Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ .พุทธวงศ์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ .พุทธวงศ์ แสดงบทความทั้งหมด

13 ธันวาคม 2568

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก ธาตุภาชนียกถา ว่าด้วยการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ

ธาตุภาชนียกถา ว่าด้วยการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ
 [๒๘] พระมหาโคดมชินเจ้าผู้ประเสริฐ เสด็จนิพพานที่นครกุสินารา พระธาตุของพระองค์ เรี่ยรายแผ่ไปในประเทศนั้นๆ
 
                        พระธาตุ ทะนานหนึ่ง พระเจ้าอชาตศัตรูทรงนำไปไว้ในพระนครราชคฤห์
 ทะนานหนึ่งอยู่ในเมืองเวสาสี
     ทะนานหนึ่งอยู่ในนครกบิลพัสดุ์
       ทะนานหนึ่งอยู่ในอัลลากัปปนคร
 ทะนานหนึ่งอยู่ในรามคาบ
        ทะนานหนึ่งอยู่ในเวฏฐาทีปกนคร
 ทะนานหนึ่งอยู่ในเมืองปาวาของ มัลลกษัตริย์
     ทะนานหนึ่งอยู่ในเมืองกุสินารา
                        โทณพราหมณ์ให้ช่าง สร้างสถูป บรรจุทะนานทอง กษัตริย์โมริยะผู้มีหทัยยินดี รับสั่งให้ สร้างสถูปบรรจุพระอังคาร พระสถูปบรรจุพระสารีริกธาตุ ๘ แห่ง เป็น ๙ แห่ง ทั้งตุมพเจดีย์ รวมพระอังคารสถูปด้วยเป็น ๑๐ แห่ง
                        ประดิษฐานอยู่แล้วในกาลนั้น พระทาฐธาตุข้างหนึ่งอยู่ในดาวดึงส์พิภพ ข้างหนึ่งอยู่ในนาคบุรี ข้างหนึ่งอยู่ในเมืองคันธารวิสัย ข้าง หนึ่งอยู่ในเมืองกาลิงคราช
                        พระทันตธาตุ ๔๐ พระเกศธาตุและพระ โลมาทั้งหมด เทวดานำไปไว้ในจักรวาลหนึ่งๆ จักรวาลละอย่าง
                        บาตรไม้เท้าและจีวรของพระผู้มีพระภาค อยู่ในวชิรานครสงบอยู่ใน กุลฆรนคร ผ้าปัจจัตถรณะอยู่ในสีหฬ
 ธมกรกและประคตเอว อยู่ ในนครปาฏลิบุตร
                        ผ้าอาบน้ำอยู่ในจำปานคร อุณาโลมอยู่ใน แคว้นโกศล
                        ผ้ากาสาวพัสตร์อยู่ในพรหมโลก ผ้าโพกอยู่ในดาวดึงส์ (รอยพระบาทอันประเสริฐที่หิน เหมือนมีอยู่ที่กัจฉตบุรี)
                        ผ้านิสีทนะ อยู่ในอวันตีชนบท ผ้าลาดอยู่ในดาวดึงส์
                        ไม้สีไฟอยู่ในมิถิลานคร ผ้ากรองน้ำอยู่ในวิเทหรัฐ
                        มีดและกล่องเข็มอยู่ในอินทปัตถนคร
                        ใน กาลนั้น บริขารที่เหลือ อยู่ในชนบท ๓ แห่งในกาลนั้น หมู่ มนุษย์ในกาลนั้นจักบูชาบริขารที่พระมุนีทรงบริโภค พระธาตุของ พระโคดมผู้แสวงหาคุณอันใหญ่หลวง กระจายแผ่กว้างไป เพื่อ อนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งหลายเป็นของเก่าในกาลนั้น ฉะนี้แล.
 จบธาตุภาชนียกถา. 
 จบพุทธวงศ์

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก พุทธปกิรณกกัณฑ์

พุทธปกิรณกกัณฑ์ ว่าด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า
 [๒๗] ในกัปอันประมาณมิได้แก่ภัทรกัปนี้ มีพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกชั้น พิเศษ ๔ พระองค์ คือ พระตัณหังกรสัมพุทธเจ้า ๑ พระเมธังกรสัมพุทธเจ้า ๑ พระสรณังกรสัมพุทธเจ้า ๑ และพระ ทีปังกรสัมพุทธเจ้า ๑
 
                        ท่านเหล่านั้นเสด็จอุบัติในกัปเดียวกัน ต่อจาก ที่พระทีปังกรสัมพุทธเจ้า พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะ พระองค์เดียวเสด็จอุบัติกัปหนึ่ง ทรงช่วยให้หมู่ชนข้ามพ้นวัฏสงสาร ได้มากมาย
                        ระหว่างพระผู้มีพระภาคทีปังกร และพระโกณฑัญญะ บรมศาสดา เป็นอันตรกัป โดยจะคำนวณนับมิได้ ต่อจากพระโกณฑัญญะบรมศาสดา
                        มีพระพุทธเจ้าพระนามว่ามังคละ แม้ระหว่าง พระโกณฑัญญะและพระมังคละพุทธเจ้านั้น ก็เป็นอันตรกัป โดยจะ คำนวณนับมิได้ พระพุทธเจ้าพระนามว่ามังคละ สุมนะ เรวตะ และ โสภิตะ ผู้เป็นมุนี มีจักษุ มีพระรัศมีสว่างไสว
                        แม้พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์นั้นก็เสด็จอุบัติขึ้นในกัปเดียว กันต่อจากพระโสภิตพุทธเจ้า มีพระมหามุนีพระนามว่าอโนมทัสสี
                        แม้ระหว่างพระพุทธเจ้าพระนาม ว่าโสภิตะ และอโนมทัสสีนั้นก็เป็นอันตรกัป โดยจะคำนวณนับมิได้
                        พระพุทธเจ้าพระนามว่าอโนมทัสสี ปทุมะ และนารทะ ผู้เป็น มุนีกระทำที่สุดความมืด ก็เสด็จอุบัติขึ้นในกัปเดียว ต่อจากพระนารทสัมพุทธเจ้า
                        มีพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ เสด็จอุบัติใน กัปหนึ่ง ทรงช่วยให้หมู่ชนข้ามพ้นวัฏสงสารได้มากมาย
                        แม้ระหว่าง พระผู้มีพระภาคนารทะและพระปทุมุตรศาสดานั้น ก็เป็นอันตรกัป โดยจะคำนวณนับมิได้ในแสนกัป
                        มีพระมหามุนีพระองค์เดียว คือ พระปทุมุตระผู้รู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา ในสามหมื่นกัป ต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ มีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือ พระสุเมธะและพระสุชาตะ
                        ในพันแปดร้อยกัป (แต่กัปนี้) มี พระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ คือ พระปิยทัสสี พระอัตถทัสสี และ พระธรรมทัสสี ต่อจากพระสุชาตพุทธเจ้า
                        พระสัมพุทธเจ้าผู้อุดม กว่าสัตว์ ผู้ไม่มีบุคคลเปรียบในโลก ๓ พระองค์นั้น เสด็จอุบัติใน กัปเดียวกัน ในกัปที่ ๙๔ แต่ภัทรกัปนี้ มีพระมหามุนีพระองค์เดียว คือ พระสิทธัตถะ ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ยอดเยี่ยมโดยมีบุญสิริ
                        ในกัป ที่ ๙๒ แต่ภัทรกัปนี้ มีพระสัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือพระติสสะ และพระปุสสะ ผู้ไม่มีบุคคลเปรียบเสมอ
                        ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ มีพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ผู้มีพระกรุณาพระนามว่าวิปัสสี ทรงเปลื้องสัตว์ทั้งหลายจากเครื่องผูก
                        ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ มี พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือพระสิขีและพระเวสสภู ผู้ไม่มีบุคคล เปรียบเสมอ ในภัทรกัปนี้ มีพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ คือ พระกุกกุสันธะ พระโกนาคมนะ และพระกัสสปะ
                        บัดนี้เราเป็นพระ สัมพุทธเจ้าและจักมีพระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า แม้พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์นี้ ก็เป็นนักปราชญ์ อนุเคราะห์โลก บรรดาพระพุทธเจ้า ผู้เป็นธรรมราชาเหล่านี้ พระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้าจักตรัสบอกมรรคา นั้นแก่ผู้อื่นหลายโกฏิ แล้วจักเสด็จนิพพานพร้อมด้วยพระสาวก ฉะนี้แล.
 จบพุทธปกิรณกกัณฑ์.

12 ธันวาคม 2568

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก โคตมพุทธวงศ์ที่ ๒๕ ว่าด้วยพระประวัติพระโคตมพุทธเจ้า

โคตมพุทธวงศ์ที่ ๒๕ ว่าด้วยพระประวัติพระโคตมพุทธเจ้า
 [๒๖] บัดนี้ เราเป็นพระสัมพุทธเจ้านามว่า โคดม เจริญในศากยสกุล เราบำเพ็ญเพียรแล้ว ได้บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม พรหมอาราธนา แล้ว ประกาศพระธรรมจักร
 
                        ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์ ๑๘ โกฏิ ต่อแต่นั้น เมื่อเราแสดงธรรมในสมาคมมนุษย์และเทวดา
                        ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒ จะพึงกล่าวโดยคำนวณนับมิได้ ในคราวที่เรา กล่าวสอนราหุลบุตรของเราบัดนี้ ณ ที่นี้แล
                        ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ จะพึงกล่าวโดยคำนวณนับมิได้ เรามีการประชุมพระสาวกผู้แสวงหา คุณใหญ่ครั้งเดียว ภิกษุที่ประชุมกันมี ๑๒๕๐ รูป
                        เราผู้ปราศจาก มลทินรุ่งเรืองอยู่ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ เราให้สิ่งที่ปรารถนาทุกอย่าง เหมือนแก้วมณีให้สิ่งที่ต้องการทั้งปวง ฉะนั้น เราประกาศจตุราริยสัจ เพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งหลาย ผู้หวังผล ผู้แสวงหาธรรมเครื่องละ ความพอใจในภพ
                        ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์สองแสน ธรรมาภิสมัย ครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์โดยจะคณนานับมิได้ คำสั่งสอน ของเราผู้เป็นศากยมุนี กว้างขวางเจริญแพร่หลายงอกงามดี บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว เป็นประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก
                        ภิกษุหลายร้อยล้วนเป็น ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะมีจิตสงบระงับมั่นคงแวดล้อมเราอยู่ทุก เมื่อในกาลบัดนี้ ภิกษุเหล่าใด เป็นพระเสขะยังมิได้บรรลุอรหัต ละภพมนุษย์ไป
                        ภิกษุเหล่านั้น วิญญูชนตำหนิ ชนทั้งหลายผู้ชอบใจ ทางพระอริยเจ้า ยินดีในธรรมทุกเมื่อ มีปัญญารุ่งเรือง ถึงจะยัง ท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร ก็จักตรัสรู้ได้
                        นครของเราชื่อกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุทโธทนะเป็นโยมบิดาของเรา โยมมารดาบังเกิดเกล้าของเรา เรียกพระนามว่า มายาเทวี เราครอบครองอาคารสถานอยู่ ๒๙ ปี
                        มีปราสาทอันประเสริฐ ๓ ปราสาท ชื่อสุจันทะ โกกนุทะ และ โกญจะ มีสนมนารีกำนัลในสี่หมื่นนาง ล้วนประดับประดา สวยงาม มเหสีของเรานามว่า ยโสธรา บุตรชายของเราชื่อว่าราหุล
                        เราเห็นนิมิต ๔ ประการ จึงออกผนวชด้วยอัสวราชยาน ได้บำเพ็ญ เพียรประพฤติทุกกรกิริยาอยู่ ๖ ปี เราประกาศธรรมจักที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี เราเป็นพระสัมพุทธเจ้าชื่อว่าโคดม เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งปวง
                        ภิกษุ ๒ รูป ชื่ออุปติสสะและโกลิตะ เป็นอัครสาวกของเรา ภิกษุชื่ออานนทะ เป็นอุปัฏฐาก อยู่ในสำนัก ของเรา ภิกษุณีชื่อเขมาและอุบลวรรณาเป็นอัครสาวิกา จิตตคฤหบดีและหัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวี เป็นอัครอุปัฏฐาก นันทมาดาและอุตราอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
                        เราบรรลุสัมโพธิญาณ อันอุดม ที่ควงไม้อัสสัตถพฤกษ์ เรามีรัศมีซ่านออกด้านละวาทุกเมื่อ สูงขึ้นไป ๑๖ ศอก บัดนี้ อายุของเราน้อย มี ๑๐๐ ปี ถึงเราจะดำรง อยู่เพียงนั้น ก็ช่วยให้หมู่ชนข้ามพ้นวัฏสงสารได้มากมาย
                        เราตั้งคบ เพลิงคือธรรมไว้สำหรับให้คนภายหลังได้ตรัสรู้ อีกไม่นานเลย แม้ เรากับสงฆ์สาวกก็จักนิพพาน ณ ที่นี้แลเพราะสิ้นอาหาร เหมือน ไฟสิ้นเชื้อ ฉะนั้น
                        เรามีร่างกายเป็นเครื่องทรงคุณ คือ เดชอันไม่มี เทียบเคียง ยศ กำลังและฤทธิ์เหล่านี้ วิจิตด้วยลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ มีรัศมี ๖ ประการ สว่างไสวไปทั่วทิศน้อยใหญ่ ดุจ พระอาทิตย์ ทุกอย่างจักหายไปหมดสิ้น
                         สังขารทั้งปวงว่างเปล่าหนอ ฉะนี้แล. 
จบโคตมพุทธวงศ์ที่ ๒๕

11 ธันวาคม 2568

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก กัสสปพุทธวงศ์ที่ ๒๔ ว่าด้วยพระประวัติพระกัสสปพุทธเจ้า

กัสสปพุทธวงศ์ที่ ๒๔ ว่าด้วยพระประวัติพระกัสสปพุทธเจ้า
 [๒๕] สมัยต่อมาพระโกนาคมนพุทธเจ้า มีพระสัมพุทธเจ้าผู้อุดมกว่าสัตว์ เป็นพระธรรมราชา มีพระรัศมีสว่างไสวทรงพระนามว่า กัสสปะ ทรัพย์อันเป็นต้นทุนของตระกูล ที่สัตว์เป็นอันมากบูชา พระองค์
 
        ทรงละทิ้งเสียแล้วทรงเป็นทายกผู้องอาจให้ทาน ยังฉันทะให้เต็ม ทรง ทำลายกิเลสดังสัตว์ร้ายแล้ว ทรงบรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม เมื่อ พระกัสสปะผู้เป็นนายกของโลก ทรงประกาศพระธรรมจักร
                        ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์สองหมื่นโกฏิ ในคราวเมื่อพระพุทธเจ้า เสด็จจาริกไปในโลกตลอด ๔ เดือน
                        ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มี แก่สัตว์หมื่นโกฏิ ในคราวเมื่อพระองค์ทรงทำยมกปาฏิหาริย์แสดง ฤทธิ์ต่างๆ ทรงประกาศพระญาณธาตุ
                        ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มี แก่สัตว์ห้าพันโกฏิ ในคราวที่พระองค์ทรงแสดงธรรม ณ สุธรรมเทพ นครอันรื่นรมย์ พระชินเจ้าทรงทำให้เทวดาสามพันโกฏิได้ตรัสรู้ และในคราวทรงแสดงธรรมแก่มนุษย์ เทวดา และยักษ์อีกครั้งหนึ่ง
                       มนุษย์เป็นต้นผู้ได้ตรัสรู้ธรรมนั้นจะคณนานับมิได้ แม้พระพุทธเจ้า พระองค์นั้นก็ทรงมีการประชุมพระภิกษุขีณาสพ ผู้ปราศจากมลทิน มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ ครั้งเดียว ครั้งนั้นพระภิกษุขีณาสพผู้ล่วง สุดภพแล้ว ผู้คงที่ด้วยหิริและศีลมาประชุมกันสองหมื่น
                       ในกาลนั้น เราเป็นมาณพ มีชื่อปรากฏ ว่าโชติปาละ เป็นผู้เล่าเรียน ทรงมนต์ รู้จบไตรเพทถึงที่สุดในคำภีร์ทำนายลักษณะและคัมภีร์อิติหาสะ เป็น ผู้ฉลาดในวิชาดูพื้นที่และอากาศ เป็นผู้ใช้วิชา ไม่มีทุกข์ ฆฏิการ อุบาสกผู้อุปัฏฐากแห่งพระผู้มีพระภาคกัสสปะ เป็นผู้มีความเคารพ ยำเกรง เป็นพระอนาคามี
                        ฆฏิการอุบาสกได้พาเราเข้าไปเฝ้าพระกัสสปชินเจ้า เราได้ฟังธรรมของพระองค์แล้วบวชในสำนักของ พระองค์ เราเป็นผู้ปรารภความเพียร ฉลาดในวัตรและมิใช่วัตร ไม่เสื่อมในที่ไหนๆ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระชินเจ้าบริบูรณ์ เล่าเรียนนวังคสัตถุศาสน์เท่าที่พระพุทธเจ้าตรัสแล้วทุกอย่าง
                        ยัง พระศาสนาของพระพิชิตมารให้งดงาม แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงเห็นความอัศจรรย์ของเราแล้ว จึงทรงพยากรณ์ว่า ในภัทรกัปนี้ ผู้นี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลก ...... ข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉะนั้น เราได้ฟังพระพุทธพยากรณ์แม้นั้นแล้วยังจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง
                        เรา อธิษฐานวัตรในการบำเพ็ญเพียรบารมี ๑๐ ประการ การให้ยิ่งขึ้นไป เรานึกถึงพระพุทธพยากรณ์อย่างนี้แล้ว งดเว้นอนาจาร กระทำกรรม ที่ทำได้ยาก เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น
                        พระนครชื่อว่า พาราณสี พระบรมกษัตริย์ พระนามว่ากิกี ตระกูลใหญ่ของพระสัมพุทธเจ้าอยู่ในพระนครนั้น พรหมทัตตพราหมณ์เป็นพุทธบิดา นางธนวดีพราหมณีเป็นพุทธมารดา พระองค์ทรงครอบครองอาคาร สถานอยู่สองพันปี
                        ทรงมีปราสาทอันประเสริฐ ๓ ปราสาท ชื่อหังษะ ยสะ และสิริจันทะ มีนางสาวนารีสี่หมื่นแปดพันนางล้วนประดับ ประดาสวยงาม นางสุนันทาพราหมณีเป็นภรรยา บุตรชายนามว่า วิชิตเสน
                        พระองค์ผู้เป็นบุรุษอุดม ได้เห็นนิมิต ๔ ประการ จึงออก บวชพร้อมด้วยปราสาท ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๗ วัน พระกัสสปมหาวีรเจ้าผู้เป็นนายกของโลกผู้อุดมกว่านรชน อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
                        ทรงประกาศพระธรรมจักรที่มฤคทายวัน ทรงมีพระติสสเถระและ พระภารทวาชเถระ เป็นพระอัครสาวก พระเถระชื่อว่าสรรพมิตตะ เป็นพระพุทธอุปัฏฐาก พระอนุลาเถรีและพระอุรุเวลาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
                         ไม้โพธิพฤกษ์ของพระองค์เรียกชื่อว่านิโครธ สุมังคล อุบาสกและฆฏิการอุบาสก เป็นอัครอุปัฏฐาก วิชิตเสนาอุบาสก และ ภัททาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น มี พระองค์สูง ๒๐ ศอก มีพระรัศมีเปล่งปลั่งดังสายฟ้าในอากาศ ดุจพระจันทร์เต็มดวง
                         พระองค์มีพระชนมายุสองหมื่นปี
                         เมื่อทรง ดำรงอยู่เพียงนั้น ทรงช่วยให้ประชุมชนข้ามพ้นวัฏสงสารได้มากมาย ทรงสร้างสระน้ำคือธรรมไว้ ทรงประทานเครื่องลูบไล้ คือ ศีล ทรงจัดผ้าคือธรรมไว้นุ่งห่ม ทรงแจกพวงมาลัยคือธรรม
                         ทรงตั้ง กระจกเงาอันไร้มลทินคือธรรมไว้ให้มหาชน ด้วยทรงหวังว่า ชน บางพวกปรารถนานิพพาน จงเห็นเครื่องประดับของเรา ทรงจัดเสื้อ คือศีล เกราะหนังคือญาณ ทรงจัดหนังคือธรรมไว้ให้คลุม และ เครื่องรบอย่างดีเลิศให้
                         ทรงจัดโล่ห์คือสติ หอกคือญาณอันคมกล้า ดาบอย่างดีคือธรรม และศาตราวุธเครื่องย่ำยีศัตรูคือศีลไว้ให้ ทรงจัด ภูษา คือไตรวิชา พวงมาลัยสวมศีรษะคือผล ๔ เครื่องอาภรณ์ คือ อภิญญา ๖ และดอกไม้เครื่องประดับคือธรรม ร่มขาวคือพระสัทธรรม อันเป็นเครื่องป้องกันบาป
                         ทรงนิรมิตดอกไม้ คือ ความไม่มีเวรภัย ไว้ให้เสร็จแล้ว พระองค์ก็เสด็จนิพพานพร้อมด้วยพระสาวก แท้จริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระคุณหาประมาณมิได้ ยากที่จะรู้ได้ พระธรรมรัตนะที่ตรัสไว้ดีแล้วควรเรียกให้มาดู พระสังฆรัตนะผู้ ปฏิบัติดี ไม่มีผู้อื่นยิ่งไปกว่า ทั้ง ๓ รัตนะนี้ หายไปหมดทุกอย่างแล้ว สังขารทั้งปวงว่างเปล่าหนอ
                         พระมหากัสสปชินศาสดา เสด็จนิพพาน ที่เสตัพยาราม ทระสถูปของพระองค์ สูงหนึ่งโยชน์ ประดิษฐานอยู่ ณ เสตัพยารามนั้น ฉะนี้แล.
 จบกัสสปพุทธวงศ์ที่ ๒๔

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก โกนาคมนพุทธวงศ์ที่ ๒๓ ว่าด้วยพระประวัติพระโกนาคมนพุทธเจ้า

โกนาคมนพุทธวงศ์ที่ ๒๓ ว่าด้วยพระประวัติพระโกนาคมนพุทธเจ้า
 [๒๔] สมัยต่อมาจากพระกุกกุสันธพุทธเจ้า พระสัมพุทธนราสภชินเจ้าผู้ อุดมกว่าสัตว์ เชษฐบุรุษของโลก พระนามว่าโกนาคมนะ ทรง บำเพ็ญธรรม ๑๐ ประการบริบูรณ์ ข้ามทางกันดารได้แล้ว ทรงลอย มลทินทั้งปวงแล้ว ทรงบรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม เมื่อพระองค์ผู้ เป็นนายกชั้นพิเศษของโลก
 
                         ทรงประกาศพระธรรมจักร ธรรมาภิสมัย ครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์สามหมื่นโกฏิ และในคราวเมื่อพระองค์ ทรงทำปฏิหาริย์ย่ำยีวาทะของผู้อื่น
                        ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ สัตว์สองหมื่นโกฏิ ต่อแต่นั้น พระมุนีสัมพุทธชินเจ้าทรงแผลงฤทธิ์ ต่างๆ เสด็จไปยังดาวดึงส์เทวโลก ประทับเหนือบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ทรงจำพรรษาอยู่ ณ ดาวดึงส์นั้น ทรงแสดงพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์
                        ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่ทวยเทพหมื่นโกฏิ 
                        แม้ พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็ทรงมีการประชุมพระภิกษุขีณาสพผู้ ปราศจากมลทิน ผู้มีจิตสงบระงับ คงที่ ครั้งเดียว
                        ในกาลนั้น พระภิกษุขีณาสพผู้ล่วงโอฆะทั้งหลายและทำลายมัจจุราชแล้ว มา ประชุมกันสามหมื่น สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์พระนามว่าบรรพต ถึงพร้อมด้วยมิตรและอำมาตย์ มีพลนิกายและพาหนะมากมาย
                        เรา ไปเฝ้าพระสัมพุทธเจ้าได้ฟังธรรมอันยอดเยี่ยมแล้ว นิมนต์พระสงฆ์ พร้อมด้วยพระชินเจ้า ได้ถวายทานตามปรารถนา เราได้ถวายผ้า ปัตตุณณะ ผ้าเมืองจีน ผ้าไหม ผ้ากัมพล และรองเท้าทอง แก่ พระศาสดาและพระสาวก
                        แม้พระมุนีพระองค์นั้น ก็ประทับนั่ง ท่ามกลางสงฆ์ตรัสพยากรณ์เราว่า ในภัทรกัปนี้ผู้นี้จักได้เป็นพระพุทธ เจ้าในโลก .... ข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉะนั้น
                        เราได้ฟังพระพุทธพยากรณ์ แม้นั้นแล้ว ก็ยังจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง เราได้อธิษฐานวัตรในการ บำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้นไป เราผู้อุดมกว่านรชน เมื่อ แสวงหาพระสัพพัญญุตญาณ จึงให้ทาน ละราชสมบัติอันใหญ่หลวง บวชในพระสำนักพระชินเจ้า
                        พระนครชื่อว่าโสภวดี พระบรมกษัตริย์ พระนามว่าโสภะ ตระกูลใหญ่ของพระสัมพุทธเจ้าอยู่ในพระนครนั้น ยัญทัตตพราหมณ์เป็นพุทธบิดา นางอุตราพราหมณีเป็นพุทธมารดา พระองค์ครอบครองอาคารสถานอยู่สามหมื่นปี
                        มีปราสาทอันประเสริฐ ๓ ปราสาท ชื่อดุสิต สันดุสิต และสันตุฏฐะ มีนางสาวนารี หมื่น หกพันนาง ล้วนประดับประดาสวยงาม นางรุจิคุตตาพราหมณีเป็น ภรรยา บุตรชายนามว่าสัตถวาหะ
                        พระองค์ผู้เป็นอุดมบุรุษได้เห็น นิมิต ๔ ประการ จึงออกบวชด้วยยานช้างยานพาหนะ บำเพ็ญเพียร อยู่ ๖ เดือน พระโกนาคมนมหาวีรเจ้า นายกของโลก ผู้อุดมกว่า นรชน อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
                        ทรงประกาศพระธรรมจักรที่ มฤคทายวัน ทรงมีพระภิยโยสเถระ และพระอุตรเถระเป็นพระอัครสาวก พระเถระชื่อว่าโสตถิชะเป็นพระพุทธอุปัฏฐาก พระสมุททา เถรีและพระอุตราเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
                        ไม้โพธิพฤกษ์ของพระองค์ เรียกชื่อว่า ไม้มะเดื่อ อุคคอุบาสกและโสมเทวอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก สีวลาอุบาสิกาและสามาอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
                       พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น มีพระองค์สูง ๓๐ ศอก ประดับด้วย พระรัศมีเปล่งปลั่ง ดังทองที่ปากเบ้า พระองค์มีพระชนมายุในขณะ นั้นสามหมื่นปี ทรงดำรงอยู่เท่านั้น ทรงช่วยให้ประชุมชนข้ามพ้น วัฏสงสารได้มากมาย ทรงยกธรรมเจดีย์อันประดับด้วยผ้าคือธรรม ขึ้นแล้ว ทรงร้อยพวงดอกไม้คือธรรมเสร็จแล้ว
                       เสด็จนิพพานพร้อม ด้วยพระสาวก พระองค์มีพระลีลาอันใหญ่มีธรรมอันเป็นสิริเป็นเครื่อง ปรากฏ สิ่งทั้งปวงหายไปหมดแล้ว สังขารทั้งปวงว่างเปล่าหนอ พระ โคนาคมนสัมพุทธเจ้า เสด็จนิพพาน ณ ปัพพตาราม พระธาตุของ พระองค์แผ่กว้างไปในประเทศนั้นๆ ฉะนี้แล.
 จบโกนาคมนพุทธวงศ์ที่ ๒๓

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก กุกกุสันธพุทธวงศ์ที่ ๒๒ ว่าด้วยพระประวัติพระกกุสันธพุทธเจ้า

กุกกุสันธพุทธวงศ์ที่ ๒๒ ว่าด้วยพระประวัติพระกกุสันธพุทธเจ้า
 [๒๓] สมัยต่อมาจากพระเวสสภูพุทธเจ้า มีพระสัมพุทธเจ้าผู้อุดมกว่าสัตว์ พระนามว่า กุกกุสันธะ มีพระคุณประมาณมิได้ยากที่จะเทียมถึง ทรงเพิกภพทั้งปวง ถึงที่สุดแห่งจริยา ทรงทำลายกิเลสดังราชสีห์ทำ ลายกรงแล้ว ทรงบรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม เมื่อพระกุกกุสันธะ
 
                        พุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ทรงประกาศพระธรรมจักร ธรรมาภิสมัย ครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์สี่หมื่นโกฏิ ในคราวเมื่อพระองค์ทรงแผลงฤทธิ์ กระทำยมกปาฏิหาริย์ในอากาศ
                        พระองค์ทรงยังเทวดาและมนุษย์ให้ ตรัสรู้สามหมื่นโกฏิ ในคราวเมื่อทรงประกาศจตุราริยสัจ แก่มนุษย์ เทวดาและยักษ์ ธรรมาภิสมัยครั้งนั้น จะคำนวณนับมิได้
                        พระผู้มี พระภาคกุกกุสันธะ ทรงมีการประชุมพระภิกษุขีณาสพผู้ปราศจาก มนทิน ผู้มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ ครั้งเดียวในกาลนั้น พระภิกษุขีณาสพ ผู้บรรลุถึงภูมิที่ฝึกแล้ว เพราะสิ้นกิเลสเหตุให้เป็นหมู่คณะมีอาสวะ เป็นต้น มาประชุมกันสี่หมื่น
                        สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์ มีพระนามว่า เขมะ เราได้ถวายทานมิใช่น้อยแด่พระตถาคตและพระสาวก เรา ถวายบาตร จีวร ยาหยอดตา ชะเอมเครือ เราถวายของดีๆ ทุกอย่าง ตามที่ภิกษุสงฆ์ปรารถนา
                        แม้พระมุนีกุกกุสันธะผู้เป็นนายกชั้นพิเศษ พระองค์นั้น ก็ทรงพยากรณ์เราว่าในภัทรกัปนี้ ผู้นี้จักได้เป็นพระ พุทธเจ้าในโลก ....... ข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉะนั้น เราได้ฟังพระพุทธ พยากรณ์แม้นั้นแล้ว ก็ยังจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง เราอธิษฐานวัตร ในการบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการยิ่งขึ้น
                        นครชื่อว่าเขมวดี ในกาลนั้น เรามีชื่อว่าเขมะ เมื่อแสวงหาพระสัพพัญญุตญาณจึงออกบวชใน สำนักของพระองค์
                        พราหมณ์นามว่าอัคคิทัตตะเป็นพุทธบิดา นางพราหมณีชื่อว่าวิสาขา เป็นพุทธมารดา ตระกูลใหญ่ของพระสัมพุทธเจ้าเป็นตระกูลที่ประเสริฐสุดกว่าตระกูลอื่นๆ มีชาติสูง มียศมาก อยู่ในเขมนครนั้น
                        พระองค์ครอบครองอาคารสถานอยู่ สี่พันปี
                        มีปราสาทอันประเสริฐ ๓ ปราสาท ชื่อกามวัฑฒะ กามสุทธิ และรติวัฑฒนะ มีนางสาวนารีสามหมื่นนาง บุตรชายนามว่าอุตระ พระพิชิตมารทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ จึงออกผนวชด้วยรถอันเป็น ยานพาหนะ บำเพ็ญเพียรอยู่ ๘ เดือนเต็ม พระกุกกุสันธมหาวีรเจ้า ผู้อุดมกว่านรชน
                        ทรงประกาศพระธรรมจักรที่มฤคทายวัน ทรงมี พระวิธุรเถระและพระสัญชีวนามเถระเป็นพระอัครสาวก พระเถระ ชื่อว่าพุทธิชะเป็นพระพุทธอุปัฏฐาก พระสามาเถรีและพระจัมปนามา เถรีเป็นพระอัครสาวิกา
                        ไม้โพธิพฤกษ์ของพระองค์เรียกชื่อว่าไม้ซึก
                        อัจจุคตอุบาสก และสุมนอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก นันทาอุบาสิกา และสุนันทาอุบาสิกา เป็นอัครอุปัฏฐายิกา พระมหามุนีมีพระองค์ สูง ๔๐ ศอก พระรัศมีสีเปล่งปลั่งดังทองคำ เปล่งออกไป ๑๐ โยชน์ โดยรอบ
                        พระองค์มีพระชนมายุสี่หมื่นปี เมื่อทรงดำรงอยู่เท่านั้น ทรงช่วยให้ประชุมชนข้ามพ้นวัฏสงสารได้มากมาย ทรงแจกจ่าย ตลาดธรรมให้แก่บุรุษและสตรี ทรงบันลือสีหนาทในโลกพร้อมทั้ง เทวโลกแล้ว
                        เสด็จนิพพานพร้อมด้วยพระสาวก พระองค์ ทรงถึง พร้อมด้วยพระดำรัสมีองค์ ๘ ไม่มีช่องเนืองนิตย์ ทุกอย่างหายไป หมดแล้ว สังขารทั้งปวงว่างเปล่าหนอ พระกุกกุสันธชินเจ้าผู้ ประเสริฐเสด็จนิพพานที่เขมาราม พระสถูปอันประเสริฐของ พระองค์สูงคาวุตหนึ่ง ประดิษฐานอยู่ ณ เขมารามนั้น ฉะนี้แล.
 จบกุกกุสันธพุทธวงศ์ที่ ๒๒

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก เวสสภูพุทธวงศ์ที่ ๒๑ ว่าด้วยพระประวัติพระเวสสภูพุทธเจ้า

เวสสภูพุทธวงศ์ที่ ๒๑ ว่าด้วยพระประวัติพระเวสสภูพุทธเจ้า
 [๒๒] ในมัณฑกัปนั้นแล พระพิชิตมารผู้ไม่มีบุคคลเปรียบเสมอ มีพระนาม ชื่อว่าเวสสภู เสร็จอุบัติขึ้นในโลก พระเวสสภูผู้เป็นนายกของโลก ทรงทราบว่าไฟคือราคะนี้เป็นของร้อนเป็นแว่นแคว้นของตัณหา ทรง ตัดกิเลสดังช้างตัดเชือกแล้ว ทรงบรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม แล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร
 
                        ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์ แปดหมื่นโกฏิ เมื่อพระนราสภเชษฐบุรุษของโลก เสด็จจาริกไป ในแว่นแคว้น
                        ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์เจ็ดหมื่นโกฏิ เมื่อ พระองค์ทรงกระทำปาฏิหาริย์บรรเทาทิฏฐิใหญ่ มนุษย์และเทวดาใน หมื่นโลกธาตุมาประชุมกัน เทวดาและมนุษย์ได้เห็นความมหัศจรรย์ อันไม่เคยมี เป็นเหตุให้ขนพองสยองเกล้าแล้วได้ตรัสรู้ ๖๐ โกฏิ
                        พระเวสสภูบรมศาสดา ทรงมีการประชุมพระภิกษุขีณาสพผู้ ปราศจากมลทิน มีจิตสงบระงับคงที่ ผู้กลัวภัยมีชราเป็นต้น เป็น โอรสของพระศาสดาผู้ได้ฟังพระธรรมจักรอันประณีตอุดม ที่พระพุทธเจ้าซึ่งไม่มีใครเสมอพระองค์นั้นทรงประกาศแล้วออกบวช ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๑ พระภิกษุขีณาสพมาประชุมกันแปดหมื่นโกฏิ ครั้งที่ ๒ เจ็ดหมื่นโกฏิ ครั้งที่ ๓ หกหมื่นโกฏิ
                        สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์ พระนามว่า สุทัสนะ ได้บูชาพระพิชิตมารพร้อมด้วยพระสงฆ์ ด้วย ข้าว น้ำและผ้า เรายังมหาทานให้เป็นไปไม่เกียจคร้านทั้งกลางคืน กลางวัน ออกบวชอันถึงพร้อมด้วยคุณ ในสำนักของพระชินเจ้า
                        เราเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอาจารคุณ ตั้งมั่นอยู่ในวัตรและศีล แสวงหา พระสัพพัญญุตญาณ ยินดีในศาสนาของพระชินเจ้า เรายังศรัทธา และปีติให้เกิด ถวายบังคมพระพุทธบรมศาสดา ปีติเกิดขึ้นแก่เรา เพราะเหตุแห่งโพธิญาณนั่นเอง
                        พระสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่า เรามี ฉันทะอันไม่กลับกลอกจึงทรงพยากรณ์ว่า ในกัปที่ ๓๑ แต่กัปนี้ ผู้นี้ จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลก ......... ข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉะนั้น เราได้ฟังพระพุทธพยากรณ์แม้นั้นแล้ว ยังจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง ได้อธิษฐานวัตรในการบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการ ให้ยิ่งขึ้นไป
                        พระนครชื่อว่าอโนมะ พระบรมกษัตริย์ พระนามว่าสุปติตะ เป็น พระชนกของพระเวสสภูบรมศาสดา พระนางยสวดีเป็นพระชนนี พระองค์ทรงครอบครองอาคารสถานอยู่หกพันปี
                        ทรงมีปราสาทอัน ประเสริฐ ๓ ปราสาท ชื่อว่ารุจิ สุรติ และวัฑฒกะทรงมีพระสนมนารีกำนัลในสามหมื่นนาง ล้วนประดับประดาสวยงาม พระมเหสี นามว่าสุจิตรา พระราชโอรสพระนามว่าสุปปพุทธะ
                        พระองค์ทรง เห็นนิมิต ๔ ประการ จึงเสด็จออกผนวชด้วยวอทอง ทรงบำเพ็ญ เพียรอยู่ ๖ เดือนเต็ม พระเวสสภูมหาวีรเจ้า ผู้เป็นนายกของโลก อุดมกว่านรชน อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
                        ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ อรุณาราม ทรงมีพระโสณเถระและพระอุตรเถระเป็นพระอัครสาวก พระเถระชื่อว่าอุปสันตะเป็นพระพุทธอุปัฏฐาก พระรามาเถรีและพระสุมาลาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา
                        ไม้โพธิพฤกษ์ของ พระองค์เรียกกันว่าไม้อ้อยช้างใหญ่ โสตถิอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก โคตมีอุบาสิกาและสิริมาอุบาสิกา เป็นอุปัฏฐายิกา พระองค์สูง ๖๐ ศอก เปรียบเสมอด้วยเสาทอง พระรัศมีเปล่งออกจากพระวรกาย ดังไฟบนภูเขาในเวลากลางคืน
                        พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น มีพระชน มายุหกหมื่นปี พระองค์ทรงดำรงอยู่เพียงนั้น ทรงช่วยให้ประชุมชน ข้ามพ้นวัฏสงสารได้มากมาย ทรงจำแนกธรรมไว้อย่างพิสดาร ทรงตั้ง มหาชนให้อยู่บนธรรมนาวาแล้ว พระองค์ก็เสด็จนิพพานพร้อมด้วย พระสาวกพระวิหารอันมีชนทุกหมู่เหล่า น่าดูน่าชม
                        พระอิริยาบถ หายไปหมดสิ้นแล้ว สังขารทั้งปวงว่างเปล่าหนอ พระเวสสภู ศาสดาชินเจ้าผู้ประเสริฐ เสด็จนิพพานที่เขมาราม พระธาตุของ พระองค์แผ่ไปกว้างขวางในประเทศนั้นๆ ฉะนี้แล.
 จบเวสสภูพุทธวงศ์ที่ ๒๑

10 ธันวาคม 2568

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก สิขีพุทธวงศ์ที่ ๒๐ ว่าด้วยพระประวัติพระสิขีพุทธเจ้า

สิขีพุทธวงศ์ที่ ๒๐ ว่าด้วยพระประวัติพระสิขีพุทธเจ้า
 [๒๑] สมัยต่อมาจากพระวิปัสสีสัมพุทธเจ้า พระสัมพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่า สัตว์ ผู้ไม่มีบุคคลเปรียบเสมอ มีพระนามว่าสิขี ทรงย่ำยีมารและ เสนามารแล้ว ทรงบรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม ทรงประกาศพระธรรมจักร เพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งหลาย
 
                        เมื่อพระสิขีชินเจ้าผู้ ประเสริฐ ทรงประกาศพระธรรมจักร ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่ สัตว์แสนโกฏิ
                        เมื่อพระองค์ผู้ประเสริฐกว่าหมู่คณะ สูงสุดกว่า นรชน ทรงแสดงธรรมอีก ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์เก้าหมื่น โกฏิ
                        เมื่อพระองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ในโลกพร้อมด้วยเทวโลก ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ
                        แม้พระสิขี บรมศาสดา ก็ทรงมีการประชุมพระภิกษุขีณาสพผู้ปราศจากมลทิน มีจิตสงบระงับผู้คงที่ ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๑ พระภิกษุขีณาสพมาประชุม กันหนึ่งแสน ครั้งที่ ๒ แปดหมื่น ครั้งที่ ๓ เจ็ดหมื่น เปรียบ เหมือนดอกปทุมอันเจริญในน้ำ น้ำเลี้ยงไว้ ฉะนั้น
                        สมัยนั้นเราเป็น กษัตริย์พระนามว่าอรินทมะ ได้ถวายข้าวและน้ำให้พระสงฆ์ มีพระ พุทธเจ้าเป็นประธานฉันจนเพียงพอ ได้ถวายผ้าอย่างดีมากมายหลาย โกฏิผืน ได้ถวายยานช้างอันประดับแล้ว แก่พระสัมพุทธเจ้า
                        เรา ได้สร้างยานช้างให้เป็นของควรแก่สมณะแล้วนำเข้าไปถวาย เรายัง ฉันทะของเราซึ่งตั้งไว้มั่นเป็นนิตย์ให้เต็ม แม้พระพุทธสิขีผู้เป็น นายกชั้นเลิศของโลก พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์เราว่า ในกัปที่ ๓๑ แต่กัปนี้ ผู้นี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลก
            ........... ข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉะนั้นเราได้ฟังพระพุทธพยากรณ์แม้นั้นแล้ว ยังจิตให้เลื่อมใส อย่างยิ่ง ได้อธิษฐานวัตรในการบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้น ไป
                        พระนครชื่อว่าอรุณวดี พระบรมกษัตริย์พระนามว่าอรุณ เป็น พระชนกของพระสีขีบรมศาสดา พระนางประภาวดีเป็นพระชนนี พระองค์ทรงครอบครองอาคารสถานอยู่เจ็ดพันปี
                        ทรงมีปราสาทอัน ประเสริฐ ๓ ปราสาท ชื่อสุวัฑฒกะ คิริ และนารีวาหนะ ทรงมี พระสนมนารีกำนัลในสองหมื่นสี่พันนาง ล้วนประดับประดาสวย งาม พระมเหสีพระนามว่าสรรพกามา พระราชโอรสพระนามว่า อตุละ
                        พระองค์ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ จึงเสด็จออกผนวชด้วย คชสารยานพระที่นั่งต้น ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๘ เดือนเต็ม พระสิขี มหาวีรเจ้าผู้เป็นนายกชั้นเลิศของโลกอุดมกว่านรชน อันพรหมทูล อาราธนาแล้วทรงประกาศพระธรรมจักร ณ มฤคทายวัน
                        ทรงมีพระอภิภูเถระ และพระสัมภวเถระเป็นพระอัครสาวก พระเถระชื่อว่า เขมังกรเป็นพระพุทธอุปัฏฐาก พระมขีลาเถรีและพระปทุมาเถรีเป็น พระอัครสาวิกา
                        ไม้โพธิพฤกษ์ของพระองค์ เรียกกันว่า บุณฑริก [ไม้กุ่มบก] สิริวัฑฒอุบาสกและนันทอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก จิตราอุบาสิกาและสูจิตราอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
                        พระพุทธเจ้า พระองค์นั้น มีพระองค์สูง ๗๐ ศอก มีพระรัศมีเปล่งปลั่งดังทองคำ ล้ำค่า มีพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ พระรัศมี ของพระองค์ ซ่านออกไปจากพระวรกายด้านละวาเนืองนิตย์ พระรัศมีนั้นเปล่ง ออกไปยังทิศน้อยทิศใหญ่ ๓ โยชน์
                        พระองค์มีชนมายุเจ็ดหมื่นปี ทรงดำรงอยู่เท่านั้น ทรงช่วยให้ประชุมชนข้ามพ้นวัฏสงสารได้มาก มาย พระองค์ทรงยังฝนคือธรรมให้ตก ยังมนุษย์พร้อมทั้งเทวดาให้ ชุ่มชื่น ให้บรรลุความเกษมแล้ว เสร็จนิพพานพร้อมด้วยพระสาวก
                        พระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ อันสมบูรณ์ด้วยอนุพยัญชนะ หายไปหมดสิ้นแล้ว สังขารทั้งปวงว่างเปล่าหนอ พระพุทธสิขีมุนี ผู้ประเสริฐ เสด็จนิพพาน ณ อัสสาราม พระสถูปอันประเสริฐ ของพระองค์สูง ๓ โยชน์ ประดิษฐานอยู่ ณ อัสสารามนั้น ฉะนี้แล.
 จบสิขีพุทธวงศ์ที่ ๒๐

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก วิปัสสีพุทธวงศ์ที่ ๑๙ ว่าด้วยพระประวัติพระวิปัสสีพุทธเจ้า

วิปัสสีพุทธวงศ์ที่ ๑๙ ว่าด้วยพระประวัติพระวิปัสสีพุทธเจ้า
 [๒๐] ในกัปต่อมาจากพระปุสสพุทธเจ้า มีพระสัมพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่า สัตว์ ผู้มีจักษุ มีพระนามว่าวิปัสสี เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์ ทรงทำลายกระเปาะฟองไข่คืออวิชชาแล้ว ทรงบรรลุสัมโพธิญาณ อันอุดม เสด็จไปยังพระนครพันธุมดี เพื่อทรงประกาศพระธรรมจักร ทรงประกาศพระธรรมจักรให้เทวดาและมนุษย์ได้ตรัสรู้
 
                        ธรรมาภิ สมัยครั้งที่ ๑ จะพึงกล่าวด้วยการนับมิได้ ทรงประกาศจตุราริยสัจ ในพระนครนั้น
                        ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นสี่พัน มนุษย์แปดหมื่นสี่พันออกบวชตาม พระสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงแสดง ธรรมแก่เขาผู้มาถึงอาราม พระชินเจ้าทรงตั้งอยู่ในเหตุโดยการตรัส ด้วยอาการทั้งปวง
                        แม้มนุษย์เหล่านั้นได้บรรลุธรรมอันประเสริฐ เป็นธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓
                        พระวิปัสสีบรมศาสดา ทรงมีการประชุม พระภิกษุขีณาสพผู้ปราศจากมลทิน ผู้มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๑ พระภิกษุขีณาสพมาประชุมกันหนึ่งแสนหกหมื่นแปดพัน ครั้งที่ ๒ หนึ่งแสน ครั้งที่ ๓ แปดหมื่น
                        พระสัมพุทธเจ้าทรงรุ่งเรืองอย่างยิ่ง ในท่ามกลางหมู่พระภิกษุขีณาสพนั้น สมัยนั้น เราเป็นพระยานาคราช ผู้มีฤทธิ์มาก มีบุญ ทรงความรุ่งเรือง มีนามชื่อว่าอตุละ 
                        ในกาลนั้น เราแวดล้อมด้วยนาคหลายโกฏิเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้เป็นเชษฐบุรุษ ของโลก ประโคมดนตรีทิพย์ถวาย ครั้นเข้าเฝ้าพระองค์ผู้เป็นนายก ของโลกแล้ว เรานิมนต์พระองค์แล้ว ได้ถวายตั่งทองอันวิจิตรด้วย แก้วมณีและแก้วมุกดา ประดับด้วยอาภรณ์ทั้งปวง แก่พระองค์ผู้ เป็นพระธรรมราชา
                        แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ประทับนั่งท่าม กลางสงฆ์แล้ว ก็ทรงพยากรณ์เราว่า ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ ผู้นี้จัก ได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลก ........ ข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉะนั้น เราได้ฟัง พระพุทธพยากรณ์แม้นั้นแล้วยังจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง ได้อธิษฐาน วัตรในการบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้นไป
                        พระนครชื่อว่า พันธุมดี พระบรมกษัตริย์พระนามว่าพันธุมะ เป็นพระชนกของ พระวิปัสสีบรมศาสดา พระนางพันธุมดี เป็นพระชนนี พระองค์ทรง ครอบครองอาคารสถานอยู่แปดพันปี
                        ทรงมีปราสาทอันประเสริฐ ๓ ปราสาท ชื่อนันทะ สุนันทะ และสิริมา ทรงมีพระสนมนารีกำนัล ในสี่หมื่นสามพันนาง ล้วนประดับประดาสวยงาม พระมเหสี พระนามว่าสุทัสนา พระราชโอรสพระนามว่าสมวัตตขันธ์
                        พระองค์ ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ จึงเสด็จออกผนวชด้วยราชรถพระที่นั่ง ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๘ เดือนเต็ม พระวิปัสสีมหาวีรเจ้าผู้เป็นนายก ของโลก อุดมกว่านรชน อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
                        ทรงประกาศ พระธรรมจักร ณ มฤคทายวัน ทรงมีพระขันธเถระและพระติสสนาม เถระ เป็นพระอัครสาวก พระเถระชื่อว่าอโสก เป็นพระพุทธอุปัฏฐาก พระจันทาเถรีและพระจันทมิตตาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา
                        ไม้โพธิ พฤกษ์ของพระองค์เรียกกันว่าไม้แคฝอย ปุนัพพสุมิตตอุบาสกและ นาคอุบาสก เป็นอัครอุปัฏฐาก สิริมาอุบาสิกาและอุตตราอุบาสิกา เป็นอัครอุปัฏฐายิกา
                        พระวิปัสสีสัมพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลกสูง ๘๐ ศอก พระองค์มีพระรัศมีเปล่งปลั่ง แผ่ไป ๗ โยชน์ โดยรอบ ครั้งนั้น พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุแปดหมื่นปี พระองค์ทรงดำรงอยู่ เท่านั้น
                        ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นวัฏฏสงสารเป็นอันมาก ทรงเปลื้อง เทวดาและมนุษย์เป็นอันมากให้พ้นจากเครื่องผูก ตรัสบอกทางและ มิใช่ทางแก่ปุถุชนที่เหลือ ทรงแสดงแสงสว่าง ทรงแสดงอมตบท ทรงรุ่งเรืองดังกองไฟ
                        แล้วเสด็จนิพพานพร้อมด้วยพระสาวก พระฤทธิ์ และบุญอันประเสริฐ พระลักษณะและลายจันทรอันสวยงามทุกอย่าง หายไปสิ้น สังขารทั้งปวงว่างเปล่าหนอ พระวิปัสสิวีรเจ้าผู้ประเสริฐ กว่านรชน เสด็จนิพพาน ณ สุมิตตาราม พระสถูปอันประเสริฐของ พระองค์สูง ๗ โยชน์ ประดิษฐานอยู่ ณ สุมิตตารามนั้น ฉะนี้แล.
 จบวิปัสสีพุทธวงศ์ที่ ๑๙

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก ปุสสพุทธวงศ์ที่ ๑๘ ว่าด้วยพระประวัติพระปุสสพุทธเจ้า

ปุสสพุทธวงศ์ที่ ๑๘ ว่าด้วยพระประวัติพระปุสสพุทธเจ้า
 [๑๙] ในมัณฑกัปนั้นแล ได้มีพระศาสดาผู้ยอดเยี่ยม ผู้ไม่มีใครเปรียบ เสมอเหมือน พระนามว่าปุสสะ เป็นนายกชั้นเลิศของโลก แม้ พระองค์ก็ทรงกำจัดความมืดทั้งปวง ทรงสางความรกชัฏเป็นอันมาก แล้ว ทรงยังน้ำอมฤตให้ตก ช่วยให้มนุษย์พร้อมด้วยเทวดาได้ดื่ม จนสำราญ เมื่อพระองค์ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ เดือน ผุสสนักขัตมงคล
 
                        ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้แก่สัตว์แปดโกฏิ ครั้งที่ ๒ เก้าโกฏิ ครั้งที่ ๓ แปดโกฏิ พระปุสสบรมศาสดา
                        ทรง มีการประชุมพระภิกษุขีณาสพผู้ปราศจากมลทิน ผู้มีจิตระงับ ผู้คงที่ ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๑ พระภิกษุขีณาสพผู้หลุดพ้นเพราะไม่ถือมั่น ผู้ตัด ธรรมเครื่องสืบต่อขาด มาประชุมกันหกโกฏิ ครั้งที่ ๒ ห้าโกฏิ ครั้งที่ ๓ สี่โกฏิ
                        สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่าวิชิต ละทิ้ง ราชสมบัติเป็นอันมากแล้วออกผนวช ในสำนักของพระองค์
                        แม้ พระปุสสพุทธเจ้าผู้เป็นนายกชั้นเลิศของโลกพระองค์นั้น ก็ทรง พยากรณ์เราว่า ในกัปที่ ๙๒ แต่กัปนี้ ผู้นี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้า ในโลก ....... ข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉะนั้น เราได้ฟังพระพุทธพยากรณ์
                        แม้นั้นแล้ว ก็ยังจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง ได้อธิษฐานวัตรในการ บำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการยิ่งขึ้น เราเล่าเรียนพระสูตรและพระวินัย อันเป็นนวังคสัตถุศาสน์จบทุกอย่างแล้ว ยังพระศาสนาของ พระชินเจ้าให้งาม
                        เราเป็นผู้ไม่ประมาทในคำสั่งสอนนั้น เจริญพรหม วิหารภาวนา ถึงความสำเร็จในอภิญญาแล้ว ได้ไปยังพรหมโลก
                        พระนครชื่อว่ากาสิกะ พระบรมกษัตริย์พระนามว่าชยเสนะ เป็น พระชนกของพระปุสสศาสดา พระนางสิริมา เป็นพระชนนี พระองค์ ทรงครอบครองอาคารสถานอยู่เก้าพันปี
                        ทรงมีปราสาทอันประเสริฐ ๓ ปราสาท ชื่อว่าคุฬะ หังสะ และสุวรรณดารา มีพระสนมนารีกำนัล ในสองหมื่นสามพันนาง ล้วนประดับประดาสวยงาม พระมเหสี พระนามว่ากีสาโคตมี พระราชโอรสพระนามว่าอานันทะ
                        พระองค์ ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ จึงเสด็จออกผนวชด้วยคชสารราชยาน ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๗ วัน พระปุสสมหาวีรเจ้าผู้เป็นนายกชั้นเลิศ ของโลก อุดมกว่านรชน อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
                        ทรงประกาศ พระธรรมจักร ณ มฤคทายวัน ทรงมีพระสุรักขิตเถระและพระธรรม เสนเถระ เป็นพระอัครสาวก พระเถระชื่อสภิยะ เป็นพระพุทธ อุปัฏฐาก พระจาลาเถรีและพระอุปจาลาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา
                        ไม้ โพธิพฤกษ์เรียกกันว่าไม้มะขามป้อม อนัญชยอุบาสกและวิสาขอุบาสก เป็นอัครอุปัฏฐาก ปทุมาอุบาสิกาและสิรินาคาอุบาสิกา เป็นอัครอุปัฏฐายิกา
                        พระมุนีพระองค์นั้นมีพระองค์สูง ๕๘ ศอก ทรงงาม สง่าดังพระอาทิตย์ เหมือนพระจันทร์เต็มดวง ฉะนั้น ในกาลนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุเก้าหมื่นปี พระองค์ทรงดำรงพระชนมายุอยู่ เพียงนั้น ทรงช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นวัฏฏสงสารได้มากมาย
                        พระศาสดาผู้มีพระยศไม่มีเทียมพระองค์นั้น ตรัสสอนสัตว์เป็น อันมาก ทรงช่วยให้ประชาชนมากมายข้ามไปแล้ว พระองค์ เสด็จนิพพานพร้อมด้วยพระสาวก พระปุสสชินศาสดาผู้ประเสริฐ เสด็จนิพพาน ณ เสนาราม พระธาตุของพระองค์แผ่ไพศาลไปใน ประเทศนั้นฉะนี้แล.
 จบปุสสพุทธวงศ์ที่ ๑๘

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก ติสสพุทธวงศ์ที่ ๑๗ ว่าด้วยพระประวัติพระติสสพุทธเจ้า

ติสสพุทธวงศ์ที่ ๑๗ ว่าด้วยพระประวัติพระติสสพุทธเจ้า
 [๑๘] ในกัปต่อมาจากพระสิทธัตถพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าพระนามว่าติสสะ ผู้ไม่มีบุคคลเปรียบเสมอ มีศีลไม่มีที่สุด ทรงยศนับมิได้ เป็นนายก ชั้นเลิศของโลก พระมหาวีรเจ้าผู้มีพระจักษุ ผู้ทรงอนุเคราะห์ เสด็จ อุบัติขึ้นในโลก กำจัดความมืดมน ฉายพระรัศมีให้มนุษยโลกพร้อม ทั้งเทวโลกสว่างไสว
 
                        แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็ทรงมีฤทธิ์ ศีล และสมาธิ ไม่มีสิ่งอื่นเทียมถึง ทรงบรรลุถึงความสำเร็จในธรรม ทั้งปวงแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร พระองค์ทรงแสดงธรรม สั่งสอนถึงความบริสุทธิ์ไปในหมื่นโลกธาตุ
                        ในพระธรรมเทศนาครั้ง ที่ ๑ สัตว์ได้ตรัสรู้ร้อยโกฏิ ครั้งที่ ๒ เก้าสิบโกฏิ ครั้งที่ ๓ หกสิบ โกฏิ ครั้งนั้น พระองค์ทรงเปลื้องมนุษย์และเทวดาที่มาประชุมกัน ให้หลุดพ้นจากกิเลสเครื่องผูก
                        พระองค์ทรงมีการประชุมพระภิกษุ ขีณาสพ ผู้ปราศจากมลทิน ผู้มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ ๓ ครั้ง
                        ครั้งที่ ๑ พระภิกษุขีณาสพผู้ปราศจากมลทิน ผู้บานแล้วด้วยวิมุติ มาประชุม กันหนึ่งแสน
                        ครั้งที่ ๒ เก้าโกฏิ
                        ครั้งที่ ๓ แปดโกฏิ
                        สมัยนั้น เราเป็นพระมหากษัตริย์พระนามว่าสุชาต ละทิ้งโภคสมบัติเป็น อันมากแล้ว ออกบวชเป็นฤาษี เมื่อเราบวชแล้ว พระพุทธเจ้าผู้เป็น นายกของโลกจึงเสด็จอุบัติ เพราะได้ฟังเสียงว่าพุทโธ ปีติจึงเกิดแก่ เรา เราผู้กำจัดมานะแล้ว เอามือทั้งสองประคองดอกมณฑารพ ดอก ปทุม และดอกปาริชาต เข้าไปเฝ้า
                        เราเอาดอกไม้นั้นถือกั้นเป็นร่ม ให้พระติสสชินเจ้า ผู้แวดล้อมด้วยพระรัศมีอันปรากฏ ผู้เป็นนายก ชั้นเลิศของโลก ในกาลนั้น แม้พระองค์ก็ประทับนั่งท่ามกลาง ประชุมชน ทรงพยากรณ์เราว่า ในกัปที่ ๙๒ แต่กัปนี้ ผู้นี้จักได้ เป็นพระพุทธเจ้าในโลก ........................... ข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉะนั้น เราได้ฟังพระพุทธพยากรณ์แม้นั้นแล้วยัง จิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง ได้อธิษฐานวัตรในการบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการยิ่งขึ้น
                        พระนครชื่อว่าเขมกะ พระบรมกษัตริย์พระนามว่า ชนสันทะ เป็นพระชนกของพระติสสศาสดา พระนางปทุมา เป็น พระชนนี พระองค์ทรงครอบครองอาคารสถานอยู่เจ็ดพันปี
                        ทรงมี ปราสาทอันประเสริฐ ๓ ปราสาท ชื่อคุณเสลา นาทิยะ และนิสภะ ทรงมีพระสนมนารีกำนัลในสามหมื่นนาง ล้วนประดับประดาสวยงาม พระมเหสีพระนามว่าสุภัททา พระราชโอรสพระนามว่าอานันทะ
                        พระพิชิตมารทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ จึงเสด็จออกผนวชด้วย อัสวราชยาน ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ครึ่งเดือนเต็ม พระติสสมหาวีรเจ้า ผู้เป็นนายกชั้นเลิศของโลก อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว
                        ทรงประกาศ พระธรรมจักร ที่ยสวดีทายวันอันประเสริฐ ทรงมีพระพรหมเทว เถระและพระอุทยเถระ เป็นพระอัครสาวก พระเถระชื่อว่าสมคะ เป็น พระพุทธอุปัฏฐาก พระผุสสาเถรีและพระสุทัตตาเถรี เป็นพระอัคร สาวิกา
                        ไม้โพธิพฤกษ์ของพระองค์เรียกชื่อว่าไม้ประดู่ สัมพล อุบาสกและศิริอุบาสก เป็นอัครอุปัฏฐาก กิสาโคตมีอุบาสิกาและ อุปเสนาอุบาสิกา เป็นอัครอุปัฏฐายิกา
                        แม้พระพุทธชินเจ้าพระองค์ นั้น ก็มีพระองค์สูง ๖๐ ศอก ไม่มีผู้เปรียบ ไม่มีผู้เสมอเหมือน ทรงปรากฏดังขุนเขาหิมวันต์ แม้พระองค์ผู้มีเดชหาเทียบเคียงมิได้ มีพระจักษุ ทรงมีพระชนมายุมาก ดำรงอยู่ในโลกแสนปี พระองค์ ทรงเสวยพระยศใหญ่ อุดม ประเสริฐสุด ทรงรุ่งเรืองดังกองไฟ
                        เสด็จนิพพานพร้อมด้วยพระสาวก พระองค์เสด็จนิพพานพร้อมด้วย พระสาวกดังเมฆหายไปเพราะลม น้ำค้างหายไปเพราะพระอาทิตย์ ความมืดหายไปเพราะแสงไฟ ฉะนั้น พระติสสพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ เสด็จนิพพาน ณ นันทาราม พระสถูปอันประเสริฐของพระองค์ สูง ๓ โยชน์ ประดิษฐานอยู่ที่นันทารามนั้น ฉะนี้แล.
 จบติสสพุทธวงศ์ที่ ๑๗