Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ .จตุตถภาณวาร แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ .จตุตถภาณวาร แสดงบทความทั้งหมด

25 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะบรรพชา

    พระอัสสชิเถระ

   [๖๔] ก็โดยสมัยนั้นแล สญชัยปริพาชกอาศัยอยู่ในพระนครราชคฤห์ พร้อมด้วยปริพาชกบริษัทหมู่ใหญ่ จำนวน ๒๕๐ คน.
   ก็ครั้งนั้น พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในสำนักสญชัยปริพาชก. ท่านทั้งสองได้ทำกติกากันไว้ว่า ผู้ใดบรรลุอมตธรรมก่อนผู้นั้นจงบอกแก่อีกคนหนึ่ง. 
   ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า ท่านพระอัสสชินุ่งอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครราชคฤห์ มีมรรยาทก้าวไป ถอยกลับ แลเหลียว คู้แขน เหยียดแขนน่าเลื่อมใส มีนัยน์ตาทอดลง ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ. 
   สารีบุตรปาริพาชกได้เห็นท่านพระอัสสชิ กำลังเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ มีมรรยาทก้าวไป ถอยกลับ แลเหลียว คู้แขน เหยียดแขน น่าเลื่อมใส มีนัยน์ตาทอดลง ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ ครั้นแล้วได้มีความดำริว่าบรรดาพระอรหันต์ หรือท่านผู้ได้บรรลุพระอรหัตมรรคในโลก 
   ภิกษุรูปนี้คงเป็นผู้ใดผู้หนึ่งแน่ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปหาภิกษุรูปนี้ แล้วถามว่า ท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่านหรือท่านชอบใจธรรมของใคร? แล้วได้ดำริต่อไปว่า ยังเป็นกาลไม่สมควรจะถามภิกษุรูปนี้ 
   เพราะท่านกำลังเข้าละแวกบ้านเที่ยวบิณฑบาต ผิฉะนั้น เราพึงติดตามภิกษุรูปนี้ไปข้างหลังๆ เพราะเป็นทางอันผู้มุ่งประโยชน์ทั้งหลายจะต้องสนใจ. 
   ครั้งนั้น ท่านพระอัสสชิเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ ถือบิณฑบาตกลับไป. จึงสารีบุตรปริพาชกเข้าไปหาท่านพระอัสสชิ ถึงแล้วได้พูดปราศรัยกับท่านพระอัสสชิ 
   ครั้นผ่านการพูดปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิง เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง. 
   สารีบุตรปริพาชกยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าวคำนี้ กะท่านพระอัสสชิว่า อินทรีย์ของท่านผ่องใส ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร ขอรับ?
   อ. มีอยู่ ท่าน พระมหาสมณะศากยบุตร เสด็จออกทรงผนวชจากศากยตระกูล เราบวชเฉพาะพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดาของเรา และเราชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น.
สา. ก็พระศาสดาของท่านสอนอย่างไร แนะนำอย่างไร?
อ. เราเป็นคนใหม่ บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่พระธรรมวินัยนี้ ไม่อาจแสดงธรรมแก่ท่านได้กว้างขวาง แต่จักกล่าวใจความแก่ท่านโดยย่อ.
สา. น้อยหรือมาก นิมนต์กล่าวเถิด ท่านจงกล่าวแต่ใจความแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการใจความอย่างเดียว ท่านจักทำพยัญชนะให้มากทำไม.

พระอัสสชิเถระแสดงธรรม

   [๖๕] ลำดับนั้น ท่านพระอัสสชิ ได้กล่าวธรรมปริยายนี้แก่สารีบุตรปริพาชก ว่าดังนี้:-
ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติ
   ทรงสั่งสอนอย่างนี้.

สารีบุตรปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรม

   [๖๖] ครั้นได้ฟังธรรมปริยายนี้ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา ได้เกิดขึ้นแก่สารีบุตรปริพาชก
ธรรมนี้แหละถ้ามีก็เพียงนี้เท่านั้นท่านทั้งหลายจงแทง
ตลอดบทอันหาความโศกมิได้บทอันหาความโศกมิได้นี้ พวกเรายังไม่เห็น ล่วงเลยมาแล้วหลายหมื่นกัลป์.

สารีบุตรปริพาชกเปลื้องคำปฏิญาณ

   [๖๗] เวลาต่อมา สารีบุตรปริพาชกเข้าไปหาโมคคัลลานปริพาชก. โมคคัลลานปริพาชกได้เห็นสารีบุตรปริพาชกเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้วได้ถามสารีบุตรปริพาชกว่า ผู้มีอายุ อินทรีย์ของท่านผ่องใส ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านได้บรรลุอมตธรรมแล้วกระมังหนอ?
   สา. ถูกละ ผู้มีอายุ เราได้บรรลุอมตธรรมแล้ว.
   โมค. ท่านบรรลุอมตธรรมได้อย่างไร ด้วยวิธีไร?
    สา. ผู้มีอายุ วันนี้เราได้เห็นพระอัสสชิกำลังเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ มีมรรยาทก้าวไป ถอยกลับ แลเหลียว เหยียดแขน คู้แขน น่าเลื่อมใส มีนัยน์ตาทอดลง ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ ครั้นแล้วเราได้มีความดำริว่า 
   บรรดาพระอรหันต์หรือท่านผู้ได้บรรลุอรหัตมรรค
   ในโลก ภิกษุรูปนี้คงเป็นผู้ใดผู้หนึ่งแน่ ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปหาภิกษุรูปนี้ แล้วถามว่า ท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร เรานั้นได้ยั้งคิดว่า ยังเป็นกาลไม่สมควรจะถามภิกษุรูปนี้ เพราะท่านยังกำลังเข้าละแวกบ้านเที่ยวบิณฑบาต ผิฉะนั้น
   เราพึงติดตามภิกษุรูปนี้ไปข้างหลังๆ เพราะเป็นทางอันผู้มุ่งประโยชน์ทั้งหลายจะต้องสนใจ 
   ลำดับนั้น พระอัสสชิเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ ถือบิณฑบาตกลับไปแล้ว ต่อมา เราได้เข้าไปหาพระอัสสชิ ครั้นถึงแล้ว ได้พูดปราศรัยกับพระอัสสชิ ครั้นผ่านการพูดปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิง เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว 
   ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เรายืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าวคำนี้ต่อพระอัสสชิว่า อินทรีย์ของท่านผ่องใส ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร ขอรับ?
   พระอัสสชิตอบว่า มีอยู่ ท่าน พระมหาสมณะศากยบุตรเสด็จออกทรงผนวชจากศากยตระกูล เราบวชเฉพาะพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดาของเรา และเราชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น 
   เราได้ถามพระอัสสชิต่อไปว่า ก็พระศาสดาของท่านสอนอย่างไร แนะนำอย่างไร?
   พระอัสสชิตอบว่า เราเป็นคนใหม่ บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่พระธรรมวินัยนี้ ไม่อาจแสดงธรรมแก่ท่านได้กว้างขวาง แต่จักกล่าวใจความแก่ท่านโดยย่อ เราได้เรียนว่า น้อยหรือมาก นิมนต์กล่าวเถิด ท่านจงกล่าวแต่ใจความแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการใจความอย่างเดียว ท่านจักทำพยัญชนะให้มากทำไม.
[๖๘] ผู้มีอายุ ครั้งนั้น พระอัสสชิได้กล่าวธรรมปริยายนี้ ว่าดังนี้:-
ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ  พระตถาคตทรงแสดงเหตุ
แห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น
พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้.
โมคคัลลาน ปริพาชก ได้ดวงตาเห็นธรรม
   [๖๙] ครั้นได้ฟังธรรมปริยายนี้ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา ได้เกิดขึ้นแก่โมคคัลลานปริพาชก
   ธรรมนี้แหละถ้ามีก็เพียงนี้เท่านั้น ท่านทั้งหลายจงแทงตลอดบทอันหาความโศกมิได้ บทอันหาความโศกมิได้นี้ พวกเรายังไม่เห็น ล่วงเลยมาแล้ว   หลายหมื่นกัลป์.

สองสหายอำลาอาจารย์

   [๗๐] ครั้งนั้น โมคคัลลานปริพาชกได้กล่าวชักชวนสารีบุตรปริพาชกว่า ผู้มีอายุ เราพากันไปสำนักพระผู้มีพระภาคเถิด เพราะพระผู้มีพระภาคนั้นเป็นพระศาสดาของเรา.
   สารีบุตรปริพาชกกล่าวว่า ผู้มีอายุ ปริพาชก ๒๕๐ คนนี้อาศัยเรา เห็นแก่เรา จึงอยู่ในสำนักนี้ เราจงบอกกล่าวพวกนั้นก่อน พวกนั้นจักทำตามที่เข้าใจ.
   ลำดับนั้น สารีบุตรโมคคัลลานะพากันเข้าไปหาปริพาชกเหล่านั้น ครั้นถึงแล้วได้กล่าวคำนี้ต่อพวกปริพาชกนั้นว่า ท่านทั้งหลาย เราจะไปในสำนักพระผู้มีพระภาค เพราะพระผู้มีพระภาคนั้นเป็นพระศาสดาของเรา.
   พวกปริพาชกตอบว่า พวกข้าพเจ้าอาศัยท่าน เห็นแก่ท่านจึงอยู่ในสำนักนี้ ถ้าท่านจักประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ พวกข้าพเจ้าทั้งหมด ก็จักประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะด้วย.
   ต่อมา สารีบุตรโมคคัลลานะได้พากันเข้าไปหาท่านสญชัยปริพาชก ครั้นถึงแล้วได้เรียนว่า ท่านขอรับ พวกกระผมจะไปในสำนักพระผู้มีพระภาค เพราะพระผู้มีพระภาคนั้นเป็นพระศาสดาของพวกกระผม
   สญชัยปริพาชกพูดห้ามว่า อย่าเลย ท่านทั้งหลาย อย่าไปเลย เราทั้งหมด ๓ คน จักช่วยกันบริหารคณะนี้.
แม้ครั้งที่ ๒ ...
แม้ครั้งที่สาม 
   สารีบุตรโมคคัลลานะได้กล่าวคำนี้ต่อสญชัยปริพาชกว่า ท่านขอรับ พวกกระผมจะไปในสำนักพระผู้มีพระภาค เพราะพระผู้มีพระภาคนั้นเป็นพระศาสดาของพวกกระผม.
   สญชัยปริพาชกพูดห้ามว่า อย่าเลย ท่านทั้งหลาย อย่าไปเลย เราทั้งหมด ๓ คน จักช่วยกันบริหารคณะนี้.
   ครั้งนั้น สารีบุตรโมคคัลลานะพาปริพาชก ๒๕๐ คนนั้น มุ่งไปทางที่จะไปพระวิหารเวฬุวัน. ก็โลหิตร้อนได้พุ่งออกจากปากสญชัยปริพาชกในที่นั้นเอง.

ทรงพยากรณ์พระอัครสาวก

   [๗๑] พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นสารีบุตรโมคคัลลานะมาแต่ไกลเทียว ครั้นแล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สหายสองคนนั้น คือโกลิตะ และอุปติสสะกำลังมานั่น จักเป็นคู่สาวกของเรา จักเป็นคู่อันเจริญชั้นเยี่ยมของเรา
   ก็สหายสองคนนั้นพ้นวิเศษแล้ว ในธรรมอันเป็น
   ที่สิ้นอุปธิ อันยอดเยี่ยม มีญาณวิสัยอันลึกซึ้ง
   ยังมาไม่ทันถึงพระวิหารเวฬุวัน พระศาสดา
        ทรงพยากรณ์ ว่าดังนี้
   สหายสองคนนี้คือ โกลิตะและอุปติสสะกำลัง
   มานั่น จักเป็นคู่สาวกของเรา จักเป็นคู่อันเจริญ
        ชั้นเยี่ยมของเรา.

เข้าเฝ้าทูลขอบรรพชาอุปสมบท

   [๗๒] ครั้งนั้น สารีบุตรโมคคัลลานะได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นถึงแล้วได้ซบเศียรลงที่พระบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วทูลขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาคว่า ขอพวกข้าพระพุทธเจ้า พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด. พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น.

เสียงติเตียน

   [๗๓] ก็โดยสมัยนั้นแล พวกกุลบุตรชาวมคธที่มีชื่อเสียงๆ พากันประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค.
   ประชาชนพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะโคดมปฏิบัติเพื่อให้ชายไม่มีบุตร พระสมณโคดมปฏิบัติเพื่อให้หญิงเป็นหม้าย พระสมณโคดมปฏิบัติเพื่อตัดสกุล บัดนี้ 
   พระสมณโคดมให้ชฎิลพันรูปบวชแล้ว และให้ปริพาชกศิษย์ของท่านสญชัย ๒๕๐ คนนี้ บวชแล้ว และกุลบุตรชาวมคธที่มีชื่อเสียงๆ พากันประพฤติพรหมจรรย์ในพระสมณโคดม.
   อนึ่ง ประชาชนได้เห็นภิกษุทั้งหลายแล้วได้โจทย์ด้วยคาถานี้ ว่าดังนี้:-
   พระมหาสมณะเสด็จมาสู่พระนครคอกเขาของ
   ชาวมคธแล้ว ได้ทรงนำปริพาชกพวกสญชัย
   ทั้งปวงไปแล้ว บัดนี้ จักทรงนำใครไปอีกเล่า.
   [๗๔] ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียงนั้นจักอยู่ไม่ได้นาน จักอยู่ได้เพียง ๗ วันเท่านั้น พ้น ๗ วันก็จักหายไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าชนเหล่าใดกล่าวหาต่อพวกเธอ ด้วย
คาถานี้ ว่าดังนี้:-
   พระมหาสมณะเสด็จมาสู่พระนครคอกเขาของ
   ชาวมคธแล้ว ได้ทรงนำปริพาชกพวกสญชัย
   ทั้งปวงไปแล้ว บัดนี้ จักทรงนำใครไปอีกเล่า
   [๗๕] พวกเธอจงกล่าวโต้ตอบต่อชนเหล่านั้น ด้วยคาถานี้ ว่าดังนี้:-
   พระตถาคตทั้งหลายผู้แกล้วกล้ามาก ย่อมทรง
   นำชนทั้งหลายไปด้วยพระสัทธรรม เมื่อชน
   ทั้งหลายอันพระองค์ทรงนำไปอยู่โดยธรรม ผู้
      เข้าใจอย่างนี้จะริษยาทำไม.
   ก็โดยสมัยนั้นแล ประชาชนทั้งหลายได้เห็นภิกษุทั้งหลายแล้ว ย่อมกล่าวหาด้วยคาถานี้ ว่าดังนี้:-
   พระมหาสมณะเสด็จมาสู่พระนครคอกเขาของ
   ชาวมคธแล้ว ได้ทรงนำปริพาชกพวกสญชัย
   ทั้งปวงไปแล้ว บัดนี้ จักทรงนำใครไปอีกเล่า.
   ภิกษุทั้งหลายได้กล่าวโต้ตอบต่อประชาชนพวกนั้น ด้วยคาถานี้ ว่าดังนี้:-
   พระตถาคตทั้งหลายผู้แกล้วกล้ามาก ย่อมทรง
   นำชนทั้งหลายไปด้วยพระสัทธรรม เมื่อชน
   ทั้งหลายอันพระองค์ทรงนำไปอยู่โดยธรรม ผู้
      เข้าใจอย่างนี้จะริษยาทำไม.
   [๗๖] ประชาชนกล่าวอย่างนี้ว่า ได้ยินว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรทรงนำชนทั้งหลายไปโดยธรรม ไม่ทรงนำไปโดยอธรรม.
   เสียงนั้นได้มีเพียง ๗ วันเท่านั้น พ้น ๗ วันก็หายไป.
พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะบรรพชา จบ.
จตุตถภาณวาร จบ

อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ

อรรถกถา สารีปุตตโมคคัลลานบรรพชา
   บทว่า สารีปุตฺตโมคฺคลฺลานา ได้แก่ พระสารีบุตร ๑ พระโมคคัลลานะ ๑ ท่านทั้ง ๒ ได้ทำกติกากันไว้ว่า ผู้ใดพบอมตธรรมก่อน ผู้นั้นจงบอกแก่อีกฝ่ายหนึ่ง. 
   ได้ยินว่า ท่านทั้ง ๒ นั้นในเวลาเป็นคฤหัสถ์มีชื่อปรากฏอย่างนี้ว่า อุปติสสะ โกลิตะ มีมาณพ ๒๕๐ เป็นบริวาร ได้ไปดูมหรสพซึ่งมี ณ ยอดเขา.๑- สองสหายเห็นมหาชนในที่นั้นแล้ว ได้มีความรำพึงว่า ขึ้นชื่อว่าหมู่มหาชนอย่างนี้ๆ ยังไม่ทันถึง ๑๐๐ ปี ก็จักตกอยู่ในปากแห่งความตาย. 
   ลำดับนั้น สหายทั้ง ๒ เมื่อบริษัทลุกขึ้นแล้ว ได้ไต่ถามกันและกัน มีอัธยาศัยร่วมกัน มีความสำคัญว่าความตายปรากฏเฉพาะหน้า ปรึกษากันว่า เพื่อน เมื่อความตายมี ธรรมที่ไม่ตายก็ต้องมีด้วย. เอาเถิด เราค้นหาธรรมที่ไม่ตายกันเถิดดังนี้. 
๑- คิรคฺคสมชฺช มหรสพฉลองประจำปี
ณ กรุงราชคฤห์, มหรสพยอดเขา. 
   เพื่อค้นหาธรรมที่ไม่ตาย จึงพร้อมด้วยบริษัทบวชในสำนักสญชัยปริพาชกผู้นุ่งผ้า ไม่กี่วันนักก็ถึงฝั่งในลัทธิสมัยซึ่งเป็นวิสัยแห่งญาณของสญชัยนั้น. 
   เมื่อมองไม่เห็นอมตธรรม จึงถามว่า ท่านอาจารย์ กระผมขอถามแก่นสารแม้อื่นในบรรพชานี้จะยังมีอยู่หรือ? 
   ได้ฟังคำตอบของท่านว่า ไม่มี ผู้มีอายุ และว่า ลัทธินี้มีเท่านี้แล. จึงได้ทำกติกาไว้ว่า ผู้มีอายุ ลัทธินี้เหลวไหลไม่มีแก่นสาร ทีนี้ในพวกเรา ผู้ใดพบอมตธรรมก่อน ผู้นั้นจงบอกแก่อีกฝ่ายหนึ่ง. 
   เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ท่านทั้ง ๒ ได้ทำกติกากันไว้. 
   ตติยาวิภัตติในลักษณะแห่งอิตถัมภูต ผู้ศึกษาพึงทราบในบททั้งหลายว่า ปาสาทิเกน อภิกฺกนฺเตน เป็นต้น. 
คำนี้ว่า อตฺถิเกหิ อุปญาตํ มคฺคํ เป็นคำแสดงเหตุการติดตาม. จริงอยู่ มีคำที่ท่านอธิบายไว้ดังนี้ว่า อย่ากระนั้นเลย เราพึงตามติดภิกษุนี้ไปข้างหลังๆ. 
   เพราะเหตุไร?
เพราะเหตุว่าธรรมดาการตามติดไปข้างหลังๆ นี้ เป็นทางที่ผู้มีความต้องการทั้งหลาย รู้จักเข้าหาแล้ว. 
   อธิบายว่า เป็นมรรคา อันชนทั้งหลายผู้มีความต้องการรู้แล้วและดำเนินเข้ามาหาแล้ว. 
   อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นความในคำนี้อย่างนี้ว่า ขึ้นชื่อว่านิพพาน อันเราทั้งหลายผู้มีความต้องการ รู้ชัดแล้วว่ามีอยู่แน่นอน ด้วยอนุมานอย่างนี้ว่า เมื่อความตายมี ธรรมที่ไม่ตายก็ต้องมีด้วย อย่ากระนั้นเลย เราเมื่อแสวงหาคือเมื่อค้นหานิพพานนั้น พึงตามติดภิกษุนี้ไปข้างหลังๆ.
   หลายบทว่า ปิณฺฑปาตํ อาทาย ปฏิกฺกมิ มีความว่า พระอัสสชิผู้มีอายุเข้าไปนั่งชิดเชิงฝาแห่งใดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีประการดังกล่าวแล้วในสุทินนกัณฑ์.๒- 
   แม้สารีบุตรเล่ายืนคอยเวลาอยู่ว่า ยังไม่ใช่เวลาที่จะถามปัญหาก่อน เพื่อจะบำเพ็ญวัตตปฏิบัติ จึงถวายน้ำจากคนโทของตนแก่พระเถระผู้เสร็จภัตตกิจแล้ว กระทำปฏิสันถารกับพระเถระผู้ล้างมือและเท้าแล้ว ถามปัญหา. 
   เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า อถ โข สารีปุตฺโต ปริพฺพาชโก เป็นต้น. 
๒- มหาวิภงฺค.ปฐม. ๒๗
   สองบทว่า น ตฺยาหํ สกฺโกมิ ตัดบทว่า น เต อหํ สกฺโกมิ แปลว่า สำหรับท่าน เราไม่อาจ. 
   แต่ว่า พระเถระถึงปฏิสัมภิทาญาณในธรรมวินัยนี้ จะไม่อาจเพื่อแสดงธรรมเพียงเท่านี้หามิได้ โดยที่แท้ ท่านคิดว่า เราจักปลูกความเคารพในธรรมแก่ผู้นี้ ได้ถือเอาข้อที่การแสดงธรรมในพุทธวิสัยโดยอาการทั้งปวงไม่ใช่วิสัยของท่าน จึงกล่าวอย่างนั้น. 
   บาทคาถาว่า เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา มีความว่า เบญจขันธ์ชื่อว่าธรรมมีเหตุเป็นแดนเกิด. พระเถระแสดงทุกขสัจแก่สารีบุตรนั้นด้วยคำนั้น. 
   บาทคาถาว่า เตสํเหตุํ ตถาคโต อาห มีความว่า สมุทยสัจชื่อว่าเหตุแห่งเบญจขันธ์นั้น พระเถระแสดงว่า พระตถาคตตรัสสมุทยสัจนั้นด้วย. 
   บาทคาถาว่า เตสญฺจ โย นิโรโธ จ มีความว่า พระตถาคตตรัสความดับคือความไม่เป็นไปแห่งสัจจะแม้ทั้ง ๒ นั้นด้วย พระเถระแสดงนิโรธสัจแก่สารีบุตรนั้นด้วยคำนั้น.
   ส่วนมรรคสัจ แม้ท่านไม่ได้แสดงรวมไว้ในคาถานี้ ก็เป็นอันแสดงแล้วโดยนัย. เพราะว่าเมื่อกล่าวนิโรธ มรรคซึ่งเป็นเหตุให้ถึงนิโรธนั้น ก็เป็นอันกล่าวด้วย. 
   อีกอย่างหนึ่ง ในบาทคาถาว่า เตสญฺจ โย นิโรโธ จ นี้ สัจจะแม้ ๒ เป็นอันพระเถระแสดงแล้วอย่างนี้ว่า ความดับแห่งสัจจะทั้ง ๒ นั้นและอุบายแห่งความดับแห่งสัจจะทั้ง ๒ นั้น ฉะนี้แล. บัดนี้ พระเถระเมื่อจะยังเนื้อความนั้นนั่นแลให้รับกัน จึงกล่าวว่า พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้. 
   บาทคาถาว่า เอเสว ธมฺโม ยทิ ตาวเทว มีความว่า แม้ถ้าว่า ธรรมที่ยิ่งกว่านี้ไม่มีไซร้ ธรรมเพียงเท่านี้เท่านั้นคือคุณ มาตรว่าโสดาปัตติผลนี้เท่านั้น อันข้าพเจ้าจะพึงบรรลุ ถึงอย่างนั้นธรรมนี้นั่นแล อันข้าพเจ้าค้นหาแล้ว.๓- 
   บาทคาถาว่า ปจฺจพฺยถา ปทมโสกํ มีความว่า พวกข้าพเจ้าเที่ยวค้นหาทางอันไม่มีความโศกใด ท่านทั้งหลายนั่นแล ย่อมตรัสรู้ทางอันไม่มีความโศกนั้น. 
   อธิบายว่า ทางนั้น อันท่านทั้งหลายบรรลุแล้ว. 
   กึ่งคาถาว่า อทิฏฺฐํ อพฺภุติตํ พหุเกหิ กปฺปนหุเตหิ มีความว่า ทางอันไม่มีความโศกนี้ ชื่ออันข้าพเจ้าทั้งหลายไม่เห็นแล้วทีเดียว ล่วงไปนักหนาตั้งหลายนหุตแห่งกัลป์ สารีบุตรปริพาชกแสดงข้อที่ตนมีความเสื่อมใหญ่ตลอดกาลนาน เพราะเหตุที่ไม่ได้เห็นทางนั้นด้วยประการดังนี้. 
๓- ปาฐะในอรรถกถาว่า ตถาปิ เอโสเอว ธมฺโม.
โยชนาหน้า ๑๘๔แก้ขยายความว่า 
ตถาปิ เอโสเอวมยา คเวสิโต 
นิพฺพานสงฺขาโตธมฺโมติ อตฺโถ. 
จึงได้แปลไว้อย่างนี้ หรืออีกนัยหนึ่ง
ว่า ธรรมที่ข้าพเจ้าค้นหาแล้วก็ธรรมนี้นั่นแล. 
   บาทคาถาว่า คมฺภีเร ญาณวิสเย มีความว่า เป็นธรรมอันลึกซึ้งด้วย เป็นวิสัยแห่งญาณอันลึกซึ้งด้วย.
บาทคาถาว่า อนุตฺตเร อุปธิสงฺขเย ได้แก่ นิพพาน.
   บทว่า วิมุตฺเต มีความว่า ผู้นั้นพ้นแล้วด้วยวิมุตติมีนิพพานนั้นเป็นอารมณ์. 
   บทว่า พฺยากาสิ มีความว่า พระศาสดาเมื่อตรัสว่า คู่แห่งสหายนั้นจักเป็นคู่อัครสาวก เป็นคู่ที่เจริญของเรา ดังนี้ ชื่อว่าทรงพยากรณ์แล้วซึ่งคู่แห่งสหายในสาวกบารมีญาณ. 
   ข้อว่า สา ว เตสํ อายสฺมนฺตานํ อุปสมฺปทา อโหสิ มีความว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทานั้นแล ได้เป็นอุปสัมปทาของท่านทั้ง ๒ พร้อมทั้งบริษัท. 
   ก็แลในพระเถระทั้ง ๒ ซึ่งอุปสมบทแล้วอย่างนั้น พระมหาโมคคัลลานเถระ ๗ วันจึงได้สำเร็จพระอรหัต พระสารีบุตรเถระกึ่งเดือนจึงได้สำเร็จพระอรหัต. 
   ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าอโนมทัสสี เสด็จอุบัติในโลก. ดาบสชื่อสรทะกระทำมณฑปด้วยดอกไม้ต่างๆ ที่อาศรมของตน เพื่อพระพุทธเจ้านั้น 
   อัญเชิญพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ประทับบนอาสนะดอกไม้นั่นเทียว กระทำมณฑปอย่างนั้นแล ตั้งแต่งอาสนะดอกไม้สำหรับภิกษุสงฆ์ด้วย แล้วปรารถนาเป็นอัครสาวก. 
   ก็แลครั้นปรารถนาแล้ว จึงส่งข่าวไปบอกแก่เศรษฐีชื่อสิริวัฒน์ว่า ข้าพเจ้าได้ปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกแล้ว ถึงท่านก็จงมาปรารถนาตำแหน่งหนึ่ง. 
   เศรษฐีกระทำมณฑปดอกอุบลเขียว นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ฉันในมณฑปนั้น ครั้นให้ฉันเสร็จแล้ว ได้ปรารถนาเป็นสาวกที่ ๒. ในชนทั้ง ๒ นั้น สรทดาบสเกิดเป็นพระสารีบุตรเถระ
   สิริวัฒน์เศรษฐีเกิดเป็นพระมหาโมคคัลลานเถระ ฉะนี้แล บุพกรรมของพระอัครสาวกทั้ง ๒ นั้นเท่านี้.๔- 
วินิจฉัยในบทว่า อปุตฺตกตาย เป็นต้น ดังต่อไปนี้ :- 
   พระสมณโคดมปฏิบัติเพื่อความที่ชนทั้งหลายผู้มีบุตรบวชต้องเป็นคนไร้บุตร เพื่อความที่หญิงทั้งหลายผู้มีผัวบวชต้องเป็นหม้าย คือต้องเป็นคนร้างผัว เพื่อเข้าไปตัดสกุลเสีย แม้ด้วยอาการทั้ง ๒ อย่าง. 
   บทว่า สญฺชยานิ คือ ผู้เป็นอันเตวาสิกของสญชัย. 
   สองบทว่า มาคธานํ คิริพฺพชํ มีความว่า สู่คิริพพชนครของชาวมคธทั้งหลาย. 
   บทว่า มหาวีรา ได้แก่ ผู้มีความเพียรใหญ่. 
   บทว่า นียมานานํ มีความว่า ครั้นเมื่อกุลบุตรทั้งหลาย อันพระองค์ทรงแนะนำอยู่ 
   บทว่า นียมานานํ นี้เป็นฉัฏฐีวิภัตติใช้ในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ อีกนัยหนึ่ง ใช้ในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ. 
   บาทคาถาว่า กา อุสฺสูยา วิชานตํ มีความว่า จะต้องริษยาอะไรด้วยเล่า เมื่อรู้อยู่อย่างนี้ว่า พระตถาคตทั้งหลายทรงแนะนำโดยธรรม. 
 ๔- ชื่อนี้ตรงกับอรรถกถาธรรมบท แต่ในอปทาน
ว่า เดิมพระสารีบุตรชื่อสุรุจิดาบส พระ
โมคคัลลานะ
       เป็น พระยานาคชื่ออรุณ.

24 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ ทรงเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร เสด็จพระนครราชคฤห์ครั้งแรก

     [๕๖] ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ตำบลคยาสีสะตามพระพุทธาภิรมย์แล้วเสด็จจาริกไป  โดยมรรคาอันจะไปสู่พระนคราชคฤห์  พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่จำนวน ๑๐๐๐ รูป
ล้วนเป็นปุราณชฎิล.
เสด็จจาริกโดยลำดับถึงพระนครราชคฤห์แล้ว.
   ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ใต้ต้นไทรชื่อสุประดิษฐเจดีย์  ในสวนตาลหนุ่ม  เขตพระนครราชคฤห์นั้น.
   [๕๗] พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ได้ทรงสดับข่าวถนัดแน่ว่า พระสมณโคดมศากยบุตรทรงผนวชจากศากยตระกูล เสด็จพระนครราชคฤห์โดยลำดับ ประทับอยู่ใต้ต้นไทรชื่อสุประดิษฐเจดีย์ ในสวนตาลหนุ่ม เขตพระนครราชคฤห์
   ก็แลพระกิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดี ทรงทราบโลก
   ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทพและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัด ด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์เทพ และมนุษย์
   ให้รู้ ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริบูรณ์บริสุทธิ์ อนึ่ง การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น เป็นความดี.
   หลังจากนั้น พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ทรงแวดล้อมด้วยพราหมณ์คหบดีชาวมคธ ๑๒ นหุต เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นถึงจึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
   ส่วนพราหมณ์คหบดีชาวมคธ ๑๒ นหุต นั้นแล บางพวกถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกได้ทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค
   ครั้นผ่านการทูลปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิง เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
   บางพวกประคองอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับ แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประกาศนามและโคตรในสำนักพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกนั่งนิ่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
   ครั้งนั้น พราหมณ์คหบดีชาวมคธ ๑๒ นหุตนั้นได้มีความดำริว่า พระมหาสมณะประพฤติพรหมจรรย์ในท่านอุรุเวลกัสสป หรือว่าท่านอุรุเวลกัสสปประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความดำริในใจของ
   พราหมณ์คหบดีชาวมคธ ๑๒ นหุตนั้น ด้วยพระทัยของพระองค์ ได้ตรัสกะท่านพระอุรุเวลกัสสปด้วยพระคาถาว่า ดังนี้:-
   ดูกรท่านผู้อยู่ในอุรุเวลามานาน เคยเป็นอาจารย์สั่งสอนหมู่ชฎิลผู้ผอม เพราะกำลังพรต ท่านเห็นเหตุอะไร จึงยอมละเพลิงเสียเล่า?
   ดูกรกัสสป เราถามเนื้อความนี้กะท่าน ท่านละเพลิงที่บูชาเสียทำไมเล่า?
   ท่านพระอุรุเวลกัสสปทูลตอบว่า ยัญทั้งหลายกล่าวยกย่องรูปเสียงและรสที่น่าปรารถนาและสตรีทั้งหลาย ข้าพระพุทธเจ้ารู้ว่านั่นเป็นมลทินในอุปธิทั้งหลายแล้ว เพราะเหตุนั้น จึงไม่ยินดี ในการเซ่นสรวง ในการบูชา.
   พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรกัสสป ก็ใจของท่านไม่ยินดีแล้วในอารมณ์ คือ รูป เสียง และรสเหล่านั้น ดูกรกัสสป ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ใจของท่านยินดีในสิ่งไรเล่า ในเทวโลก หรือมนุษยโลก ท่านจงบอกข้อนั้นแก่เรา?
    ท่านพระอุรุเวลกัสสปทูลตอบว่า ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นทางอันสงบ ไม่มีอุปธิ ไม่มีกังวล ไม่ติดอยู่ในกามภพ ไม่มีภาวะเป็นอย่างอื่น ไม่ใช่ธรรมที่ผู้อื่นแนะให้บรรลุ เพราะฉะนั้น จึงไม่ยินดีในการเซ่นสรวง ในการบูชา
   [๕๘] ลำดับนั้น ท่านพระอุรุเวลกัสสปลุกจากอาสนะ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ซบเศียรลงที่พระบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้าพระผู้มีพระภาคเป็นพระศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า
ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสาวก,
   พระผู้มีพระภาคเป็นพระศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสาวก พระพุทธเจ้าข้า.
   ลำดับนั้น พราหมณ์คหบดีชาวมคธ ทั้ง ๑๒ นหุต นั้น ได้มีความเข้าใจว่า ท่านพระอุรุเวลกัสสปประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของพราหมณ์คหบดีชาวมคธทั้ง ๑๒ นหุตนั้น
   ด้วยพระทัยของพระองค์แล้ว ทรงแสดงอนุปุพพิกถา คือทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลายและอานิสงส์ในความออกจากกาม.
   เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า พวกเขามีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือทุกข์ สมุทัย นิโรธมรรค.
ดวงตาเห็นธรรม
   ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่พราหมณ์คหบดีชาวมคธ ๑๑ นหุต ซึ่งมีพระเจ้าพิมพิสารเป็นประมุข ณ ที่นั่งนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาด ปราศจากมลทิน ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี ฉะนั้น.

พราหมณ์คหบดีอีก ๑ นหุต แสดงตนเป็นอุบาสก.

   [๕๙] ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ได้ทรงเห็นธรรมแล้ว ได้ทรงบรรลุธรรมแล้ว ได้ทรงรู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว ทรงมีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ทรงข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ทรงถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องทรงเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา
   ได้ทูลพระวาจานี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ครั้งก่อน เมื่อหม่อมฉันยังเป็นราชกุมาร ได้มีความปรารถนา ๕ อย่าง บัดนี้ ความปรารถนา ๕ อย่างนั้น ของหม่อมฉันสำเร็จแล้ว.

ความปรารถนา ๕ อย่าง

   ๑. ครั้งก่อน เมื่อหม่อมฉันยังเป็นราชกุมาร ได้มีความปรารถนาว่า ไฉนหนอ ชนทั้งหลายพึงอภิเษกเราในราชสมบัติดังนี้ นี้เป็นความปรารถนาของหม่อมฉันประการที่ ๑ บัดนี้ ความปรารถนานั้น ของหม่อมฉันสำเร็จแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
   ๒. ขอพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พึงเสด็จมาสู่แว่นแคว้นของหม่อมฉันนั้น นี้เป็นความปรารถนาของหม่อมฉันประการที่ ๒ บัดนี้ ความปรารถนานั้นของหม่อมฉันสำเร็จแล้วพระพุทธเจ้าข้า
   ๓. ขอหม่อมฉันพึงได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น นี้เป็นความปรารถนาของหม่อมฉันประการที่ ๓ บัดนี้ ความปรารถนานั้น ของหม่อมฉันสำเร็จแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
   ๔. ขอพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นพึงแสดงธรรมแก่หม่อมฉัน นี้เป็นความปรารถนาของหม่อมฉันประการที่ ๔ บัดนี้ความปรารถนานั้น ของหม่อมฉันสำเร็จแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
   ๕. ขอหม่อมฉันพึงรู้ทั่วถึงธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น นี้เป็นความปรารถนาของหม่อมฉันประการที่ ๕ บัดนี้ ความปรารถนานั้น ของหม่อมฉันสำเร็จแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
   พระพุทธเจ้าข้า ครั้งก่อนหม่อมฉันยังเป็นราชกุมาร ได้มีความปรารถนา ๕ อย่างนี้ บัดนี้ความปรารถนา ๕ อย่างนั้นของหม่อมฉันสำเร็จแล้ว
   ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี้ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ 
   หม่อมฉันนี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำหม่อมฉันว่า เป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะจำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป และขอพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จงทรงรับภัตตาหารของหม่อมฉัน ในวันพรุ่งนี้.
พระผู้มีพระภาคทรงรับด้วยดุษณีภาพ.
   ครั้นพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชทรงทราบการรับนิมนต์ของพระผู้มีพระภาคแล้ว เสด็จลุกจากที่ประทับถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทรงทำประทักษิณแล้วเสด็จกลับไป.
   [๖๐] หลังจากนั้น พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช รับสั่งให้ตกแต่งของเคี้ยวของฉันอันประณีตโดยผ่านราตรีนั้น แล้วให้เจ้าพนักงานไปกราบทูลภัตตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่าถึงเวลาแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ภัตตาหารเสร็จแล้ว.
   ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรจีวร เสด็จพระพุทธดำเนินสู่พระนครราชคฤห์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ จำนวน ๑๐๐๐ รูป ล้วนปุราณชฎิล.
   [๖๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ท้าวสักกะจอมทวยเทพทรงนิรมิตเพศเป็นมาณพ เสด็จพระดำเนินนำหน้าภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข พลางขับคาถาเหล่านี้ ว่าดังนี้:-

คาถาสดุดีพระผู้มีพระภาค

พระผู้มีพระภาค มีพระฉวีเสมอด้วยลิ่มทองสิงคี ทรงฝึก
อินทรีย์แล้ว ทรงพ้นวิเศษแล้ว เสด็จประเวศสู่พระนคร
ราชคฤห์พร้อมด้วยพระปุราณชฎิลทั้งหลาย ผู้ฝึกอินทรีย์
แล้ว ผู้พ้นวิเศษแล้ว.
พระผู้มีพระภาค มีพระฉวีเสมอด้วยลิ่มทองสิงคี ทรงพ้น
แล้ว ทรงพ้นวิเศษแล้ว เสด็จประเวศสู่พระนครราชคฤห์
พร้อมด้วยพระปุราณชฎิลทั้งหลาย ผู้พ้นแล้ว ผู้พ้นวิเศษ
แล้ว. พระผู้มีพระภาคมีพระฉวีเสมอด้วยลิ่มทองสิงคี
ทรงข้ามแล้ว ทรงพ้นวิเศษแล้ว เสด็จประเวศสู่พระนคร
ราชคฤห์ พร้อมด้วยพระปุราณชฎิลทั้งหลาย ผู้พ้นแล้ว
ผู้พ้นวิเศษแล้ว.
   พระผู้มีพระภาค มีพระฉวีเสมอด้วยลิ่มทองสิงคี ทรงสงบแล้ว ทรงพ้นวิเศษแล้ว เสด็จประเวศสู่พระนครราชคฤห์พร้อมด้วยพระปุราณชฎิลทั้งหลาย ผู้สงบแล้ว
ผู้พ้นวิเศษแล้ว.
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงมีอริยวาสธรรม ๑๐ ประการ เป็นเครื่องอยู่ ทรงประกอบด้วยพระกำลัง ๑๐ ทรงทราบธรรม คือ กรรมบถ ๑๐ และทรงประกอบ
ด้วยธรรมอันเป็นองค์ของพระอเสขะ ๑๐ มีภิกษุบริวารพันหนึ่ง เสด็จประเวศสู่พระนครราชคฤห์
   [๖๒] ประชาชนได้เห็นท้าวสักกะจอมทวยเทพแล้วพากันกล่าวอย่างนี้ว่า พ่อหนุ่มนี้มีรูปงามยิ่งนัก น่าดูนัก น่าชมนัก พ่อหนุ่มนี้ของใครหนอ.
   เมื่อประชาชนกล่าวอย่างนี้แล้ว ท้าวสักกะจอมทวยเทพได้กล่าวตอบประชาชนพวกนั้นด้วยคาถา ว่าดังนี้:-
   พระผู้มีพระภาคพระองค์ใดเป็นนักปราชญ์ ทรงฝึกอินทรีย์ทั้งปวงแล้ว เป็นผู้ผ่องแผ้วหาบุคคลเปรียบมิได้ ไกลจากกิเลส เสด็จไปดีแล้วในโลก ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของ
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น.

ทรงรับพระเวฬุวันเป็นสังฆิกาวาส

   [๖๓] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จพระพุทธดำเนินไปสู่พระราชนิเวศน์ของพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช
   ครั้นถึงแล้ว ประทับนั่งเหนือพระพุทธอาสน์ที่เขาจัดถวายพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์. จึงพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ทรงอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีตด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ จนให้พระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จ ทรงนำพระหัตถ์ออกจากบาตร ห้ามภัตแล้ว จึงประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
   ท้าวเธอได้ทรงพระราชดำริว่า พระผู้มีพระภาคพึงประทับอยู่ ณ ที่ไหนดีหนอ ซึ่งจะเป็นสถานที่ไม่ไกล ไม่ใกล้จากบ้านนัก สะดวกด้วยการคมนาคม ควรที่ประชาชนผู้ต้องประสงค์จะเข้าไปเฝ้าได้ 
   กลางวันไม่พลุกพล่าน กลางคืนเงียบสงัดเสียงไม่กึกก้อง ปราศจากลมแต่ชนที่เดินเข้าออก ควรเป็นที่ประกอบกิจของผู้ต้องการที่สงัด และควรเป็นที่หลีกเร้นอยู่ตามสมณวิสัย.
    แล้วได้ทรงพระราชดำริต่อไปว่า สวนเวฬุวันของเรานี้แล ไม่ไกลไม่ใกล้จากบ้านนัก สะดวกด้วยการคมนาคม ควรที่ประชาชนผู้ต้องประสงค์จะพึงเข้าไปเฝ้าได้ กลางวันไม่พลุกพล่าน กลางคืนเงียบสงัด
   เสียงไม่กึกก้อง ปราศจากลมแต่ชนที่เข้าออก ควรเป็นที่ประกอบกิจของผู้ต้องการที่สงัด และควรเป็นที่หลีกเร้นอยู่ตามสมณวิสัย ผิฉะนั้น เราพึงถวายสวนเวฬุวันแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ดังนี้.
   ลำดับนั้น จึงทรงจับพระสุวรรณภิงคาร ทรงหลั่งน้ำน้อมถวายแด่พระผู้มีพระภาคด้วยพระราชดำรัสว่า หม่อมฉันถวายสวนเวฬุวันนั่นแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคทรงรับอารามแล้ว.
 และทรงชี้แจงให้พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชทรงเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา แล้วเสด็จลุกจากที่ประทับเสด็จกลับ.
   ต่อมา พระองค์ทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตอาราม. ทรงเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร จบ.

อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ

ทรงเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร 
อรรถกถาพิมพิสารวัตถุ
   บทว่า ลฏฺฐิวเน ได้แก่ สวนตาล. 
   สองบทว่า สุปฺปติฏฺเฐ เจติเย ได้แก่ ที่ต้นไทรต้นใดต้นหนึ่ง.  ได้ยินว่า คำว่า สุประดิษฐเจดีย์ นี้ 
   เป็นชื่อของต้นไทรนั้น.   ๑ หมื่น เป็น ๑ นหุต ในคำว่า ทฺวาทสนหุเตหิ นี้. 
   บทว่า อปฺเปกจฺเจ ตัดบทว่า อปิ เอกจฺเจ 
   บทว่า อชฺฌภาสิ มีความว่า ได้ตรัสสำทับ เพื่อตัดความสงสัยของพราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้น. 
   สองบทว่า กิเมว ทิสฺวา มีความว่า เห็นอะไรเล่า? 
   บทว่า อุรุเวลวาสี คือผู้มีปกติอยู่ที่อุรุเวลประเทศ. ท่านย่อมเป็นผู้ละไฟที่ตนบูชาแล้วบวช, มีอุบายอะไร? 
   บทว่า กิสโกวทาโน มีความว่า เป็นผู้ตักเตือนพร่ำสอนดาบสทั้งหลาย ซึ่งได้นามว่าผู้ผอม เพราะมีร่างกายผอม ด้วยความประพฤติของผู้ย่างกิเลส. 
   อีกอย่างหนึ่ง
   มีความว่า เป็นดาบสผู้ผอมเอง และเป็นผู้ให้โอวาท. อธิบายว่า ตักเตือนพร่ำสอนดาบสผู้ผอมเหล่าอื่นด้วย. 
   สองบทว่า กถํ ปหีนํ มีความว่า เพราะเหตุไรจึงละเสีย? 
   มีคำอธิบายว่า ท่านอยู่อุรุเวลามานาน ตนเองเคยเป็นอาจารย์สั่งสอนเหล่าดาบสผู้บำเรอไฟ เห็นอุบายอะไรเล่า จึงละไฟเสีย? เราถามเนื้อความนี้กะท่าน เหตุไฉน ท่านจึงละการบูชาเพลิงของท่านเสีย? 
ในคาถาที่ ๒ มีเนื้อความดังนี้ :- 
   ยัญทั้งหลายกล่าวสรรเสริญกามทั้งหลายมีรูปเป็นต้นเหล่านี้และสตรีทั้งหลาย ข้าพเจ้านั้นได้ทราบชนิดของกามมีรูปเป็นต้นทั้งหมดนี้ว่า เป็นมลทินในขันธ์เป็นที่หอบทุกข์ไว้ จึงมิได้ยินดีในการเซ่นและการบูชา. 
   อธิบายว่า ไม่อภิรมย์แล้วในการเซ่นหรือการบูชา เพราะยัญทั้งหลายต่างโดยการเซ่นและการบูชาเหล่านี้กล่าวสรรเสริญผลเป็นมลทินทั้งนั้น. 
วินิจฉัยในคาถาที่ ๓ :- 
   บทว่า อถ โกจรหิ มีความว่า ก็ทีนั้น... ในสิ่งไรเล่า? 
บทที่เหลือตื้นทั้งนั้น.
วินิจฉัยในคาถาที่ ๔ :- 
   บทว่า ปทํ เป็นต้น มีความว่า ทางคือพระนิพพาน จัดว่าสงบและมีความสงบเป็นสภาพ จัดว่าไม่มีกิเลสอันเป็นเหตุหอบทุกข์ เพราะไม่มีกิเลสทั้งหลายที่เข้าไปหอบเอาทุกข์ไว้, 
   จัดว่าหากังวลมิได้ เพราะไม่มีกิเลสเครื่องกังวลทั้งหลายมีราคะเป็นต้น, 
   จัดว่าไม่ติดข้องแม้ในกามภพ ซึ่งเป็นที่กล่าวสรรเสริญแห่งยัญทั้งหลายเพราะไม่ติดอยู่ในภพทั้ง ๓ แล้ว,
   จัดว่ามีอันจะไม่แปรเป็นอย่างอื่น เพราะไม่มีเกิด แก่ ตาย,
   จัดว่าไม่ใช่ธรรมที่ผู้อื่นจะพึงแนะให้ได้ เพราะต้องบรรลุด้วยมรรคซึ่งตนเองเจริญแล้วเท่านั้น อันคนอื่นจะเป็นใครก็ตามจะพึงให้บรรลุไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่ยินดีแล้วในการเซ่นและการบูชา ก็เพราะเห็นทางเช่นนี้. 
  พระอุรุเวลกัสสปแสดงอย่างไร? ด้วยคำว่า ได้เห็นทางอันสงบ เป็นต้นนั้น? แสดงว่า ข้าพเจ้ามิได้ยินดีแล้วในการเซ่นและการบูชา ซึ่งให้สำเร็จสมบัติในเทวโลกและมนุษยโลก ข้าพเจ้านั้นจะกล่าวอย่างไร? 
   ครั้งนั้นแล พระอุรุเวลกัสสปผู้มีอายุ ครั้นประกาศความไม่ยินดีในโลกทั้งปวงอย่างนี้ว่า ใจของข้าพเจ้าไม่ยินดีแล้วในเทวโลกและมนุษยโลก ชื่อนี้ ดังนี้แล้วจึงประกาศข้อที่ตนเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าเป็นสาวก
   ก็แลท่านแสดงปาฏิหาริย์หลายอย่างในอากาศ เพื่อประกาศข้อที่ตนเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล แล้วลงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. 
บทว่า ธมฺมจกฺขุ ได้แก่ โสดาปัตติมรรคญาณ. 
บทว่า อสฺสาสกา ได้แก่ ความหวัง อธิบายว่า ความปรารถนา. 
   ก็วินิจฉัยในข้อว่า เอสาหํ ภนฺเต นี้ 
ผู้ศึกษาพึงทราบดังต่อไปนี้ :- 
   อันที่จริง สรณคมน์ของพระเจ้าพิมพิสารนั้นสำเร็จแล้วด้วยความตรัสรู้มรรคเป็นแท้ แต่ว่าท้าวเธอทรงตัดสินตกลงพระหฤทัยในสรณคมน์นั้นแล้ว บัดนี้จึงทรงทำการมอบพระองค์ถวายด้วยพระวาจา 
   คือว่า พระเจ้าพิมพิสารนี้ได้ทรงถึงสรณคมน์ที่แน่นอนด้วยอำนาจแห่งมรรคทีเดียวแล้ว เมื่อจะทรงทำการถึงสรณะนั้นให้ปรากฏแก่ผู้อื่นด้วยพระวาจา และเมื่อจะทรงถึงด้วยความนอบน้อม จึงตรัสอย่างนั้น. 
   บทว่า สิงฺคีนิกฺขสุวณฺโณ มีความว่า มีวรรณะเสมอด้วยลิ่มทองคำชื่อสิงคี.    บทว่า ทสวาโส ได้แก่ ทรงอยู่ประจำในธรรมเป็นที่อยู่ของพระอริยเจ้า ๑๐ ประการ. 
   บทว่า ทสธมฺมวิทู ได้แก่ ทรงทราบกรรมบถ ๑๐ ประการ. 
   สองบทว่า ทสภิ จุเปโต ได้แก่ ทรงประกอบด้วยองค์ของพระอเสขบุคคล ๑๐ อย่าง.-   สองบทว่า สพฺพธิ ทนฺโต ได้แก่ ผู้ทรมานแล้วในอินทรีย์ทั้งปวง 
   จริงอยู่ บรรดาอินทรีย์มีจักขุนทรีย์เป็นต้นของพระผู้มีพระภาคเจ้าอินทรีย์ไรๆ ที่ชื่อว่า ยังไม่ได้ทรมาน ย่อมไม่มี. 
   ข้อว่า ภควนฺตํ ภุตฺตาวึ โอนีตปตฺตปาณึ เอกมนฺตํ นิสีทิ    มีความว่า สังเกตเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยเสร็จแล้ว ชักพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว จึงประทับนั่งที่ประเทศแห่งหนึ่ง. 
   บทว่า อตฺถิกานํ มีความว่า ผู้มีความต้องการด้วยการไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และด้วยการฟังธรรม. 
บทว่า อภิกฺกมนียํ มีความว่า พึงอาจไปเฝ้าได้. 
บทว่าอปฺปกิณฺณํ คือ ไม่พลุกพล่าน. 
บทว่า อปฺปสทฺทํ ได้แก่ เงียบเสียงที่พูดจากัน.
   บทว่า อปฺปนิคโฆสํ ได้แก่ เงียบเสียงกึกก้อง ด้วยเสียงอื้ออึงในพระนคร.   บทว่า วิชนวาตํ ได้แก่ ปราศจากลมในสรีระของชนที่สัญจรเนืองๆ. 
   บาลีว่า ปราศจากการพูดจาของชนบ้าง อธิบายว่า ปราศจากการพูดจาของคนภายใน. 
   บาลีว่า ปราศจากการเที่ยวไปของชนบ้าง อธิบายว่า เว้นจากการท่องเที่ยวของชน. 
   บทว่า มนุสฺสราหเสยฺยกํ ได้แก่ ควรเป็นที่กระทำกรรมลับของหมู่มนุษย์.    บทว่า ปฏิสลฺลานสารุปฺปํ คือ สมควรเป็นที่สงัด. 
______- สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ ๘. สัมมาสมาธิ ๙. สัมมาญาณ ๑๐. สัมมาวิมฺตติ  ม.ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๑๗๔.
อรรถกถาพิมพิสารวัตถุ จบ.