Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อุ.ปัชฌายวัตรภานวาร แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อุ.ปัชฌายวัตรภานวาร แสดงบทความทั้งหมด

26 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ มูลเหตุอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรม เรื่องพราหมณ์คนหนึ่ง

     [๘๕] ก็โดยสมัยนั้นแล พราหมณ์คนหนึ่งเข้าไปหาภิกษุทั้งหลาย แล้วขอบรรพชา.   ภิกษุทั้งหลายไม่ปรารถนาจะให้เธอบรรพชา. 
   เมื่อเธอไม่ได้บรรพชาในสำนักภิกษุ จึงได้ซูบผอมเศร้าหมอง มีผิวพรรณคล้ำ มีผิวเหลืองๆ ขึ้น มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น. 
   พระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์นั้นซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณคล้ำ มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น ครั้นแล้วรับสั่งถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุไฉนพราหมณ์นั้นจึงได้ซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณคล้ำ มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็นเล่า?
   ภิกษุทั้งหลายทูลว่า เพราะพราหมณ์นั่นเข้าไปหาภิกษุทั้งหลาย แล้วขอบรรพชา ภิกษุทั้งหลายไม่ปรารถนาจะให้เธอบรรพชา เมื่อเธอไม่ได้บรรพชาในสำนักภิกษุ จึงได้ซูบผอมเศร้าหมอง มีผิวพรรณคล้ำ มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น พระพุทธเจ้าข้า.
   ทีนั้น  พระผู้มีพระภาครับสั่งถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ใครระลึกถึงบุญคุณของพราหมณ์นั้นได้บ้าง?
   เมื่อตรัสถามอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ข้าพระพุทธเจ้าระลึกถึงบุญคุณของพราหมณ์นั้นได้อยู่ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูกรสารีบุตร ก็เธอระลึกถึงบุญคุณของพราหมณ์นั้นได้อย่างไรบ้าง?
สา. พระพุทธเจ้าข้า เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเที่ยวบิณฑบาตอยู่ ณ พระนครราชคฤห์นี้ พราหมณ์ผู้นั้นได้สั่งให้ถวายภิกษา ๑ ทัพพี ข้าพระพุทธเจ้าระลึกถึงบุญคุณของพราหมณ์นั้นได้เท่านี้แล พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดีละๆ สารีบุตร ความจริงสัตบุรุษทั้งหลาย เป็นผู้กตัญญูกตเวที สารีบุตรถ้าเช่นนั้น เธอจงให้พราหมณ์นั้นบรรพชาอุปสมบทเถิด.
สา. ข้าพระพุทธเจ้าจะให้พราหมณ์นั้นบรรพชาอุปสมบทอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า?

อุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรม

   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า 
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราห้ามการอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์ ซึ่งเราได้อนุญาตไว้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตการอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรม

วิธีให้อุปสมบท

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พวกเธอพึงให้อุปสมบทอย่างนี้ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบ ด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-

กรรมวาจาให้อุปสมบท

              ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้ ผู้นี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านผู้มีชื่อนี้ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงอุปสมบทผู้มีชื่อนี้ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ นี่เป็นญัตติ.
              ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้ ผู้นี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านผู้มีชื่อนี้ สงฆ์อุปสมบทผู้มีชื่อนี้ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ การอุปสมบทผู้มีชื่อนี้ 
              มีท่านผู้ มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
              ข้าพเจ้ากล่าวความนี้เป็นครั้งที่สอง ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อผู้นี้เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านผู้มีชื่อนี้ สงฆ์อุปสมบทผู้มีชื่อนี้
              มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ.
              การอุปสมบทผู้มีชื่อนี้ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
               ข้าพเจ้ากล่าวความนี้เป็นครั้งที่สาม ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้ ผู้นี้เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านผู้มีชื่อนี้ สงฆ์อุปสมบทผู้มีชื่อนี้
               มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะการอุปสมบทผู้มีชื่อนี้
               มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
              ผู้มีชื่อนี้ สงฆ์อุปสมบทแล้ว มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.

ภิกษุประพฤติอนาจาร

               [๘๖] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งพออุปสมบทแล้ว ได้ประพฤติอนาจาร. 
               ภิกษุทั้งหลายพากันกล่าวห้ามอย่างนี้ว่า อาวุโส คุณอย่าได้ทำอย่างนั้น เพราะนั่นไม่ควร. 
               เธอกล่าวอย่างนี้ว่า กระผมมิได้ขอร้องท่านทั้งหลายว่า ขอจงให้กระผมอุปสมบท ท่านทั้งหลายมิได้ถูกขอร้องแล้ว ให้กระผมอุปสมบทเพื่ออะไร. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคพระผู้มีพระภาคตรัสว่า 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
               ภิกษุผู้มิได้รับการขอร้อง ไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ถูกขอร้องอุปสมบทให้.

วิธีขออุปสมบท

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลอุปสัมปทาเปกขะพึงขออย่างนี้
   อุปสัมปทาเปกขะนั้น พึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าเฉวียงบ่า ไหว้เท้าภิกษุทั้งหลาย นั่งกระหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำขออุปสมบทอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าขออุปสมบทต่อสงฆ์ เจ้าข้า ขอสงฆ์โปรดเอ็นดูยกข้าพเจ้าขึ้นเถิด เจ้าข้า. 
พึง ขอแม้ครั้งที่สอง ...
พึง ขอแม้ครั้งที่สาม ...
   ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-&@   กรรมวาจาให้อุปสมบท
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้ ผู้นี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านผู้มีชื่อนี้. 
   ผู้มีชื่อนี้ขออุปสมบทต่อสงฆ์ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงอุปสมบทผู้มีชื่อนี้ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ. นี่เป็นญัตติ.
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้ ผู้นี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านผู้มีชื่อนี้ ผู้มีชื่อนี้ขออุปสมบทต่อสงฆ์ 
   มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ สงฆ์อุปสมบทผู้มีชื่อนี้
   มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ.
   การอุปสมบทผู้มีชื่อนี้ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
ข้าพเจ้ากล่าวความนี้เป็นครั้งที่สอง...
ข้าพเจ้ากล่าวความนี้เป็นครั้งที่สาม...
   ผู้มีชื่อนี้ สงฆ์อุปสมบทแล้ว มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ. ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.

พราหมณ์ขออุปสมบท

   [๘๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ประชาชนทั้งหลายได้จัดตั้งลำดับภัตตาหารอันประณีตไว้ที่ในพระนครราชคฤห์. 
   ครั้งนั้น พราหมณ์คนหนึ่งได้มีความดำริว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ มีปกติเป็นสุข มีความประพฤติสบาย ฉันโภชนะที่ดี นอนบนที่นอนที่เงียบสงัด ถ้ากระไร เราพึงบวชในพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเถิด ดังนี้ แล้วได้เข้าไปหาภิกษุทั้งหลายแล้วขอบรรพชา. 
   ภิกษุทั้งหลายให้เขาบรรพชาอุปสมบทแล้ว. ครั้นเขาบวชแล้ว ประชาชนให้เลิกลำดับภัตตาหารเสีย. ภิกษุทั้งหลายกล่าวอย่างนี้ว่า คุณจงมาเดี๋ยวนี้ พวกเราจักไปบิณฑบาต.
   เธอพูดอย่างนี้ว่า กระผมมิได้บวชเพราะเหตุนี้ว่า จักเที่ยวบิณฑบาต ถ้าท่านทั้งหลายให้กระผม กระผมจักฉัน ถ้าไม่ให้กระผม กระผมจะสึก ขอรับ.
   พวกภิกษุถามว่า อาวุโส ก็คุณบวชเพราะเหตุแห่งท้องหรือ?
   เธอตอบว่า อย่างนั้นซิ ขอรับ.
   บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุจึงได้บวชในพระธรรมวินัย อันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้วอย่างนี้ เพราะเหตุแห่งท้องเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.

ทรงสอบถาม

   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุนั้นว่า จริงหรือ ภิกษุ ข่าวว่า เธอบวชเพราะเหตุแห่งท้อง?
   ภิกษุนั้นทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน
   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึงได้บวชในธรรมวินัยที่เรากล่าวดีแล้วอย่างนี้ เพราะเหตุแห่งท้องเล่า ดูกรโมฆบุรุษ   การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... ครั้นแล้ว ทรงทำธรรมีกถา รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ให้ อุปสมบท บอกนิสสัย ๔ ว่าดังนี้:-

นิสสัย ๔

               ๑. บรรพชาอาศัยโภชนะคือคำข้าวอันหาได้ด้วยกำลังปลีแข้ง เธอพึงทำอุตสาหะในสิ่งนั้นตลอดชีวิต อดิเรกลาภ คือ ภัตถวายสงฆ์ ภัตเฉพาะสงฆ์ การนิมนต์ ภัตถวายตามสลาก ภัตถวายในปักษ์ ภัตถวายในวันอุโบสถ์ ภัตถวายในวันปาฏิบท.
               ๒. บรรพชาอาศัยบังสุกุลจีวร เธอพึงทำอุตสาหะในสิ่งนั้นตลอดชีวิต อดิเรกลาภ คือ ผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ผ้าป่าน ผ้าเจือกัน. (เช่นผ้าด้ายแกมไหม)
               ๓. บรรพชา อาศัยโคนไม้เป็นเสนาสนะ เธอพึงทำอุตสาหะในสิ่งนั้นตลอดชีวิตอดิเรกลาภ คือ วิหาร เรือนมุงแถบเดียว เรือนชั้น เรือนโล้น ถ้ำ.
               ๔. บรรพชาอาศัยมูตรเน่าเป็นยา เธอพึงทำอุตสาหะในสิ่งนั้นตลอดชีวิต อดิเรกลาภ คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย.
อุปัชฌายวัตรภาณวาร จบ

อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ มูลเหตุอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรม

อรรถกถาญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา
               วินิจฉัยในเรื่องราธพราหมณ์ต่อไป. พระสารีบุตรผู้มีอายุย่อมทราบบรรพชาและอุปสมบท ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตด้วยไตรสรณคมน์ที่กรุงพาราณสีแม้โดยแท้.
               ถึงกระนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์จะห้ามอุปสมบทอันเพลานั้นแล้ว ทรงอนุญาตอุปสมบททำให้กวดขัน ด้วยญัตติจตุตถกรรม คราวนั้น พระเถระทราบพระอัธยาศัยของพระองค์ จึงกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จะให้พราหมณ์นั้นบรรพชาอุปสมบทอย่างไร? 
   จริงอยู่ บริษัทของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้ฉลาดในอัธยาศัยและพระผู้มีอายุสารีบุตรนี้ เป็นผู้ประเสริฐเป็นยอดของพุทธบริษัท. 
   ในคำว่า พฺยตฺเตน ภิกฺขุนา ปฏิพเลน นี้ มีวินิจฉัยว่า วินัยปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถาของภิกษุใดช่ำชองคล่องปาก ภิกษุนั้นจัดว่าผู้ฉลาด เมื่อภิกษุเช่นนั้นไม่มี พุทธวจนะโดยที่สุด แม้เพียงญัตติจตุตถกัมมวาจานี้ของภิกษุใด เป็นของที่จำได้ถูกต้องช่ำชองคล่องปาก แม้ภิกษุนี้ก็จัดว่าเป็นผู้ฉลาดในอรรถนี้ได้. 
   ฝ่ายภิกษุใดไม่สามารถสวดกัมมวาจาด้วยบทและพยัญชนะอันเรียบร้อย คือว่าพยัญชนะหรือบทให้เสีย หรือควรจะว่าอย่างอื่น ว่าเป็นอย่างอื่นไปเสีย เพราะความเจ็บไข้มีไอ 
   หืดและเสมหะเป็นต้น หรือเพราะอวัยวะมีริมฝีปาก ฟันและลิ้นเป็นต้น ใช้การไม่ได้ หรือเพราะไม่ได้ทำความสั่งสมไว้ในพระปริยัติ ภิกษุนี้จัดว่าเป็นผู้ไม่สามารถ ภิกษุผู้แผกจากนั้น พึงทราบว่าเป็นผู้สามารถในอรรถนี้. 
   ข้อว่า สงฺโฆ ญาปตพฺโพ มีความว่า สงฆ์อันภิกษุนั้นพึงให้ทราบ. 
   เบื้องหน้าแต่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า สุณาตุ เม ภนฺเต เป็นต้น เพื่อแสดงข้อที่ภิกษุนั้นควรให้สงฆ์ทราบ. 
   ข้อว่า อุปสมฺปนฺนสมนนฺตรา มีความว่า เป็นผู้พออุปสมบทแล้ว ย่อมประพฤติอนาจาร๑- ในกาลเป็นลำดับต่อติดกันไป. 
   ข้อว่า อนาจารํ อาจรติ มีความว่า ย่อมทำความละเมิดพระบัญญัติ. 
   บทว่า อุลฺลุมฺปตุ มํ มีความว่า ขอจงยกข้าพเจ้าขึ้นเถิด. 
   อธิบายว่า ขอให้ข้าพเจ้าออกจากอกุศล ให้ตั้งเฉพาะในกุศลเถิด หรือว่า ขอจงยกขึ้นจากความเป็นสามเณร ให้ตั้งเฉพาะในความเป็นภิกษุเถิด. 
   สองบทว่า อนุกมฺปํ อุปาทาย ได้แก่ อาศัยความสงสาร. 
   อธิบายว่า กระทำความเอ็นดูในข้าพเจ้า.
สองบทว่า อฏฺฐิตา โหติ
มีความว่า เป็นของเป็นไปเป็นนิตย์.
   สองบทว่า จตฺตาโร นิสฺสเย ได้แก่ ปัจจัยสี่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า นิสัย เพราะเหตุว่า เป็นที่อาศัยเป็นไปของอัตภาพ. 
๑- ถ้าอุปสมฺปนฺโน หุตฺวาว... อาจรติ เป็นประโยคเดียวกัน ก็จะงาม
เพราะเมื่อแปลเสร็จแล้วเอา อนาจารํ อาจรติ
 มาเป็นบทตั้งแก้อรรถอีกครั้ง.

25 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ การประณามและการให้ขมา

     [๘๓] ก็โดยสมัยนั้นแล สัทธิวิหาริกทั้งหลายไม่ประพฤติชอบในอุปัชฌายะทั้งหลาย.
   บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนสัทธิวิหาริกทั้งหลายจึงไม่ประพฤติชอบในอุปัชฌายะทั้งหลายเล่า แล้วได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.

ทรงสอบถาม

   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า สัทธิวิหาริกทั้งหลายไม่ประพฤติชอบในอุปัชฌายะทั้งหลาย จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรทรงติเตียน

   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนสัทธิวิหาริกทั้งหลายจึงไม่ประพฤติชอบในอุปัชฌายะทั้งหลายเล่า ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถา รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   สัทธิวิหาริกจะไม่ประพฤติชอบในอุปัชฌายะไม่ได้ รูปใดไม่ประพฤติชอบ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   สัทธิวิหาริกทั้งหลายยังไม่ประพฤติชอบอย่างเดิม. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ประณามสัทธิวิหาริกผู้ไม่ประพฤติชอบ

วิธีประณาม

ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   ก็แล อุปัชฌายะพึงประณามสัทธิวิหาริกอย่างนี้ว่า ฉันประณามเธอ เธออย่าเข้ามา ณ ที่นี้ เธอจงขนบาตรจีวรของเธอออกไปเสีย, พึงประณามว่า เธอไม่ต้องอุปฐากฉันดังนี้ก็ได้
   อุปัชฌายะย่อมยังสัทธิวิหาริกให้รู้ด้วยกายก็ได้ ให้รู้ด้วยวาจาก็ได้ ให้รู้ด้วยทั้งกายและวาจาก็ได้ เป็นอันประณามแล้ว ถ้ายังมิได้แสดงอาการกายให้รู้ ยังมิบอกให้รู้ด้วยวาจา ยังมิได้แสดงอาการกายและวาจาให้รู้ สัทธิวิหาริกไม่ชื่อว่าถูกประณาม.
   สมัยต่อมา สัทธิวิหาริกทั้งหลายถูกประณามแล้ว ไม่ขอให้อุปัชฌายะอดโทษ.  ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สัทธิวิหาริกขอให้อุปัชฌายะอดโทษ.
   สัทธิวิหาริกทั้งหลายไม่ยอมขอให้อุปัชฌายะอดโทษอย่างเดิม. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัทธิวิหาริกถูกประณามแล้ว จะไม่ขอให้อุปัชฌายะอดโทษไม่ได้ รูปใดไม่ขอให้อุปัชฌายะอดโทษ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   สมัยต่อมา อุปัชฌายะทั้งหลายอันพวกสัทธิวิหาริกขอให้อดโทษอยู่ ก็ไม่ยอมอดโทษ.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตให้อุปัชฌายะอดโทษ.
   อุปัชฌายะทั้งหลายยังไม่ยอมอดโทษอย่างเดิม. พวกสัทธิวิหาริกหลีกไปเสียบ้าง สึกไปเสียบ้าง ไปเข้ารีตเดียรถีย์เสียบ้าง.
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปัชฌายะอันพวกสัทธิวิหาริกขอให้อดโทษอยู่ จะไม่ยอมอดโทษไม่ได้ รูปใดไม่ยอมอดโทษ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   [๘๔] ก็โดยสมัยนั้นแล อุปัชฌายะประณามสัทธิวิหาริกผู้ประพฤติชอบ ไม่ประณามสัทธิวิหาริกผู้ประพฤติมิชอบ. 
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัทธิวิหาริกผู้ประพฤติชอบ อุปัชฌายะไม่พึงประณาม รูปใดประณามต้องอาบัติทุกกฏ. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   อนึ่ง สัทธิวิหาริกผู้ประพฤติมิชอบ อุปัชฌายะจะไม่ประณามไม่ได้ รูปใดไม่ประณามต้องอาบัติทุกกฏ.

องค์แห่งการประณาม

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปัชฌายะพึงประณามสัทธิวิหาริกผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ:-
๑. หาความรักใคร่อย่างยิ่งในอุปัชฌายะมิได้
๒. หาความเลื่อมใสอย่างยิ่งมิได้
๓. หาความละอายอย่างยิ่งมิได้
๔. หาความเคารพอย่างยิ่งมิได้ และ
๕. หาความหวังดีต่ออย่างยิ่งมิได้
   ภิกษุทั้งหลาย อุปัชฌายะพึงประณามสัทธิวิหาริก ผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล.   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปัชฌายะไม่พึงประณามสัทธิวิหาริก  ผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ
๑. มีความรักใคร่อย่างยิ่งในอุปัชฌายะ
๒. มีความเลื่อมใสอย่างยิ่ง
๓. มีความละอายอย่างยิ่ง
๔. มีความเคารพอย่างยิ่ง และ
๕. มีความหวังดีต่ออย่างยิ่ง
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   อุปัชฌายะไม่พึงประณามสัทธิวิหาริก ผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล.   ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัทธิวิหาริกผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ควรประณาม คือ
๑. หาความรักใคร่อย่างยิ่งในอุปัชฌายะมิได้
๒. หาความเลื่อมใสอย่างยิ่งมิได้
๓. หาความละอายอย่างยิ่งมิได้
๔. หาความเคารพอย่างยิ่งมิได้ และ
๕. หาความหวังดีต่ออย่างยิ่งมิได้
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   สัทธิวิหาริกผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ควรประณาม.   ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัทธิวิหาริกผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ควรประณาม คือ
๑. มีความรักใคร่อย่างยิ่งในอุปัชฌายะ
๒. มีความเลื่อมใสอย่างยิ่ง
๓. มีความละอายอย่างยิ่ง
๔. มีความเคารพอย่างยิ่ง และ
๕. มีความหวังดีต่ออย่าง
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัทธิวิหาริกผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ควรประณาม.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   สัทธิวิหาริกผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ อุปัชฌายะเมื่อไม่ประณาม มีโทษ เมื่อประณาม ไม่มีโทษ คือ
๑.หาความรักใคร่อย่างยิ่งในอุปัชฌายะมิได้
๒. หาความเลื่อมใสอย่างยิ่งมิได้
๓. หาความละอายอย่างยิ่งมิได้
๔. หาความเคารพอย่างยิ่งมิได้ และ
๕. หาความหวังดีต่ออย่างยิ่งมิได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   สัทธิวิหาริกผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล อุปัชฌายะ เมื่อไม่ประณาม มีโทษ เมื่อประณาม ไม่มีโทษ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   สัทธิวิหาริกผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ อุปัชฌายะ เมื่อประณาม มีโทษ เมื่อไม่ประณามไม่มีโทษ คือ
๑. มีความรักใคร่อย่างยิ่งในอุปัชฌายะ
๒. มีความเลื่อมใสอย่างยิ่ง
๓. มีความละอายอย่างยิ่ง
๔. มีความเคารพอย่างยิ่ง และ
๕. มีความหวังดีต่ออย่างยิ่ง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัทธิวิหาริกผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล อุปัชฌายะ เมื่อประณามมีโทษ เมื่อไม่ประณาม ไม่มีโทษ

อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ การประณามและการใหขมา

อรรถกถาสัมมาวัตตนาทิกถา
   ข้อว่า น สมฺมา วตฺตนฺติ มีความว่า ไม่ทำอุปัชฌายวัตรตามที่ทรงบัญญัติไว้ให้เต็ม. 
   ข้อว่า โย น สมฺมา วตฺเตยฺย มีความว่า สัทธิวิหาริกใดไม่ทำวัตรตามที่ทรงบัญญัติไว้ให้เต็ม สัทธิวิหาริกนั้นต้องทุกกฎ. 
   บทว่า ปณาเมตพฺโพ ได้แก่ พึงรุกราน. 
   ข้อว่า นาธิมตฺตํ เปมํ โหติ มีความว่า ไม่มีความรักฉันบุตรกับธิดายิ่งนักในอุปัชฌาย์. 
ข้อว่า นาธิมตฺตา ภาวนา โหติ มีความว่า ไม่ปลูกไมตรียิ่งนัก. 
   ฝ่ายดีพึงทราบโดยปฏิปักขนัยกับที่กล่าวแล้ว. 
   ข้อว่า อลํปณาเมตุ มีความว่า สมควรประณาม. 
   ข้อว่า อปฺปณาเมนฺโต อุปชฺฌาโย สาติสาโร โหติ มีความว่า เมื่ออุปัชฌาย์ไม่ประณาม ย่อมเป็นผู้มีโทษ คือย่อมต้องอาบัติ เพราะเหตุฉะนั้น เมื่อสัทธิวิหาริกไม่ประพฤติชอบ ควรต้องประณามแท้. 
ก็ในการไม่ประพฤติชอบมีวินิจฉัยดังนี้ :- 
   เมื่อสัทธิวิหาริกไม่ทำวัตรเพียงย้อมจีวร ความเสื่อมย่อมมีแก่อุปัชฌาย์ เพราะเหตุนั้น เมื่อสัทธิวิหาริกผู้พ้นนิสัยแล้วก็ดี ยังไม่พ้นก็ดี ไม่ทำวัตรนั้นเป็นอาบัติเหมือนกัน. ตั้งแต่ให้บาตรแก่คนบางคนไป เป็นอาบัติแก่ผู้ยังไม่พ้นนิสัยเท่านั้น. 
   เหล่าสัทธิวิหาริกประพฤติชอบ อุปัชฌาย์ไม่ประพฤติชอบ เป็นอาบัติแก่อุปัชฌาย์. อุปัชฌาย์ประพฤติชอบ พวกสัทธิวิหาริกไม่ประพฤติชอบ เป็นอาบัติแก่พวกเธอ. 
    เมื่ออุปัชฌาย์ยินดีวัตร 
    พวกสัทธิวิหาริกถึงมีอยู่มาก เป็นอาบัติทุกรูป. 
   ถ้าอุปัชฌาย์กล่าวว่า อุปัฏฐากของฉันมี พวกเธอจงทำความเพียรในสาธยายและมนสิการเป็นต้นของตนเถิด ไม่เป็นอาบัติแก่พวกสัทธิวิหาริก. 
   ถ้าอุปัชฌาย์ไม่รู้จักความยินดีหรือไม่ยินดี เป็นผู้เขลา สัทธิวิหาริกมีมากรูป ในพวกเธอถ้าภิกษุถึงพร้อมด้วยวัตรรูปหนึ่ง ปล่อยภิกษุนอกนั้นเสียรับเป็นภาระของตนอย่างนี้ว่า
   ผมจักทำกิจของอุปัชฌาย์แทน พวกท่านจงเป็นผู้มีความขวนขวายน้อยอยู่เถิด ดังนี้ ไม่เป็นอาบัติแก่เธอทั้งหลายจำเดิมแต่ไว้ภาระแก่ภิกษุนั้นไป.
อรรถกถาสัมมาวัตตนาทิกถา จบ.

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ สัทธิวิหาริกวัตร

     [๘๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปัชฌายะพึงประพฤติชอบในสัทธิวิหาริก. วิธีประพฤติชอบในสัทธิวิหาริกนั้น มีดังต่อไปนี้:-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   อุปัชฌายะพึงสงเคราะห์ อนุเคราะห์ สัทธิวิหาริก ด้วยสอนบาลีและอรรถกถา ด้วยให้โอวาทและอนุศาสนี.
   ถ้าอุปัชฌายะมีบาตร สัทธิวิหาริกไม่มีบาตร อุปัชฌายะพึงให้บาตรแก่สัทธิวิหาริก หรือ พึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ บาตรพึงบังเกิดแก่สัทธิวิหาริก
   ถ้าอุปัชฌายะมีจีวร สัทธิวิหาริกไม่มีจีวร อุปัชฌายะพึงให้จีวรแก่สัทธิวิหาริก หรือ พึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ จีวรพึงบังเกิดแก่สัทธิวิหาริก
   ถ้าอุปัชฌายะมีบริขาร สัทธิวิหาริกไม่มีบริขาร อุปัชฌายะ พึงให้บริขารแก่สัทธิวิหาริก หรือ พึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ บริขารพึงบังเกิดแก่สัทธิวิหาริก.
   ถ้าสัทธิวิหาริกอาพาธ อุปัชฌายะพึงลุกแต่เช้าตรู่ แล้วให้ไม้ชำระฟัน ให้น้ำล้างหน้า ปูอาสนะไว้
   ถ้ายาคูมี พึงล้างภาชนะแล้ว นำยาคูเข้าไปให้ เมื่อสัทธิวิหาริกดื่มยาคูแล้ว พึงให้น้ำ รับภาชนะมา ถือต่ำๆ อย่าให้กระทบกัน ล้างให้สะอาดแล้วเก็บไว้ เมื่อสัทธิหาริกลุกแล้ว พึงเก็บอาสนะ ถ้าที่นั้นรก พึงกวาดที่นั้นเสีย.
   ถ้าสัทธิวิหาริกประสงค์จะเข้าบ้าน  พึงให้ผ้านุ่ง พึงรับผ้านุ่งผลัดมา พึงให้ประคตเอว พึงพับสังฆาฏิเป็นชั้นให้ พึงล้างบาตรแล้วให้พร้อมทั้งน้ำด้วย พึงปูอาสนะที่นั่งฉันไว้ 
   ด้วยกำหนดในใจว่าเพียงเวลาเท่านี้ สัทธิวิหาริกจักกลับมา น้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบื้องเช็ดเท้า พึงเตรียมตั้งไว้ พึงลุกขึ้นรับบาตรและจีวร พึงให้ผ้านุ่งผลัด พึงรับผ้านุ่งมา.
   ถ้าจีวรชุ่มเหงื่อ พึงผึ่งแดดไว้ครู่หนึ่ง แต่ไม่พึงผึ่งทิ้งไว้ที่แดด พึงพับจีวร เมื่อพับจีวร พึงพับให้เหลื่อมมุมกัน ๔ นิ้ว ด้วยตั้งใจมิให้มีรอยพับตรงกลาง พึงทำประคตเอวไว้ในขนดอันตรวาสก.
   ถ้าบิณฑบาตมี และสัทธิวิหาริกประสงค์จะฉัน พึงให้น้ำแล้วนำบิณฑบาตเข้าไปให้ พึงถามสัทธิวิหาริกด้วยน้ำฉัน เมื่อสัทธิวิหาริกฉันแล้ว พึงให้น้ำ รับบาตรมา ถือต่ำๆ อย่าให้กระทบ ล้างให้สะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วพึงผึ่งไว้ที่แดดครู่หนึ่ง แต่ไม่พึงผึ่งทิ้งไว้ที่แดด
   พึงเก็บบาตรจีวร เมื่อเก็บบาตร พึงเอามือข้างหนึ่งจับบาตร เอามือข้างหนึ่งลูบคลำใต้เตียงหรือใต้ตั่งแล้วจึงเก็บบาตร แต่ไม่พึงเก็บบาตรไว้บนพื้นที่ไม่มีสิ่งใดรอง
   เมื่อเก็บจีวร พึงเอามือข้างหนึ่งถือจีวร เอามือข้างหนึ่งลูบราวจีวร หรือสายระเดียงแล้วทำชายไว้ข้างนอก ขนดไว้ข้างในแล้วจึงเก็บจีวร
   เมื่อสัทธิวิหาริกลุกแล้ว พึงเก็บอาสนะ เก็บน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบื้องเช็ดเท้าถ้าที่นั้นรก พึงกวาดที่นั้นเสีย.
   ถ้าสัทธิวิหาริกใคร่จะสรงน้ำ พึงจัดน้ำสรงให้ ถ้าต้องการน้ำเย็น พึงจัดน้ำเย็นให้ ถ้าต้องการน้ำร้อน พึงจัดน้ำร้อนให้.
   ถ้าสัทธิวิหาริกประสงค์จะเข้าเรือนไฟ พึงบดจุณ แช่ดิน ถือตั่งสำหรับเรือนไฟไปแล้วให้ตั่งสำหรับเรือนไฟ แล้วรับจีวรมาวางไว้ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พึงให้จุณ ให้ดิน
   ถ้าอุตสาหะอยู่ พึงเข้าเรือนไฟ เมื่อเข้าเรือนไฟ พึงเอาดินทาหน้า ปิดทั้งข้างหน้า ทั้งข้างหลัง แล้วเข้าเรือนไฟ ไม่พึงนั่งเบียดภิกษุผู้เถระ ไม่พึงห้ามกันอาสนะภิกษุใหม่
   พึงทำบริกรรมแก่สัทธิวิหาริกในเรือนไฟ
   เมื่อออกจากเรือนไฟ พึงถือตั่งสำหรับเรือนไฟ แล้วปิดทั้งข้างหน้าทั้งข้างหลัง ออกจากเรือนไฟ
   พึงทำบริกรรมแก่สัทธิวิหาริก แม้ในน้ำ อาบเสร็จแล้วพึงขึ้นมาก่อน ทำตัวของตนให้แห้งน้ำ นุ่งผ้าแล้วพึงเช็ดน้ำจากตัวของสัทธิวิหาริก พึงให้ผ้านุ่ง พึงให้ผ้าสังฆาฏิ พึงถือตั่ง
   สำหรับเรือนไฟมาก่อน แล้วปูอาสนะไว้ เตรียมน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบื้องเช็ดเท้าไว้
   พึงถามสัทธิวิหาริกด้วยน้ำฉัน.
   สัทธิวิหาริกอยู่ในวิหารแห่งใด ถ้าวิหารแห่งนั้นรก ถ้าอุตสาหะอยู่ พึงปัดกวาดเสีย เมื่อปัดกวาดวิหาร พึงขนบาตรจีวรออกก่อนแล้ววางไว้ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พึงขนผ้าปูนั่งและผ้าปูนอน ฟูก หมอน ออกวางไว้ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
   เตียงตั่ง อุปัชฌายะพึงยกต่ำๆ อย่าให้ครูดสี อย่าให้กระทบกระแทกบานและกรอบประตู ขนออกให้เรียบร้อย แล้วตั้งไว้ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เขียงรองเตียง กระโถน พนักอิง
   พึงขนออกวางไว้ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เครื่องปูพื้น พึงสังเกตที่ปูไว้ที่เดิม แล้วขนออกวางไว้ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
   ถ้าในวิหารมีหยากเยื่อ พึงกวาดแต่เพดานลงมาก่อน กรอบหน้าต่างและมุมห้อง พึงเช็ดเสีย ถ้าฝาเขาทำบริกรรมด้วยน้ำมัน หรือพื้นเขาทาสีดำขึ้นรา พึงเอาผ้าชุบน้ำบิดแล้วเช็ดเสีย
   ถ้าพื้นเขามิได้ทำ พึงเอาน้ำประพรมแล้วเช็ดเสีย ระวังอย่าให้วิหารฟุ้งด้วยธุลี พึงกวาดหยากเยื่อทิ้งเสีย ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
   เครื่องลาดพื้น พึงผึ่งแดด ชำระ เคาะ ปัดแล้ว ขนกลับปูไว้ตามเดิม เขียงรองเตียง พึงผึ่งแดด ขัด เช็ดแล้ว ขนกลับไว้ในที่เดิม เตียงตั่ง พึงผึ่งแดด ขัดสี เคาะเสีย ยกต่ำๆ อย่าให้ครูดสี อย่าให้กระทบกระแทกบานและกรอบประตู ขนกลับไปให้ดีๆ แล้วตั้งไว้ตามเดิม ฟูก หมอน ผ้าปูนั่ง ผ้าปูนอน พึงผึ่งแดด 
   ทำให้สะอาด ตบเสีย แล้วนำกลับวางปูไว้ตามเดิม กระโถน พนักอิง พึงผึ่งแดด เช็ด ถูเสีย แล้วขนกลับตั้งไว้ตามเดิม
   พึงเก็บบาตรจีวร เมื่อเก็บบาตร พึงเอามือข้างหนึ่งจับบาตร เอามือข้างหนึ่งลูบคลำใต้เตียงหรือใต้ตั่ง แล้วจึงเก็บบาตร แต่ไม่พึงวางบาตรบนพื้นที่ไม่มีสิ่งใดรอง
   เมื่อเก็บจีวร พึงเอามือข้างหนึ่งถือจีวร เอามือข้างหนึ่งลูบราวจีวรหรือสายระเดียงแล้วทำชายไว้ข้างนอก ทำขนดไว้ข้างในแล้วจึงเก็บจีวร.
   ถ้าลมเจือด้วยผลคลีพัดมาแต่ทิศตะวันออก พึงปิดหน้าต่างด้านตะวันออก ถ้าพัดมาแต่ทิศตะวันตก พึงปิดหน้าต่างด้านตะวันตก ถ้าพัดมาแต่ทิศเหนือ พึงปิดหน้าต่างด้านเหนือ
   ถ้าพัดมาแต่ทิศใต้ พึงปิดหน้าต่างด้านใต้ ถ้าฤดูหนาว พึงเปิดหน้าต่างกลางวัน พึงปิดกลางคืน
   ถ้าฤดูร้อน พึงปิดหน้าต่างกลางวัน พึงเปิดกลางคืน.
   ถ้าบริเวณ ซุ้มน้ำ โรงฉัน โรงไฟ วัจจกุฎี รก พึงปัดกวาดเสีย ถ้าน้ำฉันน้ำใช้ไม่มี
   พึงจัดตั้งไว้ ถ้าน้ำในหม้อชำระไม่มี พึงตักน้ำมาไว้ในหม้อชำระ.
   ถ้าความกระสันบังเกิดแก่สัทธิวิหาริก อุปัชฌายะพึงช่วยระงับหรือพึงวานภิกษุอื่นให้ช่วยระงับ หรือพึงทำธรรมกถาแก่สัทธิวิหาริกนั้น ถ้าความรำคาญบังเกิดแก่สัทธิวิหาริก อุปัชฌายะ
   พึงบรรเทา หรือพึงวานภิกษุอื่นให้ช่วยบรรเทา หรือพึงทำธรรมกถาแก่สัทธิวิหาริกนั้น ถ้าความเห็นผิดบังเกิดแก่สัทธิวิหาริก อุปัชฌายะพึงให้สละเสีย หรือพึงวานภิกษุอื่นให้ช่วย หรือพึงทำธรรมกถาแก่สัทธิวิหาริกนั้น. 
   ถ้าสัทธิวิหาริกต้องอาบัติหนัก ควรปริวาส อุปัชฌายะพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ สงฆ์พึงให้ปริวาสแก่สัทธิวิหาริก ถ้าสัทธิวิหาริกควรชักเข้าหาอาบัติเดิม 
   อุปัชฌายะพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ สงฆ์พึงชักสัทธิวิหาริกเข้าหาอาบัติเดิม ถ้าสัทธิวิหาริกควรมานัต อุปัชฌายะพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ 
   สงฆ์พึงให้มานัตแก่สัทธิวิหาริก ถ้าสัทธิวิหาริกควรอัพภาน อุปัชฌายะพึงทำความขวนขวาย ว่าด้วยอุบายอย่างไรหนอ สงฆ์พึงอัพภานสัทธิวิหาริก.
   ถ้าสงฆ์ปรารถนาจะทำกรรมแก่สัทธิวิหาริก คือ ตัชชนียกรรม นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรม ปฏิสารณียกรรม หรืออุกเขปนียกรรม อุปัชฌายะพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ
   สงฆ์ไม่พึงทำกรรมแก่สัทธิวิหาริก หรือสงฆ์พึงน้อมไปเพื่อกรรมสถานเบา หรือสัทธิวิหาริกนั้นถูกสงฆ์ลงตัชชนียกรรม นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรม ปฏิสารณียกรรม หรืออุกเขปนียกรรมแล้ว
   อุปัชฌายะพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ สัทธิวิหาริกพึงประพฤติชอบ พึงหายเย่อหยิ่ง พึงประพฤติแก้ตัว สงฆ์พึงระงับกรรมนั้นเสีย.
   ถ้าจีวรของสัทธิวิหาริกจะต้องซัก อุปัชฌายะพึงบอกว่า ท่านพึงซักอย่างนี้ หรือพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ ใครๆ พึงซักจีวรของสัทธิวิหาริก ถ้าจีวรของสัทธิวิหาริกจะต้องทำ อุปัชฌายะพึงบอกว่า ท่านพึงทำอย่างนี้ หรือพึงทำความขวนขวายว่าด้วยอุบายอย่างไรหนอ ใครๆ พึงทำจีวรของสัทธิวิหาริก ถ้าน้ำย้อมของสัทธิวิหาริกจะต้องต้ม
   อุปัชฌายะพึงบอกว่า ท่านพึงต้มอย่างนี้ หรือพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ
   ใครๆ พึงต้มน้ำย้อมของสัทธิวิหาริก ถ้าจีวรของสัทธิวิหาริกจะต้องย้อม อุปัชฌายะพึงบอกว่าท่านพึงย้อมอย่างนี้ หรือพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ 
   ใครๆ พึงย้อมจีวรของสัทธิวิหาริก เมื่อย้อมจีวร พึงย้อมพลิกกลับไปมาให้ดีๆ เมื่อหยาดน้ำย้อมยังไม่ขาดสาย ไม่พึงหลีกไปเสีย.
   ถ้าสัทธิวิหาริกอาพาธ พึงพยาบาลจนตลอดชีวิต พึงรอจนกว่าจะหาย. สัทธิวิหาริกวัตร จบ.

อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ สัทธิวิหาริกวัตร

อรรถกถาสัทธิวิหาริกกวัตตกถา
พึงทราบวินิจฉัยในการที่อุปัชฌาย์ประพฤติชอบในสัทธิวิหาริกต่อไป :- 
     ข้อว่า สงฺคเหตพฺโพ อนุคฺคเหตพฺโพ มีความว่า อุปัชฌาย์พึงทำการช่วยเหลือและอุดหนุนเธอด้วยกิจมีอุทเทสเป็นต้น. 
     ในกิจมีอุทเทสเป็นต้นนั้น อุทเทสนั้นได้แก่การบอกบาลี. ปริปุจฉานั้นได้แก่อธิบายความแห่งบาลี.
      โอวาทนั้นได้แก่การกล่าวว่า จงทำอย่างนี้ อย่าทำอย่างนี้ ในเมื่อเรื่องยังไม่เกิด. อนุศาสนีนั้นได้แก่ การว่ากล่าวอย่างนั้น ในเมื่อเรื่องเกิดแล้ว. 
     อีกประการหนึ่ง เรื่องจะเกิดหรือไม่เกิดก็ตาม. 
     การว่ากล่าวครั้งแรก ชื่อโอวาท. การพร่ำสอนอยู่เนืองๆ ชื่ออนุศาสนี. 
     ข้อว่า สเจ อุปชฺฌายสฺส ปตฺโต โหติ มีความว่า ถ้าอติเรกบาตรมี. 
     มีนัยเหมือนกันทุกแห่ง สมณบริขารแม้อื่นชื่อว่าบริขาร. 
     ความค้นคว้าหาอุบายซึ่งเกิดขึ้นโดยนัยอันชอบธรรม ชื่อว่าความขวนขวาย ในสัทธิวิหาริกวัตรนี้. ถัดจากนี้ไป วัตรตั้งต้นแต่ให้ไม้สีฟัน ถึงที่สุดเติมน้ำในหม้อชำระ อุปัชฌาย์ควรทำแก่สัทธิวิหาริกเฉพาะผู้เป็นไข้. 
     อนึ่ง กิจมีพาเที่ยวเพื่อระงับความกระสันเป็นต้น แม้สัทธิวิหาริกไม่เป็นไข้ อุปัชฌาย์ก็ควรทำแท้. 
     ข้อว่า จีวรํ รชนฺเตน มีความว่า เมื่อได้ฟังอุบายจากอุปัชฌาย์ว่า พึงย้อมอย่างนี้ แล้วจึงย้อม. 
     คำที่เหลือ พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วนั่น.

อรรถกถา พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ อรรถกถาอุปัชฌายวัตตกถา ต้นเหตุอุปัชฌายวัตรเป็นต้น

อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ

อรรถกถาอุปัชฌายวัตตกถา
   บทว่า อนุปชฺฌายกา มีความว่า เว้นจากครูผู้คอยสอดส่องโทษน้อยโทษใหญ่.    บทว่า อนากปฺปสมฺปนฺนา ได้แก่ ผู้ไม่ถึงพร้อมด้วยมารยาท. 
   อธิบายว่า ปราศจากมารยาทซึ่งสมควรแก่สมณะ. 
   บทว่า อุปริโภชเน ได้แก่ เบื้องบนแห่งโภชนะ. 
บทว่า อุตฺติฏฺฐปตฺตํ ได้แก่ บาตรสำหรับเที่ยวไปเพื่อบิณฑะ. 
   จริงอยู่ มนุษย์ทั้งหลายมีความสำคัญในบาตรนั้นว่าเป็นแดน เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อุตฺติฏฺฐปตฺตํ. 
   อีกอย่างหนึ่ง ผู้ศึกษาพึงเห็นความในบทว่า อุตฺติฏฺฐปตฺตํ นี้อย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลายยืนขึ้นน้อมบาตรเข้าไป. 
   ข้อว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว อุปชฺฌายํ มีความว่า เราอนุญาต บัดนี้ เพื่อให้ภิกษุถืออุปัชฌาย์. 
   สองบทว่า ปุตฺตจิตฺตํ อุปฏฺฐเปสฺสติ มีความว่า พระอุปัชฌาย์จักเข้าไปตั้งจิตไว้ด้วยอำนาจความรักฉันบิดากับบุตรอย่างนี้ว่า ผู้นี้เป็นบุตรของเรา. 
      แม้ในบทที่สองก็นัยนี้. 
      สองบทว่า สคารวา สปฺปติสฺสา มีความว่า อุปัชฌาย์กับสัทธิวิหาริก จักเข้าไปตั้งความเป็นผู้หนักและความเป็นผู้ใหญ่ กะกันและกัน. 
   บทว่า สภาควุตฺติกา ได้แก่ มีความเป็นอยู่ถูกส่วนกัน. 
   ๕ บทมีบทว่า สาหูติ วา เป็นต้น เป็นไวพจน์แห่งคำรับเป็นอุปัชฌาย์. 
   สองบทว่า กาเยน วิญฺญาเปติ มีความว่า เมื่อสัทธิวิหาริกกล่าว ๓ ครั้งว่า ขอท่านจงเป็นอุปัชฌาย์ของผมเถิดขอรับ. อย่างนั้นแล้ว ถ้าพระอุปัชฌาย์รับรอง
   การถืออุปัชฌาย์ว่า อุปัชฌาย์อันท่านถือแล้ว ดังนี้   ด้วยกายหรือวาจา หรือทั้งกายวาจา ด้วยอำนาจแห่งบทๆ หนึ่งๆ ใน ๕ บทมี สาหุ เป็นต้น อุปัชฌาย์เป็นอันสัทธิวิหาริกถือแล้ว. 
   จริงอยู่ การใช้วาจาประกาศหรือการใช้กายเคลื่อนไหวให้ทราบเนื้อความ แห่งบทใดบทหนึ่งใน ๕ บทนี้ของพระอุปัชฌาย์ นี้แลเป็นการถืออุปัชฌาย์ ในข้อว่า พึงถืออุปัชฌาย์ นี้. 
   ฝ่ายพระเกจิอาจารย์กล่าวหมายเอาคำรับว่า สาธุ คำของพระเกจิอาจารย์นั้น ไม่เป็นประมาณ. เพราะว่าอุปัชฌาย์ย่อมเป็นอันสัทธิวิหาริกถือแล้ว ด้วยเหตุมาตรว่าคำขอและคำให้ คำรับไม่นับว่าเป็นองค์ในการถืออุปัชฌาย์นี้. 
   ฝ่ายสัทธิวิหาริกจะควรทราบแต่เพียงว่า อุปัชฌาย์เป็นอันเราถือแล้วด้วยบทนี้ หามิได้ ควรทราบความข้อนี้ด้วยคำว่า บัดนี้มีวันนี้เป็นต้น พระเถระเป็นภาระของเรา ถึงเราก็เป็นภาระของพระเถระ. 
   ข้อว่า ตตฺรายํ สมฺมาวตฺตนา มีความว่า คำใด ซึ่งเรากล่าวแล้วว่าพึงประพฤติชอบ, ความประพฤติชอบในคำนั้น ดังนี้. 
   หลายบทว่า กาลสฺเสว อุฏฺฐาย อุปหนาโอมุญฺจิตฺวา มีความว่า ถ้ารองเท้าของสัทธิวิหาริกนั้นอันเธอสวมอยู่ คือเป็นของที่อยู่ในเท้า เพื่อประโยชน์แก่การจงกรมในเวลาใกล้รุ่ง หรือเพื่อประโยชน์แก่การรักษาเท้าซึ่งล้างแล้ว. 
   พึงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ถอดรองเท้าเหล่านั้นเสีย. 
   ข้อว่า ทนฺตกฏฺฐํ ทาตพฺพํ มีความว่า พึงน้อมถวายไม้สีฟัน ๓ ขนาด คือขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก จาก ๓ ขนาดนั้น ท่านถือเอาขนาดใดครบ ๓ วัน ตั้งแต่วันที่ ๔ ไปพึงถวายขนาดนั้นเท่านั้น ถ้าว่าท่านถือเอาตามมีตามได้ ไม่มีกำหนดลงไป ต่อไปได้ชนิดใด พึงถวายชนิดนั้น. 
   ข้อว่า มุโขทกํ ทาตพฺพํ มีความว่า พึงนำเข้าไปทั้งน้ำเย็นและน้ำร้อน ท่านใช้อย่างใดจากน้ำ ๒ อย่างนั้นครบ ๓ วัน ตั้งแต่วันที่ ๔ ไปพึงถวายน้ำล้างหน้าชนิดนั้นเท่านั้น ถ้าว่าท่านใช้ตามมีตามได้ไม่กำหนดลงไป ต่อไปได้ชนิดใดพึงถวายชนิดนั้น. ถ้าว่าท่านใช้ทั้ง ๒ อย่าง.
      พึงนำเข้าไปถวายทั้ง ๒ อย่าง. 
      พึงตั้งน้ำไว้ในที่ล้างหน้าแล้ว พึงกวาดตั้งแต่เวจกุฏีมา. เมื่อพระเถระไปเว็จกุฎี พึงกวาดบริเวณ.
   ด้วยประการอย่างนี้ บริเวณเป็นอันไม่ว่าง. พึงแต่งตั้งอาสนะไว้ แต่เมื่อพระเถระยังไม่ออกจากเว็จกุฎีทีเดียว เมื่อท่านทำสรีรกิจเสร็จแล้วมานั่งบนอาสนะนั้น พึงทำวัตรตามที่กล่าวไว้โดยนัยเป็นต้นว่า ถ้าข้าวต้มมี พึงถวาย. 
   บทว่า อุกฺกลาโป มีความว่า เกลื่อนกล่นด้วยหยากเยื่อบางอย่าง แต่ถ้าไม่มีหยากเยื่ออื่น มีแต่น้ำหยด ประเทศนั้นควรเช็ดแม้ด้วยมือ. 
   สองบทว่า สคุณํ กตฺวา มีความว่า พึงซ้อนจีวร ๒ ผืนเข้าด้วยกันแล้ว ถวายสังฆาฏิทั้ง ๒ ผืนที่ซ้อนแล้วนั้น. จริงอยู่ จีวรทั้งหมด เรียกว่าสังฆาฏิ เพราะซ้อนกันไว้. 
   เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า พึงถวายสังฆาฏิทั้งหลาย. 
   ในข้อว่า นาติทูเร คนฺตพฺพํ นาจฺจาสนฺเน นี้ มีวินิจฉัยว่า ถ้าด้วยย่างเท้าเพียงก้าวเดียวหรือ ๒ ก้าว จะไปถึงอุปัชฌาย์ ซึ่งเหลียวมามองด้วยระยะเพียงเท่านี้
   พึงทราบว่า เป็นผู้เดินไม่ห่างนัก ไม่ชิดกัน. 
   ข้อว่า ปตฺตปริยาปนฺนํ ปฏิคฺคเหตพฺพํ มีความว่า ถ้าอุปัชฌาย์ได้ข้าวต้มหรือข้าวสวยในที่ภิกษาจารแล้ว บาตรร้อนหรือหนัก พึงถวายบาตรของตนแก่ท่าน รับบาตรนั้นมา. 
   ข้อว่า น อุปชฺฌายสฺส ภณมานสฺส อนฺตรนฺตรา กถา โอปาเตตพฺพา มีความว่า เมื่ออุปัชฌาย์กำลังนั่งพูดอยู่ในละแวกบ้านหรือในที่อื่น เมื่อคำของท่านยังไม่จบ ไม่ควรพูดสอดเรื่องอื่นขึ้น. 
   ก็แลตั้งแต่นี้ไป ในที่ใดๆ ท่านทำการห้ามไว้ด้วย น อักษร ที่แปลว่า ไม่ หรือ อย่า ในที่นั้นทุกแห่งพึงทราบว่า เป็นอาบัติทุกกฎ. จริงอยู่ ข้อนี้เป็นธรรมดาในขันธกะ. 
   ข้อว่า อาปตฺติสามนฺตา ภณมาโน มีความว่า เมื่ออุปัชฌาย์กล่าววาจาใกล้ต่ออาบัติ ด้วยอำนาจปทโสธัมมสิกขาบท และทุฏฐุลลสิกขาบทเป็นต้น. 
   บทว่า นิวาเรตพฺโพ ความว่า พึงห้ามเป็นเชิงถามอย่างนี้ว่า พูดเช่นนี้ควรหรือขอรับ ไม่เป็นอาบัติหรือ? แต่ตั้งใจว่าจักห้ามแล้ว ก็ไม่ควรพูดกะท่านว่า ท่านผู้ใหญ่อย่าพูดอย่างนั้น. 
   ข้อว่า ปฐมตรํ อาคนฺตฺวา มีความว่า ถ้าบ้านอยู่ใกล้หรือในวิหารมีภิกษุไข้ พึงกลับจากบ้านเสียก่อน. 
   ถ้าบ้านอยู่ไกลไม่มีใครมากับอุปัชฌาย์ ควรออกจากบ้านพร้อมกับท่านนั่นแล แล้วเอาจีวรห่อบาตรสะพายรีบมาก่อนแต่กลางทาง เมื่อกลับอย่างนี้ มาถึงก่อนแล้วพึงทำวัตรทุกอย่างมีปูอาสนะเป็นต้น. 
สองบทว่า สินฺนํ โหติ มีความว่า เป็นของชุ่ม คือเปียกเหงื่อ. 
   ข้อว่า จตุรงฺคุลํ กณฺณํ อุสฺสาเทตฺวา มีความว่า พึงเหลื่อมมุมให้เกินกันประมาณ ๔ นิ้ว ต้องพับจีวรอย่างนี้ เพราะเหตุไร? เพราะตั้งใจจะมิให้หักตรงกลาง. 
   จริงอยู่ จีวรที่พับให้มุมเสมอกันย่อมหักตรงกลาง. จีวรที่ชอกช้ำเป็นนิตย์เพราะพับดังนั้น ย่อมชำรุด.
   พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสข้อนี้ ก็เพื่อป้องกันความชำรุดนั้น. เพราะเหตุนั้น ในวันพรุ่ง จีวรจะไม่ชอกช้ำเฉพาะตรงที่หักในวันนี้ด้วยวิธีใด พึงพับให้เหลื่อมกันวันละ ๔ นิ้วด้วยวิธีนั้น. 
   ข้อว่า โอโภเค กายพนฺธนํ กาตพฺพํ มีความว่า พึงพับประคดเอว สอดเก็บไว้ในขนดจีวร. 
   ข้อว่า สเจ ปิณฺฑปาโต โหติ นี้ มีวินิจฉัยว่า 
   อุปัชฌาย์ใดฉันในบ้านนั่นเอง หรือในละแวกบ้าน หรือในหอฉัน แล้วจึงมา หรือไม่ได้บิณฑะ. บิณฑบาตของอุปัชฌาย์นั้น ชื่อว่าไม่มี แต่ของอุปัชฌาย์ผู้ไม่ได้ฉันในบ้าน หรือผู้ได้ภิกษา ชื่อว่ามี. 
   เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำเป็นต้นว่า ถ้าบิณฑบาตมี ถ้าแม้บิณฑบาตของท่านไม่มี และท่านใคร่จะฉัน พึงถวายน้ำแล้ว น้อมถวายบิณฑบาตแม้ที่ตนได้แล้ว. 
   ข้อว่า ปานีเยน ปุจฺฉิตพฺโพ มีความว่า พึงถามอุปัชฌาย์ซึ่งกำลังฉัน ถึงน้ำฉัน ๓ ครั้งว่า ผมจะนำน้ำฉันมาได้หรือยังขอรับ? ถ้าเวลาพอ เมื่ออุปัชฌาย์ฉันเสร็จแล้ว ตนเองจึงค่อยฉัน. ถ้าเวลาจวนหมด พึงตั้งน้ำฉันไว้ในที่ใกล้อุปัชฌาย์แล้วตนเองพึงฉันบ้าง. 
   ข้อว่า อนนฺตรหิตาย มีความว่า ไม่ควรวางบาตรบนพื้นซึ่งเจือด้วยฝุ่นและกรวด ไม่ได้ปูลาดด้วยบรรดาเครื่องปูลาดมีเสื่ออ่อน และท่อน หนังเป็นต้น ชนิดใดชนิดหนึ่ง. 
   แต่ถ้าพื้นเป็นที่อันเขาลงรัก๑- หรือโบกปูน หรือไม่มีละอองและดิน จะวางบนพื้นเห็นปานนั้นควรอยู่. จะวางแม้บนทรายที่สะอาดก็ควร. จะวางบนดินร่วนฝุ่นและกรวดเป็นต้นไม่ควร.
   แต่พึงวางใบไม้หรือเชิงบาตรบนสิ่งเหล่านั้นแล้ว เก็บบาตรบนใบไม้หรือเชิงบาตรนั้นเถิด. 
๑- ปาฐะในอรรถกถาว่า 
กาฬวณฺณกตา ทำแล้วให้มีสีดำ.
   คำว่า เอาชายไว้ข้างนอกเอาขนดไว้ข้างใน นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้เพื่อให้สอดมือไปใต้ราวจีวรเป็นต้นแล้ว ค่อยๆ พาดด้วยมือซึ่งอยู่ตรงหน้า. ก็เมื่อจับ ๒ ชายเอาขนดพาดขึ้นไปบนราวจีวรเป็นต้น ขนดย่อมกระทบฝา เพราะเหตุนั้น จึงไม่ควรทำอย่างนั้น. 
   ข้อว่า จุณฺณํ สนฺเนตพฺพํ มีความว่า จุณสำหรับอาบน้ำ พึงให้ชุ่มด้วยน้ำแล้วปั้นแท่งไว้. 
   ข้อว่า เอกมนฺตํ นิกฺขิปิตพฺพํ มีความว่า จีวรพึงวางเฉพาะในที่ซึ่งไม่มีควันไฟแห่งหนึ่ง. กิจทั้งปวงมีให้ถ่านไฟ ดินและน้ำร้อนเป็นต้น ชื่อบริกรรมในเรือนไฟ. 
   ข้อว่า อุทเกปิ ปริกมฺมํ ได้แก่กิจทุกอย่างมีถูตัวเป็นต้น. 
   ข้อว่า ปานีเยน ปุจฺฉิตพฺโพ มีความว่า ความกระหายย่อมมี เพราะความร้อนอบอ้าวในเรือนไฟ 
   เพราะฉะนั้น จึงควรถามท่านถึงน้ำฉัน. 
   ข้อว่า สเจ อุสฺสหติ มีความว่า ถ้าสัทธิวิหาริกยังสามารถคือเป็นผู้ไม่ถูกความเจ็บไข้บางอย่างครอบงำ. 
   จริงอยู่ สัทธิวิหาริกผู้ไม่เจ็บไข้ แม้มีพรรษา ๖๐ ก็ควรทำอุปัชฌายวัตรทุกอย่าง เมื่อไม่ทำ ด้วยไม่เอื้อเฟื้อต้องทุกกฎ เพราะวัตตเภท, และเมื่อสัทธิวิหาริกผู้เป็นไข้ไปทำการที่ทรงห้าม ในบททั้งหลายที่มีอักษรว่า ไม่ กำกับอยู่ ก็เป็นทุกกฎเหมือนกัน. 
   บทว่า อปริฆํสนฺเตน มีความว่า อย่าลากไปบนพื้น. 
   บทว่า กวาฏปิฏฺฐํ มีความว่า อย่าให้กระทบกระทั่งบานประตูและกรอบประตู. 
   บทว่า สนฺตานกํ ได้แก่ รังตั๊กแตนและใยแมงมุมเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง. 
   ข้อว่า อุลฺโลกา ปฐมํ โอหาเรตพฺพํ มีความว่า พึงกวาดแต่เพดานลงมาก่อน คือลงมือกวาดเพดานเป็นต้นลงมา. 
   บทว่า อาโลกสนฺธิกณฺณภาคา ได้แก่ ส่วนหน้าต่างประตูและส่วนมุมห้อง.    อธิบายว่า พึงเช็ดบานหน้าต่างและบานประตูทั้งข้างในข้างนอก และ ๔ มุมห้อง. 
   ข้อว่า ยถาปฺตฺตํ ปญฺญาเปตพฺพํ มีความว่า เครื่องลาดพื้นเดิมเขาปูลาดไว้อย่างใด พึงปูไว้เหมือนอย่างนั้น. 
   จริงอยู่ เพื่อประโยชน์นี้แลจึงทรงบัญญัติวัตรข้อแรกไว้ว่า พึงสังเกตที่ปูเดิมไว้แล้วขนออกไปวางไว้ส่วนหนึ่ง. แต่ถ้าเครื่องลาดพื้นนั้นเป็นของบางคนซึ่งไม่เข้าใจได้ปูลาดไว้ก่อน พึงปูให้ห่างฝาโดยรอบ สัก ๒ นิ้วหรือ ๓ นิ้ว. 
   อันธรรมเนียมการปูลาดมีดังนี้ :- 
   ถ้ามีเสื่อลำแพนแต่ใหญ่เกินไป พึงตัดพับชายเย็บผูกแล้วจึงปู ถ้าไม่เข้าใจพับชายเย็บผูก อย่าตัด. 
   ข้อว่า ปุรตฺถิมา วาตปานา ถเกตพฺพา มีความว่า พึงปิดหน้าต่างทิศตะวันออก. หน้าต่างแม้ที่เหลือ ก็พึงปิดอย่างนั้น. 
   บทว่า วูปกาเสตพฺโพ มีความว่า ตนเองพึงนำไปที่อื่น. 
   บทว่า วูปกาสาเปตพฺโพ มีความว่า พึงวานภิกษุอื่นว่าขอท่านช่วยพาพระเถระไปที่อื่นเถิด. 
   บทว่า วิเวเจตพฺพํ มีความว่า ตนเองพึงพูดให้ท่านสละเสีย. 
   บทว่า วิเวจาเปตพฺพํ มีความว่า พึงวานผู้อื่นว่า ขอท่านช่วยพูดให้พระเถระสละทิฏฐิทีเถิด. 
   ข้อว่า อุสฺสุกฺกํ กาตพฺพํ มีความว่า ภิกษุนั้นอันสัทธิวิหาริกพึงเข้าไปหาสงฆ์ขอร้องเพื่อให้ปริวาส ถ้าสัทธิวิหาริกเป็นผู้สามารถด้วยตน พึงให้ปริวาสด้วยตนเอง ถ้าไม่สามารถ พึงวานภิกษุอื่นให้ช่วยให้.
   ข้อว่า กินฺติ นุ โข มีความว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอแล. 
      มีนัยเหมือนกันทุกแห่ง. 
      ข้อว่า ลหุกาย วา ปริณาเมยฺย มีความว่า สงฆ์อย่าพึงทำอุกเขปนียกรรมเลย พึงทำตัชชนียกรรมหรือนิยสกรรมแทน. 
   จริงอยู่ สัทธิวิหาริกนั้นได้ทราบว่า สงฆ์ปรารถนาจะทำอุกเขปนียกรรมแก่อุปัชฌาย์ของเรา พึงเข้าไปหาทีละรูป อ้อนวอนว่า ขออย่าทำกรรมแก่อุปัชฌาย์ของผมเลยขอรับ ถ้าภิกษุทั้งหลายจะทำตัชชนียกรรมหรือนิยสกรรมให้ได้. 
   พึงอ้อนวอนเธอทั้งหลายว่า โปรดอย่าทำเลย. ถ้าภิกษุทั้งหลายจะทำจริงๆ ทีนั้น พึงอ้อนวอนอุปัชฌาย์ว่า ขอจงกลับประพฤติชอบเถิดขอรับ. ครั้นอ้อนวอนให้ท่านกลับประพฤติชอบได้อย่างนั้นแล้ว พึงอ้อนวอนภิกษุทั้งหลายว่า โปรดระงับกรรมเถิดขอรับ
สองบทว่า สมฺปริวตฺตกํ สมฺปริวตฺตกํ ได้แก่พลิกกลับไปรอบๆ.    ข้อว่า น จ อจฺฉินฺเน เถเว ปกฺกมิตพฺพํ มีความว่า ถ้าน้ำย้อมแม้เพียงเล็กน้อย ยังหยดอยู่ อย่าพึงหลีกไปเสีย. 
   วัตรทุกข้อเป็นต้นว่ายังไม่ได้เรียนอุปัชฌาย์ อย่าให้บาตรแก่คนบางคน ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสำหรับบุคคลซึ่งเป็นวิสภาคของอุปัชฌาย์. 
   ข้อว่า น อุปชฺฌายํ อนาปุจฺฉา คาโม ปวิสิตพฺโพ มีความว่า สัทธิวิหาริกปรารถนาจะเข้าไปด้วยบิณฑบาต หรือด้วยกรณียะอย่างอื่น พึงบอกลาก่อนจึงเข้าไป. 
   ถ้าอุปัชฌาย์ประสงค์จะลุกขึ้นแต่เช้าไปภิกษาจารไกล พึงสั่งว่าพวกภิกษุหนุ่มจงเข้าไปบิณฑบาตเถิด แล้วจึงไป. 
   เมื่ออุปัชฌาย์ไม่ได้สั่งไว้ไปเสีย สัทธิวิหาริกไปถึงบริเวณไม่เห็นอุปัชฌาย์จะเข้าบ้านก็ควร. 
   ถ้าแม้กำลังเข้าไปในบ้านและพบเข้า ควรจะบอกลาตั้งแต่ที่ที่พบทีเดียว.    ข้อว่า น สุสานํ คนฺตพฺพํ มีความว่า ไม่ไปเพื่อต้องการอยู่ หรือเพื่อต้องการดู. 
   ในข้อว่า น ทิสา ปกฺกมิตพฺพา นี้ มีวินิจฉัยว่า 
   สัทธิวิหาริกผู้ประสงค์จะไป พึงชี้แจงถึงกิจการแล้วอ้อนวอนเพียงครั้งที่สาม. ถ้าท่านอนุญาต เป็นการสำเร็จ, ถ้าไม่อนุญาตเมื่อเธออาศัยท่านอยู่ 
   อุทเทสก็ดี ปริปุจฉาก็ดี กัมมัฏฐานก็ดี ไม่สำเร็จ (เพราะ) อุปัชฌาย์เป็นคนโง่ไม่เฉียบแหลม ไม่ยอมให้ไปเช่นนั้น เพราะมุ่งหมายจะให้อยู่ในสำนักของตนถ่ายเดียว เมื่ออุปัชฌาย์เช่นนี้แม้ห้ามจะขืนไป ก็ควร. 
      ข้อว่า วุฏฺฐานสฺส อาคเมตพฺพํ 
      มีความว่า พึงรอจนหายจากความเจ็บไข้ ไม่ควรไปข้างไหนเสีย. ถ้ามีภิกษุอื่นเป็นผู้พยาบาล พึงหายามามอบไว้ในมือของเธอ แล้วเรียนท่านว่า ภิกษุนี้จักพยาบาลขอรับ แล้วจึงไป.

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ อุปัชฌายวัตรภาณวาร ต้นเหตุอุปัชฌายวัตรเป็นต้น

     [๗๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายไม่มีอุปัชฌาย์ ไม่มีใครตักเตือน ไม่มีใครพร่ำสอน ย่อมนุ่งห่มไม่เรียบร้อย
   มีมรรยาท  ไม่สมควร เที่ยวบิณฑบาต เมื่อประชาชนกำลังบริโภค ย่อมน้อมบาตรสำหรับเที่ยวบิณฑบาตเข้าไปข้างบนของควรบริโภคบ้าง ข้างบนของควรเคี้ยวบ้าง ข้างบนของควรลิ้มบ้าง ข้างบนของควรดื่มบ้าง ขอแกงบ้าง ข้าวสุกบ้าง   ด้วยตนเองมาฉัน แม้ในโรงอาหารก็เป็นผู้มีเสียงอื้ออึง มีเสียงดังอยู่.
   คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้นุ่งห่มไม่เรียบร้อย มีมรรยาทไม่สมควร เที่ยวบิณฑบาต เมื่อประชาชนกำลังบริโภค ได้น้อมบาตรสำหรับเที่ยวบิณฑบาตเข้าไปข้างบนของควรบริโภคบ้าง ข้างบนของควรเคี้ยวบ้าง ข้างบนของควรลิ้มบ้าง ข้างบนของควรดื่มบ้าง ขอแกงบ้าง ข้าวสุกบ้าง ด้วยตนเองมาฉัน 
   แม้ในโรงอาหารก็ได้เป็นผู้มีเสียงอื้ออึง มีเสียงดังอยู่ เหมือนพวกพราหมณ์ในสถานที่เลี้ยงพราหมณ์ ฉะนั้น.
   [๗๘] ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่. บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุทั้งหลาย จึงได้นุ่งห่มไม่เรียบร้อย มีมรรยาทไม่สมควร เที่ยวบิณฑบาต
   เมื่อประชาชนกำลังบริโภค ได้น้อมบาตรสำหรับเที่ยวบิณฑบาตเข้าไปข้างบนของควรบริโภคบ้าง ข้างบนของควรเคี้ยวบ้าง ข้างบนของควรลิ้มบ้าง ข้างบนของควรดื่มบ้าง ขอแกงบ้าง ข้าวสุกบ้าง
   ด้วยตนเองมาฉัน แม้ในโรงอาหารก็ได้เป็นผู้มีเสียงอื้ออึง มีเสียงดังอยู่ ดังนี้ แล้วกราบทูลความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.

ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม

   [๗๙] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ข่าวว่า ภิกษุทั้งหลาย นุ่งห่มไม่เรียบร้อย มีมรรยาทไม่สมควรเที่ยวบิณฑบาต เมื่อประชาชนกำลังบริโภคย่อมน้อมบาตรสำหรับเที่ยวบิณฑบาต เข้าไปข้างบนของควรบริโภคบ้าง ข้างบนของควรเคี้ยวบ้าง ข้างบนของควรลิ้มบ้าง ข้างบนของควรดื่มบ้าง ขอแกงบ้าง ข้าวสุกบ้าง ด้วยตนเองมาฉัน
แม้ในโรงอาหารก็เป็นผู้มีเสียงอื้ออึง มีเสียงดังอยู่ จริงหรือ?
   ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียน

   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของโมฆบุรุษเหล่านั้นไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนโมฆบุรุษเหล่านั้น จึงได้นุ่งห่มไม่เรียบร้อย มีมรรยาทไม่สมควรเที่ยวบิณฑบาต 
   เมื่อประชาชนกำลังบริโภค ได้น้อมบาตรสำหรับเที่ยวบิณฑบาตเข้าไปข้างบนของควรบริโภคบ้าง ข้างบนของควรเคี้ยวบ้าง ข้างบนของควรลิ้มบ้าง ข้างบนของควรดื่มบ้าง ขอแกงบ้าง ข้าวสุกบ้าง ด้วยตนเองมาฉัน แม้ในโรงอาหารก็ได้เป็นผู้มีเสียงอื้ออึง มีเสียงดังอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   การกระทำของโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกผู้เลื่อมใสแล้ว.

ทรงอนุญาตอุปัชฌายะ

   [๘๐] ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงติเตียนภิกษุเหล่านั้นโดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว จึงตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความกำจัด ความขัดเกลา อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม
   การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งว่า 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   เราอนุญาตอุปัชฌายะ อุปัชฌายะจักตั้งจิตสนิทสนมในสัทธิวิหาริกฉันบุตร สัทธิวิหาริกจักตั้งจิตสนิทสนมในอุปัชฌายะฉันบิดา เมื่อเป็นเช่นนี้ อุปัชฌายะและสัทธิวิหาริกนั้น ต่างจักมีความเคารพ ยำเกรง ประพฤติกลมเกลียวกันอยู่ จักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลสัทธิวิหาริกพึงถืออุปัชฌายะอย่างนี้.  

วิธีถืออุปัชฌายะ

   สิทธิวิหาริกนั้น พึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ไหว้เท้า นั่งกระหย่ง ประคองอัญชลีแล้วกล่าวคำอย่างนี้ ๓ หน
   ท่านเจ้าข้า ขอท่านจงเป็นอุปัชฌายะของข้าพเจ้า, ท่านเจ้าข้า ขอท่านจงเป็นอุปัชฌายะของข้าพเจ้า,
   ท่านเจ้าข้า ขอท่านจงเป็นอุปัชฌายะของข้าพเจ้า.
   อุปัชฌายะรับว่า ดีละ เบาใจละ ชอบแก่อุบายละ สมควรละ หรือรับว่า จงยังความปฏิบัติให้ถึงพร้อมด้วยอาการอันน่าเลื่อมใสเถิด ดังนี้ก็ได้
   รับด้วยกาย รับด้วยวาจา รับด้วยกายด้วยวาจาก็ได้ เป็นอันสัทธิวิหาริกถืออุปัชฌายะแล้ว
   ไม่รับด้วยกาย ไม่รับด้วยวาจา ไม่รับด้วยทั้งกายและวาจา ไม่เป็นอันสิทธิวิหาริกถืออุปัชฌายะ.

อุปัชฌายะวัตร

   [๘๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัทธิวิหาริกพึงประพฤติชอบในอุปัชฌายะ.
   วิธีประพฤติชอบในอุปัชฌายะนั้น มีดังต่อไปนี้:-
   สัทธิวิหาริกพึงลุกแต่เช้าตรู่ ถอดรองเท้า ห่มผ้าเฉวียงบ่า แล้วถวายไม้ชำระฟัน ถวายน้ำล้างหน้า ปูอาสนะไว้
   ถ้ายาคูมี พึงล้างภาชนะแล้วน้อมยาคูเข้าไปถวาย เมื่ออุปัชฌายะดื่มยาคูแล้ว พึงถวายน้ำ รับภาชนะมาถือต่ำๆ อย่าให้กระทบกัน ล้างให้สะอาดแล้วเก็บไว้ เมื่ออุปัชฌายะลุกแล้ว พึงเก็บอาสนะ
      ถ้าที่นั้นรก พึงกวาดที่นั้นเสีย.
      ถ้าอุปัชฌายะประสงค์จะเข้าบ้าน พึงถวายผ้านุ่ง พึงรับผ้านุ่งผลัดมา พึงถวายประคตเอวพึงพับผ้าสังฆาฏิเป็นชั้นถวาย  พึงล้างบาตรแล้วถวายพร้อมทั้งน้ำด้วย
   ถ้าอุปัชฌายะปรารถนาจะให้เป็นปัจฉาสมณะ พึงปกปิดมณฑล ๓ นุ่งให้เป็นปริมณฑลแล้วคาดประคตเอว ห่มสังฆาฏิ ทำเป็นชั้น กลัดดุม ล้างบาตรแล้ว ถือไป เป็นปัจฉาสมณะของอุปัชฌายะ ไม่พึงเดินให้ห่างนัก ไม่พึงเดินให้ชิดนัก พึงรับวัตถุที่เนื่องในบาตร
   เมื่ออุปัชฌายะกำลังพูด ไม่พึงพูดสอดขึ้นในระหว่าง อุปัชฌายะกล่าวถ้อยคำใกล้ต่ออาบัติ พึงห้ามเสีย
   เมื่อกลับ พึงมาก่อน แล้วปูอาสนะที่นั่งฉันไว้ พึงเตรียมน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้ากระเบื้องเช็ดเท้าไว้ พึงลุกขึ้นรับบาตรและจีวร พึงถวายผ้านุ่งผลัด พึงรับผ้านุ่งมา.
   ถ้าจีวรชุ่มเหงื่อ พึงผึ่งแดดไว้ครู่หนึ่ง แต่ไม่พึงผึ่งทิ้งไว้ที่แดด พึงพับจีวร เมื่อพับจีวร พึงพับให้เหลื่อมมุมกัน ๔ นิ้ว ด้วยตั้งใจมิให้มีรอยพับตรงกลาง พึงทำประคตเอวไว้ในขนดอันตรวาสก.
   ถ้าบิณฑบาตมี และอุปัชฌายะประสงค์จะฉัน พึงถวายน้ำ แล้วน้อมบิณฑบาตเข้าไปถวาย
   พึงถามอุปัชฌายะด้วยน้ำฉัน เมื่ออุปัชฌายะฉันแล้ว พึงถวายน้ำ รับบาตรมา ถือต่ำๆ อย่าให้กระทบ ล้างให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้ว ผึ่งไว้ที่แดดครู่หนึ่ง แต่ไม่พึงผึ่งทิ้งไว้ที่แดด
   พึงเก็บบาตรจีวร  เมื่อเก็บบาตร  พึงเอามือข้างหนึ่งจับบาตร เอามือข้างหนึ่งลูบคลำใต้เตียงหรือใต้ตั่ง แล้วจึงเก็บบาตร แต่ไม่พึงเก็บบาตรไว้บนพื้นที่ไม่มีสิ่งใดรอง
   เมื่อเก็บจีวร พึงเอามือข้างหนึ่งถือจีวร เอามือข้างหนึ่งลูบราวจีวรหรือสายระเดียงแล้วทำชายไว้ข้างนอก ทำขนดไว้ข้างใน แล้วจึงเก็บจีวร
   เมื่ออุปัชฌายะลุกแล้ว พึงเก็บอาสนะ เก็บน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบื้องเช็ดเท้าถ้าที่นั้นรก พึงกวาดที่นั้นเสีย.
   ถ้าอุปัชฌายะใคร่จะสรงน้ำ พึงจัดน้ำสรงถวาย ถ้าต้องการน้ำเย็น พึงจัดน้ำเย็นถวาย ถ้าต้องการน้ำร้อน พึงจัดน้ำร้อนถวาย.
   ถ้าอุปัชฌายะประสงค์จะเข้าเรือนไฟ พึงบดจุณ แช่ดิน ถือตั่งสำหรับเรือนไฟแล้วเดินตามหลังอุปัชฌายะไป ถวายตั่งสำหรับเรือนไฟแล้ว รับจีวรมาวางไว้ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
      พึงถวายจุณ ถวายดิน
      ถ้าอุตสาหะอยู่ พึงเข้าเรือนไฟ เมื่อเข้าเรือนไฟ พึงเอาดินทาหน้า ปิดทั้งข้างหน้า ข้างหลัง แล้วเข้าเรือนไฟ ไม่พึงนั่งเบียดภิกษุผู้เถระ ไม่พึงห้ามกันอาสนะภิกษุใหม่
      พึงทำบริกรรม แก่อุปัชฌายะในเรือนไฟ
      เมื่อออกจากเรือนไฟ พึงถือตั่งสำหรับเรือนไฟ แล้วปิดทั้งข้างหน้าทั้งข้างหลังออกจากเรือนไฟ
    พึงทำบริกรรมแก่อุปัชฌายะแม้ในน้ำ อาบเสร็จแล้ว พึงขึ้นมาก่อน ทำตัวของตนให้แห้งน้ำ นุ่งผ้าแล้ว พึงเช็ดน้ำจากตัวของอุปัชฌายะ  พึงถวายผ้านุ่ง พึงถวายผ้าสังฆาฏิ ถือตั่งสำหรับเรือนไฟมาก่อน แล้วปูอาสนะไว้ เตรียมน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบื้องเช็ดเท้าไว้พึงถามอุปัชฌายะด้วยน้ำฉัน.
   ถ้าประสงค์จะเรียนบาลี พึงขอให้อุปัชฌายะแสดงบาลีขึ้น ถ้าประสงค์จะสอบถามอรรถกถา พึงสอบถาม. อุปัชฌายะอยู่ในวิหารแห่งใด ถ้าวิหารแห่งนั้นรก ถ้าอุตสาหะอยู่ พึงปัดกวาดเสีย
   เมื่อปัดกวาดวิหาร พึงขนบาตรจีวรออกก่อน แล้ววางไว้ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พึงขนผ้าปูนั่งและผ้าปูนอน ฟูก หมอน ออกวางไว้ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
   เตียงตั่ง สัทธิวิหาริกพึงยกต่ำๆ อย่าให้ครูดสี อย่าให้กระทบกระแทกบานและกรอบประตู ขนออกให้เรียบร้อย แล้วตั้งไว้ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เขียงรองเตียง กระโถน พนักอิง พึงขนออกตั้งไว้ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เครื่องปูพื้น พึงสังเกตที่ปูไว้เดิม แล้วขนออกวางไว้ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
   ถ้าในวิหารมีหยากเยื่อ พึงกวาดแต่เพดานลงมาก่อน กรอบหน้าต่างและมุมห้องพึงเช็ดเสีย ถ้าฝาเขาทำบริกรรมด้วยน้ำมัน หรือพื้นเขาทาสีดำขึ้นรา พึงเอาผ้าชุบน้ำบิดแล้วเช็ดเสีย
   ถ้าพื้นเขามิได้ทำ พึงเอาน้ำประพรมแล้วเช็ดเสีย ระวังอย่าให้วิหารฟุ้งด้วยธุลี พึงกวาดหยากเยื่อทิ้งเสีย ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
   เครื่องลาดพื้น พึงผึ่งแดด ชำระ เคาะปัด แล้วขนกลับปูไว้ตามเดิม เขียงรองเตียงพึงผึ่งแดด ขัด เช็ด แล้วขนกลับตั้งไว้ที่เดิม เตียงตั่ง พึงผึ่งแดดขัดสี เคาะเสีย ยกต่ำๆ อย่าให้ครูดสี กระทบกระแทกบานและกรอบประตู ขนกลับไปให้ดีๆ แล้วตั้งไว้ตามเดิม ฟูก หมอน ผ้าปูนั่ง ผ้าปูนอน พึงผึ่งแดด ทำให้สะอาด ตบเสีย แล้วนำกลับวางปูไว้ตามเดิม กระโถน พนักอิงพึงผึ่งแดด เช็ดถูเสียแล้วขนกลับตั้งไว้ตามเดิม
   พึงเก็บบาตรจีวร เมื่อเก็บบาตร พึงเอามือข้างหนึ่งจับบาตร เอามือข้างหนึ่งลูบคลำใต้เตียงหรือใต้ตั่งแล้วจึงเก็บบาตร แต่ไม่พึงเก็บบาตรบนพื้นที่ไม่มีสิ่งใดรอง
   เมื่อเก็บจีวร พึงเอามือข้างหนึ่งถือจีวร เอามือข้างหนึ่งลูบราวจีวรหรือสายระเดียง แล้ว แล้วทำชายไว้ข้างนอก ทำขนดไว้ข้างใน แล้วเก็บจีวร.
   ถ้าลมเจือด้วยผงคลีพัดมาแต่ทิศตะวันออก พึงปิดหน้าต่างด้านตะวันออก ถ้าพัดมาแต่ทิศตะวันตก พึงปิดหน้าต่างด้านตะวันตก ถ้าพัดมาแต่ทิศเหนือ พึงปิดหน้าต่างด้านเหนือ
   ถ้าพัดมาแต่ทิศใต้ พึงปิดหน้าต่างด้านใต้ ถ้าฤดูหนาวพึงเปิดหน้าต่างกลางวัน กลางคืนพึงปิด
   ถ้าฤดูร้อน พึงปิดหน้าต่างกลางวัน กลางคืนพึงเปิด.
   ถ้าบริเวณ ซุ้มน้ำ โรงฉัน โรงไฟ วัจจกุฎี รก พึงปัดกวาดเสีย ถ้าน้ำฉันน้ำใช้ไม่มี พึงจัดตั้งไว้ ถ้าน้ำในหม้อชำระไม่มี พึงตักน้ำมาไว้ในหม้อชำระ.
   ถ้าความกระสันบังเกิดแก่อุปัชฌายะ สัทธิวิหาริกพึงช่วยระงับ หรือพึงวานภิกษุอื่นให้ช่วยระงับ หรือพึงทำธรรมกถาแก่อุปัชฌายะนั้น ถ้าความรำคาญบังเกิดแก่อุปัชฌายะ สัทธิวิหาริก
   พึงช่วยบรรเทา หรือพึงวานภิกษุอื่นให้ช่วยบรรเทา หรือพึงทำธรรมกถาแก่อุปัชฌายะนั้น ถ้าความเห็นผิดบังเกิดแก่อุปัชฌายะ สัทธิวิหาริกพึงให้สละเสีย หรือพึงวานภิกษุอื่นให้ช่วย หรือพึงทำธรรมกถาแก่อุปัชฌายะนั้น. 
   ถ้าอุปัชฌายะต้องอาบัติหนักควรปริวาส สัทธิวิหาริกพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ สงฆ์พึงให้ปริวาสแก่อุปัชฌายะ ถ้าอุปัชฌายะควรชักเข้าหาอาบัติเดิม สัทธิวิหาริกพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ สงฆ์พึงชักอุปัชฌายะเข้าหาอาบัติเดิม
   ถ้าอุปัชฌายะควรมานัต สัทธิวิหาริกพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ สงฆ์พึงให้มานัตแก่อุปัชฌายะ ถ้าอุปัชฌายะควรอัพภาน สัทธิวิหาริกพึงทำความขวนขวายว่าด้วยอุบายอย่างไรหนอ สงฆ์พึงอัพภานอุปัชฌายะ.
   ถ้าสงฆ์ปรารถนาจะทำกรรมแก่อุปัชฌายะ คือ ตัชชนียกรรม นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรม ปฏิสารณียกรรม หรืออุกเขปนียกรรม สัทธิวิหาริก พึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ
   สงฆ์ไม่พึงทำกรรมแก่อุปัชฌายะ หรือสงฆ์พึงน้อมไปเพื่อกรรมสถานเบา หรืออุปัชฌายะนั้นถูกสงฆ์ลงตัชชนียกรรม นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรม ปฏิสารณียกรรม หรืออุกเขปนียกรรมแล้ว สัทธิวิหาริกพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ 
   อุปัชฌายะ พึงประพฤติชอบ พึงหายเย่อหยิ่ง พึงประพฤติแก้ตัว สงฆ์พึงระงับกรรมนั้นเสีย.
   ถ้าจีวรของอุปัชฌายะจะต้องซัก สัทธิวิหาริกพึงซัก หรือพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ ใครๆ พึงซักจีวรของอุปัชฌายะ ถ้าจีวรของอุปัชฌายะจะต้องทำ สัทธิวิหาริก พึงทำ หรือพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ ใครๆ พึงทำจีวรของอุปัชฌายะ
   ถ้าน้ำย้อมของอุปัชฌายะจะต้องต้ม สัทธิวิหาริกพึงต้ม หรือพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ ใครๆ พึงต้มน้ำย้อมของอุปัชฌายะ ถ้าจีวรของอุปัชฌายะจะต้องย้อม สัทธิวิหาริก พึงย้อม หรือพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ
      ใครๆ พึงย้อมจีวรของอุปัชฌายะ
      เมื่อย้อมจีวร พึงย้อมพลิกกลับไปกลับมาให้ดีๆ เมื่อหยาดน้ำย้อมยังหยดไม่ขาดสาย ไม่พึงหลีกไปเสีย.
   สัทธิวิหาริกไม่บอกอุปัชฌายะก่อน ไม่พึงให้บาตรแก่ภิกษุบางรูป ไม่พึงรับบาตรของภิกษุบางรูป ไม่พึงให้จีวรแก่ภิกษุบางรูป ไม่พึงรับจีวรของภิกษุบางรูป ไม่พึงให้บริขารแก่ภิกษุบางรูป ไม่พึงรับบริขารของภิกษุบางรูป 
   ไม่พึงปลงผมให้ภิกษุบางรูป ไม่พึงให้ภิกษุบางรูปปลงผมให้ ไม่พึงทำบริกรรม ไม่พึงให้ภิกษุบางรูปทำบริกรรมให้ ไม่พึงทำความขวนขวายแก่ภิกษุบางรูป
   ไม่พึงสั่งให้ภิกษุบางรูปทำความขวนขวาย ไม่พึงเป็นปัจฉาสมณะของภิกษุบางรูป ไม่พึงพาภิกษุบางรูปไปเป็นปัจฉาสมณะ ไม่พึงนำบิณฑบาตไปให้ภิกษุบางรูป ไม่พึงให้ภิกษุบางรูปนำบิณฑบาตมาให้ ไม่ลาอุปัชฌายะก่อน 
   ไม่พึงเข้าบ้าน ไม่พึงไปป่าช้า  ไม่พึงหลีกไปสู่ทิศ ถ้าอุปัชฌายะอาพาธ พึงพยาบาลจนตลอดชีวิต พึงรอจนกว่าจะหาย.
อุปัชฌายวัตร จบ