Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อรรถกถา_กติปุจฉาวาร แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อรรถกถา_กติปุจฉาวาร แสดงบทความทั้งหมด

01 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ภิกขุนีวิภังค์ ๑๖ มหาวาร กติปุจฉาวาร อาบัติเป็นต้น มูลแห่งการวิวาท มูลแห่งการโจท ๖ เรื่องทำความแตกร้าวกัน ๑๘

   ทำบุญ 
 [๘๔๑] อาบัติมีเท่าไร? กองอาบัติมีเท่าไร? วินีตวัตถุมีเท่าไร? ความไม่เคารพมีเท่าไร? ความเคารพมีเท่าไร? วินีตวัตถุมีเท่าไร? วิบัติมีเท่าไร? สมุฏฐานแห่งอาบัติมีเท่าไร? มูลแห่งวิวาทมีเท่าไร? มูลแห่งการโจทมีเท่าไร? ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึงกันมีเท่าไร? เรื่องทำความแตกร้าวกันมีเท่าไร? อธิกรณ์มีเท่าไร? สมถะมีเท่าไร?
   [๘๔๒] อาบัติมี ๕. กองอาบัติมี ๕. วินีตวัตถุมี ๕. อาบัติมี ๗. กองอาบัติมี ๗. วินีตวัตถุมี ๗. ความไม่เคารพมี ๖. ความเคารพมี ๖. วินีตวัตถุมี ๖. วิบัติมี ๔. สมุฏฐานแห่งอาบัติมี ๖. มูลแห่งวิวาทมี ๖. มูลแห่งการโจทมี ๖. ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึงกันมี ๖. เรื่องทำความแตกร้าวกันมี ๑๘. อธิกรณ์มี ๔. สมถะมี ๗.
อาบัติ ๕ [๘๔๓] ในหัวข้อเหล่านั้นอาบัติ ๕ เป็นไฉน? คือ อาบัติปาราชิก อาบัติสังฆาทิเสส อาบัติปาจิตตีย์ อาบัติปาฏิเทสนียะ อาบัติทุกกฏ นี้อาบัติ ๕.
กองอาบัติ ๕ [๘๔๔] ในหัวข้อเหล่านั้น กองอาบัติ ๕ เป็นไฉน? คือ กองอาบัติปาราชิก กองอาบัติสังฆาทิเสส กองอาบัติปาจิตตีย์ กองอาบัติปาฏิเทสนียะ กองอาบัติทุกกฏ นี้กองอาบัติ ๕.
วินีตวัตถุ ๕ [๘๔๕] ในหัวข้อเหล่านั้น วินีตวัตถุ ๕ เป็นไฉน? คือ การเว้นไกล การเว้นขาด การงดเว้น เจตนาเครื่องเว้นจากกองอาบัติ ๕ ความไม่ประกอบ ความไม่ทำ ความไม่แกล้งต้อง ความไม่ละเมิดขอบเขต การกำจัดกองอาบัติ ๕ ด้วยอริยมรรคชื่อเสตุ นี้วินีตวัตถุ ๕.
อาบัติ ๗ [๘๔๖] ในหัวข้อเหล่านั้น อาบัติ ๗ เป็นไฉน? คือ อาบัติปาราชิก อาบัติสังฆาทิเสส อาบัติถุลลัจจัย อาบัติปาจิตตีย์ อาบัติปาฏิเทสนียะ อาบัติทุกกฏ อาบัติทุพภาสิต นี้อาบัติ ๗.
กองอาบัติ ๗ [๘๔๗] ในหัวข้อเหล่านั้น กองอาบัติ ๗ เป็นไฉน? คือ กองอาบัติปาราชิก กองอาบัติสังฆาทิเสส กองอาบัติถุลลัจจัย กองอาบัติปาจิตตีย์ กองอาบัติปาฏิเทสนียะ กองอาบัติทุกกฏ กองอาบัติทุพภาสิต นี้กองอาบัติ ๗.
วินีตวัตถุ ๗[๘๔๘] ในหัวข้อเหล่านั้น วินีตวัตถุ ๗ เป็นไฉน? คือ การเว้นไกล การเว้นขาด การงดเว้น เจตนาเครื่องเว้นจากกองอาบัติ ๗ ความไม่ประกอบ ความไม่ทำ ความไม่แกล้งต้อง ความไม่ละเมิดขอบเขต การกำจัดกองอาบัติ ๗ ด้วยอริยมรรคชื่อเสตุ นี้วินีตวัตถุ ๗.
ความไม่เคารพ ๖ [๘๔๙] ในหัวข้อเหล่านั้น ความไม่เคารพ ๖ เป็นไฉน? คือ ความไม่เคารพในพระพุทธเจ้า ความไม่เคารพในพระธรรม ความไม่เคารพในพระสงฆ์ ความไม่เคารพในสิกขา ความไม่เคารพในอัปปมาท ความไม่เคารพในปฏิสันถาร นี้ความไม่เคารพ ๖.
ความเคารพ ๖ [๘๕๐] ในหัวข้อเหล่านั้น ความเคารพ ๖ เป็นไฉน? คือ ความเคารพในพระพุทธเจ้า ความเคารพในพระธรรม ความเคารพในพระสงฆ์ ความเคารพในสิกขา ความเคารพในอัปปมาท ความเคารพในปฏิสันถาร นี้ความเคารพ ๖.
วินีตวัตถุ ๖ [๘๕๑] ในหัวข้อเหล่านั้น วินีตวัตถุ ๖ เป็นไฉน? คือ การเว้นไกล การเว้นขาด การงดเว้น เจตนาเครื่องเว้นจากความไม่เคารพ ๖ ความไม่ประกอบ ความไม่ทำ ความไม่แกล้งต้อง ความไม่ละเมิดขอบเขต การกำจัดความไม่เคารพ ๖ ด้วยอริยมรรคชื่อเสตุ นี้วินีตวัตถุ ๖.
วิบัติ ๔ [๘๕๒] ในหัวข้อเหล่านั้น วิบัติ ๔ เป็นไฉน? คือ ศีลวิบัติ อาจารวิบัติ ทิฏฐิวิบัติ อาชีววิบัติ นี้วิบัติ ๔.
สมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖
   [๘๕๓] ในหัวข้อเหล่านั้น สมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ เป็นไฉน? คือ อาบัติเกิดแต่กายมิใช่วาจา มิใช่จิตก็มี อาบัติเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิตก็มี อาบัติเกิดแต่กายกับวาจามิใช่จิตก็มี อาบัติเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจาก็มี อาบัติเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กายก็มี อาบัติเกิดแต่กายวาจาและจิตก็มี นี้สมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖.
มูลแห่งการวิวาท ๖
   [๘๕๔] ในหัวข้อเหล่านั้น มูลแห่งวิวาท ๖ เป็นไฉน? คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มักโกรธ เป็นผู้ถือโกรธ ภิกษุผู้ที่มักโกรธ ถือโกรธนั้น ย่อมไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระสงฆ์ ย่อมไม่ทำให้บริบูรณ์ในสิกขา ภิกษุผู้ที่ไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระสงฆ์
อยู่ แม้ในสิกขาก็ไม่ทำให้บริบูรณ์นั้น ย่อมก่อวิวาทในสงฆ์ การวิวาทย่อมมีเพื่อความไม่เกื้อกูลแก่ชนมาก เพื่อไม่เป็นสุขแก่ชนมาก เพื่อความพินาศแก่ชนมาก เพื่อความไม่เกื้อกูลเพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ ถ้าพวกเธอเล็งเห็นมูลแห่งวิวาทเห็นปานนี้ได้ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้นพึงพยายาม
ละมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้นเสีย ถ้าพวกเธอไม่เล็งเห็นมูลแห่งวิวาทเห็นปานนี้ ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้น พึงปฏิบัติ เพื่อความเป็นไปต่อไปแห่งมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้น ความละมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้น ย่อมมีด้วยอย่างนี้ ความเป็นไปต่อไปแห่งมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้น ย่อมมีด้วยอย่างนี้.
   อนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ลบหลู่ เป็นผู้ตีเสมอท่าน ภิกษุที่เป็นผู้ลบหลู่ตีเสมอท่านนั้น ย่อมไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ ย่อมไม่ทำให้บริบูรณ์ในสิกขาภิกษุผู้ที่ไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ แม้ในสิกขาก็ไม่ทำให้บริบูรณ์นั้น ย่อมก่อวิวาทในสงฆ์
การวิวาทย่อมมีเพื่อความไม่เกื้อกูลแก่ชนมาก เพื่อไม่เป็นสุขแก่ชนมาก เพื่อความพินาศแก่ชนมาก เพื่อความไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ ถ้าพวกเธอเล็งเห็นมูลแห่งวิวาทเห็นปานนี้ได้ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้นพึงพยายามละมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้นเสีย ถ้าพวกเธอไม่เล็งเห็นมูลแห่งวิวาท
เห็นปานนี้ ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้น พึงปฏิบัติเพื่อความเป็นไปต่อไปแห่งมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้น ความละมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้น ย่อมมีด้วยอย่างนี้ ความเป็นไปต่อไปแห่งมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้น ย่อมมีด้วยอย่างนี้
   อนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีปกติอิสสา เป็นผู้มีปกติตระหนี่ ภิกษุผู้ที่มีปกติอิสสามีปกติตระหนี่นั้น ย่อมไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ ย่อมไม่ทำให้บริบูรณ์ในสิกขา ภิกษุผู้ที่ไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ แม้ในสิกขาก็ไม่ทำให้บริบูรณ์นั้น ย่อมก่อ
วิวาทในสงฆ์ การวิวาทย่อมมีเพื่อความไม่เกื้อกูลแก่ชนมาก เพื่อไม่เป็นสุขแก่ชนมาก เพื่อความพินาศแก่ชนมาก เพื่อความไม่เกื้อกูลเพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ ถ้าพวกเธอเล็งเห็นมูลแห่งวิวาทเห็นปานนี้ได้ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้นพึงพยายามละมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้นเสีย ถ้าพวกเธอไม่เล็งเห็น
มูลแห่งวิวาท เห็นปานนี้ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้น พึงปฏิบัติเพื่อความเป็นไปต่อไปแห่งมูลแห่งวิวาทอันลามก ความละมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้น ย่อมมีด้วยอย่างนี้ ความเป็นไปต่อไปแห่งมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้น ย่อมมีด้วยอย่างนี้.
   อนึ่ง ภิกษุเป็นผู้อวดดี เป็นผู้เจ้ามายา ภิกษุผู้ที่อวดดีเจ้ามายานั้น ย่อมไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ ย่อมไม่ทำให้บริบูรณ์ในสิกขา ภิกษุผู้ที่ไม่มีความเคารพ ยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ แม้ในสิกขาก็ไม่ทำให้บริบูรณ์นั้นย่อมก่อวิวาทในสงฆ์ การวิวาท
ย่อมมีเพื่อความไม่เกื้อกูลแก่ชนมาก เพื่อไม่เป็นสุขแก่ชนมาก เพื่อความพินาศแก่ชนมาก เพื่อความไม่เกื้อกูลเพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ ถ้าพวกเธอเล็งเห็นมูลแห่งวิวาทเห็นปานนี้ได้ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้น พึงพยายามละมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้นเสีย ถ้าพวกเธอไม่เล็งเห็นมูลแห่งวิวาท
เห็นปานนี้ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้น พึงปฏิบัติเพื่อความเป็นไปต่อไปแห่งมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้น ความละมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้น ย่อมมีด้วยอย่างนี้ ความเป็นไปต่อไปแห่งมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้น ย่อมมีด้วยอย่างนี้
   อนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีความปรารถนาลามก มีความเห็นผิด ภิกษุผู้ที่มีความปรารถนาลามก มีความเห็นผิดนั้น ย่อมไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ ย่อมไม่ทำให้บริบูรณ์ในสิกขา ภิกษุผู้ที่ไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรมและพระสงฆ์อยู่แม้ในสิกขาก็ไม่ทำให้บริบูรณ์นั้น
ย่อมก่อวิวาทในสงฆ์ การวิวาทย่อมมีเพื่อความไม่เกื้อกูลแก่ชนมาก เพื่อไม่เป็นสุขแก่ชนมาก เพื่อความพินาศแก่ชนมาก เพื่อความไม่เกื้อกูลเพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ ถ้าพวกเธอเล็งเห็นมูลแห่งวิวาทเห็นปานนี้ได้ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้น พึงพยายามละมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้นเสีย ถ้าพวกเธอ
ไม่เล็งเห็นมูลแห่งวิวาท เห็นปานนี้ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้นพึงปฏิบัติ  เพื่อความเป็นไปต่อไปแห่งมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้น ความละมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้นย่อมมีด้วยอย่างนี้ ความเป็นไปต่อไปแห่งมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้น ย่อมมีด้วยอย่างนี้.
   อนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ถือแต่ความเห็นของตน ถืออย่างแน่นแฟ้น ปลดได้อยาก ภิกษุผู้ที่ถือแต่ความเห็นของตน ถืออย่างแน่นแฟ้น ปลดได้ยากนั้น ย่อมไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรมและพระสงฆ์อยู่ ย่อมไม่ทำให้บริบูรณ์ในสิกขา ภิกษุผู้ที่ไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระ
สงฆ์อยู่ แม้ในสิกขาก็ไม่ทำให้บริบูรณ์นั้น ย่อมก่อวิวาทในสงฆ์ การวิวาทย่อมมีเพื่อความไม่เกื้อกูลแก่ชนมาก เพื่อไม่เป็นสุขแก่ชนมาก เพื่อความพินาศแก่ชนมาก เพื่อความไม่เกื้อกูลเพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ ถ้าพวกเธอเล็งเห็นมูลแห่งวิวาทเห็นปานนี้ได้ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้น พึงพยายาม
ละมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้นเสีย ถ้าพวกเธอไม่เล็งเห็นมูลแห่งวิวาทเห็นปานนี้ ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้น พึงปฏิบัติเพื่อความเป็นไปต่อไปแห่งมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้น ความละมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้น ย่อมมีด้วยอย่างนี้ ความเป็นไปต่อไปแห่งมูลแห่งวิวาทอันลามกนั้น ย่อมมีด้วยอย่างนี้ นี้มูลแห่งวิวาท ๖.
มูลแห่งการโจท ๖
   [๘๕๕] ในหัวข้อเหล่านั้น มูลแห่งการโจท ๖ เป็นไฉน? คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มักโกรธ ถือโกรธ ภิกษุผู้ที่มักโกรธ ถือโกรธนั้น ย่อมไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดาพระธรรม และพระสงฆ์อยู่ ย่อมไม่ทำให้บริบูรณ์ในสิกขา ภิกษุผู้ที่ไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระสงฆ์อยู่
แม้ในสิกขาก็ไม่ทำให้บริบูรณ์นั้น ย่อมก่อการโจทในสงฆ์ การโจทย่อมมีเพื่อความไม่เกื้อกูลแก่ชนมาก เพื่อไม่เป็นสุขแก่ชนมาก เพื่อความพินาศแก่ชนมาก เพื่อความไม่เกื้อกูลเพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ ถ้าพวกเธอเล็งเห็นมูลแห่งการโจทเห็นปานนี้ได้ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้น พึงพยายาม
ละมูลแห่งการโจทอันลามกนั้นเสีย ถ้าพวกเธอไม่เล็งเห็นมูลแห่งการโจทเห็นปานนี้ ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้น พึงปฏิบัติเพื่อความเป็นไปต่อไปแห่งมูลแห่งการโจทอันลามกนั้น ความละมูลแห่งการโจทอันลามกนั้นย่อมมีด้วยอย่างนี้ ความเป็นไปแห่งมูลแห่งการโจทอันลามกนั้น ย่อมมีด้วยอย่างนี้.
   อนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ลบหลู่ เป็นผู้ตีเสมอท่าน ภิกษุผู้ที่ลบหลู่ตีเสมอท่านนั้น ย่อมไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ ย่อมไม่ทำให้บริบูรณ์ในสิกขา ภิกษุผู้ที่ไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ แม้ในสิกขาก็ไม่ทำให้บริบูรณ์นั้น ย่อมก่อการโจทในสงฆ์
การโจทย่อมมีเพื่อความไม่เกื้อกูลแก่ชนมาก เพื่อไม่เป็นสุขแก่ชนมาก เพื่อความพินาศแก่ชนมาก เพื่อความไม่เกื้อกูลเพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ ถ้าพวกเธอเล็งเห็นมูลแห่งการโจทเห็นปานนี้ได้ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้นพึงพยายามละมูลแห่งการโจทอันลามกนั้นเสีย ถ้าพวกเธอไม่เล็งเห็นมูลแห่งการโจท
เห็นปานนี้ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้นพึงปฏิบัติเพื่อความเป็นไปต่อไปแห่งมูลแห่งการโจทอันลามกนั้น ความละมูลแห่งการโจทอันลามกนั้น ย่อมมีด้วยอย่างนี้ ความเป็นไปต่อไปแห่งมูลของการโจทอันลามกนั้น ย่อมมีด้วยอย่างนี้.
   อนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีปกติอิสสา เป็นผู้มีปกติตระหนี่ ภิกษุผู้ที่มีปกติอิสสา มีปกติตระหนี่นั้น ย่อมไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ ย่อมไม่ทำให้บริบูรณ์ในสิกขา ภิกษุผู้ที่ไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ แม้ในสิกขา ก็ไม่ทำให้บริบูรณ์นั้น ย่อมก่อการโจท
ในสงฆ์ การโจทย่อมมีเพื่อความไม่เกื้อกูลแก่ชนมาก เพื่อไม่เป็นสุขแก่ชนมาก เพื่อความพินาศแก่ชนมาก เพื่อความไม่เกื้อกูลเพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ ถ้าพวกเธอเล็งเห็นมูลแห่งการโจทเห็นปานนี้ได้ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้นพึงพยายามละมูลแห่งการโจทอันลามกนั้นเสีย ถ้าพวกเธอไม่เล็งเห็นมูล
แห่งการโจทเห็นปานนี้ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้นพึงปฏิบัติเพื่อความเป็นไปต่อไปแห่งมูลแห่งการโจทอันลามกนั้น ความละมูลแห่งการโจทอันลามกนั้นย่อมมีด้วยอย่างนี้ ความเป็นไปต่อไปแห่งมูลของการโจทอันลามกนั้น ย่อมมีด้วยอย่างนี้.
   อนึ่ง ภิกษุเป็นผู้อวดดี เป็นผู้เจ้ามายา ภิกษุผู้ที่อวดดีเจ้ามายานั้น ย่อมไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ ย่อมไม่ทำให้บริบูรณ์ในสิกขา ภิกษุผู้ที่ไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ แม้ในสิกขาก็ไม่ทำให้บริบูรณ์นั้น ย่อมก่อการโจทในสงฆ์ การโจทย่อมมี
เพื่อความไม่เกื้อกูลแก่ชนมาก เพื่อไม่เป็นสุขแก่ชนมาก เพื่อความพินาศแก่ชนมาก เพื่อความไม่เกื้อกูลเพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ ถ้าพวกเธอเล็งเห็นมูลแห่งการโจทเห็นปานนี้ได้ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้นพึงพยายามละมูลแห่งการโจทอันลามกนั้นเสีย ถ้าพวกเธอไม่เล็งเห็นมูลแห่งการโจทเห็นปานนี้
ทั้งภายใน ทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้นพึงปฏิบัติเพื่อความเป็นไปต่อไปแห่งมูลของการโจทอันลามกนั้น ความละมูลแห่งการโจทอันลามกนั้น ย่อมมีด้วยอย่างนี้ ความเป็นไปต่อไปแห่งมูลแห่งการโจทอันลามกนั้น ย่อมมีด้วยอย่างนี้.
   อนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีความปรารถนาลามก เป็นผู้มีความเห็นผิด ภิกษุเป็นผู้มีความปรารถนาลามก มีความเห็นผิดนั้น ย่อมไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ย่อมไม่ทำให้บริบูรณ์ในสิกขา ภิกษุผู้ที่ไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ แม้ในสิกขาก็ไม่ทำให้
บริบูรณ์นั้น ย่อมก่อการโจทในสงฆ์ การโจทย่อมมีเพื่อความไม่เกื้อกูลแก่ชนมาก เพื่อไม่เป็นสุขแก่ชนมาก เพื่อความพินาศแก่ชนมาก เพื่อความไม่เกื้อกูลเพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ ถ้าพวกเธอเล็งเห็นมูลแห่งการโจทเห็นปานนี้ได้ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้นพึงพยายามละมูลแห่งการโจทอันลามกนั้นเสีย
ถ้าพวกเธอไม่เล็งเห็นมูลแห่งการโจทเห็นปานนี้ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้นพึงปฏิบัติเพื่อความเป็นไปต่อไปแห่งมูลของการโจทอันลามกนั้น ความละมูลแห่งการโจทอันลามกนั้น ย่อมมีด้วยอย่างนี้ ความเป็นไปต่อไปแห่งมูลของการโจทอันลามกนั้นย่อมมีด้วยอย่างนี้.
   อนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ถือแต่ความเห็นของตน ถืออย่างแน่นแฟ้นปลดได้ยาก ภิกษุผู้ที่ถือแต่ความเห็นของตน ถืออย่างแน่นแฟ้นปลดได้ยากนั้น ย่อมไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ ย่อมไม่ทำให้บริบูรณ์ในสิกขา ภิกษุผู้ที่ไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา พระธรรม และพระสงฆ์อยู่
แม้ในสิกขาก็ไม่ทำให้บริบูรณ์นั้น ย่อมก่อการโจทในสงฆ์ การโจทย่อมมีเพื่อความไม่เกื้อกูลแก่ชนมาก เพื่อไม่เป็นสุขแก่ชนมาก เพื่อความพินาศแก่ชนมาก เพื่อความไม่เกื้อกูลเพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ ถ้าพวกเธอเล็งเห็นมูลแห่งการโจทเห็นปานนี้ได้ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้นพึงพยายาม
ละมูลแห่งการโจทอันลามกนั้นเสีย ถ้าพวกเธอไม่เล็งเห็นมูลแห่งการโจทเห็นปานนี้ทั้งภายในทั้งภายนอก พวกเธอในบริษัทนั้นพึงปฏิบัติเพื่อความเป็นไปต่อไปแห่งมูลของการโจทอันลามกนั้น ความละมูลแห่งการโจทอันลามกนั้น ย่อมมีด้วยอย่างนี้ ความเป็นไปต่อไปแห่งมูลของการโจทอันลามกนั้นย่อมมีด้วยอย่างนี้ นี้มูลแห่งการโจท ๖.
สาราณียธรรม ๖ ประการ
       [๘๕๖] ในหัวข้อเหล่านั้น ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึงกัน ๖ เป็นไฉน?
   ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลายทั้งในที่แจ้งทั้งในที่ลับ ธรรมแม้นี้เป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึงกัน ทำให้เป็นที่รัก ทำให้เป็นที่เคารพ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
   อนึ่ง ภิกษุเข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลายทั้งในที่แจ้งทั้งในที่ลับ ธรรมแม้นี้เป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึงกัน ทำให้เป็นที่รัก ทำให้เป็นที่เคารพ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
   อนึ่ง ภิกษุเข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลายทั้งในที่แจ้งทั้งในที่ลับ ธรรมแม้นี้เป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึงกัน ทำให้เป็นที่รัก ทำให้เป็นที่เคารพ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
   อนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ไม่หวงลาภที่เกิดโดยธรรม ที่ตนหาได้โดยชอบธรรม โดยที่สุดแม้แต่อาหารที่นับเนื่องในบาตรไว้บริโภค เป็นผู้บริโภคร่วมกับเพื่อนสพรหมจารีผู้มีศีล ธรรมแม้นี้เป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึงกัน ทำให้เป็นที่รัก ทำให้เป็นที่เคารพ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กันเพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
   อนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีศีลเสมอกับเพื่อนสพรหมจารีในศีลทั้งหลาย ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไทย อันวิญญูชนสรรเสริญ อันกิเลสไม่จับต้อง เป็นไปเพื่อสมาธิทั้งในที่แจ้งทั้งในที่ลับอยู่ ธรรมแม้นี้เป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึงกัน ทำให้เป็นที่รัก ทำให้เป็นที่เคารพเป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
   อนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีทิฏฐิเสมอกับเพื่อนสพรหมจารีในทิฏฐิอันประเสริฐ นำออกจากทุกข์ นำไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่ผู้ทำตามพร่ำสอนทั้งในที่แจ้งทั้งในที่ลับอยู่ ธรรมแม้นี้เป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึงกัน ทำให้เป็นที่รัก ทำให้เป็นที่เคารพ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กันเพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นี้สาราณียธรรม ๖.
             เรื่องทำความแตกร้าวกัน ๑๘ [๘๕๗] ในหัวข้อเหล่านั้น เรื่องทำความแตกร้าวกัน ๑๘ เป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้              ๑. แสดงสภาพมิใช่ธรรมว่า เป็นธรรม.
             ๒. แสดงธรรมว่า สภาพมิใช่ธรรม.
             ๓. แสดงสภาพมิใช่วินัยว่า เป็นวินัย.
             ๔. แสดงวินัยว่า สภาพมิใช่วินัย.
             ๕. แสดงสิ่งที่พระตถาคตมิได้ทรงภาษิตมิได้ตรัสไว้ ว่าพระตถาคตทรงภาษิต
ตรัสไว้.
             ๖. แสดงสิ่งที่พระตถาคตได้ทรงภาษิต ตรัสไว้แล้ว ว่าพระตถาคตมิได้ทรงภาษิต
มิได้ตรัสไว้.
             ๗. แสดงสิ่งที่พระตถาคตมิได้ทรงประพฤติมาว่า พระตถาคตทรงประพฤติมา.
             ๘. แสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงประพฤติมาว่า พระตถาคตมิได้ทรงประพฤติมา.
             ๙. แสดงสิ่งที่พระตถาคตมิได้ทรงบัญญัติไว้ว่า พระตถาคตทรงบัญญัติไว้.
             ๑๐. แสดงสิ่งที่พระตถาคตทรงบัญญัติไว้ว่า พระตถาคตมิได้ทรงบัญญัติไว้.
             ๑๑. แสดงอาบัติว่า มิใช่อาบัติ.
             ๑๒. แสดงสิ่งมิใช่อาบัติว่า เป็นอาบัติ.
             ๑๓. แสดงอาบัติเบาว่า อาบัติหนัก.
             ๑๔. แสดงอาบัติหนักว่า อาบัติเบา.
             ๑๕. แสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่า อาบัติหาส่วนเหลือมิได้.
             ๑๖. แสดงอาบัติหาส่วนเหลือมิได้ว่า อาบัติมีส่วนเหลือ.
             ๑๗. แสดงอาบัติชั่วหยาบว่า อาบัติไม่ชั่วหยาบ.
             ๑๘. แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า อาบัติชั่วหยาบ.
 นี้ เรื่องทำการแตกร้าวกัน ๑๘
              อธิกรณ์ ๔ [๘๕๘] ในหัวข้อเหล่านั้น อธิกรณ์ ๔ เป็นไฉน? คือวิวาทาธิกรณ์ ๑ อนุวาทาธิกรณ์ ๑ อาปัตตาธิกรณ์ ๑ กิจจาธิกรณ์ ๑ นี้อธิกรณ์ ๔ สมถะ ๗
 [๘๕๙] ในหัวข้อเหล่านั้น สมถะ ๗ เป็นไฉน? คือสัมมุขาวินัย ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ เยภุยยสิกา ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑ นี้สมถะ ๗ 
กติปุจฉาวาร จบ
             หัวข้อประจำวาร [๘๖๐] อาบัติ กองอาบัติ วินีตวัตถุ และอาบัติ กองอาบัติ วินีตวัตถุอีกอย่างละ ๗ ความไม่เคารพ ความเคารพ วินีตวัตถุอีก ๗ วิบัติ สมุฏฐานแห่งอาบัติ มูลแห่งการวิวาทและ การโจท ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึงกัน เรื่องทำการแตกร้าว อธิกรณ์และสมถะ ๗ พระ ผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้ว รวมเป็น ๑๗ บท.
              >> อรรถกถา ปริวาร กติปุจฉาวาร มูลแห่งการวิวาท ๖ เป็นต้น   เนื้อความอรรถกถาส่วนนี้ ศึกษาได้จากอรรถกถาที่มีมาก่อนหน้านี้ (ข้อ 841).
               อรรถกถาที่มีมาก่อนหน้านี้ :-  อรรถกถา ปริวาร
               กติปุจฉาวาร อาบัติเป็นต้น
               อรรถกถาที่มีถัดจากนี้ :-
               อรรถกถา ปริวาร
               ขันธกปุจฉา คำถามและคำตอบเกี่ยวกับอาบัติ http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=8&i=918 .. อรรถกถา ปริวาร กติปุจฉาวาร มูลแห่งการวิวาท ๖ เป็นต้น จบ.

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ภิกขุนีวิภังค์ ๑๖ มหาวาร อรรถกถา ปริวาร กติปุจฉาวาร มูลแห่งการวิวาท ๖ เป็นต้น

อรรถกถา  ปริวาร กติปุจฉาวาร อาบัติเป็นต้นกติปุจฉาวารวัณณนา
[วินิจฉัยในคำว่า กติ อาปตฺติโย เป็นต้น]               บัดนี้ พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายตั้งบทมาติกาโดยนัย มีคำว่า กติ อาปตฺติโย เป็นอาทิแล้ว กล่าววิภังค์ด้วยอำนาจนิทเทสและปฏินิทเทส เพื่อให้เกิดความฉลาด ในส่วนทั้งหลายมีอาบัติเป็นต้น.
                บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กติ อาปตฺติโย เป็นคำถามถึงอาบัติซึ่งมาในมาติกาและในวิภังค์. แม้ในบทที่ ๒ ก็มีนัยเหมือนกัน. จริงอยู่ ในบทที่ ๒ นี้ อาบัติสิ้นเชิงทีเดียว ท่านกล่าวว่า กอง ด้วยอำนาจแห่งหมวด.
             คำที่ว่า วินีตวตฺถูนิ เป็นคำถามถึงความระงับอาบัติเหล่านั้น.
               จริงอยู่ ๓ บทว่า วินีตํ วินโย วูปสโม นี้ โดยใจความเป็นอันเดียวกัน.
               เนื้อความแห่งบทในคำว่า วินีตวตฺถูนิ นี้ พึงทราบดังนี้ว่า วัตถุเป็นเครื่องกำจัดอาบัตินั่นเอง ชื่อว่าวินีตวัตถุ.
               บัดนี้ เมื่ออคารวะเหล่าใดมีอยู่ อาบัติจึงมี, เมื่ออคารวะเหล่าใดไม่มีอาบัติย่อมไม่มี, เพื่อแสดงอคารวะเหล่านั้น ท่านจึงกล่าวคำถาม ๒ ข้อว่า กติ อคารวา เป็นต้น. ส่วนคำว่า วินีตวตฺถูนิ นี้ เป็นคำถามถึงการกำจัดอคารวะเหล่านั้น.
                               ก็เพราะอาบัติเหล่านั้น ที่จัดว่าไม่ถึงความวิบัติย่อมไม่มี ฉะนั้น คำที่ว่า กติ วิปตฺติโย นี้ จึงเป็นคำถามถึงความมีวิบัติแห่งอาบัติทั้งหลาย.
                               คำที่ว่า กติ อาปตฺติสมุฏฺฐานา นี้ เป็นคำถามถึงสมุฏฐานแห่งอาบัติเหล่านั้นเอง.
                               คำที่ว่า วิวาทมูลานิ อนุวาทมูลานิ เหล่านี้ เป็นคำถามถึงมูลแห่งวิวาทและอนุวาทที่มาว่า วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์.
                               คำที่ว่า สาราณียา ธมฺมา นี้ เป็นคำถามถึงธรรมที่ทำความไม่มีแห่งมูลของวิวาทและอนุวาท.
                               คำที่ว่า เภทกรวตฺถูนิ นี้ เป็นคำถามถึงวัตถุที่ก่อความแตก ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในคำว่า อธิกรณ์เป็นไปเพื่อแตกกันก็ดี เป็นอาทิ.
                               คำที่ว่า อธิกรณานิ นี้ เป็นคำถามถึงธรรมที่เกิดขึ้น ในเมื่อมีเภทกรวัตถุ.
  คำที่ว่า สมถา นี้ เป็นคำถามถึงธรรมที่สำหรับระงับอธิกรณ์เหล่านั้นแล.
  คำที่ว่าปญฺจ อาปตฺติโย ตรัสด้วยอำนาจอาบัติซึ่งมาในมาติกา.
  คำที่ว่า สตฺต ตรัสด้วยอำนาจอาบัติซึ่งมาในวิภังค์.
         บาทคาถาว่า กายมานสิกา กตา ความว่า สิกขาบทเหล่านี้ ท่านจัดเป็นสิกขาบทมีกายกับจิตเป็นสมุฏฐาน.
               [ว่าด้วยวิเคราะห์แห่งอารติศัพท์เป็นต้น]
         ที่ชื่อว่า อารติ เพราะวิเคราะห์ว่า เว้นไกลจากกองอาบัติเหล่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง ธรรมชาติที่เว้นอย่างกวดขันจากกองอาบัติเหล่านั้น ชื่ออารติ.
         ที่ชื่อว่า วิรติ เพราะวิเคราะห์ว่า เว้นเสียต่างหากจากกองอาบัติเหล่านั้น.
         ที่ชื่อว่า ปฏิวิรติ เพราะวิเคราะห์ว่า เว้นเฉพาะหนึ่งๆ จากกองอาบัติเหล่านั้น.
         ที่ชื่อว่า เวรมณี เพราะวิเคราะห์ว่า ขับเวรเสีย คือยังเวรให้สาบสูญ.
         ที่ชื่อว่า อกิริยา เพราะวิเคราะห์ว่า วิรัตินั่น เป็นเหตุอันภิกษุไม่ทำกองอาบัติเหล่านั้น.
         ที่ชื่อว่า อกรณํ เพราะเป็นข้าศึกต่อความกระทำกองอาบัติที่จะพึงเกิดขึ้น ในเมื่อวิรัตินั้นไม่มี.
         ที่ชื่อว่า อนชฺฌาปตฺติ เพราะเป็นข้าศึกต่อความต้องกองอาบัติ.
         ที่ชื่อว่า เวลา เพราะเป็นเหตุผลาญ. อธิบายว่า เพราะเป็นเหตุคลอน คือเพราะเป็นเหตุพินาศ.
         ที่ชื่อว่า เสตุ เพราะวิเคราะห์ว่า ผูกไว้ คือตรึงไว้ ได้แก่ คุมไว้ซึ่งทางเป็นที่ออกไป. คำว่า เสตุ นี้ เป็นชื่อแห่งกองอาบัติทั้งหลาย. เสตุนั้นอันภิกษุย่อมสังหารด้วยวิรัตินั่น เพราะฉะนั้น วิรัตินั่น จึงชื่อ เสตุฆาโต.
         แม้ในนิทเทสแห่งวินีตวัตถุที่เหลือทั้งหลาย ก็นัยนี้แล.
         สองบทว่า อิเม สิกฺขา ได้แก่ สิกขาบททั้งหลายเหล่านี้. ศัพท์ว่า อิเม ท่านทำให้ผิดลิงค์เสีย. 
         บาทคาถาว่า กายมานสิกา กตา ความว่า สิกขาบทเหล่านี้ ท่านจัดเป็นสิกขาบทมีกายกับจิตเป็นสมุฏฐาน.
                    [ว่าด้วยอคาวะ ๖]
         วินิจฉัยในคำว่า พุทฺเธ อคารโว เป็นอาทิ พึงทราบดังนี้ :-
         ผู้ใด เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงอยู่ไม่ไปสู่ที่บำรุง เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ไม่ไปสู่เจติยสถาน โพธิสถาน ไม่ไหว้เจดีย์หรือต้นโพธิ กางร่มและสวมรองเท้าเที่ยวไปบนลานเจดีย์
    พึงทราบว่า ผู้นั้น ไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า.          
ฝ่ายผู้ใดอาจอยู่แท้ แต่ไม่ไปสู่ที่ฟังธรรม ไม่สวดสรภัญญะไม่กล่าวธรรมกถา ทำลายโรงธรรมสวนะเสียแล้วไป มีจิตฟุ้งซ่านหรือไม่เอื้อเฟื้อนั่งอยู่
 พึงทราบว่า ผู้นั้นไม่มีความเคารพในพระธรรม.          
ผู้ใด ไม่ประจงตั้งไว้ซึ่งความยำเกรง ในพระเถระ ภิกษุใหม่และภิกษุผู้ปูนกลาง แสดงความคะนองกายในที่ทั้งหลายมีโรงอุโบสถและโรงวิตกเป็นต้น
 ไม่ไหว้ตามลำดับผู้แก่ พึงทราบว่า ผู้นั้น ไม่มีความเคารพในพระสงฆ์.          ฝ่ายผู้ใด ไม่สมาทานศึกษาไตรสิกขาเสียเลย พึงทราบว่า ผู้นั้น ไม่มีความเคารพในสิกขา.
         ฝ่ายผู้ใด ตั้งอยู่ในความประมาท คือในความอยู่ปราศจากสติเท่านั้น ไม่พอกพูนลักษณะความไม่ประมาท พึงทราบว่า ผู้นั้นไม่มีความเคารพในความไม่ประมาท.
         อนึ่ง ผู้ใด ไม่กระทำเสียเลย ซึ่งปฏิสันถาร ๒ อย่างนี้ คือ อามิสปฏิสันถาร ธรรมปฏิสันถาร พึงทราบว่า ผู้นั้น ไม่มีความเคารพในปฏิสันถาร.
         เนื้อความในคาวรนิทเทส พึงทราบโดยบรรยายอันแผกจากที่กล่าวแล้ว.
                    [วิวาทมูลนิทเทส]
         วินิจฉัยในวิวาทมูลนิทเทส พึงทราบดังนี้ :- เนื้อความแห่งข้อว่า สตฺถริปิ อคารโว เป็นอาทิ พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้ว
 ในความไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้าเป็นต้นนั่นแล.  
   บทว่า อปฺปฏิสฺโส ได้แก่ ไม่ประพฤติถ่อมตน คือ ไม่ยกพระศาสดาให้เป็นใหญ่อยู่.
   บทว่า อชฺฌตฺตํ วา ความว่า (ถ้าว่า ท่านทั้งหลายพึงเล็งเห็นมูลแห่งวิวาทเห็นปานนั้น) ในสันดานของตนก็ดี ในพวกของตนก็ดี ในบริษัทของตนก็ดี.
   บทว่า พหิทฺธา วา ความว่า ในสันดานของผู้อื่นก็ดี ในพวกของผู้อื่นก็ดี.
   สองบทว่า ตตฺถ ตุมฺเห ความว่า ทั้งในสันดานของตนและผู้อื่น หรือทั้งในบริษัทของตนและผู้อื่น อันต่างกันด้วยมีในภายในและมีในภายนอกนั้น.
   สองบทว่า ปหานาย วายเมยฺยาถ มีความว่า ท่านทั้งหลายพึงพยายามเพื่อละมูลแห่งวิวาทอันลามกนั่นแล ด้วยนัยทั้งหลาย มีเมตตาภาวนาเป็นอาทิ.
  จริงอยู่ วิวาทมูลนั้น ทั้งที่มีในภายใน ทั้งที่มีในภายนอกย่อมละเสียได้ ด้วยนัยมีเมตตาภาวนาเป็นต้น. 
   บทว่า อนวสฺสวาย ได้แก่ เพื่อความไม่เป็นไป.
   บทว่าสนฺทิฎฺฐิปรามาสี มีความว่า ย่อมยึดถือความเห็นของตนเท่านั้น คือ ข้อใด อันตนได้เห็นแล้ว ย่อมยึดข้อนั้นว่า ข้อนี้เท่านั้น เป็นจริง.
    บทว่า อาธานคาหี ได้แก่ มักยึดไว้อย่างมั่นคง.
                    [อนุวาทมูลนิทเทส]
 อนุวาทมูลนิทเทส เสมอด้วยวิวาทมูลนิทเทสนั่นเอง ก็จริง ถึงกระนั้น ในวิวาทมูลนิทเทสและอนุวาทมูลนิทเทสนี้ ย่อมมีความแปลกกันดังนี้ว่า
 โทษทั้งหลาย มีความโกรธและความผูกโกรธกันเป็นต้น ของภิกษุทั้งหลาย ผู้วิวาทกันอาศัยเภทกรวัตถุ ๑๘ จัดเป็นมูลแห่งวิวาท
 ก็แลเมื่อวิวาทกันอย่างนั้น ย่อมถึงวิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ในวิบัติเป็นต้นแล้ว โจทกันและกันว่า ภิกษุชื่อโน้น ต้องวิบัติชื่อโน้นบ้าง ว่า ท่านเป็นผู้ต้องปาราชิกบ้าง ว่า ท่านเป็นผู้ต้องสังฆาทิเสสบ้าง.
 โทษทั้งหลาย มีความโกรธและความผูกโกรธกันเป็นต้น ของภิกษุทั้งหลายผู้โจทกันและกันอย่างนั้น จัดเป็นมูลแห่งอนุวาท.
                    [สาราณียธัมมนิสเทส] วินิจฉัยในสาราณียธัมมนิทเทส ดังนี้ :-
 กายกรรมที่กระทำด้วยจิตประกอบด้วยเมตตา ชื่อเมตตากายกรรม.
   สองบทว่า อาวิ เจว รโห จ ได้แก่ ทั้งต่อหน้า ทั้งลับหลัง. ในกายกรรม ๒ อย่าง ด้วยอำนาจแห่งต่อหน้าและลับหลังนั้น การถึงความเป็นสหาย ในการงานทั้งหลายมีจีวรกรรมเป็นอาทิ ของภิกษุใหม่ทั้งหลาย ชื่อเมตตากายกรรมต่อหน้า.
 ส่วนสามีจิกรรมทั้งปวง แม้ต่างโดยกิจมีล้างเท้าและพัดลมเป็นต้นให้พระเถระทั้งหลาย ชื่อเมตตากายกรรม ต่อหน้า.
  การเก็บงำ ภัณฑะทั้งหลายมีภัณฑะไม้เป็นต้น ที่ภิกษุใหม่และพระเถระทั้ง ๒ พวกเก็บงำไว้ไม่ดี ไม่ทำความดูหมิ่นในภิกษุใหม่และพระเถระเหล่านั้น ประหนึ่งเก็บงำสิ่งของที่ตนเก็บไว้ไม่ดีฉะนั้นชื่อเมตตากายกรรมลับหลัง.
   ข้อว่า อยมฺปิ ธมฺโม สาราณีโย มีความว่า ธรรมกล่าว คือเมตตากายกรรมนี้ อันเพื่อพรหมจรรย์ทั้งหลายพึงระลึกถึง.
   อธิบายว่า บุคคลใด ยังสติให้เกิด กระทำธรรมกล่าวคือเมตตากายกรรมนั้น ธรรมคือเมตตากายกรรมนั้น เป็นธรรมอันบุคคลนั้นทำแล้วแก่ชนเหล่าใด ชนเหล่านั้นมีจิตเลื่อมใสแล้ว ย่อมระลึกถึงบุคคลนั้นว่า ผู้นี้เป็นสัตบุรุษจริง.
   บทว่า ปิยกรโณ มีความว่า ธรรมคือเมตตากายกรรมนั้นย่อมทำบุคคลนั้น ให้เป็นที่รักของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย.
   บทว่า ครุกรโณ มีความว่า ธรรมนั้น ย่อมทำบุคคลนั้น ให้เป็นที่เคารพของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย.
                    วินิจฉัยในคำว่า สงฺคหาย เป็นต้น
 พึงทราบดังนี้ :- ธรรมนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้อันเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายพึงสงเคราะห์ เพื่อความไม่วิวาท เพื่อความเป็นผู้พร้อมเพรียง เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน กับเพื่อนพรหมจรรย์เหล่านั้น.
                    วินิจฉัยในคำว่า เมตฺตํ วจีกมฺมํ เป็นต้น พึงทราบดังนี้:-
               การกล่าวยกย่องอย่างนี้ว่า ท่านเทวเถระ ท่านติสสเถระ ชื่อเมตตาวจีกรรม ต่อหน้า. ส่วนการกล่าวถ้อยคำที่ส่อความรัก ของบุคคลผู้สอบถาม ถึงท่าน ในเมื่อท่านไม่อยู่ในสำนัก อย่างนี้ว่า ท่านเทวเถระของพวกเราไปไหน? ท่านติสสเถระของพวกเรา ไปไหน? เมื่อไรหนอ ท่านจักมา? ดังนี้ ชื่อเมตตาวจีกรรม ลับหลัง.
         ก็แลการลืมตาอันสนิทสนมด้วยความรัก กล่าวคือเมตตาแลดูด้วยหน้าอันชื่นบาน ชื่อเมตตามโนกรรม ต่อหน้า. การคำนึงถึงเสมอว่า ท่านเทวเถระ ท่านติสสเถระ จงเป็นผู้ไม่มีโรค มีอาพาธน้อย ชื่อเมตตามโนกรรม ลับหลัง.
         บทว่า อปฺปฏิวิภตฺตโภคี มีความว่า ย่อมแบ่งอามิสไว้สำหรับตัวแล้ว บริโภคหามิได้ แบ่งไว้เฉพาะบุคคลแล้ว บริโภคหามิได้.
         ก็ภิกษุใด ย่อมแบ่งไว้บริโภคว่า เราจักให้แก่ภิกษุเหล่าอื่นเท่านั้น จักบริโภคด้วยตนเองเท่านี้ หรือว่า เราจักให้แก่ภิกษุโน้นและภิกษุโน้นเท่านี้ จักบริโภคด้วยตนเองเท่านี้ ภิกษุนี้ ชื่อว่าผู้แบ่งบริโภคโดยเฉพาะ.
         ฝ่ายภิกษุผู้ตั้งอยู่ในสาราณียธรรมนี้ ไม่ทำอย่างนั้น ถวายบิณฑบาตอันตนนำมาตั้งแต่ที่พระเถระ แล้วฉันส่วนที่ยังเหลือจากที่พระเถระรับเอาไว้.
         พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า แม้จะไม่ให้แก่บุคคลผู้ทุศีล ก็ควร เพราะพระบาลีว่า สีลวนฺเตหิ, แต่อันภิกษุผู้บำเพ็ญสาราณียธรรม พึงให้แก่ผู้มีศีลและผู้ทุศีลทั้งปวงทีเดียว.
          แม้เลือกให้แก่ภิกษุผู้อาพาธและพยาบาลไข้ ผู้อาคันตุกะ ผู้เตรียมจะไปและผู้ขวนขวายในการงานมีจีวรกรรมเป็นต้น ก็ควร. เพราะว่า ภิกษุเลือกบุคคลเหล่านั้นแล้วให้อยู่ จะชื่อว่าเป็นอันทำการจำแนกบุคคลหามิได้.
          จริงอยู่ เพราะภิกษุทั้งหลายผู้เช่นนี้ เป็นผู้มีลาภฝืดเคือง จึงควรทำให้เป็นส่วนพิเศษแท้ เพราะเหตุนั้น บุคคลผู้บำเพ็ญสาราณียธรรมนี้ จึงทำการเลือกให้.
                    วินิจฉัยในบทว่า อขณฺฑานิ เป็นต้น
           พึงทราบดังนี้ :- บรรดาอาบัติ ๗ กอง สิกขาบทของภิกษุใดเป็นคุณสลายเสียข้างต้นหรือข้างปลาย ศีลของภิกษุนั้น ชื่อว่าด้วน เปรียบเหมือนผ้าขาดที่ชายโดยรอบฉะนั้น.
           ฝ่ายสิกขาบทของภิกษุใด ทำลายเสียตรงท่ามกลาง ศีลของภิกษุนั้นชื่อว่าเป็นช่องทะลุ เปรียบเหมือนผ้าที่เป็นช่องทะลุตรงกลางฉะนั้น.
           สิกขาบทของภิกษุใด ทำลายเสีย ๒-๓ สิกขาบทโดยลำดับ ศีลของภิกษุนั้นชื่อว่าด่าง เปรียบเหมือนแม่โคซึ่งมีสีตัวดำและแดงเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง สลับกับสีซึ่งไม่เหมือนกันที่ผุดขึ้นที่หลังหรือที่ท้อง ฉะนั้น.
           สิกขาบทของภิกษุใด ทำลายเสียในระหว่างๆ ศีลของภิกษุนั้นชื่อว่าพร้อย เปรียบเหมือนแม่โคที่พราวเป็นดวงด้วยสีไม่เหมือนกันในระหว่างๆ ฉะนั้น.
           ส่วนศีลของภิกษุใด ไม่ทำลายโดยประการทั้งปวง ศีลเหล่านั้นของภิกษุนั้น ชื่อว่า ไม่ด้วน ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย.
           ก็ศีลเหล่านี้นั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นไท เพราะทำความเป็นไท อันวิญญูชนสรรเสริญ เพราะเป็นศีลที่ท่านผู้รู้ยกย่อง อันกิเลสไม่จับต้อง เพราะเป็นศีลที่ตัณหาและทิฏฐิจับต้องไม่ได้ เป็นไปเพื่อสมาธิ เพราะยังอุปจารสมาธิหรืออัปปนาสมาธิให้เป็นไปพร้อม.
           สองบทว่า สีลสามญฺญคโต วิหรติ มีความว่า ผู้มีศีลเข้าถึงความเป็นผู้เสมอกัน กับภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลงาม ซึ่งอยู่ในทิศาภาคเหล่านั้นๆ.
          สองบทว่า ยายํทิฏฺฐิ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิที่สัมปยุตด้วยมรรค.
           บทว่า อริยา ได้แก่ หาโทษมิได้.
           บทว่า นิยฺยาติ ได้แก่ พาออกไป.
           บทว่า ตกฺกรสฺส ได้แก่ ผู้มีปกติทำอย่างนั้น.
  บทว่า ทุกฺขกฺขยาย ได้แก่ เพื่อสิ้นไปแห่งทุกข์ทั้งปวง.
 คำที่เหลือ จนถึงประเภทสมถะเป็นที่สุด มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.
กติปุจฉาวารวัณณนา จบ.