Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อเจลกวรรค ๕ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อเจลกวรรค ๕ แสดงบทความทั้งหมด

16 กันยายน 2567

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๕ อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ เรื่องพระฉัพพัคคีย์ [ว่าด้วย ไปสู่สนามรบ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๕๗๑]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.  ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์กำลังอยู่ในกองทัพ ๒-๓ คืน ไปสู่สนามรบบ้าง ไปสู่ที่พักพลบ้าง ไปสู่ที่จัดขบวนทัพบ้าง ไปดูกองทัพที่จัดเป็นขบวนแล้วบ้าง. พระฉัพพัคคีย์รูปหนึ่งไปสู่สนามรบแล้วถูกยิงด้วยลูกปืน. คนทั้งหลายจึงล้อเธอว่า พระคุณเจ้าได้รบเก่งมาแล้วกระมัง, พระคุณเจ้าได้คะแนนเท่าไร. เธอถูกเขาล้อได้เก้อเขินแล้ว, ชาวบ้านจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงได้มาถึงสนามรบ เพื่อจะดูเขาเล่า? มิใช่ลาภของพวกเรา, แม้พวกเราที่มาสนามรบ เพราะเหตุแห่งอาชีพ เพราะเหตุแห่งบุตรภรรยา ก็ได้ไม่ดีแล้ว. ภิกษุทั้งหลายได้ยินเขาเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่. บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้ไปถึงสนามรบเพื่อจะดูเขาเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... 

ทรงสอบถาม

         พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอไปถึง สนามรบเพื่อดูเขา จริงหรือ? 
         พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท 

         พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงได้ถึงสนามรบเพื่อดูเขาเล่า? การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... 
         ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 

บัญญัติ

          ๙๙. ๑๐. ถ้าภิกษุอยู่ในเสนา ๒-๓ คืน ไปสู่สนามรบก็ดี ไปสู่ที่พักพลก็ดี ไปสู่ที่จัดขบวนทัพก็ดี ไปดูกองทัพที่จัดเป็นขบวนแล้วก็ดี, เป็นปาจิตตีย์ เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

         [๕๗๒] คำว่า ถ้าภิกษุอยู่ในเสนา ๒-๓ คืน นั้น คือ พักแรมอยู่ ๒-๓ คืน. 
     ที่ชื่อว่า สนามรบ ได้แก่ สถานที่มีการรบพุ่ง ซึ่งยังปรากฏอยู่. 
     ที่ชื่อว่า ที่พักพล ได้แก่สถานที่พักกองช้างมีประมาณเท่านี้, กองม้ามีประมาณเท่านี้, กองรถมีประมาณเท่านี้, กองพลเดินเท้ามีประมาณเท่านี้, 
         ที่ชื่อว่า ที่จัดขบวนทัพ ได้แก่สถานที่เขาจัดว่า กองช้างจงอยู่ทางนี้, กองม้าจงอยู่ทางนี้, กองรถจงอยู่ทางนี้, กองพลเดินเท้าจงอยู่ทางนี้, 
         ที่ชื่อว่า กองทัพที่จัดเป็นขบวนแล้ว ได้แก่ กองทัพช้าง ๑ กองทัพม้า ๑ กองทัพรถ ๑ กองพลเดินเท้า ๑. 
         กองทัพช้างอย่างต่ำมี ๓ เชือก, กองทัพม้าอย่างต่ำมี ๓ ม้า, กองทัพรถอย่างต่ำมี ๓ คัน, กองพลเท้าอย่างต่ำมีทหารถือปืน ๔ คน.

บทภาชนีย์

         [๕๗๓] ภิกษุไปเพื่อจะดู, ต้องอาบัติทุกกฏ. 
         ภิกษุยืนอยู่ในสถานที่เช่นไรมองเห็น, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
       ภิกษุละทัศนูปจารแล้ว ยังมองดูอยู่อีก, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
         ภิกษุไปเพื่อจะดูกองทัพแต่ละกอง, ต้องอาบัติทุกกฏ. 
         ภิกษุยืนดูอยู่ในที่ใดมองเห็น, ต้องอาบัติทุกกฏ. 
         ภิกษุละทัศนูปจารแล้วยังมองดูอีก, ต้องอาบัติทุกกฏ. 

อนาปัตติวาร

         [๕๗๔] ภิกษุอยู่ในอารามมองเห็น ๑, การรบพุ่งผ่านมายังสถานที่ภิกษุยืน นั่ง หรือนอนเธอมองเห็น ๑, ภิกษุเดินสวนทางไปพบเข้า ๑, ภิกษุมีกิจจำเป็นเดินไปพบเข้า ๑, มีอันตราย ๑, ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล. 
อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ.  ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๕ จบ 

หัวข้อประจำเรื่อง

        ๑. อเจลกสิกขาบท ว่าด้วยแจกขนมแก่นักบวช 
        ๒. อุยโยชนสิกขาบท ว่าด้วยบอกให้กลับ 
        ๓. สโภชนสิกขาบท ว่าด้วยนั่งแทรกแซง 
        ๔. ปฐมานิยตสิกขาบท ว่าด้วยนั่งในที่กำบัง 
        ๕. ทุติยานิยตสิกขาบท ว่าด้วยนั่งในที่ลับ 
        ๖. จาริตตสิกขาบท ว่าด้วยรับนิมนต์แล้วไปฉันที่อื่น 
        ๗. มหานามสิกขาบท ว่าด้วยปวารณาด้วยปัจจัย 
        ๘. อุยยุตตสิกขาบท ว่าด้วยไปดูกองทัพ 
        ๙. เสนาวาสสิกขาบท ว่าด้วยอยู่ในกองทัพ 
        ๑๐. อุยโยธิกสิกขาบท ว่าด้วยไปสู่สนามรบ 
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ อเจลกวรรคที่ ๕
            สิกขาบทที่ ๑๐         อเจลกวรรค อุยยุตต 
              ในสิกขาบทที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
 [ว่าด้วยการจัดขบวนทัพสมัยโบราณ] 
            ชนทั้งหลายยกพวกไปรบกัน ณ ที่นี้ เพราะฉะนั้น ที่นั้นจึงชื่อว่า สนามรบ. 
            คำว่า อุยโยธิกะ นี้ เป็นชื่อแห่งที่สัมประหารกัน (ยุทธภูมิหรือสมรภูมิ). 
            พวกชนย่อมรู้จักที่พักของพลรบ ณ ที่นี้ ฉะนั้น ที่นั้นจึงชื่อว่า ที่พักพล. ได้ความว่า สถานที่ตรวจพล. 
            การจัดขบวนทัพ ชื่อว่า เสนาพยูหะ. 
            คำว่า เสนาพยูหะ นี้เป็นชื่อแห่งการจัดขบวนทัพ. 
            ข้อว่า กองทัพช้างอย่างต่ำมีช้าง ๓ เชือก นั้นได้แก่ ช้าง ๓ เชือกรวมกับช้างเชือกที่มีทหารประจำ ๑๒ คน ดังกล่าวแล้วในเบื้องต้น. 
            แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้นั่นแล. คำที่เหลือพร้อมด้วยสมุฏฐานเป็นต้น. 
           บัณฑิตพึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้ว ในอุยยุตตสิกขาบทนั่นแล. 
        อุยโยธิกสิกขาบทที่ ๑๐ จบ 
         อเจลกวรรคที่ ๕ จบบริบูรณ์ตามวรรณนานุกรม.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๕ อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๙ เรื่องพระฉัพพัคคีย์ [ว่าด้วย อยู่ในกองทัพ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๕๖๗]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์มีกิจจำเป็นเดินผ่านกองทัพไปแล้วแรมคืนอยู่ในกองทัพเกิน ๓ ราตรี. ประชาชนพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้พักแรมอยู่ในกองทัพเล่า? มิใช่ลาภของพวกเรา แม้พวกที่มาอยู่ในกองทัพ เพราะเหตุแห่งอาชีพ เพราะเหตุแห่งบุตรภรรยาก็ได้ไม่ดีแล้ว. ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนเหล่านั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์จึงได้พักแรมอยู่ในกองทัพเกิน ๓ ราตรีเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... 

ทรงสอบถาม

               พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอพักแรม อยู่ในกองทัพเกิน ๓ ราตรี จริงหรือ? 
               พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงได้พักแรมอยู่ในกองทัพเกิน ๓ ราตรีเล่า? การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... 
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 

บัญญัติ

               ๙๘. ๙. อนึ่ง ปัจจัยบางอย่างเพื่อจะไปสู่เสนา มีแก่ภิกษุนั้น ภิกษุนั้นพึงอยู่ได้ในเสนาเพียง ๒-๓ คืน ถ้าอยู่ยิ่งกว่านั้น เป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

               [๕๖๘] คำว่า อนึ่ง ปัจจัยบางอย่างเพื่อจะไปสู่เสนา มีแก่ภิกษุนั้น คือ มีเหตุได้แก่มีกิจจำเป็น. 
               คำว่า ภิกษุนั้นพึงอยู่ได้ในเสนาเพียง ๒-๓ คืน คือ พึงอยู่ได้ ๒-๓ คืน. 
               คำว่า ถ้าอยู่ยิ่งกว่านั้น ความว่า เมื่ออาทิตย์อัสดงค์ในวันที่ ๔ แล้วภิกษุยังอยู่ในกองทัพ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

บทภาชนีย์ ติกะปาจิตตีย์

               [๕๖๙] เกิน ๓ คืน ภิกษุสำคัญว่าเกิน อยู่ในกองทัพ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               เกิน ๓ คืน ภิกษุยังแคลงอยู่ อยู่ในกองทัพ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               เกิน ๓ คืน ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ถึง อยู่ในกองทัพ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

ทุกะทุกกฏ

               ยังไม่ถึง ๓ คืน ภิกษุสำคัญว่าเกิน ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               ยังไม่ถึง ๓ คืน ภิกษุยังแคลงอยู่ ... ต้องอาบัติทุกกฏ.

ไม่ต้องอาบัติ

               ยังไม่ถึง ๓ คืน ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ถึง ... ไม่ต้องอาบัติ 

อนาปัตติวาร

[๕๗๐] ภิกษุอยู่ ๒-๓ คืน ๑ ภิกษุอยู่ไม่ถึง ๒-๓ คืน ๑ ภิกษุอยู่ ๒ คืนแล้วออกไปก่อนอรุณของคืนที่ ๓ ขึ้นมา กลับอยู่ใหม่ ๑ ภิกษุอาพาธพักแรมอยู่ ๑ ภิกษุอยู่ด้วยกิจธุระของภิกษุอาพาธ ๑ ภิกษุตกอยู่ในกองทัพที่ถูกข้าศึกล้อมไว้ ๑ ภิกษุมีเหตุบางอย่างขัดขวางไว้ ๑ มีอันตราย ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ. 
               อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ อเจลกวรรคที่ ๕ สิกขาบทที่ ๙        อเจลกวรรค อุยยุตต 
               ในสิกขาบทที่ ๙ มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
 [ว่าด้วยเหตุต้องอยู่ในกองทัพเกิน ๓ ราตรี] 
            คำว่า อตฺถงฺคเต สุริเย เสนาย วสติ มีความว่า ถ้าแม้นภิกษุสำเร็จอิริยาบถบางอิริยาบถ บนอากาศด้วยฤทธิ์ จะยืนหรือนั่ง หรือนอนก็ตามที เป็นปาจิตตีย์ทั้งนั้น. 
            คำว่า เสนา วา ปฏิเสนาย รุทฺธา โหติ มีความว่า กองทัพถูกทัพข้าศึกล้อมไว้ ทำให้ทางสัญจรขาดลง. 
            บทว่า ปลิพุทฺโธ คือ ถูกไพรีหรืออิสรชนขัดขวางไว้. 
         บทที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
         สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๕ อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๘ เรื่องพระฉัพพัคคีย์ [ว่าด้วย ไปดูกองทัพ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๕๖๒]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงยกกองทัพออก พระฉัพพัคคีย์ได้ไปดูกองทัพที่ยกออกแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทอดพระเนตรเห็นพระฉัพพัคคีย์กำลังเดินมาแต่ไกลเทียว ครั้นแล้วรับสั่งให้นิมนต์มาตรัสถามว่า พระคุณเจ้าทั้งหลายมาเพื่อประสงค์อะไร เจ้าข้า? 
              พระฉัพพัคคีย์ถวายพระพรว่า พวกอาตมภาพประสงค์จะเฝ้ามหาบพิตร. 
              พระเจ้าปเสนทิโกศลรับสั่งว่า จะได้ประโยชน์อะไรด้วยการดูดิฉันผู้เพลิดเพลินในการรบ พระคุณเจ้าควรเฝ้าพระผู้มีพระภาคมิใช่หรือ? 
               ประชาชนพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้พากันมาดูกองทัพซึ่งยกออกแล้วเล่า? ไม่ใช่ลาภของพวกเรา แม้พวกเราที่พากันมาในกองทัพ เพราะเหตุแห่งอาชีพ เพราะเหตุแห่งบุตรภรรยาก็ได้ไม่ดีแล้ว, 
              ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนเหล่านั้น พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์จึงได้ไปดูกองทัพที่ยกออกไปเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 

ทรงสอบถาม

              พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอไปดูกองทัพซึ่งยกออกแล้ว จริงหรือ? 
               พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

              พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงได้ไปดูกองทัพซึ่งยกออกไปเล่า? การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว. 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 

พระบัญญัติ

              ๙๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด ไปเพื่อจะดูเสนาอันยกออกแล้ว เป็นปาจิตตีย์. ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ. 

เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง 

[๕๖๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ลุงของภิกษุรูปหนึ่งป่วยอยู่ในกองทัพ เขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุนั้นว่า ลุงกำลังป่วยอยู่ในกองทัพ ขอพระคุณเจ้าจงมา ลุงต้องการให้พระคุณเจ้ามา จึงภิกษุนั้นดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลายไว้ว่า ภิกษุไม่พึงไปเพื่อจะดูเสนาอันยกออกแล้ว ก็นี่ลุงของเราป่วยอยู่ในกองทัพ เราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ แล้วแจ้งความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ กราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.

ทรงอนุญาตให้ไปในกองทัพได้เมื่อจำเป็น

              ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ไปในกองทัพได้ เพราะปัจจัยเห็นปานนั้น. 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 

พระอนุบัญญัติ

              ๙๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด ไปเพื่อจะดูเสนาอันยกออกแล้ว เว้นไว้แต่ปัจจัยมีอย่างนั้นเป็นรูป เป็นปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

              [๕๖๔] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
              บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
              ที่ชื่อว่า อันยกออกแล้ว ได้แก่ กองทัพซึ่งยกออกจากหมู่บ้านแล้ว ยังพักอยู่หรือเคลื่อนขบวนต่อไปแล้ว. 
              ที่ชื่อว่า เสนา ได้แก่กองทัพช้าง กองทัพม้า กองทัพรถ กองพลเดินเท้า 
              ช้าง ๑ เชือก มีทหารประจำ ๑๒ คน ม้า ๑ ม้า มีทหารประจำ ๓ คน รถ ๑ คัน มีทหารประจำ ๔ คน, กองพลเดินเท้ามีทหารถือปืน ๔ คน. ภิกษุไปเพื่อจะดู ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              ภิกษุยืนอยู่ในที่ใดมองเห็น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ภิกษุละทัศนูปจารแล้ว ยังมองดูอยู่อีก ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              บทว่า เว้นไว้แต่ปัจจัยมีอย่างนั้นเป็นรูป คือ ยกเหตุจำเป็นเสีย.

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

               [๕๖๕] กองทัพยกออกไปแล้ว ภิกษุสำคัญว่ายกออกไปแล้ว ไปเพื่อจะดูเว้นไว้แต่ปัจจัย เห็นปานนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              กองทัพยกออกไปแล้ว ภิกษุยังแคลงอยู่ ไปเพื่อจะดู เว้นไว้แต่ปัจจัยเห็นปานนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              กองทัพยกออกไปแล้ว ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ได้ยกออกไป ไปเพื่อจะดู เว้นไว้แต่ปัจจัยเห็นปานนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

ปัญจกะทุกกฏ

              ไปเพื่อจะดูกองทัพแต่ละกอง, ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              ยืนดูอยู่ในที่ใดมองเห็นได้ ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              ละทัศนูปจารแล้วยังมองดูอยู่อีก ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              กองทัพยังไม่ได้ยกออกไป ภิกษุสำคัญว่ายกออกไปแล้ว ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              กองทัพยังไม่ได้ยกออกไป ภิกษุยังแคลงอยู่  ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              ไม่ต้องอาบัติ           กองทัพยังไม่ได้ยกออกไป ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ได้ยกออกไป ... ไม่ต้องอาบัติ.

อนาปัตติวาร

 [๕๖๖] ภิกษุอยู่ในอารามมองเห็น ๑ กองทัพยกผ่านมายังสถานที่ภิกษุยืน นั่ง หรือนอน เธอมองเห็น ๑, ภิกษุเดินสวนทางไปพบเข้า ๑ มีเหตุจำเป็น ๑ มีอันตราย ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ.
               อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ อเจลกวรรคที่๕ สิกขาบทที่ ๘ อเจลกวรรค อุยยุตต 
               ในสิกขาบทที่ ๘ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- 
 [ว่าด้วยกองทัพ ๔ เหล่าสมัยโบราณ] 
               บทว่า อพฺภุยฺยาโต คือ ทรงยกกองทัพออกไป. 
               มีใจความว่า เคลื่อนกองทัพออกไปจากพระนคร ด้วยตั้งพระทัยว่า เราจักไปประจัญหน้าข้าศึก. 
               บทว่า อุยฺยุตฺตํ ได้แก่ กองทัพที่ทำการยกออกไปแล้ว. 
               มีใจความว่า กองทัพที่เคลื่อนออกจากหมู่บ้านไปแล้ว. 
               สองบทว่า ทฺวาทสปุริโส หตฺถี มีความว่า ช้าง ๑ เชือกมีทหารประจำ ๑๒ คน อย่างนี้ คือพลขับขี่ ๔ คน, พลรักษาประจำ เท้าช้างเท้าละ ๒ คน. 
               สองบทว่า ติปุริโส อสฺโส มีความว่า ม้า ๑ ม้ามีทหารประจำ ๓ คน อย่างนี้ คือพลขับขี่ ๑ คน, พลรักษาประจำเท้า ๒ คน. 
               สองบทว่า จตุปฺปุริโส รโถ มีความว่า รถ ๑ คันมีทหารประจำ ๔ คน อย่างนี้ คือสารถี (พลขับ) ๑ คน นักรบ (นายทหาร) ๑ พลรักษาสลักเพลา ๒ คน. 
               ข้อว่า จตฺตาโร ปุริสา สรหตฺถา ได้แก่ พลเดินเท้ามีพลอย่างนี้ คือทหารถืออาวุธครบมือ ๔ คน. กองทัพประกอบด้วยองค์ ๔ นี้ โดยกำหนดอย่างต่ำ ชื่อว่า เสนา. เมื่อไปดูเสนาเช่นนี้ เป็นทุกกฏ ทุกๆ ย่างเท้า. 
               สองบทว่า ทสฺสนูปจารํ วิชหิตฺวา มีความว่า กองทัพถูกอะไรบังไว้ หรือว่าลงสู่ที่ลุ่ม มองไม่เห็น, คือภิกษุยืนในที่นี้แล้วไม่อาจมองเห็น เพราะเหตุนั้น เมื่อภิกษุไปยังสถานที่อื่นดู เป็นปาจิตตีย์ ทุกๆ ประโยค. 
               บทว่า เอกเมกํ มีความว่า บรรดาองค์ ๔ มีช้างเป็นต้น แต่ละองค์ๆ ชั้นที่สุดช้าง ๑ เชือกมีพลขับ ๑ คนก็ดี พลเดินเท้าอาวุธ ๑ คนก็ดี. พระราชาชื่อว่าไม่ได้เสด็จยาตราทัพ เสด็จไปประพาสพระราชอุทยานหรือแม่น้ำ อย่างนี้ ชื่อว่าไม่ได้ทรงยาตราทัพ. 
               บทว่า อาปทาสุ มีความว่า เมื่อมีอันตรายแห่งชีวิต และอันตรายแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไปด้วยคิดว่า เราไปในกองทัพนี้ จักพ้นไปได้. 
               บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น. 
               สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานเหมือนเอฬกโลมสิกขาบท เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๕ อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๗ เรื่องมหานามศากยะ [ว่าด้วย ปวารณาด้วยปัจจัย] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๕๕๕]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เขตพระนคร กบิลพัสดุ์ สักกชนบท 
               ครั้งนั้น มหานามศากยะมีเภสัชมากมาย จึงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าประสงค์จะปวารณาต่อสงฆ์ด้วยปัจจัยเภสัชตลอด ๔ เดือน พระพุทธเจ้าข้า. 
              พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีๆ มหานาม ถ้าเช่นนั้น เธอจงปวารณาต่อสงฆ์ด้วยปัจจัยเภสัชตลอด ๔ เดือนเถิด. 
              ภิกษุทั้งหลายรังเกียจไม่รับปวารณา ได้กราบทูลเหตุนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ยินดีการปวารณาด้วยปัจจัย ๔ ตลอด ๔ เดือน. 
              ก็สมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายขอปัจจัยเภสัชต่อมหานามศากยะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ปัจจัยเภสัชของมหานามศากยะ จึงยังคงมากมายอยู่ตามเดิมนั่นแหละ 
              แม้ครั้งที่สอง มหานามศากยะก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าประสงค์จะปวารณาต่อสงฆ์ด้วยปัจจัยเภสัชต่ออีก ๔ เดือน พระพุทธเจ้าข้า. 
              พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีๆ มหานาม ถ้าเช่นนั้น เธอจงปวารณาต่อสงฆ์ด้วยปัจจัยเภสัชต่ออีก ๔ เดือนเถิด. 
              ภิกษุทั้งหลายรังเกียจไม่รับปวารณา ได้กราบทูลเหตุนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ยินดีการปวารณาต่ออีกได้. 
              ก็สมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายขอปัจจัยเภสัชต่อมหานามศากยะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น, ปัจจัยเภสัชของมหานามศากยะจึงยังคงมากมายอยู่ตามเดิมนั่นแหละ 
              แม้ครั้งที่สาม มหานามศากยะก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าประสงค์จะปวารณาต่อสงฆ์ด้วยปัจจัยเภสัชตลอดชีวิต พระพุทธเจ้าข้า. 
              พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีๆ มหานาม ถ้าเช่นนั้น เธอจงปวารณาต่อสงฆ์ด้วยปัจจัยเภสัชตลอดชีวิตเถิด. 
              ภิกษุทั้งหลายรังเกียจไม่รับปวารณาได้กราบทูลเหตุนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ยินดี แม้ซึ่งการปวารณาเป็นนิตย์. 
              [๕๕๖] ครั้นสมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์นุ่งห่มผ้าไม่เรียบร้อย ไม่สมบูรณ์ด้วยมรรยาทถูกมหานามศากยะกล่าวตำหนิว่า ทำไมท่านทั้งหลายจึงนุ่งห่มผ้าไม่เรียบร้อย ไม่สมบูรณ์ด้วยมรรยาท, ธรรมเนียมบรรพชิตต้องนุ่งห่มผ้าให้เรียบร้อย ต้องสมบูรณ์ด้วยมรรยาท มิใช่หรือ? พระฉัพพัคคีย์ผูกใจเจ็บในมหานามศากยะ 
               ครั้นแล้วได้ปรึกษากันว่า ด้วยอุบายวิธีไหนหนอ? เราจึงจะทำมหานามศากยะให้ได้รับความอัปยศ แล้วปรึกษากันต่อไปว่า อาวุโสทั้งหลาย มหานามศากยะได้ปวารณาไว้ต่อสงฆ์ด้วยปัจจัยเภสัช 
               พวกเราพากันไปขอเนยใสต่อมหานามศากยะเถิดแล้วเข้าไปหามหานามศากยะกล่าวคำนี้ว่า อาตมภาพทั้งหลายต้องการเนยใส ๑ ทะนาน. 
              มหานามศากยะขอร้องว่า วันนี้ขอพระคุณเจ้าได้โปรดคอยก่อน คนทั้งหลายยังไปคอกนำเนยใสมา พระคุณเจ้าทั้งหลายจักได้รับทันกาล. 
               แม้ครั้งที่สอง ... 
              แม้ครั้งที่สาม พระฉัพพัคคีย์ก็ได้กล่าวว่า อาตมภาพทั้งหลายต้องการเนยใส ๑ ทะนาน. 
              มหานามศากยะรับสั่งว่า วันนี้ขอพระคุณเจ้าทั้งหลาย ได้โปรดรอก่อน คนทั้งหลายยังไปคอกนำเนยใสมา พระคุณเจ้าจักได้รับทันกาล พระฉัพพัคคีย์ต่อว่า จะมีประโยชน์อะไรด้วยเนยใสที่ท่านไม่ประสงค์จะถวาย แต่ได้ปวารณาไว้ เพราะท่านปวารณาไว้แล้วไม่ถวาย. 
              จึงมหานามศากยะ เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ก็เมื่อฉันขอร้องพระคุณเจ้าว่า วันนี้ขอพระคุณเจ้าทั้งหลายได้โปรดคอยก่อน ดังนี้ ไฉน พระคุณเจ้าจึงรอไม่ได้เล่า? 
              ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินมหานามศากยะ เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระฉัพพัคคีย์อันมหานามศากยะ ขอร้องว่าวันนี้ ขอพระคุณเจ้าทั้งหลายได้โปรดคอยอยู่ก่อน ดังนี้ ไฉนจึงคอยไม่ได้เล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 

ทรงสอบถาม

               พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธออันมหานามศากยะพูดขอร้องว่า วันนี้ขอพระคุณเจ้าทั้งหลายได้โปรดคอยก่อน ดังนี้ แล้วไม่คอย จริงหรือ? 
                พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

               พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย พวกเธออันมหานามศากยะพูดขอร้องเช่นนั้นแล้ว ไฉนจึงคอยอยู่ไม่ได้เล่า? การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... 
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 

พระบัญญัติ

               ๙๖. ๗. ภิกษุมิใช่ผู้อาพาธ พึงยินดีปวารณาด้วยปัจจัยเพียงสี่เดือน เว้นไว้แต่ปวารณาอีก เว้นไว้แต่ปวารณาเป็นนิตย์ ถ้าเธอยินดียิ่งกว่านั้น เป็นปาจิตตีย์. เรื่องมหานามศากยะ จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

              [๕๕๗] คำว่า ภิกษุมิใช่ผู้อาพาธ พึงยินดีปวารณาด้วยปัจจัยเพียงสี่เดือน นั้นความว่าพึงยินดีปวารณาเฉพาะปัจจัยของภิกษุไข้ แม้เขาปวารณาอีกก็พึงยินดีว่า เราจักขอชั่วเวลาที่ยังอาพาธอยู่ แม้เขาปวารณาเป็นนิตย์ ก็พึงยินดีว่า เราจักขอชั่วเวลาที่ยังอาพาธอยู่. 
              [๕๕๘] บทว่า ถ้าเธอยินดียิ่งกว่านั้น ความว่า การปวารณากำหนดเภสัชแต่ไม่กำหนดกาลก็มี กำหนดกาลแต่ไม่กำหนดเภสัชก็มี กำหนดทั้งเภสัชและกาลก็มี ไม่กำหนดเภสัชไม่กำหนดกาลก็มี. 
              ที่ชื่อว่า กำหนดเภสัช คือ เขากำหนดเภสัชไว้ว่า ข้าพเจ้าขอปวารณาด้วยเภสัชประมาณเท่านี้. 
              ที่ชื่อว่า กำหนดกาล คือ เขากำหนดกาลไว้ว่า ข้าพเจ้าขอปวารณาในระยะกาลเท่านี้. 
              ที่ชื่อว่า กำหนดทั้งเภสัชและกาล นั้น คือ เขากำหนดเภสัชและกาลไว้ว่า ข้าพเจ้าขอปวารณาด้วยเภสัชมีประมาณเท่านี้ ในระยะกาลเพียงเท่านี้. 
              ที่ชื่อว่า ไม่กำหนดเภสัชไม่กำหนดกาล นั้น คือ เขาไม่ได้กำหนดเภสัชและกาลไว้ว่า ข้าพเจ้าขอปวารณาด้วยเภสัชมีประมาณเท่านี้ ในระยะกาลเพียงเท่านี้.

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

              [๕๕๙] ในการกำหนดเภสัช ภิกษุขอเภสัชอย่างอื่นนอกจากเภสัชที่เขาปวารณา ต้องอาบัติปาจิตตีย์.  ในการกำหนดกาล ภิกษุขอในกาลอื่นนอกจากกาลที่เขาปวารณา ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              ในการกำหนดทั้งเภสัชกำหนดทั้งกาล ภิกษุขอเภสัชอย่างอื่นนอกจากเภสัชที่เขาปวารณาและในกาลอื่นนอกจากกาลที่เขาปวารณา ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

ไม่ต้องอาบัติ

            ในการไม่กำหนดเภสัช ไม่กำหนดกาล ... ไม่ต้องอาบัติ. 

ปัญจกะปาจิตตีย์

              [๕๖๐] ในเมื่อต้องการใช้ของที่มิใช่เภสัช ภิกษุขอเภสัช, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              ในเมื่อต้องการใช้เภสัชอย่างอื่น ขอเภสัชอีกอย่าง ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              ยิ่งกว่านั้น ภิกษุสำคัญว่ายิ่งกว่านั้น ขอเภสัช ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              ยิ่งกว่านั้น ภิกษุยังแคลงอยู่ ขอเภสัช ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              ยิ่งกว่านั้น ภิกษุสำคัญว่าไม่ยิ่งกว่านั้น ขอเภสัช ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

ทุกะทุกกฏ

     ไม่ยิ่งกว่านั้น ภิกษุสำคัญว่ายิ่งกว่านั้น ต้องอาบัติทุกกฏ. 
     ไม่ยิ่งกว่านั้น ภิกษุยังแคลงอยู่ ต้องอาบัติทุกกฏ. 
     ไม่ยิ่งกว่านั้น ภิกษุสำคัญว่าไม่ยิ่งกว่านั้น ไม่ต้องอาบัติ.

อนาปัตติวาร

              [๕๖๑] ภิกษุผู้ขอเภสัชตามที่เขาปวารณาไว้ ๑ ขอในระยะกาลตามที่เขาปวารณาไว้ ๑ บอกขอว่า ท่านปวารณาพวกข้าพเจ้าด้วยเภสัชเหล่านี้ แต่พวกข้าพเจ้าต้องการเภสัชชนิดนี้และชนิดนี้ ๑ บอกขอว่า ระยะกาลที่ท่านได้ปวารณาไว้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ข้าพเจ้ายังต้องการเภสัช ๑ 
             ขอต่อญาติ ๑ ขอต่อคนปวารณา ๑ ขอเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุรูปอื่น ๑ จ่ายมาด้วยทรัพย์ของตน ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. 
อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ.
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ อเจลกวรรคที่ ๕ 
สิกขาบทที่ ๗        อเจลกวรรค มหานาม 
 ในสิกขาบทที่ ๗ มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
 [แก้อรรถ เรื่องท้าวมหานามปวารณาเภสัช] 
            พระโอรสแห่งพระเจ้าอาว์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า แก่กว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเพียงเดือนเดียว เป็นพระอริยสาวก ดำรงอยู่ในผลทั้ง ๒ ทรงพระนามว่า ท้าวมหานาม. 
            สามบทว่า เภสชฺชํ อุสฺสนฺนํ โหติ มีความว่า เนยใสที่เขานำมาจากคอกเก็บไว้มีเป็นอันมาก. 
            บทว่า สาทิตพฺพา มีความว่า ภิกษุไม่พึงปฏิเสธในสมัยนั้นว่า ไม่มีโรค พึงรับไว้ด้วยใส่ใจว่า เราจักขอในเมื่อมีโรค. 
            สามบทว่า เอตฺตเกหิ เภสชฺเชหิ ปวาเรมิ มีความว่า เขาปวารณาด้วยอำนาจชื่อ คือด้วยเภสัช ๒-๓ อย่างมีเนยใสและน้ำมันเป็นต้น หรือด้วยอำนาจจำนวน คือด้วยกอบ ๑ ทะนาน ๑ อาฬหกะ ๑ เป็นต้น. 
            สามบทว่า อญฺญํ เภสชฺชํวิญฺญาเปติ มีความว่า เขาปวารณาด้วยเนยใส ขอน้ำมัน เขาปวารณาด้วยอาฬหกะ ขอโทณะ. 
            สองบทว่า น เภสชฺเชน กรณีเย มีความว่า ถ้าภิกษุอาจเพื่อดำรงอัตภาพอยู่ได้ แม้ด้วยภัตระคนกัน ชื่อว่า กิจจะพึงทำด้วยเภสัชไม่มี. 
            บทว่า ปวาริตานํ มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่พวกภิกษุที่คนของตนปวารณาไว้ ด้วยการปวารณาเป็นส่วนบุคคล เพราะการออกปากขอตามสมควรแก่เภสัชที่ปวารณาไว้. แต่ในเภสัชที่เขาปวารณาด้วยอำนาจแห่งสงฆ์ ควรกำหนดรู้ประมาณทีเดียวแล. 
        คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
         สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.

15 กันยายน 2567

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๕ อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๖ เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร [ว่าด้วย รับนิมนต์แล้วไปฉันที่อื่น] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๕๔๗]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์. ครั้งนั้น ตระกูลอุปัฏฐากของท่านพระอุปนันทศากยบุตร นิมนต์ท่านฉันภัตตาหาร แม้ภิกษุเหล่าอื่นเขาก็นิมนต์ด้วย เวลานั้นเป็นเวลาก่อนอาหาร ท่านพระอุปนันทศากยบุตรยังกำลังเข้าไปสู่ตระกูลทั้งหลายอยู่ จึงภิกษุเหล่านั้นได้บอกทายกเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายจงถวายภัตตาหารเถิด พวกทายกกล่าวว่า นิมนต์รออยู่จนกว่าพระคุณเจ้าอุปนันทะจะมา ขอรับ. 
              แม้ครั้งที่สอง ภิกษุเหล่านั้นก็ได้บอกทายกเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายจงถวายภัตตาหารเถิด พวกทายกกล่าวว่า นิมนต์รออยู่จนกว่าพระคุณเจ้าอุปนันทะจะมา ขอรับ. 
              แม้ครั้งที่สาม ภิกษุเหล่านั้นก็ได้บอกทายกเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายจงถวายภัตตาหารเถิด เวลาก่อนเที่ยงจะล่วงเลยแล้ว ทายกอ้อนวอนว่า พวกกระผมตกแต่งภัตตาหารก็เพราะเหตุแห่งพระคุณเจ้าอุปนันทะ นิมนต์รออยู่จนกว่าพระคุณเจ้าอุปนันทะจะมา ขอรับ. 
              คราวนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตรได้เข้าไปสู่ตระกูลทั้งหลายก่อนเวลาฉัน มาถึงเวลาบ่าย ภิกษุทั้งหลายไม่ได้ฉันตามประสงค์ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า ท่านพระอุปนันทศากยบุตรรับนิมนต์เขาแล้ว มีภัตตาหารอยู่แล้ว ไฉนจึงได้ถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลายก่อนเวลาฉันเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 

ทรงสอบถาม

 พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระอุปนันทะว่า ดูกรอุปนันทะ ข่าวว่า เธอรับนิมนต์เขาแล้ว มีภัตตาหารอยู่แล้ว ถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลายก่อนเวลาฉัน จริงหรือ? 
                  ท่านพระอุปนันทะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

 พระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ เธอรับนิมนต์เขาแล้ว มีภัตตาหารอยู่แล้ว ไฉนจึงได้ถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลายก่อนฉันเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... 
                 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 

พระบัญญัติ

                 ๙๕. ๖. ก. อนึ่ง ภิกษุใด รับนิมนต์แล้ว มีภัตอยู่แล้ว ถึงความเป็นผู้เที่ยวไป ในตระกูลทั้งหลายก่อนฉัน เป็นปาจิตตีย์. ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ.
   เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร (ต่อ)
[๕๔๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ตระกูลอุปัฏฐากของท่านพระอุปนันทศากยบุตรได้ส่งของเคี้ยวไปถวายแก่สงฆ์ สั่งว่า ต้องมอบให้พระคุณเจ้าอุปนันทะถวายแก่สงฆ์ แต่เวลานั้นท่านพระอุปนันทศากยบุตรกำลังเข้าไปบิณฑบาตยังหมู่บ้าน เมื่อชาวบ้านเหล่านั้นไปถึงอารามแล้วถามภิกษุทั้งหลายว่า พระคุณเจ้าอุปนันทะไปไหน เจ้าข้า? 
               ภิกษุทั้งหลายตอบว่า ท่านพระอุปนันทศากยบุตรนั้น เข้าไปบิณฑบาตยังหมู่บ้านแล้วจ้ะ. 
               ชาวบ้านสั่งว่า ท่านขอรับ ของเคี้ยวนี้ต้องมอบให้พระคุณเจ้าอุปนันทะถวายแก่สงฆ์. 
               ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น พวกเธอจงรับประเคนแล้วเก็บไว้จนกว่าอุปนันทะจะกลับมา. 
               ส่วนท่านพระอุปนันทศากยบุตรได้คิดว่า การถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลายก่อนเวลาฉัน พระผู้มีพระภาคทรงห้ามแล้ว จึงเข้าไปยังตระกูลทั้งหลายหลังเวลาฉันแล้ว บ่ายจึงกลับ ของเคี้ยวได้ถูกส่งคืนกลับไป. 
               บรรดาภิกษุที่มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระอุปนันทศากยบุตร จึงได้ถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลายหลังเวลาฉันเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... 

ทรงสอบถาม

               พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระอุปนันทะว่า ดูกรอุปนันทะ ข่าวว่า เธอถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลายหลังเวลาฉัน จริงหรือ? 
               ท่านพระอุปนันทะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

               พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึงได้ถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลายหลังเวลาฉันเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... 
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 

พระอนุบัญญัติ ๑

               ๙๕. ๖. ข. อนึ่ง ภิกษุใด รับนิมนต์แล้ว มีภัตอยู่แล้ว ถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลาย ก่อนฉันก็ดี ทีหลังฉันก็ดี เป็นปาจิตตีย์.  ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้. เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ. 

ทรงอนุญาตให้เข้าสู่ตระกูลในคราวถวายจีวร

              [๕๔๙] โดยสมัยต่อมา ถึงคราวถวายจีวรกัน ภิกษุทั้งหลายพากันรังเกียจไม่เข้าไปสู่ตระกูล จีวรจึงเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในคราวที่ถวายจีวร เราอนุญาตให้เข้าไปสู่ตระกูลได้. 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 

พระอนุบัญัติ ๒

              ๙๕. ๖. ค. อนึ่ง ภิกษุใด รับนิมนต์แล้ว มีภัตอยู่แล้ว ถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลาย ก่อนฉันก็ดี ทีหลังฉันก็ดี เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์. นี้สมัยในเรื่องนั้น คือ คราวที่ถวายจีวร นี้สมัยในเรื่องนั้น. 
              ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลายด้วยประการฉะนี้. เรื่องทรงอนุญาตให้เข้าสู่ตระกูลในคราวถวายจีวร จบ. 

ทรงอนุญาตให้เข้าสู่ตระกูลในคราวทำจีวร

              [๕๕๐] โดยสมัยต่อมาอีก ภิกษุทั้งหลายทำจีวรกันอยู่ ต้องการเข็มบ้าง ด้ายบ้าง มีดบ้าง. 
              ภิกษุทั้งหลายพากันรังเกียจไม่เข้าไปสู่ตระกูล จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในคราวที่ทำจีวร เราอนุญาตให้เข้าไปสู่ตระกูลได้. 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 

พระอนุบัญญัติ ๓

              ๙๕. ๖. ฆ. อนึ่ง ภิกษุใด รับนิมนต์แล้ว มีภัตรอยู่แล้ว ถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลาย ก่อนฉันก็ดี ทีหลังฉันก็ดี เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์. นี้สมัยในเรื่องนั้น คือ คราวที่ถวายจีวร คราวที่ทำจีวร นี้สมัยในเรื่องนั้น. 
              ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลายด้วยประการฉะนี้. เรื่องทรงอนุญาตให้เข้าสู่ตระกูลในคราวทำจีวร จบ.

ทรงอนุญาตให้บอกลาก่อนเข้าสู่ตระกูล

              [๕๕๑] โดยสมัยต่อจากนั้นมา ภิกษุทั้งหลายอาพาธ และมีความต้องการเภสัช ภิกษุทั้งหลายพากันรังเกียจไม่เข้าไปสู่ตระกูล จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้บอกลาภิกษุซึ่งมีอยู่แล้วเข้าไปสู่ตระกูลได้. 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 

พระอนุบัญญัติ ๔

              ๙๕. ๖. ง. อนึ่ง ภิกษุใด รับนิมนต์แล้ว มีภัตรอยู่แล้วไม่บอกลาภิกษุซึ่งมีอยู่ ถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลาย ก่อนฉันก็ดี ทีหลังฉันก็ดี เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์. นี้สมัยในเรื่องนั้น คือ คราวที่ถวายจีวร คราวที่ทำจีวร, นี้สมัยในเรื่องนั้น. เรื่องทรงอนุญาตให้บอกลาก่อนเข้าสู่ตระกูล จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

              [๕๕๒] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ... 
              บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
              ที่ชื่อว่า รับนิมนต์แล้ว คือ รับนิมนต์ฉันโภชนะ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่ง. 
              ที่ชื่อว่า มีภัตรอยู่แล้ว คือ มีอาหารที่รับนิมนต์เขาไว้แล้ว. 
              ภิกษุที่ชื่อว่า ซึ่งมีอยู่ คือ อาจที่จะบอกลาก่อนเข้าไป. 
              ภิกษุที่ชื่อว่า ซึ่งไม่มีอยู่ คือ ไม่อาจที่จะบอกลาก่อนเข้าไป. 
              ที่ชื่อว่า ก่อนฉัน คือ ภิกษุยังไม่ได้ฉันอาหารที่รับนิมนต์เขาไว้. 
              ที่ชื่อว่า ทีหลังฉัน คือ ภิกษุฉันอาหารที่รับนิมนต์เขาไว้แล้วโดยที่สุด แม้ด้วยปลายหญ้าคา. 
              ที่ชื่อว่า ตระกูล ได้แก่ตระกูล ๔ คือ ตระกูลกษัตริย์ ตระกูลพราหมณ์ ตระกูลแพศย์ ตระกูลศูทร. 
              คำว่า ถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลาย นั้น ความว่า ภิกษุก้าวลงสู่อุปจารเรือนของผู้อื่น ต้องอาบัติทุกกฏ. ก้าวเท้าที่ ๑ ล่วงธรณีประตู ต้องอาบัติทุกกฏ. ก้าวเท้าที่ ๒ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              บทว่า เว้นไว้แต่สมัย คือ ยกเว้นแต่มีสมัย. 
              ที่ชื่อว่า คราวที่ถวายจีวร คือ เมื่อยังไม่ได้กรานกฐิน ๑ เดือน ท้ายฤดูฝน เมื่อ กรานกฐินแล้ว ๕ เดือน 
              ที่ชื่อว่า คราวที่ทำจีวร คือ เมื่อคราวกำลังทำจีวรกันอยู่. 

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

              [๕๕๓] รับนิมนต์แล้ว ภิกษุสำคัญว่ารับนิมนต์แล้ว ไม่บอกลาภิกษุซึ่งมีอยู่ ถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลาย ก่อนฉันก็ดี ทีหลังฉันก็ดี เว้นไว้แต่สมัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              รับนิมนต์แล้ว ภิกษุสงสัย ไม่บอกภิกษุซึ่งมีอยู่ ถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลาย ก่อนฉันก็ดี ทีหลังฉันก็ดี เว้นไว้แต่สมัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              รับนิมนต์แล้ว ภิกษุสำคัญว่ามิได้รับนิมนต์ ไม่บอกลาภิกษุซึ่งมีอยู่ ถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลาย ก่อนฉันก็ดี ทีหลังฉันก็ดี เว้นไว้แต่สมัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

ทุกะทุกกฏ

              ไม่ได้รับนิมนต์ ภิกษุสำคัญว่ารับนิมนต์แล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.     ไม่ได้รับนิมนต์ ภิกษุสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. 

ไม่ต้องอาบัติ

              ไม่ได้รับนิมนต์ ภิกษุสำคัญว่าไม่ได้รับนิมนต์ ไม่ต้องอาบัติ. 

อนาปัตติวาร

[๕๕๔] ภิกษุฉันในสมัย ๑ ภิกษุบอกลาภิกษุซึ่งมีอยู่แล้วจึงเข้าไป ๑ ไม่ได้บอกลาภิกษุซึ่งไม่มีอยู่ แล้วเข้าไป ๑ เดินทางผ่านเรือนผู้อื่น ๑ เดินทางผ่านอุปจารเรือน ๑ ไปอารามอื่น ๑ ไปสู่สำนักภิกษุณี ๑ ไปสู่สำนักเดียรถีย์ ๑ ไปโรงฉัน ๑ ไปเรือนที่เขานิมนต์ฉัน ๑ ไปเพราะมีอันตราย ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ. 
               อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ อเจลกวรรคที่ ๕ สิกขาบทที่ ๖  อเจลกวรรค จาริต 
               ในสิกขาบทที่ ๖ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
 [แก้อรรถบางปาฐะปฐมบัญญัติและอนุบัญญัติ] 
               ในคำว่า เทถาวุโส ภตฺตํ นี้ มีวินิจฉัยว่า 
                ได้ยินว่า ภัตนั้นเป็นของที่พวกชาวบ้านน้อมนำมาแล้ว เพราะเหตุนั้น พวกภิกษุจึงได้กล่าวอย่างนั้น. แต่ในภัตตาหารที่พวกชาวบ้านมิได้น้อมนำมา ภิกษุย่อมไม่ได้เพื่อที่จะกล่าวอย่างนั้น (กล่าวว่า ให้ภัตตาหารเถิด อาวุโส) เป็นปยุตตวาจา (การออกปากขอของ). 
                 ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นพวกเธอจงรับประเคนแล้วเก็บไว้ ดังนี้ เพื่อต้องการรักษาศรัทธาของตระกูล. ก็ถ้าว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพึงตรัสว่า พวกเธอแบ่งกันฉันเถิด, พวกชาวบ้านจะพึงคลายความเลื่อมใส. 
                 บทว่า อุสฺสาทยิตฺถ แปลว่า ได้ถูกนำกลับคืนไป. 
                 มีคำอธิบายว่า พวกชาวบ้านได้นำขาทนียะนั้นกลับไปยังเรือนอย่างเดิม. 
                 ในคำว่า สนฺตํภีกฺขุํ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
                 ภิกษุชื่อว่ามีอยู่ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร? ชื่อว่าไม่มี ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร? คือภิกษุผู้อยู่ในสถานแห่งใดภายในวิหาร เกิดมีความคิดว่า จะเข้าไปเยี่ยมตระกูล, จำเดิมแต่นั้น เห็นภิกษุใดที่ข้างๆ หรือตรงหน้า หรือภิกษุใดที่ตนอาจจะบอกด้วยคำพูดตามปกติได้, ภิกษุนี้ชื่อว่า มีอยู่. แต่ไม่มีกิจที่จะต้องเที่ยวไปบอกลาทางโน้นและทางนี้. 
                 จริงอยู่ ภิกษุที่ตนต้องเที่ยวหาบอกลาอย่างนี้ ชื่อว่าไม่มีนั่นเอง. 
                 อีกนัยหนึ่ง ภิกษุไปด้วยทำในใจว่า เราพบภิกษุภายในอุปจารสีมาแล้วจักบอกลา พึงบอกลาภิกษุที่ตนเห็นภายในอุปจารสีมานั้น ถ้าไม่พบภิกษุ ชื่อว่าเป็นผู้เข้าไปไม่บอกลาภิกษุที่ไม่มี. 
                 บทว่า อนฺตรารามํ ได้แก่ ไปสู่วิหารที่มีอยู่ในภายในบ้าน. 
                 บทว่า ภตฺติยฆรํ ได้แก่ เรือนที่เขานิมนต์ หรือเรือนของพวกชาวบ้านผู้ถวายสลากภัตเป็นต้น. 
                 บทว่า อาปทาสุ มีความว่า เมื่อมีอันตรายแห่งชีวิตและพรหมจรรย์จะไปก็ควร. 
                 บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น. 
                 สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานเหมือนกฐินสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายกับวาจา ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นทั้งกิริยาทั้งอกิริยา เป็นโนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๕ อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๕ เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร [ว่าด้วย นั่งในที่ลับ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๕๔๓]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตรไปสู่เรือนของสหายแล้ว สำเร็จการนั่งในที่ลับกับภรรยาของเขาหนึ่งต่อหนึ่ง จึงบุรุษสหายนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระคุณเจ้าอุปนันทะจึงได้สำเร็จการนั่งในที่ลับกับภรรยาของเราหนึ่งต่อหนึ่งเล่า  ภิกษุทั้งหลายได้ยินบุรุษนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระอุปนันทศากยบุตร จึงได้สำเร็จการนั่งในที่ลับกับมาตุคาม หนึ่งต่อหนึ่งเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 

ทรงสอบถาม

             พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระอุปนันทะว่า ดูกรอุปนันทะ ข่าวว่า เธอสำเร็จการนั่งในที่ลับกับมาตุคามหนึ่งต่อหนึ่ง จริงหรือ? 
              ท่านพระอุปนันทะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท 

 พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึงได้สำเร็จการนั่งในที่ลับกับมาตุคามหนึ่งต่อหนึ่งเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 

พระบัญญัติ

              ๙๔. ๕. อนึ่ง ภิกษุใด ผู้เดียว สำเร็จการนั่งในที่ลับกับมาตุคามผู้เดียวเป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ.

สิกขาบทวิภังค์ 

              [๕๔๔] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ... 
              บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
              ที่ชื่อว่า มาตุคาม ได้แก่หญิงมนุษย์ ไม่ใช่หญิงยักษ์ ไม่ใช่หญิงเปรต ไม่ใช่สัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย เป็นหญิงที่รู้เดียงสา สามารถทราบถ้อยคำที่เป็นสุภาษิต และทุพภาษิต ที่ชั่วหยาบและไม่ชั่วหยาบ. 
                 บทว่า กับ คือ ร่วมกัน. 
                 บทว่า ผู้เดียว ... ผู้เดียว คือ มีภิกษุ ๑ มาตุคาม ๑ 
                 ที่ชื่อว่า ที่ลับ ได้แก่ ที่ลับตา ๑ ที่ลับหู ๑ 
                 ที่ชื่อว่า ที่ลับตา ได้แก่ สถานที่ซึ่งมีภิกษุหรือมาตุคาม ขยิบตา ยักคิ้ว หรือชะเง้อศีรษะ ไม่มีใครสามารถจะแลเห็นได้. 
                 ที่ชื่อว่า ที่ลับหู ได้แก่ สถานที่ซึ่งไม่มีใครสามารถจะได้ยินถ้อยคำที่สนทนากันตามปกติได้. 
                 คำว่า สำเร็จการนั่ง ความว่า เมื่อมาตุคามนั่งแล้ว ภิกษุนั่งใกล้หรือนอนใกล้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
                 เมื่อภิกษุนั่งแล้ว มาตุคามนั่งใกล้หรือนอนใกล้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
                 ทั้ง ๒ นั่งก็ดี ทั้ง ๒ นอนก็ดี ภิกษุต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

ทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

[๕๔๕] มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่ามาตุคาม สำเร็จการนั่งในที่ลับ หนึ่งต่อหนึ่ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              มาตุคาม ภิกษุสงสัย สำเร็จการนั่งในที่ลับ หนึ่งต่อหนึ่ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่มาตุคาม สำเร็จการนั่งในที่ลับ หนึ่งต่อหนึ่ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

ติกะทุกกฏ

              ภิกษุสำเร็จการนั่งในที่ลับ กับหญิงยักษ์ หญิงเปรต บัณเฑาะก์ หรือสัตว์ดิรัจฉานตัวเมียมีกายดังมนุษย์ หนึ่งต่อหนึ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               ไม่ใช่มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่ามาตุคาม ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               ไม่ใช่มาตุคาม ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 

ไม่ต้องอาบัติ

            ไม่ใช่มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่มาตุคาม ไม่ต้องอาบัติ.

อนาปัตติวาร

             [๕๔๖] ภิกษุมีบุรุษผู้รู้เดียงสาคนใดคนหนึ่ง อยู่เป็นเพื่อน ๑ ภิกษุยืน ไม่ได้นั่ง ๑ ภิกษุไม่ได้มุ่งที่ลับ ๑ ภิกษุนั่งส่งใจไปในอารมณ์อื่น ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.  อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ. 
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์
      อเจลกวรรคที่ ๕  สิกขาบทที่ ๔ และที่ ๕ 
                 คำที่จะพึงกล่าวในสิกขาบทที่ ๔ และที่ ๕ ทั้งหมดมีนัยดังกล่าวแล้วในอนิยตสิกขาบททั้ง ๒ นั่นแล. 
                 เหมือนอย่างว่า สโภชนสิกขาบทมีสมุฏฐาน ดุจปฐมปาราชิกสิกขาบทฉันใด สิกขาบทที่ ๔ และที่ ๕ แม้นั้นก็มีสมุฏฐานดุจปฐมปาราชิกสิกขาบทเหมือนกันฉันนั้นแล.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๕ อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๔ เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร [ว่าด้วย นั่งในที่กำบัง] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๕๓๙]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตรไปสู่เรือนของสหายแล้วสำเร็จการนั่งในที่ลับ คือในอาสนะกำบังกับภรรยาของเขา จึงบุรุษสหายนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระคุณเจ้าอุปนันทะจึงได้สำเร็จการนั่งในที่ลับ คือ ในอาสนะกำบังกับภรรยาของเราเล่า.  ภิกษุทั้งหลายได้ยินเขาเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระอุปนันทศากยบุตร จึงได้สำเร็จการนั่งในที่ลับ คือ ในอาสนะกำบังกับมาตุคามเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 

ทรงสอบถาม

               พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระอุปนันทะว่า ดูกรอุปนันทะ ข่าวว่า เธอสำเร็จการนั่งในที่ลับ คือ ในอาสนะกำบังกับมาตุคาม จริงหรือ? 
               ท่านพระอุปนันทะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

               พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉน เธอจึงได้สำเร็จการนั่งในที่ลับ คือ ในอาสนะกำบังกับมาตุคามเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว 
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 

พระบัญญัติ

                ๙๓.๔. อนึ่ง ภิกษุใด สำเร็จการนั่งในที่ลับ คือ ในอาสนะกำบัง กับมาตุคาม เป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

              [๕๔๐] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ... 
              บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
              ที่ชื่อว่า มาตุคาม ได้แก่หญิงมนุษย์ ไม่ใช่หญิงยักษ์ ไม่ใช่หญิงเปรต ไม่ใช่สัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย โดยที่สุดแม้เด็กหญิงที่เกิดในวันนั้น ไม่ต้องพูดถึงหญิงผู้ใหญ่. 
                บทว่า กับ คือ ร่วมกัน. 
                ที่ชื่อว่า ในที่ลับ ได้แก่ ที่ลับตา ๑ ที่ลับหู ๑ 
                ที่ชื่อว่า ที่ลับตา ได้แก่ ที่ซึ่งเมื่อภิกษุหรือมาตุคามขยิบตา ยักคิ้ว หรือชะเง้อศีรษะไม่มีใครสามารถจะแลเห็นได้. 
                ที่ชื่อว่า ที่ลับหู ได้แก่ ที่ซึ่งไม่มีใครสามารถจะได้ยินถ้อยคำที่สนทนากันตามปกติได้. 
                อาสนะที่ชื่อว่า กำบัง คือ เป็นอาสนะที่เขากำบังด้วยฝา บานประตู ลำแพน ม่านบังต้นไม้ เสา หรือฉางข้าว อย่างใดอย่างหนึ่ง. 
                คำว่า สำเร็จการนั่ง ความว่า เมื่อมาตุคามนั่งแล้ว ภิกษุนั่งใกล้ หรือนอนใกล้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
                เมื่อภิกษุนั่งแล้ว มาตุคามนั่งใกล้ หรือนอนใกล้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
                ทั้ง ๒ นั่งก็ดี ทั้ง ๒ นอนก็ดี ภิกษุต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

                [๕๔๑] มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่ามาตุคาม สำเร็จการนั่งในที่ลับ คือในอาสนะกำบัง ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
                มาตุคาม ภิกษุสงสัย สำเร็จการนั่งในที่ลับ คือ ในอาสนะกำบัง ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
                มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่มาตุคาม สำเร็จการนั่งในที่ลับ คือ ในอาสนะกำบัง ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

ติกะทุกกฏ

                ภิกษุสำเร็จการนั่งในที่ลับ คือ ในอาสนะกำบังกับหญิงยักษ์ หญิงเปรต บัณเฑาะก์หรือสัตว์ดิรัจฉานตัวเมียมีกายดังมนุษย์ ต้องอาบัติทุกกฏ. 
                ไม่ใช่มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่ามาตุคาม ต้องอาบัติทุกกฏ. 
                ไม่ใช่มาตุคาม ภิกษุสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. 

ไม่ต้องอาบัติ

                ไม่ใช่มาตุคาม ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่มาตุคาม ไม่ต้องอาบัติ. 

อนาปัตติวาร

 [๕๔๒] ภิกษุมีบุรุษผู้รู้เดียงสาคนใดคนหนึ่งอยู่เป็นเพื่อน ๑ ภิกษุยืนมิได้นั่ง ๑ ภิกษุมิได้มุ่งที่ลับ ๑ ภิกษุนั่งส่งใจไปในอารมณ์อื่น ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ. 
               อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ อเจลกวรรคที่ ๕ สิกขาบทที่ ๔ และที่ ๕ 
                 คำที่จะพึงกล่าวในสิกขาบทที่ ๔ และที่ ๕ ทั้งหมดมีนัยดังกล่าวแล้วในอนิยตสิกขาบททั้ง ๒ นั่นแล. 
                 เหมือนอย่างว่า สโภชนสิกขาบทมีสมุฏฐาน ดุจปฐมปาราชิกสิกขาบทฉันใด สิกขาบทที่ ๔ และที่ ๕ แม้นั้นก็มีสมุฏฐานดุจปฐมปาราชิกสิกขาบทเหมือนกันฉันนั้นแล.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๕ อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๓ เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร [ว่าด้วย นั่งแทรกแซง] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๕๓๕]โดยสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตรไปสู่เรือนของสหายแล้ว สำเร็จการนั่งในเรือนนอนกับภรรยาของเขา จึงบุรุษสหายนั้นเข้าไปหาท่านพระอุปนันทศากยบุตร ครั้นแล้วกราบไหว้ท่านพระอุปนันทศากยบุตรแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เขานั่งเรียบร้อยแล้วบอกภรรยาว่า จงถวายภิกษาแก่พระคุณเจ้า 
               จึงนางได้ถวายภิกษาแก่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร บุรุษนั้นได้เรียนท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า นิมนต์ท่านกลับเถิด ขอรับ เพราะภิกษาข้าพเจ้าก็ได้ถวายแก่พระคุณเจ้าแล้ว สตรีภรรยานั้นกำหนดรู้ในขณะนั้นว่า บุรุษนี้อันราคะรบกวนแล้ว จึงเรียนท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า นิมนต์ท่านนั่งอยู่ก่อนเถิด เจ้าค่ะ อย่าเพิ่งไป 
               แม้ครั้งที่สอง บุรุษนั้น ... 
               แม้ครั้งที่สาม บุรุษนั้นก็ได้เรียนท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า นิมนต์ท่านกลับเถิดขอรับ เพราะภิกษาข้าพเจ้าก็ได้ถวายแก่พระคุณเจ้าแล้ว. 
               แม้ครั้งที่สาม หญิงนั้นก็ได้เรียนท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า นิมนต์ท่านนั่งอยู่ก่อนเถิดเจ้าค่ะ อย่าเพิ่งไป. 
               ทันใด บุรุษสามีเดินออกไปกล่าวยกโทษต่อภิกษุทั้งหลายว่า ท่านเจ้าข้า พระคุณเจ้าอุปนันทะนี้นั่งในห้องนอนกับภรรยาของกระผม กระผมนิมนต์ให้ท่านกลับไป ก็ไม่ยอมกลับ กระผมมีกิจมาก มีกรณียะมาก. 
               บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ท่านอุปนันทศากยบุตรจึงได้สำเร็จการนั่งแทรกแซง ในตระกูลที่มีคน ๒ คนเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.

ทรงสอบถาม

               พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระอุปนันทะว่า ดูกรอุปนันทะ ข่าวว่า เธอสำเร็จการนั่งแทรกแซง ในตระกูลที่มีคน ๒ คน จริงหรือ? 
                ท่านพระอุปนันทะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

               พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึงได้สำเร็จการนั่งแทรกแซงในตระกูลที่มีคน ๒ คนเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว 
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 

พระบัญญัติ

               ๙๒.๓. อนึ่ง ภิกษุใด สำเร็จการนั่งแทรกแซงในตระกูลที่มีคน ๒ คน เป็นปาจิตคีย์. เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ. 

สิกขาบทวิภังค์

               [๕๓๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ... 
               บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
               ตระกูลที่ชื่อว่า มีคน ๒ คน คือ มีเฉพาะสตรี ๑ บุรุษ ๑ ทั้ง ๒ คนยังไม่ออกจากกันทั้ง ๒ คนหาใช่ผู้ปราศจากราคะไม่. 
               บทว่า แทรกแซง คือ กีดขวาง. 
               บทว่า สำเร็จการนั่ง ความว่า ในเรือนใหญ่ ภิกษุนั่งละหัตถบาสแห่งบานประตู ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
               ในเรือนเล็ก นั่งล้ำท่ามกลางห้องเรือน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 

บทภาชนีย์ติกะปาจิตตีย์

              [๕๓๗] ห้องนอน ภิกษุสำคัญว่าห้องนอน สำเร็จการนั่งแทรกแซง ในตระกูลที่มีคน ๒ คนต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              ห้องนอน ภิกษุสงสัย สำเร็จการนั่งแทรกแซงในตระกูลที่มีคน ๒ คน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              ห้องนอน ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่ห้องนอน สำเร็จการนั่งแทรกแซง ในตระกูลที่มีคน ๒ คน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

ทุกะทุกกฏ

               ไม่ใช่ห้องนอน ภิกษุสำคัญว่าห้องนอน ต้องอาบัติทุกกฏ. ไม่ใช่ห้องนอน ภิกษุสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. 

ไม่ต้องอาบัติ

               ไม่ใช่ห้องนอน ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่ห้องนอน ไม่ต้องอาบัติ. 

อนาปัตติวาร

 [๕๓๘] ภิกษุนั่งในเรือนใหญ่ ไม่ล่วงล้ำหัตถบาสแห่งบานประตู ๑ ภิกษุนั่งในเรือนเล็กไม่เลยท่ามกลางห้อง ๑ ภิกษุมีเพื่อนอยู่ด้วย ๑ คนทั้ง ๒ ออกจากกันแล้ว ทั้ง ๒ ปราศจากราคะแล้ว ๑ ภิกษุนั่งในสถานที่อันมิใช่ห้องนอน ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ. 
                อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ อเจลกวรรคที่ ๕ สิกขาบทที่ ๓ อเจลกวรรค สโภชน 
                ในสิกขาบทที่ ๓ มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
 [แก้อรรถบางปาฐะในปฐมบัญญัติแห่งสิกขาบท] 
                บทว่า สยนีฆเร แปลว่า ในเรือนนอน. 
                คำว่า ยโต อยฺยสฺส ภิกฺขา ทินฺนา แปลว่า เพราะข้าพเจ้าได้ถวายภิกษาแล้ว. 
                อธิบายว่า สิ่งใดอันผู้มาแล้วพึงได้ ท่านได้สิ่งนั้นแล้ว นิมนต์ท่านกลับไปเถิด. 
              บทว่า ปริยุฏฺฐิโต คือ เป็นผู้อันราคะกลุ้มรุมแล้ว. 
              ความว่า มีความประสงค์ในเมถุน. 
              บทว่า สโภชเน ได้แก่ สกุลที่เป็นไปกับด้วยคน ๒ คน ชื่อว่าสโภชนะ. ในสกุลมีคน ๒ คนนั้น. 
              อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สโภชเน คือในสกุลมีโภคะ. เพราะว่า สตรีเป็นโภคะของบุรุษผู้อันราคะกลุ้มรุมแล้ว และบุรุษก็เป็นโภคะของสตรี (ผู้กลัดกลุ้มด้วยราคะ), ด้วยเหตุนั้นนั่นแล ในบทภาชนะแห่งบทว่า สโภชเน นั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า มีสตรีกับบุรุษ เป็นต้น. 
              สองบทว่า มหลฺลเก ฆเร คือ ในเรือนนอนหลังใหญ่. 
              สามบทว่า ปิฏฺฐิสงฺฆาฏสฺส หตฺถปาสํ วิชหิตฺวา มีความว่า ละหัตถบาสแห่งบานประตูห้องในเรือนนอนนั้น แล้วนั่ง ณ ที่ใกล้ภายในที่นอน. ก็เรือนนอนเช่นนี้ มีในศาลา ๔ มุขเป็นต้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดงการล้ำท่ามกลางด้วยคำนี้ว่าปิฏฺฐิวํสํ อติกฺกมิตฺวา.
             เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึงทราบอาบัติ เพราะล้ำท่ามกลางแห่งเรือนนอนหลังเล็กที่เขาสร้างไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง. 
                        บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น. 
              สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจปฐมปาราชิก เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๒ ดังนี้แล.