Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 🥀 สวรรค์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 🥀 สวรรค์ แสดงบทความทั้งหมด

22 มกราคม 2567

สู่การเป็น “อรหันต์” ปฏิจจสมุปบาทคืออริยสัจ มีรายละเอียดที่กล่าวถึงทุกข์ Paticcasamuppada Yüce Gerçektir.


อรหันต-, อรหันต์

/อะระหันตะ-, ออระหันตะ-, อะระหัน, ออระห์/
คำนาม ผู้สำเร็จธรรมวิเศษสูงสุดในพระพุทธศาสนา, พระอริยบุคคลชั้นสูงสุดใน ๔ ชั้น คือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์.  


    ปฏิบัติศาสนา คือ การลงมือประพฤติปฏิบัติตาม หรือเริ่มออกเดินทางตามลายแทงหรือแผนที่ ที่ได้ศึกษาไว้ดีแล้วจากครูบาอาจารย์ ผู้ที่รู้จักเส้นทางและเดินทางได้อย่างแท้จริงถูกต้องมาแล้ว 
    ปฏิเวธศาสนา คือ ผลแห่งการเดินทางหรือการบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง อันได้แก่การรู้แจ้งสัจธรรมความจริงของชีวิต หรือการบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ตามลำดับแห่งภูมิจิตภูมิธรรมที่เข้าถึง 
    ดังนั้น พระอรหันต์ตามพระธรรมวินัยนี้หรือตามหลักการทางพระพุทธศาสนา ก็คือ ผู้ที่เข้าถึงสัจธรรมความจริงอันประเสริฐสูงสุด จิตหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวงอย่างเด็ดขาด 
       พ้นอำนาจจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ไม่มีความเศร้าหมองขุ่นมัวในดวงใจ ปราศจากความเดือดร้อนใจและความวิตกกังวลกระวนกระวายใดๆ หลุดพ้นจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิง มี ๔ ประเภท ได้แก่ 
    ๑.พระอรหันต์สุกขวิปัสสโก พระอรหันต์ประเภทแรกนี้คือผู้ที่จิตหลุดพ้นจากกิเลสสิ้นเชิง แต่ไม่ประกอบด้วยฤทธิ์หรือมีอภิญญามีคุณวิเศษอย่างอื่น คือแม้จิตหลุดพ้นแล้ว แต่อาจไม่มีทิพจักขุ คือไม่มีตาทิพย์ ไม่เห็นนรกสวรรค์ ไม่เห็นภพภูมิอันลี้ลับที่ท่านพรรณนาไว้ แต่คุณธรรมภายในคือความบริสุทธิ์สะอาดภายในดวงจิตของท่านก็ไม่ด้อยกว่าพระอรหันต์ประเภทอื่นแต่อย่างใด 
    ๒.พระอรหันต์เตวิชโช พระอรหันต์ประเภทที่สองนี้ เป็นผู้มีคุณวิเศษประดับ คือนอกจากจะบรรลุธรรมชั้นสูงสุดแล้วยังประกอบด้วยวิชชาสามคือ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ความรู้ในการระลึกชาติก่อนได้ จุตูปปาตญาณ การรู้ว่าคนหรือสัตว์ตายแล้วไปไหน หรือรู้ว่าก่อนมาเกิดเป็นคนหรือสัตว์ในชาตินี้เคยเกิดเป็นอะไรมาก่อน และอาสวักขยญาณ ความรู้ในการสิ้นอาสวะกิเลส นี้คือพระอรหันต์เตวิชโช 
    ๓.พระอรหันต์ฉฬภิญโญ พระอรหันต์ผู้บรรลุอภิญญาหก พระอรหันต์ประเภทนี้ได้คุณวิเศษพิเศษยิ่งกว่าประเภทที่สองข้างต้น กล่าวคือ เมื่อบรรลุธรรมขั้นสูงสุด ดับกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานแล้ว ยังได้คุณวิเศษอย่างอื่นด้วยดังนี้คือ 
๑.อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ ย่นระยะทางได้ เดินบนน้ำได้ หายตัวได้ หรือเนรมิตสิ่งต่างๆได้ 
๒.ทิพพโสต ได้หูทิพย์ 
๓.เจโตปริยญาณ รู้ใจผู้อื่น 
๔.ปุเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติก่อนๆได้ 
๕.ทิพพจักขุ มีตาทิพย์ 
๖.อาสวักขยญาณ ญาณหรือความรู้ในการสิ้นอาสวะกิเลส 
    พระอรหันต์ฉฬภิญโญ คือบรรลุอภิญญาหกนี้ มีอานุภาพมากในการสร้างความเลื่อมใสศรัทธาให้แก่ผู้คน เรียกกันโดยทั่วไปว่า “พระผู้ทรงอภิญญา” พระอรหันต์ประเภทนี้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยู่ปะปนคลุกคลีกับผู้คน เพราะปุถุชนจิตที่มืดมัวด้วยกิเลสอาจล่วงเกินท่านได้ง่าย จะเกิดบาปกรรมแก่พวกเขาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์  เพราะจิตของท่านมักทรงอยู่ในฌานสมาบัติ ไม่ค่อยรับรู้สมมุติหรือกฎเกณฑ์ของสังคมชาวโลก คนจะไม่เข้าใจเพราะท่านมักทำอะไรแผลงๆ   ท่านจึงมักหลีกเร้นอยู่ในป่า ในถ้ำ หลีกเร้นจากผู้คน เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญในการจรรโลงพระศาสนา ท่านจึงจะออกมาช่วยเหลือศาสนาในมิติต่างๆ 
    ๔.พระอรหันต์ปฏิสัมภิทัปปัตโต พระอรหันต์ประเภทที่สี่นี้คือพระอรหันต์ชั้นยอด เป็นผู้บรรลุพระอรหันต์แล้ว มีความแตกฉานในอรรถในธรรม สามารถแสดงธรรมให้ผู้อื่นได้เข้าถึงธรรมหรือบรรลุตามได้ เป็นการสืบทอดพระศาสนาอย่างแท้จริง  พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์ที่ยอดเยี่ยมกว่าพระอรหันต์ทั้งปวง แต่ก็เป็นประเภทที่หาได้ยากและมีน้อยมากที่จะมีพระอรหันต์ประเภทปฏิสัมภิทัปปัตโต ตามที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า แม้จะเป็นพระอรหันต์มีจิตหลุดพ้นจากสรรพกิเลสแล้ว คุณวิเศษของแต่ละองค์ยังแตกต่างกันไป ตามการสั่งสมบารมีมาของแต่ละองค์    บางองค์อาจหมดสิ้นกิเลสแต่ไม่เคยเห็นเทพบุตรเทพธิดาและสิ่งลี้ลับ บางองค์รู้เห็นอะไรมากมายแต่ก็ไม่มีความสามารถแสดงธรรม บางองค์ได้ทั้งหูทิพย์ตาทิพย์หรือระลึกชาติได้ บางองค์มีบารมียิ่งใหญ่ สามารถแสดงธรรมและประกาศพระศาสนาได้กว้างไกล บางองค์แม้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว  ก็อยู่เงียบๆเหมือนพระธรรมดาไม่เป็นที่รู้จักของใครๆก็มี นี้คือวาสนาและบารมีที่สั่งสมมาแตกต่างกันไปของพระอรหันต์แต่ละองค์ แต่ไม่ว่าจะเป็นประเภทใด ความยิ่งใหญ่ที่เสมอกันก็คือ การดับกิเลสและพ้นทุกข์สิ้นเชิงตลอดสาย ข้ามพ้นวัฏฏสงสารได้เด็ดขาด 
    มักได้ยินคำถามบ่อยๆว่า “เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครบรรลุพระอรหันต์?” ว่าตามความเป็นจริงแล้ว เราไม่สามารถไปหยั่งหรือตัดสินใครได้อย่างเด็ดขาดว่าใครเป็นพระอรหันต์  นอกจากพระผู้เป็นสัพพัญญูคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะปุถุชนย่อมไม่อาจหยั่งถึงหรือเข้าใจพระโสดาบัน พระโสดาบัน ย่อมไม่รู้จักพระสกทาคามี พระสกทาคามีย่อมไม่รู้จักพระอนาคามี พระอนาคามีย่อมไม่รู้จักพระอรหันต์   เพราะเหตุที่รูปแบบการปฏิบัติธรรมทั้งหลาย คือการบ่มอินทรีย์ของปุถุชนเพื่อก้าวสู่โสดาปัตติมรรค การปฏิบัติที่เคร่งครัดน่าเลื่อมใสเราจะพบได้ในช่วงการเป็นพระโสดาบันบุคคล 
    ส่วนการอยู่กับความสุขของสมาธิหรือการนั่งหลับตามักเป็นอิริยาบถของพระอนาคามีผู้ไม่ยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แต่สำหรับผู้จบกิจในพรหมจรรย์หรือบรรลุเป็นพระอรหันต์นั้น จะไม่ท่าทางใดหรือรูปแบบใดตายตัวให้ใครๆวินิจฉัยด้วยความหมายมั่นได้อีกเลย
 สมุทัยและนิโรธ ส่วนมรรคมิได้ระบุองค์ประกอบไว้ วงจรสายเกิดมีทุกข์เป็นความเบียดเบียนคับข้องและมีตัณหาเป็นเหตุแห่งทุกข์ วงจรสายดับมีนิโรธ
เป็นการดับแห่งทุกข์และมีมรรคเป็นการนำออกจากทุกข์ เมื่อกล่าวตามพระสูตร อายตนะภายในและอายตนะภายนอกไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องต่อกันแต่ การเกาะเกี่ยวกันเกิดขึ้นก็เพราะมี “ฉันทราคะ” เป็นมูลเหตุ เราอาจสังเกตว่า ฉันทะ ราคะ นันทิและนันทิราคะมักแสดงไว้ใกล้เคียงกับคำว่าตัณหาหรือแสดงองค์ประกอบของตัณหา อนุสัยดังกล่าวนี้มาตามสายของอวิชชา สังขาร วิญญาณและนามรูป อายตนะภายในจะเกาะเกี่ยวอายตนะภายนอกที่ผัสสะ เมื่ออนุสัยเหล่านี้ดับ
 ความสัมพันธ์ที่ผัสสะจึงจะแยกขาดจากกัน สาเหตุที่แยกขาดจากกันก็เพราะการรับรู้ไม่มีสิ่งเร้าที่มาจากเหตุภายในนั่นเอง
พระพุทธองค์ตรัสเรียกการเกิดขึ้นของกองทุกข์ว่ามิจฉาปฏิปทาและการดับของกองทุกข์ว่าสัมมาปฏิปทา วงจรสายเกิดเริ่มจากจิตไปสัมผัสวัตถุแล้วทำงานต่อเนื่องเป็นวัฏจักร กิเลสเป็นปัจจัยให้เกิดกรรม กรรมทำให้เกิดวิบาก จิตจะจำและตีความตามความเคยชินแล้วสะสมหรือผูกยึดไว้ในจิตใต้สำนึก กิเลสสะสมมากขึ้นตามกระแสของเหตุปัจจัยต่างๆ กระแสแห่งเหตุมีกระบวนการผ่านช่องทางอายตนะ จึงมีการแยกตัณหาตามอายตนะภายนอกด้วย ตัณหาได้แก่กามตัณหา ภวตัณหาและวิภวตัณหา ผู้สนใจการปฏิบัติทางจิตอาจตีความปฏิจจสมุปบาทว่าจิตเท่านั้นที่สำคัญ ที่จริงพระพุทธศาสนามิใช่จิตนิยมสุดโต่ง วัตถุมีผลต่อจิตได้ซึ่งในวงจรนี้ก็คือการกระทบที่อายตนะ นามรูปจะเกิดความสำเร็จที่ผัสสะแล้วส่งผลต่อไปเป็นเวทนา ตัณหาและอุปาทาน
 การทำงานของจิตมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะจิตเป็นผู้รับรู้ ปรุงแต่งและเก็บสะสมไว้ การถอนการยึดมั่นปรุงแต่งก็จะมีลำดับจากการรับรู้ส่วนที่หยาบไปสู่ส่วนละเอียดและจากส่วนที่เกี่ยวกับกายไปสู่ส่วนที่เกี่ยวกับจิตและอยู่ลึกในจิต
 ชาวพุทธจะเห็นความสัมพันธ์เหล่านี้และจะสลัดออกจากความยึดมั่นทั้งที่มีต่อกายและต่อจิต
   สำหรับการเวียนว่ายตายเกิดของชีวิต คำสอนก่อนพุทธกาลมักเชื่อว่าการหลุดพ้นสู่ความเป็นนิรันดร์ต้องอาศัยพระผู้เป็นเจ้า มักเชื่อกันในเรื่องพระผู้เป็นเจ้าลิขิต
   ในพระพุทธศาสนา การเวียนว่ายตายเกิดมาจากการผลักดันไปของกิเลสในจิต เมื่อสิ้นกิเลสการเกิดใหม่จึงจะไม่มี กายและจิตเป็นเหตุของการเกิดและการดำเนินไป ปฏิจจสมุปบาทในหลายพระสูตรชี้ว่านามรูปและวิญญาณต่างเป็นปัจจัยต่อกันและเป็นเหตุของการเวียนว่ายในสังสารวัฏ
   วิญญาณอาศัยนามรูปเป็นแดนเกิดและย่อมหมุนกลับมาจากนามรูป สัตว์โลกจึงมีความเป็นไปของการเกิด แก่ ตาย จุติและอุบัติ เวียนว่ายอยู่ซ้ำๆ พระพุทธองค์ตรัสว่า “เมื่อนามรูปไม่มีวิญญาณจึงไม่มี เพราะนามรูปดับวิญญาณจึงดับ”
   ในมหาปทานสูตรทรงชี้เพิ่มว่าการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นการพิจารณาเห็นการเกิดขึ้นและสิ้นไปในอุปาทานขันธ์ 5 พร้อมเหตุ นับตั้งแต่รูป เหตุแห่งรูป เวทนา เหตุแห่งเวทนา สัญญา เหตุแห่งสัญญา สังขาร เหตุแห่งสังขาร และวิญญาณและเหตุแห่งวิญญาณ การเห็นนี้ดำเนินไปจนกระทั่งจิตหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหมด
ในเรื่องของจิตวิญญาณและการดำรงอยู่ การดำรงอยู่ของชาวพุทธนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานที่แพร่กระจายเนื่องจากการปรับอากาศโดยสมบูรณ์ผ่านการกลับชาติมาเกิดอย่างไม่สิ้นสุด และหน้าที่สูงสุดของชาวพุทธคือการบรรลุพระนิพพานโดยละทิ้งวัฏจักรสังสารวัฏ - ชีวิต ความตาย การกลับชาติมาเกิด - ปัจเจกบุคคลในพระพุทธศาสนาไม่มีตัวตน แต่เป็นมายา ดังนั้นภาวะนิพพานจึงไม่ใช่ภาวะดับสูญ เป็นของที่ไม่มีอยู่จริง ของจริงเป็นมายา เป็นมายา ไม่เป็น หายไป.
 ไม่มีสิ่งใดในโลกเกิดขึ้นโดยปราศจากสาเหตุ และยังไม่มีสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งนอกจากการสืบทอดสาเหตุอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากเรามองระหว่างกระจกเงา 2 บาน เราจะสังเกตเห็นว่าภาพของเราซ้ำกันจนถึงระยะอนันต์ ลำดับเหตุอันไม่สิ้นสุดก็เช่นกัน

 ลัทธิเงื่อนไขนิยมยังกล่าวอีกว่า ไม่มีสิ่งใดที่ปรากฏในโลกว่าถูกสร้างขึ้นจาก "ฉัน" หรือ "ตัวตน" (ดังเช่นกรณีของพระเจ้าเหนือธรรมชาติ) และไม่มีรูปแบบใดของ "ฉัน" หรือ "ตัวตน" ใน โลก. เงื่อนไขที่สมบูรณ์จึงช่วยเสริมคำสอนเรื่องความไม่มีตัวตน (อนัตตา) ในพุทธศาสนา และสะท้อนถึงความด้อยกว่าของพุทธศาสนาต่อศาสนา


พุทธศาสนาเถรวาท

โครงร่างพระพุทธ ศาสนา
การพึ่งกำเนิด หมายถึง "ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ ดังนั้น สิ่งอื่นจึงมีอยู่ ชีวิตนี้ ดังนั้นชีวิตอื่นนั้น" การกำเนิดขึ้นอยู่กับมีการศึกษาอย่างลึกซึ้งตั้งแต่สมัยแรก ๆ ของพระพุทธศาสนา จากมุมมองของการวิจัยสมัยใหม่ สิ่งที่เรียกว่า กำเนิดขึ้นอยู่กับ ไม่ใช่ตัวตนหรือวิธีการเฉพาะหรือกระบวนการเฉพาะ แต่เป็นต้นกำเนิดและจุดเริ่มต้นของธรรมทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้จึงเรียกว่า กำเนิดขึ้นอยู่กับ สำหรับผู้มีสติที่ไม่รู้ ความเห็นทางโลกจัดเป็นความเห็นผิด เช่น พรหมลิขิต สิ่งที่เราทำ สิ่งที่พระเจ้าสร้าง และเหตุใด จึงไม่มีเหตุ ดังนั้น
 พระพุทธเจ้าทรงอธิบายปรากฏการณ์แห่งเหตุและปัจจัย และหลักการนี้เรียกว่า เหตุและปัจจัย . การปรากฏตัวของธรรมะและสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนอยู่ในขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการพึ่งพาอาศัยกันของเงื่อนไขต่างๆ นี่คือปรากฏการณ์ของ "เงื่อนไข" จากมุมมองของสรรพสัตว์จะแตกต่างกันไปตามลำดับและเวลาต่างๆ เช่น "สาเหตุ" " และ "เหตุ" ปรากฏการณ์และหน้าที่ของ "สภาวะ" เกิดขึ้น เพื่อให้สรรพสัตว์ทั้งหลายตรัสรู้ พระพุทธเจ้าทรงกำหนด "ทัศนะแห่งการดำรงอยู่ ความเป็นอยู่ และการทำลายล้าง" ในเรื่องความเกิด การดำรงอยู่ และการทำลายปรากฏการณ์ใน โลกที่สัตว์อวิชชาเห็น
 ดังนั้น พระองค์จึงตรัสวิธีสังเกตเหตุและปัจจัย ไปพร้อมๆ กัน และวิธีสังเกตเหตุและปัจจัยในทางกลับกัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า กำเนิดที่พึ่งทั้งหมดนั้นเพื่อให้สรรพสัตว์ได้มองเห็น "กำเนิดที่พึ่ง" ที่แท้จริงจากกฎต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเหตุและเงื่อนไขต่างๆ นิกายบางนิกายของพุทธศาสนามหายานมีต้นกำเนิดขึ้นอยู่กับสี่ประการ: กำเนิดขึ้นอยู่กับกรรม , กำเนิดขึ้นอยู่กับอาลัย , กำเนิดขึ้นอยู่กับขอบเขตธรรมและกำเนิดขึ้นอยู่กับความจริงดังกล่าว
   ต้นกำเนิดที่ขึ้นอยู่กับมีการอธิบายไว้ใน Agamaยังมีคำอธิบายที่สำคัญในนี้นอกจากปิฏกบาลีพระไตรของสอดคล้องกันที่สูตรพระและSutraZagama และGreat Cause Sutra พระสูตรบรรทัดเดียวที่มีชื่อเสียง ได้แก่พระสูตรแห่งการกำเนิดขึ้นอยู่กับและพระสูตรแห่งการกำเนิดขึ้นอยู่กับ แปลโดยXuanzang " พระสูตรแห่งการกำเนิดขึ้นอยู่กับ " เหมือนกับ " Za Agama Sutra · 287 Sutra": พระผู้มีพระภาคตรัสกับพระภิกษุว่า “เมื่อข้าพเจ้าระลึกถึงพรหมลิขิตของตนแล้วยังไม่บรรลุสัมโพธิญาณบริบูรณ์ ข้าพเจ้าก็จะอยู่ในที่สงบและมีสมาธิจดจ่ออยู่” คิดแบบนี้ วิธีไหนมีเหตุ? มีความแก่และความตาย เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? มีความชราและความตาย กล่าวคือ เมื่อคิดถูก ชีวิตก็เป็นไปตามนั้นไม่มีสะดุด เป็นต้นมีเหตุเกิด มีชรามีตาย มีเหตุมีเกิด มีชรามี ความตาย. ความมีอยู่ ความอยาก ความอยาก ความรู้สึก สัมผัส สัมผัส ๖ นามและรูป ทำไมถึงมีเหตุผล? ชื่อและรูปมีอยู่จริง เพราะเหตุใด? มีชื่อและรูปแบบ.
   กล่าวคือ เมื่อคิดถูกแล้ว สิ่งต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นตามความเป็นจริง คือ วิญญาณย่อมมีเหตุ มีนามมีรูป มีวิญญาณมีเหตุ มีนามมีรูป เมื่อข้าพเจ้าคิดอย่างนี้แล้วข้าพเจ้าก็จำมันได้หมดและไม่อาจไปไกลกว่านั้นได้ โดยกล่าวว่า สภาวะแห่งการรู้นามและรูป
 สภาวะแห่งนามและ รูป ณ จุดเข้า ๖ ประการ สภาวะสัมผัสที่ ทาง เข้า ๖ ประการสภาวะสัมผัสและความรู้สึก ภาวะเป็นที่รัก ภาวะความอยากที่จะรับ อาศัยการเอาอาศัยการเกิด อาศัยความเกิด วัยชรา ความเจ็บป่วย ความตาย ความกังวล ความโศก ความรำคาญ ทุกข์และอื่นๆ ความทุกข์อันบริสุทธิ์และใหญ่หลวงมารวมกัน ผู้ไม่ปฏิบัติตามโชคชะตาอันชัดเจน ทำไมมันจึงโง่เขลา ? ว่ากันว่าความไม่รู้ ใน ภาวะที่แล้ว ความไม่รู้ใน ภาวะที่ตามมา ความไม่รู้ ในภาวะที่แล้ว ความไม่รู้ในสภาวะภายใน ความไม่รู้ในสภาวะภายนอก ความไม่รู้ในสภาวะภายในและภายนอก ๕. ความไม่รู้ ในกรรม ๔. ความไม่รู้ในความไม่คุ้นเคย ๓. ความไม่รู้ในกรรม ความไม่รู้ ๒. ความไม่รู้ของพระพุทธเจ้า ความไม่รู้ในธรรม ความไม่รู้ของสงฆ์ ความไม่รู้ในความทุกข์ ๑. ความไม่รู้ในการรวบรวม ความไม่รู้ความดับ ความไม่รู้ในวิถี ความไม่รู้ในเหตุ ไม่รู้ผล ไม่รู้เหตุแห่งธรรมทั้งหลาย ไม่รู้ความดี ไม่รู้อกุศล ไม่รู้ความผิด ไม่รู้ความบริสุทธิ์ ไม่รู้สิ่งที่ควรปฏิบัติ ไม่รู้สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติ ไม่รู้ต้อยต่ำต้อย ไม่รู้ความเหนือกว่า ไม่รู้ความมืด ไม่รู้สีขาว ไม่รู้ความแตกต่าง ไม่รู้เงื่อนไขสุขภาพหรือจุดติดต่อทั้งหกนั้นเข้าถึงได้อย่างแท้จริงด้วยความไม่รู้ ด้วยเหตุนี้ ในที่นั้น จึงมีความไม่รู้ ไม่มีนิมิต ไม่มีทัศนะในปัจจุบัน อวิชชา อวิชชา และความมืด นี้เรียกว่าอวิชชา. 
   ความหมายของเมฆ คืออะไร ? การกระทำมี ๓ อย่าง คือ การกระทำทางกาย การกระทำทางวาจา และการกระทำทางใจ นี้เรียกว่า การกระทำ ผู้รู้ชะตากรรม. ความรู้คืออะไร? เรียกว่ากายแห่งจิตสำนึก 6 ประการประการแรกคือ วิญญาณทางตา ประการที่สองคือ วิญญาณทางหู ที่สามคือ วิญญาณ ทางจมูก วิญญาณที่สี่ คือ วิญญาณทางลิ้น ประการที่ 5 คือ วิญญาณทางกาย และที่ 6 คือ วิญญาณ นี่เรียกว่า สติ ผู้รู้ชื่อและรูปแบบแห่งโชคชะตา ยุน ชื่อ ? เรียกว่า ขันธ์ไม่มีสี ๔ ขันธ์ ขันแรกคือ มวลรวมความรู้สึก ขันธ์สองคือ ขันธสัญญา ขันธ์ที่สามคือ มวลรวมแห่งสังขาร และขันธ์ที่สี่คือ มวลวิญญาณ
 ทำไมเมฆถึงมีสี ? หมายถึงทุกรูปแบบ: สี่สายพันธุ์หลักทั้งหมด, และการสร้างสี่สายพันธุ์หลัก. ชื่อแรกของสีจะเป็นชื่อเดียวเสมอ และชื่อที่รวมกันคือชื่อและสีซึ่งเรียกว่าชื่อและสี  ผู้ที่มีชื่อและสีผูกพันกับฐานทั้งหก หยุนเหอหลิวชู ? เรียกว่าภายใน 6 แห่งคือ
 1. สถานที่ในดวงตา
 2. สถานที่ในหู
 3. สถานที่ในจมูก
 4. สถานที่ในลิ้น
 5. สถานที่ในกาย
 6. สถานที่ในกาย 
สถานที่ภายในใจ เหล่านี้ เรียกว่าสถานที่หก. ผู้ที่ติดต่อกับสถานที่ทั้งหก ทำไมเมฆถึงสัมผัสกัน ? เรียกว่าสัมผัสทางกาย ๖ อย่าง ประการแรก สัมผัสทางตา ประการที่สอง สัมผัสทางหู ที่สาม สัมผัสทางจมูก สัมผัสที่สี่ สัมผัสทางลิ้น สัมผัสที่ห้า สัมผัสทางกาย และที่หก สัมผัสทางใจ นี้เรียกว่า สัมผัส สัมผัสผู้รับ การรับอะไร? ความรู้สึกมี ๓ อย่าง คือ ความรู้สึกสบาย ความรู้สึกเจ็บปวด และความรู้สึกไม่เจ็บปวดหรือยินดีแต่อย่างใด นี้เรียกว่า
   ความรู้สึก ผู้เป็นที่รัก รักคืออะไร? ความรักมีสามประเภท คือ รักราคะ รักทางเพศ รักไร้สี นี่เรียกว่าความรัก ผู้รับความรัก. ทำไมต้องเอา เมฆไปด้วย ? เรียกว่า การจับ ๔ อย่าง ประการแรก การจับโดยความปรารถนา ประการที่สอง การจับโดยการมองเห็น ประการที่สาม การจับโดยเว้นและการเว้น ประการที่สี่ การจับโดยคำพูดของเรา นี้เรียกว่า การจับ
 ใช้ประโยชน์จากผู้ที่มีความสัมพันธ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ทำไมเมฆจึงมีอยู่ ?  การดำรงอยู่มีสามประเภท คือ การมีอยู่ของ ความปรารถนา การดำรงอยู่ตามรูปแบบ และการดำรงอยู่ที่ไม่มีรูปแบบนี้เรียกว่าการดำรงอยู่ ผู้ถูกกำหนดให้มาเกิด ทำไมคุณถึง หาเลี้ยงชีพ ? ว่ากันว่ามีสัตว์ ในที่นั้น มีสัตว์ในที่นั้นก็มี สัตว์เกิด ประโยชน์ เกิดขึ้น ปรากฏขันธ์ ฐาน ฐาน ขันธ์ทั้งปวงเกิดขึ้นรากแห่งชีวิต ปรากฏนี้เรียกว่าความเกิด .
 ;ชีวิตขึ้นอยู่กับความแก่และความตาย ทำไมยุนถึงแก่ ? ความหมาย คือ ผมผุ ผิวหนังเหี่ยวย่นช้า ร่างกายแก่และทรุดโทรม กระดูกสันหลังงอ ตัวเป็นสีดำและขาว ลมหายใจเร็ว ลักษณะก้มลงพิงไม้ ไม่ชัดเจน อ่อนแอ สูญสิ้น เสื่อมถอย รากทั้งหมดเจริญแล้ว เมื่อหน้าที่ถูกทำลาย การกระ ทำทั้งหลายเสื่อมสลาย รูปของสิ่งเหล่านั้นก็เสื่อมโทรมลง เรียกว่า วัยชรา ทำไมยุนถึง
หมายถึงความตาย ? ว่ากันว่า บรรดาสัตว์ในจำพวกนั้นย่อมพินาศสิ้นไป สิ้นชีวิต ความอบอุ่น สละรากแห่งชีวิตแล้วสูญสิ้น สิ้นมวลรวมทั้งหมด ชะตากรรมย่อมสิ้นไปเมื่อถึงเวลามรณะ นี้ เรียกว่าความตาย
 วัยชราก่อนตายนี้เป็นหนึ่งเดียวเสมอ เรียกรวมกันว่าวัยชราและความตาย นี้เรียกว่าความหมายที่แตกต่างกันของการกำเนิดขึ้นอยู่กับ "
                      " The Chang Agama Sutra : The Sutra of Great Yuan Convenience " ได้รับการระบุให้เป็นพระสูตรหลัก 18 ประการใน
                       " Ten Vins " และได้รับการจัดอันดับให้เป็นFang Guang Sutra ใน " Davi Posha Treatise " นี้ ลิงค์สำคัญของ "การรู้ชื่อและรูปแบบ"
              มีความหมายสำคัญ: " อนัตดา! “จิตสำนึกมีนามมีรูป” หมายความว่าอย่างไร?
              ถ้าจิตสำนึกไม่เข้าสู่ครรภ์มารดามี ชื่อและรูปหรือไม่? คำตอบคือ: ไม่มี
              ถ้าจิตสำนึกเข้าไปในครรภ์แล้วไม่ออกมา มีชื่อและรูปหรือไม่? คำตอบคือ: ไม่มี
              ถ้าจิตสำนึกออกมาจากครรภ์ลูกจะถูกทำลาย ชื่อและรูปจะเพิ่มขึ้นหรือไม่? คำตอบคือ: ไม่มี
              อนัตดา! ถ้าโง่เขลาจะมีชื่อและรูปไหม? คำตอบคือ: ไม่มี
              อนัตดา! ข้าพเจ้าทราบจากเงื่อนไขนี้ว่า “นามและรูปมาจากจิตสำนึก และจิตสำนึกมีเงื่อนไขย่อมมีชื่อและรูป” ความหมายที่ข้าพเจ้ากล่าวนั้นอยู่ในข้อนี้ อนันดา! “จิตสำนึกย่อมขึ้นอยู่กับนาม รูป และรูป”
              หมายความว่าอย่างไร? ถ้า วิญญาณไม่อยู่ในนามและรูปวิญญาณก็ไม่มีที่อยู่ถ้าไม่มีที่อยู่ ย่อมเกิดแก่เจ็บตาย เป็น ทุกข์เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ เป็นทุกข์หรือ? คำตอบคือ: ไม่มี
              อนันดา! ถ้าไม่มีชื่อและรูป การมีสติ จะดีกว่าไหม? คำตอบคือ: ไม่มี
              อนันดา! ด้วยเงื่อนไขนี้ ฉันจึงรู้ว่า "ความรู้มาจากนามและรูป และวิญญาณมาจากชื่อและรูป" นี่แหละคือความหมายของสิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าว อนันดา! เพราะฉะนั้น ชื่อและรูป ย่อมถูกปรุงด้วย   วิญญาณ วิญญาณถูกปรุงด้วยนามและรูป ชื่อและรูป ล้วนถูกปรุงด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 6 ประสาทสัมผัสทั้ง 6 ล้วนถูกปรุงด้วยการสัมผัส สัมผัสถูกปรุงด้วยความรู้สึก เวทนาถูกปรุงด้วยความรัก ความรักถูกกำหนดโดยการรับ การรับถูกกำหนดโดยการดำรงอยู่ การดำรงอยู่ถูกกำหนดโดยการเกิด และการเกิดถูกกำหนดโดยความชรา ความตาย และความโศกเศร้า ความโศกเศร้า ความเจ็บปวด  ความรำคาญ ความทุกข์ทรมานอันยิ่งใหญ่ หยินสะสม อนัตดา! ชี่มีไว้เพื่อการพูด ชี่มีไว้เพื่อการตอบสนอง ชี่มีไว้เพื่อจำกัด ชี่มีไว้เพื่อการพูด ชี่มีไว้เพื่อสติปัญญาและการไตร่ตรอง ชี่มีไว้เพื่อสิ่งมีชีวิต ที่มีความรู้สึก อนันดา! ในธรรมนี้ ภิกษุทั้งหลายเมื่อพิจารณาตามความเป็นจริงแล้ว จิตและความหลุดพ้นจะไม่หลุดลอยไป อนันดา! ภิกษุนี้ควรเรียกว่าความ หลุดพ้น แห่ง ปัญญา "
              " พระสูตรมหาเหตุ"มีบันทึกที่คล้ายกันและสรุปว่า "จิตสำนึก ชื่อและรูปแบบล้วนมีเหมือนกัน" "The Urn Yu Sutra" คือ " Za Agama Sutra · 292 Sutra" อธิบาย "การกระทำ" ว่า
  "การกระทำที่เป็นพร การกระทำที่ไม่เป็นพร การกระทำที่ไม่เคลื่อนไหว" " จิตสำนึกของร่างกาย " และ " ทฤษฎีชีวิตภายหลัง" หนังสือส่วนใหญ่ใช้การตีความนี้เป็นหลัก

19 มกราคม 2567

เจโตวิมุตติ ที่บุคคลอบรมแล้วอย่างนี้

วิมุตติ 2 คือ ความหลุดพ้นด้วยสมาธิและปัญญา ได้แก่
1. เจโตวิมุตติ หมายถึง ความหลุดพ้นแห่งจิต ความหลุดพ้นด้วยอำนาจ
การฝึกจิต ความหลุดพ้นแห่งจิตจากราคะ ด้วยกำลังแห่งสมาธิ
2. ปัญญาวิมุตติ หมายถึง ความหลุดพ้นด้วยปัญญา ความหลุดพ้นด้วยอำนาจการเจริญปัญญา ความหลุดพ้นแห่งจิตจากจากอวิชชา ด้วยปัญญาที่รู้เห็นตามเป็นจริง
62 อรหันต์ 4, 5, 60 (an Arahant; arahant; Worthy One)
 1. สุกฺขวิปสฺสโก (ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน — bare-insight-worker)
 2. เตวิชฺโช (ผู้ได้วิชชา 3 — one with the Threefold Knowledge)
 3. ฉฬภิญฺโญ (ผู้ได้อภิญญา 6 — one with the Sixfold Superknowledge)
 4. ปฏิสมฺภิทปฺปตฺโต (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา — one having attained the Analytic Insights)
 1. อุภโตภาควิมุต (ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน คือ ท่านที่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย และสิ้นอาสวะแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอรหันต์ผู้ได้เจโต
วิมุตติขั้นอรูปสมบัติมาก่อนที่จะได้ปัญญาวิมุตติ — one liberated in both ways)
 2. ปัญญาวิมุต (ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา คือ ท่านที่มิได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่สิ้นอาสวะแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอรหันต์ผู้ได้ปัญญาวิมุตติ
ก็สำเร็จเลยทีเดียว — one liberated by understanding)
 3. กายสักขี (ผู้เป็นพยานด้วยนามกาย หรือ ผู้ประจักษ์กับตัว คือ ท่านที่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย และอาสวะบางส่วนก็สิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา
 หมายเอาพระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัต ที่มีสมาธินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ — the body-witness)
 4. ทิฏฐิปปัตตะ (ผู้บรรลุสัมมาทิฏฐิ คือ ท่านที่เข้าใจอริยสัจจธรรมถูกต้องแล้วและอาสวะบางส่วนก็สิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอริยบุคคลผู้
บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัต ที่มีปัญญินทรีย์แก่
กล้าในการปฏิบัติ — one attained to right view)
 5. สัทธาวิมุต (ผู้หลุดพ้นด้วยศรัทธา คือ ท่านทีเข้าในอริยสัจจธรรมถูกต้องแล้วและอาสวะบางส่วนก็สิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา แต่มีศรัทธาเป็นตัวนำ
หน้า หมายเอาพระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้
ปฏิบัติเพื่ออรหัตที่มีสัทธินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ — one liberated by faith)
 6. ธัมมานุสารี (ผู้แล่นไปตามธรรม หรือผู้แล่นตามไปด้วยธรรม คือ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผล ที่มีปัญญินทรีย์แก่กล้า อบรมอริยมรรคโดยมี
ปัญญาเป็นตัวนำ ท่านผู้นี้ถ้าบรรลุผลแล้วกลายเป็นทิฏฐิปัตตะ — the truth-devotee)
 7. สัทธานุสารี (ผู้แล่นไปตามศรัทธา หรือผู้แล่นตามไปด้วยศรัทธา คือ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผลที่มีสัทธินทรีย์แก่กล้า อบรมอริยมรรคโดยมี
ศรัทธาเป็นตัวนำ ท่านผู้นี้ถ้าบรรลุผลแล้วกลายเป็นสัทธาวิมุต — the faith devotee)
 กล่าวโดยสรุป บุคคลที่ 1 และ 2 (อุภโตภาควิมุต และปัญญาวิมุต) ได้แก่พระอรหันต์ 2 ประเภท บุคคลที่ 3, 4 และ 5 (กายสักขี ทิฏฐิปปัตตะ และสัทธาวิมุต)
 ได้แก่พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และท่านผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค จำแนกเป็น 3 พวกตามอินทรีย์ที่แก่กล้า เป็นตัวนำในการปฏิบัติ คือ สมาธินทรีย์ หรือปัญญินทรีย์ หรือสัทธินทรีย์ บุคคลที่ 6 และ 7 (ธัมมานุสารี
และสัทธานุสารี) ได้แก่ท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค จำแนกตามอินทรีย์ที่เป็นตัวนำในการปฏิบัติ คือ ปัญญินทรีย์ หรือสัทธินทรีย์
บางคัมภีร์กล่าวว่าเป็นการแสดงโดยนิปปริยาย คือ แสดงความหมายโดยตรงจำเพาะลงไป แต่ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามัคค์ ท่านแสดงความหมายโดยปริยาย
 เรียกผู้ที่ปฏิบัติโดยมีสัทธินทรีย์เป็นตัวนำ ว่าเป็น สัทธาวิมุต ตั้งแต่บรรลุโสดาปัตติผล ไปจนบรรลุอรหัตตผล;
 เรียกผู้ปฏิบัติโดยมีสมาธินทรีย์เป็นตัวนำ ว่าเป็น กายสักขี ตั้งแต่บรรลุโสดาปัตติมรรค ไปจนบรรลุอรหัตตผล; เรียกผู้ที่ปฏิบัติโดยมีปัญญินทรีย์เป็นตัวนำ
 ว่าเป็น ทิฏฐิปปัตตะ ตั้งแต่บรรลุโสดาปัตติผล ไปจนบรรลุอรหัตตผล; โดยนัยนี้
 จึงมีคำเรียกพระอรหันต์ว่า สัทธาวิมุต หรือกายสักขี หรือทิฏฐิปปัตตะได้ด้วย แต่ถ้าถือศัพท์เคร่งครัด ก็มีแต่ อุภโตภาควิมุต กับปัญญาวิมุต เท่านั้น
 ในฎีกาแห่งวิสุทธิมัคค์คือปรมัตถมัญชุสา มีคำอธิบายว่า ผู้ไม่ได้วิโมกข์ 8 เมื่อตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรคเป็นสัทธานุสารี หรือธัมมานุสารี อย่างใดอย่างหนึ่ง ต่อ
จากนั้นเป็นสัทธาวิมุต หรือ ทิฏฐิปปัตตะ จนได้สำเร็จอรหัตตผล จึงเป็น ปัญญาวิมุต; ผู้ได้วิโมกข์ 8 เมื่อตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรคเป็นสัทธานุสารี หรือ ธัมมานุ
สารี อย่างใดอย่างหนึ่ง ต่อจากนั้นเป็นกายสักขี เมื่อสำเร็จอรหัตตผล เป็น อุภโตภาควิมุต 
 นอกจากนี้ มีข้อสังเกตว่า บุคคลประเภทกายสักขีนี่เองที่ได้ชื่อว่า สมยานิก; ส่วนคำว่า ปัญญาวิมุต บางแห่งมีคำจำกัดความแปลกออกไปจากนี้ว่า ได้แก่ผู้ที่
บรรลุอรหัต โดยไม่ได้โลกียอภิญญา 5 และอรูปฌาน 4 
(สํ.นิ. 16/283-289/147-150; S.II.121.) 
 อริยบุคคล 7 นี้ ในพระสุตตันตปิฎก นิยมเรียกว่า ทักขิไณยบุคคล 7.

นิวรณ์(อ่านว่า นิ-วอน) (บาลี: nīvaraṇāna)

  แปลว่า เครื่องกั้น ใช้หมายถึงธรรมที่เป็นเครื่องปิดกั้นหรือขัดขวางไม่ให้บรรลุคว… 

นิวรณ์มี 5 อย่าง คือ
  1. กามฉันทะ ความพอใจ ติดใจ หลงใหลใฝ่ฝัน ในกามโลกีย์ทั้งปวง ดุจคนหลับอยู่
  2. พยาบาท ความไม่พอใจ จากความไม่ได้สมดังปรารถนาในโลกียะสมบัติทั้งปวง ดุจคนถูกทัณท์ทรมานอยู่
  3. ถีนมิทธะ ความขี้เกียจ ท้อแท้ อ่อนแอ หมดอาลัย ไร้กำลังทั้งกายใจ ไม่ฮึกเหิม
  4. อุทธัจจะกุกกุจจะ ความคิดซัดส่าย ตลอดเวลา ไม่สงบนิ่งอยู่ในความคิดใด ๆ
  5. วิจิกิจฉา ความไม่แน่ใจ ลังเลใจ สงสัย กังวล กล้า ๆ กลัว ๆ ไม่เต็มที่ ไม่มั่นใจกามฉันทะ เหมือนน้ำที่ถูกสีย้อม
  • พยาบาท เหมือนน้ำที่กำลังเดือด
  • ถีนมิทธะ เหมือนน้ำที่มีจอกแหนปกคลุมอยู่
  • อุทธัจจะกุกกุจจะ เหมือนน้ำที่เป็นคลื่น
  • วิจิกิจฉา เหมือนน้ำที่มีเปือกตม 
 บุคคลย่อมไม่อาจมองเห็นใต้น้ำได้สะดวกฉันใด เมื่อจิตมีนิวรณ์ บุคคลย่อมไม่อาจเห็นจิตตามจริงได้สะดวกฉันนั้น
 กามฉันทะ ให้ภาวนากายคตาสติ อสุภะ 10 อาหาเรปฏิกูลสัญญา เพื่อทำลายความอยากในกามเสีย
  • พยาบาท ให้ภาวนาอัปมัญญาหรือพรหมวิหาร 4 วรรณกสิน 4 เพื่อเพิ่มความเมตตา
  • ถีนมิทธะ ให้ภาวนาอนุสสติ 7 คือพุทธานุสสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ อุปสมานุสสติ และอาโลกสัญญา (แสงสว่างเป็น
อารมณ์) เพื่อเสริมสร้างศรัทธาและความเพียร
  • อุทธัจจะกุกกุจจะ ให้ภาวนากสิน 6 คือ ปฐวีกสิน อาโปกสิน วาโยกสิน เตโชกสิน อากาสกสิน อาโลกกสิน เพื่อเพิ่มกำลังสมาธิ (อานาปานสติ เอามาเพิ่ม
ทีหลังไม่เกี่ยวกับที่อ้างอิง แต่เป็นตัวระงับความฟุ้งซ่าน)
 • วิจิกิจฉา ให้ภาวนาจตุตธาตุววัตถาน (พิจารณาธาตุ 4) อานาปานสติ มรณานุสสติ เพื่อละความสงสัยวิตก แก้ถีนมิทธะ
  • วิจารณ์ แก้วิจิกิจฉา
  • ปีติ แก้พยาบาท
  • สุข แก้อุทธัจจะกุกกุจจะ

  • เอกัคคตา แก้กามฉันทะ เมื่อจิตเป็นอัปปนาสมาธิจนเกิดองค์ฌานทั้ง 5 ย่อมทำลายนิวรณ์ลงได้ ชั่วคราว คือในขณะอยู่ในฌาน และนอกฌาน เมื่อยังทรง
อารมณ์ฌานไว้ได้อยู่ (ฌานยังไม่เสื่อม)

ถีนมิทธะ (ถีนเจตสิก และ มิทธเจตสิก)ถีนมิทธะ (อ่านว่า ถี-นะ-มิด-ทะ; บาลี: ถีนมิทฺธ) แปลว่า ความหดหู่และเคลิบเคลิ้ม (ถีนะ ความหดหู่ มิทธะ ความเคลิบเคลิ้ม)

 ในพระอภิธรรมได้บรรยาย ถีนมิทธะ ในลักษณะของเจตสิก (คือ ธรรมชาติที่อาศัยจิตเกิด) โดยแบ่งเป็น
 ถีนเจตสิก และ มิทธเจตสิก
หมายถึง
ถีนเจตสิก ถีนเจตสิก คือ ธรรมชาติที่ทำให้จิตหดหู่ ท้อถอยจากอารมณ์ ได้แก่สภาพที่ จิตคลายลงจากอำนาจ ความขะมักเขม้นต่ออารมณ์ มีลักษณะดังนี้ มี
การไม่อุตสาหะ เป็นลักษณะ มีการทำลายความเพียร เป็นกิจ มีความท้อถอย เป็นผล มีการกระทำใจต่ออารมณ์อย่างไม่แยบคาย (อโยนิโสมนสิการ) เป็น
เหตุใกล้ มิทธเจตสิก มิทธเจตสิก คือ ความโงกง่วง ได้แก่ สภาพที่ทำให้จิตเซื่องซึม ท้อถอยจากอารมณ์ มีลักษณะ มีความไม่ควรแก่การงาน เป็นลักษณะ
 มีการกั้น กำบังสัมปยุตตธรรม เป็นกิจ มีความท้อถอย หรือ การโงกง่วง เป็นผล มีการกระทำใจต่ออารมณ์อย่างไม่แยบคาย (อโยนิโสมนสิการ) เป็นเหตุใกล้
 ถีนเจตสิก มีหน้าที่ ทำให้จิตที่เกิดพร้อมกับตน ท้อถอยจากอารมณ์ ส่วน มิทธเจตสิก มีหน้าที่ ทำให้เจตสิกที่เกิดพร้อมกับตน ท้อถอยจากอารมณ์ สำหรับ
 วิตก (วิตกเจตสิก) อันเป็นหนึ่งในองค์ฌาน เป็นปรปักษ์กับ ถีนมิทธะ (ถีนเจตสิก และ มิทธเจตสิก) อาการที่จิตเกิดความห่อเหี่ยว ท้อแท้ หมดหวัง และ
เศร้าซึม ง่วงเหงา หาวนอน เป็นเหตุให้เกิดความหมดอาลัย ความเกียจคร้าน ไม่กระตือรือร้น ปล่อยปละละเลยไปตามยถากรรม จัดเป็น นิวรณ์ คือเครื่องปิด
กั้นขัดขวางมิให้บรรลุถึงสมาธิและปิดกั้นสมาธิมิให้เข้าถึงจิต ถีนมิทธะ เกิดจาก อรติ คือ ความไม่ยินดี ความเกียจคร้าน และความเมาอาหาร คืออิ่มเกินไป แก้
ได้ด้วยอนุสติ คือระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย เป็นต้น ถีนมิทธะ เป็นหนึ่งในนิวรณ์ 5 อันเป็นสิ่งกั้นจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรม ทำให้จิตเศร้าหมอง และ
ทำปัญญาให้อ่อนกำลัง ซึ่งมีห้าอย่าง คือ กามฉันทะ, พยาบาท, ถีนมิทธะ, อุทธัจจกุกกุจจะ และวิจิกิจฉา
ความไม่สมประกอบแห่งจิต ความไม่ควรแก่การงานแห่งจิต ความท้อแท้ ความถดถอย ความหดหู่ อาการที่หดหู่ ภาวะที่หดหู่ ความซบเซา อาการที่ซบเซา
 ภาวะที่ซบเซาแห่งจิต อันใด นี้เรียกว่า ถีนะ.
ความไม่สมประกอบแห่งนามกาย ความไม่ควรแก่งานแห่งนามกาย ความปกคลุม ความหุ้มห่อ ความปิดบังไว้ภายใน ความง่วงเหงา ความหาวนอน ความ
โงกง่วง ความหาวนอน อาการที่หาวนอน ภาวะที่หาวนอน อันใด นี้เรียกว่า มิทธะ

มหาภูตรูป ๔ ( Махабхута фигура 4 )

  รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธานของรูปทั้งหลาย มี ๔ ได้แก่ ธาตุดิน (ปฐวีธาตุ) ธาตุน้ำ (อาโปธาตุ) ธาตุไฟ (เตโชธาตุ) ธาตุลม (วาโยธาตุ)

 เพราะมีมหาภูตรูป ๔ จึงมีรูปที่อาศัยมหาภูตรูปเกิด มี สี กลิ่น รส โอชา เป็นต้น ที่เรียกว่า อุปาทายรูป
 รูปธรรมเวลาเกิดไม่ได้เกิดเพียงรูปเดียว เดี่ยวๆ แต่เกิดเป็นกลุ่ม ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นกลุ่มของรูปที่เกิดจากสมุฏฐานใด กลุ่มของรูปที่เล็กที่สุดจะมีรูปรวมกัน
 ๘ รูป ได้แก่ มหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูป ๔ (สี กลิ่น รส โอชา) สำหรับกลุ่ม
ของรูปที่มีเสียงเกิดร่วมด้วยนั้น จะมีรูปรวมกันเกิน ๘ รูป เกิดจากจิตเป็น
สมุฏฐาน ก็มี เกิดจากอุตุเป็นสมุฏฐาน ก็มี ซึ่งจะต้องมีเสียงเกิดร่วมด้วย 
เสียงก็เกิดพร้อมกับมหาภูตรูป นั่นเองรูป หรือรูปขันธ์ หรือกองร่างกาย เกิดจากเหตุหรือสิ่งที่มาเป็นปัจจัยกันของธาตุทั้ง ๔ อันมี ธาตุดิน อันคือปฐวีธาตุ,
 ธาตุนํ้า อันคืออาโปธาตุ, ธาตุลม อันคือวาโยธาตุ, และธาตุไฟ อันคือเตโชธาตุ หรือเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่ามหาภูตรูป ธาตุดิน
 หมายถึง
 สิ่งที่มีสภาวะที่แผ่ไปหรือกินเนื้อที่ เรียกสามัญว่า ธาตุแข้นแข็งหรือธาตุดิน, สิ่งที่ทรงสภาพเป็นของแข้นคือข้นหรือหนาแน่น,หรือแข็งโดยธรรมชาติของมัน
นั่นเอง ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ
 ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า มันสมอง; 
 ธาตุนํ้า อาโปธาตุ สภาวะที่เอิบอาบ ดูดซึม แผ่ซ่านออกไป เรียกสามัญว่า ธาตุเหลวหรือธาตุน้ำ อันพระองค์ท่านได้จำแนกไว้ ๑๒ อย่าง คือ ดี เสลด น้ำเหลือง
หรือน้ำหนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำมูก น้ำลาย ไขข้อ มูตร 
 ธาตุลม วาโยธาตุ ความเป็นของพัดไปมา ลมที่พัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้อง
ต่ำ ลมอันอยู่ในท้อง ลมอันอยู่ในลำไส้ ลมอันแล่นไปตามอวัยวะน้อยใหญ่ ลม
หายใจเข้า ลมหายใจออก เช่น ลมหายใจอันไม่น่าปรารถนา ลมหมักหมมเหม็นเน่าอยู่ในท้อง
ธาตุไฟ เตโชธาตุ ความเป็นของเร่าร้อน สิ่งที่เป็นเครื่องอบอุ่นแห่งกาย และทั้งเป็นสิ่งที่เป็นเครื่องทรุดโทรมแห่งกาย สิ่งที่เป็นเครื่องเร่าร้อนแห่งกายยามเมื่อ
เจ็บป่วยไข้ และสิ่งที่เป็นเครื่องทำให้แปรปรวนไปด้วยดีแห่งของที่กินแล้ว ดื่ม
แล้ว เคี้ยวแล้ว และของที่ลิ้มรสแล้ว กล่าวคือแปรปรวนของที่กินและลิ้มแล้วให้เป็นพลังงานและสารของเสียต่างๆออกมา

 ธาตุทั้ง ๔ หรือมหาภูตรูป
ก็เป็นเหตุปัจจัยยังให้เกิดอุปาทายรูป ๒๔ หรือที่กันเรียกว่ารูปอาศัย กล่าวคือ รูป ที่อาศัยเกิดสืบเนื่องต่อจากมหาภูตูรูป เป็นอายตนะต่างๆ เพศ ความสวยงาม
 ฯลฯ. ดังนั้นเมื่อฝ่ายรูปรวมกับฝ่ายนามหรือจิต ก็เกิดเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ขึ้น กล่าวคือ เมื่อครบขันธ์ทั้ง ๕
 ดูกรเกวัฏฏ์ 
เรื่องเคยมีมาแล้ว ภิกษุรูปหนึ่งในหมู่ภิกษุนี้เอง ได้เกิดความ ปริวิตกอย่างนี้ว่า มหาภูตรูปทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหล่านี้ ย่อมดับ
ไม่มีเหลือ ในที่ไหนหนอ. ลำดับนั้น เธอได้เข้าสมาธิชนิดที่เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว ทางไปสู่ เทวโลกปรากฏได้.
 ครั้นแล้วเธอได้เข้าไปหาพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชถึงที่อยู่ แล้วถามว่าท่านทั้งหลาย มหาภูตรูปทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหล่านี้
ย่อมดับ ไม่มีเหลือในที่ไหน? เมื่อเธอถามอย่างนี้แล้ว เทวดาชั้นจาตุมหาราชจึงตอบว่า แม้พวกข้าพเจ้า ก็ไม่ทราบที่ดับไม่มิเหลือ แห่งมหาภูตรูปทั้ง ๔ เหล่านี้
เหมือนกัน แต่ยังมีท้าวมหาราชอยู่ ๔ องค์ซึ่งดีกว่า ประณีตกว่าพวกข้าพเจ้า ท้าวเธอคงจะทราบ.
 ลำดับนั้นภิกษุนั้นจึงไปหาท้าวมหาราช ทั้ง ๔ แล้วถามว่า ท่านทั้งหลาย มหาภูต
รูปทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหล่านี้ ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน?
 เมื่อเธอถามอย่างนี้แล้ว ท้าวมหาราชทั้ง ๔ องค์จึงตอบว่า แม้พวกข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ แต่ยังมีพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ซึ่งดีกว่า ประณีตกว่าพวกข้าพเจ้าอยู่อีก
  เทวดาเหล่านั้นคงจะทราบ ภิกษุนั้นจึงเข้าไปหาเทวดาชั้นดาวดึงส์ แล้วถามว่า
 ท่านทั้งหลาย มหาภูตรูปทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหล่านี้ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน?
 เมื่อเธอถามอย่างนี้แล้ว เทวดาชั้นดาวดึงส์จึงตอบว่า แม้พวกข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ
 แต่ยังมีท้าวสักกะ จอมเทพซึ่งดีกว่า ประณีตกว่าพวกข้าพเจ้าอยู่อีก ท้าวเธอคงจะทราบ.
 ลำดับนั้น ภิกษุนั้นได้ ไปหาท้าวสักกะจอมเทพแล้วถามว่า ท่าน มหาภูตรูปทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหล่านี้ ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน?
 ดูกรเกวัฏฏ์ 
เมื่อภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ท้าวสักกะจอมเทพได้ตรัสตอบว่า แม้ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จักที่ดับไม่มีเหลือแห่งมหาภูตรูปทั้ง ๔ นั้น แต่ยังมีเทวดาชั้น ยามะ ... ท้าวสุ
ยามะ ... เทวดาชั้นดุสิต ... ท้าวสันดุสิต ... เทวดาชั้นนิมมานรดี ... ท้าวสุนิมมิต ... เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวดี ... ท้าวปรนิมมิตวสวดี ซึ่งดีกว่า ประณีตกว่า
ข้าพเจ้า อยู่อีก ท้าวเธอคงทราบที่ดับไม่มีเหลือแห่งมหาภูตรูปทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหล่านี้ได้. ดูกรเกวัฏฏ์ ลำดับนั้นแล เธอได้
เข้าไปหาวสวดีเทวบุตรแล้วถามว่า ท่าน มหาภูตรูปทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหล่านี้ ย่อมดับไม่มีเหลือใน ที่ไหน เมื่อเธอกล่าวอย่างนี้
แล้ว วสวดีเทวบุตรตอบว่า แม้ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ แต่ยังมีเทวดา ผู้นับเนื่องในหมู่
พรหม ซึ่งดีกว่า ประณีตกว่าพวกเราอยู่อีก เทวดาเหล่านั้นคงจะทราบ ลำดับนั้น ภิกษุได้เข้าสมาธิชนิดที่จิตตั้งมั่นแล้ว ทางไปสู่พรหมโลกปรากฏได้.
 ดูกรเกวัฏฏ์
 ต่อนั้น เธอได้เข้าไปหาเทวดาผู้นับเนื่องในหมู่พรหมโลกแล้วถามว่า ท่านทั้ง
หลาย มหาภูตรูปทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหล่านี้ ย่อมดับ ไม่มีเหลือในที่ไหน?
 เมื่อเธอถามอย่างนี้ เทวดาผู้นับเนื่องในหมู่พรหมจึงตอบว่า แม้พวกข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ แต่ยังมีพรหมผู้เป็นมหาพรหมเป็นใหญ่ ไม่มีใครยิ่งกว่า รู้เห็นเหตุการณ์
โดยถ่องแท้ ผู้ใช้อำนาจเป็นอิศวร เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ผู้เกิดแล้วและยังจะเกิดต่อไป ซึ่ง
ดีกว่า ประณีตกว่าพวกข้าพเจ้า ท้าว มหาพรหมนั้นแล คงจะทราบ ก็บัดนี้ท้าวมหาพรหมนั้นอยู่ที่ไหน แม้พวกเราก็ไม่รู้ที่อยู่ของพรหม หรือทิศทางที่พรหมอยู่
 แต่ว่านิมิตทั้งหลายย่อมเห็นได้ แสงสว่างย่อมเกิดเอง โอกาสย่อมปรากฏ เมื่อ
ใด พรหมจักปรากฏองค์เมื่อนั้น การที่แสงสว่างเกิดเอง โอกาสปรากฏนั้นแล เป็นบุพพนิมิต สำหรับความปรากฏแห่งพรหม
 ดูกรเกวัฏฏ์
 ต่อมาไม่นาน มหาพรหมนั้นได้ปรากฏแล้ว. ดูกรเกวัฏฏ์ ลำดับนั้น เธอได้เข้าไป
หามหาพรหมแล้วถามว่า ท่าน มหาภูตรูป ทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหล่านี้ ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน?
 เมื่อเธอกล่าวอย่างนี้แล้ว ท้าวมหาพรหมนั้นได้ตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครยิ่งกว่า รู้เห็นเหตุการณ์โดยถ่องแท้ เป็นผู้ใช้
อำนาจ เป็นอิศวร เป็นผู้สร้าง เป็นผู้เนรมิตร เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็น
ผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ผู้เกิดแล้ว และยังจะเกิดต่อไป แม้ครั้งที่ ๒ เล่า
 ภิกษุนั้นก็ได้กล่าวกะท้าวมหาพรหมนั้น ดังนี้ว่า ข้าพเจ้า มิได้ถามท่านอย่างนั้น แต่ข้าพเจ้าถามท่านว่า มหาภูตรูปทั้ง ๔ ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน ดังนี้ ต่าง
หาก แม้ครั้งที่ ๒ เล่า ท้าวมหาพรหมก็ได้ตอบเธออย่างนั้นเหมือนกัน แม้ครั้งที่ ๓ เล่า ภิกษุนั้นก็ได้กล่าวกะท้าวมหาพรหมนั้นดังนี้ว่า ข้าพเจ้ามิได้ถามท่านอย่าง
นั้น แต่ข้าพเจ้าถามท่านว่า มหาภูตรูปทั้ง ๔ ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน ดังนี้ต่างหาก.
 ดูกรเกวัฏฏ์ 
ลำดับนั้น ท้าวมหาพรหมนั้น จับแขนภิกษุนั้นนำไป ณ ที่ควร ข้างหนึ่ง แล้วได้กล่าวว่า ดูกรภิกษุ พวกเทวดาผู้นับเนื่องในหมู่พรหมเหล่านี้เข้าใจเราว่า อะไรๆ
  ที่พรหมไม่รู้ ไม่เห็น ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ประจักษ์ ไม่มี ดังนี้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงตอบต่อหน้า เทวดาเหล่านั้นไม่ได้ว่า แม้ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบที่ดับไม่มีเหลือแห่ง
มหาภูตรูปทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหล่านี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นแล การที่ท่านละพระผู้มีพระภาค เสีย แล้วมาเสาะหาการพยากรณ์
ปัญหานี้ในภายนอกนั้น เป็นอันท่านทำผิดพลาดแล้ว นิมนต์กลับ เถิด ท่านจง
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทูลถามปัญหานี้ พระองค์ทรงพยากรณ์แก่ท่านฉันใด ท่าน พึงทรงจำข้อนั้นไว้ ฉันนั้น.
 ดูกรเกวัฏฏ์
 ลำดับนั้น ภิกษุนั้นได้หายไปที่พรหมโลก มาปรากฏข้างหน้าเรา เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขนที่คู้อยู่ออกไป หรือคู้แขนที่เหยียดไว้เข้ามา ฉะนั้น. ต่อ
นั้น เธอไหว้เราแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้ถามเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้
เจริญ มหาภูตรูป ทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหล่านี้ ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน เมื่อเธอกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้ตอบว่า
 ดูกรภิกษุ เรื่องเคยมีมาแล้ว พวกพ่อค้าเดินเรือทะเลย่อมจับนกตีรทัสสี (นกดูฝั่ง) ลงเรือไปด้วย เมื่อไม่เห็นฝั่ง เขาย่อมปล่อยนกตีรทัสสี มันบินไปยังทิศ
บูรพา ทิศทักษิณ ทิศปัจจิม ทิศอุดร ทิศเบื้องบน ทิศน้อย ถ้ามันแลเห็นฝั่งโดย
รอบมันก็บินเลยไป ถ้ามันแลไม่เห็นฝั่งโดยรอบ มันก็จะกลับมายังเรือนั้นอีก 
 ดูกรภิกษุ
เธอก็ฉันนั้นแล เที่ยวแสวงหาจนถึงพรหมโลก ก็ไม่ได้รับพยากรณ์ปัญหานี้ ในที่สุดก็ต้องกลับ มาหายังสำนักเรานั่นเอง ปัญหาข้อนี้เธอมิควรถามอย่างนั้น แต่
ควรถามอย่างนี้. ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้ง
อยู่ไม่ได้ในที่ไหน นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน ดังนี้. ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใส โดยประการทั้งปวง ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ
 เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้. อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ใน ธรรมชาตินี้. นาม
และรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้. เพราะวิญญาณดับ นามและรูปนั้นย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ ดังนี้.
 พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว. เกวัฏฏ์ คฤหบดีบุตรมีใจชื่นชม เพลิดเพลิน ภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล. ภิกษุ ! สำหรับปัญหาของเธอ
นั้น เธอไม่ควรตั้งคำถามขึ้นว่า “มหาภูตสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เหล่านี้ ย่อมดับสนิทไม่มีเหลือ ในที่ไหน ?” ดังนี้เลย ; อันที่จริง เธอควรจะตั้งคำถามขึ้นอย่างนี้
ว่า :- “ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน ? ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้ ในที่ไหน ? นามรูปดับสนิทไม่มี
เหลือ ในที่ไหน ?” ดังนี้ต่างหาก. ภิกษุ ! ในปัญหานั้น คำตอบมีดังนี้ :- “สิ่ง” สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด มีทางปฏิบัติเข้า
มาถึงได้โดยรอบ, นั้นมีอยู่ ; ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ ; ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม
  ไม่หยั่งลงได้ ; ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูป ดับสนิทไม่มีเหลือ ; นามรูป ดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ ; ดังนี้แล.
 - สี. ที. ๙/๒๘๙/๓๔๘-๓๕๐.