Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อัตถวเสปกรณ์.คาถาสังคณิกะ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อัตถวเสปกรณ์.คาถาสังคณิกะ แสดงบทความทั้งหมด

08 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร [คาถาสังคณิกะอีกนัยหนึ่ง] เรื่องโจทเป็นต้น [โจทนากัณฑ์] ข้อซักถามของภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์

  ทำบุญ 
คาถาสังคณิกะอีกนัยหนึ่ง เรื่องโจทเป็นต้น 
   [๑๐๖๙] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า การโจทเพื่อประสงค์อะไร? การสอบสวนเพื่อเหตุอะไร? สงฆ์เพื่อประโยชน์อะไร? ส่วนการลงมติเพื่อเหตุอะไร?
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การโจทเพื่อประสงค์ให้ระลึกถึงความผิด. การสอบสวนเพื่อประสงค์จะข่ม สงฆ์เพื่อประโยชน์ให้ช่วยกันพิจารณา ส่วนการลงมติ เพื่อให้การวินิจฉัยแต่ละเรื่องเสร็จสิ้นไป.
   เธออย่าด่วนพูด อย่าพูดเสียงดุดัน อย่ายั่วความโกรธ ถ้าเธอเป็นผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ อย่าพูดโดยผลุนผลัน อย่ากล่าวถ้อยคำชวนวิวาท ไม่กอปรด้วยประโยชน์ วัตรคือการซักถาม อนุโลมแก่สิกขาบทอันพระพุทธเจ้าผู้เฉียบแหลม มีพระปัญญาทรงวางไว้ ตรัสไว้ดีแล้ว ในพระสูตร อุภโตวิภังค์ ในพระวินัย คือ
ขันธกะ ในอนุโลม คือ บริวาร ในพระบัญญัติ คือ วินัยปิฎก และในอนุโลมิกะ คือ มหาประเทศ เธอจงพิจารณา วัตรคือการซักถามนั้น อย่าให้เสียคติที่เป็นไปในสัมปรายภพ เธอผู้ใฝ่หาประโยชน์เกื้อกูล จงซักถามถ้อยคำที่กอปรด้วยประโยชน์ โดยกาล สำนวนที่กล่าวโดยผลุนผลันของจำเลย และโจทก์ เธออย่า
พึงเชื่อถือโจทก์ฟ้องว่าต้องอาบัติ แต่จำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้ต้องอาบัติ เธอต้องสอบสวนทั้งสองฝ่าย พึงปรับตามคำรับสารภาพ และถ้อยคำสำนวน คำรับสารภาพ เรากล่าวไว้ในหมู่ภิกษุลัชชี แต่ข้อนั้น ไม่มีในหมู่ภิกษุอลัชชี อนึ่ง ภิกษุอลัชชีพูดมาก เธอพึงปรับตามถ้อยคำสำนวน ดังกล่าวแล้ว.

อลัชชีบุคคล
   [๑๐๗๐] อุ. อลัชชีเป็นคนเช่นไร คำรับสารภาพของผู้ใดฟังไม่ขึ้น ข้าพระพุทธเจ้าทูลถามพระองค์ถึงข้อนั้น คนเช่นไร พระองค์ตรัสเรียกว่าอลัชชีบุคคล?
   พ. ผู้ที่แกล้งต้องอาบัติ ปกปิดอาบัติ และถึงอคติ คนเช่นนี้เราเรียกว่า อลัชชีบุคคล.

ลัชชีบุคคล
   [๑๐๗๑] อุ. จริง พระพุทธเจ้าข้า แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็ทราบเกล้าว่าคนเช่นนี้ เป็นอลัชชีบุคคล แต่ข้าพระพุทธเจ้าทูลถามพระองค์ถึงข้ออื่น คนเช่นไร พระองค์ตรัสเรียกว่า ลัชชีบุคคล?
   พ. ผู้ที่ไม่แกล้งต้องอาบัติ ไม่ปกปิดอาบัติ ไม่ถึงอคติ คนเช่นนี้
เราเรียกว่า ลัชชีบุคคล.

บุคคลผู้โจทก์ไม่เป็นธรรม
   [๑๐๗๒] อุ. จริง พระพุทธเจ้าข้า แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็ทราบเกล้าว่า คนเช่นนี้ตรัสเรียกว่า ลัชชีบุคคล แต่ข้าพระพุทธเจ้าทูลถามพระองค์ถึงผู้อื่น คนเช่นไรตรัสเรียกว่า ผู้โจทก์ไม่เป็นธรรม?
   พ. ภิกษุโจทโดยกาลไม่ควร ๑ โจทด้วยเรื่องไม่เป็นจริง ๑ โจทด้วยคำหยาบ ๑ โจทด้วยคำไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ มุ่งร้ายโจท ไม่มีเมตตาจิตโจท ๑ คนเช่นนี้ เราเรียกว่า ผู้โจทก์ไม่เป็นธรรม.

บุคคลผู้โจทก์เป็นธรรม
   [๑๐๗๓] อุ. จริง พระพุทธเจ้าข้า แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็ทราบเกล้าว่า คนเช่นนี้ตรัสเรียกว่า ผู้โจทก์ไม่เป็นธรรม แต่ข้าพระพุทธเจ้า ทูลถามพระองค์ถึงข้ออื่น คนเช่นไรตรัสเรียกว่าผู้โจทก์เป็นธรรม?
   พ. ภิกษุโจทโดยกาล ๑ โจทด้วยเรื่องจริง ๑ โจทด้วยคำสุภาพ ๑ โจทด้วยคำประกอบด้วยประโยชน์ ๑ มีเมตตาจิตโจท ไม่มุ่งร้ายโจท ๑ คนเช่นนี้เราเรียกว่า ผู้โจทก์เป็นธรรม.
คนโจทก์ผู้โง่เขลา
   [๑๐๗๔] อุ. จริง พระพุทธเจ้าข้า แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็ทราบเกล้าว่าบุคคลเช่นนี้ ตรัสเรียกว่า ผู้โจทก์เป็นธรรม แต่ข้าพระพุทธเจ้า ทูลถามพระองค์ถึงข้ออื่น คนเช่นไร ตรัสเรียกว่าโจทก์ผู้เขลา?
   พ. บุคคลไม่รู้คำต้นและคำหลัง ๑ ไม่ฉลาดในคำต้นและคำหลัง ๑ ไม่รู้ทางแห่งถ้อยคำอันต่อเนื่องกัน ๑ ไม่ฉลาดต่อทางแห่งถ้อยคำอันต่อเนื่องกัน ๑ คนเช่นนี้เราเรียกว่าโจทก์ผู้เขลา.

คนโจทก์ผู้ฉลาด
   [๑๐๗๕] อุ. จริง พระพุทธเจ้าข้า แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็ทราบเกล้าว่า คนเช่นนี้ตรัสเรียกว่า โจทก์ผู้เขลา แต่ข้าพระพุทธเจ้าทูลถามพระองค์ถึงข้ออื่นคนเช่นไร ตรัสเรียก โจทก์ผู้ฉลาด?
   พ. บุคคลรู้คำต้นและคำหลัง ๑ ฉลาดในคำต้นและคำหลัง ๑ รู้ทางแห่งถ้อยคำอันต่อเนื่องกัน ๑ ฉลาดต่อทางแห่งถ้อยคำอันต่อเนื่องกัน ๑ คนเช่นนี้เราเรียกว่า โจทก์ผู้ฉลาด.

การโจท  
   [๑๐๗๖] อุ. จริง พระพุทธเจ้าข้า แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็ทราบเกล้าว่า คนเช่นนี้ ตรัสเรียกว่า โจทก์ผู้ฉลาด แต่ข้าพระพุทธเจ้าขอทูลถามพระองค์ถึงข้ออื่น อย่างไร พระองค์ตรัสว่าเรียกว่าการโจท?
   พ. เพราะเหตุที่โจทด้วยศีลวิบัติ ๑ อาจารวิบัติ ๑ ทิฏฐิวิบัติ ๑ และแม้ด้วยอาชีววิบัติ ๑ ฉะนั้น เราจึงเรียกว่าการโจท.
คาถาสังคณิกะอีกนัยหนึ่ง จบ
อรรถกถา ปริวาร คาถาสังคณิกะอีกนัยหนึ่ง เรื่องโจทเป็นต้น
ทุติยคาถาสังคณิกวัณณนา
                     วินิจฉัยในทุติยคาถาสังคณิกะ พึงทราบดังนี้ :-
วาจาที่แสดงไล่เลียงวัตถุและอาบัติ ชื่อว่าโจทนา. 
วาจาที่เตือนให้นึกถึงโทษ ชื่อว่าสารณา. 
   สองบทว่า สงฺโฆ กิมตฺถาย มีความว่า ประชุมสงฆ์เพื่อประโยชน์อะไร? 
   บาทคาถาว่า มติกมฺมํ ปน กิสฺส การณา มีความว่า ความเข้าใจ ความประสงค์ ตรัสว่า มติกรรม มติกรรมนั้น ตรัสไว้เพราะเหตุแห่งอะไร? 
   บาทคาถาว่า โจทนา สารณตฺถาย มีความว่า วาจาสำหรับไล่เลียงมีประการดังกล่าวแล้ว เพื่อประโยชน์ที่จะเตือนให้นึกถึงโทษที่บุคคลผู้เป็นจำเลยนั้นได้กระทำแล้ว. 
   บาทคาถาว่า นิคฺคหตฺถาย สารณา มีความว่า ส่วนวาจาที่จะเตือนให้นึกถึงโทษ เพื่อประโยชน์ที่จะข่มบุคคลนั้น. 
   บาทคาถาว่า สงฺโฆ ปริคฺคหตฺถาย มีความว่า สงฆ์ผู้ประชุมกัน ณ ที่นั้น เพื่อประโยชน์ที่จะช่วยกันวินิจฉัย. อธิบายว่า เพื่อประโยชน์ที่จะพิจารณาว่า เป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม คือเพื่อประโยชน์ที่จะทราบว่า อธิกรณ์นั้นได้วินิจฉัยถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง. 
   บาทคาถาว่า มติกมฺมํ ปน ปาฏิเยกฺกํ มีความว่า ความเข้าใจ ความประสงค์ของพระเถระผู้เป็นนักพระสูตร และพระเถระผู้เป็นนักวินัยทั้งหลาย ก็เพื่อให้วินิจฉัยสำเร็จเป็นแผนกๆ. 
   หลายบทว่า มา โข ปฏิฆํ มีความว่า อย่าก่อความโกรธในจำเลยหรือโจทก์. 
   หลายบทว่า สเจ อนุวิชฺชโก ตุวํ มีความว่า ถ้าว่าท่านเป็นพระวินัยธรนั่งวินิจฉัยอธิกรณ์ ซึ่งหยั่งลงในท่ามกลางสงฆ์. 
   บทว่า วิคฺคาหิยํ มีความว่า (ท่านอย่าได้กล่าวถ้อยคำชวนวิวาท) ซึ่งเป็นไปโดยนัยเป็นต้นว่า ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้หรือ? 
   บทว่า อนตฺถสญฺหิตํ มีความว่า อย่ากล่าวถ้อยคำที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย คือทำบริษัทให้ปั่นป่วนลุกลามขึ้น. 
 วินิจฉัยในบทว่า สุตฺเต วินเย เป็นอาทิ พึงทราบดังนี้ :- 
   อุภโตวิภังค์ ชื่อว่าสูตร, ขันธกะ ชื่อว่าวินัย, บริวาร ชื่อว่าอนุโลม, วินัยปิฏกทั้งสิ้น ชื่อว่าบัญญัติ, มหาปเทส ๔ ชื่อว่าอนุโลมิกะ. 
   บาทคาถาว่า อนุโยควตฺตํ นิสาเมถ มีความว่า ท่านจงพิจารณาวัตรในการซักถาม. 
   บาทคาถาว่า กุสเลน พุทฺธิมตา กตํ มีความว่า อันพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เฉียบแหลมเป็นบัณฑิต บรรลุความสำเร็จแห่งพระญาณ ทรงนำออกตั้งไว้. 
   บทว่า สุวุตฺตํ มีความว่า อันพระองค์ทรงแต่งตั้งไว้ดีแล้ว. 
   บทว่า สิกฺขาปทานุโลมิกํ มีความว่า เหมาะแก่สิกขาบททั้งหลายเนื้อความเฉพาะบทเท่านี้ก่อน. 
   ส่วนพรรณนาโดยย่อพร้อมทั้งอธิบายในคาถานี้ ดังนี้ :- 
   ถ้าว่า ท่านผู้ว่าอรรถคดี อย่ากล่าวผลุนผลัน อย่ากล่าวถ้อยคำชวนวิวาท ไม่ประกอบด้วยประโยชน์, ก็วัตรในการซักถามอันใด อันพระโลกนาถผู้ฉลาดมีปัญญาทรงจัดไว้ แต่งตั้งไว้ดี ในสูตรเป็นต้นเหล่านั้น อนุโลมแก่สิกขาบททั้งปวง, ท่านจงพิจารณา คือจงตรวจดูอนุโยควัตรนั้น.
   บาทคาถาว่า คตึ น นาเสนฺโต สมฺปรายิกํ มีความว่า จงพิจารณาอนุโยควัตร อย่าให้เสียคติคือความสำเร็จในสัมปรายภพของตน. จริงอยู่ ภิกษุใดไม่พิจารณาอนุโยควัตรนั้น ซักถาม, ภิกษุนั้นย่อมให้เสียคติของตนที่เป็นในสัมปรายภพ, เพราะเหตุนั้น จงพิจารณาอย่าให้เสียคตินั้นได้. 
   บัดนี้ พระอุบาลีเถระกล่าวคำว่า หิเตสี เป็นอาทิ เพื่อแสดงอนุโยควัตรนั้น. 
   บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หิเตสี ได้แก่ ผู้แสวงคือผู้ใฝ่หาประโยชน์. อธิบายว่า จงเข้าไปตั้งไมตรีและธรรมเป็นบุพภาคแห่งไมตรีไว้. 
   บทว่า กาเล ได้แก่ ในกาลที่จัดว่าสมควร คือในกาลที่สงฆ์เชิญเท่านั้น. อธิบายว่า ท่านจงซักถาม ในเมื่อสงฆ์มอบภาระแก่ท่าน. 
   บาทคาถาว่า สหสา โวหารํ มา ปธาเรสิ มีความว่า สำนวนที่กล่าวโดยผลุนผลัน คือถ้อยคำที่กล่าวโดยผลุนผลันใด ของโจทก์และจำเลยเหล่านั่น อย่าคัด คือ อย่าถือเอาสำนวนนั้น. 
   ความสืบสมแห่งคำให้การ เรียกว่าความสืบเนื่อง ในบาทคาถาว่า ปฏิญฺญานุสนฺธิเตน การเย นี้, เพราะเหตุนั้น พึงปรับตามคำสารภาพและความสืบสม. อธิบายว่า พึงกำหนดความสืบสมแห่งคำให้การ แล้วจึงปรับตามคำสารภาพ. 
   อีกอย่างหนึ่ง พึงปรับตามคำรับสารภาพและตามความสืบสม. อธิบายว่า พึงปรับตามคำรับสารภาพของจำเลยผู้เป็นลัชชี พึงปรับตามความสืบสมแห่งความประพฤติของจำเลยผู้อลัชชี. 
   เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคาถาว่า เอวํ ปฏิญฺญา ลชฺชีสุ เป็นต้น. 
   บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า วตฺตานุสนฺธิเตน การเย มีความว่า พึงปรับตามความสืบสมแห่งความประพฤติ. อธิบายว่า คำรับสารภาพใด กับความประพฤติของอลัชชีนั้นสมกัน, พึงปรับตามคำสารภาพนั้น. 
         บทว่า สญฺจิจฺจ ได้แก่ ต้องทั้งรู้. 
         บทว่า ปริคูหติ ได้แก่ ปิดไว้ คือ ไม่แสดง ไม่ออกเสีย. 
         บาทคาถาว่า สจฺจํ อหํปิ ชานามิ มีความว่า คำใดอันพระองค์ตรัสแล้ว คำนั้นเป็นจริง, แม้ข้าพระองค์ก็รู้คำนั้น อย่างนั้นเหมือนกัน. 
         สองบทว่า อญฺญญฺจ ตาหํ มีความว่า ก็แลข้าพระองค์จะทูลถามพระองค์ถึงอลัชชีชนิดอื่น. 
         บาทคาถาว่า ปุพฺพาปรํ น ชานาติ มีความว่า ไม่รู้ถ้อยคำที่ตนกล่าวไว้ในกาลก่อน และตนกล่าวในภายหลัง. 
         บทว่า อโกวิโท ได้แก่ ไม่ฉลาดในคำต้นและคำหลังนั้น. 
         บาทคาถาว่า อนุสนฺธิวจนปถํ น ชานาติ มีความว่า ไม่รู้ถ้อยคำที่สืบสมแห่งคำให้การ และถ้อยคำที่สืบสมแห่งคำตัดสิน. 
         บาทคาถาว่า สีลวิปตฺติยา โจเทติ คือโจทด้วยกองอาบัติ ๒. 
   บทว่า อาจารทิฏฺฐิยา ได้แก่ โจทด้วยอาจารวิบัติและทิฏฐิวิบัติ. เมื่อจะโจทด้วยอาจารวิบัติ ย่อมโจทด้วยกองอาบัติ ๕, เมื่อจะโจทด้วยทิฏฐิวิบัติ ย่อมโจทด้วยมิจฉาทิฏฐิและอันตคาหิกทิฏฐิ. 
   บาทคาถาว่า อาชีเวนปิ โจเทติ มีความว่า โจทด้วยสิกขาบท ๖ ซึ่งบัญญัติไว้ เพราะอาชีวะเป็นเหตุ. 
   บทที่เหลือที่ในทั้งปวง ตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล.
   ทุติยคาถาสังคณิกวัณณนา จบ.
โจทนากัณฑ์ ข้อซักถามของภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ 
   [๑๐๗๗] ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงถามโจทก์ว่า ผู้มีอายุ ข้อที่ท่านโจทภิกษุรูปนี้นั้นโจทเพราะเรื่องอะไร ท่านโจทด้วยศีลวิบัติ อาจารวิบัติ หรือโจทด้วยทิฏฐิวิบัติ? ถ้าโจทก์นั้นตอบอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าโจทด้วยศีลวิบัติ โจทด้วยอาจารวิบัติ หรือว่าข้าพเจ้าโจทด้วยทิฏฐิวิบัติ. ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซัก
ถามโจทก์ อย่างนี้ว่า ท่านรู้ศีลวิบัติ อาจารวิบัติ ทิฏฐิวิบัติ หรือ? ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ข้าพเจ้ารู้ศีลวิบัติ รู้อาจารวิบัติ รู้ทิฏฐิวิบัติ. ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์พึงซักถามโจทก์อย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ก็ศีลวิบัติเป็นไฉน อาจารวิบัติเป็นไฉน ทิฏฐิวิบัติเป็นไฉน? ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓
นี้จัดเป็นศีลวิบัติ ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต นี้เป็นอาจารวิบัติ มิจฉาทิฏฐิ อันตคาหิกทิฏฐิ นี้เป็นทิฏฐิวิบัติ.
   ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซักถามโจทก์อย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ข้อที่ท่านโจทภิกษุรูปนี้นั้น โจทด้วยเรื่องที่เห็น ด้วยเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง หรือด้วยเรื่องที่รังเกียจ? ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าโจทด้วยเรื่องที่เห็น โจทด้วยเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง หรือว่าข้าพเจ้าโจทด้วยเรื่องที่รังเกียจ.
   ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซักถามโจทก์ต่อไปว่า ผู้มีอายุ ข้อที่ท่านโจทภิกษุรูปนี้ด้วยเรื่องที่เห็นนั้น ท่านเห็นอะไร? เห็นอย่างไร? เห็นเมื่อไร? เห็นที่ไหน? ท่านเห็นภิกษุรูปนี้ต้องอาบัติปาราชิก หรือท่านเห็นภิกษุรูปนี้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ หรือ? ท่านอยู่ที่ไหน? และภิกษุรูปนี้อยู่ที่ไหน? ท่านทำอะไรอยู่? ภิกษุรูปนี้ทำอะไรอยู่?
   ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ข้าพเจ้ามิได้โจทภิกษุรูปนี้ด้วยเรื่องที่เห็น แต่ว่าข้าพเจ้าโจทด้วยเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง. ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซักถามอย่างนี้ว่า ข้อที่ท่านโจทภิกษุรูปนี้ ด้วยเรื่องได้ยินได้ฟังนั้น ท่านได้ยินได้ฟังอะไร? ได้ยินได้ฟังว่าอย่างไร? ได้ยินได้ฟังเมื่อไร? ท่านได้ยินได้ฟังที่ไหน? ท่านได้ยิน
ได้ฟังว่าภิกษุนี้ ต้องอาบัติปาราชิก หรือ ท่านได้ยินได้ฟังว่าภิกษุนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิตหรือ? ท่านได้ยินได้ฟังต่อภิกษุ หรือ ได้ยินได้ฟังต่อภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา ราชมหาอำมาตย์ เดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ หรือ?
   ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ข้าพเจ้ามิได้โจทภิกษุรูปนี้ด้วยเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง แต่ข้าพเจ้าโจทด้วยเรื่องที่รังเกียจ.
   ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซักถามโจทก์อย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ข้อที่ท่านโจทภิกษุรูปนี้ด้วยเรื่องที่รังเกียจนั้น ท่านรังเกียจอะไร? รังเกียจว่าอย่างไร? รังเกียจเมื่อไร? รังเกียจที่ไหน? ท่านรังเกียจว่าภิกษุรูปนี้ต้องอาบัติปาราชิก หรือท่านรังเกียจว่าภิกษุรูปนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ
ทุกกฏ ทุพภาสิต หรือ? ท่านได้ยินได้ฟังต่อภิกษุจึงรังเกียจหรือ ท่านได้ยินได้ฟังต่อภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา ราชมหาอำมาตย์ เดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์แล้วรังเกียจ หรือ?
เปรียบเทียบอธิกรณ์
   [๑๐๗๘] เรื่องที่เห็นสมด้วยเรื่องที่เห็น เรื่องที่เห็นเทียบกันได้กับเรื่องที่เห็นแต่บุคคลนั้นไม่ยอมรับ เพราะอาศัยการเห็นบุคคลนั้น ถูกรังเกียจโดยไม่มีมูล พึงปรับอาบัติตามปฏิญญา พึงทำอุโบสถกับบุคคลนั้น. เรื่องที่ได้ยินได้ฟังสมด้วยเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง เรื่องที่ได้ยินได้ฟังเทียบกันได้กับเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง แต่
บุคคลนั้นไม่ยอมรับเพราะอาศัยการได้ยินได้ฟัง บุคคลนั้นถูกรังเกียจโดยไม่มีมูล พึงปรับอาบัติตามปฏิญญา พึงทำอุโบสถกับบุคคลนั้น. เรื่องที่ได้ทราบสมด้วยเรื่องที่ได้ทราบ เรื่องที่ได้ทราบเทียบกันได้กับเรื่องที่ได้ทราบ แต่บุคคลนั้นไม่ยอมรับเพราะอาศัยการได้ทราบบุคคลนั้นถูกรังเกียจโดยไม่มีมูล พึงปรับอาบัติตามปฏิญญา พึงทำอุโบสถกับบุคคลนั้น เถิด.
ว่าด้วยเบื้องต้นของการโจทเป็นต้น
   [๑๐๗๙] ถามว่า การโจท มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
   ตอบว่า การโจท มีขอโอกาสเป็นเบื้องต้น มีการทำเป็นท่ามกลาง มีการระงับเป็นที่สุด.
   ถ. การโจท มีมูลเท่าไร? มีวัตถุเท่าไร? มีภูมิเท่าไร? โจทด้วยอาการเท่าไร?
   ต. การโจท มีมูล ๒ มีวัตถุ ๓ มีภูมิ ๕ โจทด้วยอาการ ๒ อย่าง.
   ถ. การโจทมีมูล ๒ เป็นไฉน?
   ต. การโจท มีมูล ๑ การโจทไม่มีมูล ๑ นี้การโจทมีมูล ๒.
   ถ. การโจท มีวัตถุ ๓ เป็นไฉน?
   ต. เรื่องที่เห็น ๑ เรื่องที่ได้ยินได้ฟัง ๑ เรื่องที่รังเกียจ ๑ นี้การโจทมีวัตถุ ๓.
   ถ. การโจท มีภูมิ ๕ เป็นไฉน?
   ต. จักพูดโดยกาลอันควร จักไม่พูดโดยกาลไม่ควร ๑ จักพูดด้วยคำจริง จักไม่พูดด้วยคำไม่จริง ๑ จักพูดด้วยคำสุภาพ จักไม่พูดด้วยคำหยาบ ๑ จักพูดด้วยคำประกอบด้วยประโยชน์ จักไม่พูดด้วยคำไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ จักมีเมตตาจิตพูด จักไม่มุ่งร้ายพูด ๑ นี้การโจทมีภูมิ ๕.
   ถ. โจทด้วยอาการ ๒ อย่าง เป็นไฉน
   ต. โจทด้วยกายหรือโจทด้วยวาจา นี้โจทด้วย อาการ ๒ อย่าง.
ข้อปฏิบัติของโจทก์และจำเลยเป็นต้น
   [๑๐๘๐] โจทก์ควรปฏิบัติอย่างไร? จำเลยควรปฏิบัติอย่างไร? สงฆ์ควรปฏิบัติอย่างไร? ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ควรปฏิบัติอย่างไร?
   ถามว่า โจทก์ ควรปฏิบัติอย่างไร?
   ตอบว่า โจทก์พึงตั้งอยู่ในธรรม ๕ อย่างแล้วจึงโจทผู้อื่น คือ จักพูดโดยกาลอันควร จักไม่พูดโดยกาลไม่ควร ๑ จักพูดด้วยคำจริง จักไม่พูดด้วยคำไม่จริง ๑ จักพูดด้วยคำสุภาพ จักไม่พูดด้วยคำหยาบ ๑ จักพูดด้วยคำประกอบด้วยประโยชน์ จักไม่พูดด้วยคำไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ จักมีเมตตาจิตพูด จักไม่มุ่งร้ายพูด ๑ โจทก์ควรปฏิบัติอย่างนี้.
ถ. จำเลย ควรปฏิบัติอย่างไร? ต. จำเลย พึงตั้งอยู่ในธรรม ๒ ประการ คือ ในความสัตย์ ๑ ในความไม่ขุ่นเคือง ๑ จำเลยควรปฏิบัติอย่างนี้. ถ. สงฆ์ ควรปฏิบัติอย่างไร ต. สงฆ์พึงรู้คำที่เข้าประเด็นและไม่เข้าประเด็น สงฆ์ควรปฏิบัติอย่างนี้. ถ. ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ ควรปฏิบัติอย่างไร? ต. ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงระงับอธิกรณ์นั้น โดยประการที่อธิกรณ์นั้น จะระงับ โดยธรรม โดยวินัย โดยสัตถุศาสน์. ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ ควรปฏิบัติอย่างนี้. 
ว่าด้วยอุโบสถเป็นต้น 
 [๑๐๘๑] ถามว่า อุโบสถเพื่อประโยชน์อะไร? ปวารณาเพื่อเหตุอะไร? ปริวาส เพื่อประโยชน์อะไร? การชักเข้าหาอาบัติเดิมเพื่อเหตุอะไร? มานัตเพื่อ ประโยชน์อะไร? อัพภานเพื่อเหตุอะไร?
               ตอบว่า อุโบสถเพื่อประโยชน์แก่ความพร้อมเพรียง. ปวารณา เพื่อประโยชน์แก่ความหมดจด. ปริวาสเพื่อประโยชน์แก่มานัต.
               การชัก เข้าหาอาบัติเดิมเพื่อประโยชน์แก่นิคคหะ. มานัตเพื่อประโยชน์แก่อัพภาน. อัพภานเพื่อประโยชน์แก่ความหมดจด.
               ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์มีปัญญาทราม โง่เขลา และไม่มีความเคารพในสิกขา บริภาษพระเถระทั้งหลาย เพราะ ฉันทาคติ โทสาคติ ภยาคติ โมหาคติ เป็นผู้ขุดตน กำจัดอินทรีย์แล้ว เพราะกายแตกย่อมเข้าถึงนรก.
               ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ไม่พึงเห็นแก่อามิส และไม่พึงเห็นแก่บุคคล ควรเว้นสองอย่างนั้นแล้ว ทำตามที่เป็นธรรม. 
               โจทก์เป็นผู้มักโกรธ มักถือโกรธ ดุร้าย แสร้งกล่าวบริภาษ ย่อมปลูก อนาบัติว่าอาบัติ โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน. 
               โจทก์กระซิบใกล้หูคอยจับผิด ยังการวินิจฉัยให้บกพร่อง เสพ ทางผิด ย่อมปลูกอนาบัติว่าอาบัติ
               โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน.
               โจทก์ฟ้องโดยกาลอันไม่ควร ฟ้องด้วยคำไม่จริง ฟ้องด้วยคำ หยาบ ฟ้องด้วยคำไม่ประกอบด้วยประโยชน์ มุ่งร้ายฟ้อง ไม่มีเมตตาจิต ฟ้อง ปลูกอนาบัติว่าอาบัติ 
               โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน. 
               โจทก์ไม่รู้ธรรมและอธรรม ไม่ฉลาดในธรรมและอธรรม ปลูก อนาบัติว่าอาบัติ 
               โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน.
               โจทก์ไม่รู้วินัยและอวินัย ไม่ฉลาดในวินัยและอวินัย ปลูกอนาบัติ ว่าอาบัติ โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน. 
               โจทก์ไม่รู้สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงภาษิตแล้วและมิได้ทรงภาษิต ไม่ ฉลาดในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงภาษิตแล้วและไม่ได้ภาษิต ปลูกอนาบัติว่า อาบัติ 
               โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน.
               โจทก์ไม่รู้สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงประพฤติและไม่ได้ทรงประพฤติ ไม่ฉลาดในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงประพฤติและไม่ได้ทรงประพฤติ ปลูก อนาบัติว่าอาบัติ 
               โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน. 
               โจทก์ไม่รู้สิ่งที่ทรง บัญญัติและไม่ได้ทรงบัญญัติ ไม่ฉลาดในสิ่งที่ทรงบัญญัติและไม่ได้ทรง บัญญัติ ปลูกอนาบัติว่าอาบัติ 
               โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน. 
               โจทก์ไม่รู้อาบัติและอนาบัติ ไม่ฉลาดในอาบัติและอนาบัติ ปลูก อนาบัติว่าอาบัติ
               โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน.
               โจทก์ไม่รู้อาบัติเบา และอาบัติหนัก ไม่ฉลาดในอาบัติเบาและอาบัติหนัก ปลูกอนาบัติว่าอาบัติ 
               โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน.
               โจทก์ไม่รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ไม่ฉลาด ในอาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ปลูกอนาบัติว่าอาบัติ 
                โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน. 
                โจทก์ไม่รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ไม่ฉลาดในอาบัติ ชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ปลูกอนาบัติว่าอาบัติ 
                โจทก์เช่นนั้น ชื่อว่าย่อมเผาตน. 
                โจทก์ไม่รู้คำต้นและคำหลัง ไม่ฉลาดต่อคำต้นและคำหลัง ปลูก อนาบัติว่าอาบัติ 
                โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน.
                โจทก์ไม่รู้ทางถ้อยคำอันต่อเนื่องกัน ไม่ฉลาดต่อทางถ้อยคำอัน ต่อเนื่องกัน ปลูกอนาบัติว่าอาบัติ โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตนแล.
  โจทนากัณฑ์ จบ
หัวข้อประจำเรื่อง [๑๐๘๒] คำสั่งสอน การโจท ผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ เบื้องต้น มูลอุโบสถ คติตั้งอยู่ในโจทนากัณฑ์แล. อรรถกถา ปริวาร โจทนากัณฑ์ ข้อซักถามของภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ เป็นต้น 
โจทนากัณฑกวัณณนา [กิจของภิกษุผู้ว่าอรรถคดี] บัดนี้ พระอุบาลีเถระเริ่มคำว่า อนุวิชฺชเกน เป็นอาทิ เพื่อแสดงกิจอันพระวินัยธรพึงกระทำ ในการฟ้องร้องที่เกิดขึ้นแล้วอย่างนั้น. ในคำนั้น 
 คาถาว่า ทิฏฺฐํ ทิฏฺเฐน เป็นต้น มีเนื้อความดังนี้ :- ภิกษุรูปหนึ่ง กำลังออกหรือกำลังเข้าไป โดยสถานที่อันเดียวกันกับมาตุคามผู้หนึ่ง อันโจทก์เห็นแล้ว. โจทก์นั้นจึง ฟ้องภิกษุนั้นเป็นจำเลยด้วยอาบัติปาราชิก; ฝ่ายจำเลยยอมรับการเห็นของโจทก์นั้น แต่จำเลยยังไม่ถึงปาราชิก จึงไม่ปฏิญญา เพราะอิงการ เห็นนั้น. ในคำของโจทก์และจำเลยนี้ การใดอันโจทก์นั้นเห็นแล้ว การนั้นสมด้วยคำที่ว่าได้เห็นของโจทก์นั้น นี้ว่า จำเลยอันข้าพเจ้าได้ เห็นแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
 แต่เพราะเหตุที่ฝ่ายจำเลยไม่ยอมปฏิญญาโทษ เพราะอาศัยการเห็นนั้น จึงชื่อว่าผู้ถูกรังเกียจโดยไม่บริสุทธิ์. อธิบายว่า เป็นผู้รังเกียจโดยไม่มีมูล. สงฆ์พึงทำอุโบสถกับบุคคลนั้นตามปฏิญญาที่ว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ ของบุคคลนั้น. ใน ๒ คาถาที่เหลือ มีนัยอย่างนี้แล. คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้นฉะนี้แล.
พรรณนากิจของภิกษุผู้ว่าอรรถคดี จบ. 
[ว่าด้วยเบื้องต้นของโจทนาเป็นอาทิ
 วินิจฉัยในปุจฉาวิสัชนามีอาทิว่า อะไรเป็นเบื้องต้นของโจทนา พึงทราบดังนี้ :- หลายบทว่า สจฺเจ จ อกุปฺเป จ มีความว่า จำเลยพึงตั้งอยู่ในธรรม ๒ ประการ คือ ให้การตามจริง ๑ ไม่ขุ่น เคือง ๑ คือว่าการใดอันตนกระทำหรือมิได้กระทำ การนั้นแล อันตนพึงให้การ (เช่นนั้น). และไม่พึงให้เกิดความขุ่นเคืองในโจทก์ หรือในภิกษุผู้ว่าอรรถคดี หรือในสงฆ์. สองบทว่า โอติณฺณาโนติณฺณํ ชานิตพฺพํ มีความว่า สงฆ์พึงรู้ถ้อยคำอันเข้าประเด็นและไม่เข้าประเด็น. 
ในคำนั้น มีวิธีสำหรับรู้ดังนี้ :- สงฆ์พึงรู้ว่า คำต้นของโจทก์เท่านี้ คำหลังเท่านี้ คำต้นของจำเลยเท่านี้ คำหลังเท่านี้. พึงกำหนดลักษณะที่ควรเชื่อถือของโจทก์ พึงกำหนดลักษณะที่ควรเชื่อถือของจำเลย พึงกำหนดลักษณะที่ควรเชื่อถือ ของภิกษุผู้ว่าอรรถคดี. ภิกษุผู้ว่าอรรถคดี เมื่อยังการพิจารณาให้ บกพร่องแม้มีประมาณน้อย อันสงฆ์พึงสั่งว่า ผู้มีอายุ ท่านจงพิจารณา ให้ดีบังคับคดีให้ตรง. สงฆ์พึงปฏิบัติอย่างนี้.
 วินิจฉัยในคำว่า เยน ธมฺเมน เยน วินเยน เยน สตฺถุสา สเนน อธิกรณํ วูปสมฺมติ นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
              บทว่า ธมฺโม ได้แก่ เรื่องที่เป็นจริง. 
              บทว่า วินโย ได้แก่ กิริยาที่โจทก์ และกิริยา ที่จำเลยให้การ. 
              บทว่า สตฺถุสาสนํ ได้แก่ ญัตติสัมปทาและ อนุสาวนสัมปทา. 
               จริงอยู่ อธิกรณ์ย่อมระงับโดยธรรม โดยวินัย และโดยสัตถุ ศาสนานั่น เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้ว่าอรรถคดี พึงโจทด้วยวัตถุที่เป็นจริง แล้วให้จำเลยระลึกถึงอาบัติ และยังอธิกรณ์ นั้นให้ระงับด้วยญัตติสัมปทาและอนุสาวนสัมปทา. ภิกษุผู้ว่าอรรถคดีพึงปฏิบัติอย่างนี้. 
               คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้นฉะนี้แล. แม้ปุจฉาวิสัชนามีอาทิว่า อุโบสถ เพื่อประโยชน์อะไร? ก็ตื้นเหมือนกันแล. 
วินิจฉัยในอวสานคาถาทั้งหลาย พึงทราบดังนี้ :- 
      บาทคาถาว่า เถเร จ ปริภาสติ มีความว่า เมื่อจะทำ
ความดูหมิ่น ย่อมด่าว่า ภิกษุเหล่านี้ไม่รู้อะไร. 
      บาทคาถาว่า ขโต อุปหตินฺทฺริโย มีความว่า ชื่อว่าผู้มี
ตนอันขุดแล้ว เพราะความที่ตนเป็นสภาพอันตนเองขุดแล้ว ด้วยความเป็นผู้ถึงความลำเอียงด้วยฉันทาคติเป็นต้นนั้น และด้วยการด่านั้นและชื่อว่าผู้มีอินทรีย์อันตนเองขจัดเสียแล้ว เพราะความที่อินทรีย์ มีศรัทธาเป็นต้น เป็นคุณอันตนเองขจัดเสียแล้ว. 
      สองบาทคาถาว่า นิรยํ คจฺฉติ ทุมฺเมโธ น จ สิกฺขาย 
      คารโว มีความว่า ผู้มีตนอันขุดแล้ว มีอินทรีย์อันตนขจัด
แล้วนั้น ชื่อว่าผู้มีปัญญาทราม เพราะไม่มีปัญญา และชื่อว่าไม่มีความเคารพในการศึกษา เพราะไม่ศึกษาในสิกขา ๓ เพราะแตกแห่งกายย่อมเข้าถึงนรก. 
      เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ไม่ควรอิงอามิส
(และไม่ควรอิงบุคคลพึงเว้นส่วนทั้ง ๒ นั้นเสีย) กระทำตามธรรม. 
      เนื้อความแห่งคำนั้นว่า ไม่พึงกระทำ เพราะอิงอามิส
จริงอยู่ เมื่อถือเอาอามิสมีจีวรเป็นต้น ที่โจทก์หรือจำเลยฝ่ายใด
ฝ่ายหนึ่งให้ ชื่อว่ากระทำเพราะอิงอามิส ไม่พึงกระทำอย่างนั้น. 
      หลายบทว่า น จ นิสฺสาย ปุคฺคลํ มีความว่า เมื่อลำเอียงเพราะความรักเป็นต้น โดยนัยมีอาทิว่า ผู้นี้เป็นอุปัชฌาย์ของเรา หรือว่า ผู้นี้เป็นอาจารย์ของเรา ชื่อว่ากระทำเพราะอิงบุคคล ไม่พึงกระทำอย่างนั้น. ทางที่ถูก พึงเว้นส่วนทั้ง ๒ นั้นเสีย กระทำตามที่เป็นธรรมเท่านั้น. 
      บาทคาถาว่า อุปกณฺณกํ ชปฺเปติ มีความว่า กระซิบที่
ใกล้หูว่า ท่านจงพูดอย่างนี้ อย่าพูดอย่างนี้. 
      สองบทว่า ชิมฺหํ เปกฺขติ มีความว่า ย่อมแส่หาโทษ
เท่านั้น. 
      บทว่า วีติหรติ ได้แก่ ยังการวินิจฉัยให้บกพร่อง. 
      สองบทว่า กุมฺมคฺคํ ปฏิเสวติ มีความว่า ย่อมชี้อาบัติ. 
      สองบทว่า อกาเลน จ โจเทติ มีความว่า ผู้อัน
พระเถระมิได้เชื้อเชิญ โจทในสมัยมิใช่โอกาส. 
      บาทคาถาว่า ปุพฺพาปรํ น ชานาติ
มีความว่า ไม่รู้คำต้นและคำหลัง. 
      บาทคาถาว่า อนุสนฺธิวจนกถํ น ชานาติ
มีความว่า ไม่รู้ถ้อยคำ ด้วยอำนาจความสืบสมแห่งคำให้การ
และความสืบสมแห่งคำวินิจฉัย. 
      คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้นฉะนี้แล. 
โจทนากัณฑกวัณณนา จบ.

07 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร [วิเคราะห์ปาราชิก เป็นต้น] อุปมาอาบัติและอนาบัติ [อธิกรณเภท] ว่าด้วยอธิกรณ์ ๔ อย่างเป็นต้น

วิเคราะห์ปาราชิก
   [๑๐๓๕] คำใดที่เรากล่าวไว้ว่าปาราชิกดังนี้ ท่านจงฟังคำนั้น ดังจะกล่าวต่อไป. บุคคลเป็นผู้เคลื่อนแล้ว ผิดพลาด แลเหินห่างจากสัทธรรม อนึ่งแม้สังวาสก็ไม่มีในผู้นั้น  เพราะเหตุนั้นเราจึงเรียกอาบัตินั้นว่า ปาราชิก.

วิเคราะห์สังฆาทิเสส
   [๑๐๓๖] คำใดที่เรากล่าวไว้ว่าสังฆาทิเสสดังนี้ ท่านจงฟังคำนั้น ดังจะกล่าวต่อไป. สงฆ์เท่านั้นให้ปริวาส ชักเข้าหาอาบัติเดิม ให้มานัต อัพภานเพราะเหตุนั้น เราจึงเรียกอาบัตินั้นว่า สังฆาทิเสส.

วิเคราะห์อนิยต
   [๑๐๓๗] คำใดที่เรากล่าวไว้ว่า อนิยต ดังนี้ ท่านจงฟังคำนั้น ดังจะกล่าวต่อไป. กองอาบัติชื่อว่าอนิยต เพราะไม่แน่ บทอันพระผู้มีพระภาคทรงทำแล้วโดยมิใช่ส่วนเดียว บรรดาฐานะ ๓ ฐานะอย่างใดอย่างหนึ่งเรียกว่าอนิยต.

วิเคราะห์ถุลลัจจัย
   [๑๐๓๘] คำใดที่เรากล่าวไว้ว่าถุลลัจจัยดังนี้ ท่านจงฟังคำนั้น ดังจะกล่าว. ต่อไป ภิกษุแสดงอาบัติถุลลัจจัยในที่ใกล้ภิกษุรูปหนึ่ง และภิกษุรับอาบัตินั้นโทษเสมอด้วยถุลลัจจัยนั้นไม่มีเพราะเหตุนั้น จึงเรียกโทษนั้นว่า ถุลลัจจัย.

วิเคราะห์นิสสัคคิยะ
   [๑๐๓๙] คำใดที่เรากล่าวไว้ว่านิสสัคคิยะดังนี้ ท่านจงฟังคำนั้น ดังจะกล่าวต่อไป. ภิกษุเสียสละในท่ามกลางสงฆ์ ท่ามกลางคณะ และต่อหน้าภิกษุรูปหนึ่งๆ แล้วจึงแสดงข้อละเมิดใด เพราะเหตุนั้น จึงเรียกข้อละเมิดนั้นว่านิสสัคคิยะ

วิเคราะห์ปาจิตตีย์
   [๑๐๔๐] คำใดที่เรากล่าวไว้ว่าปาจิตตีย์ดังนี้ ท่านจงฟังคำนั้น ดังจะกล่าวต่อไป. ความละเมิดยังกุศลธรรมให้ตก ย่อมฝืนต่ออริยมรรค เป็นเหตุแห่งความลุ่มหลงแห่งจิต เพราะเหตุนั้น จึงเรียกความละเมิดนั้นว่า ปาจิตตีย์.

วิเคราะห์ปาฏิเทสนียะ
   [๑๐๔๑] คำใดที่เรากล่าวไว้ว่าปาฏิเทสนียะดังนี้ ท่านจงฟังคำนั้น ดังจะกล่าวต่อไป. ภิกษุไม่มีญาติหาโภชนะได้ยากรับมาเองแล้วฉัน เรียกว่าต้องธรรมที่น่าติ. ภิกษุฉันอยู่ในที่นิมนต์ภิกษุณีสั่งเสียอยู่ในที่นั้นตามพอใจ ภิกษุไม่ห้ามฉันอยู่ในที่นั้น เรียกว่าต้องธรรมที่น่าติ. ภิกษุไม่อาพาธไปสู่ตระกูลที่มีจิตศรัทธา
แต่มีโภคทรัพย์น้อย เขามิได้นำไปถวายแล้วฉันในที่นั้น เรียกว่า ต้องธรรมที่น่าติ. ภิกษุใดถ้าอยู่ในป่าที่น่ารังเกียจ มีภัยจำเพาะหน้า ฉันภัตตาหารที่เขาไม่ได้บอกในที่นั้น เรียกว่าต้องธรรมที่น่าติ. ภิกษุณีไม่มีญาติขอโภชนะที่ผู้อื่นยึดถือว่าเป็นของเรา คือ เนยใส น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ปลา เนื้อ นมสด และนมส้มด้วยตนเอง ชื่อว่า ถึงธรรมที่น่าติในศาสนาของพระสุคต.

วิเคราะห์ทุกกฏ
   [๑๐๔๒] คำใดที่เรากล่าวไว้ว่า ทุกกฏ ดังนี้ ท่านจงฟังคำนั้น ดังจะกล่าวต่อไป. กรรมใดผิดพลั้งและพลาด กรรมนั้นชื่อว่าทำไม่ดี คนทำความชั่วอันใดในที่แจ้งหรือในที่ลับ บัณฑิตทั้งหลายย่อมประกาศความชั่วนั้นว่าทำชั่วเพราะเหตุนั้น กรรมนั่นจึงเรียกว่า ทุกกฏ.

วิเคราะห์ทุพภาสิต
   [๑๐๔๓] คำใดที่เรากล่าวไว้ว่าทุพภาสิตดังนี้ ท่านจงฟังคำนั้น ดังจะกล่าวต่อไป. บทใดอันภิกษุกล่าวไม่ดีพูดไม่ดีและเศร้าหมอง วิญญูชนทั้งหลายย่อมติเตียนบทใด เพราะเหตุนั้น บทนั้น จึงเรียกว่า ทุพภาสิต.

วิเคราะห์เสขิยะ
   [๑๐๔๔] คำใดที่เรากล่าวไว้ว่าเสขิยะดังนี้ ท่านจงฟังคำนั้น ดังจะกล่าวต่อไป. ข้อนี้เป็นเบื้องต้น เป็นข้อประพฤติ เป็นทางและเป็นข้อระวังคือสำรวม ของพระเสขะผู้ศึกษาอยู่ ผู้ดำเนินไปตามทางตรง สิกขาทั้งหลายเช่นด้วยสิกขานั้นไม่มี เพราะเหตุนั้น สิกขานั้นจึงเรียกว่า เสขิยะ.

อุปมาอาบัติและอนาบัติ
       เรือนคืออาบัติอันภิกษุปิดไว้ย่อมรั่ว เรือนคืออาบัติอันภิกษุเปิดแล้ว
       ย่อมไม่รั่ว เพราะฉะนั้น ภิกษุพึงเปิดเผยอาบัติที่ปิดไว้ เมื่อเป็นอย่างนั้น
       เรือนคืออาบัตินั้น ย่อมไม่รั่ว. ป่าใหญ่เป็นที่พึ่งของหมู่มฤค อากาศ
       เป็นทางไปของหมู่ปักษี ความเสื่อมเป็นคติของธรรมทั้งหลาย นิพพาน
       เป็นภูมิที่ไปของพระอรหันต์.  คาถาสังคณิกะ จบ

หัวข้อประจำเรื่อง
             [๑๐๔๕] สิกขาบทที่ทรงบัญญัติใน ๗ พระนคร ๑ วิบัติ ๔ อย่าง ๑ สิกขาบทของภิกษุและของภิกษุณีทั่วไป ๑ ไม่ทั่วไป ๑ นี้เป็นถ้อยคำที่รวมไว้ด้วยคาถา เพื่ออนุเคราะห์พระศาสนา.  หัวข้อประจำเรื่อง จบ

อธิกรณเภท  ว่าด้วยอธิกรณ์ ๔ อย่างเป็นต้น
   [๑๐๔๖] อธิกรณ์มี ๔ อย่าง คือ วิวาทาธิกรณ์ ๑ อนุวาทาธิกรณ์ ๑ อาปัตตาธิกรณ์ ๑ กิจจาธิกรณ์ ๑ นี้อธิกรณ์ ๔.
       ถามว่าการฟื้นอธิกรณ์ ๔ นี้ มีเท่าไร?
       ตอบว่า การฟื้นอธิกรณ์ ๔ นี้มี ๑๐ คือ ฟื้นวิวาทาธิกรณ์มี ๒ ฟื้นอนุวาทาธิกรณ์มี ๔ ฟื้นอาปัตตาธิกรณ์มี ๓ ฟื้นกิจจาธิกรณ์มี ๑ การฟื้นอธิกรณ์ ๔ นี้ รวมมี ๑๐.
       ถ. เมื่อฟื้นวิวาทาธิกรณ์ ย่อมฟื้นสมถะเท่าไร? เมื่อฟื้นอนุวาทาธิกรณ์ ย่อมฟื้นสมถะเท่าไร? เมื่อฟื้นอาปัตตาธิกรณ์ ย่อมฟื้นสมถะเท่าไร? เมื่อฟื้นกิจจาธิกรณ์ ย่อมฟื้นสมถะเท่าไร?
       ต. เมื่อฟื้นวิวาทาธิกรณ์ ย่อมฟื้นสมถะ ๒ อย่าง เมื่อฟื้นอนุวาทาธิกรณ์ ย่อมฟื้นสมถะ ๔ อย่าง เมื่อฟื้นอาปัตตาธิกรณ์ ย่อมฟื้นสมถะ ๓ อย่าง เมื่อฟื้นกิจจาธิกรณ์ ย่อมฟื้นสมถะอย่างเดียว.

ว่าด้วยฟื้นอธิกรณ์เป็นต้น
       [๑๐๔๗] ถามว่า การฟื้นมีเท่าไร? ด้วยอาการเท่าไร จึงนับว่าฟื้น? บุคคลประกอบด้วยองค์เท่าไร ชื่อว่าฟื้นอธิกรณ์? บุคคลกี่พวก เมื่อฟื้นอธิกรณ์ต้องอาบัติ?
       ตอบว่า การฟื้นมี ๑๒ ด้วยอาการ ๑๐ จึงนับว่าฟื้น บุคคลประกอบด้วยองค์ ๔ ชื่อว่าฟื้นอธิกรณ์ บุคคล ๔ จำพวก เมื่อฟื้นอธิกรณ์ต้องอาบัติ.
       การฟื้น ๑๒ อย่าง เป็นไฉน? คือ ฟื้นกรรมที่ยังไม่ได้ทำ ๑ กรรมที่ทำแล้วไม่ดี ๑ กรรมที่ต้องทำใหม่ ๑ กรรมที่ยังทำไม่เสร็จ ๑ กรรมที่ทำเสร็จแล้วไม่ดี ๑ กรรมที่ต้องทำอีก ๑ กรรมที่ยังไม่ได้วินิจฉัย ๑ กรรมที่วินิจฉัยไม่ถูกต้อง ๑ กรรมที่ต้องวินิจฉัยใหม่ ๑ กรรมที่ยังไม่ ระงับ ๑ กรรมที่ระงับแล้วไม่ดี ๑ กรรมที่ต้องระงับใหม่ ๑ นี้การฟื้น ๑๒ อย่าง.
       ด้วยอาการ ๑๐ อย่าง เป็นไฉน จึงนับว่าฟื้น? คือ ฟื้นอธิกรณ์ซึ่งเกิดในที่นั้น ๑ ฟื้นอธิกรณ์ซึ่งเกิดในที่นั้นแต่ระงับแล้ว ๑ ฟื้นอธิกรณ์ในระหว่างทาง ๑ ฟื้นอธิกรณ์ซึ่งไปแล้วในระหว่างทาง ๑ ฟื้นอธิกรณ์ซึ่งไปแล้วในที่นั้น ๑ ฟื้นอธิกรณ์ซึ่งไปแล้วในที่นั้นแต่ระงับแล้ว ๑ ฟื้นสติวินัย ๑  ฟื้นอมูฬหวินัย ๑ ฟื้นตัสสปาปิยสิกา ๑ ฟื้นติณวัตถารกะ ๑ ด้วยอาการ ๑๐ นี้ จึงนับว่าฟื้น.
       บุคคลประกอบด้วยองค์ ๔ เป็นไฉน? ชื่อว่าฟื้นอธิกรณ์ คือ บุคคลถึงฉันทาคติฟื้นอธิกรณ์ ๑ ถึงโทสาคติฟื้นอธิกรณ์ ๑ ถึงโมหาคติฟื้นอธิกรณ์ ๑  ถึงภยาคติฟื้นอธิกรณ์ ๑  บุคคลประกอบด้วยองค์ ๔  นี้ ชื่อว่าฟื้นอธิกรณ์.
      บุคคล ๔ จำพวกเป็นไฉน เมื่อฟื้นอธิกรณ์ต้องอาบัติ? คือ
 ภิกษุผู้อุปสมบทในวันนั้น ฟื้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ที่ฟื้น,
 ภิกษุอาคันตุกะ ฟื้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ที่ฟื้น.
 ภิกษุผู้ทำ ฟื้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ที่ฟื้น.
 ภิกษุผู้ให้ฉันทะ ฟื้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ที่ฟื้น.
      รวมบุคคล ๔ จำพวกฟื้นอธิกรณ์ต้องอาบัติ.

ว่าด้วยนิทานแห่งอธิกรณ์ ๔ เป็นต้น
   [๑๐๔๘] ถามว่า วิวาทาธิกรณ์ มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน?
   อนุวาทาธิกรณ์  มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน?
   อาปัตตาธิกรณ์  มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน?
   กิจจาธิกรณ์  มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน?
   ตอบว่า วิวาทาธิกรณ์ มีวิวาทเป็นนิทาน มีวิวาทเป็นสมุทัย มีวิวาทเป็นชาติ มีวิวาทเป็นแดนเกิดก่อน มีวิวาทเป็นองค์ มีวิวาทเป็นสมุฏฐาน.
   อนุวาทาธิกรณ์  มีอนุวาทเป็นนิทาน มีอนุวาทเป็นสมุทัย มีอนุวาทเป็นชาติ มีอนุวาทเป็นแดนเกิดก่อน มีอนุวาทเป็นองค์ มีอนุวาทเป็นสมุฏฐาน.
   อาปัตตาธิกรณ์ มีอาบัติเป็นนิทาน  มีอาบัติเป็นสมุทัย มีอาบัติเป็นชาติ มีอาบัติเป็นแดนเกิดก่อน มีอาบัติเป็นองค์ มีอาบัติเป็นสมุฏฐาน.
   กิจจาธิกรณ์ มีกิจเป็นนิทาน มีกิจเป็นสมุทัย มีกิจเป็นชาติ มีกิจเป็นแดนเกิดก่อนมีกิจเป็นองค์ มีกิจเป็นสมุฏฐาน.
   ถ. วิวาทาธิกรณ์ มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน?
   อนุวาทาธิกรณ์  มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน?
   อาปัตตาธิกรณ์ มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน?
   กิจจาธิกรณ์  มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน?
   ต. วิวาทาธิกรณ์ มีเหตุเป็นนิทาน, มีเหตุเป็นสมุทัย, มีเหตุเป็นชาติ, มีเหตุเป็นแดนเกิดก่อน, มีเหตุเป็นองค์, มีเหตุเป็นสมุฏฐาน.
   อนุวาทาธิกรณ์   มีเหตุเป็นนิทาน  มีเหตุเป็นสมุทัย  มีเหตุเป็นชาติ  มีเหตุเป็นแดนเกิดก่อน  มีเหตุเป็นองค์  มีเหตุเป็นสมุฏฐาน.
   อาปัตตาธิกรณ์  มีเหตุเป็นนิทาน  มีเหตุเป็นสมุทัย  มีเหตุเป็นชาติ  มีเหตุเป็นแดนเกิดก่อน  มีเหตุเป็นองค์  มีเหตุเป็นสมุฏฐาน.
   กิจจาธิกรณ์  มีเหตุเป็นนิทาน  มีเหตุเป็นสมุทัย  มีเหตุเป็นชาติ  มีเหตุเป็นแดนเกิดก่อน  มีเหตุเป็นองค์  มีเหตุเป็นสมุฏฐาน.
   ถ. วิวาทาธิกรณ์ มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน?
   อนุวาทาธิกรณ์  มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน?
   อาปัตตาธิกรณ์  มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน?
   กิจจาธิกรณ์  มีอะไรเป็นนิทาน? มีอะไรเป็นสมุทัย? มีอะไรเป็นชาติ? มีอะไรเป็นแดนเกิดก่อน? มีอะไรเป็นองค์? มีอะไรเป็นสมุฏฐาน?
   ต. วิวาทาธิกรณ์ มีปัจจัยเป็นนิทาน มีปัจจัยเป็นสมุทัย มีปัจจัยเป็นชาติ มีปัจจัยเป็นแดนก่อนเกิด มีปัจจัยเป็นองค์ มีปัจจัยเป็นสมุฏฐาน.
   อนุวาทาธิกรณ์   มีปัจจัยเป็นนิทาน มีปัจจัยเป็นสมุทัย มีปัจจัยเป็นชาติ มีปัจจัยเป็นแดนเกิดก่อน มีปัจจัยเป็นองค์ มีปัจจัยเป็นสมุฏฐาน.
   อาปัตตาธิกรณ์  มีปัจจัยเป็นนิทาน มีปัจจัยเป็นสมุทัย มีปัจจัยเป็นชาติ มีปัจจัยเป็นแดนเกิดก่อน มีปัจจัยเป็นองค์ มีปัจจัยเป็นสมุฏฐาน.
   กิจจาธิกรณ์  มีปัจจัยเป็นนิทาน มีปัจจัยเป็นสมุทัย มีปัจจัยเป็นชาติ มีปัจจัยเป็นแดนเกิดก่อน มีปัจจัยเป็นองค์ มีปัจจัยเป็นสมุฏฐาน.

ว่าด้วยมูลอธิกรณ์เป็นต้น
 [๑๐๔๙] ถามว่า อธิกรณ์ ๔ มีมูลเท่าไร? มีสมุฏฐานเท่าไร?
 ตอบว่า  อธิกรณ์ ๔ มีมูล ๓๓ มีสมุฏฐาน ๓๓.
 ถ. อธิกรณ์ ๔ มีมูล ๓๓ เป็นไฉน?
 ต. วิวาทาธิกรณ์ มีมูล ๑๒ อนุวาทาธิกรณ์ มีมูล ๑๔ อาปัตตาธิกรณ์มีมูล ๖ กิจจาธิกรณ์ มีมูล ๑ คือ สงฆ์.
       รวมอธิกรณ์ ๔ มีมูล ๓๓.
 ถ. อธิกรณ์ ๔ มีสมุฏฐาน ๓๓ เป็นไฉน?
 ต. วิวาทาธิกรณ์มีเรื่องทำความแตกกัน ๑๘ เป็นสมุฏฐาน อนุวาทาธิกรณ์มีวิบัติ ๔ เป็นสมุฏฐาน อาปัตตาธิกรณ์มีกองอาบัติ ๗ เป็นสมุฏฐาน กิจจาธิกรณ์มีกรรม ๔ เป็นสมุฏฐาน รวมอธิกรณ์ ๔ มีสมุฏฐาน ๓๓.

ว่าด้วยวิวาทาธิกรณ์เป็นอาบัติหรือมิใช่อาบัติเป็นต้น
[๑๐๕๐] ถามว่า วิวาทาธิกรณ์ เป็นอาบัติ หรือมิใช่อาบัติ?
 ตอบว่า วิวาทาธิกรณ์ มิใช่อาบัติ.
 ถ. ก็เพราะวิวาทาธิกรณ์เป็นปัจจัย ภิกษุต้องอาบัติ หรือ?
 ต. ถูกแล้ว เพราะวิวาทาธิกรณ์เป็นปัจจัย  ภิกษุต้องอาบัติ.
 ถ. เพราะวิวาทาธิกรณ์เป็นปัจจัย ภิกษุต้องอาบัติเท่าไร?
 ต. เพราะวิวาทาธิกรณ์เป็นปัจจัย ภิกษุต้องอาบัติ  ๒ ตัว คือ ด่าอุปสัมบัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ ด่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เพราะวิวาทาธิกรณ์เป็นปัจจัย ภิกษุต้องอาบัติ ๒ ตัวนี้.
 ถ. อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติอะไร บรรดาวิบัติ ๔? เป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔? สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗? เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไรบรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ ระงับด้วยอธิกรณ์เท่าไร ในฐานะเท่าไร? ด้วยสมถะเท่าไร?
 ต. อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๑ บรรดาวิบัติ ๔ คือ อาจารวิบัติ เป็นอาปัตตาธิกรณ์บรรดาอธิกรณ์ ๔ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๒ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ ระงับด้วยอธิกรณ์ ๑ คือ กิจจาธิกรณ์
ระงับใน ๓ ฐานะ คือ ท่ามกลางสงฆ์ ๑ ท่ามกลางคณะ ๑ สำนักบุคคล ๑ ระงับด้วยสมถะ ๓ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.

ว่าด้วยอนุวาทาธิกรณ์เป็นอาบัติหรือมิใช่อาบัติเป็นต้น
[๑๐๕๑] ถามว่า อนุวาทาธิกรณ์ เป็นอาบัติหรือมิใช่อาบัติ?
 ตอบว่า อนุวาทาธิกรณ์ มิใช่อาบัติ.
 ถ. ก็เพราะอนุวาทาธิกรณ์เป็นปัจจัย ภิกษุต้องอาบัติ หรือ?
 ต. ถูกแล้ว เพราะอนุวาทาธิกรณ์เป็นปัจจัย ภิกษุต้องอาบัติ.
 ถ. เพราะอนุวาทาธิกรณ์เป็นปัจจัย ภิกษุต้องอาบัติเท่าไร?
 ต. เพราะอนุวาทาธิกรณ์เป็นปัจจัย ภิกษุต้องอาบัติ ๓ ตัว คือ ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิกอันไม่มีมูล ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ ตามกำจัดด้วยสังฆาทิเสสอันไม่มีมูล ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ ตามกำจัดด้วยอาจารวิบัติไม่มีมูลต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เพราะอนุวาธาธิกรณ์ เป็นปัจจัย ภิกษุต้องอาบัติ ๓ ตัวนี้.
 ถ. อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? จัดเป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔? สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗? เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖? ระงับด้วยอธิกรณ์เท่าไร? ในฐานะเท่าไร? ด้วยสมถะเท่าไร?
 ต. อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ อย่าง บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ. เป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔, สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๓ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ, เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓
บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖, อาบัติหนักระงับด้วยอธิกรณ์ ๑ คือ กิจจาธิกรณ์ ระงับในฐานะ ๑ คือ ท่ามกลางสงฆ์ ระงับด้วยสมถะ ๒ คือ สัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ อาบัติเบาระงับด้วยอธิกรณ์ ๑ คือกิจจาธิกรณ์ ระงับใน ๓ ฐานะ คือ ท่ามกลางสงฆ์ ๑ ท่ามกลางคณะ ๑ สำนักบุคคล ๑ ระงับด้วยสมถะ ๓  คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
ว่าด้วยอาปัตตาธิกรณ์เป็นอาบัติหรือมิใช่อาบัติเป็นต้น
[๑๐๕๒] ถามว่า อาปัตตาธิกรณ์ เป็นอาบัติหรือมิใช่อาบัติ?
 ตอบว่า อาปัตตาธิกรณ์ มิใช่อาบัติ.
 ถ. ก็เพราะอาปัตตาธิกรณ์เป็นปัจจัย ภิกษุต้องอาบัติ หรือ?
 ต. ถูกแล้ว เพราะอาปัตตาธิกรณ์เป็นปัจจัย ภิกษุต้องอาบัติ.
 ถ. เพราะอาปัตตาธิกรณ์เป็นปัจจัย ภิกษุต้องอาบัติเท่าไร?
 ต. เพราะอาปัตตาธิกรณ์เป็นปัจจัย ภิกษุต้องอาบัติ ๔ ตัว คือ ภิกษุณีรู้อยู่ ปกปิดปาราชิกธรรมอันภิกษุณีต้องแล้ว ต้องอาบัติปาราชิก ๑ สงสัยปกปิดไว้ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ภิกษุปกปิดอาบัติสังฆาทิเสส ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ ปกปิดอาจารวิบัติ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เพราะอาปัตตาธิกรณ์เป็นปัจจัย ต้องอาบัติ ๔ ตัวนี้.
ถ. อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? จัดเป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔? สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗? เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไรบรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖? ระงับด้วยอธิกรณ์เท่าไร? ในฐานะเท่าไร? ด้วยสมถะเท่าไร?
 ต. อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ, เป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔, สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๔ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ,
 เกิดด้วยสมุฏฐาน ๑ บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กายวาจา และจิต, อาบัติที่ไม่มีส่วนเหลือ ระงับด้วยอธิกรณ์อะไรไม่ได้ระงับในฐานะอะไรไม่ได้ ระงับด้วยสมถะอะไรไม่ได้, อาบัติเบา ระงับด้วยอธิกรณ์ ๑ คือ กิจจาธิกรณ์, ระงับในฐานะ ๓ คือ ท่ามกลางสงฆ์ ๑ ท่ามกลางคณะ ๑ สำนักบุคคล ๑ ระงับด้วยสมถะ ๓ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
ว่าด้วยกิจจาธิกรณ์เป็นอาบัติหรือมิใช่อาบัติเป็นต้น
      [๑๐๕๓] ถามว่า กิจจาธิกรณ์ เป็นอาบัติหรือมิใช่อาบัติ? ตอบว่า กิจจาธิกรณ์ มิใช่อาบัติ.
 ถ. ก็เพราะกิจจาธิกรณ์เป็นปัจจัย ภิกษุต้องอาบัติ หรือ?
 ต. ถูกแล้ว เพราะกิจจาธิกรณ์เป็นปัจจัย ภิกษุต้องอาบัติ.
 ถ. เพราะกิจจาธิกรณ์เป็นปัจจัย ภิกษุต้องอาบัติเท่าไร?
 ต. เพราะกิจจาธิกรณ์เป็นปัจจัย ภิกษุต้องอาบัติ ๕ ตัว คือ ภิกษุณีที่ประพฤติตามภิกษุผู้ถูกยกวัตร ไม่สละเพราะสวดประกาศครบ ๓ จบ จบญัตติเป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ภิกษุประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ไม่สละเพราะสวดประกาศครบ
๓ จบ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ ภิกษุไม่สละทิฏฐิลามกเพราะสวดประกาศครบ ๓ จบ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ เพราะกิจจาธิกรณ์เป็นปัจจัย ต้องอาบัติ ๕ ตัวนี้.
 ถ. อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? จัดเป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔? สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗? เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไรบรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖? ระงับด้วยอธิกรณ์เท่าไร? ในฐานะเท่าไร? ด้วยสมถะเท่าไร?
 ต. อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๕ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์
 บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๑ บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือเกิดแต่กาย วาจา และจิต อาบัติที่ไม่มีส่วนเหลือ ระงับด้วยอธิกรณ์อะไรไม่ได้ ระงับในฐานะอะไรไม่ได้ ระงับด้วยสมถะอะไรไม่ได้ อาบัติหนัก ระงับด้วยอธิกรณ์ ๑ คือ กิจจาธิกรณ์ ระงับในฐานะ ๑ คือ ท่ามกลางสงฆ์ ระงับด้วยสมถะ
 ๒ คือ สัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ อาบัติเบา ระงับด้วยอธิกรณ์ ๑ คือ กิจจาธิกรณ์ ระงับใน ๓ ฐานะ คือ ท่ามกลางสงฆ์ ๑ ท่ามกลางคณะ ๑ สำนักบุคคล ๑ ระงับด้วยสมถะ ๓ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.

06 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ อรรถกถา ปริวาร คาถาสังคณิกะ ท่านพระอุบาลีเข้าเฝ้าทูลถามปัญหาเป็นต้น [ปฐมคาถาสังคณิกวัณณนา]

               อรรถกถา คาถาสังคณิกะ ท่านพระอุบาลีเข้าเฝ้าทูลถามปัญหาเป็นต้น
ปฐมคาถาสังคณิกวัณณนา
               บาทคาถาว่า เอกํสํ จีวรํ กตฺวา มีความว่า ท่านกระทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง. อธิบายว่า ห่มอุตราสงค์เรียบร้อย. 
               บาทคาถาว่า ปคฺคณฺหิตฺวานอญฺชลึ มีความว่า ยกอัญชลีอันรุ่งเรืองด้วยประชุมแห่งนิ้วทั้ง ๑๐. 
               บาทคาถาว่า อาสึสมานรูโปว ความว่า ดูเหมือนจะมุ่งหวัง. 
               บาทคาถาว่า กิสฺส ตฺวํ อธิมาคโต มีความว่า ท่านปรารถนาประโยชน์อะไร มาในที่นี้ เพราะเหตุไร? 
               ใครกล่าวอย่างนี้? พระสัมมาสัมพุทธเจ้า. ตรัสอย่างนั้นกะใคร? กะท่านพระอุบาลี. ท่านพระอุบาลี เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามคาถานี้ว่า (สิกขาบทที่ทรงบัญญัติ) ในวินัยทั้ง ๒ (ย่อมมาสู่อุทเทสในวันอุโบสถทั้งหลาย สิกขาบทเหล่านั้น มีเท่าไร? ทรงบัญญัติในนครเท่าไร?) ด้วยประการฉะนี้. 
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า ปัญญาของท่านดีเป็นต้น ทรงตอบคำถามนั้นของท่าน. มีนัยเหมือนกันทุกปัญหา. 
               พระอุบาลีเถระทูลถามปัญหาทั้งปวงเหล่านี้ ในพุทธกาล ด้วยประการฉะนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตอบเอง. ส่วนในสังคีติกาล พระมหากัสสปเถระถาม พระอุบาลีเถระตอบ. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บาทคาถาว่า ภทฺทโก เต อุมฺมงฺโค มีความว่า ปัญญาของท่านดี. จริงอยู่ ปัญญาเรียกว่า อุมมังคะ เพราะผุดขึ้นจากมืด คืออวิชชาตั้งอยู่. 
               ศัพท์ว่า ตคฺฆ เป็นนิบาต ใช้ในอรรถคือเหตุ. ความว่า ท่านถามเราเพราะเหตุใด เพราะเหตุนั้น เราจักตอบแก่ท่าน. 
               อีกอย่างหนึ่ง ศัพท์ว่า ตคฺฆ เป็นนิบาต ใช้ในอรรถ คือยอมรับ. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับคำ ด้วยคำว่า เอาเถิด. นี้จึงตรัสว่า เราจักตอบ. 
               เฉพาะ ๓ สิกขาบทนี้ คือ ติดไฟผิง มือเปื้อนอามิส น้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวสุก ทรงบัญญัติในภัคคชนบท. 
               สองบทว่า ยนฺตฺวํ อปุจฺฉิมฺหา มีความว่า ข้าพเจ้าได้ทูลถามปัญหาใดกะพระองค์. 
               บทว่า อกิตฺตยิ คือ พระองค์ได้ตรัสแล้ว. 
               บทว่า โน คือ แก่ข้าพเจ้า. 
               สองบทว่า ตนฺตํ พฺยากตํ มีความว่า คำใดๆ อันข้าพเจ้าได้ทูลถามแล้ว คำนั้นๆ อันพระองค์ได้ทรงแก้แล้ว. 
               บทว่าอนญฺญถา ความว่า มิได้ทรงแก้บ่ายเบี่ยงโดยประการอื่น.
               [วิบัติ ๔]               
               ชื่อว่า สีลวิบัติ ย่อมไม่มีในปัญหาในคำว่า เย ทุฏฺฐุลฺลา สา สีลวิปตฺติ นี้ แม้โดยแท้ ถึงกระนั้น คำว่า เย ทุฏฺฐุลฺลา สา สีลวิปตฺติ นี้ ท่านกล่าวแล้ว ด้วยความเป็นผู้ประสงค์จะแก้ทุฏฐุลลาบัติ. 
               จริงอยู่ ในวิบัติ ๔ ทุฏฐุลลาบัติ สงเคราะห์ด้วยวิบัติ ๑ อทุฏฐุลลาบัติ สงเคราะห์ด้วยวิบัติ ๓. เพราะเหตุนั้น ท่านกล่าวว่า เย ทุฏฺฐุลฺลา สา สีลวิปตฺติ แล้ว จึงกล่าวว่า ปาราชิก สังฆาทิเสส เรียกว่า สีลวิบัติ เพื่อแสดงสีลวิบัตินั้นเอง โดยพิสดาร. 
               บัดนี้ ท่านกล่าวคำว่า ถุลฺลจฺจยํ เป็นอาทิ เพื่อแสดงอทุฏฐุลลาบัติด้วยอำนาจวิบัติ ๓. 
               ในคำเหล่านั้น คำว่า โย จายํ อกฺโกสติ หสฺสาธิปฺปาโย นี้ ท่านกล่าวเพื่อชี้วัตถุแห่งทุพภาสิต. 
               บทว่า อพฺภาจิกฺขติ มีความว่า เมื่อกล่าวว่า ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วอย่างนั้น ชื่อว่ากล่าวตู่. 
               หลายบทว่า อยํ สา อาชีววิปตฺติสมฺมตา มีความว่า ชื่อว่าอาชีววิบัติ ที่ประมวลด้วย ๖ สิกขาบทนี้ สมมติว่าวิบัติที่ ๔ ฉะนี้แล. 
               คำถามว่า อทุฏฺฐุลฺลํ นี้ เป็นอันเฉลยแล้ว ด้วยคำมีประมาณเท่านี้.
               [ประมวลสิกขาบท]               
               บัดนี้ ท่านกล่าวคำว่า เอกาทส เป็นอาทิ เพื่อเฉลยปัญหาที่ว่า เย จ ยาวตติยกา. ก็เพราะปัญหาที่ว่า เย จ ยาวตติยกา นี้ ท่านเฉลยแล้วด้วยอำนาจจำนวน อย่างนี้ว่า ยาวตติยกสิกขาบท ๑๑, เพราะฉะนั้น ท่านจึงถามอันตราปัญหาเหล่าอื่น มีคำว่า เฉทนกสิกขาบทมีเท่าใด? เป็นอาทิ ด้วยอำนาจสืบต่อแห่งจำนวนนั่นเอง. 
               ท่านกล่าวว่า ฉ เฉทนกานิ เป็นอาทิ ก็เพื่อเฉลยอันตราปัญหาเหล่านั้น. ในคำเฉลยนั้น คำว่า เภทนกสิกขาบท ๑ อุททาลนกสิกขาบท ๑ สิกขาบท ๑๖ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติว่า รู้อยู่ นี้แล ตรัสภายหลัง. 
               บทที่เหลือ ได้จำแนกไว้ในมหาวัคค์หมดแล้ว. 
               ก็ในคำที่ตรัสภายหลังนั้น สองบทว่า เอกํ เภทนกํ ได้แก่ สูจิฆรสิกขาบท. 
               สองบทว่า เอกํ อุทฺทาลนกํ ได้แก่ ตูโลนัทธมัญจปิฐสิกขาบท.
               บทว่า โสรส ได้แก่ โสฬส (คือ ๑๖). 
               สองบทว่า ชานนฺติปญฺญตฺตา ได้แก่ สิกขาบทที่ตรัสอย่างนี้ว่า รู้อยู่ ทรงบัญญัติแล้ว. 
               สิกขาบทเหล่านั้น พึงทราบอย่างนี้ คือ :- 
               ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมไปจะถวายสงฆ์มาเพื่อตน รู้อยู่สำเร็จการนอนเบียดภิกษุผู้เข้าไปก่อน รู้อยู่ว่า น้ำมีตัวสัตว์ รดเองก็ตาม ใช้ให้รดก็ตาม ซึ่งหญ้าหรือดิน รู้อยู่ ฉันบิณฑบาต อันภิกษุณีแนะนำให้ถวาย รู้อยู่ มุ่งหมายจะยกโทษ พอเธอฉันแล้วเป็นปาจิตตีย์ รู้อยู่ บริโภคน้ำมีตัวสัตว์ รู้อยู่ ฟื้นอธิกรณ์ที่ตัดสินเสร็จแล้วโดยธรรม รู้อยู่ ปิดอาบัติชั่วหยาบ รู้อยู่ ยังบุคคลมีปีหย่อน ๒๐ ให้อุปสมบท รู้อยู่ ชักชวนแล้ว เดินทางสายเดียวกันกับพวกเกวียนพวกต่างที่เป็นโจร รู้อยู่ กินร่วมก็ดี ... กับภิกษุผู้กล่าวอย่างนั้น ยังไม่ได้ทำธรรมอันสมควร รู้อยู่ เกลี้ยกล่อมสมณุทเทสผู้ถูกให้นาสนะแล้ว อย่างนั้น รู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมไปจะถวายสงฆ์มาเพื่อบุคคล ภิกษุณี รู้อยู่ ไม่โจทด้วยตนเอง ซึ่งภิกษุณีผู้ล่วงธรรมถึงปาราชิก รู้อยู่ ว่าสตรีเป็นนางโจร อันชนทั้งหลายรู้ว่าต้องโทษประหาร ไม่บอก รู้อยู่ ไม่บอกก่อน เข้าไปสู่อารามที่มีภิกษุ.
               [จำแนกสิกขาบท]               
               บัดนี้ ท่านจะเฉลยปัญหาแรกนี้ว่า สาธารณํ อสาธารณํ จึงกล่าวคำว่า วีสํ เทฺว สตานิ เป็นอาทิ. 
               บรรดาสิกขาบทที่ทั่วไปและไม่ทั่วไปเหล่านั้น วินิจฉัยในสิกขาบททั้งหลายที่ไม่ทั่วไปด้วยเหล่าภิกษุณี พึงทราบดังนี้ :- 
               สองบทว่า ฉ สงฺฆาทิเสสา ได้แก่ สุกกวิสัฏฐิสิกขาบท ๑ กายสังสัคคสิกขาบท ๑ ทุฏฐุลลวาจสิกขาบท ๑ อัตตกามปาริจริยสิกขาบท ๑ กุฏิการสิกขาบท ๑ วิหารสิกขาบท ๑. 
               สองบทว่า เทฺวอนิยเตหิอฏฺฐิเม ได้แก่ สิกขาบทเหล่านี้รวมเป็น ๘ กับอนิยต ๒ สิกขาบท. 
               สองบทว่า นิสฺสคฺคิยา ทฺวาทส ได้แก่ สิกขาบท ๑๒ เหล่านี้ คือ จีวรโธวนะ ๑ จีวรปฏิคคหะ ๑ โกเสยยะ ๑ สุทธกาฬกะ ๑ เทวภาคะ ๑ ฉัพพัสสะ ๑ นิสีทนสันถัต ๑ โลมสิกขาบท ๒ ปฐมปัตตะ ๑ วัสสิกสาฏิกะ ๑ อารัญญกะ คือ สาสังกะ ๑. 
               สองบทว่า ทฺวาวีสติ ขุทฺทกา ได้แก่ สิกขา ๒๒ ที่ประกาศแล้วในขุททกกัณฑ์ เหล่านี้ คือ ภิกขุนีวัคค์ทั้งสิ้น ปรัมปรโภชนสิกขาบท อนติริตตสิกขาบท อภิหัฏฐุปวารณาสิกขาบท ปณีตโภชนสิกขาบท อเจลกสิกขาบท โอนวีสติวัสสสิกขาบท ทุฏฐุลลัจฉาทนสิกขาบท มาตุคามสังวิธานสิกขาบท อนิกขันตราชกสิกขาบท ไม่บอกลาภิกษุที่มีอยู่ เข้าบ้านในวิกาล นิสีทนสิกขาบท วัสสิกสาฏิกสิกขาบท. 
               วินิจฉัยแม้ในสิกขาบทที่ไม่ทั่วไป ด้วยภิกษุทั้งหลาย พึงทราบดังนี้ :- 
               หลายบทว่า สงฺฆมฺหา ทส นิสฺสเร ได้แก่ สิกขาบทที่ตรัสไว้ในวิภังค์อย่างนี้ว่า ๑๐ สิกขาบท อันสงฆ์พึงขับออกจากหมู่. แต่ ๑๐ สิกขาบทมาในมาติกาอย่างนี้ว่า สังฆาทิเสสที่ต้องเสีย. 
               สองบทว่า นิสฺสคฺคิยานิ ทฺวาทส ได้แก่ นิสสัคคีย์ที่ทรงจำแนกไว้ในภิกขุนีวิภังค์เท่านั้น. 
               แม้ขุททกสิกขาบท ก็ได้แก่ ขุททกสิกขาบทที่ทรงจำแนกในภิกขุนีวิภังค์นั้นเอง. 
               ปาฏิเทสนียะ ๘ ก็เหมือนกัน. สิกขา ๑๓๐ ของพวกภิกษุณี ไม่ทั่วไปด้วยภิกษุทั้งหลายอย่างนี้. 
               ในตอนที่แก้สิกขาบทที่ทั่วไปนี้ คำที่เหลือ ตื้นทั้งนั้น.
               [กองอาบัติที่ระงับไม่ได้]               
               บัดนี้ พระอุบาลีเถระ เมื่อจะแก้ปัญหานี้ว่า ก็กองอาบัติเป็นต้น อันท่านจำแนก ย่อมระงับด้วยสมถะเหล่าใด? ดังนี้ จึงกล่าวว่า บุคคลผู้พ่ายแพ้ ๘ พวกแล เป็นอาทิ. 
               บรรดาบทเหล่านั้น ท่านแสดงข้อที่บุคคลผู้พ่าย ๘ พวกนั้นเป็นผู้มีภัยเฉพาะหน้า ด้วยบทว่า ทุราสทา นี้. 
               จริงอยู่ ผู้พ่ายเหล่านั้น เป็นราวกะงูเห่าเป็นต้น ยากที่จะเข้าใกล้ คือยากที่จะเข้าเคียง ยากที่จะเข้าหา อันบุคคลเกี่ยวข้องอยู่ ย่อมเป็นไปเพื่อตัดรากเหง้า. 
               บทว่า ตาลวตฺถุสมูปมา มีความว่า เปรียบสมด้วยการถอนต้นตาลหมดทั้งต้น กระทำให้เป็นสักว่าวัตถุแห่งตาล. ต้นตาลที่บุคคลกระทำให้เป็นสักว่าวัตถุ เป็นต้นไม้ที่กลับคืนเป็นปกติอีกไม่ได้ฉันใด บุคคลผู้พ่าย ๘ พวกนั้น ย่อมเป็นผู้กลับคืนอย่างเดิมอีกไม่ได้ฉันนั้น. 
               พระอุบาลีเถระ ครั้นแสดงอุปมาที่ทั่วไปอย่างนี้แล้ว จะแสดงอุปมาซึ่งกล่าวเฉพาะสำหรับผู้หนึ่งๆ อีก จึงกล่าวว่า เปรียบเหมือนใบไม้เหลือง เป็นอาทิ. 
               บาทคาถาว่า อวิรูฬฺหิ ภวนฺติ เต มีความว่า ใบไม้เหลืองเป็นอาทิเหล่านั่น เป็นของมีอันไม่งอกงาม โดยความเป็นของเขียวสดอีกเป็นต้น เป็นธรรมดาฉันใด, แม้บุคคลผู้พ่ายทั้งหลายก็ฉันนั้น ย่อมเป็นผู้ไม่งอกงามโดยความเป็นผู้มีศีลตามปกติอีกเป็นธรรมดา. 
               ในคำว่า ก็กองอาบัติเป็นต้น อันท่านจำแนก ย่อมระงับด้วยสมถะเหล่าใดนี้ คำอย่างนี้ว่า กองอาบัติเป็นต้น อันท่านจำแนก คือปาราชิก ๘ เหล่านี้ก่อน ย่อมไม่ระงับด้วยสมถะเหล่าใดๆ เป็นอันแสดงแล้ว ด้วยคำมีประมาณเท่านี้.
               [กองอาบัติที่ระงับได้]               
               ส่วนคำว่า เตวีสํ สงฺฆาทิเสสา เป็นอาทิ ท่านกล่าวแล้ว เพื่อแสดงอาบัติเครื่องจำแนกเป็นต้นที่ระงับได้. 
               บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า ตีหิ สมเถหิ นี้ เป็นคำกล่าวครอบสมถะทั้งหมด. 
               จริงอยู่ สังฆาทิเสส ย่อมระงับด้วยสมถะ ๒ เท่านั้น, หาระงับด้วยติณวัตถารกสมถะไม่, ที่เหลือย่อมระงับด้วยสมถะทั้ง ๓. 
               คำว่า เทฺว อุโปสถา เทฺว ปวารณา นี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจภิกษุและภิกษุณี. จริงอยู่ คำนั่นท่านกล่าวแล้วด้วยอำนาจแสดงสักว่าส่วนอันท่านจำแนกเท่านั้น หาได้กล่าวด้วยอำนาจการระงับด้วยสมถะทั้งหลายไม่. 
               จริงอยู่ ส่วนอันท่านจำแนก อธิบายว่า ส่วนที่ควรแจกออก ๔ แม้เหล่านี้ คือ ภิกขุอุโบสถ ภิกขุณีอุโบสถ ภิกขุปวารณา ภิกขุณีปวารณา. 
               สองบทว่า จตฺตาริ กมฺมานิ ได้แก่ อุโบสถกรรม มีที่เป็นวรรคโดยอธรรมเป็นอาทิ. 
               หลายบทว่า ปญฺเจว อุทฺเทสา จตุโร ภวนฺติอนญฺญถา มีความว่า อุทเทสของภิกษุมี ๕ ของภิกษุณีมี ๔ โดยประการอื่น ไม่มี. 
               พึงทราบส่วนจำแนกแม้อื่นอีกเหล่านี้ คือ กองอาบัติมี ๗ อธิกรณ์ มี ๔, ก็ส่วนจำแนกเหล่านี้ ย่อมระงับด้วยสมถะทั้งหลาย, เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำว่า สตฺตหิ สมเถหิ เป็นอาทิ. 
               อีกประการหนึ่ง อาบัติเหล่าใด อาศัยส่วนจำแนกแม้เหล่านี้แล คืออุโบสถ ๒ ปวารณา ๒ กรรม ๔ อุทเทส ๕ อุทเทส ๔ มี, อุทเทสโดยประการอื่น ไม่มี, เกิดขี้นโดยนัยเป็นต้นว่า นสฺสนฺเต เต วินสฺสนฺเต เต, อาบัติเหล่านั้น ย่อมระงับด้วยสมถะทั้งหลาย มีประการดังกล่าวแล้วนั่นแล, เพราะเหตุนั้น ส่วนจำแนกเหล่านั้น อันบัณฑิตพึงทราบว่า ท่านกล่าวแล้ว เพื่อแสดงความระงับอาบัติทั้งหลายที่มีส่วนจำแนกนั้นเป็นมูลบ้าง. 
               สองบทว่า กิจฺจํ เอเกน มีความว่า กิจจาธิกรณ์ ย่อมระงับด้วยสมถะเดียว.
               [วิเคราะห์ปาราชิก]               
               พระอุบาลี ครั้นแก้ปัญหาทั้งปวงตามลำดับแห่งคำถามอย่างนี้แล้ว บัดนี้ จะแสดงเพียงคำอธิบายเฉพาะอย่าง แห่งกองอาบัติที่ประมวลไว้ในคำว่า อาปตฺติกฺขนฺธา จ ภวนฺติ สตฺต จึงกล่าวคำว่า ปาราชิกํ เป็นอาทิ. 
               บรรดาคาถาเหล่านั้น คาถาที่ ๑ ว่า ปาราชิกํ เป็นต้น มีเนื้อความดังต่อไปนี้ :- 
               บรรดาบุคคลปาราชิก อาบัติปาราชิก และสิกขาบทปาราชิก ชื่ออาบัติปาราชิกนี้ใด อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว, บุคคลผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นย่อมเป็นผู้พ่าย คือ ถึงความแพ้ เป็นผู้เคลื่อน ผิด ตก อันความละเมิดทำให้ห่างจากสัทธรรม. เมื่อบุคคลนั้นไม่ถูกขับออก (จากหมู่) ก็ไม่มีสังวาส ต่างโดยอุโบสถและปวารณาเป็นต้นอีก. ด้วยเหตุนั้น ปาราชิกนั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนั้น คือ เพราะเหตุนั้น อาบัติปาราชิกนั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ปาราชิก. 
               ก็ในบทว่า ปาราชิกํ นี้ มีความสังเขปดังนี้ :- 
               บุคคลย่อมเป็นผู้พ่ายด้วยอาบัติปาราชิกนั้น เพราะเหตุนั้น อาบัติปาราชิกนั่น ท่านจึงกล่าวว่า ปาราชิก.
               [วิเคราะห์สังฆาทิเสส]               
               คำว่า สงฺโฆว เทติ ปริวาสํ เป็นอาทิ ท่านกล่าวแล้ว เพื่อแสดงแต่เนื้อความเท่านั้น ไม่เอื้อเฟื้อพยัญชนะ แม้ในคาถาที่ ๒. 
               ก็ในบทว่า สงฺฆาทิเสโส เป็นอาทินี้ มีเนื้อความดังต่อไปนี้ :- 
               การออกจากอาบัตินั้นใด ของภิกษุผู้ต้องอาบัตินี้แล้วใคร่จะออก สงฆ์อันภิกษุนั้นพึงปรารถนา ในกรรมเบื้องต้นแห่งการออกจากอาบัตินั้น เพื่อประโยชน์แก่การให้ปริวาส และในกรรมที่เหลือจากกรรมเบื้องต้น คือในท่ามกลาง เพื่อประโยชน์แก่การให้มานัตต์ หรือเพื่อประโยชน์แก่การให้มานัตต์กับมูลายปฏิกัสสนะ และในที่สุดเพื่อประโยชน์แก่อัพภาน. ก็ในกรรมทั้งหลายมีปริวาสกรรมเป็นต้นนี้ กรรมแม้อย่างหนึ่ง เว้นสงฆ์เสีย อันใครๆ ไม่อาจทำได้ ฉะนี้แล. 
               สงฆ์อันภิกษุพึงปรารถนาในกรรมเบื้องต้น และในกรรมที่เหลือแห่งกองอาบัตินั้น เหตุนั้น กองอาบัตินั้น ชื่อว่าสังฆาทิเสส.
               [วิเคราะห์อนิยต]               
               เนื้อความแห่งคาถาที่ ๓ พึงทราบดังนี้ :- 
               สองบทว่า อนิยโต น นิยโต มีความว่า เพราะไม่แน่ กองอาบัตินี้ จึงได้ชื่อว่าอนิยต. 
               คำที่ว่า ไม่แน่ นี้มีอะไรเป็นเหตุ? เพราะสิกขาบทนี้ ปรับอาบัติไม่จำกัดส่วนอันเดียว. อธิบายว่า สิกขาบทนี้ ปรับอาบัติโดยส่วนอันเดียวไม่ได้. 
               สิกขาบทนี้ ปรับอาบัติโดยส่วนเดียวไม่ได้อย่างไร? อย่างนี้ 
               บรรดาฐานะ ๓ ฐานะอันใดอันหนึ่ง อันพระวินัยธรพึงปรับ. 
               จริงอยู่ ท่านกล่าวไว้ในอนิยตสิกขาบทนั้นว่า ภิกษุนั้น อันพระวินัยธรพึงปรับด้วยธรรม ๓ อย่างใดอย่างหนึ่ง. เพราะเหตุนั้น กองอาบัตินั้น ท่านจึงกล่าวว่า อนิยต คือ กล่าวว่า ไม่แน่. 
               เหมือนอย่างว่า บรรดาฐานะ ๓ ฐานะอันใดอันหนึ่ง ท่านกล่าวในกองอาบัตินั้น กองอาบัติ ชื่อว่าอนิยต ฉันใด. บรรดาฐาน ๒ ฐานะอันใดอันหนึ่ง ท่านกล่าวในกองอาบัติใด กองอาบัติแม้นั้น ก็ชื่อว่าอนิยตเหมือนกันฉันนั้น.
               [วิเคราะห์ถุลลัจจัย]               
               เนื้อความแห่งคาถาที่ ๔ พึงทราบดังนี้ :- 
               บาทคาถาว่า อจฺจโย เตน สโม นตฺถิ มีความว่า บรรดาโทษที่เป็นเทสนาคามี โทษที่ล่ำ เสมอด้วยถุลลัจจัยนั้นไม่มี ด้วยเหตุนั้น ความละเมิดนั้น ท่านจึงเรียกอย่างนั้น. อธิบายว่า ความละเมิดนั้น ท่านเรียกว่าถุลลัจจัยเพราะเป็นโทษล่ำ.
               [วิเคราะห์นิสสัคคีย์]               
               เนื้อความแห่งคาถาที่ ๕ พึงทราบดังนี้ :- 
               หลายบทว่า นิสฺสชฺชิตฺวา ยํ เทเสติ เตเนตํ มีความว่า ความละเมิดนั้น ท่านเรียกนิสสัคคิยะ เพราะต้องสละแล้วจึงแสดง.
               [วิเคราะห์ปาจิตตีย์]               
               เนื้อความคาถาที่ ๖ พึงทราบดังนี้ :- 
               บาทคาถาว่า ปาเตติ กุสลํ ธมฺมํ มีความว่า ความละเมิดนั้นยังกุศลจิตกล่าวคือกุศลธรรม ของบุคคลผู้แกล้งต้องให้ตกไป เพราะเหตุนั้น ความละเมิดนั้น ชื่อว่ายังจิตให้ตกไป เพราะฉะนั้น ความละเมิดนั้น ชื่อว่าปาจิตติยะ. 
               ก็ปาจิตติยะใด ย่อมยังจิตให้ตกไป, ปาจิตติยะนั้น ย่อมผิดต่ออริยมรรค และย่อมเป็นเหตุแห่งความลุ่มหลงแห่งจิต. เพราะเหตุนั้น คำว่า ผิดต่ออริยมรรค และคำว่า เป็นเหตุแห่งความลุ่มหลงแห่งจิต ท่านจึงกล่าวแล้ว.
               [วิเคราะห์ปาฏิเทสนียะ]               
               ในปาฏิเทสนียคาถาทั้งหลาย คำว่า ภิกษุเป็นผู้ไม่มีญาติ เป็นอาทิ ท่านกล่าวแล้ว เพื่อแสดงความกระทำความเป็นธรรมที่น่าติ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า แน่ะเธอ ฉันต้องธรรมที่น่าติ. ก็อาบัตินั้น ท่านเรียกว่าปาฏิเทสนียะ เพราะจะต้องแสดงคืน.
               [วิเคราะห์ทุกกฏ]               
               เนื้อความแห่งทุกกฏคาถา พึงทราบดังนี้ :- 
               คำว่า ผิด แย้ง พลาด นี้ทั้งหมด เป็นคำยักเรียก ทุกกฏที่กล่าวไว้ในคำนี้ว่า ยญฺจ ทุกฺกฏํ.                จริงอยู่ กรรมใด อันบุคคลทำไม่ดี หรือทำผิดรูป กรรมนั้น ชื่อว่าทุกกฏ. ก็ทุกกฏนั้นแล ชื่อว่าผิด เพราะเหตุที่ไม่ทำตามประการที่พระศาสดาตรัส ชื่อว่าแย้ง เพราะเป็นไปแย้งกุศล ชื่อว่าพลาด เพราะไม่ย่างขึ้นสู่ข้อปฏิบัติในอริยมรรค.                ส่วนคำว่า ยํ มนุสฺโส กเร นี้ แสดงข้อควรเปรียบในทุกกฏนี้. 
               เนื้อความแห่งคำนั้นว่า มนุษย์ในโลก ทำบาปใด ในที่แจ้งหรือในที่ลับ, บัณฑิตทั้งหลายประกาศบาปนั้นว่า ทุกกฏ ฉันใด, ทุกกฏแม้นี้ ก็ฉันนั้น ชื่อว่าบาป เพราะเป็นกรรมลามก อันพระพุทธเจ้าทรงเกลียด เพราะเหตุนั้น พึงทราบว่า ทุกกฏ.
               [วิเคราะห์ทุพภาสิต]               
               เนื้อความแห่งทุพภาสิตคาถา พึงทราบดังนี้ :- 
               บาทคาถาว่า ทุพฺภาสิตํทุราภฏฺฐํ มีความว่า บทใดอันภิกษุกล่าว คือพูด เจรจาชั่ว เหตุนั้น บทนั้น ชื่อว่าอันภิกษุกล่าวชั่ว. อธิบายว่า บทใดอันภิกษุกล่าวชั่ว บทนั้น เป็นทุพภาสิต. 
               มีคำที่จะพึงกล่าวให้ยิ่งน้อยหนึ่ง ; ความว่า อนึ่ง บทใด เศร้าหมอง บทนั้น เป็นบทเศร้าหมอง เพราะเหตุใด ; อนึ่ง วิญญูชนทั้งหลาย ย่อมติ เพราะเหตุใด ; อธิบายว่า ท่านผู้รู้แจ้งทั้งหลาย ติบทนั้น เพราะเหตุใด. 
               บาทคาถาว่า เตเนตํ อิติ วุจฺจติ มีความว่า เพราะความเป็นบทเศร้าหมอง และแม้เพราะความติแห่งวิญญูชนนั้น บทนั้น ท่านย่อมกล่าวอย่างนั้น คือ บทนั้น ท่านกล่าวว่า ทุพฺภาสิตํ.
               [วิเคราะห์เสขิยะ]               
               เนื้อความแห่งเสขิยคาถา พึงทราบดังนี้ :- 
               พระอุบาลีเถระแสดงความที่พระเสขะมี โดยนัยมีคำว่า อาทิ เจตํ จรณญฺจ เป็นต้น เพราะเหตุนั้น ในบทว่า เสขิยํ นี้ จึงมีเนื้อความสังเขปดังนี้ว่า นี้เป็นข้อควรศึกษาของพระเสขะ. 
               คำว่า ปาราชิกนฺติ ยํ วุตฺตํ เป็นอาทินี้ พึงทราบว่า ท่านกล่าวเพื่อแสดงเนื้อความ ที่มิได้สงเคราะห์ด้วยปัญหาที่ว่า ครุกลหุกญฺจาปิ เป็นต้น แต่สงเคราะห์ด้วยคำอ้อนวอนนี้ว่า หนฺท วากฺยํ สุโณม เต (เอาเถิด เราจะฟังคำของท่าน).
               [อุปมาแห่งอาบัติอนาบัติ]               
               แม้ในบทว่า ฉนฺนมติวสฺสติ เป็นต้น ก็นัยนี้แล. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉนฺนมติวสฺสติ มีความว่า เรือนที่มิได้มุงด้วยเครื่องมุงมีหญ้าเป็นต้น ย่อมเปียกก่อน. แต่เรือนกล่าวคืออาบัตินี้ อันภิกษุปิดไว้แล้ว ย่อมเปียก. 
             จริงอยู่ ภิกษุเมื่อปิดอาบัติแรกไว้ ย่อมต้องอาบัติอื่นใหม่. 
                 สองบทว่า วิวฏํ นาติวสฺสติ มีความว่า เรือนที่ไม่เปิด คือมุงดีแล้ว ย่อมไม่เปียกฝนก่อน. แต่เรือนกล่าวคืออนาบัตินี้ อันภิกษุเปิดแล้ว ย่อมไม่เปียก.
 จริงอยู่ ภิกษุเมื่อเปิดเผยอาบัติแรก แสดงอาบัติที่เป็นเทสนาคามินีเสีย ออกจากอาบัติที่เป็นวุฏฐานคามินีเสีย ย่อมประดิษฐานในส่วนหมดจด. เมื่อสำรวมต่อไป ย่อมไม่ต้องอาบัติอื่น.
 บาทคาถาว่า ตสฺมา ฉนฺนํ วิวเรถ มีความว่า เพราะเหตุนั้น เมื่อแสดงอาบัติที่เป็นเทสนาคามินี และออกจากอาบัติที่เป็นวุฏฐานคามินี ชื่อว่าเปิดเผยอาบัติที่ปิดไว้.
 บาทคาถาว่า เอวนฺตํ นาติวสฺสติ มีความว่า ก็เรือนกล่าวคืออาบัตินั่น อันภิกษุเปิดเผยแล้วอย่างนั้น ย่อมไม่เปียก.
 บาทคาถาว่า คติ มิคานํ ปวนํ มีความว่า ป่าใหญ่ คือป่าที่หนาแน่นด้วยต้นไม้เป็นต้น เป็นคติ คือเป็นที่พึ่งของมฤคทั้งหลายผู้อันพาล มฤคมีเสือโคร่งเป็นอาทิให้ล้มในกลางแจ้ง. มฤคเหล่านั้น ถึงป่านั้นแล้ว ย่อมโล่งใจ. โดยนัยนี้แล อากาศเป็นทางไปของเหล่าปักษี, ความเสื่อมเป็นคติของธรรมทั้งหลาย คือว่า ความพินาศเป็นทางของสังขตธรรม แม้ทั้งปวง เพราะอรรถว่าต้องถึงเข้าเป็นแน่.
 จริงอยู่ สังขตธรรมเหล่านั้น จะไม่ถึงความพินาศ สามารถทนอยู่หามิได้. ส่วนนิพพานดำรงอยู่แม้นาน เป็นคติของพระอรหันต์. อธิบายว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เป็นทางไปด้านเดียวของ พระอรหันตขีณาสพ. 
ปฐมคาถาสังคณิกวัณณนา จบ.