Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อรรถกถา สังฆาทิเสส ๑ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อรรถกถา สังฆาทิเสส ๑ แสดงบทความทั้งหมด

24 สิงหาคม 2567

อรรถกถา สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑ [ว่าด้วย ปล่อยสุกกะ] เตรสกัณฑ์ พระวินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ ปฐมภาค

สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑      สมันตปาสาทิกาแปล อรรถกถาพระวินัย มหาวิภังควรรณนา ภาค ๒ เตรสกัณฑวรรณนา
               เตรสกะ (หมวด ๑๓) ที่พระธรรมสังคาหกาจารย์ ทั้งหลาย ได้ร้อยกรองไว้ในลำดับแห่งปาราชิกกัณฑ์ มีการพรรณนาบทที่ยังไม่มีในก่อน ดังต่อไปนี้.
          สุกกวิสัฏฐิสิกขาบทวรรณนา
               [แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องพระเสยยสกะ]               
               บัณฑิตพึงทราบวินิจฉัยในคำว่า โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก คฤหบดี เขตพระนครสาวัตถี.      ก็ในสมัยนั้นแล ท่านพระเสยยสกะไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์นี้ ดังต่อไปนี้.
               คำว่า อายสฺมา เป็นคำไพเราะ.
               บทว่า เสยฺยสโก เป็นชื่อของภิกษุรูปนั้น.
               คำว่า อนภิรโต ความว่า เป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน คือถูกความเร่าร้อนเพราะกำหนัดในกามแผดเผาอยู่ แต่ไม่ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์.
               ข้อว่า โส เตน กิโส โหติ ความว่า พระเสยยสกะนั้นย่อมเป็นผู้ผ่ายผอม เพราะความเป็นผู้ไม่ยินดีนั้น.
               ในคำว่า อทฺทสา โข อายสฺมา อุทายี นี้มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               บทว่า อุทายี เป็นชื่อของพระเถระนั้น.
             จริงอยู่ พระเถระชื่อโลลุทายีนี้เป็นอุปัชฌาย์ของพระเสยยสกะ เป็นผู้มีส่วนเปรียบด้วยเนื้อตื่น คือเป็นภิกษุโลเลรูปใดรูปหนึ่ง บรรดาภิกษุผู้ตามประกอบเหตุแห่งความเกียจคร้าน มีความเป็นผู้มีความหลับนอนเป็นที่มายินดีเป็นต้น.
               บทว่า กจฺจิ โน ตฺวํ ไขความว่า กจฺจิ นุ ตฺวํ แปลว่า ท่าน... ละหรือหนอ. พึงทราบวินิจฉัยในคำมีอาทิว่า ยาวทตฺถํ ภุญฺช ดังต่อไปนี้ :-
             ความต้องการมีประมาณเพียงใด ชื่อว่า ยาวทัตถะ (เท่าที่ต้องการ). มีคำอธิบายว่า เธอมีความประสงค์ด้วยโภชนะประมาณเท่าใด คือ เธอต้องการประมาณเท่าใด จงบริโภคประมาณเท่านั้น, หรือว่า เธอปรารถนาเพื่อจะหลับในเวลากลางคืนหรือกลางวันสิ้นกาลประมาณเท่าใด จงหลับสิ้นกาลประมาณเท่านั้น,  เธอปรารถนาการชโลมกายด้วยดินเหนียวเป็นต้น ขัดสีด้วยแป้งเป็นต้น แล้วอาบน้ำประมาณเท่าใด จงอาบน้ำประมาณเท่านั้น, ไม่มีประโยชน์ด้วยบาลีอรรถกถา ข้อวัตรปฏิบัติหรือด้วยกรรมฐาน.
               คำว่า ยทา เต อนภิรติ อุปฺปชฺชติ ความว่า ในกาลใด ความกระสันคือความเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจแห่งความกำหนัดในกามเกิดแก่เธอ.
               คำว่า ราโค จิตฺตํ อนุทฺธํเสติ ความว่า กามราคะย่อมกำจัด ทำลายคือซัดส่ายจิตไปมา และทำจิตให้เหี่ยวแห้ง.
               ข้อว่า ตทา หตฺเถน อุปกฺกมิตฺวา อสุจึ โมเจหิ มีความว่า ในกาลนั้น เธอจงเอามือพยายามกระทำการปล่อยอสุจิ จริงอยู่ ด้วยการกระทำอย่างนี้ เอกัคคตาจิตจักมีแก่เธอ, อุปัชฌายะ
พร่ำสอนเธออย่างนี้เช่นกับคนโง่สอนคนโง่ คนใบ้สอนคนใบ้ฉะนั้น.
               [แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องภิกษุหลายรูป]               
               คำว่า เตสํ ฯเปฯ โอกฺกมนฺตานํ มี ความว่า เมื่อภิกษุเหล่านั้นละสติสัมปชัญญะจำวัด.
                       ในคำนั้นมีวินิจฉัยดังนี้ :-
               เมื่อภิกษุทั้งหลายกำลังจำวัด ภวังควารที่เป็นอัพยากฤตเป็นไปอยู่, สติสัมปชัญญวาระจะคลาดไป แม้ก็จริง ถึงกระนั้นในการจำวัดภิกษุควรทำมนสิการ. ภิกษุเมื่อจะจำวัดในกลางวัน พึงจำวัดพร้อมด้วยความอุตสาหะว่า เราจักจำวัดชั่วเวลาที่ผมของภิกษุผู้สรงน้ำ ยังไม่แห้ง แล้วจักลุกขึ้น ดังนี้ จะจำวัดในเวลากลางคืน พึงเป็นผู้มีความอุตสาหะจำวัดว่า เราจักหลับสิ้นส่วนแห่งราตรี ชื่อมีประมาณเท่านี้ แล้วลุกขึ้นในเวลาที่ดวงจันทร์หรือดวงดาวโคจรมาถึงสถานที่ชื่อนี้.
             อีกอย่างหนึ่ง พึงกำหนดกรรมฐานอย่างหนึ่ง ในบรรดากรรมฐานทั้ง ๑๐ มีพุทธานุสติเป็นต้น หรือกรรมฐานที่ใจชอบอย่างอื่น แล้วจึงจำวัด. ก็เมื่อภิกษุกระทำเช่นนั้น ท่านเรียกว่า มีสติสัมปชัญญะ คือไม่ละสติและสัมปชัญญะจำวัด, ก็ภิกษุเหล่านั้นเป็นคนโง่ โลเล มีส่วนเปรียบด้วยเนื้อตื่น ไม่ได้กระทำอย่างนั้น. ด้วยเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า เตสํ ฯปฯ โอกฺกมนฺตานํ ดังนี้.
               ข้อว่า อตฺถิ เจตฺถ เจตนา อุปลพฺภติ   มีความว่า ก็ความจงใจยินดีในความฝันนี้ มีอยู่คือหาได้อยู่.
               ข้อว่า อตฺเถสา ภิกฺขเว เจตนา สา จ โข อพฺโพหาริกา มีความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เจตนาเป็นเหตุยินดีนี้ มีอยู่, แต่เจตนานั้นแล ชื่อว่าเป็นอัพโพหาริก คือไม่เป็นองค์แห่งอาบัติ เพราะบังเกิดในฐานอันไม่ใช่วิสัย.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงความที่เจตนาในความฝันเป็นอัพโพหาริก ด้วยประการอย่างนี้แล้ว จึงทรงบัญญัติสิกขาบทพร้อมทั้งอนุบัญญัติว่า ภิกษุทั้งหลาย ก็แล เธอทั้งหลายพึงสวดสิกขาบทนี้อย่างนี้ว่าการปล่อยสุกกะเป็นไปด้วยความจงใจ เว้นไว้แต่ฝันเป็นสังฆาทิเสส ดังนี้.
               [อธิบายสิกขาบทวิภังค์ ว่าด้วยสัญเจตนิกาศัพท์] 
               ในสิกขาบทนั้นมีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               เจตนาแห่งการปล่อยสุกกะนั้น มีอยู่. เหตุนั้น การปล่อยสุกกะนั้นจึงชื่อว่า สัญเจตนา (มีเจตนา). สัญเจตนานั่นแหละชื่อสัญเจตนิกา.
              อีกอย่างหนึ่ง ความจงใจของการปล่อยสุกกะนั้น มีอยู่. เหตุนั้น การปล่อยสุกกะนั้นจึงชื่อว่า สัญเจตนิกา (มีความจงใจ). การปล่อยสุกกะมีความจงใจ เป็นของภิกษุใด, ภิกษุนั้นเป็นผู้รู้ คือรู้สึกตัว, และการปล่อยสุกกะนั้นของภิกษุนั้น เป็นการแกล้ง คือฝ่าฝืนล่วงละเมิด เพราะเหตุนั้น เพื่อแสดงแต่ใจความเท่านั้น ไม่ทำความเอื้อเฟื้อในพยัญชนะ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบทภาชนะแห่งบทว่า สญฺเจตนิกา นั้น อย่างนี้ว่า อาการที่รู้คือรู้สึก แกล้งคือฝ่าฝืนล่วงละเมิด (ชื่อว่ามีความจงใจ).
               บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า ชานนฺโต ได้แก่ รู้อยู่ว่า เรากำลังพยายาม.
               บทว่า สญฺชานนฺโต ได้แก่ รู้สึกตัวอยู่ว่า เรากำลังปล่อยสุกกะ. อธิบายว่า รู้พร้อมกับอาการที่พยายามและความรู้นั้นนั่นเอง.
               บทว่า เจจฺจ ได้แก่ แกล้ง คือ จงใจ ด้วยอำนาจเจตนา คือความยินดีในการปล่อย.
               บทว่า อภิวิตริตฺวา ได้แก่ เมื่อฝ่าฝืนด้วยอำนาจความพยายามส่งจิตอันปราศจากความรังเกียจไป.
               บทว่า วีติกฺกโม มีคำอธิบายว่า ความล่วงละเมิดใดของภิกษุผู้ประพฤติอย่างนั้น, ความล่วงละเมิดนี้นั้น เป็นใจความสุดยอดแห่งสัญเจตนิกาศัพท์.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า สุกฺกนฺติ ทส สุกฺกานิ เป็นต้น ก็เพื่อแสดงสุกกะและการปล่อย ในบทว่า สุกฺกวิสฏฺฐิ นี้ โดยจำนวนและโดยความต่างแห่งสีก่อน. ในจำนวนและความต่างแห่งสีนั้น พึงทราบความต่างแห่งสีมีสีเขียวเป็นต้น โดยความต่างแห่งที่อาศัยของสุกกะทั้งหลาย และโดยความเป็นต่างๆ แห่งธาตุ. การสละชื่อว่าการปล่อย. ก็คำว่า ปล่อยนี้ โดยใจความเป็นการทำให้เคลื่อนจากฐาน. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า กิริยาที่ทำให้เคลื่อนจากฐานเรียกว่าปล่อย. ในคำนั้น พระอาจารย์ทั้งหลายกำหนดฐานแห่งสุกกะไว้ ๓ ส่วน คือ กระเพาะเบา ๑ สะเอว ๑ กาย ๑.
               ได้ยินว่า พระอาจารย์รูปหนึ่งกล่าวว่า กระเพาะเบาเป็นฐานของสุกกะ. รูปหนึ่งกล่าวว่าสะเอวเป็นฐานของสุกกะ. รูปหนึ่งกล่าวว่ากายทั้งสิ้น.
              ใน ๓ อาจารย์นั้น ภาษิตของรูปที่ ๓ กล่าวชอบ. เพราะว่าเว้นที่ซึ่ง ผม ขน เล็บ และฟัน พ้นจากเนื้อ และอุจจาระปัสสาวะ น้ำลายน้ำมูก และหนังที่แห้งเสียแล้ว กายแม้ทั้งหมดที่เหลือซึ่งมีหนังและเนื้ออันโลหิตเดินได้ตลอด เป็นฐานของกายประสาท ภาวะชีวิตินทรีย์และดีไม่เป็นฝัก และเป็นฐานของน้ำสมภพเหมือนกัน.
              จริงอย่างนั้น น้ำสมภพ ย่อมไหลออกทางหมวกหูทั้งสองของช้างทั้งหลาย ที่ถูกความกลัดกลุ้มด้วยราคะครอบงำแล้ว. และพระเจ้ามหาเสนะผู้ทรงกลัดกลุ้มด้วยราคะ ไม่ทรงสามารถจะอดทนกำลังน้ำสมภพได้ จึงรับสั่งให้ผ่าต้นพระพาหุด้วยมีด ทรงแสดงน้ำสมภพ ซึ่งไหลออกทางปากแผล ฉะนี้แล.
              ก็บรรดาวาทะเหล่านี้ ในวาทะของอาจารย์ที่หนึ่ง เมื่อภิกษุพยายามที่นิมิตด้วยความยินดีจะให้เคลื่อน แมลงวันน้อยๆ ตัวหนึ่งพึงดื่มน้ำอสุจิมีประมาณเท่าใดได้ เมื่ออสุจิมีประมาณเท่านั้นมาตรว่าเคลื่อนจากกระเพาะเบา ไหลลงสู่คลองปัสสาวะ จะออกข้างนอกก็ตาม ไม่ออกก็ตาม เป็นสังฆาทิเสส.
             ในวาทะของอาจารย์ที่สองก็เหมือนกัน เมื่ออสุจิมาตรว่าเคลื่อนจากสะเอวไหลสู่คลองปัสสาวะเป็นสังฆาทิเสส. ในวาทะของอาจารย์ที่สาม ก็เหมือนกัน เพราะยังกายทั้งสิ้นให้หวั่นไหว เมื่ออสุจิมาตรว่าเคลื่อนออกจากกายนั้นไหลลงสู่คลองปัสสาวะ จะออกข้างนอกก็ตาม ไม่ออกก็ตาม เป็นสังฆาทิเสส.
              ก็แลความไหลลงสู่คลองปัสสาวะ ท่านกล่าวไว้ในการปล่อยสุกกะนี้ ก็เพราะเป็นของที่ใครๆ ไม่พึงอาจจะกลั้นห้ามเสียในระหว่างได้.
            จริงอยู่ อสุจิเคลื่อนจากฐานแล้ว ย่อมลงสู่คลองปัสสาวะเป็นแน่ เพราะฉะนั้น ในการปล่อยสุกกะนี้ พึงทราบอาบัติด้วยเหตุเพียงให้เคลื่อนจากฐานเท่านั้น. และอาบัตินั้นแลย่อมมีแก่ภิกษุผู้พยายามที่นิมิตเท่านั้น. ส่วนในการทำหัตถบริกรรม ปาทบริกรรมและคัตตบริกรรม ถ้าแม้นอสุจิเคลื่อนก็ไม่เป็นอาบัติ. นี้เป็นวินิจฉัยทั่วไปแห่งอาจารย์ทั้งปวง.
               [อธิบายเหตุให้เกิดความฝัน ๔ อย่าง]               
               ในคำว่า อญฺญตฺร สุปินนฺตา นี้มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               สุปินะนั่นแหละ ชื่อสุปินันตะ. มีคำอธิบายว่า ยกเว้นคือนำความฝันนั้นออกไปเสีย. ก็แล บุคคลเมื่อจะฝันนั้น ย่อมฝันเพราะเหตุ ๔ ประการ
               คือ เพราะธาตุกำเริบ ๑ เพราะเคยทราบมาก่อน ๑ เพราะเทวดาสังหรณ์ ๑ เพราะบุพนิมิต ๑.
           บรรดาเหตุ ๔ อย่างนั้น คนผู้มีธาตุกำเริบ เพราะประกอบด้วยปัจจัยอันทำให้ดีเป็นต้นกำเริบ ชื่อว่าย่อมฝัน เพราะธาตุกำเริบ. และเมื่อฝัน ย่อมฝันต่างๆ เช่นเป็นเหมือนตกจากภูเขา เหมือนเหาะไปทางอากาศ และเหมือนถูกเนื้อร้าย ช้างร้ายและโจรเป็นต้นไล่ติดตาม. เมื่อฝันเพราะเคยทราบมาก่อนชื่อว่าย่อมฝันถึงอารมณ์ที่ตนเคยเสวยมาแล้วในกาลก่อน. พวกเทวดาย่อมนำอารมณ์มีอย่างต่างๆ เข้าไป เพื่อความเจริญบ้าง เพื่อความเสื่อมบ้าง เพราะเป็นผู้มุ่งความเจริญบ้าง เพราะเป็นผู้มุ่งความเสื่อมบ้างแก่บุคคลผู้ฝันเพราะเทวดาสังหรณ์ ผู้นั้นย่อมฝันเห็นอารมณ์เหล่านั้นด้วยอานุภาพของพวกเทวดานั้น.
               เมื่อบุคคลฝันเพราะบุพนิมิต ชื่อว่าย่อมฝันที่เป็น
บุพนิมิตแห่งความเจริญบ้าง แห่งความเสื่อมบ้าง ซึ่งต้องการจะเกิดขึ้น ด้วยอำนาจแห่งบุญและบาป เหมือนพระมารดาของพระโพธิสัตว์ ทรงพระสุบินนิมิตในการที่จะได้พระโอรสฉะนั้น, เหมือนพระโพธิสัตว์ทรงมหาสุบิน ๕ และเหมือนพระเจ้าโกศลทรงพระสุบิน ๑๖ ประการฉะนั้นแล.
              บรรดาความฝัน ๔ อย่างนั้น ความฝันที่คนฝัน เพราะธาตุกำเริบและ เพราะเคยทราบมาก่อนไม่เป็นจริง. ความฝันที่คนฝันเพราะเทวดาสังหรณ์ จริงก็มี เหลวไหลก็มี, เพราะว่าพวกเทวดาโกรธแล้ว ประสงค์จะให้พินาศโดยอุบาย จึงแสดงให้เห็นวิปริตไปบ้าง. ส่วนความฝันที่คนฝันเพราะบุพนิมิต เป็นความ
              จริงโดยส่วนเดียวแล. ความแตกต่างแห่งความฝัน    แม้เพราะความแตกต่างแห่งมูลเหตุทั้ง ๔ อย่างนี้คละกันก็มีได้เหมือนกัน. 
              ก็แลความฝันทั้ง ๔ อย่างนี้นั้น พระเสขะและปุถุชนเท่านั้น ย่อมฝันเพราะยังละวิปลาสไม่ได้. พระอเสขะทั้งหลายย่อมไม่ฝันเพราะท่านละวิปลาสได้แล้ว.
              ถามว่า ก็บุคคลเมื่อฝันนั้น หลับฝัน หรือตื่นฝัน หรือว่าไม่หลับ ไม่ตื่นฝัน.
              แก้ว่า ในเรื่องความฝันนี้ ท่านควรกล่าวเพิ่มอีกสักเล็กน้อย. ชั้นแรก ถ้าคนหลับฝันก็จะต้องขัดแย้งกับพระอภิธรรม. เพราะว่า คนหลับด้วยภวังคจิต. ภวังคจิตนั้น หามีรูปนิมิตเป็นต้นเป็นอารมณ์หรือสัมปยุตด้วยราคะเป็นต้นไม่.
              ก็เมื่อบุคคลฝัน จิตทั้งหลายเช่นนี้ย่อมเกิดขึ้นได้. ถ้าบุคคล ตื่นฝัน ก็จะต้องขัดแย้งกับพระวินัย. เพราะว่าคนตื่นฝันเห็นสิ่งใด, เขาเห็นสิ่งนั้นด้วยสัพโพหาริกจิต* (ด้วยจิตตามปกติ). ก็ชื่อว่า อนาบัติ ย่อมไม่มีในเพราะความล่วงละเมิดที่ภิกษุทำด้วยสัพโพหาริกจิต๑- แต่เมื่อผู้กำลังฝันทำการล่วงละเมิด เป็นอนาบัติโดยส่วนเดียวแท้. 
              ถ้าบุคคลไม่หลับไม่ตื่นฝัน ชื่อว่าใครๆ จะฝันไม่ได้ และเมื่อเป็นอย่างนั้น ความฝันก็จะต้องไม่มีแน่. จะไม่มีได้. เพราะเหตุไร? เพราะคนผู้ถูกความหลับดุจลิงครอบงำ จึงฝัน. สมจริงดังคำที่พระนาคเสนเถระกล่าวไว้ว่า มหาบพิตร คนถูกความหลับดุจลิงหลับครอบงำจึงฝันแล.
๑- วิมติวิโนทนีฏีกา, สพฺโพหาริกจิตฺเตนาติ ปฏิพุทฺธสฺส ปกติวีถิจิตฺเตน แปลว่า บทว่า ด้วยสัพโพหาริกจิตนั้น คือด้วยวิถีจิตตามปกติของคนผู้ตื่นอยู่.
               บทว่า กปิมิทฺธปเรโต แปลว่า ประกอบด้วยความหลับดุจลิงหลับ. เหมือนอย่างว่า ความหลับของลิง เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ฉันใด, ความหลับใดเปลี่ยนแปลงเร็ว เพราะเกลื่อนกล่นด้วยจิตเป็นกุศลเป็นต้นบ่อยๆ ก็ฉันนั้น คือ มีการตื่นขึ้นจากภวังค์บ่อยๆ ในเวลาความหลับใดเป็นไป บุคคลผู้นั้นประกอบด้วยความหลับนั้น ย่อมฝันได้ เพราะเหตุนั้น ความฝันนี้จึงเป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เป็นอัพยากฤตบ้าง.
           บรรดาความฝัน ๓ อย่างนั้น ความฝันของผู้ที่ฝันว่า กำลังทำการไหว้พระเจดีย์ ฟังธรรมและแสดงธรรมเป็นต้น พึงทราบว่าเป็นกุศล, ของผู้ที่ฝันว่า กำลังทำบาป มีการฆ่าสัตว์เป็นต้น พึงทราบว่าเป็นอกุศล, ความฝันที่พ้นไปจากองค์สอง พึงทราบว่าเป็นอัพยากฤต ในขณะแห่งอาวัชชนจิต และ ตทารัมมณจิต. ความฝันนี้นั้นไม่สามารถเพื่อจะชักปฏิสนธิมาได้ เพราะเจตนามีวัตถุอ่อนกำลัง แต่ในปวัตติกาล อันกุศลและอกุศลเหล่าอื่นสนับสนุนแล้ว ย่อมให้วิบากได้ จะให้วิบากได้แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น เจตนาในความฝัน ก็จัดเป็น อัพโพหาริกทีเดียว เพราะบังเกิดในฐานอันมิใช่วิสัย. เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีจึงกล่าวว่า เว้นไว้แต่ฝัน.
               [อธิบายคำว่าสังฆาทิเสส]   
               คำว่า สังฆาทิเสส เป็นชื่อของกองอาบัตินี้. เพราะเหตุนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบสัมพันธ์ในสิกขาบทนี้อย่างนี้ว่า การปล่อยสุกกะมีความจงใจเว้นความฝันอันใด, อันนี้เป็นกองแห่งอาบัติชื่อสังฆาทิเสส. ก็แลเนื้อความเฉพาะคำใน
               บทว่า สังฆาทิเสส นี้ว่า สงฆ์อันภิกษุพึงปรารถนาในกรรมเบื้องต้น และในกรรมที่เหลือแห่งกองอาบัตินั้น เพราะฉะนั้น กองอาบัตินั้นจึงชื่อสังฆาทิเสส.
                            มีคำอธิบายอย่างไร?
               มีคำอธิบายว่า ภิกษุต้องอาบัตินี้แล้วพึงปรารถนาสงฆ์ เพื่อประโยชน์แก่ปริวาสในกรรมเบื้องต้นแห่งการออกจากอาบัติของผู้ใคร่จะออก และเพื่อประโยชน์แก่การให้มานัต หรือเพื่อประโยชน์แก่การให้มานัตรวมกับมูลายปฏิกัสสนา ในกรรมอันเป็นท่ามกลาง เพื่อประโยชน์แก่อัพภาน ในกรรมที่สุด ซึ่งเหลือจากกรรมเป็นเบื้องต้น เพราะว่า บรรดากรรมเหล่านี้ กรรมแม้อันหนึ่ง เว้นสงฆ์เสียแล้ว ใครๆ ไม่สามารถจะทำได้. สงฆ์อันภิกษุพึงปรารถนาในกรรมเบื้องต้น และกรรมที่เหลือแห่งกองอาบัตินั้น เพราะฉะนั้น กองอาบัตินั้นจึงชื่อว่าสังฆาทิเสส.
              ก็แล เพื่อไม่เอื้อเฟื้อพยัญชนะ แสดงแต่ใจความเท่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบทภาชนะแห่งบทว่า สังฆาทิเสส นั้น ดังนี้ว่า สงฆ์แลย่อมให้ปริวาส เพื่ออาบัตินั้น ย่อมชักเข้าหาอาบัติเดิม ย่อมให้มานัต ย่อมอัพภาน, ไม่ใช่ภิกษุมากรูป ไม่ใช่บุคคลผู้เดียว เพราะเหตุนั้น อาบัตินั้น ท่านจึงเรียกว่า สังฆาทิเสส. และตรัสเหตุแห่งคำไว้ในคัมภีร์ปริวารว่าอาบัติใดที่เรากล่าวว่า สังฆาทิเสส, ท่านจงฟังอาบัตินั้นตามที่ได้กล่าวแล้ว, สงฆ์เท่านั้นย่อมให้ปริวาส ย่อมชักเข้าหาอาบัติเดิม ย่อมให้มานัต ย่อมอัพภาน เพราะเหตุนั้น อาบัตินั้นบัณฑิตเรียกว่า สังฆาทิเสส.
               สองบทว่า ตสฺเสว วา อาปตฺตินิกายสฺส มีความว่า (อีกอย่างหนึ่ง กรรมเป็นชื่อสำหรับเรียก) ประชุมแห่งอาบัตินั้น
นั่นเอง. ในพระบาลีนั้น อาบัตินี้มีเพียงตัวเดียว แม้ก็จริง, ถึงอย่างนั้นนิกายศัพท์ ท่านกล่าวด้วยรุฬหิศัพท์ หรือด้วยโวหารที่เรียกส่วนทั้งหลายรวมกันอย่างขันธศัพท์ ในคำว่า เวทนาขันธ์หนึ่ง วิญญาณขันธ์หนึ่ง ดังนี้เป็นต้น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกสิกขาบทที่พระองค์ทรงอุเทศไว้ตามลำดับอย่างนั้นแล้ว บัดนี้จึงตรัสคำว่า
 อชฺฌตฺตรูเป โมเจติ เป็นอาทิ เพื่อแสดงอุบาย กาล ความประสงค์และวัตถุแห่งความประสงค์ของภิกษุผู้ถึงการปล่อยสุกกะนี้.
               [อธิบายบทภาชนีย์ว่าด้วยเหตุให้ปล่อยสุกกะ]         
               จริงอยู่ ในส่วนทั้ง ๔ มีอุบายเป็นต้นนี้ อุบายทรงแสดงแล้วด้วย ๔ บท มีอัชฌัตตรูปเป็นต้น เพราะว่าภิกษุพึงปล่อยในรูปภายในบ้าง ในรูปภายนอกบ้าง ในรูปทั้งสองบ้าง พึงแอ่นเอวในอากาศปล่อยบ้าง. อุบายอื่นนอกจากนี้ ย่อมไม่มี. ในอุบายนั้น ภิกษุพยายามปล่อยในรูปก็ดี พยายามปล่อยด้วยรูปก็ดี พึงทราบว่า "ปล่อยในรูปทั้งนั้น" เพราะว่าเมื่อมีรูป เธอจึงปล่อยได้, ไม่ได้รูป ปล่อยไม่ได้ ฉะนี้แล.
               ส่วนกาลทรงแสดงด้วย ๕ บท มีราคะอุปถัมภ์เป็นต้น.
               จริงอยู่ เมื่อความที่องคชาตใด เป็นของควรแก่การงาน มีอยู่ ภิกษุจึงปล่อยได้, องคชาตนั้นย่อมเป็นของควรแก่การงาน ในกาลที่ราคะอุปถัมภ์เป็นต้น (ในเวลามีความกำหนัดหนุนเป็นต้น) กาลอื่นนอกจากนี้ ย่อมไม่มีเพราะว่า เว้นจากกาลที่ราคะอุปถัมภ์เป็นต้นนั้นเสียแล้ว กาลต่างชนิดมีเวลาเช้าเป็นต้นจะเป็นที่กำหนดในการให้เคลื่อนหาได้ไม่.
               ความประสงค์ทรงแสดงด้วย ๑๐ บท มีบทว่า อาโรคฺยตฺถาย เป็นต้น.
               จริงอยู่ ภิกษุย่อมให้เคลื่อนตามชนิดแห่งความประสงค์เห็นปานนี้, หาใช่โดยประการอย่างอื่นไม่, ส่วนวัตถุแห่งความประสงค์ที่ ๙ ทรงแสดงด้วย ๑๐ บทมีนีลบทเป็นต้น.
               จริงอยู่ ภิกษุเมื่อจะทดลอง ย่อมทดลองด้วยอำนาจแห่งสีเขียวเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง, สีอื่นพ้นจากสีเหล่านั้นไปย่อมไม่มีฉะนี้แล.
               ต่อนี้ไป พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า อชฺฌตฺตรูเปติ อชฺฌตฺตอุปาทินฺนรูเป เป็นต้น เพื่อประกาศบททั้งหลายมีอัชฌัตตรูปบทเป็นต้นเหล่านี้นั่นแล.
               บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า อชฺฌตฺตอุปาทินฺนรูเป คือ ในรูปต่างชนิดมีมือเป็นต้นของตน.
               บทว่า พหิทฺธาอุปาทินฺเน คือ ในรูปเช่นนั้นเหมือนกันของคนอื่น.
               บทว่า อนุปาทินฺเน คือ ในรูปต่างชนิดมีช่องลูกดาลประตูเป็นต้น.
               บทว่า ตทุภเย คือ ในรูปทั้งของตนและของคนอื่น.
 การให้สุกกะเคลื่อนนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยอำนาจความพยายามในรูปทั้งสอง. การให้สุกกะเคลื่อน ย่อมมีได้ แม้ในความพยายามรวมกันโดยรูปของตน และโดยอนุปาทินนรูป.
               สองบทว่า อากาเส วายมนฺตสฺส ความว่า ไม่พยายามโดยรูปอะไรๆ เลย ส่ายองคชาตโดยประโยค คือการแอ่นเอวในอากาศอย่างเดียว.
               บทว่า ราคูปตฺถมฺเภ ความว่า ในเวลาองคชาตเกิดความกำหนัด เพราะราคะมีกำลัง หรือเพราะความกำหนัด. 
               มีอธิบายว่า เมื่อองคชาตเกิดความแข็งตัวขึ้นแล้ว.
               สองบทว่า กมฺมนิยํ โหติ ความว่า องคชาตเป็นอวัยวะควรแก่การงานในอันให้เคลื่อน คือเหมาะแก่การพยายามในอัชฌัตตรูปเป็นต้น.
       บทว่า อุจฺจาลิงฺคปาณกทฏฺฐุปตฺถมฺเภ ความว่า เมื่อองคชาตถูกหนุนให้เกิดความกำหนัดเพราะบุ้งขนกัด. ที่ชื่อว่าบุ้งขน เป็นสัตว์เล็กๆ มีขน, องคชาตอันขนของสัตว์เล็กๆ เหล่านั้นถูกต้อง ก็รู้สึกคันแล้วแข็งตัว (?) ในบาลีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "เพราะถูกบุ้งกัด" (ก็) เพราะขนเหล่านั้นย่อมสำเร็จเหมือนกัดองคชาต. แต่โดยใจความมีอธิบายว่า เพราะถูกขนของบุ้งขนแทงเอา.
               คำว่า อโรโค ภวิสฺสามิ ความว่า เราให้สุกกะเคลื่อนแล้วจักเป็นผู้หายโรค.
               คำว่า สุขเวทนํ อุปฺปาเทสฺสามิ  ความว่า สุขเวทนาอันใดย่อมมีเพราะการให้เคลื่อน คือเพราะเกิดการปล่อยและเพราะสุกกะเคลื่อนแล้วเป็นปัจจัย, เราจักยังสุขเวทนานั้นให้เกิดขึ้น.
               คำว่า เภสชฺชํ ภวิสฺสติ ความว่า สุกกะที่เราให้เคลื่อนแล้วนี้ จักเป็นยาบางชนิดทีเดียว.
               คำว่า ทานํ ทสฺสามิ ความว่า เราทำให้เคลื่อนแล้ว จักให้ทานแก่สัตว์เล็กๆมีแมลงและมดเป็นต้น.
               คำว่า ปุญฺญํ ภวิสฺสติ ความว่า เมื่อเราปล่อยให้เป็นทานแก่แมลงเป็นต้น จักเป็นบุญ.
               คำว่า ยญฺญํ ยชิสฺสามิ ความว่า เราทำให้เคลื่อนแล้ว จักบูชายัญแก่พวกแมลงเป็นต้น. มีอธิบายว่า เราจักกล่าวบทมนต์อะไรบางอย่างแล้วให้.
               คำว่า สคฺคํ คมิสฺสามิ ความว่า เราจักไปสวรรค์ด้วยการที่ปล่อยให้ทานแก่พวกแมลงเป็นต้น ด้วยบุญหรือด้วยยัญวิธี.
               คำว่า วีชํ ภวิสฺสติ ความว่า จักเป็นพืชเพื่อทารกผู้เป็นหน่อแห่งวงศ์สกุล. อธิบายว่า ย่อมปล่อยโดยประสงค์นี้ว่า บุตรจักเกิดด้วยพืชของเรานี้.
               บทว่า วีมํสตฺถาย คือ เพื่อต้องการรู้.
               ในคำว่า นีลํ ภวิสฺสติ เป็นต้น บัณฑิตพึงทราบใจความอย่างนี้ว่า เราจักรู้ก่อนว่า สุกกะที่เราปล่อยแล้วจักเป็นสีเขียว หรือสีอย่างใดอย่างหนึ่ง มีสีเหลืองเป็นต้น.
               บทว่า ขิฑฺฑาธิปฺปาโย คือ ขวนขวายในการเล่น. มีคำอธิบายว่า ภิกษุย่อมปล่อยเล่นโดยความประสงค์นั้นๆ.
               [อธิบายสุทธิกสังฆาทิเสส] 
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงอาการที่ภิกษุให้สุกกะเคลื่อนต้องอาบัติและจำนวนชนิดอาบัติ ด้วยอำนาจแห่งบทเหล่านั้นทั้งหมดในพระดำรัสที่ตรัสไว้ว่า อชฺฌตฺตรูเป โมเจติ เป็นต้น จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า ภิกษุจงใจ คือพยายามในรูปภายใน, สุกกะเคลื่อน ต้องสังฆาทิเสส ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เจเตติ ความว่า ย่อมจงใจว่า สุกกะจงเคลื่อน ด้วยเจตนาที่ถึงความยินดีในการให้เคลื่อน.
               บทว่า อุปกฺกมติ ความว่า ย่อมกระทำความพยายามอันสมควรแก่ความจงใจนั้น.
               บทว่า มุจฺจติ ความว่า เมื่อภิกษุจงใจอยู่อย่างนั้น พยายามด้วยความพยายามอันสมควรแก่ความจงใจนั้น สุกกะย่อมเคลื่อนจากฐาน.
               คำว่า อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺส ความว่า ย่อมเป็นอาบัติชื่อสังฆาทิเสสแก่ภิกษุนั้น ด้วยองค์ ๓ เหล่านี้.
               แม้ใน ๒๘ บทที่เหลือมีบทว่า พหิทฺธารูเป เป็นต้น ก็นัยนี้. ก็ในปัญจกะทั้ง ๔ นี้ บัณฑิตพึงนำอาบัติสองพันตัวออกแสดง.
               แสดงอย่างไร? คือ เมื่อภิกษุปล่อยสุกกะสีเขียวเพื่อประสงค์ความไม่มีโรค ในเวลาเกิดความกำหนัดในรูปภายในก่อน ย่อมเป็นอาบัติตัวเดียว, เป็นอาบัติอีก ๙ ตัว ด้วยอำนาจปล่อยสุกกะสีเหลืองเป็นต้นในรูปภายในนั่นแล เพื่อประสงค์ความไม่มีโรค ในเวลามีความกำหนัด ฉะนั้นจึงรวมเป็นอาบัติ ๑๐ ตัว. 
               เหมือนอย่างว่า เพื่อประสงค์ความไม่มีโรค มีอาบัติ ๑๐ ตัว ฉันใด, เพื่อประสงค์ ๙ บทมีสุขบทเป็นต้น ก็มีอาบัติ ๑๐ ตัว เพราะแบ่งออกไปแต่ละบทเป็นบทละ ๑๐ ตัวๆ ฉันนั้น.
               อาบัติ ๙๐ ตัวเหล่านี้และอาบัติ ๑๐ ตัวก่อน ด้วยประการอย่างนี้ ฉะนั้นจึงเป็นอาบัติ ๑๐๐ ตัว ในเวลาเกิดความกำหนัดก่อน.
               เหมือนอย่างว่า ในเวลาเกิดความกำหนัดมีอาบัติ ๑๐๐ ตัวฉันใด  แม้ในเหตุหนุน ๔ อย่างมีปวดอุจจาระเป็นต้นก็มีอาบัติ ๔๐๐ ตัว เพราะแบ่งเหตุหนุนแต่ละอย่างออกไปเป็นอย่างละ ๑๐๐ ตัวๆ ฉันนั้น.
               อาบัติ ๔๐๐ ตัวเหล่านี้และอาบัติ ๑๐๐ ตัวก่อนดังกล่าวมานี้ จึงเป็นอาบัติ ๕๐๐ ตัว ด้วยอำนาจแห่งเหตุหนุน ๕ อย่าง ในรูปภายในก่อน. เหมือนอย่างว่าในรูปภายในมีอาบัติ ๕๐๐ ตัวฉันใด, ในรูปภายนอกมีอาบัติ ๕๐๐ ตัว ในรูปทั้งที่เป็นภายในทั้งที่เป็นภายนอกมีอาบัติ ๕๐๐ ตัว, เมื่อภิกษุแอ่นสะเอวในอากาศมีอาบัติ ๕๐๐ ตัว ฉันนั้น.
                  บัณฑิตพึงทราบอาบัติทั้งหมด ๒,๐๐๐ ตัว 
                ด้วยอำนาจปัญจกะทั้ง ๔ ด้วยประการฉะนี้.
               [อธิบายขัณฑจักรและพัทธจักรเป็นต้น]               
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระบาลีมีความวิจิตรไปด้วยชนิดแห่งขัณฑจักรและพัทธจักรเป็นต้นว่า เพื่อความหายโรคและเพื่อความสุข ดังนี้ก็เพื่อแสดงว่า เมื่อมีการปล่อยสุกกะให้เคลื่อนด้วยความพยายามโดยความจงใจ ของภิกษุผู้จับ (องคชาต) ตามลำดับหรือผิดลำดับ หรือเบื้องต่ำใน ๑๐ บท มีบทว่า อาโรคฺยตฺถาย เป็นต้นก่อนแล้วจับเบื้องบนก็ดี จับเบื้องบนแล้วจับเบื้องต่ำก็ดี จับทั้งสองข้างแล้วหยุดอยู่ที่ตรงกลางก็ดี  จับที่ตรงกลางแล้วขยับไปทั้งสองข้างก็ดี จับให้มีมูลรวมกันทั้งหมดก็ดี ชื่อว่าความผิดที่หมาย ย่อมไม่มี.
                ในพระบาลีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสขัณฑจักรอันหนึ่ง ประกอบอาโรคยบทด้วยทุกๆ บท อย่างนี้ว่า เพื่อความหายโรคและเพื่อความสุข เพื่อความหายโรคและเพื่อเภสัช ดังนี้ เป็นต้น ทรงประกอบสุขบทเป็นต้นด้วยทุกๆ บท นำมาจนถึงบทเป็นลำดับที่ล่วงไปแห่งตนๆ แล้วตรัส ๙ พัทธจักร, ด้วยประการดังกล่าวมานี้ จึงเป็นจักรมีมูลเดียวกัน ๑๐ จักร.
                จักรเหล่านั้นกับด้วยจักรมีมูลสองเป็นต้น อันผู้ศึกษาพึงทราบให้พิสดาร โดยความไม่งมงาย. ส่วนใจความในเอกมูลกจักรแม้นี้ปรากฏชัดแล้วแล. และตรัสจักรทั้งหลาย แม้ในสุกกะสีเขียวเป็นต้นโดยนัยมีอาทิว่า ภิกษุจงใจ พยายามปล่อยสุกกะสีเขียวและสีเหลืองดังนี้ เหมือนใน ๑๐ บทมีบทว่า เพื่อความหายโรค เป็นต้นฉะนั้น. 
                แม้จักรเหล่านั้น ก็ควรทราบให้พิสดารโดยความไม่งมงาย. ส่วนใจความแม้ในจักรทั้งหลายเหล่านี้ ก็ปรากฏชัดแล้วเหมือนกัน. ตรัสมิสสกจักรอันหนึ่งอีกประกอบบทหลังกับบทหน้าอย่างนี้ คือ บทหนึ่งกับบทหนึ่ง สองบทกับสองบท
              ฯลฯ สิบบทกับสิบบทว่า  อาโรคฺยตฺถญฺจ นีลญฺจ อาโรคฺยตฺถญฺจ สุขตฺถญฺจ นีลญฺจ ปีตกญฺจ ดังนี้ เป็นต้น.
             บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสจักรโดยนัยมีอาทิว่า ภิกษุจงใจพยายามว่า "เราจักปล่อยสุกกะสีเขียว" แต่สุกกะสีเหลืองเคลื่อน ดังนี้ เพื่อแสดงนัยแม้นี้ เพราะเมื่อภิกษุจงใจพยายามว่า "จักปล่อยสุกกะสีเขียว" ครั้นสุกกะสีเขียวเป็นต้นเคลื่อนก็ดี จงใจพยายามด้วยอำนาจแห่งสุกกะสีเหลืองเป็นต้น ครั้นสุกกะสีเหลืองเป็นต้นนอกนี้ เคลื่อนก็ดีไม่มีความผิดสังเกตเลย. ต่อจากนั้น ทรงประกอบบทหลังทั้งหมดด้วย ๙ บทมีนีลบทเป็นต้น แล้วตรัสให้ชื่อว่า กุจฉิจักร. ต่อจากนั้น ทรงประกอบ ๙ บทมีปีตกบทเป็นต้น เข้าด้วยนีลบทเพียงบทเดียว แล้วตรัสให้ชื่อว่า ปิฏฐิจักร. ต่อจากนั้น ทรงประกอบ ๙ บทมีโลหิตกะเป็นต้น เข้าด้วยปีตกบทเดียวเท่านั้น แล้วตรัสทุติยปิฏฐิจักร. ทรงประกอบ ๙ บทๆ นอกนี้ แม้กับด้วยโลหิตกบทเป็นต้นอย่างนั้น แล้วตรัส ๘ จักรแม้เหล่าอื่น เพราะฉะนั้น พึงทราบปิฏฐิจักรมีคติ ๑๐ อย่าง ด้วยประการฉะนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงครุกาบัติอย่างเดียว โดยพิสดารด้วยอำนาจแห่งจักรมิใช่น้อยมีขัณฑจักรเป็นต้นอย่างนี้แล้วเพื่อจะทรงแสดงครุกาบัติ ลหุกาบัติและอนาบัติ ด้วยอำนาจแห่งองค์เท่านั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ย่อมจงใจ ย่อมพยายาม, สุกกะเคลื่อน ดังนี้.
                                   บรรดานัยเหล่านั้น 
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสครุกาบัติถึงพร้อมด้วยองค์ ๓ ในเพราะพยายามปล่อยอสุจิแห่งภิกษุผู้จงใจ เพื่อต้องการความหายโรคเป็นต้น ในเวลาเกิดมีความกำหนัดเป็นต้น ในอัชฌัตตรูปเป็นต้น แม้โดยนัยก่อนนั่นแล. ตรัสลหุกาบัติ คืออาบัติถุลลัจจัย สำเร็จด้วยองค์ ๒ ในเมื่อไม่มีการปล่อยแห่งภิกษุผู้จงใจและ         พยายามโดยนัยที่สอง. ตรัสอนาบัติโดย ๖ นัย มีนัยว่า จงใจไม่พยายาม อสุจิเคลื่อนดังนี้เป็นต้น.
               ก็ความต่างแห่งอาบัติและอนาบัตินี้ ละเอียด สุขุม เพราะฉะนั้น พระวินัยธรควรกำหนดหมายให้ดี ครั้นกำหนดให้ดีแล้ว ถูกัซักถามถึง ความรังเกียจ พึงบอกอาบัติหรืออนาบัติ หรือพึงกระทำวินัยกรรม.
               จริงอยู่ พระวินัยธรเมื่อกำหนดไม่ได้ ทำลงไปย่อมถึงความลำบาก และไม่สามารถจะแก้ไขซึ่งบุคคลเช่นนั้นได้ ดุจหมอผู้ไม่รู้ต้นเหตุแห่งโรคแล้วปรุงยาฉะนั้น.
                วิธีกำหนดในอธิการว่าด้วยความต่างแห่งอาบัติและอนาบัตินั้นดังต่อไปนี้ :-
               ภิกษุผู้มาเพราะความรังเกียจ อันพระวินัยธรพึงถามจนถึง ๓ ครั้งว่า ท่านต้องด้วยประโยคไหน ด้วยความกำหนัดไหน.
               ถ้าครั้งแรกเธอกล่าวอย่างหนึ่ง แล้วภายหลังกล่าวอีกอย่างหนึ่ง ไม่กล่าวโดยทางเดียว, พึงกล่าวเตือนเธอว่า ท่านไม่พูดทางเดียวพูดเลี่ยงไป, เราไม่อาจเพื่อจะทำวินัยกรรมแก่ท่านได้, ท่านจงไปแสวงหาความสวัสดีเถิด.
               ก็ถ้าเธอกล่าวยืนยันโดยทางเดียวเท่านั้นถึง ๓ ครั้ง กระทำตนให้แจ้งตามความเป็นจริง. ลำดับนั้น พระวินัยธรพึงพิจารณาประโยค ๑๑ ด้วยอำนาจแห่งราคะ ๑๑ อย่าง เพื่อวินิจฉัยอาบัติ อนาบัติ ครุกาบัติและลหุกาบัติของเธอ.
               [อธิบายราคะและประโยค ๑๑ อย่าง]               
               บรรดาราคะและประโยค ๑๑ นั้น ราคะ ๑๑ เหล่านี้ คือความยินดีเพื่อจะให้เคลื่อน ๑ ความยินดีในขณะเคลื่อน ๑ ความยินดีในเมื่ออสุจิเคลื่อนแล้ว ๑ ความยินดีในเมถุน ๑ ความยินดีในผัสสะ ๑ ความยินดีในความคัน ๑ ความยินดีในการดู ๑ ความยินดีในกิริยานั่ง ๑ ความยินดีในคำพูด ๑ ความรักอาศัยเรือน ๑ ความยินดีด้วยกิ่งไม้ที่พึงหักได้ ๑.
              ในราคะ ๑๑ อย่างนั้น พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :-
             ความยินดีเพื่อจะให้สุกกะเคลื่อน ชื่อว่าโมจนัสสาทะ.
             ความยินดีในขณะอสุจิเคลื่อน ชื่อว่ามุจจนัสสาทะ.
             ความยินดีในเมื่ออสุจิเคลื่อนแล้วชื่อว่ามุตตัสสาทะ.
             ความยินดีในเมถุน ชื่อว่าเมถุนัสสาทะ.
             ความยินดีในผัสสะ ชื่อว่าผัสสัสสาทะ.
             ความยินดีในความคัน ชื่อว่ากัณฑวนัสสาทะ. 
             ความยินดีในการดู ชื่อว่าทัสสนัสสาทะ.
             ความยินดีในกิริยานั่ง ชื่อว่านิสสัชชัสสาทะ.
             ความยินดีในถ้อยคำ ชื่อว่าวาจัสสาทะ.
             ความรักอาศัยเรือน ชื่อว่าเคหสิตเปมะ.
              รุกขาวัยวะอย่างใดอย่างหนึ่งมีดอกไม้และผลไม้เป็นต้นที่เขาหักเอามาจากป่า ชื่อว่าวนภังคิยะ (ของขวัญ).
               ก็บรรดาบททั้ง ๑๑ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสราคะ โดยยกความยินดีที่สัมปยุตเป็นประธานด้วย ๙ บท ตรัสโดยสรูปด้วยบทเดียว, ตรัสโดยวัตถุด้วยบทเดียว. จริงอยู่ วนภังคะเป็นที่ตั้งแห่งราคะ, ไม่ใช่เป็นตัวราคะทีเดียว. แต่ประโยค (ในการปล่อย) พระวินัยธรพึงทราบด้วยอำนาจแห่งราคะเหล่านี้ โดยนัยดังจะกล่าวต่อไปนี้ :-
               ในความยินดีเพื่อจะให้สุกกะเคลื่อน พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :-
               เมื่อภิกษุจงใจและยินดีอยู่ด้วยโมจนัสสาทเจตนา พยายาม อสุจิเคลื่อนเป็นสังฆาทิเสส. เมื่อภิกษุจงใจและยินดีอยู่ด้วยเจตนาอย่างนั้นเหมือนกัน พยายาม แต่อสุจิไม่เคลื่อน เป็นถุลลัจจัย. ถ้าว่าในเวลานอน ภิกษุเป็นผู้กลัดกลุ้มด้วยราคะ เอาขาอ่อน หรือกำมือบีบองคชาตให้แน่นแล้ว หลับไปทั้งที่ยังมีความอุตสาหะ เพื่อต้องการจะปล่อย ก็เมื่อภิกษุนั้นหลับอยู่ อสุจิเคลื่อน, เป็นสังฆาทิเสส.
               ถ้าหากว่า เธอยังความกลัดกลุ้มด้วยราคะให้สงบโดยมนสิการอสุภะ มีใจบริสุทธิ์หลับไป, แม้เมื่ออสุจิเคลื่อนขณะเธอหลับ ก็เป็นอนาบัติ.
               ในความยินดีขณะเคลื่อน พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :-
               ภิกษุยินดีอสุจิที่กำลังเคลื่อนโดยธรรมดาของมัน ไม่พยายาม, อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ. ก็ถ้าหากว่า เธอยินดีอสุจิที่กำลังจะเคลื่อนย่อมพยายาม, เมื่ออสุจิเคลื่อนแล้วด้วยความพยายามนั้น เป็นสังฆาทิเสส. ในมหาปัจจรีกล่าวว่า เมื่ออสุจิเคลื่อนโดยธรรมดาของมัน เธอจับองคชาตไว้ด้วยคิดว่า "อย่าเปื้อนผ้ากาสาวะ หรือเสนาสนะ" ไปสู่ที่มีน้ำ เพื่อทำความสะอาด ย่อมควร.
               ในความยินดีเมื่ออสุจิเคลื่อนแล้ว พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :-
               เมื่ออสุจิเคลื่อน คือเคลื่อนจากฐานโดยธรรมดาของมันแล้ว เมื่อภิกษุยินดีภายหลัง อสุจิเคลื่อนเว้นจากความพยายาม เป็นอนาบัติ. ถ้าเธอยินดีพยายามที่นิมิตเพื่อต้องการให้เคลื่อนอีก แล้วให้เคลื่อน เป็นสังฆาทิเสส.
               ในความยินดีในเมถุน พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :-
            ภิกษุจับมาตุคามด้วยความกำหนัดในเมถุน อสุจิเคลื่อนเพราะประโยคนั้น เป็นอนาบัติ แต่การจับต้อง (มาตุคาม)   เช่นนั้นเป็นทุกกฎ เพราะเป็นประโยคแห่งเมถุนธรรม เมื่อถึงที่สุด เป็นปาราชิก. ถ้าหากภิกษุกำหนัดด้วยความกำหนัดในเมถุน กลับยินดี พยายามที่นิมิตเพื่อต้องการจะปล่อย แล้วปล่อย เป็นสังฆาทิเสส.
               พึงทราบวินิจฉัยในความยินดีในผัสสะ ดังต่อไปนี้ :-
               ผัสสะมี ๒ อย่าง ผัสสะที่เป็นภายใน ๑ ผัสสะที่เป็นภายนอก ๑. พึงทราบวินิจฉัยในผัสสะที่เป็นภายในก่อน :-
               เมื่อภิกษุเล่นนิมิตของตนโดยคิดว่า เรารู้จักว่า ตึง หรือหย่อนก็ดี โดยความซุกซนก็ดี อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ. ถ้าเธอเล่นอยู่ยินดี พยายามที่นิมิต เพื่อประสงค์จะปล่อย แล้วปล่อย เป็นสังฆาทิเสส.
               ส่วนในผัสสะภายนอก พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :-
               เมื่อภิกษุลูบคลำอวัยวะน้อยใหญ่ของมาตุคาม และสวมกอดด้วยความกำหนัดในการเคล้าคลึงกาย อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ. แต่เธอต้องกายสังสัคคสังฆาทิเสส. ถ้าว่า ภิกษุกำหนัดด้วยความกำหนัดในการเคล้าคลึงกายกลับยินดี พยายาม ในนิมิตเพื่อต้องการปล่อย แล้วปล่อย, สังฆาทิเสส แม้เพราะการปล่อยสุกกะเป็นปัจจัย.
               พึงทราบวินิจฉัยความยินดีในความคัน ดังนี้ :-
           เมื่อภิกษุเกานิมิตที่กำลังคัน ด้วยอำนาจแห่งหิดด้านและหิดเปื่อยผื่นคันและสัตว์เล็กเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยความยินดีในความคันเท่านั้น อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ. ภิกษุกำหนัดด้วยความยินดีในความคัน กลับยินดี พยายามในนิมิต เพื่อต้องการจะปล่อย แล้วปล่อย เป็นสังฆาทิเสส.
               พึงทราบวินิจฉัยความยินดีในการดู ดังนี้ :-
               ภิกษุเพ่งดูโอกาสอันไม่สมควร (กำเนิด) ของมาตุคามบ่อยๆ ด้วยอำนาจความยินดีในการดู อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ. แต่เป็นทุกกฎเพราะเพ่งดูที่ไม่ใช่โอกาสอันสมควรแห่งมาตุคาม. ถ้าภิกษุกำหนัดด้วยความยินดีในการดู กลับยินดี พยายามในนิมิต เพื่อต้องการจะปล่อย แล้วปล่อย เป็นสังฆาทิเสส.
               พึงทราบวินิจฉัยความยินดีในการนั่ง ดังนี้ :-
               เมื่อภิกษุนั่งด้วยความกำหนัดยินดีการนั่งในที่ลับกับมาตุคาม อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ. แต่พระวินัยธรพึงปรับเธอด้วยอาบัติที่ต้องเพราะการนั่งในที่ลับเป็นปัจจัย. ถ้าภิกษุกำหนัดด้วยความยินดีในการนั่ง แล้วกลับยินดี พยายาม ที่นิมิตเพื่อต้องการจะปล่อย แล้วปล่อย เป็นสังฆาทิเสส.
           พึงทราบวินิจฉัยในความยินดีในคำพูด ดังนี้ :-
             ภิกษุพูดเกี้ยวมาตุคาม ด้วยคำพูดพาดพิงเมถุนด้วยความกำหนัดยินดีในถ้อยคำ อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ. แต่เธอต้องสังฆาทิเสส เพราะวาจาชั่วหยาบ. ถ้าภิกษุกำหนัดด้วยความยินดีในถ้อยคำแล้ว กลับยินดี พยายามที่นิมิต เพื่อต้องการจะปล่อย แล้วปล่อย เป็นสังฆาทิเสส.
               พึงทราบวินิจฉัยในความรักอาศัยเรือน ดังนี้ :-
               เมื่อภิกษุลูบคลำและสวมกอดบ่อยๆ ซึ่งมารดาด้วยความรักฐานมารดาก็ดี ซึ่งพี่สาวน้องสาวด้วยความรักฉันพี่สาวน้องสาวก็ดี อสุจิเคลื่อนเป็นอนาบัติ. แต่เป็นทุกกฎ เพราะถูกต้องด้วยความรักอาศัยเรือนเป็นปัจจัย. ถ้าหากว่า ภิกษุกำหนัดด้วยความรักอาศัยเรือนแล้วกลับยินดี พยายามที่นิมิตเพื่อต้องการจะปล่อย แล้วปล่อย เป็นสังฆาทิเสส.
               พึงทราบวินิจฉัยในวนภังคะ (ของขวัญ) ดังนี้ :-
               หญิงกับชายย่อมส่งบรรณาการ (ของขวัญ) มีชนิด คือหมากพลู ของหอมดอกไม้และเครื่องอบกลิ่นเป็นต้นไรๆ ไปให้กันและกันเพื่อต้องการความมีสันถวไมตรีที่มั่นคง นี้ชื่อว่าวนภังคะ. ถ้ามาตุคามส่งของขวัญเช่นนั้นไปให้แก่ภิกษุผู้เข้าสู่ตระกูล ผู้อยู่ใกล้ชิดกันบางรูป, และเมื่อเธอกำหนัดหนักว่า ของนี้หญิงชื่อโน้นส่งมาให้ ดังนี้แล้ว เอามือลูบคลำของขวัญเล่นบ่อยๆ อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ. ถ้าว่า ภิกษุกำหนัดหนักในวนภังคะแล้วกลับยินดี พยายามที่นิมิตเพื่อประสงค์จะปล่อย แล้วปล่อย, เป็นสังฆาทิเสส. ถ้าแม้เมื่อภิกษุพยายาม แต่อสุจิไม่เคลื่อน เป็นถุลลัจจัย.
        พระวินัยธรพึงพิจารณาประโยค ๑๑ เหล่านี้ด้วยอำนาจแห่งราคะ ๑๑ เหล่านี้แล้ว กำหนดอาบัติหรืออนาบัติ ด้วยประการอย่างนี้ ครั้นกำหนดดีแล้ว ถ้าเป็นครุกาบัติ พึงบอกว่า "เป็นครุกาบัติ" ถ้าเป็นลหุกาบัติ พึงบอกว่า "เป็นลหุกาบัติ" และพึงกระทำวินัยกรรมให้สมควรแก่อาบัติเหล่านั้นๆ. จริงอยู่ วินัยกรรมที่ทำแล้วอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นกรรมที่ทำดีแล้ว ดุจหมอรู้สมุฏฐานแห่งโรคแล้วปรุงยาฉะนั้น และย่อมเป็นไปเพื่อความสวัสดีแก่บุคคลผู้นั้น.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า เจเตติ น อุปกฺกมติ เป็นต้น ดังนี้ :-
               ภิกษุจงใจด้วยเจตนายินดีที่จะปล่อย แต่ไม่พยายาม อสุจิเคลื่อน ไม่เป็นอาบัติ. ภิกษุถูกความยินดีในการปล่อยบีบคั้นแล้ว จงใจว่า "ไฉนหนอ อสุจิจะพึงเคลื่อน" แต่ไม่พยายาม, อสุจิไม่เคลื่อน ไม่เป็นอาบัติ. 
            ภิกษุไม่จงใจด้วยความยินดีในการปล่อย พยายามด้วยความยินดีในผัสสะก็ดี ด้วยความยินดีในการคันก็ดี อสุจิเคลื่อนไม่เป็นอาบัติ. ภิกษุไม่จงใจอย่างนั้นเหมือนกัน แต่พยายาม อสุจิไม่เคลื่อนไม่เป็นอาบัติ. ภิกษุเมื่อตรึกถึงกามวิตก ไม่จงใจ ไม่พยายาม เพื่อต้องการปล่อย แต่อสุจิเคลื่อน ไม่เป็นอาบัติ. ถ้าแม้เมื่อภิกษุนั้นตรึกถึงกามวิตกอยู่ อสุจิไม่เคลื่อน. คำนี้เป็นคำที่ชักมาอ้างในอรรถกถาโบราณว่า ภิกษุไม่จงใจ ไม่พยายาม อสุจิไม่เคลื่อน ไม่เป็นอาบัติ ดังนี้.
           คำว่า อนาปตฺติ สุปินนฺเตน ความว่า เมื่อภิกษุหลับแล้ว ฝันเหมือนว่าเสพเมถุนธรรมก็ดี ฝันเหมือนว่าถึงความเคล้าคลึงกาย (มาตุคาม) เป็นต้นก็ดี ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้มีอสุจิเคลื่อนเพราะเหตุในความฝันนั้นเลย. แต่เมื่อเจตนายินดีบังเกิดในความฝัน ถ้าหากเป็นวิสัยของเธอ,๑- อย่าพึงเคลื่อนไหว ไม่พึงเอามือจับนิมิตเล่น แต่เพื่อจะรักษาผ้ากาสาวะและผ้าปูที่นอน จะเอาอุ้งมือจับ ไปสู่ที่มีน้ำ เพื่อทำความสะอาด ควรอยู่.
               บทว่า นโมจนาธิปฺปายสฺส มีความว่า เมื่อภิกษุใดพอกนิมิตด้วยเภสัชก็ดี กระทำการถ่ายอุจจาระเป็นต้นก็ดี ไม่มีความประสงค์ในการให้เคลื่อน อสุจิเคลื่อน ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุนั้น. ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุบ้าทั้งสองจำพวก. ในสิกขาบทนี้ พระเสยยสกะเป็นต้น บัญญัติ ไม่เป็นอาบัติแก่พระเสยยสกะผู้เป็นต้นบัญญัตินั้น ฉะนี้แล.
               บทภาชนียวรรณา จบ.      
๑- โยชนาปาฐะ ๑/๔๓๔. สจสฺสาสโยติ สเจ อสฺส ภิกฺขุสฺส อวิสโย.
               พึงทราบวินิจฉัยในสมุฏฐานเป็นต้น ดังนี้ :-
               สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจปฐมปาราชิกสิกขาบท ย่อมตั้งขึ้นทางกายกับจิตเป็นกิริยา เป็นสัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๒ โดยเป็นสุขเวทนาและอุเบกขาเวทนาทั้งสองแล.
               [วินีตวัตถุในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑]               
               บรรดาวินีตวัตถุทั้งหลาย เรื่องความฝันมีนัยดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ในอนุบัญญัตินั่นแล. เรื่องถ่ายอุจจาระปัสสาวะหลายเรื่อง
                        มีเนื้อความชัดเจนทั้งนั้น.
               ในเรื่องวิตก บทว่า กามวิตกฺกํ ได้แก่ ความตรึกถึงกามที่อาศัยเรือน. ในเรื่องกามวิตกนั้น ตรัสอนาบัติไว้แม้โดยแท้, ถึงกระนั้น ภิกษุไม่ควรตกอยู่ในอำนาจแห่งวิตก. เรื่องน้ำร้อนเรื่องแรกง่ายแล. ในเรื่องที่ ๒ ภิกษุนั้นใคร่เพื่อจะปล่อย เอาน้ำร้อนสาดแล้วสาดอีกซึ่งนิมิตแล้วอาบน้ำ. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงปรับอาบัติแก่เธอ. ในเรื่องที่ ๓ เป็นถุลลัจจัยเพราะมีความพยายาม. เรื่องยาและเรื่องเกา มีเนื้อความกระจ่างทั้งนั้นแล.
               พึงทราบวินิจฉัยในมัคควัตถุหลายเรื่อง ดังนี้ :-
               เมื่อภิกษุรูปแรกมีขาล่ำกำลังเดินทาง อสุจิได้เคลื่อน เพราะความเสียดสีในที่แคบ ไม่เป็นอาบัติแก่เธอ เพราะไม่มีความประสงค์ในการให้เคลื่อน. สำหรับรูปที่สอง อสุจิได้เคลื่อนอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เป็นสังฆาทิเสส เพราะมีความประสงค์ในการให้เคลื่อน. รูปที่สาม อสุจิไม่เคลื่อน แต่เป็นถุลลัจจัย เพราะมีความพยายาม. เพราะเหตุนั้น ภิกษุกำลังเดินทาง เมื่อความกลัดกลุ้มเกิดขึ้น ไม่ควรเดินทาง พึงหยุดเดิน ยังจิตให้สงบโดยมนสิการในอสุภเป็นต้น กำหนดกรรมฐานด้วยจิตบริสุทธิ์ แล้วจึงเดินต่อไป ถ้าหยุดยืนแล้วไม่อาจบรรเทาได้ พึงแวะออกจากหนทาง นั่งบรรเทาแล้วเดินกำหนดกรรมฐานด้วยจิตบริสุทธิ์นั่นแล.
               ในเรื่องฝักหัวไส้หลายเรื่อง พวกภิกษุเหล่านั้นจับหัว๑- ไส้ให้แน่น ปล่อย (เบา) ให้เต็มแล้วๆ ถ่ายปัสสาวะเหมือนพวกเด็กชาวบ้าน.
๑- สารัตถทีปนี ๓/๒๖. วตฺถึ ทฬฺหํ คเหตฺวาติ องฺคชาตสฺส อคฺเค ๑- ปสฺสาวนิคฺคมนฐาเน จมฺมํ ทฬฺหํ คเหตฺวา ๑- แปลว่า ข้อว่า จับหัวไส้ให้แน่นนั้น ได้แก่ จับที่ปลายองคชาต ๑- คือหนังในที่ซึ่งปัสสาวะไหลออกให้แน่น.
              ในเรื่องเรือนไฟเมื่อภิกษุอังท้องอยู่ มีความประสงค์จะให้เคลื่อนก็ดี ไม่ประสงค์จะให้เคลื่อนก็ดี เมื่ออสุจิเคลื่อนแล้ว เป็นอนาบัติเหมือนกัน. เมื่อกระทำบริกรรมอยู่ อสุจิเคลื่อนด้วยอำนาจแห่งการยังนิมิตให้เคลื่อนไหว เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงปรับอาบัติในฐานะแห่งอาบัติ.
               ในเรื่องเสียดสีด้วยขาหลายเรื่อง ท่านกล่าวไว้ในกุรุนทีอรรถกถาอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรับอาบัติแก่ภิกษุเหล่าใด, ภิกษุเหล่านั้น บัณฑิตพึงทราบว่า เสียดสีอยู่โดยรอบองคชาต ให้ถูกต้ององคชาตนั้นแล้ว.
               เรื่องสามเณรเป็นต้น มีเนื้อความกระจ่างทั้งนั้น.
               ในเรื่องดัดกาย คำว่า กายํ ถมฺเภนฺตสฺส มีความว่า เมื่อภิกษุนั่นนานหรือนอนนานก็ดี กระทำนวกรรมก็ดี แล้วดัดกายเพื่อแก้ความเมื่อยขบ.
               พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องเพ่งดู ดังนี้ :-
               แม้ถ้าว่า หญิงนั้นนุ่งผ้าตั้งร้อยชั้น ภิกษุยืนข้างหน้าก็ตาม ข้างหลังก็ตาม เพ่งดูว่า "นิมิตอยู่ในโอกาสชื่อนี้" เป็นทุกกฎแท้. ก็เมื่อเพ่งดูนิมิตแห่งพวกเด็กหญิงชาวบ้านผู้ไม่นุ่งผ้า จะต้องกล่าวอะไรเล่า? ในนิมิตแม้แห่งสัตว์เดียรัจฉานก็มีนัยเหมือนกันนี้. แต่เมื่อภิกษุไม่เหลียวไปข้างโน้นข้างนี้ เพ่งดูโดยประโยคเดียว แม้ตลอดทั้งวัน ก็เป็นทุกกฎตัวเดียวเท่านั้น. เมื่อเหลียวดูทางโน้นและทางนี้ เพ่งดูแล้วๆ เล่าๆ เป็นทุกกฎทุกๆประโยค. พระวินัยธรไม่พึงปรับด้วยอำนาจแห่งการลืมตาและหลับตา (กะพริบตา). เมื่อเพ่งดูโดยบังเอิญ กลับพิจารณาแล้วตั้งอยู่ในสังวรอีก เป็นอนาบัติ. เมื่อละสังวรนั้นแล้วเพ่งดูอีก เป็นทุกกฏทีเดียว. เรื่องช่องลูกดาลเป็นต้นมีเนื้อความกระจ่างทั้งนั้น.
            ในเรื่องอาบน้ำหลายเรื่อง พระผู้มีพระภาคเจ้าปรับอาบัติแก่พวกภิกษุผู้เอานิมิตฟาดกระแสน้ำ. แม้เรื่องน้ำโคลนหลายเรื่อง ก็มีนัยเหมือนกันนี้. ก็ในเรื่องน้ำโคลนนี้ น้ำโคลนท่านเรียกว่า อุทัญชละ. เรื่องอื่นๆ นอกนี้ทั้งหมดมีเรื่องวิ่งในน้ำเป็นต้น บัณฑิตพึงทราบโดยอุบายนี้เหมือนกัน.
               ส่วนความแปลกกัน ในเรื่องบุปผาวลีย์ดังต่อไปนี้ :-
               ถึงว่าจะไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่มีความประสงค์ในอันให้เคลื่อน. แต่กระนั้นก็เป็นทุกกฏ เพราะการเล่นเป็นปัจจัย ดังนี้แล.
               สุกกวิสัฏฐิสิกขาบทวรรณนา ในอรรถกถาพระวินัย
               ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ.       

พัทธจักร/ขัณฑจักร สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑ [ว่าด้วย ปล่อยสุกกะ] เตรสกัณฑ์ พระวินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ ปฐมภาค

ขัณฑจักร มีวัตถุประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล     
             [๓๒๑] ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเขียว และสุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเขียว และสุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเขียว และสุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเขียว และสุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเขียว และสุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเขียว และสุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเขียว และสุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเขียว และสุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเขียว และสุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ขัณฑจักรมีวัตถุประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล จบ
พัทธจักร มีวัตถุประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล หมวดที่ ๑
             [๓๒๒] ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหลือง และสุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหลือง และสุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหลือง และสุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหลือง และสุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหลือง และสุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหลือง และสุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหลือง และสุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหลือง และสุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหลือง และสุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีวัตถุประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล หมวดที่ ๒
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีแดง และสุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีแดง และสุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีแดง และสุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีแดง และสุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีแดง และสุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีแดง และสุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีแดง และสุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีแดง และสุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีแดง และสุกกะสีเหลือง เคลื่อนต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีวัตถุประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล หมวดที่ ๓
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีขาว และสุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีขาว และสุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีขาว และสุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีขาว และสุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีขาว และสุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีขาว และสุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีขาว และสุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีขาว และสุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีขาว และสุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีวัตถุประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล หมวดที่ ๔
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง และสุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง และสุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง และสุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง และสุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง และสุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง และสุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง และสุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง และสุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง และสุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ฯ.
พัทธจักร มีวัตถุประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล หมวดที่ ๕
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า และสุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ฯ.
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า และสุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า และสุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า และสุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า และสุกกะสีเขียว เคลื่อนต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า และสุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า และสุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า และสุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า และสุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีวัตถุประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล หมวดที่ ๖
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน และสุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน และสุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน และสุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน และสุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน และสุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน และสุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน และสุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน และสุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน และสุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีวัตถุประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล หมวดที่ ๗
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด และสุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด และสุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด และสุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด และสุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด และสุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด และสุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด และสุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อนต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด และสุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อนต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด และสุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อนต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีวัตถุประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล หมวดที่ ๘
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม และสุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม และสุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม และสุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม และสุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม และสุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม และสุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม และสุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม และสุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม และสุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีวัตถุประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล หมวดที่ ๙
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเนยใส และสุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเนยใส และสุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเนยใส และสุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเนยใส และสุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเนยใส และสุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเนยใส และสุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเนยใส และสุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเนยใส และสุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเนยใส และสุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักรมีวัตถุประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล จบ.
             แม้ขัณฑจักร และพัทธจักร มีวัตถุประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูลเป็นต้น ก็พึงทราบโดย นัยนี้แล.
ขัณฑจักร มีวัตถุประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล
             [๓๒๓] ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเขียว สุกกะสีเหลือง และสุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเขียว สุกกะสีเหลือง และสุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเขียว สุกกะสีเหลือง และสุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเขียว สุกกะสีเหลือง และสุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเขียว สุกกะสีเหลือง และสุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเขียว สุกกะสีเหลือง และสุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเขียว สุกกะสีเหลือง และสุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเขียว สุกกะสีเหลือง และสุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ขัณฑจักรมีวัตถุประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล จบ.
พัทธจักร มีวัตถุประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล หมวดที่ ๑
             [๓๒๔] ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหลือง สุกกะสีแดง และสุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหลือง สุกกะสีแดง และสุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหลือง สุกกะสีแดง และสุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหลือง สุกกะสีแดง และสุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหลือง สุกกะสีแดง และสุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหลือง สุกกะสีแดง และสุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหลือง สุกกะสีแดง และสุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหลือง สุกกะสีแดง และสุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้อง อาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีวัตถุประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล หมวดที่ ๒
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีแดง สุกกะสีขาว และสุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีแดง สุกกะสีขาว และสุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีแดง สุกกะสีขาว และสุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีแดง สุกกะสีขาว และสุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีแดง สุกกะสีขาว และสุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีแดง สุกกะสีขาว และสุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีแดง สุกกะสีขาว และสุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีแดง สุกกะสีขาว และสุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีวัตถุประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล หมวดที่ ๓
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีขาว สุกกะสีเหมือนเปรียง และสุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีขาว สุกกะสีเหมือนเปรียง และสุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีขาว สุกกะสีเหมือนเปรียง และสุกกะสีเหมือน นม สด เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีขาว สุกกะสีเหมือนเปรียง และสุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีขาว สุกกะสีเหมือนเปรียง และสุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีขาว สุกกะสีเหมือนเปรียง และสุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีขาว สุกกะสีเหมือนเปรียง และสุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีขาว สุกกะสีเหมือนเปรียง และสุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีวัตถุประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล หมวดที่ ๔
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง สุกกะสีเหมือนน้ำท่า และสุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง สุกกะสีเหมือนน้ำท่า และสุกกะสีเหมือน นม สด เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง สุกกะสีเหมือนน้ำท่า และสุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง สุกกะสีเหมือนน้ำท่า และสุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง สุกกะสีเหมือนน้ำท่า และสุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง สุกกะสีเหมือนน้ำท่า และสุกกะสีเหลืองเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง สุกกะสีเหมือนน้ำท่า และสุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง สุกกะสีเหมือนน้ำท่า และสุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีวัตถุประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล หมวดที่ ๕
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า สุกกะสีเหมือนน้ำมัน และสุกกะสีเหมือน นม สด เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า สุกกะสีเหมือนน้ำมัน และสุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า สุกกะสีเหมือนน้ำมัน และสุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า สุกกะสีเหมือนน้ำมัน และสุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า สุกกะสีเหมือนน้ำมัน และสุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า สุกกะสีเหมือนน้ำมัน และสุกกะสีแดง  เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า สุกกะสีเหมือนน้ำมัน และสุกกะสีขาว  เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า สุกกะสีเหมือนน้ำมัน และสุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีวัตถุประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล หมวดที่ ๖
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน สุกกะสีเหมือนนมสด และ
สุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน สุกกะสีเหมือนนมสด และ
สุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน สุกกะสีเหมือนนมสด และสุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน สุกกะสีเหมือนนมสด และสุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน สุกกะสีเหมือนนมสด และสุกกะสีแดง  เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน สุกกะสีเหมือนนมสด และสุกกะสีขาว  เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน สุกกะสีเหมือนนมสด และสุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน สุกกะสีเหมือนนมสด และสุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีวัตถุประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล หมวดที่ ๗
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด สุกกะสีเหมือนนมส้ม และสุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือน นม สด สุกกะสีเหมือนนมส้ม และสุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด สุกกะสีเหมือนนมส้ม และสุกกะสีเหลือง    เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด สุกกะสีเหมือนนมส้ม และสุกกะสีแดง  เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด สุกกะสีเหมือนนมส้ม และสุกกะสีขาว  เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด สุกกะสีเหมือนนมส้ม และสุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด สุกกะสีเหมือนนมส้ม และสุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด สุกกะสีเหมือนนมส้ม และสุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
 พัทธจักร มีวัตถุประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล หมวดที่ ๘
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม สุกกะสีเหมือนเนยใส และสุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม สุกกะสีเหมือนเนยใส และสุกกะสี สีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม สุกกะสีเหมือนเนยใส และสุกกะสีแดง  เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม สุกกะสีเหมือนเนยใส และสุกกะสีขาว  เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม สุกกะสีเหมือนเนยใส และสุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม สุกกะสีเหมือนเนยใส และสุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม สุกกะสีเหมือนเนยใส สุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม สุกกะสีเหมือนเนยใส และสุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีวัตถุประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล จบ.
             [๓๒๕] ขัณฑจักรและพัทธจักร มีวัตถุประสงค์ ๓ อย่างเป็นมูล
             ขัณฑจักรและพัทธจักร มีวัตถุประสงค์ ๔ อย่างเป็นมูล
             ขัณฑจักรและพัทธจักร มีวัตถุประสงค์ ๕ อย่างเป็นมูล
             ขัณฑจักรและพัทธจักร มีวัตถุประสงค์ ๖ อย่างเป็นมูล
             ขัณฑจักรและพัทธจักร มีวัตถุประสงค์ ๗ อย่างเป็นมูล
             ขัณฑจักรและพัทธจักร มีวัตถุประสงค์ ๘ อย่างเป็นมูล
             ขัณฑจักรและพัทธจักร มีวัตถุประสงค์ ๙ อย่างเป็นมูล
             นักปราชญ์พึงทำตามแบบนี้แล.
 ขัณฑจักรและพัทธจักร มีวัตถุประสงค์ทุกอย่างเป็นมูล ดังต่อไปนี้:-
             [๓๒๖] ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเขียว สุกกะสีเหลือง สุกกะสีแดง สุกกะสีขาว สุกกะสีเหมือนเปรียง สุกกะสีเหมือนน้ำท่า สุกกะสีเหมือนน้ำมัน สุกกะสีเหมือนนมสด สุกกะสีเหมือนนมส้ม และสุกกะสีเหมือนเนยใส   เคลื่อน      ต้องอาบัติสังฆาทิเสส. ขัณฑจักรและพัทธจักร มีวัตถุประสงค์ทุกอย่างเป็นมูล จบ.

สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑ [ว่าด้วย ปล่อยสุกกะ] เตรสกัณฑ์. พระวินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ ปฐมภาค

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า   
             ท่านทั้งหลาย ก็ธรรมคือสังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท          เหล่านี้แล มาสู่อุเทศ.
เรื่องพระเสยยสกะ
[๓๐๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ท่านพระเสยยสกะ ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์เพราะความกระสันนั้น เธอจึงซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณคล้ำ มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีร่างกายสะพรั่งด้วยเอ็น ท่านพระอุทายีได้เห็นท่านพระเสยยสกะ ซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณคล้ำมีผิวเหลืองขึ้นๆ มีร่างกายสะพรั่งด้วยเอ็น ครั้นแล้วจึงได้ถามว่า อาวุโส เสยยสกะ เพราะเหตุไรคุณจึงซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณคล้ำ มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีร่างกายสะพรั่งด้วยเอ็น คุณจะไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์กระมังหนอ?
             ท่านพระเสยยสกะรับสารภาพว่า จริงอย่างนั้น ขอรับ
             ท่านพระอุทายีแนะนำว่า ดูกรคุณเสยยสกะ ถ้าอย่างนั้น คุณจงฉันอาหารให้พอแก่ความต้องการ จำวัดให้พอแก่ความต้องการ สรงน้ำให้พอแก่ความต้องการ ครั้นฉันอาหาร จำวัด สรงน้ำพอแก่ความต้องการแล้ว เมื่อใดความกระสันบังเกิดแก่คุณ ราคะรบกวนจิตคุณ เมื่อนั้น
             คุณจงใช้มือพยายามปล่อยอสุจิ
             เส. ทำเช่นนั้น ควรหรือ ขอรับ?
             อุ. ควรซิ คุณ แม้ผมก็ทำเช่นนั้น
             ต่อมา ท่านพระเสยยสกะฉันอาหารพอแก่ความต้องการ จำวัดพอแก่ความต้องการสรงน้ำพอแก่ความต้องการ ครั้นฉันอาหาร จำวัด สรงน้ำพอแก่ความต้องการแล้ว เมื่อใดความกระสันบังเกิด ราคะรบกวนจิต เมื่อนั้นก็ใช้มือพยายามปล่อยอสุจิ สมัยต่อมา ท่านพระเสยยสกะได้เป็นผู้มีผิวพรรณ มีอินทรีย์อิ่มเอิบ มีสีหน้าสดใส มีฉวีวรรณผุดผ่อง จึงพวกภิกษุสหายของท่านพระเสยยสกะถามท่านพระเสยยสกะว่า อาวุโส เสยยสกะ เมื่อก่อนคุณซูบผอม เศร้าหมองมีผิวพรรณคล้ำ มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีร่างกายสะพรั่งด้วยเอ็น เดี๋ยวนี้คุณมีผิวพรรณมีอินทรีย์อิ่มเอิบ มีสีหน้าสดใส มีฉวีวรรณผุดผ่อง
                         คุณทำยาอะไรฉันหรือ?
                         เส. ผมไม่ได้ทำยาฉัน แต่ผมฉันอาหารพอแก่ความต้องการ จำวัดพอแก่ความต้องการสรงน้ำพอแก่ความต้องการ ครั้นฉันอาหาร สรงน้ำ จำวัด พอแก่ความต้องการแล้ว เมื่อใดความกระสันบังเกิดแก่ผม ราคะรบกวนจิตผม เมื่อนั้นผมก็ใช้มือพยายามปล่อยอสุจิ
                         ภิ. อาวุโส เสยยสกะ คุณพยายามปล่อยอสุจิ ด้วยมือซึ่งเป็น. เครื่องฉันอาหารที่เขาถวายด้วยศรัทธาเทียวหรือ?
                          เส. เป็นอย่างนั้น ขอรับ
                          บรรดาภิกษุที่มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระเสยยสกะจึงได้ใช้มือพยายามปล่อยอสุจิเล่า ภิกษุเหล่านั้น พากันติเตียนท่านพระเสยยสกะ โดยอเนกปริยาย แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติสิกขาบท
             ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ใน เพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระเสยยสกะว่า ดูกรเสยยสกะ ข่าวว่า เธอใช้มือพยายามปล่อยอสุจิ จริงหรือ?
             ท่านพระเสยยสกะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
             พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้  ไม่ควรทำ ไฉนเธอจึงได้ใช้มือพยายามปล่อยอสุจิเล่า
             ดูกรโมฆบุรุษ ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยอเนกปริยาย เพื่อคลายความกำหนัด ไม่ใช่เพื่อมีความกำหนัด เพื่อความพราก ไม่ใช่เพื่อความประกอบ เพื่อความไม่ถือมั่น ไม่ใช่เพื่อมีความถือมั่น มิใช่หรือ เมื่อธรรมชื่อนั้น อันเราแสดงแล้ว เพื่อคลายความกำหนัด เธอยังจักคิด เพื่อมีความกำหนัด เราแสดงเพื่อความพราก เธอยังจักคิดเพื่อความประกอบ เราแสดงเพื่อความไม่ถือมั่น เธอจักคิดเพื่อมีความถือมั่น
             ดูกรโมฆบุรุษ ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยอเนกปริยาย เพื่อเป็นที่สำรอกแห่งราคะ เพื่อเป็นที่สร่างแห่งความเมา เพื่อเป็นที่บรรเทาความระหาย เพื่อเพิกถอนอาลัย เพื่อเข้าไปตัดวัฏฏะ เพื่อสิ้นแห่งตัณหา เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับทุกข์ เพื่อความไม่มีกิเลสเครื่องร้อยรัดมิใช่หรือ?
             ดูกรโมฆบุรุษ การละกาม การกำหนดรู้ความหมายในกาม การกำจัดความระหายในกามการเพิกถอนความตรึกอันเกี่ยวด้วยกาม การระงับความกลัดกลุ้มเพราะกาม เราบอกไว้แล้วโดยอเนกปริยาย มิใช่หรือ?
             ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั้น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่นเป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว
             ครั้นผู้มีพระภาค ทรงติเตียนท่านพระเสยยสกะโดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิด ในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่น แห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตาม พระวินัย ๑
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
             ๕. ๑. ปล่อยสุกกะเป็นไปด้วยความจงใจ เป็นสังฆาทิเสส    ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลายด้วยอาการฉะนี้.
เรื่องพระเสยยสกะ จบ. \ เรื่องภิกษุหลายรูป
[๓๐๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายฉันโภชนะอันประณีตแล้วจำวัดปล่อยสติไม่มีสัมปชัญญะ เมื่อเธอจำวัดปล่อยสติไม่มีสัมปชัญญะ อสุจิเคลื่อนโดยฝัน เธอมีความรังเกียจว่าพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ว่า ปล่อยสุกกะเป็นไปด้วยความจงใจ เป็นสังฆาทิเสสแต่อสุจิของพวกเราเคลื่อนโดยฝัน ทั้งเจตนาในความฝันนี้จะว่ามีก็ได้ ชะรอยพวกเรา ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เจตนานี้มีอยู่ แต่นั่นเป็นอัพโพหาริก
ทรงบัญญัติพระอนุบัญญัติ
            ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะ
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ ...
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระอนุบัญญัติ
             ๕. ๑. ก. ปล่อยสุกกะเป็นไปด้วยความจงใจ เว้นไว้แต่ฝันเป็นสังฆาทิเสส.
เรื่องภิกษุหลายรูป จบ. / สิกขาบทวิภังค์
[๓๐๓] บทว่า เป็นไปด้วยความจงใจ ความว่า รู้อยู่ รู้ดีอยู่ จงใจ ตั้งใจละเมิด
             บทว่า สุกกะ อธิบายว่าสุกกะมี ๑๐ อย่าง คือ สุกกะสีเขียว ๑ สุกกะสีเหลือง ๑ สุกกะสีแดง ๑ สุกกะสีขาว ๑ สุกกะสีเหมือนเปรียง ๑ สุกกะสีเหมือนน้ำท่า  ๑ สุกกะสีเหมือนน้ำมัน ๑ สุกกะสีเหมือนนมสด ๑ สุกกะสีเหมือนนมส้ม ๑ สุกกะสีเหมือนเนยใส ๑
             การกระทำอสุจิให้เคลื่อนจากฐานตรัสเรียกว่า การปล่อย ชื่อว่าปล่อย
             บทว่า เว้นไว้แต่ฝัน คือ ยกเว้นความฝัน
             บทว่า สังฆาทิเสส ความว่า สงฆ์เท่านั้นให้ปริวาสเพื่ออาบัตินั้นได้ ชักเข้าหาอาบัติเดิมได้ ให้มานัตได้ เรียกเข้าหมู่ได้ ไม่ใช่คณะมากรูปด้วยกัน ไม่ใช่บุคคลรูปเดียว เพราะฉะนั้นจึงตรัสเรียกว่า สังฆาทิเสส 
             คำว่า สังฆาทิเสส เป็นการขนานนาม คือเป็นชื่อของหมวดอาบัตินั้นแล แม้เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่า สังฆาทิเสส.
บทภาชนีย์ (อุบาย ๔)
[๓๐๔] ภิกษุปล่อยสุกกะในรูปภายใน ๑ ปล่อยสุกกะในรูปภายนอก ๑ ปล่อยสุกกะในรูปทั้งที่เป็นภายในทั้งที่เป็นภายนอก ๑   ปล่อยเมื่อยังสะเอวให้ไหวในอากาศ ๑
             (กาล ๕)  ปล่อยเมื่อเวลาเกิดความกำหนัด ๑ ปล่อยเมื่อเวลาปวดอุจจาระ ๑ ปล่อยเมื่อเวลาปวดปัสสาวะ ๑ ปล่อยเมื่อเวลาต้องลม ๑  ปล่อยเมื่อเวลาถูกบุ้งขน ๑
             (ความประสงค์ ๑๐) ปล่อยเพื่อประสงค์ความหายโรค ๑ ปล่อยเพื่อประสงค์ความสุข ๑ ปล่อยเพื่อประสงค์เป็นยา ๑ ปล่อยเพื่อประสงค์ให้ทาน ๑ ปล่อยเพื่อประสงค์เป็นบุญ ๑ ปล่อย เพื่อประสงค์บูชายัญ ๑ ปล่อยเพื่อประสงค์ไปสวรรค์ ๑ ปล่อยเพื่อประสงค์เป็นพืช ๑ ปล่อยเพื่อประสงค์จะทดลอง ๑ ปล่อยเพื่อประสงค์ความสนุก ๑ 
             (วัตถุประสงค์ ๑๐)  ปล่อยสุกกะสีเขียว ๑ ปล่อยสุกกะสีเหลือง ๑ ปล่อยสุกกะสีแดง ๑ ปล่อยสุกกะสีขาว ๑ ปล่อยสุกกะสีเหมือนเปรียง ๑ ปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำท่า ๑ ปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำมัน ๑ ปล่อยสุกกะสีเหมือนนมสด ๑ ปล่อยสุกกะสีเหมือนนมส้ม ๑ ปล่อยสุกกะสีเหมือนเนยใส ๑
[๓๐๕] บทว่า รูปภายใน ได้แก่รูปที่มีวิญญาณครอง เป็นภายใน
             บทว่า รูปภายนอก ได้แก่  รูปที่มีวิญญาณครอง หรือรูปที่ไม่มีวิญญาณครอง เป็นภายนอก
             บทว่า รูปทั้งที่เป็นภายในทั้งที่เป็นภายนอก ได้แก่รูปทั้งสองนั้น
             บทว่า เมื่อยังสะเอวให้ไหวในอากาศ คือเมื่อพยายามในอากาศ องค์กำเนิดเป็นอวัยวะใช้การได้
             บทว่า เมื่อเวลาเกิดความกำหนัด คือเมื่อถูกราคะบีบคั้นแล้ว องค์กำเนิดเป็นอวัยวะใช้การได้
             บทว่า เมื่อเวลาปวดอุจจาระ คือเมื่อปวดอุจจาระ  องค์กำเนิดเป็นอวัยวะใช้การได้
             บทว่า เมื่อเวลาปวดปัสสาวะ คือเมื่อปวดปัสสาวะ  องค์กำเนิดเป็นอวัยวะใช้การได้
            บทว่า เมื่อเวลาต้องลม คือเมื่อถูกลมโชยแล้ว  องค์กำเนิดเป็นอวัยวะใช้การได้
             บทว่า เมื่อเวลาถูกบุ้งขน คือเมื่อถูกบุ้งขนเบียดเบียนแล้ว  องค์กำเนิดเป็นอวัยวะใช้การได้
             บทว่า เพื่อประสงค์ความหายโรค คือเพื่อหวังว่าจักเป็นคนไม่มีโรค
             บทว่า เพื่อประสงค์ความสุข คือเพื่อหวังว่าจักยังสุขเวทนาให้เกิด
             บทว่า เพื่อประสงค์เป็นยา คือเพื่อมุ่งว่าจักเป็นยา
             บทว่า เพื่อประสงค์ให้ทาน คือเพื่อมุ่งว่าจักให้ทาน
             บทว่า เพื่อประสงค์เป็นบุญ คือเพื่อมุ่งว่าจักเป็นบุญ
             บทว่า เพื่อประสงค์บูชายัญ คือเพื่อมุ่งว่าจักบูชายัญ
             บทว่า เพื่อประสงค์ไปสวรรค์ คือเพื่อมุ่งว่าจักได้ไปสวรรค์
             บทว่า เพื่อประสงค์เป็นพืช คือเพื่อมุ่งว่าจักเป็นพืช
             บทว่า เพื่อประสงค์ทดลอง คือเพื่อมุ่งว่าจักทดลองดูว่า สุกกะจักเป็นสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว สีเหมือนเปรียง สีเหมือนน้ำท่า สีเหมือนน้ำมัน  สีเหมือนนมสด สีเหมือนนมส้ม หรือสีเหมือนเนยใส
             บทว่า เพื่อประสงค์ความสนุก คือมีความมุ่งหมายจะเล่น.
สุทธิกสังฆาทิเสส / อุบาย ๔ อย่าง
[๓๐๖] ภิกษุจงใจ พยายาม ในรูปภายใน สุกกะเคลื่อน  ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม ในรูปภายนอก สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม ในรูปทั้งที่เป็นภายใน ทั้งที่เป็นภายนอก สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เมื่อยังสะเอวให้ไหวในอากาศ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
กาล ๕ อย่าง
             ภิกษุจงใจ พยายาม เมื่อเวลาเกิดความกำหนัด สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เมื่อเวลาปวดอุจจาระ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายามเมื่อเวลาปวดปัสสาวะ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เมื่อเวลาต้องลม สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เมื่อเวลาถูกบุ้งขน สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ความประสงค์ ๑๐ อย่าง
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อประสงค์ความหายโรค สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อประสงค์ความสุข สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อประสงค์เป็นยา สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อประสงค์ให้ทาน สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อประสงค์เป็นบุญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อประสงค์บูชายัญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อประสงค์ไปสวรรค์ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อประสงค์เป็นพืช สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อประสงค์ทดลอง สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อประสงค์ความสนุก สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
วัตถุประสงค์ ๑๐ อย่าง
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเขียวเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหลืองเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีแดงเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีขาวเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียงเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่าเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมันเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสดเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้มเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม สุกกะสีเหมือนเนยใสเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส สุทธิกสังฆาทิเสส จบ.
ขัณฑจักร มีความประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล
             [๓๐๗] ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรคและเพื่อความสุข สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรคและเพื่อเป็นยา สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรคและเพื่อให้ทาน สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรคและเพื่อเป็นบุญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรคและเพื่อบูชายัญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรคและเพื่อไปสวรรค์ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรคและเพื่อเป็นพืช สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรคและเพื่อทดลอง สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรคและเพื่อความสนุก สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส ขัณฑจักร มีความประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล จบ.
พันธจักร มีความประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล หมวดที่ ๑
             [๓๐๘] ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสุขและเพื่อเป็นยา สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสุขและเพื่อให้ทาน สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสุขและเพื่อเป็นบุญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสุขและเพื่อบูชายัญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสุขและเพื่อไปสวรรค์ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสุขและเพื่อเป็นพืช สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสุขและเพื่อทดลอง สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสุขและเพื่อความสนุก สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสุขและเพื่อความหายโรค สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส.
พันธจักร มีความประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล หมวดที่ ๒
             [๓๐๙] ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นยาและเพื่อให้ทาน สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นยาและเพื่อเป็นบุญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นยาและเพื่อบูชายัญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นยาและเพื่อไปสวรรค์ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นยาและเพื่อเป็นพืช สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นยาและเพื่อทดลอง สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นยาและเพื่อความสนุก สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นยาและเพื่อความหายโรค สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นยาและเพื่อความสุข สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
พันธจักร มีความประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล หมวดที่ ๓
             [๓๑๐] ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อให้ทานและเพื่อเป็นบุญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อให้ทานและเพื่อบูชายัญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อให้ทานและเพื่อไปสวรรค์ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อให้ทานและเพื่อเป็นพืช สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อให้ทานและเพื่อทดลอง สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อให้ทานและเพื่อความสนุก สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อให้ทานและเพื่อความหายโรค สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อให้ทานและเพื่อความสุข สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อให้ทานและเพื่อเป็นยา สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
พันธจักร มีความประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล หมวดที่ ๔
             [๓๑๑] ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นบุญและเพื่อบูชายัญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นบุญและเพื่อไปสวรรค์ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นบุญและเพื่อเป็นพืช สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นบุญและเพื่อทดลอง สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นบุญและเพื่อความสนุก สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นบุญและเพื่อความหายโรค สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นบุญและเพื่อความสุข สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นบุญและเพื่อเป็นยา สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นบุญและเพื่อให้ทาน สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส.
พันธจักร มีความประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล หมวดที่ ๕
             [๓๑๒] ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อบูชายัญและเพื่อไปสวรรค์ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อบูชายัญและเพื่อเป็นพืช สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อบูชายัญและเพื่อทดลอง สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อบูชายัญและเพื่อความสนุก สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อบูชายัญและเพื่อความหายโรค สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อบูชายัญและเพื่อความสุข สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อบูชายัญและเพื่อเป็นยา สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อบูชายัญและเพื่อให้ทาน สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อบูชายัญและเพื่อเป็นบุญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีความประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล หมวดที่ ๖
             [๓๑๓] ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อไปสวรรค์และเพื่อเป็นพืช สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อไปสวรรค์และเพื่อทดลอง สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อไปสวรรค์และเพื่อความสนุก สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อไปสวรรค์และเพื่อหายโรค สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อไปสวรรค์และเพื่อความสุข สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อไปสวรรค์และเพื่อเป็นยา สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อไปสวรรค์และเพื่อให้ทาน สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อไปสวรรค์และเพื่อเป็นบุญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อไปสวรรค์และเพื่อบูชายัญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีความประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล หมวดที่ ๗
             [๓๑๔] ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นพืชและเพื่อทดลอง สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นพืชและเพื่อความสนุก สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นพืชและเพื่อความหายโรค สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นพืชและเพื่อความสุข สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นพืชและเพื่อเป็นยา สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นพืชและเพื่อให้ทาน สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นพืชและเพื่อเป็นบุญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นพืชและเพื่อบูชายัญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นพืชและเพื่อไปสวรรค์ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีความประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล หมวดที่ ๘
             [๓๑๕] ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อทดลองและเพื่อความสนุก สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อทดลองและเพื่อความหายโรค สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อทดลองและเพื่อความสุข สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อทดลองและเพื่อเป็นยา สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อทดลองและเพื่อให้ทาน สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อทดลองและเพื่อเป็นบุญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อทดลองและเพื่อบูชายัญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อทดลองและเพื่อไปสวรรค์ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อทดลองและเพื่อเป็นพืช สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีความประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล หมวดที่ ๙
             [๓๑๖] ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสนุกและเพื่อความหายโรค สุกกะเคลื่อน ต้อง อาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสนุกและเพื่อความสุข สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสนุกและเพื่อเป็นยา สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสนุกและเพื่อให้ทาน สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสนุกและเพื่อเป็นบุญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสนุกและเพื่อบูชายัญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสนุกและเพื่อไปสวรรค์ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสนุกและเพื่อเป็นพืช สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสนุกและเพื่อทดลอง สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส.
              พัทธจักร มีความประสงค์อย่างเดียวเป็นมูล จบ.
             แม้ขัณฑจักรและพัทธจักรมีความประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูลเป็นต้น ก็พึงทราบโดยนัยนี้แล.
                  ขัณฑจักร มีความประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล
             [๓๑๗] ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข และเพื่อเป็นยา สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข และเพื่อให้ทาน สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข และเพื่อเป็นบุญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข และเพื่อบูชายัญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข และเพื่อไปสวรรค์ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข และเพื่อเป็นพืช สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข และเพื่อทดลอง สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข และเพื่อความสนุก สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส. ขัณฑจักรมีความประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล จบ.
พัทธจักร มีความประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล หมวดที่ ๑
             [๓๑๘] ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสุข เพื่อเป็นยา และเพื่อให้ทาน สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสุข เพื่อเป็นยา และเพื่อเป็นบุญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสุข เพื่อเป็นยา และเพื่อบูชายัญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสุข เพื่อเป็นยา และเพื่อไปสวรรค์ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสุข เพื่อเป็นยา และเพื่อเป็นพืช สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสุข เพื่อเป็นยา และเพื่อทดลอง สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสุข เพื่อเป็นยา และเพื่อความสนุก สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความสุข เพื่อเป็นยา และเพื่อความหายโรค สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีความประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล หมวดที่ ๒
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นยา เพื่อให้ทาน และเพื่อเป็นบุญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นยา เพื่อให้ทาน และเพื่อบูชายัญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นยา เพื่อให้ทาน และเพื่อไปสวรรค์ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นยา เพื่อให้ทาน และเพื่อเป็นพืช สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นยา เพื่อให้ทาน และเพื่อทดลอง สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นยา เพื่อให้ทาน และเพื่อความสนุก สุกกะเคลื่อน ต้อง อาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นยา เพื่อให้ทาน และเพื่อความหายโรค สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นยา เพื่อให้ทาน และเพื่อความสุข สุกกะเคลื่อน ต้อง อาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีความประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล หมวดที่ ๓
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อให้ทาน เพื่อเป็นบุญ และเพื่อบูชายัญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อให้ทาน เพื่อเป็นบุญ และเพื่อไปสวรรค์ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อให้ทาน เพื่อเป็นบุญ และเพื่อเป็นพืช สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อให้ทาน เพื่อเป็นบุญ และเพื่อทดลอง สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อให้ทาน เพื่อเป็นบุญ และเพื่อความสนุก สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อให้ทาน เพื่อเป็นบุญ และเพื่อความหายโรค สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อให้ทาน เพื่อเป็นบุญ และเพื่อความสุข สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อให้ทาน เพื่อเป็นบุญ และเพื่อเป็นยา สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีความประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล หมวดที่ ๔
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นบุญ เพื่อบูชายัญ และเพื่อไปสวรรค์ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นบุญ เพื่อบูชายัญ และเพื่อเป็นพืช สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นบุญ เพื่อบูชายัญ และเพื่อทดลอง สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นบุญ เพื่อบูชายัญ และเพื่อความสนุก สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นบุญ เพื่อบูชายัญ และเพื่อความหายโรค สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นบุญ เพื่อบูชายัญ และเพื่อความสุข สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นบุญ เพื่อบูชายัญ และเพื่อเป็นยา สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นบุญ เพื่อบูชายัญ และเพื่อให้ทาน สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
 พัทธจัก  มีความประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล หมวดที่ ๕
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อบูชายัญ เพื่อไปสวรรค์ และเพื่อเป็นพืช สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อบูชายัญ เพื่อไปสวรรค์ และเพื่อทดลอง สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อบูชายัญ เพื่อไปสวรรค์ และเพื่อความสนุก สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อบูชายัญ เพื่อไปสวรรค์ และเพื่อความหายโรค สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อบูชายัญ เพื่อไปสวรรค์ และเพื่อความสุข สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อบูชายัญ เพื่อไปสวรรค์ และเพื่อเป็นยา สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อบูชายัญ เพื่อไปสวรรค์ และเพื่อให้ทาน สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อบูชายัญ เพื่อไปสวรรค์ และเพื่อเป็นบุญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีความประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล หมวดที่ ๖
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อไปสวรรค์ เพื่อเป็นพืช และเพื่อทดลอง สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อไปสวรรค์ เพื่อเป็นพืช และเพื่อความสนุก สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อไปสวรรค์ เพื่อเป็นพืช และเพื่อความหายโรค สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อไปสวรรค์ เพื่อเป็นพืช และเพื่อความสุข สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อไปสวรรค์ เพื่อเป็นพืช และเพื่อเป็นยา สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อไปสวรรค์ เพื่อเป็นพืช และเพื่อให้ทาน สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อไปสวรรค์ เพื่อเป็นพืช และเพื่อเป็นบุญ สุกกะเคลื่อนต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อไปสวรรค์ เพื่อเป็นพืช และเพื่อบูชายัญสุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีความประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล หมวดที่ ๗
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นพืช เพื่อทดลอง และเพื่อความสนุก สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นพืช เพื่อทดลอง และเพื่อความหายโรค สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นพืช เพื่อทดลอง และเพื่อความสุข สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นพืช เพื่อทดลอง และเพื่อเป็นยา สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นพืช เพื่อทดลอง และเพื่อให้ทาน สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นพืช เพื่อทดลอง และเพื่อเป็นบุญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
            ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นพืช เพื่อทดลอง และเพื่อบูชายัญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
             ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อเป็นพืช เพื่อทดลอง และเพื่อไปสวรรค์ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
พัทธจักร มีความประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล หมวดที่ ๘
           ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อทดลอง เพื่อความสนุก และเพื่อความหายโรค สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
           ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อทดลอง เพื่อความสนุก และเพื่อความสุข สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
           ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อทดลอง เพื่อความสนุก และเพื่อเป็นยา สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
           ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อทดลอง เพื่อความสนุก และเพื่อให้ทาน สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
           ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อทดลอง เพื่อความสนุก และเพื่อเป็นบุญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
           ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อทดลอง เพื่อความสนุก และเพื่อบูชายัญ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
           ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อทดลอง เพื่อความสนุก และเพื่อไปสวรรค์ สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
           ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อทดลอง เพื่อความสนุก และเพื่อเป็นพืช สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
                 พัทธจักร มีความประสงค์ ๒ อย่างเป็นมูล จบ.
[๓๑๙] ขัณฑจักร และพัทธจักร มีความประสงค์ ๓ อย่างเป็นมูล
           ขัณฑจักรและพัทธจักร มีความประสงค์ ๔ อย่างเป็นมูล
           ขัณฑจักรและพัทธจักร มีความประสงค์ ๕ อย่างเป็นมูล
           ขัณฑจักรและพัทธจักร มีความประสงค์ ๖ อย่างเป็นมูล
           ขัณฑจักรและพัทธจักร มีความประสงค์ ๗ อย่างเป็นมูล
           ขัณฑจักรและพัทธจักร มีความประสงค์ ๘ อย่างเป็นมูล
           ขัณฑจักรและพัทธจักร มีความประสงค์ ๙ อย่างเป็นมูล
           นักปราชญ์พึงทำตามแบบนี้แล.
           ขัณฑจักรและพัทธจักรมีความประสงค์ทุกอย่างเป็นมูล ดังต่อไปนี้
[๓๒๐] ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข เพื่อเป็นยา เพื่อให้ทาน เพื่อเป็นบุญ เพื่อบูชายัญ เพื่อไปสวรรค์ เพื่อเป็นพืช เพื่อทดลอง และ เพื่อความสนุก สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ฯ.
             ขัณฑจักรและพัทธจักร มีความประสงค์ทุกอย่างเป็นมูล จบ.