมาจากไหนเล่า?
             ภิกษุนั้นกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้ายังพอทนอยู่ได้ ยัง
พอครองอยู่ได้พระพุทธเจ้าข้า และ ข้าพระพุทธเจ้าเดินทางมาลำบากเล็กน้อย ข้าพระพุทธเจ้าจำพรรษาในแคว้นกาสีแล้ว เมื่อจะมายัง พระนครสาวัตถี เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคได้ผ่านชนบทกิฏาคีรี พระพุทธเจ้าข้า
             ครั้นเวลาเช้าข้าพระพุทธเจ้าครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังชนบทกิฏาคีรี พระพุทธเจ้าข้า อุบาสกคนหนึ่ง ได้เห็นข้าพระพุทธเจ้ากำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในชนบทกิฏาคีรี ครั้นแล้วได้เข้าไป หาข้าพระพุทธเจ้า กราบ
ไหว้ข้าพระพุทธเจ้าถามว่า "ท่านได้บิณฑะบ้างไหมขอรับ"                
             ข้าพระพุทธเจ้า ตอบว่า "ยังไม่ได้บิณฑะเลยจ้ะ"
             เขาพูดว่า "นิมนต์ไปเรือนผมเถิด ขอรับ"
             แล้วนำข้าพระพุทธเจ้า ไปเรือน ให้ฉันแล้วถามว่า "พระคุณเจ้าจักไปที่ไหน ขอรับ"
             ข้าพระพุทธเจ้าตอบว่า "จักไปพระนคร สาวัตถี เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคจ้ะ"
      เขาพูดว่า "ท่านขอรับ ถ้าเช่นนั้นขอท่านจงกราบถวายบังคม พระบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า และขอจงกราบทูลตาม"ถ้อยคำของกระผมอย่างนี้ว่าพระพุทธเจ้าข้า วัดในชนบทกิฏาคีรีโทรม ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะเป็นเจ้าถิ่น ในชนบทกิฏาคีรี เป็นภิกษุอลัชชี เลวทราม ประพฤติอนาจารเห็นปานดั่งนี้ คือ ปลูกต้นไม้ ดอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นปลูกบ้าง รดน้ำเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นรดบ้าง ... ประพฤติอนาจารมีอย่างต่างๆ บ้าง เมื่อก่อนชาวบ้านยังมีศรัทธาเลื่อมใส แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ศรัทธาไม่เลื่อมใสแล้ว แม้ทานประจำ ของสงฆ์ก่อนๆ บัดนี้ทายกทายิกาได้ตัดขาดแล้ว ภิกษุมีศีลเป็นที่รักย่อมหลีกเลี่ยงไป ภิกษุเลวทราม อยู่ครอง พระพุทธเจ้าข้า
              ข้าพระพุทธเจ้า ขอประทานพระวโรกาส พระองค์ควรส่งภิกษุทั้งหลาย ไปสู่ชนบทกิฏาคีรี เพื่อวัดในชนบทกิฏาคีรีนี้จะพึงตั้งมั่นอยู่ ดังนี้ ข้าพระพุทธเจ้ามาจากชนบท กิฏาคีรีนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
  ทรงสอบถามภิกษุสงฆ์ 
             [๖๑๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้นแล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุพวก พระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะเป็นเจ้าถิ่นในชนบทกิฏาคีรี เป็นภิกษุอลัชชี เลวทราม ประพฤติอนาจารเห็นปานดั่งนี้ คือ ปลูกต้นไม้ดอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นปลูกบ้าง รดน้ำเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่น รดบ้าง เก็บดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นเก็บบ้าง ร้อยกรองดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นร้อยกรองบ้าง ทำมาลัยต่อก้านเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำมาลัยเรียงก้านเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้ ช่อเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้พุ่มเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้เทริดเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้พวงเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้แผงสำหรับประดับอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ประพฤติอนาจารต่างๆ บ้าง เมื่อก่อนชาวบ้านยังมีศรัทธาเลื่อมใส แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ศรัทธาไม่เลื่อมใสแล้ว แม้ทานประจำของสงฆ์ก่อนๆ บัดนี้ทายกทายิกาได้ตัดขาดแล้ว ภิกษุมีศีลเป็นที่รักย่อมหลีกเลี่ยงไป ภิกษุเลวทรามอยู่ครอง ดังนี้ จริงหรือ? 
              ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
พระพุทธเจ้าทรงติเตียน 
          พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของภิกษุโมฆบุรุษ เหล่านั้นนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้น จึงได้ประพฤติอนาจารเห็นปานดั่งนี้ คือ ปลูกต้นไม้ดอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นปลูกบ้าง รดน้ำเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นรดบ้าง เก็บดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นเก็บบ้าง ร้อยกรองดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นร้อยกรองบ้าง ทำมาลัยต่อก้านเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำมาลัยเรียงก้านเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้ช่อเองบ้าง ใช้ให้ ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้พุ่มเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้เทริดเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้พวงเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง ทำดอกไม้แผงสำหรับประดับอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง พวกเธอนำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งมาลัยต่อก้าน นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งมาลัยเรียงก้าน นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้ช่อ นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่น นำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้พุ่ม นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้เทริด นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้พวง นำไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นนำไปบ้าง ซึ่งดอกไม้แผง สำหรับ ประดับอก เพื่อกุลสตรี เพื่อกุลธิดา เพื่อกุลกุมารี เพื่อสะใภ้แห่งสกุล เพื่อกุลทาสี
             พวกเธอ ฉันอาหารในภาชนะอันเดียวกันบ้าง ดื่มน้ำในขันใบเดียวกันบ้าง นั่งบนอาสนะอันเดียวกันบ้าง นอนบนเตียงอันเดียวกันบ้าง นอนร่วมเครื่องลาดอันเดียวกันบ้าง นอนคลุมผ้าห่มผืนเดียวกันบ้าง นอนร่วมเครื่องลาด และคลุมผ้าห่มร่วมกันบ้าง กับกุลสตรี กุลธิดา กุลกุมารี สะใภ้แห่งสกุล กุลทาสี ฉันอาหารในเวลาวิกาลบ้าง ดื่มน้ำเมาบ้าง ทัดทรงดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้บ้าง ฟ้อนรำบ้าง ขับร้องบ้าง ประโคมบ้าง เต้นรำบ้าง ฟ้อนรำกับหญิงฟ้อนรำบ้าง ขับร้องกับหญิง ฟ้อนรำบ้าง ประโคมกับหญิงฟ้อนรำบ้าง เต้นรำกับหญิงฟ้อนรำบ้าง ฟ้อนรำกับหญิงขับร้องบ้าง ขับร้องกับหญิงขับร้องบ้าง ประโคมกับหญิงขับร้องบ้าง เต้นรำกับหญิงขับร้องบ้าง ฟ้อนรำ กับหญิงประโคมบ้าง ขับร้องกับหญิงประโคมบ้าง ประโคมกับหญิงประโคมบ้าง เต้นรำกับหญิง ประโคมบ้าง ฟ้อนรำกับหญิงเต้นรำบ้าง ขับร้องกับหญิงเต้นรำบ้าง ประโคมกับหญิงเต้นรำบ้าง เต้นรำกับหญิงเต้นรำบ้าง
             เล่นหมากรุกแถวละแปดตาบ้าง เล่นหมากรุกแถวละสิบตาบ้าง เล่นหมากเก็บบ้าง เล่นชิงนางบ้าง เล่นหมากไหวบ้าง เล่นโยนห่วงบ้าง เล่นไม้หึ่งบ้าง เล่นฟาดให้เป็นรูปต่างๆ บ้าง เล่นสะกาบ้าง เล่นเป่าใบไม้บ้าง เล่นไถน้อยๆ บ้างเล่นหกคะเมนบ้าง เล่นไม้กังหันบ้าง เล่นตวงทรายด้วยใบไม้บ้าง เล่นรถน้อยๆ บ้าง เล่นธนูน้อยๆ บ้าง เล่นเขียนทายบ้าง เล่นทายใจบ้าง เล่นเลียนคนพิการบ้าง หัดขี่ช้างบ้าง หัดขี่ม้าบ้าง หัดขี่รถบ้าง หัดยิงธนูบ้าง หัดเพลงอาวุธบ้าง วิ่งผลัดช้างบ้าง วิ่งผลัดม้าบ้าง วิ่งผลัดรถบ้าง วิ่งขับกันบ้าง วิ่งเปี้ยวกันบ้าง ผิวปากบ้าง ปรบมือบ้าง ปล้ำกันบ้าง ชกมวยกันบ้าง ปูลาดผ้าสังฆาฏิ ณ กลางสถาน เต้นรำ แล้วพูดกับหญิงฟ้อนรำ อย่างนี้ว่า น้องหญิงเธอจงฟ้อนรำ ณ ที่นี้ดั่งนี้บ้าง ให้การคำนับบ้าง ประพฤติอนาจารมีอย่างต่างๆ บ้างเล่า
            . ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การ กระทำของโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อ ความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว. 
รับสั่งให้ปัพพาชนียกรรม 
             [๖๑๘] ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงติเตียนภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ โดย อเนกปริยายดังนี้แล้ว ทรงกระทำธรรมีกถารับสั่งกะพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะว่า ไปเถิด สารีบุตรและโมคคัลลานะ พวกเธอไปถึงชนบทกิฏาคีรีแล้วจงทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะจากชนบทกิฏาคีรี เพราะภิกษุพวกนั้นเป็นสัทธิวิหาริกของเธอ.
             พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะกราบทูลถามว่า "พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระพุทธเจ้า จะทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุพวก พระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ จากชนบทกิฏาคีรีได้ด้วย วิธีไร เพราะภิกษุพวกนั้น ดุร้าย หยาบคาย"
             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตรและโมคคัลลานะ ถ้าเช่นนั้น พวกเธอจงไปพร้อม ด้วยภิกษุหลายๆ รูป.
             พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคว่า "อย่างนั้น พระพุทธ-เจ้าข้า."
 วิธีทำปัพพาชนียกรรม 
              [๖๑๙] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลวิธีปัพพาชนียกรรมพึงทำอย่างนี้ พึงโจทภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะก่อน ครั้นแล้วพึงให้พวกเธอให้การ ครั้นแล้ว พึงยกอาบัติขึ้น ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:- 
กรรมวาจาทำปัพพาชนียกรรม
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้าภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะเหล่านี้ เป็นผู้ ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ความประพฤติเลวทรามของภิกษุเหล่านี้ เขาได้เห็น อยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกุลทั้งหลายอันภิกษุเหล่านี้ประทุษร้ายแล้ว เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว
             สงฆ์พึงทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุพวกพระ อัสสชิและพระปุนัพพสุกะจากชนบทกิฏาคีรีว่า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะไม่พึงอยู่ ในชนบทกิฏาคีรี นี่เป็นญัตติ ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะเหล่านี้เป็นผู้ ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ความประพฤติเลวทรามของภิกษุเหล่านี้ เขาได้เห็น อยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกุลทั้งหลายอันภิกษุเหล่านี้ประทุษร้ายแล้ว เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขา ได้ยินอยู่ด้วย สงฆ์ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะจากชนบทกิฏาคีรี
             ว่า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะไม่พึงอยู่ในชนบทกิฏาคีรี การทำปัพพาชนียกรรม แก่ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะจากชนบทกิฏาคีรี
             ว่า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ ไม่พึงอยู่ในชนบทกิฏาคีรี ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่าน ผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด
              ข้าพเจ้ากล่าวความนี้แม้ครั้งที่สอง ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะเหล่านี้ เป็นผู้ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ความประพฤติเลวทรามของภิกษุเหล่านี้ เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกุลทั้งหลายอัน ภิกษุเหล่านี้ประทุษร้ายแล้ว เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย
             สงฆ์ทำปัพพาชนียกรรมแก่ ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ จากชนบทกิฏาคีรีว่า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะไม่พึงอยู่ในชนบทกิฏาคีรี การทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะจากชนบทกิฏาคีรีว่า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะไม่พึงอยู่ในชนบทกิฏาคีรี ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด
             ข้าพเจ้ากล่าวความนี้แม้ครั้งที่สาม ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะเหล่านี้ เป็นผู้ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ความประพฤติ เลวทรามของภิกษุเหล่านี้ เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกุลทั้งหลายอันภิกษุเหล่านี้ ประทุษร้ายแล้ว เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย
             สงฆ์ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ จากชนบทกิฏาคีรี
            ว่า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะไม่พึง อยู่ในชนบทกิฏาคีรี การทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะจากชนบท กิฏาคีรี
             ว่า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะไม่พึงอยู่ในชนบทกิฏาคีรีชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด 
              ปัพพาชนียกรรม สงฆ์ทำแล้วแก่ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะจากชนบท กิฏาคีรีว่า ภิกษุพวกพระอัสสชิ และ พระปุนัพพสุกะไม่พึงอยู่ในชนบทกิฏาคีรี ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้น จึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้. 
             [๖๒๐] ลำดับนั้น ภิกษุสงฆ์มีพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นประมุขได้ไปสู่ ชนบทกิฏาคีรีแล้ว ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะจากชนบท กิฏาคีรี
             ว่า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ ไม่พึงอยู่ในชนบทกิฏาคีรี ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะเหล่านั้น ถูกสงฆ์ทำปัพพาชนียกรรมแล้ว ไม่ประพฤติโดยชอบ ไม่หายเย่อหยิ่ง ไม่ประพฤติแก้ตัว ไม่ขอขมาภิกษุทั้งหลาย ยังด่า ยังบริภาษ การกสงฆ์ ยังใส่ความว่า ลำเอียงด้วยความพอใจ ลำเอียงด้วยความขัดเคือง ลำเอียงด้วย ความหลง ลำเอียงด้วยความกลัว หลีกไปเสียก็มี สึกเสียก็มี
             บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะถูก สงฆ์ทำปัพพาชนียกรรมแล้ว จึงไม่ประพฤติโดยชอบ ไม่หายเย่อหยิ่ง ไม่ประพฤติแก้ตัว ไม่ขอ ขมาภิกษุทั้งหลาย ยังด่า ยังบริภาษการกสงฆ์ ยังใส่ความว่า ลำเอียงด้วยความพอใจ ลำเอียง ด้วยความขัดเคือง ลำเอียงด้วยความหลง ลำเอียงด้วยความกลัว หลีกไปเสียก็มี สึกเสียก็มี เล่าแล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติสิกขาบท
              [๖๒๑] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค รับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็น เค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะถูกสงฆ์ทำปัพพาชนียกรรมแล้ว ไม่ประพฤติโดยชอบ ไม่ หายเย่อหยิ่ง ไม่ประพฤติแก้ตัว ไม่ขอขมาภิกษุทั้งหลาย ยังด่า ยังบริภาษการกสงฆ์ ยังใส่ความว่า ลำเอียงด้วยความพอใจ ลำเอียงด้วยความขัดเคือง ลำเอียงด้วยความหลง ลำเอียงด้วยความกลัว หลีกไปเสียก็มี สึกเสียก็มี จริงหรือ? 
              ภิกษุเหล่านั้นทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
          พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของภิกษุโมฆบุรุษ เหล่านั้นนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉน พวก ภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้น ถูกสงฆ์ทำปัพพาชนียกรรมแล้ว จึงไม่ประพฤติโดยชอบ ไม่หายเย่อยิ่ง ไม่ประพฤติแก้ตัว ไม่ขอขมาภิกษุทั้งหลาย ยังด่า ยังบริภาษการกสงฆ์ ยังใส่ความว่า ลำเอียงด้วยความพอใจ ลำเอียงด้วยความขัดเคือง ลำเอียงด้วยความหลง ลำเอียงด้วยความกลัว หลีกไปเสียก็มี สึกเสียก็มีเล่า.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และ เพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
             ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงติเตียนภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่า เลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยายแล้ว ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลายแล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า 
        ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัย อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะ บังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑ 
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
 พระบัญญัติ
            ๑๗. ๑๓. อนึ่ง ภิกษุเข้าไปอาศัยบ้านก็ดี นิคมก็ดี แห่งใดแห่งหนึ่งอยู่ เป็นผู้ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ความประพฤติเลวทรามของเธอ เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกุลทั้งหลายอันเธอประทุษร้ายแล้ว เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย ภิกษุนั้นอันภิกษุทั้งหลาย พึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเป็นผู้ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ความประพฤติเลวทรามของท่านเขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกุลทั้งหลายอันท่านประทุษร้ายแล้ว เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย ท่านจงหลีกไปเสียจากอาวาสนี้ ท่านอย่าอยู่ในที่นี้และภิกษุนั้นอันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ พึงว่ากล่าวภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ว่า
      พวกภิกษุถึงความพอใจด้วย ถึงความขัดเคืองด้วย ถึงความหลงด้วย ถึงความกลัวด้วยย่อมขับภิกษุบางรูป ย่อมไม่ขับภิกษุบางรูป เพราะอาบัติ เช่นเดียวกัน ภิกษุนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านอย่าได้กล่าวอย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย หาได้ถึงความพอใจไม่ หาได้ถึงความขัดเคืองไม่ หาได้ถึงความหลงไม่ หาได้ถึงความกลัวไม่ ท่านเองแล เป็นผู้ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ความประพฤติเลวทรามของท่าน เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกุลทั้งหลายอันท่านประทุษร้ายแล้ว เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย ท่านจงหลีกไปเสียจากอาวาสนี้ ท่านอย่าอยู่ในที่นี้ และภิกษุนั้นอันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ ยังยกย่องอยู่อย่างนั้นเทียว
        ภิกษุนั้นอันภิกษุทั้งหลาย พึงสวดสมนุภาสกว่าจะครบสามจบ เพื่อให้สละกรรมนั้นเสียหากเธอถูกสวดสมนุภาสากว่าจะครบสามจบอยู่ สละกรรมนั้นเสีย สละได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากเธอไม่สละเสีย เป็นสังฆาทิเสส. เรื่องภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
             [๖๒๒] คำว่า อนึ่งภิกษุ ... บ้านก็ดี นิคมก็ดี แห่งใดแห่งหนึ่ง  ความว่า บ้านก็ดี นิคมก็ดี นครก็ดี ชื่อว่า บ้านและนิคม.
             บทว่า เข้าไปอาศัย ... อยู่ คือจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัชบริขารเป็นปัจจัยของภิกษุไข้ เป็นปัจจัยเกี่ยวเนื่องอยู่ในที่นั้น.
             ที่ชื่อว่า สกุล หมายสกุล ๔ คือ สกุลกษัตริย์ สกุลพราหมณ์ สกุลแพศย์ สกุลศูทร
             บทว่า เป็นผู้ประทุษร้ายสกุล คือ ประจบสกุลด้วยดอกไม้ก็ดี ผลไม้ก็ดี แป้งก็ดีดินก็ดี ไม้สีฟันก็ดี   ไม้ไผ่ก็ดี การแพทย์ก็ดี การสื่อสารก็ดี
             บทว่า มีความประพฤติเลวทราม คือ ปลูกไม้ดอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นปลูกบ้างรดน้ำเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นรดบ้าง เก็บดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นเก็บบ้าง ร้อยกรองดอกไม้เองบ้างใช้ให้ผู้อื่นร้อยกรองบ้าง.
             [๖๒๓] บทว่า เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย คือ ชนเหล่าใดอยู่เฉพาะหน้าชนเหล่านั้น  ชื่อว่าได้เห็นอยู่ ชนเหล่าใดอยู่ลับหลัง ชนเหล่านั้นชื่อว่าได้ยินอยู่.
             บทว่า และสกุลทั้งหลาย อันเธอประทุษร้ายแล้ว คือ ชนทั้งหลายเมื่อก่อนมีศรัทธา อาศัยภิกษุนั้น กลับเป็นคนไม่มีศรัทธา เมื่อก่อนเป็นคนเลื่อมใสอาศัยภิกษุนั้นกลับเป็นคนไม่เลื่อมใส
             บทว่า เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย คือ ชนเหล่าใดอยู่เฉพาะหน้าชนเหล่านั้น ชื่อว่าได้เห็นอยู่ ชนเหล่าใดอยู่ลับหลัง ชนเหล่านั้น ชื่อว่าได้ยินอยู่
             [๖๒๔] บทว่า ภิกษุนั้น ได้แก่ ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุลรูปนั้น
             บทว่า อันภิกษุทั้งหลาย ได้แก่ ภิกษุเหล่าอื่น อธิบายว่าภิกษุพวกที่ได้เห็นได้ยินเหล่านั้น พึงว่ากล่าวภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุลรูปนั้นว่า ท่านแล เป็นผู้ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ความประพฤติเลวทรามของท่านแล เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกุลทั้งหลาย อันท่านประทุษร้ายแล้ว เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย ท่านจงหลีกไปเสียจากอาวาสนี้ ท่านอย่าอยู่ในที่นี้ และภิกษุนั้น อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ พึงว่าภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ความพอใจด้วย ถึงความขัดเคืองด้วย ถึงความหลงด้วยถึงความกลัวด้วย ย่อมขับภิกษุบางรูป ย่อมไม่ขับภิกษุบางรูป                          เพราะอาบัติเช่นเดียวกัน
             [๖๒๕] บทว่า ภิกษุนั้น ได้แก่ภิกษุผู้ทำกรรมรูปนั้น
             บทว่า อันภิกษุทั้งหลาย ได้แก่ภิกษุเหล่าอื่น อธิบายว่า ภิกษุเหล่าใดได้เห็น ภิกษุเหล่าใดได้ยิน ภิกษุเหล่านั้น พึงว่ากล่าวภิกษุผู้ทำกรรมรูปนั้นว่า ท่านอย่าได้กล่าวอย่างนั้น ภิกษุทั้งหลายหาได้ถึงความพอใจไม่ หาได้ถึงความขัดเคืองไม่ หาได้ถึงความหลงไม่ และหาได้ถึงความกลัวไม่ ท่านแล เป็นผู้ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ความประพฤติเลวทรามของท่านแล เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกุลทั้งหลาย อันท่านประทุษร้ายแล้วเขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย ท่านจงหลีกไปเสียจากอาวาสนี้ ท่านอย่าอยู่ในที่นี้ พึงว่ากล่าว แม้ครั้งที่สอง พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่สาม หากเธอสละเสีย สละได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดีหากเธอไม่สละเสีย ต้องอาบัติทุกกฏ
          ภิกษุทั้งหลายได้ยินแล้วไม่ว่ากล่าว ต้องอาบัติทุกกฏภิกษุนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงคุมตัวมาแม้สู่ท่ามกลางสงฆ์แล้วพึงว่ากล่าวว่า ท่านอย่าได้กล่าวอย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย หาได้ถึงความพอใจไม่ หาได้ถึงความขัดเคืองไม่ หาได้ถึงความหลงไม่ หาได้ถึงความกลัวไม่ ท่านแลเป็นผู้ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ความประพฤติเลวทรามของท่านแล เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกุลทั้งหลายอันท่านประทุษร้ายแล้วเขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย ท่านจงหลีกไปเสียจากอาวาสนี้ ท่านอย่าอยู่ในที่นี้ พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่สอง พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่สาม หากเธอสละเสีย สละได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากเธอไม่สละเสีย ต้องอาบัติทุกกฏ.
วิธีสวดสมนุภาส
             [๖๒๖] ภิกษุนั้นอันสงฆ์พึงสวดสมนุภาส ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็แลสงฆ์พึงสวดสมนุภาสอย่างนี้ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาสวดสมนุภาส
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้ผู้นี้ ถูกสงฆ์ทำปัพพาชนียกรรมแล้ว ใส่ความภิกษุทั้งหลายว่า ลำเอียงด้วยความพอใจ ลำเอียงด้วยความขัดเคือง ลำเอียงด้วยความหลง ลำเอียงด้วยความกลัว เธอยังไม่สละเรื่องนั้น ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสวดสมนุภาส ภิกษุผู้มีชื่อนี้ เพื่อให้สละเรื่องนั้นเสีย นี่เป็นญัตติ
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้ผู้นี้ ถูกสงฆ์ทำปัพพาชนียกรรมแล้ว ใส่ความภิกษุทั้งหลายว่า ลำเอียงด้วยความขัดเคือง ลำเอียงด้วยความหลง ลำเอียงด้วยความกลัว เธอยังไม่สละเรื่องนั้น
             สงฆ์สวดมมนุภาสภิกษุผู้นี้ชื่อนี้ เพื่อให้สละเรื่องนั้นเสีย การสวดสมนุภาสภิกษุผู้มีชื่อนี้ เพื่อให้สละเรื่องนั้นเสีย ชอบแก่ท่านผู้ใดท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด
             ข้าพเจ้ากล่าวความนี้แม้ครั้งที่สอง ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้ผู้นี้ ถูกสงฆ์ทำปัพพาชนียกรรมแล้ว ใส่ความภิกษุทั้งหลายว่า ลำเอียงด้วยความพอใจ ลำเอียงด้วยความขัดเคือง ลำเอียงด้วยความหลง ลำเอียงด้วยความกลัว เธอยังไม่สละเรื่องนั้น
             สงฆ์สวดสมนุภาสภิกษุผู้มีชื่อนี้ เพื่อให้สละเรื่องนั้น การสวดสมนุภาสภิกษุผู้มีชื่อนี้ เพื่อให้สละเรื่องนั้นเสีย ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด
             ข้าพเจ้ากล่าวความนี้แม้ครั้งที่สาม ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้ผู้นี้ ถูกสงฆ์ทำปัพพาชนียกรรมแล้ว ใส่ความภิกษุทั้งหลายว่า ลำเอียงด้วยความพอใจ ลำเอียงด้วยความขัดเคือง ลำเอียงด้วยความหลง ลำเอียงด้วยความกลัว เธอยังไม่สละเรื่องนั้น
             สงฆ์สวดสมนุภาสภิกษุผู้มีชื่อนี้ เพื่อให้สละเรื่องนั้นเสีย การสวดสมนุภาสภิกษุผู้มีชื่อนี้ เพื่อให้สละเรื่องนั้นเสีย ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด ภิกษุผู้มีชื่อนี้ อันสงฆ์สวดสมนุภาสแล้ว เพื่อให้สละเรื่องนั้นเสีย ชอบแก่สงฆ์เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
             [๖๒๗] จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ จบกรรมวาจาสองครั้ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสสเมื่อต้องอาบัติสังฆาทิเสส อาบัติทุกกฏเพราะญัตติ อาบัติถุลลัจจัยเพราะกรรมวาจาสองครั้ง ย่อมระงับ
             บทว่า สังฆาทิเสส ความว่า สงฆ์เท่านั้นให้ปริวาสเพื่ออาบัตินั้น ชักเข้าหาอาบัติเดิม ให้มานัต เรียกเข้าหมู่ ไม่ใช่คณะมากรูปด้วยกัน ไม่ใช่บุคคลรูปเดียว เพราะฉะนั้น จึงตรัสเรียกว่า สังฆาทิเสส คำว่า สังฆาทิเสส เป็นการขนานนาม คือเป็นชื่อของอาบัตินิกายนั้นแล แม้เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่า สังฆาทิเสส.
บทภาชนีย์
             [๖๒๘] กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่า กรรมเป็นธรรม ไม่สละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             กรรมเป็นธรรม ภิกษุสงสัย ไม่สละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่า กรรมไม่เป็นธรรม ไม่สละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่า กรรมเป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ
             กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ
             กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่า กรรมไม่เป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
             [๖๒๙] ภิกษุผู้ยังไม่ถูกสวดสมนุภาส ๑ ภิกษุผู้สละเสียได้ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุมีจิตฟุ้งซ่าน ๑ ภิกษุผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑๓ จบ.
บทสรุป
[๖๓๐] ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรม คือ     สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบทข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้วเก้าสิกขาบทให้ต้องอาบัติเมื่อแรกทำ สี่สิกขาบทให้ ต้องอาบัติเมื่อสวดสมนุภาสครบสามจบ ภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสสสิกขาบทใดสิกขาบทหนึ่งแล้ว รู้อยู่ แต่ปกปิดไว้สิ้นวันเท่าใด ภิกษุนั้น ต้องอยู่ปริวาสด้วยความไม่ปรารถนา สิ้นวันเท่านั้น ภิกษุอยู่ปริวาสแล้ว ต้องประพฤติวัตรเพื่อ มานัตสำหรับภิกษุเพิ่มขึ้นอีก ๖ ราตรี ภิกษุประพฤติมานัตแล้ว ภิกษุสงฆ์ ๒๐ รูปอยู่ในสีมาใด พึงเรียกภิกษุนั้นเข้าหมู่ในสีมานั้น ถ้าภิกษุสงฆ์ ๒๐ รูป หย่อนแม้รูปหนึ่ง พึงเรียกภิกษุนั้นเข้าหมู่ ภิกษุนั้นก็ไม่เป็นอันสงฆ์เรียกเข้าหมู่แล้ว และภิกษุเหล่านั้นควรถูกตำหนิ นี้เป็นสามีจิในกรรมนั้น ข้าพเจ้าขอถามท่านทั้งหลายในอาบัติสังฆาทิเสสเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์ แล้วหรือ
               ข้าพเจ้าขอถาม แม้ครั้งที่สองว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ
               ข้าพเจ้าขอถาม  แม้ครั้งที่สามว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วในอาบัติ สังฆาทิเสสเหล่านี้ เหตุนั้น จึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้. 
เตรสกัณฑ์ จบ. 
 หัวข้อประจำเรื่อง สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท คือ
 ปล่อยสุกกะ ๑                           เคล้าคลึงกาย ๑
 วาจาชั่วหยาบ ๑                บำเรอกามของ ตน ๑
 ชักสื่อ ๑              ทำกุฎี ๑                  ทำวิหาร ๑
                        โจทด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล ๑
 โจทอ้างเลศบางอย่าง ๑               ทำลายสงฆ์ ๑
         ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์นั่นแหละ ๑
                   ว่ายาก ๑ ประทุษร้ายสกุล ๑ ดังนี้แล.