Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อรรถกถา.บทภาชนีย์ มรรคภาณวาร แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อรรถกถา.บทภาชนีย์ มรรคภาณวาร แสดงบทความทั้งหมด

07 สิงหาคม 2567

อรรถกถา.บทภาชนีย์ มรรคภาณวาร ปาราชิกกัณฑ์ ปฐมปาราชิกสิกขาบท พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์

 พระผู้มีพระภาคเจ้า  ครั้งทรงจำแนกสิกขาบทที่ทรงอุเทศอย่างนั้นตามลำดับบทแล้ว บัดนี้ จึงทรงแสดงสัตว์ทั้งหลายซึ่งมีนิมิตเป็นวัตถุแห่งปาราชิก โดยนัยมีคำว่า หญิง ๓ จำพวกเป็นต้น แล้วตรัสวัตถุ ๓ โดยนัยมีคำว่า มรรค ๓ แห่งหญิงมนุษย์เป็นอาทิ เพื่อแสดงนิมิตที่เป็นวัตถุแห่งปาราชิก              เพราะเหตุที่นิมิตหญิงอย่างเดียวเท่านั้น จึงเป็นวัตถุแห่งปาราชิกหามิได้ นิมิตหญิงมนุษย์เท่านั้น จึงเป็นวัตถุหามิได้ ทั้งนิมิตแม้แห่งหญิงทั้งหลายซึ่งตกแต่งด้วยทองและเงินเป็นต้น จึงเป็นวัตถุแท้หามิได้
               ในคำว่า นิมิตฺเตน นิมิตฺตํ องฺคชาเตน องฺคชาตํ ซึ่งพระองค์ทรงตั้งบทมาติกานี้ว่า ปฏิเสวติ นาม เพื่อแสดงอาการเป็นเหตุตรัสว่า พึงเสพเฉพาะ ในบทว่า ปฏิเสเวยฺย นี้ ตรัสไว้แล้ว.
               ในคำว่า หญิง ๓ จำพวกเป็นอาทินั้น มีสัตว์ ๑๒ จำพวกซึ่งเป็นที่อาศัยแห่งนิมิต อันเป็นวัตถุแห่งปาราชิก คือ สตรี ๓ จำพวก อุภโตพยัญชนก ๓ จำพวก บัณเฑาะก์ ๓ จำพวก บุรุษ ๓ จำพวก. 
               ในสัตว์ ๑๒ จำพวกนั้น      สตรีและบุรุษปรากฏชัดแล้ว.ชนิดของบัณเฑาะก์ และ อุภโตพยัญชนก จักมีปรากฏในวรรณนาแห่งบรรพชาขันธกะ.
               ส่วนในคำว่า ผู้เสพเมถุนธรรมเฉพาะมรรค ๓ แห่งหญิงมนุษย์ นี้พึงทราบใจความว่า ในมรรค ๓ แห่งหญิงมนุษย์.
               พึงทราบอย่างนี้ทุกๆ บท.
               [มรรคที่เป็นวัตถุแห่งปาราชิกรวม ๓๐]
              ก็มรรคเหล่านั้นทั้งหมดทีเดียวมี ๓๐ ถ้วน คือของหญิงมนุษย์มี ๓ มรรค ของหญิงอมนุษย์มี ๓ มรรค ของสัตว์ดิรัจฉานตัวเมียมี ๓ มรรค รวมเป็น ๙, ของมนุษย์อุภโตพยัญชนกเป็นต้นมี ๙ ของมนุษย์บัณเฑาะก์เป็นต้นมี ๖    เพราะแบ่งเป็นพวกละ ๒     มรรคๆ,       ของมนุษย์ผู้ชายเป็นต้นมี ๖ เหมือนกัน.
               ภิกษุเมื่อเสพเมถุนธรรมสอดองคชาตของตนเข้าไปในบรรดามรรคที่รู้กันว่าเป็นนิมิตเหล่านั้นมรรคใดมรรคหนึ่ง แม้เพียงเมล็ดงาเดียว ย่อมต้องปาราชิก. แต่เพราะเมื่อจะต้อง ย่อมต้องด้วยเสวนจิตเท่านั้น เว้นจากเสวนจิตนั้นหาต้องไม่ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงลักษณะนั้น จึงตรัสพระดำรัสว่า ภิกฺขุสฺส เสวนจิตฺตํ อุปฏฺฐิเต ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภิกฺขุสฺส ได้แก่ ภิกษุผู้เสพเมถุน.
               ในคำว่า เสวนจิตฺตํ อุปฏฐิเต นี้เป็นปฐมาวิภัตติ ลงในอรรถสัตตมีวิภัตติ. อธิบายว่า เมื่อเสวนจิตปรากฏแล้ว.
               หลายบทว่า วจฺจมคฺคํ องฺคชาตํ ปเวเสนฺตสส ความว่า เมื่อภิกษุสอดองคชาต คือ     ปุริสนิมิตของตนเข้าไปทางมรรคที่อุจจาระออกไปนั้น แม้เพียงเมล็ดงาเดียว.
               สองบทว่า อาปตฺติ ปาราชิกสฺส ความว่า อาบัติปาราชิกย่อมมีแก่ภิกษุนั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อาปตฺติ แปลว่า ย่อมมีการต้อง.
               บทว่า ปาราชิกสฺส ได้แก่ ธรรมคือปาราชิก.
               ในทุกๆ บท ก็นัยนี้นั่นแล.

บทภาชนีย์ มรรคภาณวาร ปาราชิกกัณฑ์ ปฐมปาราชิกสิกขาบท พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์

[๓๘] หญิง ๓ จำพวก คือ มนุษย์ผู้หญิง ๑ อมนุษย์ผู้หญิง ๑ สัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย ๑ อุภโตพยัญชนก ๓ จำพวก คือ มนุษย์อุภโตพยัญชนก ๑ อมนุษย์อุภโตพยัญชนก ๑ สัตว์ดิรัจฉานอุภโตพยัญชนก ๑
             บัณเฑาะก์ ๓ จำพวก      คือ มนุษย์บัณเฑาะก์ ๑      อมนุษย์บัณเฑาะก์ ๑ สัตว์ดิรัจฉาน บัณเฑาะก์ ๑
             ชาย ๓ จำพวก คือ มนุษย์ผู้ชาย ๑ อมนุษย์ผู้ชาย ๑ สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ ๑
หญิง ๓ จำพวก มีมรรคพวกละ ๓ เป็น ๙
             ๑. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๓ คือ      วัจจมรรค ปัสสาวมรรค มุขมรรค ของมนุษย์ผู้หญิง ต้องอาบัติปาราชิก
             ๒. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๓ คือ      วัจจมรรค ปัสสาวมรรค มุขมรรค ของอมนุษย์ผู้หญิง ต้องอาบัติปาราชิก
             ๓. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๓ คือ วัจจมรรค ปัสสาวมรรค มุขมรรค ของสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย ต้องอาบัติปาราชิก
อุภโตพยัญชนก ๓ จำพวก มีมรรคพวกละ ๓ เป็น ๙
             ๑. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๓ คือ วัจจมรรค ปัสสาวมรรค มุขมรรค ของมนุษย์อุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก
             ๒. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๓ คือ วัจจมรรค ปัสสาวมรรค มุขมรรค ของอมนุษย์อุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก
             ๓. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๓ คือ วัจจมรรค ปัสสาวมรรค มุขมรรค ของสัตว์ดิรัจฉานอุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก
บัณเฑาะก์ ๓ จำพวก มีมรรคพวกละ ๒ เป็น ๖
             ๑. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๒ คือ      วัจจมรรค มุขมรรค      ของมนุษย์บัณเฑาะก์     ต้องอาบัติปาราชิก
             ๒. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๒ คือ      วัจจมรรค มุขมรรค     ของอมนุษย์บัณเฑาะก์    ต้องอาบัติปาราชิก
             ๓. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๒ คือ วัจจมรรค มุขมรรค ของสัตว์ดิรัจฉานบัณเฑาะก์    ต้องอาบัติปาราชิก
ชาย ๓ จำพวก มีมรรคพวกละ ๒ เป็น ๖
             ๑. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๒ คือ       วัจจมรรค มุขมรรค     ของมนุษย์ผู้ชาย     ต้องอาบัติปาราชิก
             ๒. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๒ คือ       วัจจมรรค มุขมรรค     ของอมนุษย์ผู้ชาย       ต้องอาบัติปาราชิก
             ๓. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๒ คือ       วัจจมรรค มุขมรรค     ของสัตว์ดิรัจฉานตัวผู้      ต้องอาบัติปาราชิก.
             [๓๙] อาบัติปาราชิก ๓๐
             ๑. เมื่อเสวนจิตปรากฏ       ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของมนุษย์ผู้หญิง       ต้องอาบัติปาราชิก
             ๒. เมื่อเสวนจิตปรากฏ       ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในปัสสาวมรรคของมนุษย์ผู้หญิง       ต้องอาบัติปาราชิก
             ๓. เมื่อเสวนจิตปรากฏ       ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของมนุษย์ผู้หญิง       ต้องอาบัติปาราชิก
             ๔. เมื่อเสวนจิตปรากฏ       ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของอมนุษย์ผู้หญิง       ต้องอาบัติปาราชิก
             ๕. เมื่อเสวนจิตปรากฏ       ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในปัสสาวมรรคของอมนุษย์ผู้หญิง   ต้องอาบัติปาราชิก
             ๖. เมื่อเสวนจิตปรากฏ       ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของอมนุษย์ผู้หญิง     ต้องอาบัติปาราชิก
             ๗. เมื่อเสวนจิตปรากฏ       ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย ต้องอาบัติปาราชิก
             ๘. เมื่อเสวนจิตปรากฏ       ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในปัสสาวมรรคของสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย ต้องอาบัติปาราชิก
             ๙. เมื่อเสวนจิตปรากฏ       ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย ต้องอาบัติปาราชิก
             ๑๐. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของมนุษย์อุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก
             ๑๑. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในปัสสาวมรรคของมนุษย์อุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก
             ๑๒. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของมนุษย์อุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก
             ๑๓. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของอมนุษย์อุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก
             ๑๔. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในปัสสาวมรรคของอมนุษย์อุภโตพยัญชนก   ต้องอาบัติปาราชิก
             ๑๕. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของอมนุษย์อุภโตพยัญชนก  ต้องอาบัติปาราชิก
             ๑๖. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของสัตว์ดิรัจฉานอุภโตพยัญชนก   ต้องอาบัติปาราชิก
             ๑๗. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในปัสสาวมรรคของสัตว์ดิรัจฉานอุภโตพยัญชนก   ต้องอาบัติปาราชิก
             ๑๘. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของสัตว์ดิรัจฉานอุภโตพยัญชนก   ต้องอาบัติปาราชิก
             ๑๙. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของมนุษย์บัณเฑาะก์ ต้องอาบัติปาราชิก
             ๒๐. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของมนุษย์บัณเฑาะก์ ต้องอาบัติปาราชิก
             ๒๑. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของอมนุษย์บัณเฑาะก์ ต้องอาบัติปาราชิก
             ๒๒. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของอมนุษย์บัณเฑาะก์ ต้องอาบัติปาราชิก
             ๒๓. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของสัตว์ดิรัจฉานบัณเฑาะก์ ต้องอาบัติปาราชิก
             ๒๔. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของสัตว์ดิรัจฉานบัณเฑาะก์   ต้องอาบัติปาราชิก
             ๒๕. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของมนุษย์ผู้ชาย       ต้องอาบัติปาราชิก
             ๒๖. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของมนุษย์ผู้ชาย       ต้องอาบัติปาราชิก
             ๒๗. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของอมนุษย์ผู้ชาย       ต้องอาบัติปาราชิก
             ๒๘. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของอมนุษย์ผู้ชาย     ต้องอาบัติปาราชิก
             ๒๙. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของสัตว์ดิรัจฉานตัวผู้    ต้องอาบัติปาราชิก
             ๓๐. เมื่อเสวนจิตปรากฏ     ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของสัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ ต้องอาบัติปาราชิก