Translate

28 มิถุนายน 2568

[เล่ม 3] ตอนที่ 55 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๗๗)
 ฝ่ายปีศาจใต้อ๋องทั้งสาม รบกับเห้งเจียพี่น้องทั้งสามอยู่ที่นอกกำแพงเมืองข้างทิศตะวันออกที่กลางหว่างเขาอยู่หลายชั่วโมง จนเวลาจวนเย็นก็บังเกิดหมอกกลุ้มสักประเดี๋ยวก็มืดค่ำ โป๊ยก่ายรอรบไม่อยู่ก็ถอดคราดออกหนี ปีศาจที่หนึ่งไล่ตามอ้าปากคาบจับตัวได้พาเข้าไปในเมือง เรียกพวกบริวารเอาเชือกมามัดโป๊ยก่ายไว้ที่ใต้ถุนปราสาทกิมล่วนเต้ย แล้วก็เหาะกลับออกมาช่วย ซัวเจ๋งเห็นท่าจะเสียทีก็แกว่งตะบองถอยหลังหนี ปีศาจที่สองสยาย งวงจับซัวเจ๋งเข้าไปไว้ในเมืองมัดผูกไว้ที่เดียวกับโป๊ยก่ายแล้ว ก็กลับออกมาอยู่บนอากาศ ร้องว่าจับตัวเห้งเจียให้ได้
   ​เห้งเจียเห็นปีศาจจับน้องไปทั้งสองคนแล้ว แต่ลำพังผู้เดียวเห็นว่าจะต่อสู้มิได้ ก็ตีลังกาหกขะเมนหนีไป ปีศาจที่สามเห็นเห้งเจียหนีไปแล้ว ปีศาจก็กลับเป็นรูปเดิมคลี่ปีกออกโผบิน ในข้อนี้เห้งเจียตีลังกาทีหนึ่งสิบหมื่นแปดพันโยชน์ แต่ปีศาจกระพือปีกทีหนึ่งก็ไปไกลกว่าเห้งเจีย ครั้นปีศาจไล่มาทันก็เอาเท้าเฉี่ยวเห้งเจียเข้าอยู่ในอุ้มเท้าจะดิ้นรนก็ไม่ไหว ปีศาจก็บินกลับมาเมือง ครั้นถึงก็ปล่อยลงกับพื้น ให้ปีศาจเอาเชือกมามัดผูกไว้ที่เดียวกันกับโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ปีศาจก็ผลักพระถังซัมจั๋งลงจากแท่น ตัวก็ขึ้นนั่งบนแท่นแสงไฟสว่าง พระถังซัมจั๋งแลเห็นสานุศิษย์ถูกมัดอยู่กับพื้น จึงหันหน้ามาหาเห้งเจียร้องไห้แล้วพูดว่า เมื่อเวลาพบปะภัยร้ายทุกครั้ง เห้งเจียอยู่ข้างนอกได้ช่วยแก้ไข วันนี้เห้งเจียมาต้องผูกมัดเสียดังนี้ ทำอย่างไรอาตมาจะพ้นอันตรายเล่า โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งเห็นอาจารย์ร้องไห้และเสียใจดังนั้น ก็พากันร้องไห้เสียงโฮ ๆ ทั้งสองคน แต่เห้งเจียหาร้องไห้ไม่กลับหัวเราะแล้วพูดว่า อาจารย์จงวางใจเถิด พี่น้องอย่าร้องไห้ไปทำไม ตามแต่มันจะทำอย่างไรก็ชั่งมัน เป็นอันขาดมิให้มันทำร้ายได้
   อาจารย์กับศิษย์กำลังพูดกันอยู่ ก็ได้ยินปีศาจใหญ่พูดสรรเสริญปีศาจที่สามว่า น้องเรามีสติปัญญาคิดอุบายสำเร็จได้ เป็นอย่างยิ่งหาที่เปรียบมิได้ เวลานี้ก็จับพระถังซัมจั๋งได้แล้ว จึงสั่งปีศาจบริวารให้ตั้งเตาต้มน้ำร้อน​ขึ้นไว้แล้วเอาลังถึงเหล็กมาจะได้จับอาจารย์กับศิษย์ทั้งสี่คนใส่เข้าไปในลังถึง แล้วเอาขึ้นตั้งบนกะทะนึ่งให้สุก พวกเราพี่น้องจะกินเล่นให้สบายใจ แล้วแจกให้พวกเจ้ากินกันคนละก้อนอายุจะได้ยืนยาว ปีศาจบริวารได้ฟังนายสั่งดังนั้น ก็วุ่นวายจัดแจงสักประเดี๋ยวก็แล้วเสร็จ ใต้อ๋องก็สั่งให้จับอาจารย์กับศิษย์ลำดับลงไป โป๊ยก่ายอยู่ชั้นล่าง ซังเจ๋งอยู่ชั้นถัดขึ้นมา แล้วหามเห้งเจียใส่ลงชั้นที่สาม แต่มิใช่เห้งเจียจริงเป็นรูปที่เห้งเจียปลอมถอนขนแปลงแทนไว้ ส่วนเห้งเจียจริงนั้น เหาะขึ้นคอยดูอยู่บนอากาศแล้ว พวกปีศาจหามพระถังซัมจั๋งใส่ลงไว้ชั้นบนที่สุด แล้วพวกปีศาจก็เอาไฟใส่ติดฟืนขึ้น
   เห้งเจียอยู่บนอากาศ คิดว่าโป๊ยก่ายซัวเจ๋งทนได้สองเดือดอาจารย์ทนได้เดือดเดียว ก็จะสุกไม่มีชิ้น แม้เราไม่เอาธรรมอันวิเศษล้อมเสีย ประเดี่ยวก็จะสิ้นชีวิต คิดแล้วเห้งเจียก็ร่ายพระคาถาเรียกพระยาเล่งอ๋องมาในทันใดนั้น พระยาเล่งอ๋องถามว่าท่านใต้เซียมีกิจร้อนอะไรหรือ เห้งเจียตอบว่า ไม่มีกิจธุระร้อนรนจะกล้ากวนท่านหรือ ด้วยบัดนี้พวกปีศาจยักษ์มันจับอาจารย์ข้าพเจ้าใส่ลังถึงติดไฟนึ่ง ขอท่านช่วยอย่าให้มันนึ่งได้ พระยาเล่งอ๋องได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้น ก็แปลงเป็นสายลมเป่าลงไปที่กะทะ และเป่าล้อมรอบในกะทะ ไอร้อนก็ไม่มีถึงคนทั้งสาม จึงรอดชีวิตอยู่ได้ทั้งสามคน
   เวลานั้นก็เข้ายามสาม ปีศาจที่หนึ่งร้องบอกปีศาจทั้งหลายว่า วันนี้เราคิดอุบายก็เหน็ดเหนื่อย จับได้อาจารย์และศิษย์สามคนมามัดใส่​ในลังถึงจะหลบหนีต่อไปไม่ได้แล้ว พวกเจ้าสิบคนเอาใจใส่ระไวระวังช่วยกันดูแลผลัดเปลี่ยนใส่ไฟ เราจะพากันไปพักหลับสักงีบหนึ่ง ถ้าถึงเวลาจวนแจ้งเนื้อนั้นสุก จึงให้เอาน้ำส้ม น้ำมะนาว เกลือ กระเทียม มาสำรองไว้เราตื่นขึ้นท้องเปล่าจะได้กินให้ชูกำลัง พวกปีศาจบริวารก็กระทำตามนายสั่งทุก ๆ คน ปีศาจใต้อ๋องทั้งสามก็พากันไปนอน
   ฝ่ายเห้งเจียอยู่บนเมฆแลเห็นปีศาจเข้านอนแล้ว ก็ลดลงยังพื้นไม่ได้ยินเสียงในลังถึงเห็นเงียบอยู่ เห้งเจียคิดว่าจะตายเสียแล้วดอกกระมัง จึงแปลงกายเป็นแมลงวันบินมาจับที่ข้างลังถึงฟังดู ก็ได้ยินเสียงโป๊ยก่ายพูดว่า อึดอัดจริงๆ ไม่รู้ว่ามันจะนึ่งอบไอหรือนึ่งปิดไอก็ไม่รู้ ซัวเจ๋งร้องถามว่า ซึ่งอบไอเปิดไอนั้นอย่างไรไม่เข้าใจ โป๊ยก่ายบอกว่านึ่งอบไอนั้นปิดฝาข้างบน เปิดไอนั้นนึ่งไม่ปิดฝา พระถังซัมจั๋งอยู่ข้างบนร้องบอกว่าไม่ปิดฝาดอก โป๊ยก่ายว่าดีแล้วคืนวันนี้คงยังไม่ตาย เห้งเจียได้ยินคนสามคนพูดกันอยู่ในนั้นก็รู้แน่ว่ายังไม่ตาย จึงเอื้อมไปหยิบฝาลังถึงมาค่อย ๆ ปิดลง พระถังซัมจั๋งตกใจร้องบอกว่าฝาปิดเสียแล้ว โป๊ยก่ายว่าเสร็จมันจะต้องตายในคืนวันนี้เอง ซัวเจ๋งกับพระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็พากันร้องไห้สะอึกสะอื้น โป๊ยก่ายว่าอย่าร้องไปเลย ใส่ไฟคราวนี้ก็จะเปลี่ยนใหม่ ซัวเจ๋งถามว่าทำไมพี่จึงรู้เล่า 
   โป๊ยก่ายบอกว่า เมื่อแรกใส่เราเข้าในนี้เราก็นึกดีใจ ด้วยว่าเรามีโรคเหน็บชา ไอนั้นก็ร้อนพลุ่งขึ้นเดี๋ยวนี้กลับมีไอเย็นพลุ่งขึ้น พวกปีศาจเติมฟืนใส่ไฟเข้าก็กลับให้มีไอเย็นเกิดขึ้น อาจารย์กับซัวเจ๋งไม่เป็นไร เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูด นึกหัว​เราะในใจว่า อ้ายกินรำมันกลับเห็นไปอย่างนั้นได้ เย็นกลับว่าไม่ดี ร้อนจะล้างชีวิตกลับว่าดีทำไมมันจึงกลับเห็นไปอย่างนั้นเล่า ประเดี๋ยวลมก็จะสิ้นต้องรีบแก้ออกเสียจึงจะได้ ถ้าเราจะเข้าแก้ก็จำจะกลับเป็นรูปเดิม แลจะต้องทำลายพวกสิบคนนั้นเสีย ก็จะอึกทึกวุ่นวายขึ้นรู้ถึงปีศาจใต้อ๋องก็จะมิเสียการไปหรือ อย่าเลยเราจำจะต้องทำให้อ้ายพวกสิบคนนี้มันนอนหลับเสียแล้วจึงจะดี คิดแล้วก็คลำจับเอาตัวหาวนอนออกมาสิบตัวขว้างไปเข้าหน้าพวกที่เฝ้าไฟทั้งสิบคนคนละตัว หนอนหาวนอนก็แทรกเข้าไปในรูจมูก พวกนั้นก็พากันนอนหลับไม่รู้สึก
   เห้งเจียจึงกลับเป็นรูปเดิมเข้าแอบลังถึงเรียกพระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งได้ยินเห้งเจียเรียก จึงร้องว่าเห้งเจียช่วยอาตมาด้วย ซัวเจ๋งว่าพี่พูดอยู่ข้างนอกหรือ เห้งเจียว่าไม่ได้อยู่ข้างนอก พี่ติดอยู่ด้วยกันในลังถึงนี้เอง โป๊ยก่ายว่าจะทำอย่างไรก็ทำไป ไว้พวกเราให้ทนทุกข์อึดอัดอยู่อย่างนี้หรือ เห้งเจียหัวเราะแล้วบอกว่าอย่าอื้ออึงไปเราจะช่วยแก้ให้ออกได้ เห้งเจียก็เปิดลังถึงรับอาจารย์ออกแก้มัด แล้วก็เรียกรูปปลอมกลับเป็นขนเข้าตัว แล้วชั้นสามชั้นสี่เอาโป๊ยก่ายซัวเจ๋งออกแก้มัด โป๊ยก่ายออกได้จะวิ่งหนี เห้งเจียบอกว่าอย่าวุ่นไป เห้งเจียก็เรียกคาถาคืนปล่อยพระยาเล่งอ๋องกลับไป จึงค้นหาข้าวของได้มารวบรวมไว้พร้อมแล้ว จึงให้พระอาจารย์ขึ้นม้า โป้ยก่ายซัวเจ๋งเดินตามหลังเห้งเจียออกหน้านำทางไป ลัดออกประตูข้างทิศตะวันออก ก็ได้ยินเสียงพวกประตูนั่งยามตีเกราะมีคนเฝ้ากวดขันแข็งแรง ทำอย่างไรจึงจะออกไปได้ ​ก็พากันหันกลับเดินออกมาทางประตูหลัง ก็มีพวกปีศาจนั่งยามตามไฟเฝ้าอยู่โดยกวดขัน
   เห้งเจียคร่ำครวญอยู่อย่างนั้น แล้วตรึกตรองโดยลำพังในใจตนว่า ซึ่งการทั้งนี้ความผิดก็เพราะพระยูไลเจ้า ท่านนั่งอยู่ที่เมืองประเทศไซทีนั้นไม่มีการอะไรแล้ว หากจะให้พระไตรปิฎกเป็นกุศลแพร่หลายทั่วไปนั้น ควรจะส่งขึ้นมาถึงประเทศจีนเมืองใต้ถัง ทำไมกุศลจะไม่แพร่หลายไปหรือ แต่ยังให้มาไม่ได้ แกล้งให้พวกเราไปอาราธนาให้ได้ความลำบากต้องข้ามห้วยข้ามเขาดังนี้ บัดนี้มาถึงที่นี้ก็มาทิ้ง​ชีวิตเสียดังนี้ อย่ากระนั้นเลยเราจะต้องไปหาพระยูไลเจ้า กราบทูลถามให้ท่านรู้ซึ่งเหตุการณ์นั้น หากยอมให้พระไตรปิฎกแก่เรานำไปเมืองใต้ถังปกแผ่ซึ่งผลบุญนั้นให้ทั่วไป เพื่อให้บุคคลมีศรัทธายิ่งขึ้น ส่วนพวกเราขอให้สำเร็จซึ่งความปราถนา แม้พระองค์ไม่โปรดให้แก่เรา ก็จะทูลให้พระองค์ถอนมงคลบนศรีษะเราออกเสีย เราจะได้กลับไปยังถ้ำเดิมของเรา
   คิดแล้วก็เหาะไปเมืองไซที ชั่วโมงเดียวก็แลเห็นเขาเล่งซัว บัดเดี๋ยวก็มาถึงจึงลดลงยังพื้นเดินเข้าไปข้างชายเขา เงยหน้าขึ้นก็พบปะเจ้ากิมกังทั้งสี่ขวางหน้าไว้ ถามว่าจะไปข้างไหน เห้งเจียย่อตัวคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้ามีกิจธุระจะขอเข้าไปเฝ้าพระยูไล เจ้ากิมกังตวาดว่าอ้ายลิงช่างอยาบคาย เมื่อครั้งก่อนถูกงู่ม่ออ๋องเราพากันไปช่วย วันนี้มาพบหน้าก็ไม่เคารพนบนอบ มีธุระก็ต้องกราบทูลก่อนมีรับสั่งให้เข้าไปจึงเข้าไปเฝ้า ที่นี่ไม่เหมือนประตูน่ำทีหมึงบนสวรรค์ ให้ตัวเข้าออกเดินตามสบายได้ เห้งเจียเป็นเวลากำลังเศร้าหมองทุกข์โทมนัส ก็มาปะซึ่งความขัดข้องเข้าดังนั้น มีความแค้นร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังดุจฟ้าผ่า ไม่หยุดเสียงจนได้ยินถึงพระพุทธเจ้า โปรดให้พระอรหันต์ออกมานำเห้งเจียเฃ้าไปเฝ้า เห้งเจียเดินตามพระอรหันต์เข้าไป แลเห็นพระพุทธองค์ก็ลดลงถวายนมัสการกราบลงยังพื้นแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น
   สมเด็จพระเซกเกียมองนิฮุดโจ๊ จึงตรัสถามว่าหงอคงมีกิจ​ธุระอะไรหรือ เห้งเจียจึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้าก็ได้อาศัยปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ตั้งแต่เข้าทางสัมมาทิฐิมา รักษาอาจารย์ถังซัมจั๋งมาตามทางได้รับความยากความลำบากทนทุกข์เวทนาไม่มีที่สุดอันจะพรรณาได้ บัดนี้มาถึงเขาไซท่อซัวเมืองไซท่อก๊ก มีปีศาจยักษ์ร้ายจับเอาพระอาจารย์ไปกินเสียทั้งเป็นแล้ว แต่กระดูกก็มิได้เห็น โป๊ยก่ายซัวเจ๋งยังต้องมัดทรมานอยู่ที่นั่น ไม่ช้านักก็จะสิ้นชีวิต เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้มากราบทูล เพื่อพระองค์ทรงทราบ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดถอนมงคลบนศรีษะข้าพเจ้าออกเสียเถิด ข้าพเจ้าขอถวายคืนและขอทูลลากลับไปอยู่ยังถ้ำเดิมของข้าพเจ้า เพราะไม่สำเร็จซึ่งความมุ่งหมายแล้ว เห้งเจียทูลพลางร้องไห้พลาง สมเด็จพระพุทธเจ้าเห็นดังนั้นก็แย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า เห้งเจียได้ความเศร้าโศกเพราะปีศาจมันมีฤทธาอานุภาพมาก สู้มันไม่ได้หรือจึงมีความโทมนัส น้อยใจถึงเพียงนี้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็เอามือทุบศรีษะและอกของตน ร้องไห้แล้วทูลว่า ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยจะยอมแพ้ผู้ใด วันนี้มาถูกมือปีศาจร้ายก็เป็นที่เสียใจมาก 
   พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนว่า เห้งเจียจงระงับดับความโทมนัสเสียเถิด ปีศาจนั้นตถาคตรู้จักจำได้ เห้งเจียได้ฟังพระตรัสดังนั้นจึงทูลถามว่า ข้าพเจ้าได้ยินเขาเล่าลือกันว่า ปีศาจนั้นเกี่ยวข้องเป็นพระญาติวงศ์ของพระองค์หรือ พระยูไลตรัสว่าเจ้าพูดเลอะเทอะ ปีศาจมารร้ายจะมาเปนญาติวงศ์อะไรแก่ตถาคตเล่า เห้งเจียทูลถามว่ามิใช่ญาติวงศ์​ของพระองค์แล้ว เหตุใดพระองค์จึงตรัสว่าจำได้เล่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตถาคตเล็งญาณด้วยทิพยจักษุจึงเห็นได้ ปีศาจที่หนึ่งที่สองที่สามนั้นมีเจ้าของ ตรัสแล้วก็ชี้พระหัตถ์ตรงพระกัสสปะกับพระอานนท์ให้ไปยังเขางอมี่ซัว กับที่เขาเง่าท้ายซัวเชิญพระโพธิสัตว์บุนซู้พระเพ้าเฮี้ยนทั้งสองนั้นให้มานี่ พระกัสสปะ พระอานนท์รับสั่งแล้วก็ออกจากอารามใหญ่แยกกันไป พระพุทธองค์จึงตรัสว่าพระโพธิสัตว์บุนซู้ พระเพ้าเฮี้ยนนั้นเป็นเจ้าของ แต่ปีศาจที่สามมีความเกี่ยวข้องแก่ตถาคตอยู่บ้าง เห้งเจียทูลถามว่ามีความขัดข้องอย่างไรขอได้โปรดให้ข้าพเจ้าทราบด้วย
   สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เมื่อครั้งคราวเดิมเมื่อจะมีฟ้าดิน และมีกำเนิดเกิดสัตว์ทั้งหลาย และมีพวกบินพวกเหาะสองสัตว์ สัตว์เหาะก็คือราชสีห์เป็นใหญ่ สัตว์บินก็คือหงส์เป็นพระยาสัตว์ในพวกมีปีก พระยาหงส์ร่วมรักกันจึงได้เกิดเป็นนกยุงและอินทรีสองอย่างร้ายกาจกินมนุษย์ ประมาณคนยืนเต็มในระยะที่สี่สิบห้าโยชน์ ฉกทีเดียวกลืนเข้าไปในท้องหมดไม่เหลือ เมื่อเวลาตะถาคตได้สำเร็จแก่พระโพธิญาณ นกอินทรีได้กลืนตะถาคตเข้าไปในท้อง แต่ตถาคตทะลุขึ้นทางหลังจับขี่กลับไปยังเขาเล่งซัวจะใคร่ลงโทษ พระพุทธเจ้าทั้งหลายขอร้องว่าฆ่าพระยานกยุงก็ดุจฆ่าพระพุทธมารดา เพราะฉะนั้นจึงให้อยู่ที่เขาเล่งซัวนี้ จึงให้นามว่าฮุดโบ๊จงเชี้ยใต้เม่งอ๋องโพ่ซัว อันพระยาอินทรีนั้น คือแม่เดียวกับพระยาหงส์ เพราะฉะนั้นตถาคตจึงมีความเกี่ยวข้องอยู่บ้าง
   ​เห้งเจียหัวเราะแล้วทูลว่า พระองค์ตรัสดังนั้นหากคิดดูพระองค์ก็เป็นหลานของสัตว์ปีศาจที่สามนั้น พระพุทธเจ้าตรัสวา ปีศาจยักษ์นั้นต้องตถาคตไปเองจึงจะจับได้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็กราบลงกับพื้นนิมนต์พระองค์เสด็จ พระพุทธเจ้าก็เสด็จลงจากแท่น พร้อมด้วยพระอรหันต์ และสาวกทั้งหลายออกจากพระอาราม ก็แลเห็นพระอานนท์ กับพระกัสสปะพาพระโพธิสัตว์บุนซู้ พระเพ้าเฮี้ยนทั้งสองมาถึงนมัสการพระพุทธเจ้าจึงตรัสถามว่า สัตว์ของโพธิสัตว์นั้นหนีลงไปเมื่อเวลาใด พระบุนซู้กราบทูลว่าลงไปได้เจ็ดวันแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า ในเขาเจ็ดวันในมนุษย์โลกก็หลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าจะฆ่ามนุษย์เสียสักเท่าใดแล้ว จึงรีบตามตถาคตไปรับมาเสียเถิด พระโพธิสัตว์ทั้งสามก็ตามพระองค์มาในทางอากาศ บัดเดี๋ยวก็ถึงกำแพงเมือง เห้งเจียเอามือชี้ว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบที่มีอากาศดำพุ่งขึ้นนั้น คือเมืองไซท่อก๊ก พระพุทธเจ้าจึงให้เห้งเจียไปก่อนท้าให้ปีศาจออกมารบ แต่อย่าเอาชนะให้ทำแพ้หนีมา ตถาคตจะจับเอง
   เห้งเจียได้ฟังพระตรัสสั่งดังนั้น ก็รีบเหาะเข้าไปยังปราสาทกิมหลวนเต้ย ร้องด่าว่าอ้ายเดรัจฉานมึงจงรีบออกมารบกันกับกู พวกปีศาจเฝ้าประตูได้ยินก็เข้าไปบอกปีศาจใต้อ๋อง ปีศาจทั้งสามก็จับอาวุธรีบออกมา แลเห็นเห้งเจียก็มิได้ถามว่ากระไร ตรงเข้าฟันแทงเห้งเจีย ๆ ก็แกว่งตะบองเข้าต่อสู้ได้เจ็ดแปดเพลง เห้งเจียก็แกล้ง​ทำถอยหนีไปอยู่บนอากาศ เข้าไปแอบบังเงาพระพุทธเจ้า ๆ ทั้งหลายกับพระอรหันต์โอบล้อมปีศาจทั้งสามอยู่ท่ามกลาง ปีศาจที่หนึ่งแลเห็นก็ตกใจร้องบอกน้องทั้งสองว่าเห็นจะเสียทีแล้ว ปีศาจที่สามพูดว่าพี่อย่าวิตก เราพร้อมกันเข้าเอาอาวุธแทงพระยูไลเสียแล้วไปชิงเอาวัดลุ่ยอิมยี่ก็จะตกอยู่ในมือเรา ปีศาจที่หนึ่งมิได้ว่าดีชั่วประการใดพากันเอาอาวุธเข้าแทงถูกพระโพธิสัตว์บุนซู้ ๆ ร่ายพระคาถาตวาดร้องเรียกว่าอ้ายเดรัจฉานยังไม่กลับใจจะคอยเมื่อไรอีกเล่า ปีศาจที่หนึ่งที่สองก็ตกประหม่าครั่นคร้ามไม่อาจทำวุ่นวาย โยนทิ้งเครื่องมือหมุนกลับ
   ทีหนึ่งก็กลายเป็นรูปเดิม คือเป็นราชสีห์เขียวตัวหนึ่ง ช้างเผือกตัวหนึ่ง พระบุนซู้ พระเพ้าเฮี้ยก็เอาดอกบัวติดบนหลังปีศาจก็ขึ้นนั่งองค์ละตัว ปีศาจทั้งสองก็ระงับจิตสงบลง ฝ่ายปีศาจที่สามยังไม่ยอมทิ้งอาวุธ ขยายปีกบินขึ้นสูงจะโฉบเฉี่ยวเห้งเจีย ๆ แอบอยู่ในเงาของพระพุทธเจ้า ปีศาจไม่อาจเข้ามาใกล้พระพุทธเจ้า ๆ สำรวมจิตบันดาลที่พระเมาลีเป็นก้อนเนื้อสดก้อนหนึ่งปีศาจเห็นก็โฉบเฉี่ยวตะครุบก้อนเนื้อ พระพุทธเจ้าเอาพระหัตถ์จับเอ็นที่หัวปีกกระชากออกจนบินมิได้ ก็ร่อนลอยอยู่กลางอากาศจะไปไกลก็มิได้ก็กลายกลับเป็นรูปเดิมคือนกอินทรี จึงอ้าปากพูดว่าพระยูไลทำไมจึงใช้อภินิหารมาคุมขังข้าพเจ้าไว้ดังนี้เล่า พระยูไลตรัสว่า เจ้าอยู่ที่นี่จะกระทำกรรมเวรมากขึ้น จงรีบตามพระตถาคตไปจะได้ผลประโยชน์
   ปีศาจพูดว่าพระยูไลปฏิบัติรักษาศีลเป็นเครื่องกระยา​บวช ข้าพเจ้าอยู่ในที่ตำบลนี้กินเนื้อถึกไม่รู้ว่าเท่าใด พระยูไลจะพาไปให้ข้าพเจ้าอดตายจะมิเป็นเวรกรรมหรือ พระยูไลตรัสว่าทั้งสี่ทวีปย่อมนับถือตถาคตทั้งสิ้น แม้ว่าประพฤติความดีโดยชอบธรรมแล้ว ตถาคตจะให้คนทั้งหลายนั้นเอามากินก่อนให้พอปาก ฝ่ายปิศาจอินทรีจะใคร่ให้พ้นโทษไป ก็ไม่รู้แห่งที่จะทำประการใด ก็ต้องน้อมนมัสการตามพระยูไล เห้งเจียออกมานมัสการพูดว่าบัดนี้พระองค์ก็กำจัดปราบปีศาจร้ายได้สิ้นแล้ว ยังแต่อาจารย์นั้นหายไป ฝ่ายปีศาจเมื่อได้เห็นเห้งเจียก็กัดฟันพูดว่า อ้ายลิงมึงไปเที่ยวหาคนร้ายมาข่มเหงเรานี้ เราได้กินอาจารย์ของเอ็งเมื่อไร บัดนี้ยังอยู่ที่ตำหนักในหอเล็กลั่นกุญแจไว้ในตู้เหล็กไม่เชื่อเอ็งจงไปดู เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็รีบกราบลาพระยูไล พระยูไลก็กลับไปยังเดิม
   ฝ่ายเห้งเจียลดลงยังพื้นแล้วเดินเข้าไปในประตูเมือง เห็นพวกบริวารปีศาจดุจงูไม่มีศรีษะเดินไปไหนก็ไมได้ เพราะพระยูไลจับเอานายไปแล้วต่างก็หาที่หลบหลีกเอาตัวรอด เห้งเจียก็เข้าไปแก้โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งออก เที่ยวรวบรวมเก็บของและม้ามาได้แล้ว เห้งเจียบอกว่าอาจารย์ยังไม่ตายปีศาจยังมิได้กิน เจ้าทั้งสองจงตามพี่เข้าไปแก้อาจารย์ออก พูดแล้วก็พากันไปที่หอนั้น ตีกุญแจออกเห็นมีตู้เหล็กตั้งอยู่ได้ยินเสียงพระอาจารย์ร้องไห้อยู่ข้างใน ซัวเจ๋งเอาตะบองกระทุ้งตู้เปิดออกร้องเรียกว่าอาจารย์ พระถังซัมจั๋งเห็นก็ร้องไห้โฮใหญ่​เห้งเจียจึงเล่าให้อาจารย์ฟังทุกประการ
   พระถังซัมจั๋งก็ขอบคุณไม่รู้สิ้น อาจารย์กับศิษย์ก็พักหาอาหารกินอิ่ม แล้วก็พากันออกจากเมืองหมายปราจิณทิศเข้าทางใหญ่เดินไปตามระยะทาง
 
วีดีโอ ; The Monkey King Quest For The Sutra เห้งเจียจอมอิทธิฤทธิ์ 2002 ตอนที่ 3-24 พากย์ไทย

[เล่ม 3] ตอนที่ 54 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๗๖)
​ฝ่ายเห้งเจียอยู่ในท้องปีศาจทำรี ๆ ขวาง ๆ พักหนึ่ง ปีศาจก็ล้มกลิ้งอยู่กับพื้นสลบไปมิได้พูดจา พากันนึกว่าตายแล้ว ภายหลังกลับฟื้นขึ้นมาได้ร้องด้วยเสียงอันดังว่า ขอความกรุณาเถิดพระโพธิสัตว์ซีเทียนใต้เซีย เห้งเจียว่าเจ้าจงจำไว้อย่าทิ้ง จงระลึกสองสามตัวอักขระ คือเรียกว่า ตาซึงหงอคงเท่านั้น ปีศาจกลัวตายเสียดายชีวิตก็เรียกตามว่า ท่านตาหงอคง ข้าพเจ้าได้ผิดแล้ว เพราะกลืนท่านตาเข้าไป ไม่รู้เลยว่าจะกลับให้ร้ายอย่างนี้ ขอได้เมตตาอย่างสัตว์มดปลวกเถิด ขอยกชีวิตให้หลานสักครั้งหนึ่งเถิด หลานจะส่งอาจารย์ของท่านให้ข้ามพ้นไป เห้งเจียเป็นคนเมตตา เมื่อได้ฟังปีศาจร้องขอโทษดังนั้นก็มีใจอันอ่อน จึงตอบว่าตาจะยกโทษให้แก่เจ้า ๆ จะทำประการใดแก่อาจารย์
   ปีศาจใต้อ๋องบอกว่า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีแก้วแหวนเงินทองสิ่งใดที่จะส่งไปเป็นเสบียง มีพี่น้องสามคนจะเอาเกี้ยวมารับอาจารย์ของท่านขึ้นนั่งแล้วจะหามไปส่งให้ข้ามพ้นเขตเขานี้ไป เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า เอาเกี้ยวหามไปส่งอย่างนั้นก็ยิ่งกว่าเพชรนิลจินดา เจ้าจงอ้าปากออกให้กว้างตาจะได้ออกไป
   ปีศาจใต้อ๋องที่สามมากระซิบบอกว่า พี่อ้าปากคอยรอมันออกมาก็งับมันไว้เคี้ยวมันให้ละเอียดไป แล้วจึงกลืนเข้าไปในท้องจะมิดีหรือ เห้งเจียอยู่ในท้องได้ยินแล้วจึงเอาตะบองเหล็กแหย่ออกไปก่อน ปีศาจใต้อ๋องก็งับ​ปากลงเสียงดังฮวบทีหนึ่งหน้าฟันปีศาจก็หักกระเด็นออกไป เห้งเจียก็ชักตะบองกลับเข้าไปพูดว่าดีแล้วอ้ายมารร้าย เรายกชีวิตให้เจ้าเราจะออกไป เจ้ากลับคิดประทุษร้ายต่อเราดังนี้ กูไม่ออกไปแล้ว กูจะฆ่ามึงทั้งเป็นดังนี้จึงจะสมใจมึง ปีศาจใหญ่ได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธปีศาจที่สามว่า นี่ก็เพราะเจ้าเราได้เชิญเธอให้ออกมาแล้ว เจ้ามากระซิบสอนให้งับเธอ เดี๋ยวนี้เธอไม่ออกมาเจ้าจะคิดประการใด
   ฝ่ายปีศาจที่สามเห็นปีศาจที่หนึ่งโกรธเคืองดังนั้น แกล้งพูดกระทบเสียงดังว่า เฮ้ยอ้ายเห้งเจียเราได้ยินชื่อเจ้าดุจเสียงฟ้าลั่น ว่าเจ้าขึ้นไปบนสวรรค์น่ำทีหมึงแผ่อำนาจ และเข้าไปยังปราสาทเล่งเซียวเต้ยแผลงฤทธิ์เดช บัดนี้มาทางไซทีนี้กำจัดปีศาจมารร้าย เมื่อพิเคราะห์ดูก็เป็นการเล็กน้อยมิใช่เป็นคนเก่งกาจจริง เห้งเจียถามว่าทำไมเจ้าจึงเห็นว่าเราเป็นคนเล็กน้อย ปีศาจตอบว่า เพราะเจ้าไม่กล้าออกมา ถ้าเจ้าเป็นคนเก่งจริง ก็จงออกมาลองฝีมือกันเล่นให้เห็นจริงจึงจะควรเรียกว่าคนเก่งได้ ก็เมื่อเจ้าเข้าไปมุดซ่อนตัวอยู่ในท้องเขาดังนี้ จะไม่เรียกว่าเป็นคนเล็กน้อยจะเรียกว่าอะไรอีกเล่า
   เห้งเจียได้ฟังก็นึกว่าจริง ๆ ของมัน เวลานี้เราจะดึงไส้พุง ตับปอด มันให้ตายเสียก็ได้ แต่จะเสียชื่อเสียงของเราไป คิดดังนั้นแล้วจึงร้องบอกแก่ปีศาจว่า ถ้ากระนั้นเจ้าอ้าปากออกให้กว้างเราจะได้ออกไปลองฝีมือแก่พวกเจ้า ให้รู้สึกว่าใครจะเก่งสักปานได แต่ว่าที่ในถ้ำนี้คับแคบนักไม่พอที่เราจะออกฝีมือ จงออกนอกถ้ำไปหาที่กว้าง ๆ จึงจะดี ​ฝ่ายปีศาจที่สามได้ฟังดังนั้น ก็เรียกพลบริวารให้จัดเตรียมตัวถืออาวุธทุกๆ คน ยกออกไปหน้าถ้ำตั้งเป็นกระบวนรบคอยเห้งเจียออกมาจะได้ต่อสู้ ปีศาจที่สองก็เข้าพยุงปีศาจใหญ่ที่หนึ่งออกไปนอกถ้ำ พวกปีศาจครั้นตระเตรียมเสร็จแล้ว ปีศาจที่สามก็ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยเห้งเจียถ้าเก่งจริงแล้วจงรีบออกมาที่ตรงนี้กว้างขวางดีควรเป็นที่รบได้
   เห้งเจียอยู่ในท้องได้ยินเสียงไก่ขัน การ้องก็รู้ได้ว่าที่นี่เป็นที่กว้างขวางแน่ จึงคิดว่าถ้าเราจะไม่ออกไปก็จะเสียสัตย์ แม้เราออกไปถ้ามันเป็นปีศาจรูปคนก็เป็นการจริงใจ มันยังเป็นสัตว์เดรัจฉานกลับกลายได้ยากที่จะไว้ใจ อย่ากระนั้นเลยเราจะให้ได้ดีทั้งสองฝ่ายออกก็ออกไป แต่เราจะทำเป็นยึดไว้สักอย่างหนึ่ง คิดแล้วก็ถอนขนในตัวออกขนหนึ่ง แปลงเป็นเชือกเส้นยาวสี่สิบวา เอาหัวเชือกผูกหัวใจปีศาจทำเป็นเงื่อนรัดไว้เงื่อนหนึ่ง เงื่อนนั้นไม่กระชากก็ไม่รัด หากรัดก็รู้สึกเจ็บ เห้งเจียผูกเสร็จแล้วก็จับหัวเชือกไว้ข้างหนึ่ง หัวเราะว่าเราจะออกไปให้มันส่งอาจารย์เราไป หากมันไม่ส่งก็จะคิดรบพุ่งชิงชัย เราจะกระตุกเชือกกระชากดุจจะอยู่ในท้องเหมือนกัน คิดแล้วก็ไหวกายแปลงเป็นรูปเล็กลงคลานขึ้นไปอยู่ที่บนคอหอยแล้วออกมาดูเห็นปีศาจอ้าปากกว้างฟันมีคมดุจคมมีดก็ตรึกตรองว่าเห็นจะไม่ได้การ แม้เราจะออกไปทางปากจะกระตุกเชือกถ้ามันเจ็บมันก็จะหุบปากลงเชือกก็จะขาดไป จำเราจะหาช่องออกที่ไม่มีฟันจึงจะดี
   คิดแล้วก็คลานเลื่อนขึ้นไปที่สันจมูก ปีศาจก็​จามทีหนึ่งเห้งเจียก็กระเด็นออกมาจากจมูกปีศาจ เห้งเจียถูกลมเข้าก็กลับเป็นรูปเดิม มือหนึ่งถือตะบองมือหนึ่งถือเชือก ปีศาจทั้งสามเห็นเห้งเจียออกมาก็ไม่รอรั้งพากันตรงเข้าฟันแทงเห้งเจียไม่เลือกว่าที่ไหน เห้งเจียก็เหาะขึ้นกลางอากาศพ้นที่ล้อมแล้วก็ลดลงยังเขาที่ว่าง สองมือก็รั้งเชือกนั้น ปีศาจใต้อ๋องก็เจ็บปวด เอามือเข้าดึงเชือก เห้งเจียก็กระชากปีศาจก็หมุนดุจไม้ปั่นฝ้าย หกล้มลงกับพื้นดิ้นรนจนดินที่นั่นเป็นหลุมเป็นบ่อ ฝ่ายปีศาจที่สองที่สามเห็นดังนั้น ก็ลงไปจับยึดเชือกไว้คุกเข่าลงอ้อนวอนขอว่า ท่านใต้เซี้ยเขาพูดกันว่าท่านมีจิตกว้างขวางประกอบไปด้วยเมตตาไม่มีความอาฆาตแก่ผู้ผิด นับว่าท่านเป็นเซียนใหญ่ไม่รู้เลยว่าใจหนูจิตค้างคาวดังนี้ ท่านว่าออกมาจะสู้รบกันนนี่ทำไมจึงมาหลอกลวงกันเอาเชือกผูกหัวใจไว้อีกเล่า
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า มึงอ้ายพวกมารร้ายไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต แต่แรกล่อลวงให้เราออกมาแล้วจะงับเราและกัดเราแต่หากเรารู้เท่า ครั้งนี้หลอกให้เราออกมาจัดกระบวนตั้งหมื่นจะรบเราคนเดียว เองทำอย่างนี้ถูกต้องหรือ เราจะลากไปหาอาจารย์เรา เองจะว่ากระไรต่อไป พวกปีศาจกราบไหว้ร้องขอชีวิต ขอได้กรุณาข้าพเจ้าจะส่งอาจารย์ท่านให้ข้ามเขาไป เห้งเจียว่าถ้ากระนั้นเจ้าเอามีดมาตัดเชือกเอาเถิด ปีศาจว่าจะตัดข้างนอกข้างในยังติดอยู่กับหัวใจ ก็จะเจ็บปวดต่อไปอีก จะคิดอย่างไรดีเล่า ​เห้งเจียว่าดังนั้น ก็ให้อ้าปากออกเราจะเข้าไปแก้ให้ ปีศาจได้ยินดังนั้นก็ตกใจพูดว่า ถ้าท่านเข้าไปแล้วและจะไม่ออกมาจะมิเป็นการลำบากแก่ข้าพเจ้าหรือ เห้งเจียว่าแก้เชือกนั้นง่าย ๆ ไม่ยากอะไร แต่พวกเจ้าจะยอมส่งอาจารย์เราไปจริงแล้วหรือ
   ปีศาจใต้อ๋องที่หนึ่งพูดว่า ถ้าท่านแก้ให้ข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าจะขอส่งอาจารย์ท่านไปไม่กล่าวคำเท็จ เห้งเจียเห็นว่าปีศาจมีใจอ่อนแล้วก็เชื่อ จึงร่ายคาถาเรียกขนนั้นกลับคืน หัวใจปีศาจก็หายเจ็บ ปีศาจใต้อ๋องทั้งสามก็ลุกขึ้นคำนับ แล้วเชิญเห้งเจียให้ไปบอกอาจารย์ให้จัดแจงข้าวของ พวกข้าพเจ้าจะหามเกี้ยวไปรับ แล้วจะได้ส่งท่านไป พวกปีศาจเหล่านั้นพากันเก็บเครื่องศาตราอาวุธกลับไปยังถ้ำ ฝ่ายเห้งเจียก็เหาะกลับไปหาอาจารย์ที่เนินเขา แลไปแต่ไกลเห็นพระอาจารย์นอนกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้นดิน เห้งเจียคิดแต่ในใจว่าไม่ใช่อื่นไกล อ้ายโป๊ยก่ายเป็นแน่ คงไปบอกแก่อาจารย์ว่าปีศาจกินเราเสียแล้ว เพราะฉะนั้นพระอาจารย์จึงได้มีความทุกข์โทมนัสดังนี้
   เห้งเจียก็ลดลงยังพื้นเดินเข้ามาใกล้เรียกพระอาจารย์คำหนึ่ง ซัวเจ๋งก็พูดบ่นโป๊ยก่ายว่า แกเป็นพวกต่อโลงขายแท้ ๆ คิดตั้งใจแต่จะให้คนตายเท่านั้น พี่เห้งเจียยังไม่ตายก็ว่าตายนั่นใครเล่ามาเรียก โป๊ยก่ายเถียงว่าเราได้เห็นแก่ตาว่าปีศาจมันกลืนเข้าไปในท้องแล้ว เราเห็นว่าหากจะเป็นปีศาจลิงที่ตายถูกวันคืนไม่ดี จึงให้สิงให้มาดังนี้อีก เห้งเจียได้ฟังก็เดินเข้ามาจับมือโป๊ยก่ายถามว่า .อ้ายกินรำมึงว่าใครสิงใคร ​จะเปรียบเหมือนเจ้าอ้ายคนใช้ไม่ใด้ดังนั้นหรือ ปีศาจมันกลืนเราเข้าไปในท้อง เราก็จับไส้พุงมันกระชากเล่น และเอาเชือกผูกหัวใจมันเจ็บปวดเหลือทน ทุก ๆ คนก็คุกเข่าลงคำนับอ้อนวอนขอโทษตัว เราจึงยกโทษให้แก่มัน มันยอมจะเอาเกี้ยวมาหามรับอาจารย์เราส่งไป
   พระถังซัมจั๋งได้ยินเสียงเห้งเจียพูดก็ผลุดลุกขึ้นพูดแก่เห้งเจียว่า ขอบใจสานุศิษย์มาก ๆ ทำให้ลำบากจะถึงแก่ความตายเสียแล้ว ถ้าเชื่อโป๊ยก่ายอาตมก็จะทิ้งชีวิตเสียแล้ว เห้งเจียจึงด่าโป๊ยก่ายสองสามคำให้ไปจัดแจงรวบรวมข้าวของคอยถ้าปีศาจจะมารับ โป๊ยก่ายก็ไปตระเตรียมไว้เสร็จ
   ฝ่ายพวกปีศาจใต้อ๋องทั้งสาม ครั้นกลับไปยังถ้ำแล้วใต้อ๋องที่สองพูดแก่ใต้อ๋องใหญ่ว่า เราอวดว่าพวกเราเก้าหัวแปดหาง แต่เห้งเจียนั้นเป็นลูกลิงตัวนิดเดียวเท่านั้น ถ้าพี่ไม่กลืนมันเข้าไปรบกันด้วยฝีมือและกำลังที่ไหนมันจะสู้ได้ แล้วทั้งพลปีศาจของเราก็มีกว่าสองหมื่น ขับเข้าไปช่วยกันระดมตีเอาชัยชนะก็จะได้ นี่พี่กลืนมันเข้าไปในท้องมันทำเล่นตามสบายจะสู้มันที่ไหนได้ ซึ่งรับปากว่าจะส่งพระถังซัมจั๋งนั้น ก็เพราะรักชีวิตโดยมันรวบรัดเข้าที่คับแค้นนัก บัดนี้ก็พ้นออกมาได้แล้ว 
   ปีศาจใต้อ๋องที่หนึ่งจึงถามว่า ถ้ากระนั้นน้องจะคิดประการใดอีกเล่า ใต้อ๋องที่สองพูดว่าขอพลให้ข้าพเจ้าสามพัน ข้าพเจ้าจะจับอ้ายลิงนั้นให้ได้ ใต้อ๋องใหญ่ว่า ถ้าดังนั้นก็แล้วแต่น้องจะจัดแจงเถิด ปีศาจที่สองจึงเรียกพวกพลทหาร​มาสามพัน นำออกไปข้างทางใหญ่ตั้งเป็นกระบวนแล้ว ก็ให้คนถือธงไปบอกแก่เห้งเจียให้รีบมาต่อสู้กัน โป๊ยก่ายได้ยินก็หัวเราะ แล้วพูดว่าทำอะไรกลับกลายดังนี้ ไหนว่าปราบปีศาจได้แล้วมันจะเอาเกี้ยวมารับอาจารย์ ทำไมมันจึงมาท้าชวนรบอีกเล่า เห้งเจียพูดว่าอ้ายใต้อ๋องใหญ่เราปราบปรามยอมแล้ว นี่เห็นจะเป็นอ้ายใต้อ๋องที่สองจะไม่ยอมส่ง เพราะฉะนั้นจึงมาท้าชวนรบฉะนี้ อันพวกปีศาจนั้นมันมีพี่น้องสามคน เราก็มีพี่น้องสามคน แด่อ้ายคนใหญ่ไม่กล้ามาต่อสู้แล้ว นี่เห็นจะเป็นอ้ายคนที่สอง เราเห็นควรที่โป๊ยก่ายจะออกไปรบแก่มันจึงจะดี
   โป๊ยก่ายพูดว่าจะกลัวมันทำไม ไว้ข้าพเจ้าจะไปรบแก่มันเอง พูดแล้วโป๊ยก่ายก็ถือคราดเดินมาร้องเรียกว่าอ้ายปีศาจมารร้าย มึงรีบออกมาลองฝีมือกับปู่ดูคือตือโป๊ยก่ายให้รู้รสฝีมือสักคราวหนึ่ง ปีศาจใต้อ๋องที่สองได้ยินเสียงท้าก็ออกมาเห็นโป๊ยก่ายก็มิได้รอรั้งพูดจา ถือหอกหมายตรงหน้าโป๊ยก่ายก็แทงมา โป๊ยก่ายยกคราดขึ้นรับต่างองอาจออกแรงสู้รบกัน ไม่ทันถึงเจ็ดแปดเพลงโป๊ยก่ายทานกำลังปีศาจไม่ไหวก็ผละออกถอยหนี ปีศาจได้ทีก็ตามรุกเอางวงยื่นคว้ารวบจับโป๊ยก่ายไว้ได้ มีชัยชนะก็ยกกลับไปถ้ำ
   พระถังซัมจั๋งยืนแลดูอยู่เห็นปีศาจจับโป๊ยก่ายไปได้ จึงถามเห้งเจียว่าจะทำประการใดเล่า เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์มีจิตลำเอียง เวลาปีศาจจับข้าพเจ้าไป พระอาจารย์ก็ไม่รีบร้อน โป๊ยก่ายถูกจับไปพระ​อาจารย์มีความรีบร้อน ไว้ให้มันทรมานยากแค้นจึงจะรู้สึกว่าไปอาราธนาพระธรรมมิใช่เป็นการง่าย ๆ
   พระถังซัมจั๋งพูดว่า ถึงเมื่อเห้งเจียไปต้องภัยได้ทุกข์ใช่ว่าอาตมาจะไม่ทุกข์ร้อน แต่เห็นว่าเห้งเจียเปลี่ยนแปลงได้จะไม่ลำบากยากแค้นนัก โป๊ยก่ายโง่เขลาแม้ถูกจับไปดังนี้จะได้ความเดือดร้อนมาก เห้งเจียจงไปช่วยสักครั้งเถิด เห้งเจียก็เหาะไล่ตามไปแต่คิดในใจว่ามันแช่งเราให้ตาย เราตามไปดูปีศาจมันจะทำประการใด คอยให้มันลงโทษเสียก่อนแล้วเราจึงค่อยแก้ต่อภายหลัง คิดแล้วก็แปลงกายเป็นแมลงหวี่บินไปจับที่ใบหูโป๊ยก่าย เข้าไปในถ้ำพร้อมกับปีศาจ ครั้นถึงปีศาจใต้อ๋องที่สองเอาโป๊ยก่ายทิ้งลงกับพื้นบอกว่าพี่ ข้าพเจ้าจับได้มาคนหนึ่งแล้ว
   ใต้อ๋องที่หนึ่งแลเห็นโป๊ยก่ายจึงพูดว่าคนนี้ไม่ต้องการน้องไปจับมาทำไม โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้น จึงพูดว่าจริงดังนั้นใต้อ๋องพูดไม่ต้องการอะไรปล่อยเรากลับไป ๆ ค้นหาคนที่ต้องการก็จับเอามาเถิด ใต้อ๋องที่สามพูดว่า ถึงไม่ต้องการก็เป็นสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋งจะต้องมัดเอาไปแช่น้ำไว้ก่อน พวกปีศาจก็เอาเชือกมัดหมูแล้วหามไปแช่ไว้ในบ่อหลังถ้ำ เห้งเจียก็ปีนขึ้นดูโป๊ยก่าย เห็นแช่น้ำอยู่เท้าชี้ฟ้าปากก็งอขึ้นหายใจปะงับ ๆ พิเคราะห์ดูก็น่าหัวเราะจมน้ำอยู่ครึ่งตัว เห้งเจียเห็นโป๊ยก่ายดังนั้นให้นึกแค้นก็แค้นสงสารก็สงสาร คิดว่าต่อไปภายหน้าก็คงได้เข้าที่ประชุมเล่งฮวยหวย คือเมื่อพระศรีอาริยเมตไตรย์ลงมาตรัส ​แต่คิดเคืองว่ายังไม่ทันไร ก็คิดแบ่งข้าวของจะทิ้งอาจารย์ไปเสียแล้ว แลได้ฟังซัวเจ๋งบอกว่านินทากล่าวขวัญภายหลังหลายหน อย่าเลยจะทำให้กลัวสักทีหนึ่ง
   คิดแล้วเห้งเจียก็บินลงไปข้างริมหูร้องเรียกว่า หงอเหนง ตือหงอเหนง โป๊ยก่ายตกใจนึกว่าฉายา ตือหงอเหนงนี้ของพระโพธิสัตว์กวนอิมตั้งชื่อให้ไม่มีใครผู้ใดรู้ เมื่อตามอาจารย์มาก็ไม่มีใครเรียกชื่อนี้ เรียกแต่ชื่อโป๊ยก่ายเท่านั้น ก็ที่นี่ทำไมจึงมีคนรู้ฉายาของเรา อดไม่ได้จึงร้องถามไปว่า ใครมาเรียกข้าพเจ้าทำไม เห้งเจียบอกว่าข้าพเจ้าเอง โป๊ยก่ายถามว่าเป็นคนหรือ เห้งเจียตอบว่าเราคือผู้คุมมาจากเมืองนรกเที่ยวจับคนถึงที่ตาย โป๊ยก่ายตกใจถามว่าท่านอยู่ที่ไหน เห้งเจียบอกว่าคือพระยามัจจุราชเงียมฬ่ออ๋องให้มาจับตัวเจ้า โป๊ยก่ายทูลว่าขอท่านได้กลับไปกราบเรียนแก่เงียมฬ่ออ๋องก่อน ท่านก็เคยรู้จักรักใคร่แก่พี่ชายข้าพเจ้า คือซึงเห้งเจีย ขอทุเลางดผ่อนอีกสักวันหนึ่งเถิด พรุ่งนี้จึงค่อยมาจับไป เห้งเจียว่า อย่าพูดเลอะเทอะไปเลย พระยามัจจุราชได้จดลงแน่นอนแล้วว่ายามสามเป็นจะตายก็ใครเล่าจะกล้ารอไปถึงยามสี่ จงรีบมาไปกับเราโดยดีอย่าให้ถึงแก่ฉุดลากไปเลย
   โป๊ยก่ายพูดว่าทำไมท่านไม่ผ่อนผันบ้างเล่า จงพิเคราะห์ดูรูปร่างข้าพเจ้าดังยังอยากเป็นอยู่ไม่อยากตาย แต่ความตายนั้นก็ต้องตายเป็นแน่แต่จะขอทุเลาสักวันหนึ่งจะไม่ได้ทีเดียวหรือ พอให้ปีศาจมันจับอาจารย์กับพี่น้องมาให้​พบกันสักครั้งหนึ่งเท่านั้น แล้วก็ตามแต่จะเอาไปข้างไหนก็ตามเถิด เห้งเจียว่าเอาเถอะเราจะผ่อนให้ แต่หนังสือเรียงชื่อมาสามสิบคนเราจะไปจับพวกนั้นก่อนแล้วจึงจะมาเอาตัวเจ้าต่อทีหลัง จะผ่อนให้สักวันหนึ่ง แต่เจ้ามีเงินค่าป่วยการก็ส่งมาให้ข้าจะได้ไปเที่ยวจับที่อื่นก่อน โป๊ยก่ายพูดว่าตัวข้าพเจ้าเป็นคนถือศีลติดตามอาจารย์มาจะเอาเงินทองที่ไหนมาจะได้ให้ค่าป่วยการแก่ท่านเล่า เห้งเจียว่าถ้าไม่มีค่าป่วยการ จงรีบไปกับเราเดี๋ยวนี้ช้าไม่ได้ เราจะมัดเอาไป โป๊ยก่ายตกใจพูดว่าท่านอย่ามัดข้าพเจ้าเลย ด้วยข้าพเจ้าเข้าใจว่าเชือกของท่านนั้น คือเชือกเร่งชีวิตแม้ว่าลากไปก็สิ้นชีวิต อันค่าป่วยการนั้นก็มีบ้างแต่ไม่มาก
   เห้งเจียว่ามากน้อยเท่าใดก็รีบเอาออกมา โป๊ยก่ายบอกว่าข้าพเจ้าเก็บรวบรวมไว้สองปีเศษแล้วมีเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน รวมหนักได้ห้าสลึงเมื่อก่อนได้เอาไปให้ช่างหลอม รวมกันเป็นแผ่นเดียว ช่างเอาไปเสียสามหุนยังเหลือสี่สลึงกับเจ็ดหุน ข้าพเจ้าเก็บเหน็บไว้ในหู ถูกมัดมือติดอยู่หยิบให้ไม่ได้ ท่านโปรดหยิบเอาเองเถิด เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงยื่นมือไปคลำที่หูล้วงออกมาแผ่นหนึ่ง เห้งเจียพิเคราะห์ดูแล้วก็เอาเก็บซ่อนเสีย แล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ก็กลายกลับเป็นรูปเดิม โป๊ยก่ายแลเห็นเห้งเจีย ก็ด่าแช่งว่าอ้ายฟ้าผ่าด้วยเป๊กเบ๊อุน เรามาต้องทรมานดังนี้ ยังมาทำแกล้งจะเอาเงินค่าป่วยการอะไรอ้ายไม่มีเงาหัวอ้ายลูกลิง เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า เงินค่าป่วยการเป็นการเล็ก​น้อยไว้ธุระเราจะช่วยแก้ให้ออกไป เห้งเจียจึงเอาตะบองยื่นลงไปสอดในเชือกแล้วก็ยกขึ้นมาแก้มัด โป๊ยก่ายก็ลุกขึ้นพูดว่าพี่เราเปิดประตูหลังถ้ำหนีไปเถิด
   เห้งเจียพูดว่าประตูหลังไปไกล เรากลับออกไปทางประตูข้างหน้าดีกว่า โป๊ยก่ายก็ตามหลังเห้งเจียออกมาถึงประตูที่สองแลเห็นคราดเหล็กพิงอยู่ที่นั้น โป๊ยก่ายก็เข้าหยิบเอามาถือแล้ว ก็แผลงฤทธิ์สับฟันขนาบออกไป เห้งเจียก็แกว่งตะบองตีออกไปจนถึงประตูชั้นสี่ ฆ่าพวกบริวารปีศาจตายเป็นอันมาก ฝ่ายใต้อ๋องที่หนึ่งตกใจลุกมาดูเห็นดังนั้น จึงร้องเรียกใต้อ๋องที่สองให้เข้าจับตัวคนเก่ง ว่าเห้งเจียมันเข้ามาลักเอาโป๊ยก่ายไปแล้วยังมาเที่ยวฆ่าคนอีก ใต้อ๋องที่สองได้ฟังดังนั้น ก็จับหอกวิ่งไล่ตามออกมานอกประตูร้องด่าว่าอ้ายชาติลิง มึงสามารถมาทำดังนี้ได้หรือ ว่าแล้วก็เอาหอกแทง เห้งเจียยกตะบองขึ้นรับปัดป้องต่างรบรอต่อสู้กันด้วยกำลังความเข้มแข็ง ฟัดเหวี่ยงกันไปมาที่หน่าประตูถ้ำโป๊ยก่ายวิ่งขึ้นไปยืนดูอยู่บนโขดเขา มิได้ลงมาช่วยเห้งเจียรบ ทำกิริยางกๆ งันๆ
   ฝ่ายปีศาจที่สองเห็นตะบองเหล็กของเห้งเจียหนักนัก จึงเอาหอกรอรับไว้ ยื่นงวงออกจะใคร่จับฟัดเห้งเจีย ๆ ก็รู้ในท่วงทีของปีศาจจึงยกมือชูขึ้นเสีย ปีศาจก็เอางวงพันเห้งเจียเข้าที่บั้นเอวมิได้พันมือไว้ด้วย เห้งเจียก็แกว่งตะบองเล่นได้ตามสบาย โป๊ยก่ายแลเห็นดังนั้นก็พูดว่าอ้ายปีศาจมันโง่เสียแล้ว เวลาที่มันจับเราสิ​มันพันรัดมือไว้เสียด้วย มันจึงจับไว้ได้ เห้งเจียได้ยินโป๊ยก่ายพูดดังนั้น ก็เอาตะบองแกว่งทีหนึ่งเล็กลงเท่าฟองไก่ยาวสักวาเศษ แทงเข้าไปในงวงของปีศาจที่หนึ่ง ปีศาจถูกเจ็บแทบจะสิ้นใจก็คลายงวงออกปล่อยเห้งเจียทันที เห้งเจียคว้าจับงวงปีศาจไว้ เอามีดแทงเข้าไป ปีศาจได้ความเจ็บสาหัสก็ตามมือเห้งเจียไป โป๊ยก่ายแอบเข้าใกล้เอาคราดเหล็กสับฟันปีศาจถูกที่ขากรรไกร
   เห้งเจียร้องห้ามว่าอย่าทำมันเลย พระอาจารย์จะว่าเราดุร้ายฆ่าสัตว์ไม่มีเมตตาจิต เอาแต่ด้ามคราดตีมันก็ถมไป โป๊ยก่ายก็เอาด้ามคราดตีปีศาจ ก้าวหนึ่งตีทีหนึ่งทุกก้าว เห้งเจียก็จับงวงปีศาจเดินจูงมาดูดุจช้างใหญ่สักสองช้าง เห้งเจียจูงเดินมาข้างเนินเขา ซัวเจ๋งแลเห็นแต่ไกลก็บอกแก่อาจารย์ว่าพี่เห้งเจียแกจับปีศาจจูงมาโน่นแล้ว พระถังซัมจั๋งแลไปเห็นจึงพูดว่า พ่อเจ้าประคุณปีศาจนี้มันช่างโตใหญ่จริง ๆ และทั้งมีงวงเหมือนช้าง แล้วสั่งให้ซัวเจ๋งถามมันดูว่าพวกมันจะยอมส่งเราให้ข้ามเขาไปหรือยัง ถ้ามันยอมแล้วเราจะขอชีวิตไว้ให้ มิให้ถึงแก่ความตาย ปีศาจได้ฟังดังนั้นก็คุกเข่าลงกราบกับพื้นพูดว่า ขอท่านอาจารย์ยกชีวิตปล่อยให้ข้าพเจ้ากลับไป ข้าพเจ้าจะเอาเกี้ยวมาหามส่งท่านไป เห้งเจียพูดว่าอาจารย์กับทั้งศิษย์สี่คนนี้ มีจิตเป็นกุศลทั้งนั้น เจ้าพูดดังนั้นเรายอมยกโทษให้เจ้า ๆ จงรีบไปเอาเกี้ยวมารับอาจารย์ไปส่ง แม้ว่าเจ้ากลับกลายอีกทีนี้ เราจับได้ก็จะฆ่าเสียมิได้ไว้ชีวิตอีกต่อไปแล้ว
   ​เมื่อปีศาจได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็ลุกขึ้นคำนับลากลับไปถ้ำ เห้งเจียกับโป๊ยก่ายคำนับอาจารย์แล้ว จึงเล่าเหตุที่ปีศาจจับโป๊ยก่ายไปให้อาจารย์ฟังทุกประการ โป๊ยก่ายมีความอดสูยิ่งนักก็เก็บเอาเสื้อกางเกงไปตากที่เนินเขา
   ฝ่ายปีศาจที่สองมาถึงถ้ำแล้ว จึงเล่าความที่พระถังซัมจั๋งมีจิตกรุณาปราณีให้ปีศาจทั้งหลายฟังทุก ๆ คน ต่างนั่งแลดูตากันไม่อาจพูดจาว่ากระไรได้ ปีศาจที่สองจึงถามว่าเมื่อเป็นดังนี้ควรพวกเราจะไปส่งพระถังซัมจั๋งหรือไม่ ปีศาจที่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า น้องยังจะทำอะไรต่อไปอีกเล่า จงรีบจัดแจงส่งเธอไปเถิด ส่วนปีศาจที่สามพูดว่ารีบส่งไป ๆ ปีศาจที่หนึ่งได้ฟังดังนั้นจึงถามว่า พี่น้องพูดเป็นทีประชดดังนี้ออกมา ดูเหมือนจะไม่พอใจส่งดอกกระมัง หากเจ้าจะไม่ยอมไปส่ง เราสองคนจะไปส่งเอง ปีศาจที่สามหัวเราะแล้วพูดว่า พี่ทั้งสองได้ทราบว่า พระถังซัมจั๋งหากไม่อยากให้เราไปส่ง เธอกับสานุศิษย์จะแอบแฝงข้ามไปได้ ก็เป็นที่สะดวกของพระถังซัมจั๋ง หากว่าอยากให้พวกเราไปส่ง ไม่รู้เท่าก็จะถูกอุบายแยกเสือไปจากเขา
   ปีศาจที่หนึ่งถามว่าทำอย่างไรจึงเรียกว่าแยกเสือจากเขา ปีศาจที่สามพูดว่าพวกปีศาจบริวารของเราในถ้ำนี้ คัดเลือกออกสิบหกคนและอีกสามสิบคน ปีศาจที่หนึ่งถามว่าจะต้องการอะไรจึงต้องทำดังนั้น ปีศาจที่สามพูดว่าสามสิบคนนั้นให้เข้าใจต้มแกงต่าง ๆ เอาเข้าของผักปลาและเครื่องคาวหวานมอบ​ให้เธอไปตามทางถึงที่ใดก็ดี ตั้งเตาต้มแกงข้าวน้ำประคับประคองให้พระถังซัมจั๋งอิ่มเอิบบริบูรณ์ ปีศาจที่หนึ่งถามว่าก็ยังอีกสิบหกคนจะใช้อะไร ปีศาจที่สามพูดว่าสิบหกคนนั้นให้หามเกี้ยวแปดคน อีกแปดคนให้คอยร้องนำหน้า พี่น้องเราคอยประคับประคองสองข้างเดินตามส่ง ทางนี้ไปอีกสี่ร้อยโยชน์ก็ถึงกำแพงเมืองของข้า ที่นั้นมีคนคอยรับรอง ครั้นถึงริมกำแพงเมืองก็จงทำมิให้อาจารย์กับศิษย์รวมกันได้ จะจับพระถังซัมจั๋งนั้นได้ก็เพราะสิบหกคน การก็จะสำเร็จทั้งสิ้น
   ปีศาจที่หนึ่งได้ฟังดังนั้น ดุจเวลาเมาฟื้นขึ้นก็สรรเสริญว่าความคิดอย่างนี้ดีจริง จึงรีบจัดสามสิบคนเอาสิ่งของเครื่องกินกระยาหารมอบให้ไปจัดทำตามสั่ง และคัดอีกสิบหกคนให้แปดคนคอยร้องตวาดนำทาง อีกแปดคนให้หามเกี้ยวออกไป ครั้นจัดแจงเสร็จแล้ว ปีศาจที่หนึ่งก็ออกนำหน้า พาบริวารปีศาจเดินออกจากถ้ำมาในทางใหญ่ ร้องเรียกว่าท่านอาจารย์วันนี้ไม่ต้องผงละอองติดเท้า นิมนต์ท่านขึ้นนั่งในเกี้ยว พวกข้าพเจ้าจะหามท่านส่งไป
   เห้งเจียจึงบอกแก่อาจารย์ว่าพวกปีศาจที่ข้าพเจ้าปราบลงนั้น บัดนี้เอาเกี้ยวมารับหามอาจารย์จะส่งข้ามไป พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ประนมมือว่า สาธุ ดีแล้ว หากไม่มีเห้งเจียอาตมภาพที่ไหนจะไปได้ จึงหันมาพูดแก่พวกปีศาจว่า อาตมภาพได้พึ่งพาหนะของท่าน ท่านทั้งหลายจงได้เอ็นดูให้มาก ๆ แม้ว่าอาตมาภาพไปอาราธนาพระธรรม​กลับไปถึงเมืองแล้ว อาตมภาพจะแผ่กุศลถึงท่านทั้งหลายให้ทั่วกัน พวกปีศาจก็พร้อมกันคำนับขอบคุณ แล้วจึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งขึ้นเกี้ยว พระถังซัมจั๋งยังเป็นปุถุชนก็หารู้ในกลอุบายของปีศาจไม่ และซึงเห้งเจียก็เป็นภาคของทั้ยอิ๊ดแชเกิดในสันดานซื่อตรง ก็มุ่งหมายแต่จะกำจัดเป็นกำลังอานิสงส์ ครั้นปราบปีศาจได้แล้วก็หาได้ตรึกตรองสอดส่องให้ละเอียดไม่ จึงเรียกโป๊ยก่ายให้เอาข้าวของวางบนหลังม้าซัวเจ๋งเดินคุมไป
   ฝ่ายเห้งเจียก็ถือตะบองออกเดินนำหน้าคอยระวังการร้าย ฝ่ายปีศาจทั้งแปดก็หามเกี้ยวไป อีกแปดคนก็ร้องนำหน้าไป หามเกี้ยวตัดทางขึ้นเขาไป ปีศาจใต้อ๋องก็เดินข้างเกี้ยวประคับประคองไปทั้งสามคน ฝ่ายพระถังซัมจั๋งนั่งบนเกี้ยวก็มีจิตรื่นเริง พวกปีศาจใหญ่น้อยพร้อมใจกันจงรักภักดีเอาใจใส่โดยเรียบร้อย วันหนึ่งข้าวน้ำสามเวลาเลี้ยงดูบริบูรณ์ ค่ำลงก็หยุดพักนอนรุ่งเช้าก็ออกเดินไปเดินมาได้สี่ร้อยโยชน์เศษ แลไปข้างหน้าก็เห็นกำแพงเมือง เห้งเจียเดินห่างเกี้ยวประมาณสักสี่สิบเส้น เห็นกำแพงเมืองก็สะดุ้งชะงักกระโดดขึ้นทีหนึ่ง โดยเหตุที่เห็นในกำแพงเมืองมีอากาศร้ายพลุ่งขึ้น ได้ยินเสียงลมข้างหลังพัดหวิวกระชั้นมาจึงหันหน้าไปมองดู เห็นปีศาจที่สองถือทวนมาแทง เห้งเจียยกตะบองขึ้นรับ ก็รบกันด้วยกำลังโกรธแค้น ปีศาจที่หนึ่งก็ให้สัญญาณมือถือง้าวกระโดดมาฟันโป๊ยก่าย ๆ ตกใจทิ้งม้ามือถือคราดเข้ารบกับปีศาจ ปีศาจที่สามก็ถือหอกเข้ารบกับซัวเจ๋ง ๆ ก็ยกพลองวิเศษขึ้นปัดป้องต่อสู้
   ปีศาจ​ทั้งสามรบกับสานุศิษย์ทั้งสามอยู่บนเนินเขา พวกปีศาจบริวารสิบหกคนครั้นได้เห็นสัญญาณก็เข้าชิงเอาม้าและข้าวของทั้งนั้นไปสิ้น พวกหามเกี้ยวก็วิ่งเข้าไปถึงประตูเมืองร้องเรียกว่าใต้อ๋องมาแล้วรีบเปิดประตูเมืองโดยเร็ว พวกปีศาจที่เฝ้าประตูก็พากันมาเปิดประตูเมืองให้เข้าแล้ว จึงสั่งกันให้เอาธงลงทุกคนแลให้เงียบสงบเสียงมิให้ตีม้าฬ่อและกลอง เพราะใต้อ๋องได้สั่งมาก่อนแล้วว่า อย่าทำให้พระถังซัมจั๋งตกใจ ถ้าจิตใจเธอหวั่นหวาดเศร้าหมองเสียแล้ว เนื้อเธอก็จะมีรสเปรี้ยวเสียจะกินไม่อร่อย พวกหามเกี้ยวก็ตรงเข้าไปยังปราสาทกิมหลวนเต้ย วางลงให้พระถังซัมจั๋งนั่งอยู่กลาง ยกน้ำร้อนน้ำชามาเลี้ยง พวกปีศาจพากันมาแวดล้อมประคับประคอง พระถังซัมจั๋งให้มืดมัวแลไม่รู้จักหน้าคนให้เคลิ้ม ๆ ไป อ่านต่อ_ ..
วีดีโอ ; The Monkey King Quest For The Sutra เห้งเจียจอมอิทธิฤทธิ์ 2002 ตอนที่ 2-24 พากย์ไทย

27 มิถุนายน 2568

[เล่ม 3] ตอนที่ 53 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
รูปภาพ ; ตาเฒ่าลี้ตึ้งแกนี้ คือดาวไท๊เป๊กกิมแช แปลงรูปเป็นตาเฒ่ามาบอกข่าวให้พระถังซัมจั๋งรู้ว่าบนเขาไซท่อซัวมีปีศาจร้าย แล้วก็เหาะไปมิได้อยู่ช่วยเหลืออะไร
(บทที่ ๗๔)
 ​พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็พากันออกเดิน เวลานั้นก็สุดฤดูร้อนแล้ว ย่างเข้าฤดูฝนอากาศย่อมมีเมฆเย็นระรื่น พระถังซัมจั๋งกำลังขับม้าเดินมาแลไปก็เห็นภูเขายอดเยี่ยมเทียมเมฆ ก็รีบขับม้าเดินขึ้นบนภูเขา เดินมาประมาณครู่ใหญ่แลไปก็เห็นตาเฒ่าหนวดขาวผมขาวมือถือไม้ท้าว ยืนข้างเนินเขาแต่ไกล ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า ท่านที่ข้ามเขาไปทิศปราจิณนั้นจงหยุดก่อน บนเขานั้นมีปีศาจยักษ์มันกินคนเสียมากแล้ว อย่าเพิ่งไปก่อน พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้นก็ตกใจ พลัดตกจากหลังม้าล้มกลิ้งอยู่กับพื้นลุกไม่ขึ้น เห้งเจียวิ่งเข้ามาพยุงให้ลุกขึ้น แล้วพูดว่าพระอาจารย์อย่าวิตกข้าพเจ้าอยู่นี่ พระถังซัมจั๋งลุกขึ้นบอกว่า ได้ยินตาเฒ่าร้องบอกว่าที่บนเขานั้นมียักษ์ร้าย ให้ใครไปถามดูให้รู้แน่ว่าเป็นยักษ์อะไร เห้งเจียว่าพระอาจารย์นั่งรออยู่ก่อน ไว้ข้าพเจ้าจะไปถามดูจึงจะรู้เรื่อง พระถังซัมจั๋งว่าเห้งเจียรูปร่างดุร้าย ทั้งกิริยาวาจาก็หยาบคายเราวิตกเกรงเธอจะไม่บอกความจริง
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าข้าพเจ้าจะแปลงตัวให้สุภาพเรียบร้อยอย่าวิตกเลย ว่าเล้วก็แปลงกายเป็นสามเณรน้อยรูปหนึ่ง ท่วงทีกิริยาเรียบร้อยหมดจดเดินไปหาตาเฒ่า ครั้นถึงก็ย่อตัวปราศรัยว่าท่านตาอาตมภาพคำนับ ตาเฒ่าแลไปเห็นสามเณรน้อย ก็คำนับตอบเอามือลูบศรีษะแล้วหัวเราะ ถามว่าพ่อสามเณรอยู่ถึงไหนจึงได้มาจนถึงที่นี่ เห้งเจียบอกว่าพวกอาตมภาพอยู่เมืองใต้ถังมีรับสั่งพระเจ้าแผ่นดินให้ไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม เมื่อ​ตะกี้ได้ยินท่านตาร้องบอกว่ามีปีศาจยักษ์ อาจารย์อาตมภาพตกใจกลัวจึงให้มาถามดูให้รู้แน่ว่าปีศาจยักษ์อะไรจึงอาจสามารถมากั้นสกัดทางอยู่ดังนั้น ขอท่านตาได้โปรดกรุณาชี้แจงให้อาตมภาพทราบด้วยเถิด ข้าพเจ้าจะได้คิดให้มันหลีกเลี่ยงไปให้พ้น
   ตาเฒ่าหัวเราะแล้วพูดว่ารูปร่างเล็ก ๆ ดังนี้ไม่รู้จักดีชั่ว ปีศาจยักษ์มันมีฤทธาอานุภาพใหญ่หลวงนัก ทำไมจึงพูดว่าจะคิดให้มันหลีกเลี่ยงไปอย่างไรได้ เห้งเจียถามว่า มันมีฤทธาอานุภาพเชี่ยวชาญอย่างไรขอให้ทราบ ตาเฒ่าบอกว่าปีศาจนั้นมีหนังสือไปถึงเขาเล่งซัว ห้าร้อยพระอรหันต์ก็ต้องมาหาเธอ แลจดหมายลายมือขึ้นไปบนสวรรค์หมู่เทพยดาก็ต้องลงมาหาเธอ พระยานาคเล่งอ๋องทั้ง ๔ ทิศในทะเลก็เป็นมิตรสหายกัน ถ้ำเซียนฤาษีทั้งหลายก็เคยมาประชุมกับเธอ พระยามัจจุราชเงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบก็เป็นพี่น้องอย่างสนิทที่รัก พระภูมิเจ้าที่ก็เป็นอย่างที่ชอบพออันสนิท เห้งเจียได้ฟังก็หัวเราะก๊าก ๆ พูดแก่ตาเฒ่าว่าอย่างนั้นท่านตาไม่ต้องพูด ปีศาจนั้นยังเกิดทีหลังข้าพเจ้า เรื่องว่าเพื่อนฝูงแล้ว ก็ไม่เห็นจะอัศจรรย์อะไรนักหนา หากว่าปีศาจยักษ์รู้ว่าสามเณรรูปนี้มาแล้วมันก็จะต้องยกหนีไป จะไม่อาจอยู่ได้
   ตาเฒ่าได้ฟังสามเณรน้อยพูดดังนั้นก็ร้องว่าอะมิโธพุทธ สามเณรองค์นี้พูดจาล้นไป วิตกว่ารูปกายนั้นจะไม่มีเวลาสูงได้อีกแล้ว เห้งเจียถามว่าท่านตาเห็นว่ารูปกายอาตมภาพได้เท่าใดหรือ​จึงได้ว่าดังนี้ ตาเฒ่าถามว่า ปีนี้อายุสามเณรได้เท่าใดแล้ว เห้งเจียว่าท่านตาประมาณดูว่าจะสักเท่าใดลองคะเนดูหรือจะสักกี่ขวบ ตาเฒ่าพูดว่าประมาณสักเจ็ดแปดขวบเท่านั้น เห้งเจียว่าเจ็ดแปดขวบสักพันหนก็ยังไม่เท่า เห้งเจียถามว่าปีศาจยักษ์นั้น มันมีพวกพ้องมากน้อยสักเท่าใด โปรดชี้แจงให้ข้าพเจ้าทราบแน่จะได้คิดกำจัดเสียก่อน ตาเฒ่าเห็นเธอพูดโอ้อวดเกินตัวก็มิได้โต้ตอบประการใด
   เห้งเจียก็หันกลับมาหาพระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งถามว่าไปถามได้ความมาประการใดหรือ เห้งเจียว่าการนั้นไม่รุกร้นอะไร จะเอาความกลัวของชาวบ้านนี้มาใส่ใจทำไมไม่ต้องการ มีข้าพเจ้าอยู่แล้วไม่ต้องกลัวอะไรเลย พระถังซัมจั๋งถามว่าเห้งเจียได้ถามเธอหรือเปล่าว่าเขานี้ชื่ออะไรและปีศาจยักษ์มีสักเท่าใด หนทางใหญ่ที่จะถึงวัดลุ่ยอิมยี่ไปทางไหน โป๊ยก่ายว่าพี่เห้งเจียแกพูดดูไม่มีต้นไม่มีปลาย ไปถามสองคำก็วิ่งกลับมาดังนี้ ข้าพเจ้าจะไปถามดูให้รู้แน่ พระถังซัมจั๋งว่าดีแล้วจงรีบไปเถิด โป๊ยก่ายตระเตรียมตัวดีแล้ว ก็เดินไปหาตาเฒ่าร้องเรียกว่า ท่านตาขอรับข้าพเจ้านมัสการ ตาเฒ่าถามว่าเจ้าอยู่ที่ไหนมา โป๊ยก่ายบอกว่าเป็นสานุศิษย์ที่สองของพระอาจารย์ถังซัมจั๋ง ข้าพเจ้าชื่อตือโป๊ยก่ายที่มาเมื่อกี้นี้พี่ของข้าพเจ้าเอง พระอาจารย์วิตกเกรงว่าเธอจะพูดจามุทะลุทำให้เป็นที่ไม่พอใจท่านตา จะถามไม่ได้เค้าเงื่อน เพราะฉะนั้นจึงให้ข้าพเจ้ามากราบเท้าถามท่านตาว่า ที่ตำบลนี้เรียกชื่อว่าอย่างไร เขาอะไร ถ้ำอะไร และปีศาจยักษ์มีนามอย่างไร มีพวกพ้อง​บริวารมากน้อยเท่าใด ทางไหนเป็นทางใหญ่ที่จะไปไซทีนั้น ขอท่านตาให้กรุณาโปรดชี้แจงให้ข้าพเจ้าทราบด้วย
   ตาเฒ่าถามว่า ตัวเป็นคนสุจริตจริงหรือมาแกล้งหลอกลวงดอกกระมัง โป๊ยก่ายว่าตั้งแต่เกิดมาข้าพเจ้าไม่เคยหลอกลวงใครสักคำเดียวก็ไม่มี ตาเฒ่าจึงยั้งสักกะเท้าพูดว่า เขานี้เรียกว่า (ไซท่อซัว) ที่กลางหว่างเขาเรียกว่าถ้ำ (ไซท่อต๋อง) ในถ้ำนั้นมีพระยายักษ์สามคน โป๊ยก่ายได้ฟังร้องว่า (อนิจจา) ยักษ์สามคนเท่านี้ท่านตาวุ่นวายใจไปได้ ข้าพเจ้าสามคนพี่น้องคนละคนก็พอฆ่ายักษ์ได้ อาจารย์ข้าพเจ้าก็จะข้ามพ้นไปได้จะยากอะไรนักหนา ตาเฒ่าหัวเราะแล้วพูดว่า นี่ยังไม่รู้ว่าตื้นลึกหนาบาง ปีศาจยักษ์ทั้งสามนั้น มีฤทธาอานุภาพใหญ่หลวงนัก มีบริวารข้างทิศเหนือ ข้างหน้า ข้างหลัง คอยลาดตระเวนระวังระไวทำการต่าง ๆ ที่มีชื่อสี่หมื่นแปดพันคน ยังที่นอกนั้นไม่นับได้ มันคอยสกัดจับมนุษย์ในตำบลนี้กิน โป๊ยก่ายได้ฟังตาเฒ่าพูดดังนั้น ตัวสั่นสะท้านวิ่งกลับมาบอกพระอาจารย์ไม่ต้องพูดแล้ว ใครก็จงรักษาชีวิตของใครเถิด
   เห้งเจียด่าว่าอ้ายหมู เจ้าพูดอะไรอย่างนั้นฟังไม่ได้ โป๊ยก่ายบอกว่าตาเฒ่าแกบอกว่า เขานี้คือเขาไซท่อซัว ถ้ำไซท่อต๋อง ในถ้ำนั้นมียักษ์สามตน บริวารปีศาจมีชื่อแปดหมื่นสี่พัน ไม่มีชื่อนับไม่ถ้วน มันคอยสกัดจับมนุษย์อยู่ในตำบลนี้ พวกเราหากเดินพบปะพวกมัน ก็สำหรับเป็นเหยื่อมันทั้งสิ้น อย่านึกเลยว่าจะข้ามไปได้ ​พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นขนหัวพอง เรียกเห้งเจียมาถามว่าการเป็นดังนี้เราจะคิดอ่านประการใดดี เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า พระอาจารย์จงวางใจเถิด นิมนต์ท่านตั้งใจไปเถิด ข้าพเจ้าคงจะแก้ไขไปให้ได้ พระถังซัมจั๋งไม่รู้แห่งที่จะทำประการใด ก็ขึ้นม้าพากันเดินไป
   ในเวลาที่เดินไปนั้นแลไม่เห็นตาเฒ่า ซัวเจ๋งว่าเห็นจะเป็นปีศาจมาทำเขียนเสือให้วัวกลัวดอกกระมัง เห้งเจียว่าเราต้องไปดูก่อน จึงขึ้นบนโขดเขาสูงแลไปรอบไม่เห็นอะไร แลไปกลางอากาศเห็นเมฆมีสีวับแวม เห้งเจียก็เหาะตามไปดู เห็นท่านไท๊เป๊กกิมแช เห้งเจียก็ร้องเรียกชื่อเดิมว่า ลี้ตึ้งแกมาบอกก็ดีแล้วทำไมไม่บอกโดยตรง แกล้งแปลงเป็นรูปตาเฒ่ามาหลอกลวงกันเล่า ไท๊เป๊กกิมแชก็ตกใจคำนับว่า ข้าพเจ้าบอกช้าไปอย่าถือโทษเลย อันปีศาจยักษ์นั้นมีฤทธาอานุภาพใหญ่หลวงนัก ถ้าท่านใต้เซี้ยคิดอ่านให้ดีก็พอจะข้ามไปได้ หากว่าใจเกียจคร้านละเลยจะไปก็ยากแท้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หันกลับลดลงยังพื้นกลับมาหาพระอาจารย์ บอกว่าตาเฒ่าเมื่อตะกี้นี้ นั้นคือท่านไท๊เป๊กกิมแชมาบอกข่าวให้รู้เหตุ
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าเห้งเจียจงรีบตามไปถามดูว่า มีทางอื่นที่จะลัดไปได้บ้างหรือไม่ พวกเราจะได้พากันหลีกไป เห้งเจียพูดว่าจะไปทางอื่นนั้นไม่ได้ หนทางนี้ข้ามไปถึงแปดร้อยโยชน์รอบสี่ทิศหนทางอื่นไม่รู้ว่ามากน้อยเท่าใดจะไปอย่างใดได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็โทมนัสร้องไห้ว่าสานุศิษย์มีความลำบากขัดข้อง​ดังนั้นจะทำอย่างไรจึงจะไปนมัสการพระพุทธเจ้าได้เล่า เห้งเจียพูดว่าจะร้องไปให้ป่วยการทำไม แม้เธอจะมาบอกดังนั้นก็ยังจะเอาเป็นแน่ไม่ได้ ขอแต่ให้พวกเราตั้งใจให้มั่นคงเถิด อาจารย์ลงพักก่อนให้โป๊ยก่ายซัวเจ๋งอยู่เฝ้าอาจารย์ ข้าพเจ้าจะขึ้นไปบนยอดเขาฟังดูเหตุการณ์ จะร้ายดีเป็นประการใด ว่าแล้วเห้งเจียก็เหาะขึ้นไปกลางอากาศ พิเคราะห์ดูเขานั้นก็เห็นเงียบสงัดไม่มีคน เห้งเจียก็ค่อยสอดดูก็ได้ยินเสียงทางเขาเอะอะอึกกะทึกตีเสียงสัญญา
   เห้งเจียหันไปแลดูก็เห็นปีศาจน้อยตนหนึ่งแบกธงคันหนึ่งมียี่ห้อตัวหนังสือ ที่เอวแขวนระฆัง ๆ หนึ่ง มือก็ตีไม้เกราะเดินมาแต่ข้างทิศอุดรข้ามมาข้างทิศอาคเนย์ เห้งเจียพิเคราะห์ดูโดยละเอียดเห็นปีศาจรูปร่างสูงกว่าหกศอก เห้งเจียหัวเราะนึกว่าอ้ายคนนี้เห็นจะเป็นคนเดินส่งหนังสือ เราไปฟังมันดูก็จะรู้ได้ คิดแล้วก็ร่ายคาถาแปลงเป็นแมลงวัน โผบินจับอยู่บนยอดหมวกปีศาจนั้น ปีศาจก็เดินขึ้นทางใหญ่มือเคาะเกราะสั่นระฆังเดินไป ปากบ่นร้องว่าข้าพเจ้าเป็นคนลาดตระเวนตรวจตรา ท่านทั้งหลายจงระวังระไวให้ดี ด้วยเห้งเจียมันเข้าใจแปลงเป็นแมลงวัน เห้งเจียได้ยินก็ตกใจ คิดว่าทำไมมันจึงรู้ว่าแปลงเป็นแมลงวันและทำไมจึงรู้ว่าเราชื่อเห้งเจีย ด้วยแต่ก่อนเราก็ไม่เคยพบปะแก่มันหรือนายมันจะสั่งเสียกันไว้อย่างไรดอกกระมัง มันจึงเที่ยวร้องประกาศดังนี้ 
   เห้งเจียชักตะบองออกจะตีแล้วยั้งนึกได้ว่าโป๊ยก่ายได้ถามไทเป๊กกิมแชว่าปีศาจนายมันสามคน บริวารมันมีถึงแปดหมื่นสี่พัน เรา​อย่าเพิ่งทำมันก่อนเลย แต่ไม่รู้ว่านายมันสามคนนั้นจะมีฝีไม้ลายมืออย่างไร อย่ากระนั้นเลยจำเราจะถามมันดูให้รู้เหตุแล้วจึงจะลงมือ คิดแล้วก็โผบินออกจากหมวกปีศาจขึ้นจับบนต้นไม้ ให้ปีศาจเดินพ้นไปสักสิบก้าว เห้งเจียก็แปลงเป็นปีศาจน้อยให้เหมือนกัน มือก็ถือเกราะถือระฆังสั่นมา บ่าก็แบกธงยี่ห้อเหมือนปีศาจอย่างเดียวกัน ปากก็ร้องประกาศเหมือนแก่ปีศาจ เดินตามปีศาจมาร้องเรียกว่าพี่เดินมาข้างหน้านั้นหยุดก่อน ปีศาจน้อยหันหน้ากลับมาถามว่าแกมาจากไหน เห้งเจียพูดว่าอะไรคนพวกเดียวกันก็ไม่รู้จักกันด้วย
   ปีศาจว่าพวกข้าพเจ้าไม่มีแก เห้งเจียถามว่าทำไมพวกแกจึงไม่มีข้าพเจ้าเล่า เห้งเจียว่าดูให้ดีหรือจำหน้าได้หรือไม่ได้ ปีศาจว่าเราจำหน้าไม่ได้ เห้งเจียบอกว่าเราคือพวกจุดไฟ ปีศาจสั่นศรีษะะบอกว่าพวกข้าพเจ้าก็พวกจุดไฟ แต่ไม่มีคนอย่างนี้และธรรมเนียมของใต้อ๋องนั้นเข้มงวด พวกจุดไฟก็ทำธุระแต่การจุดไฟ พวกลาดตระเวนก็รักษาตามพวกลาดตระเวน ใช้ให้จุดไฟแล้วกลับใช้ให้ลาดตระเวนนั้นยังไม่เคยเห็น เห้งเจียว่าตัวไม่รู้เหตุ ข้าพเจ้าจุดไฟดีใต้อ๋องจึงให้ข้าพเจ้ามาตรวจที่นี่ ปีศาจน้อยกลับถามว่าดังนั้นหรือ พวกข้าพเจ้าสิบชื่อเป็นกองลาดตระเวนสิบหมู่รวมสี่ร้อยคนมีชื่อทุก ๆ คน และใต้อ๋องให้ป้ายสัญญาพวกข้าพเจ้าทุก ๆ คน ก็ป้ายสัญญาของตัวอยู่ที่ไหนเล่า เห้งเจียนิ่งมิได้ตอบ ก็พูดเสียงดังขึ้นว่าทำไมเราจะไม่มี เพราะป้ายของเราพึ่งรับใหม่ ก็ป้ายของตัวอยู่ที่ไหนเอาออกมาดูทีหรือ
   ​ปีศาจก็แหวกเสื้อขึ้นชักออกมาเป็นป้ายทองคำอันหนึ่ง ส่งให้เห้งเจียดู เห้งเจียดูเห็นข้างป้ายมีหนังสือสี่ตัวว่า (ฮุยติ๋นจูมอ) แปลว่าอำนาจปกมารทั้งหลาย ข้างหน้าป้ายมีสามตัวว่า (เซี้ยวจั๊นฮอง) แปลว่ากองสอดแนม เห้งเจียเห็นดังนั้นก็มีความยินดี แต่ในใจว่าไม่ต้องตรึกตรอง พวกนี้เป็นพวกลาดตระเวนแน่แล้ว จึงมีอักษรตัวฮองดังนี้ จึงส่งป้ายคืนให้แก่ปีศาจแล้วพูดว่า เราจะเอาป้ายของเราออกให้ดู เห้งเจียเอามืองล้วงถอนขนปลายหางเส้นหนึ่ง เสกให้เป็นป้ายทองคำอันหนึ่งเหมือนของปีศาจ มีอักษรสามตัวว่า (จ๊งจั๊นฮอง) แปลว่าบังคับพวกลาดตระเวนเอาป้ายส่งให้ปีศาจดู ปีศาจเห็นอักษรสามตัวว่า จ๊งจั๊นฮอง ก็ตกใจถามว่าของเรามีอักษรสามตัวว่าเซี้ยวจั๊นฮอง ของท่านทำไมมีจ๊งจั๊นฮอง
   เห้งเจียตอบว่าตัวยังไม่เข้าใจ ใต้อ๋องเห็นว่าเรามีความชอบจุดไฟตามไฟดี จึงตั้งให้เป็นนายลาดตระเวน จึงใส่อักษรจ๊งจั๊นฮองให้เราบังคับพวกลาดตระเวรสี่สิบคน ปีศาจได้ฟังดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับ ว่าท่านผู้ใหญ่ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านรับที่ตั้งมาใหม่ ที่ข้าพเจ้าพูดผิดพลั้งไปบ้างนั้น ขออภัยเสียเถิด เห้งเจียรับคำนับแล้วหัวเราะพูดว่า ซึ่งท่านผิดพลั้งนั้นเราไม่ถือจะต้องประสงค์อย่างหนึ่ง แต่จะต้องประสงค์เก็บเงินคนละห้าตำลึงเท่านั้น ปีศาจพูดว่า ท่านอย่ารีบร้อนเก็บนักขอทุเลาก่อน รอข้าพเจ้าข้ามไปข้างมุมเขาทิศอาคเนย์ประชุมพี่น้องพร้อมกันแล้ว จึงจะนำมากราบเท้าท่าน เห้งเจียว่าถ้าดังนั้นเราจะไปด้วย แล้วปีศาจก็ออกเดินหน้า​เห้งเจียก็เดินตามหลัง เดินมาประเดี๋ยวก็ถึง เห้งเจียก็ขึ้นนั่งที่บนโขดสูง ร้องเรียกว่าพวกลาดตระเวนจงมาพร้อมกัน
รูปภาพ ; ปีศาจต้ายพังเจียตนนี้ กำเนิดเดิมเป็นนกอินทรี สำนักนิอยู่เขาเล่งซัว หลบหนีมาเป็นสมัครพรนคพวกแก่แป๊ะเฉียเจียแลไซจื๊อเจียใต้อ๋องทั้งสองที่เขาซือท่อซัว คอยสกัดจับพระถังซัมจั๋ง เห้งเจียไปกราบทูลพระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงเสด็จมายังเมืองซือท่อก๊ก จับตัวนกอินทรีพากลับไปไว้ยังสำนักนิเขาเล่งซัว ปฏิบัติธรรมเจริญกรรมฐานภาวนารักษาศีล มิได้ไปทำร้ายฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอีกต่อไป
   พวกเหล่านั้นก็พากันมาพร้อมยืนคำนับอยู่ข้างล่าง บอกว่าพวกข้าพเจ้ามาพร้อมแล้ว เห้งเจียถามว่า พวกเจ้ารู้หรือเปล่าว่าใต้อ๋องตั้งเราให้ออกมาตรวจ พวกปีศาจบอกว่าพวกข้าพเจ้ายังไม่ทราบ เห้งเจียว่าใต้อ๋องอยากกินเนื้อพระถังซัมจั๋ง แต่วิตกด้วยเห้งเจียมีฤทธิ์เดชมาก บางทีจะแปลงกายเป็นพวกลาดตระเวนมาที่นี่ สืบดูหนทางที่จะหนีไป จึงได้ตั้งให้เราเป็นที่จ๊งจั๋นฮอง บังคับตรวจตราดูแลในที่แห่งนี้ ในพวกเจ้าทั้งหลายมีใครได้เก๊บ้าง พวกปีศาจพร้อมกันพูดว่าพวกข้าพเจ้าไม่มีใครเก๊จริงทั้งนั้น เห้งเจียว่าแม้ว่าไม่ปลอมแล้วทุกคนคงจะรู้ว่าใต้อ๋องนั้นมีฤทธาอานุภาพอย่างไร พวกปีศาจบอกว่าข้าพเจ้าเข้าใจ เห้งเจียพูดว่าเจ้ารู้อย่างไรให้ว่าไปข้าจะได้รู้ว่าเจ้าจริงหรือเก๊ ถ้าพูดถูกก็เป็นจริง ถ้าพูดไม่ถูกก็เป็นเก๊เราจะจับตัวไปให้ใต้อ๋องชำระ
   พวกปีศาจเห็นเห้งเจียพูดจาห้าวหาญก็คิดว่าจริงจึงได้บอกความตามจริงทุก ๆ คนว่า ข้าพเจ้าทราบว่า ใต้อ๋องมีฤทธิ์เดชปากหนึ่งอ้าจะกินเทพบุตรได้สิบหมื่น เห้งเจียได้ฟังปีศาจว่าดังนั้นจึงตวาดว่าเจ้าเหล่านี้เห็นจะเก๊ดอกกระมัง ปีศาจน้อยตกใจบอกว่า ข้าพเจ้าจริงมิใช่เก๊ เห้งเจียพูดว่า เจ้าเป็นคนไม่เก๊ทำไมจึงพูดเลอะเทอะดังนั้น ใต้อ๋องตัวใหญ่สักเท่าใดจึงจะอ้าปากกลืนคนได้ถึงสิบหมื่น ปีศาจพูดว่าท่านยังไม่ทราบเหตุเดิม ใต้อ๋องนั้นเปลี่ยนแปลงกายได้ อยากให้เท่าฟ้าก็ได้อยากให้เท่าเมล็ดพรรณผักกาดก็ได้ เหตุด้วยครั้งก่อน​นางท้าวเทวราชเจ้าแม่อ๋องโป๊เนี่ยเนี้ย เลี้ยงโต๊ะชมพู่ทิพย์เป็นคราวประชุมใหญ่เชิญเทพบุตรและเทพาอารักษ์ทั้งหลาย มิได้มีหนังสือมาเชิญใต้อ๋อง ๆ จึงได้ขึ้นไปชิงชัยบนสวรรค์ เง็กเซียงฮ่องเต้ให้พลทหารเทพบุตรคุมพลสิบหมื่นลงมากำจัดใต้อ๋อง ๆ ก็แปลงตัวโตใหญ่ปากเท่าประตูเมืองจะกินพลเทพบุตรทั้งสิบหมื่น เทพบุตรไม่อาจต่อสู้ปิดประตูน่ำทีหมึง เพราะฉะนั้นปากจึงอมและกลืนพลได้สิบหมื่นคน
   เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ คิดในใจว่าอย่างนี้เราก็ทำได้ จึงถามอีกต่อไปว่าก็ยังใต้อ๋องที่สองนั้นมีฤทธาอานุภาพอย่างไรเล่า ปีศาจคนหนึ่งพูดว่าใต้อ๋องที่สองนั้น ตัวสูงสามวาคิ้วเรียวยาวตลอด ตานั้นดุจนกหงส์รูปงาม จมูกและฟันดุจมังกรและหงษ์ไปสู้รบแก่ผู้ใด ก็เอาจมูกยื่นออกไปม้วนถึงร่างกายจะเป็นเหล็กหรือทองแดงก็ต้องขวัญหาย เห้งเจียได้ฟังก็หัวเราะ แต่ไม่วิตกอะไรจึงถามต่อไปว่า ก็ใต้อ๋องที่สามนั้นมีฝีมืออย่างไร ปีศาจจึงบอกว่า ใต้อ๋องที่สามนั้นมิใช่มนุษย์นามเรียกว่า (หุ้นเที้ยบ้วนลี้พั้ง) แปลว่าพญาครุฑหมื่นโยชน์ทางเมฆ แม้จะไปไหนกระพือปีกหวั่นไหวทั้งมหาสมุทร มีของวิเศษติดตัวสิ่งหนึ่งเรียกว่า (อิมเอี๋ยงยี่ขี่เพ้ง) คือขวดประกอบฟ้าดินส่องไอถ้าจับคนใส่ในขวดสั่กชั่วโมงก็ละลายเป็นน้ำโลหิตไป
   เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ออกคร้ามใจอยู่คิดในใจว่า อันปีศาจนั้นไม่สู้กระไรจะต้องระวังแต่ขวด เห้งเจียจึงพูดว่าที่ตรงฤทธาอานุภาพของใต้อ๋องนั้น พวกเจ้าพูดก็ถูกต้องกันแก่​ที่เรารู้มาแล้ว แต่ใต้อ๋องคนไหนเล่าจะอยากกินเนื้อถังซัมจั๋ง ปีศาจพูดว่าท่านยังไม่เข้าใจ เห้งเจียตวาดว่าเราจะไม่รู้ดังเจ้าหรือ เรากลัวพวกเจ้าจะไม่รู้ละเอียดเช่นเรา จึงให้เรามาตรวจถามพวกเจ้าดูให้แน่ ปีศาจน้อยบอกว่าที่หนึ่งกับที่สองนั้นอยู่ที่เขาไซท่อซัว ถ้ำไซท่อต๋องนั้นมานานแล้ว แต่ใต้อ๋องมิได้อยู่รวมกัน อยู่ห่างนี้ไปทางตะวันตกสี่ร้อยโยชน์ ที่ตรงนั้นมีเมืองชื่อว่าเมือง (ไซท่อก๊ก)
รูปภาพ ; ปีศาจเแป๊ะเฉียเจียนี้กำเนิดเดิมเป็นสัตว์ช้างเผือก พระโพธิสัตว์เห้าเฮี้ยง เอาไปเลี้ยงไว้ยังสำนักนิเขาเง่าเท้าซัว ได้สดับรับฟังพระธรรมเทศนามากเข้า จิตใจก็สงบระงับมีอารมณ์อันละเอียดได้สำเร็จฌานส่วนโลกิยธรรมจึงบังเกิดอิทธิฤทธิ์เดชานุภาพ อาจจะเปลี่ยนแปลงรูปกายได้ดังประสงค์ เป็นสมัครพรรคพวกแก่ไซจื้อเจีย แลต้ายพังเจียนกอินทรี สำนักนิอาศัยอยู่ที่เขาซือท่อซัว คอยสกัดจับพระถังซัมจั๋ง เห้งเจียต้องไปกราบทูลพระพุทธเจ้า ๆ ทรงทราบจึงโปรดให้พระอานนท์กับพระกัสสปะ ไปนิมนต์พระโพธิสัตว์เห้าเฮี้ยนมาจับเอาไปไว้เสียตามเดิม
   เมื่อห้าร้อยปีก่อนนั้น กินคนหมดทั้งเมืองไม่ว่าเจ้าและขุนนางหรือราษฎรชายหญิงเด็กผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นบัดนี้จึงได้ชิงเอาบ้านเมืองเป็นที่อยู่ของเธอมาจนทุกวันนี้ ไม่ทราบว่าเธอสืบรู้มาจากไหนว่าเมืองใต้ถังมีรับสั่งให้พระถังซัมจั๋งไปไซทีอาราธนาพระธรรม แลว่าถังซัมจั๋งนั้นได้บวชบริสุทธิ์มาสิบชาติแล้ว ถ้าผู้ใดได้กินเนื้อเธอก้อนหนึ่งก็จะมีอายุยืนนาน แต่วิตกด้วยพระถังซัมจั๋งนั้นมีสานุศิษย์อยู่คนหนึ่งชื่อซึงเห้งเจีย มีฤทธิ์เดชเชี่ยวชาญมาก ใต้อ๋องที่สามเกรงว่าเธอผู้เดียวจะทำการไม่สำเร็จจึงมาผูกสมัครกับใต้อ๋องคนที่หนึ่งที่สอง รวมกันจะคอยสกัดจับพระถังซัมจั๋ง เห้งเจียได้ฟังปีศาจเล่าให้ฟังทุกประการแล้ว จึงพูดว่าเจ้าทั้งหลายที่พูดมานี้ก็ไม่ผิดรู้จริงอยู่แล้ว เราไม่ต้องถามต่อไปอีกแล้ว แต่จะต้องประสงค์เงินเท่านั้น ที่เจ้ามาแรกนั้นต้องตามเราไปหาใต้อ๋อง บอกให้เธอทราบเรื่องที่เราได้มาตรวจแล้ว ปีศาจที่ลาดตระเวนมาก่อนนั้น ก็ตามหลังเห้งเจียไป
   ครั้นพากันเดินมาประมาณสักยี่สิบเส้น เห้งเจียก็ชักตะบองออกตีปีศาจนั้นล้มลง​เนื้อน่วมดุจถุงใส่แป้ง เห้งเจียก็ชักเอาป้ายหนังสือเหน็บหลังไว้เอาธงแบกใส่บ่ามือก็จับระฆังเคาะเกราะ ร่ายคาถาแปลงกายเป็นรูปปีศาจน้อยลาดตระเวร เดินกลับมาหาประตูถ้ำสืบดูร้ายดีของปีศาจใต้อ๋องทั้งสามนั้นว่าจะเป็นประการใด กำลังเดินมาก็ได้ยินเสียงคนโห่ม้าร้อง เห้งเจียแลไปดูที่หน้าถ้ำไซท่อต๋อง มีพวกบริวารประมาณหมื่นเศษต่างถืออาวุธ หอกดาบ แหลนหลาวทุก ๆ คน เห้งเจียยืนตรึกตรองว่า เราจะเข้าไปอ้ายปีศาจใหญ่ใต้อ๋องมันจะถามเหตุการณ์ลาดตระเวน เราก็จะโต้ตอบตามการ บางทีจะพูดผิดไปรู้ถึงเรา ๆ ก็จะวิ่งหนีออกไป พวกที่เฝ้าประตูนั้นถ้ามันจับตัวไว้จะทำอย่างไรจึงจะหนีไปได้ ก็จะต้องถูกจับตัวไปให้ใต้อ๋อง จ่าเราจะต้องกำจัดพวกที่อยู่หน้าประตูเสียก่อน ทั้งปิศาจใต้อ๋องมันก็ยังมิได้เคยรู้จัก รู้แต่ชื่อเท่านั้น เราลองพูดกระทบดูสักคำหนึ่งจะเป็นประการใด 
   เห้งเจียคิดดังนั้นแล้ว มือสั่นระฆังเคาะเกราะเดินไปยังประตูถ้ำ ครั้นถึงพวกปีศาจกองหน้าถามว่าท่านลาดตระเวรมาแล้วหรือ เห้งเจียไม่พูดว่ากระไร เดินเลยเข้าไปถึงประตูชั้นที่สองพวกเฝ้าประตูก็ยึดไว้ถามว่าท่านลาดตระเวนมาแล้วหรือ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้ามาแล้ว ถามว่าไปลาดตระเวนคราวนี้ พบปะตัวเห้งเจียบ้างหรือเปล่า เห้งเจียตอบว่า เราได้ไปพบเธอกำลังถูสีอยู่ พวกนั้นถามว่า รูปร่างเป็นอย่างไรถูสีอะไร เห้งเจียตอบว่า รูปร่างดุจพระยายมราชยืนขึ้นสูงประมาณยี่สิบวากว่า มือถือตะบองเหล็กโตประมาณสี่กำ กำลัง​ยืนถูตะบองอยู่ที่ริมห้วยน้ำ ปากพูดว่าตั้งแต่เอามาก็ยังมิได้เอาออกแผลงฤทธิ์ลองฝีมือเลย ในครั้งนี้ปิศาจสิบหมื่นมันจะต้องตายแทนเราก่อน ถ้าเราฆ่าอ้ายปีศาจใต้อ๋องทั้งสามแล้ว เราจึงจะเส้นให้แก่พวกปีศาจน้อยเหล่านั้น เธอจะฆ่าพวกตัวก่อนทั้งนั้น
   พวกปีศาจน้อยได้ฟังดังนั้นทุก ๆ คนจิตใจได้หวั่นหวาด เห้งเจียจึงพูดต่อไปว่า ท่านทั้งหลายจงเข้าใจเถิดว่า อันเนื้อหนังถังซัมจั๋งนั้นไม่มีกี่ชิ้น หากจะแจกไม่ถึงเรา พวกเราหากจะพอใจไปตายแทนหรือ สู้เราพากันแยกย้ายซ่อนเร้นไปเสียดีกว่า พวกพลปีศาจเหล่านั้นพูดว่าพี่พูดดังนี้ถูกต้อง เราทั้งหลายควรจะรักชีวิตของเรา โดยเหตุว่าพวกเราทั้งหลายรับคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งตั้งอยู่ในยุติธรรม ถึงจะตายก็ไม่อาจทิ้งไปได้ นี่มันเป็นพวกสัตว์เนื้อเสือร้าย เราไม่ควรจะเอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่า ๆ พูดแล้วก็ต่างคนแยกย้ายกันไปหมดทั้งสิ้น
(บทที่ ๗๕)
 เห้งเจียเห็นดังนั้นก็มีความยินดี จึงเดินเข้าไปในถ้ำถึงประตูชั้นที่สาม แลขึ้นไปเห็นปีศาจทั้งสามนั่งอยู่ข้างบน พิเคราะห์ดูกิริยาหน้าตาดุร้าย ที่เป็นนายหมวดนายกองยืนเรียงรายสองข้างเป็นลำดับ เห้งเจียก็มิได้สะดุ้งหวาดหวั่นจึงเดินเข้าไปถึงเอาเกราะระฆังธงวางลงแล้ว คำนับร้องเรียกว่าใต้อ๋อง ฝ่ายปีศาจทั้งสามถามว่าเจ้าจั๊นฮอง ไปลาดตระเวนกลับมาแล้วหรือ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้ากลับมาแล้ว ปีศาจถามว่า เจ้าไปลาดตระเวนฟังข่าวซึงเห้งเจียนั้นได้ข่าวอยู่ที่ไหน มาหรือยังเป็นประการใด​บ้าง เห้งเจียว่าใต้อ๋องอยู่ข้างบนข้าพเจ้าไม่กล้าบอก ปีศาจถามว่าเหตุใดไม่กล้าบอก เห้งเจียบอกว่าใต้อ๋องมีคำสั่งให้ข้าพเจ้าไปลาดตระเวน ข้าพเจ้าไปเห็นคนหนึ่งยืนถูขัดตะบองอยู่ข้างห้วย รูปร่างดุจพระยายมราช ยืนสูงสักยี่สิบวากว่า นั่งบนก้อนศิลาใหญ่ขัดถูเครื่องมือปากก็พูดแก่เครื่องมือว่า ตั้งแต่มาก็ยังมิได้เอาออกแผลงฤทธิ์แสดงอานุภาพให้ปรากฎเลย เธอจะมาตีใต้อ๋อง ข้าพเจ้ารู้แน่ว่าเห้งเจีย จึงรีบกลับมาบอกใต้อ๋องให้ทราบเสียก่อน เพื่อจะได้คิดอ่านต่อสู้ประการใด
   ฝ่ายปีศาจใต้อ๋องเมื่อได้ฟังดังนั้น เหงื่อไหลโทรมกาย แล้วพูดว่าเราพี่น้องอย่าได้ไปถูกต้องพระถังซัมจั๋งเลยจะเกิดเหตุใหญ่ ด้วยเธอมีสานุศิษย์ซึ่งมีฤทธาอานุภาพใหญ่หลวง มันคอยระวังเสียก่อนแล้ว มันกลับเตรียมอาวุธจะมาทำร้ายเราก่อน พวกเราจะคิดอย่างไร ควรเราจะให้พวกปีศาจน้อยปิดประตูเสียทุก ๆ ประตู คอยระวังและให้พวกปีศาจน้อยเข้าอยู่ในประตูให้หมด ปล่อยให้พระถังซัมจั๋งเธอข้ามไปเสียเถิด
รูปภาพ ; ปีศาจไซจื๊อนี้ กำเนิดเดิมเป็นราชสีห์ พระโพธิสัตว์บุญซู้เอาไปทะนุบำรุงเลี้ยงไว้ ยังสำนักนิเขางอมิซัว ได้สดับรับฟังพระสัทธรรมคำสอนมากเข้า จิตใจก็เชื่องคุ้นในทางฌานและสมาบัติเชี่ยวชาญสำเร็จมีอิทธิฤทธิ์อาจเปลี่ยนแปลงกายได้ต่าง ๆ มีเดชานุภาพกล้าหาญหลบหนีพระโพธิสัตว์บุญซู้ลงมาสำนักนิอยู่ที่เขา ซือท่อซัว ถ้ำซือท่อต๋อง คอยสกัดจับพระถังซัมจั๋งไปไว้ยังเมืองซือท่อก๊ก เห้งเจียไปกราบทูลพระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงโปรดให้พระอานนท์กับพระกัสสปะไปนิมนต์พระโพธิสัตว์บุญซู้มาจับเอาตัวไปไว้ตามเดิม
   พวกนายหมวดนายกองที่รู้เหตุบอกแก่ปีศาจใต้อ๋องว่า พวกปีศาจน้อยเหล่านั้นพากันหลบหนีไปหมดแล้ว ปีศาจใต้อ๋องถามว่าทำไมจึงพากันแตกไปหมดเล่า หรือได้ฟังลมว่าไม่ดีดอกกระมัง จงรีบปิดประตูเสียโดยเร็วเถิด พวกปีศาจเหล่านั้นต่างก็วุ่นวายกันรีบปิดประตูในนอกทุก ๆ ประตู เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ตกใจว่า มันปิดประตูเสียทุกๆ ประตูดังนี้ บางทีมันจะถามความลับเรา ถ้าเราพูดไม่ตลอดก็จะมิต้องหนีหรือ ​จำเราจะหลอกให้มันตกใจอีกสักที ให้มันเปิดประตูไว้ คิดแล้วจึงพูดว่าใต้อ๋องเห้งเจียนั้นมันได้พูดว่าร้ายแรงนัก
   ใต้อ๋องถามว่ามันพูดว่ากระไร เห้งเจียบอกว่ามันพูดว่า มันจะจับใต้อ๋องลอกหนังเสีย แล้วจับใต้อ๋องที่สองสับให้กระดูกละเอียด จับใต้อ๋องที่สามชักเอาเอ็นออก แม้ว่าเราปิดประตูอยู่ในนี้ไม่ออกไป เห้งเจียมันเข้าใจเปลี่ยนแปลงกายได้ บางทีมันจะแปลงเป็นแมลงวันบินลอดเข้ามาในถ้ำนี้ จับพวกเราหมดเพราะปิดประตูขังไว้ให้มัน ใต้อ๋องจะควรคิดประการใดดีเล่า ปีศาจใต้อ๋องจึงพูดว่าไมเป็นไร แล้วสั่งว่าพวกเราจงระวังให้กวดขัน ในถ้ำของเรานี้หลายปีมาแล้วมิได้มีแมลงวันหัวเขียว ถ้ามีแมลงวันหัวเขียวเข้ามาแล้ว ก็คงจะเป็นเห้งเจียเป็นแน่ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็นึกหัวเราะอยู่ในใจ จึงยืนแอบมาข้างหนึ่งถอนเอาขนหางออกเส้นหนึ่ง เป่าแปลงเป็นแมลงวันทองตัวหนึ่ง บินมาจับที่หน้าปีศาจใต้อ๋อง ๆ ตกใจร้องว่า พวกพี่น้องเห็นจะไม่เป็นการพอพูดก็เข้ามาแล้ว
   พวกปีศาจใหญ่น้อยก็พากันตกใจวุ่นวาย ต่างเอาแส้และไม้กวาดตั้งใจคอยตี และปัดแมลงวัน เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะก๊ากใหญ่ ร่างกายก็กลายเป็นรูปเดิม ปีศาจใต้อ๋องที่สามเห็นดังนั้นก็มาจับตัวเห้งเจียไว้ พูดว่าพี่ใต้อ๋องพวกเราถูกมันหลอกให้แล้ว ที่มาบอกข่าวนี้ไม่ใช่พวกจั๊นฮองลาดตระเวน นี่คือซึงเห้งเจียมันไปพบพวกลาดตระเวนมันตีตายเสียแล้วแปลงกายมาหลอกลวงเรา จึงเรียกพวกปีศาจให้เอาเชือกมามัด จึงจับเห้งเจีย​พลิกหงาย ขึงมือและเท้าออกสี่แยกแล้ว จึงเปิดเสื้อขึ้นดูก็เป็นวานร ปีศาจที่หนึ่งจึงพิเคราะห์ดูก็พูดว่าจริงแล้วคือเห้งเจียเป็นแน่ จึงสั่งพวกพนักงานให้จัดโต๊ะสุรา มาให้ใต้อ๋องทั้งสามกินเป็นที่สำราญรื่นเริง จับอ้ายเห้งเจียได้แล้ว ถังซัมจั๋งก็เหมือนอยู่ในกำมือไม่ต้องวิตกแต่อย่างใด
   ปีศาจใต้อ๋องที่สามพูดว่า อย่าเพิ่งกินสุราก่อน ด้วยอ้ายเห้งเจียนี้มันเข้าใจบังตัวได้จะหนีไปเสีย จึงเรียกปีศาจน้อยสามสิบหกคนให้เข้าไปหามเอาขวดวิเศษออกมา จะได้ใส่อ้ายเห้งเจีย (เหตุใดขวดเท่านั้น จึงต้องยกถึงสามสิบหกคน เพราะขวดนั้นประกอบไอธาตุฟ้าดิน และในนั้น มีของวิเศษทั้งเจ็ดและธาตุโป๊ยก่วยทั้งแปดและประกอบยี่สิบสี่ไออากาศ จึงต้องสามสิบหกคนยก) พวกปิศาจเข้าไปหามขวดออกมาวางไว้กับพื้น ใต้อ๋องที่สามเดินมาเปิดฝาขวดออกแล้วแก้มัดเห้งเจีย ถอดเสื้อกางเกงออกแล้วก็จับยัดใส่ในขวด ร่ายเวทเป่าลงทีหนึ่ง เห้งเจียก็เข้าอยู่ในขวด จึงเอาฝาปิดดีแล้ว มานั่งเสพสุราพูดว่า อ้ายลิงมึงเข้าอยู่ในขวดแล้ว มึงอย่านึกเลย ว่าจะไปไซทีนั้นพวกบริวารปีศาจใหญ่น้อยเหล่านั้นก็พากันรื่นเริงหัวเราะ พูดสรรเสริญใต้อ๋องที่สาม
   ฝ่ายเห้งเจียเข้าอยู่ในขวด ถูกขวดวิเศษรัดตัวเล็กลง เห้งเจียก็แอบเข้าอยู่ข้างขวดประเดี๋ยวก็มีไอเย็นออกชื่นใจนึกขึ้นได้ก็หัวเราะว่า อ้ายพวกปีศาจมันพากันลือเสียเวลาเปล่า ๆ ไม่เห็นจริง คือว่าขวดนี้ใส่คนเข้าไปสามชั่วโมงก็แปรเป็นน้ำโลหิต ก็นี่ออกไอเย็นๆ ดังนี้จะอยู่ใน​นี้สักเจ็ดแปดปีก็ได้ไม่เห็นจะเป็นอะไร เมื่อเห้งเจียพูดขึ้นดังนั้นก็บังเกิดไฟขึ้นทันที แต่เห้งเจียมีธรรมอันวิเศษอยู่ในตัว จึงร่ายคาถาสะกดไฟใจก็ไม่หวั่นหวาด อยู่ได้ครึ่งชั่วโมง รอบขวดมีงูออกมาสี่สิบตัวไล่กัดเห้งเจีย ๆ ก็เอามือคว้าจับดึงขาดเป็นสองท่อน รวมเป็นแปดสิบท่อน ยังมีมังกรไฟสามตัวออกมาพันเห้งเจีย ๆ นึกเสียใจแล้วพูดว่าอย่างอื่นพอทนได้ มังกรไฟสามตัวนี้ยากที่จะแก้ได้ จึงกลับสู้อีกพักหนึ่งไฟก็ร้อนจับใจ
   เห้งเจียนึกขึ้นได้ว่า เราทำตัวเราให้สูงขึ้นไปให้ฝาขวดเปิดออก คิดแล้วก็ร่ายคาถาทำตัวให้สูงขึ้นสักสองสามวา แต่ขวดนั้นก็ยืดตามขึ้นไป เห้งเจียกลับทำตัวให้เล็กลงขวดก็เล็กลงตาม เห้งเจียสิ้นปัญญาไม่รู้ที่จะแก้ไขอย่างไรได้ ตัวก็เจ็บปวดไปทั้งตัวไฟก็เผาอ่อนลงทุกที ทุรนทุรายในใจอดอยู่ไม่ได้น้ำตาก็ไหลร่วงคร่ำครวญถึงพระอาจารย์ และท่านพระโพธิสัตว์ได้ชักนำสั่งสอนให้รักษาความชอบธรรมเพื่อให้พ้นโพยภัยอันตราย อาจารย์กับข้าพเจ้าได้ทนยากทรมานเผ็ดร้อนตั้งพันตั้งหมื่นครั้ง ก็เพราะจะตั้งใจให้สำเร็จซึ่งมรรคผล ไม่รู้เลยมาวันนี้เข้าอยู่ในขวดนี้จะเอาชีวิตมาทิ้งเสีย แล้วนึกดูว่าเดิมคงจะได้ทำไว้ จึงมาวันนี้จะต้องอันตรายอย่างนี้
   เวลาที่เห้งเจียคร่ำครวญอยู่นั้น ก็พอนึกขึ้นได้ว่า เมื่อที่เขาจั๋วบั๊วซัวนั้น พระโพธิสัตว์กวนอิมได้ให้ขนช่วยชีวิตเราสามเส้น ทำไมเราไม่เอาออกมาช่วยชีวิตเล่า เห้งเจียจึงเอามือคลำที่ท้ายทอย ขนนั้นแข็งดุจเข็ม เห้งเจียก็ถอน​ออกมาสามเส้น ๆ หนึ่งแปลงเป็นหมุดแหลม เส้นหนึ่งแปลงเป็นสายด้วย เส้นหนึ่งแปลงเป็นด้ามไม้ไผ่ ทำเป็นสว่านเจาะขวดนั้นทะลุและเห็นแสงสว่างมีไออากาศเข้ามาในขวด เห้งเจียก็เรียกขนกลับเข้าตัว จึงแปลงตัวเล็กเท่าแมลงหวี่ บินลอดออกมาตามรูที่เจาะนั้น ก็ยังไม่หนึไปกลับบินขึ้นจับอยู่บนศรีษะปีศาจใต้อ๋อง
   เวลานั้นปีศาจกำลังเสพสุราอยู่ นึกขึ้นได้จึงถามน้องคนที่สามว่า ป่านนี้เห้งเจียจะไม่แปรเป็นน้ำเลือดไปแล้วหรือ ใต้อ๋องที่สามพูดว่ามันจะทนอยู่ได้จนป่านนี้ทีเดียวหรือใต้อ๋องที่สามก็หามขวดมา พวกปีศาจสามสิบหกคนก็พากันไปหามขวดนั้นมา ขวดนั้นก็เบาไปมาก จึงร้องบอกปีศาจใต้อ๋องว่าขวดทำไมจึงเบาไปดังนี้เล่า ใต้อ๋องจึงตวาดว่าพูดเลอะเทอะมีปีศาจผู้หนึ่งยกขวดมาคนเดียว แล้วพูดว่าใต้อ๋องจงดูขวดทำไมจึงได้เบาไปอย่างนี้ ปีศาจใต้อ๋องเปิดฝาตรวจดูเห็นขวดทะลุเป็นรูที่ก้นขวด เห้งเจียอยู่บนศรีษะปีศาจอดมิได้พูดออกมาว่า เราเจาะทะลุออกมาเองพวกปีศาจพูดว่ามันหนีไปแล้ว ปีศาจใต้อ๋องก็สั่งให้พวกปีศาจรีบปิดประตู
   เห้งเจียร่ายพระเวทเรียกเอาเสื้อกางเกงมาแล้ว ก็แปลงกลับเป็นรูปเดิม หนีออกจากประตูถ้ำ เหาะขึ้นไปทาอาจารย์ครั้นถึงก็เดินเข้ามานมัสการพูดว่าพระอาจารย์ข้าพเจ้ามาแล้ว พระถังซัมจั๋งว่าเห้งเจียไปนานนักอาตมาคอยเป็นทุกข์อยู่ ที่ในเขานั้นร้ายดีอย่างไรบ้าง เห้งเจียก็เล่าเรื่องที่เข้าไปทนทุกข์อยู่ในขวดนั้นให้พระอาจารย์ฟัง จนกลับมาหา​พระอาจารย์ได้ เปรียบเหมือนได้เกิดใหม่อีกชาติหนึ่ง พระถังซัมจั๋งได้ฟังก็มีใจขอบคุณเห้งเจียเป็นอันมาก แล้วถามว่าเห้งเจียได้ต่อสู้แก่ปีศาจยักษ์หรือเปล่า พวกเราจะทำอย่างไรจึงจะข้ามเขาไปได้ เห้งเจียบอกว่าใต้อ๋องนั้น มันมีสามคนปีศาจบริวารมีกว่าแสน ข้าพเจ้าคนเดียวไม่กล้าจะต่อสู้แก่มัน คราวนี้ข้าพเจ้าจะให้โป๊ยก่ายไปด้วยอีกคนหนึ่งจะได้ช่วยกัน
   โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็จัดแจงแต่งตัวให้มั่นคง เห้งเจียกับโป๊ยก่ายก็พากันเหาะไป บัดเดี๋ยวก็มาถึงประตู แลไปเห็นประตูถ้ำปิดแน่น หน้าประตูเงียบสงัดไม่เห็นมีคนรักษา เห้งเจียถือตะบองเดินเข้าไปใกล้ประตู ร้องด่าว่าอ้ายพวกมารร้ายไม่มีเงาหัวเองจงเร่งเปิดประตูออกมาต่อสู้แก่เรา เมื่อปีศาจใต้อ๋องได้ฟังเห้งเจียมาร้องด่าท้าทายดังนั้น อกใจให้หวั่นหวาดครั่นคร้ามด้วยเหตุเขาเล่าลือกันมาช้านานแล้วว่า อ้ายลิงตัวนี้มันดุร้ายห้าวหาญนัก ก็สมจริงดังคำเล่าลือ มันแปลงเป็นพวกลาดตระเวนเข้ามาเราก็มิได้รู้เท่า ครั้นใต้อ๋องที่สามรู้จับตัวใส่ขวดไว้ มันก็เจาะขวดทะลุหนีออกมาได้ แล้วยังกลับมาท้าชวนรบ ผู้ใดจะสามารถออกไปสู้รบได้บ้าง
   เมื่อปีศาจใต้อ๋องถามขึ้นดังนั้น ก็มิได้มีผู้ใดจะตอบว่ากระไร ปีศาจใต้อ๋องก็มีความโกรธยิ่งนัก จึงพูดว่าเราอยู่หนทางไซทีนี้ วันนี้อ้ายเห้งเจียมันมายืนท้าทำหมิ่นประมาทดังนี้ ถ้าไม่ออกไปรบต่อสู้แก่มันเราก็จะเสียชื่อเสียง จำจะต้องออกไปสู้รบแก่มัน ถ้าได้ชัยชนะเนื้อถังซัมจั๋งก็จักเป็นเหยื่อของเรา ถ้า​เราสู้มันมิได้ เราก็หนีเข้าถ้ำปิดประตูนิ่งเสีย ปล่อยให้มันข้ามเขาไป คิดเห็นดังนั้นแล้วก็จัดแจงแต่งตัวใส่เกราะถืออาวุธเปิดประตูออกมาร้องถามว่า อ้ายคนใดมาร้องท้าทายว่ากระไร เห้งเจียตอบว่าเราเอง ชื่อว่าซึงหงอคงซีเทียนใต้เซี้ย
   ปีศาจใต้อ๋องถามว่า อ้ายชาติลิงหัวใจใหญ่ เรามิได้ไปเกี่ยวข้องอะไรถึงเจ้า เหตุใดเจ้าจึงมาร้องเรียกร้องหาท้าทายดังนี้เล่า เห้งเจียตอบว่าเจ้าไม่เกี่ยวถึงข้าก็ดีแล้ว แต่เจ้าเป็นสมัครพรรคพวกสัตว์เนื้อเสือร้าย คิดจะกินเนื้ออาจารย์เรา เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมาทำอิทธิฤทธิ์ ปีศาจใต้อ๋องพูดว่า แม้ว่าเจ้าเป็นคนเก่งเชี่ยวชาญจริงแล้ว จงมาต่อสู้กันตัวต่อตัวอย่าให้ต้องพวกพลทหารได้ความยากเลย ไว้ชื่อเสียงให้ปรากฎไปภายหน้า เห้งเจียได้ฟังดังนั้น จึงเรียกโป๊ยก่ายมาสั่งว่า ให้มาคอยดูอยู่ที่นี้ว่าปีศาจมันจะทำประการใดแก่พี่ โป๊ยก่ายก็มายืนอยู่ใกล้เห้งเจีย ปีศาจใต้อ๋องจึงพูดว่า เจ้าก้มศรีษะมาให้เราฟันก่อนสักสามที ถ้าไม่เป็นอันตรายแล้ว เราจะปล่อยให้เจ้าไป หากคุ้มศรีษะของเจ้ามิได้แล้ว จงส่งถังซัมจั๋งมาให้เรา พอเป็นกับข้าวมื้อหนึ่ง
   เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วด่าว่าอ้ายเดรัจฉาน ในถ้ำของเจ้ามีหมึกปากกา กระดาษ หรือไม่ ถ้ามีก็ให้เอามาเขียนหนังสือสัญญาให้เป็นที่เชื่อฟังกันได้ว่าไม่พลิกแพลงกลับกลอก เราจะยอมให้เจ้าทำตามคำขอร้องแลพูดสัญญา ปีศาจได้ฟังดังนั้นจึงจัดแจงแต่งกาย​มั่นคงแข็งแรงแล้วสองมือก็จับง้าวหมายตรงกระหม่อมเห้งเจีย ฟันลงไปโดยเต็มกำลัง ก็ไม่เห็นเห้งเจียมีบาดแผลหรือหวาดหวั่นประการใด จิตใจให้ครั่นคร้าม เห้งเจียพูดว่าเจ้ามิได้รู้กำเนิดของข้าว่าเป็นมาประการใด คือเหล็กกับทองแดงนั้นเป็นสมองของข้า ๆ เคยอยู่เบ้าของท้ายเสียงเล่ากุน ซึ่งเทพยดาประกอบหล่อทำจนสำเร็จ
   ปีศาจว่าเองอย่าเพิ่งพูดตีฝีปากไปก่อนมาให้เราฟันอีกสักทีหนึ่ง ศรีษะเจ้าก็จะแยกออกเป็นสองซีก เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายมารทำไมไม่มีตา มึงดูศรีษะกูเห็นเป็นประการใด เราจะให้เองลองฟันดูอีกสักทีหนึ่ง ศรีษะเราจะเป็นซีกออกไปหรือไม่ ว่าแล้วก็ยื่นศรีษะมาให้ปีศาจฟัน ปีศาจก็เงื้อมง้าวฟันลงไปเต็มแรง เสียงดังครืนศรีษะเห้งเจียก็แยกออกไปเป็นสองซีก เห้งเจียก็แปลงเป็นสองรูป ปีศาจเห็นดังนั้นก็ตกใจ มือจ้บง้าวคอยระวังอยู่ แล้วพูดว่าได้ยินว่าเจ้ามีวิชาแยกกายได้ ทำไมจึงเอามาทำต่อหน้าเราดังนี้ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายมารร้ายทำไมกับการแยกกาย ไม่ยากอะไร หากจะฟันสักหมื่นทีก็จะออกสักหมื่นกาย
   ปีศาจใต้อ๋องพูดว่า เจ้าเข้าได้แต่แยกกายมาก ไม่เข้าใจรวมกายเป็นคนเดียว หากเจ้ารวมได้เราจะให้ตีเราด้วยตะบองสักทีหนึ่ง เห้งเจียพูดว่าเจ้าลั่นปากออกมาแล้ว เจ้าอย่าทิ้งถ้อยคำเสีย เห้งเจียก็สำรวมจิตภาวนาหมุนกาย กายก็รวมเข้าเป็นรูปเดียวอย่างเดิม ชักตะบองออกเดินตรงมาจะตีปีศาจ ปีศาจยกง้าวขึ้นรับรบกันโดยสามารถ​อยู่ที่หน้าถ้ำแล้วเหาะขึ้นรบกันบนอากาศได้ยี่สิบเพลงยังไม่แพ้ไม่ชนะกัน
   ฝ่ายโป๊ยก่ายยืนอยู่ข้างล่าง เห็นคนทั้งสองสู้รบกันโดยความเข้มแข็ง อดไม่ได้ก็ถือตราดเหล็กเหาะขึ้นไปเข้าช่วยเห้งเจียระดมรบ ปีศาจใต้อ๋องทานกำลังไม่ไหว ก็หนีทิ้งมีดหันกลับลงมายังพื้น เห้งเจียร้องตวาดว่าให้ไล่ตามไป โป๊ยก่ายเห็นได้ทีก็ไล่กระชั้นมา ปีศาจเห็นโป๊ยก่ายไล่กระชั้นมาก็หลบเข้าข้างชายเขา แปลงรูปอ้าปากดังประตูเมืองตรงเข้ามาจะอมโป๊ยก่ายกลืน โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็หันกลับวิ่งหนีเข้าไปซ่อนอยู่ในพุ่มรก ตัวสั่นนั่งคอยแอบฟังอยู่ ฝ่ายเห้งเจียวิ่งตามหลังมาถึง ก็เอาตะบองเข้าต่อสู้ ปีศาจก็อ้าปากอมกลืนเห้งเจียเข้าไปในท้อง โป๊ยก่ายซุ่มอยู่ในรกเห็นดังนั้นก็ตกใจ บ่นว่าอ้ายเป๊กเบ๊อุนไม่รู้จักหลบหลีก ทำไมจึงไม่หนีมันเล่า กลับไปสู้กับมันให้มันกลืนเข้าไปในท้องเสีย วันนี้ยังเป็นคนพรุ่งนี้จะเป็นอะไรก็ไม่รู้
   ฝ่ายปีศาจมีชัยชนะแล้วก็กลับไป โป๊ยก่ายจึงมุดออกมาจากรก เดินกลับไปทางเก่า พระถังซัมจั๋งกับซัวเจ๋งนั่งอยู่ที่ชายเขาคอยแลดู ก็เห็นโป๊ยก่ายวิ่งกระหืดกระหอบมา พระถังซัมจั๋งก็ตกใจจึงถามว่าโป๊ยก่ายเป็นอะไรดังนั้น ทำไมไม่เห็นเห้งเจียกลับมา โป๊ยก่ายก็ร้องไห้เสียงโฮ ๆ บอกว่าพี่เห้งเจียนั้นปีศาจมันกลืนเข้าไปในท้องมันเสียแล้ว พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็ล้มลงกับพื้นแน่นิ่งไป บัดเดี๋ยวก็กลับฟื้นขึ้นมาลุกขึ้นกระทืบเท้า​ทุบอกบ่นคร่ำครวญว่า เราเห็นสานุศิษย์เชี่ยวชาญปราบยักษ์มารที่ร้ายกาจตลอดมา เหตุใดวันนี้จึงมาถึงแก่ความตายเสียด้วยมือมารดังนี้เล่า ฝ่ายโป๊ยก่ายเมื่ออาจารย์โศกาอาดูรดังนั้นก็มิได้ประคับประคองปลอบโยน จึงเรียกซัวเจ๋งมาบอกว่าให้เอาข้าวของมาแบ่งปันกันสองคน
   ซัวเจ๋งถามว่าพี่จะแบ่งปันข้าวของทำไม โป๊ยก่ายว่าเราแบ่งปันกันแล้วก็จะได้ต่างคนต่างไปตามอำเภอใจ เจ้ากลับไปลำแม่น้ำลิ่วซัวฮ้อคอยจับคนไปอย่างเดิม เราจะกลับไปบ้านเกาเล้าจึง เพื่อจะได้อยู่กับเมียเรา เอาม้าขายเสียแล้วเอาเงินไปซื้อเครื่องที่ส่งการตายให้อาจารย์ไป พระถังซัมจั๋งได้ยินโป๊ยก่ายพูดดังนั้น ก็ให้เจ็บช้ำในใจ จึงร้องว่าฟ้าดินขึ้นค่ำหนึ่งแล้วก็ร้องไห้

   ฝ่ายปีศาจยักษ์ครั้นกลืนเห้งเจียเข้าไปในท้อง แล้วก็คิดว่าได้การกลับมาถึงถ้ำบอกกับพวกพ้องว่าเราจับมาได้คนหนึ่งแล้ว ใต้อ๋องที่สองถามว่าพี่จับได้ใครคนหนึ่ง ใต้อ๋องคนใหญ่จึงบอกว่า พี่จับได้อ้ายซึงเห้งเจีย ใต้อ๋องที่สองถามว่าพี่จับได้เอาไว้ที่ไหน ใต้อ๋องใหญ่บอกว่าเรากลืนมันเข้าไว้ในท้อง ใต้อ๋องที่สามได้ฟังดังนั้นก็ตกใจว่า ข้าพเจ้าหาทันจะบอกพี่ไม่ เห้งเจียนั้นกินไม่ได้ เห้งเจียอยู่ในท้องร้องบอกว่ากินได้แล้ว แก้หิวได้ไม่ต้องหิวอีก พวกปีศาจน้อยอยู่ข้างนั้น ได้ยินเห้งเจียพูดอยู่ในท้องใต้อ๋องใหญ่ดังนั้นก็พากันตกใจ บอกว่าใต้อ๋องเห็นจะไม่ดีเสียแล้ว เห้งเจียเข้าไปอยู่ในท้องยังพูดได้อยู่ฉะนี้ ใต้อ๋องพูดว่าไม่ต้องกลัว เรากินเข้าไปแล้วถึงมันจะวิเศษ​อย่างไรก็ไม่กลัว มันจะทำอะไรได้ พวกเจ้ารีบไปต้มน้ำเกลือมาเราจะได้กินเข้าไปสำรอกมันออกมา แล้วจะได้เอาปิ้งแกล้มสุรากิน
   พวกปีศาจน้อยก็ไปต้มน้ำเกลือมาวางไว้กะถางหนึ่ง ปีศาจใต้อ๋องก็ยกกะถางน้ำเกลือขึ้นดื่มหมดกะถาง เห้งเจียก็เลื่อนขึ้นมาอยู่ที่คอหอยปีศาจใต้อ๋องคลื่นใส้ก็อาเจียนออกมาจนหน้ามืดตามัว รากเขียวรากเหลืองเอาน้ำดีออกมาขมคอ เห้งเจียก็มิได้ออก ปีศาจอ่อนใจเหนื่อยหอบสิ้นกำลังจึงเรียกว่าซึงเห้งเจียทำไมจึงไม่ออกมาเล่า เห้งเจียร้องบอกออกมาว่าดีแล้ว ๆ เราไม่ออกไปละ ปีศาจถามว่าทำไมจึงไม่ออกมาเล่า เห้งเจียว่าอ้ายมารทำไมมึงจึงไม่รู้เวลากาล เราเป็นศิษย์พระ เป็นคนอนาถา เวลาฤดูนี้เป็นฤดูฝนเราไส่เสื้อกั๊กตัวเดียวเครื่องนุ่งห่มไม่บริบูรณ์ เข้าอยู่ในท้องนี้อุ่นดีลมก็พัดไม่ถูกตัว เราจะอยู่ให้พ้นฤดูหนาวแล้วจึงจะออกไป
   พวกปีศาจน้อยได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น ก็พูดแก่ใต้อ๋องว่าเห้งเจียมันจะอยู่ในท้องจนสิ้นฤดูหนาวเห็นจะไม่ได้การเสียแล้ว ปีศาจใต้อ๋องพูดว่ามันอยากอยู่ให้มันอยู่ไปเราจะเข้าฌานไม่กินอาหารทั้งฤดู ทำให้มันอดตายอยู่ในท้อง เห้งเจียจึงพูดว่าอ้ายลูกกู มึงไม่รู้เหตุตลอดตั้งแต่เราตามรักษาพระอาจารย์มา แม้จะข้ามห้วยฌานเขายากแค้นกันดารอย่างไร เราก็มีหม้อข้าวและเสบียงอาหารติดตัวอยู่ด้วยเสมอ ในท้องเองมีเครื่องในสารพัด ตับ ไต ใส้ ปอดเราจะต้มกินให้สบาย แม้สักห้าเดือนก็ไม่หมดเสบียงในท้องเอง ปีศาจใต้อ๋องที่สองได้ยินเห้งเจียบอกดังนั้นก็ตกใจพูดว่าพี่ เห้งเจียมันจะไม่ออก​แล้ว ปีศาจใต้อ๋องที่สามพูดว่าพี่ เห้งเจียมันจะกินเครื่องในมันจะตั้งเตาไฟต้มที่ไหน
   เห้งเจียร้องบอกออกมาว่า เราจะตั้งเตาที่สะโพกคือที่เชิงกรานก้นนั่ง ปีศาจที่สามได้ยินก็ตกใจพูดว่าเห็นจะไม่ได้การ หากตั้งเตาที่ตรงนั้น ควันจะพลุ่งขึ้นมาทางจมูกและปากจะหายใจไม่ทันก็จะไอจามจะมิตายหรือ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าไม่เป็นไร เรามีตะบองเหล็กจะกระทุ้งกระหม่อมให้ทะลุขึ้นไปเป็นปล่องเพื่อควันไฟจะได้ออกทางนั้น ปีศาจใต้อ๋องที่สามได้ฟังดังนั้น จิตใจก็ไม่สบายแต่ปากพูดว่าไม่เป็นไร จึงร้องว่าพี่น้องเราอย่าวิตกจึงเอาเหล้ายามาให้เรากินลงไปสักสองสามชาม ฆ่าอ้ายลูกลิงให้ตายอยู่ในนั้น เห้งเจียได้ยินก็นึกหัวเราะอยู่แต่ในใจ จึงพูดว่าเหล้ายาอย่างใดที่จะมิได้กินก็เห็นจะไม่มี พวกปีศาจน้อยก็ยกเหล้ายามาวางไว้สองขวดแล้วรินเต็มชามหนึ่งส่งให้ปีศาจใต้อ๋อง ๆ ก็รับมา เห้งเจียอยู่ในคอได้กลิ่นสุราหอมฉุย จึงคิดว่าอย่าให้ใต้อ๋องมันกินเลย จึงเอาศรีษะแปลงเป็นหลอดรอที่คอหอย พอไต้อ๋องยกชามดื่มเข้าไป พอตกถึงคอเห้งเจียก็รับเอาไปเสียสิ้น
   ปีศาจใต้อ๋องดื่มซ้ำเข้าไปถึงเจ็ดชามแปดชามเห้งเจียก็รับกินเสียหมด ปีศาจใต้อ๋องประลาดใจก็ทิ้งชามลงพูดว่า สุรานี้เราเคยกินไปสองชามท้องก็ร้อน นี่กินเป็นเจ็ดแปดชามแต่หน้าก็ไม่แดง เห้งเจียเมื่อกินสุราเข้าไปมากก็มึนเมาฉุนเฉียวด้วยฤทธิ์สุรา เอาตะบองขวางเข้าแล้วก็โดดจับหัวใจปีศาจทำชิงช้าโหนเล่น และเต้นรำตามสบายโลดโผนไปมา ปีศาจใต้อ๋องรู้สึกเจ็บปวดเหลือที่จะทนได้ก็ล้มคว่ำลงกับพื้น อ่านต่อ_ ..
วีดีโอ ; The Monkey King Quest For The Sutra เห้งเจียจอมอิทธิฤทธิ์ 2002 ตอนที่ 1-24 พากย์ไทย

26 มิถุนายน 2568

[เล่ม 3] ตอนที่ 52 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๗๒)
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋งครั้นออกจากเมืองจูจี้ก๊กแล้วหมายปราจิณทิศตรงไป ข้ามห้วยธารละหานเขาเดินมา เวลานั้นเป็นฤดูหนาวอาจารย์กับศิษย์พากันมา แลไปข้างหน้ามีหมู่บ้านอยู่ข้างทาง พระถังซัมจั๋งลงจากม้ายืนหยุดพูดว่า ที่ตรงนั้นมีหมู่บ้านคนอยู่ อาตมาจะใคร่​เข้าไปบิณฑบาตข้าวมาฉันเห็นจะดี เห้งเจียหัวเราะพูดว่า อาจารย์จะหาความยาก ข้าพเจ้าจะไปแทน จะให้ต้องลำบากถึงอาจารย์ทำไม พระถังซัมจั๋งพูดว่าไม่ใช่อย่างนั้น เวลาที่ไม่เห็นบ้านช่องมี ใกล้ไกลก็ไม่รู้ได้ควรจะให้เห้งเจียไปแทน วันนี้บ้านคนมีอยู่ใกล้ดังนี้แล้วทั้งเวลานี้ก็เแห้งแล้ง ควรอาตมภาพจะไปเองก็ได้ โป๊ยก่ายก็ตามใจหยิบเอาบาตรมาให้อาจารย์ พระถังซัมจั๋งรับบาตรมาแล้ว ก็สำรวมอิริยาบถ เดินเข้าไปในหมู่บ้านนั้น ครั้นถึงก็ยืนพิจารณาดูเห็นมีสะพานศิลาพิศดูงดงาม
   อันที่จริงในบ้านนั้นไม่มีผู้ชายมีแต่ผู้หญิงอยู่สี่คน กำลังนั่งปักทอลายสีต่าง ๆ พระถังซัมจั๋งก็ไม่อาจเข้าไป จึงยืนแอบอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เห็นพวกผู้หญิงนั้นรูปร่างงามทุก ๆ คนดูดุจนางฟ้าลงมาดิน พระถังซัมจั๋งยืนรออยู่สักครึ่งชั่วโมง ก็เห็นเงียบสงัดไม่ได้ยินเสียงไก่และสุนัข พระถังซัมจั๋งคิดว่า แม้เราบิณฑบาตไม่ได้เข้ากลับไป พวกสานุศิษย์ก็จะหัวเราะเยาะเราได้ ก็จะไม่เป็นการ จะพาให้เสียซึ่งความจริง คิดแล้วก็เดินข้ามสะพานมาสักสิบย่างก้าว ก็แลเห็นมีบ้านหลังคาจากหลังหนึ่ง ในรั้วมีหอเล็กหอหนึ่ง ข้างหนาหอนั้นมีหญิงสาวรูปงามสามคนนั่งพักเตะตะกร้อ พระถังซัมจั๋งยืนรออยู่พักหนึ่ง จึงร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า ท่านสีกาอาตมภาพมาบิณฑบาตข้าวสุก ตามแต่จะศรัทธาสักเวลาหนึ่งเถิด
   ฝ่ายหญิงสาวเหล่านั้น เมื่อได้ยินก็ดีใจทุกคน ก็วางของเสียพากันหัวเราะออกแส้เสียง จึงพากันออกจากประตูแล้วพูดว่า ​ข้าพเจ้าไม่ทันนิมนต์ วันนี้ท่านมาถึงบ้านข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะศรัทธาถวายข้าวสงฆ์สักเวลาหนึ่ง นิมนต์ท่านนั่งข้างทิศไซทีก่อน ข้าพเจ้าจะได้จัดแจงถวาย พระถังซัมจั๋งได้ยินพูดดังนั้น คิดแต่ในใจว่าชอบแล้ว ทิศไซทีเป็นทิศที่ชัยภูมิพระพุทธเจ้า ผู้หญิงยังตั้งใจถึงทิศไซทีถวายสงฆ์ เป็นผู้ชายจิตจะควรไม่เนื่องถึงองค์พระ พุทโธ หรือ พระถังซัมจั๋งจึงปราสัย แล้วก็เดินตามหญิงนั้นเข้าไปที่เรือนมุมจากนั้น เดินข้ามหอนั้นมาแลไปก็ไม่เห็นห้องหอ เห็นเป็นคูเป็นถ้ำและหินเขาไปทั้งนั้น หญิงคนหนึ่งตรงเข้าไปที่ประตูศิลาเปิดออก นิมนต์พระถังซัมจั๋งเข้านั่งข้างใน พระถังซัมจั๋งพิศดูแล้วเดินไปข้างใน เห็นโต๊ะล้วนแต่ศิลาเครื่องตั้งเหล่านั้นก็ล้วนแต่ศิลาทั้งสิ้น มีไอเยือกเย็นพระถังซัมจั๋งนึกในใจว่าที่นี้ร้ายมากกว่าดี พวกผู้หญิงเหล่านั้นพากันหัวเราะยิ้มแย้ม จึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งให้นั่ง พระถังซัมจั๋งขัดไม่ได้ก็นั่งลงที่เตียงศิลา
ตอน ปราบปิศาจแมงมุมสาว (ช่วงที่ 1)
   หญิงสาวเหล่านั้นจึงมาถามว่า ท่านอยู่วัดไหนมาเรี่ยรายทำการอะไร พระถังซัมจั๋งบอกว่า อาตมภาพมิใช่พระเรี่ยราย อาตมภาพอยู่เมืองใต้ถังมีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้อาตมภาพไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎก ข้ามมาถึงตำบลนี้ได้ความหิวโหยจะมาขอบิณฑบาตข้าวฉันสักมื้อหนึ่ง แล้วก็จะลาไป หญิงเหล่านั้นได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าดีแล้วเขาย่อมว่า พระสงฆ์มาทางไกลเป็นสงฆ์เคร่งครัดดี พวกที่น้องเราอย่าเกียจคร้าน จงรีบไปจัดหาเครื่องแจมาถวายสักมื้อหนึ่ง เวลานั้นสามคนนั่งสนทนา​อยู่ในทางบาปบุญกับพระถังซัมจั๋ง ยังสี่คนเข้าไปจัดหาของในครัว อันที่จริงมันเอาเนื้อคนรวนและปิ้งทำต่างเครื่องเจ แลควักเอาสมองคนทำเต้าหู้และของหวานอีกถาดหนึ่ง รวมจัดสองที่แล้วยกมาวางบนโต๊ะศิลาแล้ว จึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งให้ฉัน พูดว่าเวลานี้รีบร้อนหาอะไรไม่ทัน ขอนิมนต์ท่านฉันตามมีพอแก้หิวก่อน
   พระถังซัมจั๋งได้กลิ่นเหม็นคาวจึงย่อกายพูดว่าสีกา อาตมภาพกินแจมาตั้งแต่เล็กของเนื้อสดคาวอย่างนี้ไม่เคยฉัน พวกหญิงเหล่านั้นหัวเราะพูดว่าท่านอาจารย์ของนี้ก็แจเหมือนกัน พระถังซัมจั๋งพูดว่าถ้าของนี้เป็นแจอาตมาไม่กล้าฉัน แม้พระสงฆ์ฉันเข้าไปแล้วก็จะมิได้เห็นพระพักตร์พระพุทธเจ้า อาตมภาพก็จะไม่ได้พระคัมภีร์กลับเมือง ขอสีกาได้ทราบเลี้ยงสัตว์ปล่อยสัตว์ดีกว่า จงปล่อยให้อาตมาไปเถิด พระถังซัมจั๋งลุกขึ้นจะเดินออกไป พวกหญิงเหล่านั้นก็พากันมากั้นประตูไม่ยอมให้ออกไป แล้วพูดว่ามาถึงที่ซื้อขายแล้วจะปล่อยตัวไปได้หรือ พวกปีศาจเหล่านั้นมีฝีมือทุกคน เข้าจับพระถังซัมจั๋งทั้งเป็นลากไปดุจจูงแพะ เอาไปผลักล้มลงกับพื้นแล้วก็ช่วยกันกดไว้ แล้วเอาเชือกเกลียวมาผูกชักรอกแขวนไว้บนขื่อเสร็จแล้ว ก็พากันมาช่วยถอดเสื้อจีวรออกหมด พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจที่ลอกเสื้อผ้าออกดังนี้เห็นจะเฆี่ยนเราดอกกระมัง หรือจะกินเราทั้งเป็นดังนี้ก็ไม่รู้ได้ อันที่จริงปีศาจถอดเสื้อผ้าออกแล้วก็เหลือแต่กางเกง ปีศาจก็แผลงฤทธิ์ที่สะดือก็ออกมาเป็นใยขาวทุก ๆ คนระยับดุจแสงเงินแสงเพชร ช่วยกันลากพันประเดี๋ยวใยนั้นก็ปิดประตูไม่มีทางออก
   ​ฝ่ายเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งพักอยู่ริมทางใหญ่ โป๊ยก่ายก็ปล่อยม้าให้กินหญ้าและคอยระวังข้าวของ ยังแต่เห้งเจียเที่ยวซนปีนป่ายตามต้นไม้ เด็ดใบหักกิ่งหาผลไม้กินตามสบาย หันไปมองที่หมู่บ้านนั้นมีสายสว่างก็รีบโดดลงมาจากต้นไม้ วิ่งมาร้องบอกว่าไม่ได้การแล้ว พระอาจารย์เห็นจะมีเหตุขึ้นเป็นแน่แล้ว เห้งเจียเอามือชี้ไปให้โป๊ยก่ายซัวเจ๋งดูที่ประตูบ้านนั้นเป็นอะไรดังนั้น โป๊ยก่ายแลไปเห็นขาวดุจน้ำค้างจึงพูดว่าแน่แล้ว พระอาจารย์เห็นจะโดนปีศาจเข้าแล้วพวกเรารีบไปช่วยโดยเร็วเถิด
   เห้งเจียพูดว่าน้องทั้งสองอย่าเพิ่งวุ่นวาย รอพี่ไปดูแล้วกลับมา เห้งเจียก็เดินเข้าไปใกล้ยืนพิเคราะห์ดู เห็นเป็นใยไหมสอดพันไปมาออกยุ่งเป็นชั้น ๆ ตั้งพันตั้งหมื่น เห้งเจียแอบเข้าไปใกล้เอามือกดดูอ่อน ๆ ยืด ๆ เหนียว ๆ เห้งเจียก็มิได้รู้ว่าสิ่งใดจะเอาตะบองตีแล้วยั้งมือคิดว่า ถ้าแข็งเราก็จะตีขาดได้นี่อ่อนยืดดังนี้ แม้ว่าเราไปถูกต้องเข้าพันติดเราอยู่ก็จะทำให้ลำบากอีกชั้นหนึ่ง เราจะถามดูก่อนจึงค่อยตีก็ได้ ก็ร่ายถาคาเรียกพระภูมิเจ้าที่มาในเดี๋ยวนั้น ถามว่าตำบลนี้เรียกอะไร พระภูมิเจ้าที่บอกว่าข้างหน้านั้นเรียกว่าเขาปั๊วซือซัว ข้างล่างนั้นเรียกว่าถ้ำปั๊วซือต๋องในถ้ำนั้นมีปีศาจหญิงอยู่เจ็ดคน
รูปภาพ ; ▲ ปีศาจแมงมุม 蜘蛛精 นางตีตูเจียงนี้กำเนิดเดิมเป็นแมลงมุมตัวเมีย มีฤทธาอานุภาพด้วยใย สำนักอาศัยอยู่ในถ้ำปั๊วซือต๋อง ตำบลเขาปั๊วซือซัว เมื่อพระถังซัมจั๋งมาถึงเข้าไปบิณฑบาต นางลวงจับไว้เห้งเจียตามมาพบนางที่สระน้ำได้ลักเอาเสื้อผ้าไปเสีย แล้วโป๊ยก่ายมารบกับนางถูกใยล้มกลิ้งอยู่ แล้วพากันหนีไป
   เห้งเจียถามว่าปีศาจนั้นมีฤทธาอานุภาพอย่างไร พระภูมิเจ้าที่บอกว่าข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะมีฝีมือและฤทธิ์เดชอย่างไร ข้าพเจ้าทราบแต่ว่าทางนี้ไปสักสามร้อยโยชน์ มีสระแห่งหนึ่งเรียกว่าสระต๊อกโก๊จั๊ว​เป็นของฟ้าเกิดขึ้นน้ำนั้นอุ่นดี เดิมนางฟ้าทั้งเจ็ดคนเคยลงมาอาบน้ำ ตั้งแต่ปีศาจหญิงนั้นมาอยู่ก็ชิงเอาสระนั้นเสีย นางฟ้าทั้งเจ็ดก็ไม่ต่อว่าอะไร ทุกวันนี้ก็ปล่อยให้มันมาเล่นน้ำอยู่เสมอ ๆ ข้าพเจ้านึกว่านางฟ้าไม่แผ้วพานถึงปีศาจ ๆ นั้นคงจะมีฤทธิ์ เห้งเจียถามว่าปีศาจมันชิงเอาสระนั้นไปทำอะไรหรือ พระภูมิเจ้าที่บอกว่า มันจองเอาสระนี้วันหนึ่งไปเล่นสามหน เวลานี้กำลังเที่ยงพอเวลาบ่ายมันก็จะพากันไปอาบเล่น เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็บอกให้พระภูมิเจ้าที่กลับไปยังที่ เห้งเจียก็แปลงตัวเป็นแมลงวันหนึ่งโผจับที่ยอดหญ้าริมทางคอยท่า สักประเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงซ่า ๆ ดุจตัวไหมกินใบไม้สักเคี้ยวหมากแหลก ใยที่คลุมประตูนั้นก็หายสูญ แลเห็นห้องหออยู่อย่างเดิม ประเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงเปิดประตู แลไปเห็นหญิงสาวเจ็ดคนเดินเกี่ยวก้อยกันมา มาเดินพลางหัวเราะพลางออกมา เห้งเจียแอบคอยพิเคราะห์ดูโดยละเอียด นางเหล่านั้นก็เดินพ้นสะพานศิลามา เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะคิดว่าปีศาจหญิงเหล่านี้ มันขังอาจารย์เราไว้แล้ว เพราะอาจารย์อยากมาบิณฑบาต นี่คงไม่ถึงสองวันมันก็จะกินเนื้ออาจารย์เราเป็นแน่ เราตามไปฟังดูว่ามันจะคิดกันอย่างไร
   เห้งเจียก็บินออกจากยอดหญ้ามาจับบนมวยผมคนเดินหน้านิ่งคอยฟัง เห็นคนเดินหลังวิ่งมาบอกแก่คนเดินหน้าว่า พี่ ๆ เราไปอาบน้ำแล้วกลับไปจับเอา​สงฆ์นั้นต้มกินเถิด พูดกันพลางประเดี๋ยวก็มาถึงสระ แลไปก็เห็นกำแพงศิลาล้อมรอบมีประตูสะอาด งดงามดีนางปีศาจสาวคนหนึ่งก็ตรงเข้าไปผลักประตูออกสองบาน เห้งเจียแลไปดูเห็นมีสระน้ำร้อน สมจริงดังพระภูมิเจ้าที่เล่าให้ฟัง จะใคร่ทราบว่าสระน้ำนี้เหตุเดิมมาอย่างไร
   คือเดิมเมื่อพึ่งมีคัยเพ็ก มีดาวเรียกว่าทั้ยเอี๊ยงแชสิบดวง มาภายหลังผู้วิเศษเอาศรยิง กาเก้าตกลงมาพื้นธรณี ก็ยังเหลือตัวหนึ่งคือดาวทั้ยเอี๊ยงนั้นเอง ที่ทุกวันนี้เรียกดวงอาทิดย์ เพราะฉะนั้นสระนั้นคือไอธาตุของพระอาทิตย์ จึงได้มีน้ำร้อนอยู่เป็นนิตย์ ใต้หล้านี้มีสระน้ำร้อนอยู่เก้าแห่ง คือกาเก้าตัวถูกศรตายนั้น บันดาลเป็นสระน้ำเก้าแห่ง คือกาเก้าตัวที่ถูกศรตายนั้น บันดาลเปนสระน้ำแห่งหนึ่ง สระจาเล้งจั๊วหนึ่ง  สระป่างซัวจั๊วหนึ่ง สระอุนจั๊วหนึ่ง สระตังหะจั๊วหนึ่ง สระฮ่องซัวจั๊วหนึ่ง สระเฮ้าอานจั๊วหนึ่ง สระกวั๋งฮุนจั๊วหนึ่ง สระเอี๋ยงจั๊วหนึ่ง สระเหล่านี้เรียกว่า ย๊อกโก๊จั๊ว เก้าสระ สระย๊อกโก๊จั๊วนี้กว้างห้าวากว่า ยาวสิบกว่าวา ลึกสี่ศอก น้ำใสแลเห็นก้นสระมีแสงวาววับดุจสีเงินและเพชร พลุ่ง ๆ ขึ้นทั้งสี่ด้านสระแลมีทางน้ำไหลป่วนออกเจ็ดแปดแห่ง ไหลออกไปตามทางท้องนาน้ำก็อุ่นอยู่เสมอเป็นนิตย์ ที่ข้างริมสระมีหอสามห้องหนึ่งหอ ข้างหลังหอนั้นมีเตียงตั้งอยู่หนึ่ง สองข้างมีไม้ราวผ้าสองราว เห้งเจียเห็นดังนั้นก็โผบินไปจับที่ราวผ้า
   ฝ่ายพวกปิศาจหญิงเหล่านั้นมาถึงสระน้ำ ต่างก็เปลื้องผ้าเสื้อ​พาดไว้บนราว เหลือแต่ตัวพากันลงเล่นน้ำตามสบาย บ้างดำบ้างว่ายตามประสาผู้หญิงที่เข้าใจว่าไม่มีใครรู้เห็นมิได้มีความอาย เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ให้นึกขวยเขินแก่ใจ จึงคิดว่าเราจะตีปีศาจพวกนี้ให้ตายก็ถือตะบองมาข้างสระเรียกว่าน้ำร้อนลวกหนูก็ตายทั้งรัง คิดดูก็น่าสังเวช หากว่าจะฆ่าเสียก็จะตายทั้งสิ้น แต่ชื่อเราจะเสีย คำโบราณท่านย่อมว่า ผู้ชายไม่ตีกับผู้หญิง อีกประการหนึ่งเราก็มีฝีมือลือชาว่าเป็นคนเก่ง จะมาตีพวกเหล่านี้ก็ไม่ชอบกล อย่ากระนั้นเลยเราจะคิดอุบายอย่างหนึ่งให้มันไปไม่ได้ ให้มันแช่น้ำอย่างนี้จึงจะดี คิดแล้วก็แปลงกายเป็นนกเหยี่ยวใหญ่ตัวหนึ่ง บินมาเฉี่ยวเอาเสื้อผ้าของปีศาจที่พาดไว้นั้นไปทั้งหมด บินข้ามยอดเขามาหาโป๊ยก่ายแล้วกลายเป็นรูปเดิม
   โป๊ยก่ายมารับหัวเราะพูดว่าอาจารย์เห็นพวกร้านขายของมันจะจับไว้ ซัวเจ๋งพูดว่าทำไมจึงรู้ไปก่อนเล่า โป๊ยก่ายว่าไม่เห็นหรือ พี่เห้งเจียแกหอบเอาเสื้อกางเกงมาเป็นกอง เห้งเจียเอาเสื้อผ้านั้นทิ้งลงแล้วพูดว่า เสื้อผ้านี้ของปีศาจมันนุ่งห่ม โป๊ยก่ายถามว่าทำไมจึงมากดังนี้ เห้งเจียว่า รวมเจ็ดสำรับด้วยกัน โป๊ยก่ายถามว่า ทำไมพี่จึงแก้ได้ง่าย ๆ ดังนั้นเล่า เห้งเจียบอกว่าจะต้องแก้ทำไมอันที่จริงตำบลนี้เขาเรียกว่า เขาปั๊วซือเนี้ยในหมู่บ้านนั้น เรียกว่าปั๊วซือต๋อง เป็นที่ถ้ำปีศาจอยู่ในถ้ำนั้น มีปีศาจหญิงเจ็ดคนบัดนี้มันจับอาจารย์เรามัดแขวนอยู่บนขื่อ ตัวมันพากันไปอาบน้ำร้อน มันคิดกันว่า ถ้ามันอาบน้ำแล้วจะกลับมากินเนื้ออาจารย์ พี่​จึงตามไปดูมันจนถึงสระน้ำ พวกมันพากันแก้ผ้าเปลือยกายลงเล่นน้ำหมดทั้งเจ็ดคน พี่คิดจะตีเสียให้ตายก็คิดขึ้นมาได้ว่า ฆ่าผู้หญิงจะมีชื่อเสียงเกียรติยศอย่างไร กลับจะพาให้ชื่อเสียงเสียไปด้วยเสียอีก คิดเห็นดังนี้แล้ว จึงแปลงเป็นนกเหยี่ยวโฉบเฉี่ยวเอาผ้าเสื้อมันมาหมด มันคงไม่กล้าขึ้นจากน้ำยังจะยืนแช่น้ำอยู่ เราพากันรีบไปช่วยอาจารย์ออกจะได้พากันไป
   โป๊ยก่ายพูดว่า ที่การอย่างนี้ก็เหมือนไว้รากเหง้าให้มันงอกอีกได้ ไปพบแล้วทำไมไม่ฆ่าเสียให้สิ้นเล่าจะเอาไว้ทำอะไรอีก ใจข้าพเจ้าคิดว่ากลับไปฆ่ามันเสียก่อนแล้วจึงไปแก้อาจารย์จะดีกว่า เห้งเจียพูดว่า เจ้าอยากไปตีก็ไปเถิดแต่ข้าไม่ไปแล้ว โป๊ยก่ายมีความยินดียิ่งนัก จึงตระเตรียมตัวให้มั่นคงแข็งแรงแบกคราดเหล็กเดินไปที่สระน้ำครั้นถึงก็ยืนแอบแลดู เห็นนางทั้งเจ็ดคน แก้ผ้าเปลือยกายอาบน้ำยังพากันยืนบ่นอยู่ในน้ำว่า อีนกเหยี่ยวตายโหงอีแมวจิกหัว มึงช่างแกล้งเฉี่ยวเอาเสื้อผ้าของกูไปหมด ทำให้กูขึ้นจากน้ำไม่ได้ โป๊ยก่ายยืนฟังอยู่นึกกระหยิ่มใจอดไม่ได้ก็เดินมาริมสระ ร้องเรียกว่า แม่น้องขอให้พี่อาบน้ำด้วยสักคนหนึ่งได้ไหม
   ฝ่ายนางปีศาจทั้งเจ็ดคน ได้ยินและเห็นโป๊ยก่ายก็โกรธพูดว่า แกเป็นผู้ชายอะไรหน้าด้านดังนี้ เขาเป็นผู้หญิงจะมาอาบน้ำร่วมกันได้หรือ คำโบราณท่านย่อมว่าชายกับหญิงอายุเจ็ดขวบมิให้ร่วมที่กัน แกจะมาร่วมสระแกเห็นชอบอย่างไรหรือ โป๊ยก่ายหัวเราะตอบว่า​เวลากำลังร้อนจะหาน้ำอาบพอชื่นใจเท่านั้น เจ้าจะง้างเอาตำราที่ไหนมาขัดขวางเราไม่ฟังเสียงเจ้า โป๊ยก่ายวางคราดแล้วก็เปลื้องเสื้อผ้าโจนลงไป นางปีศาจเหล่านั้น เห็นโป๊ยก่ายลงน้ำก็มีความโกรธแค้นจะใคร่ฆ่าตีโป๊ยก่าย มิได้รู้ว่าโป๊ยก่ายชำนาญในทางน้ำ โป๊ยก่ายแปลงเป็นปลาช่อนตัวดำว่ายน้ำอยู่ ด้วยน้ำนั้นใสนางทั้งเจ็ดก็แลเห็นตัวปลาถนัด จึงช่วยกันล้อมจับปลาก็ลอดหนีไปมาจับหาได้ไม่ จนมีความเหน็ดเหนื่อยทุกคน โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็แปลงกลับเป็นรูปเดิมขึ้นจากน้ำ เอาเสื้อผ้านุ่งห่มเสร็จแล้ว ก็จับคราดเหล็กมายืนอยู่ข้างสระร้องบอกว่า เฮ้ยพวกปีศาจที่พวกมึงไล่จับปลาช่อนนั้นคือตัวกูนี้เอง
   นางเหล่านั้นแลเห็นโป๊ยก่ายก็พากันตกใจ ถามว่านี่แกเป็นคนมาจากไหน แกชื่อเรียงเสียงไรทำไมจึงทำวุ่นวายดังนี้ โป๊ยก่ายตอบว่า มึงอีพวกปีศาจไม่มีเงาหัวจึงไม่รู้จักเรา เราคืออยู่ประเทศจีนเมืองใต้ถัง มีรับสั่งพระเจ้าแผ่นดินให้อาจารย์กูไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ยังประเทศไซที นามกูชื่อว่าตือโป๊ยก่าย พวกมึงล่อลวงจับอาจารย์กูไปไว้ในถ้ำคิดจะกินเนื้อ ๆ อาจารย์กูกินอร่อยนักไม่มีเนื้ออะไรจะสู้ได้ พวกมึงจงยื่นศรีษะมากูจะสับด้วยคราดคนละทีให้มันสิ้นโคตรเหง้า
   พวกปีศาจหญิงได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นต่างก็ตกตะลึง ยกมือไหว้ขอโทษโป๊ยก่ายว่า พวกข้าพเจ้ามีตาแต่ไม่รู้จักดูขอท่านได้​กรุณาพวกข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด อันอาจารย์ของท่านนั้นข้าพเจ้าได้จับไว้จริง แต่หาได้ทำอันตรายไม่ ขอท่านได้ให้ทานชีวิตแก่พวกข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะยอมออกสะเบียงอาหารให้แก่ท่านเป็นค่าเดินทางไปไซทีของท่านได้กรุณา โป๊ยก่ายได้ฟังจึงยกมือขึ้นสั่นห้ามว่าอย่าพูดอย่าพูดคำนี้ออกมา ซึ่งมึงพูดอ่อนหวานน้ำตาลทาก็โดยปราถนาจะลวงเรา เองอย่าพูดให้ป่วยการเสียเวลาเราไม่เชื่อเจ้าทั้งสิ้น โป๊ยก่ายก็เอาคราดสับคนละทีสองที พวกนางปีศาจเหล่านั้นก็วิ่งหลบหลีกสิ้นความอาย สองมือปิดที่ลับแล้วก็ขึ้นจากสระหนีมายืนอยู่ที่หอเล็ก ต่างก็แผลงฤทธิ์อานุภาพเสียงซ่า ๆ ชักใยออกจากสะดือพันสอดไปมาปิดมิดไม่แลเห็นพระอาทิตย์ บัดเดี๋ยวก็เป็นประทุนครอบโป๊ยก่ายไว้ โป๊ยก่ายแหงนหน้าขึ้นแลดูฟ้าก็มิได้เห็นแสงตะวัน ตกใจคิดจะวิ่งหนีออกนอกประตู
   ฝ่ายนางปีศาจเหล่านั้นชักใยปิดรีบปิดขวางเต็มทั่วโป๊ยก่ายจะก้าวไปใยก็พันขายืนไม่ถนัดก็ล้มคว่ำลงกับพื้น ใยก็มัดกลมล้มลุกคลุกคลานยิ่งดิ้นรนสายใยก็ยิ่งพันแน่นจนดิ้นไม่ไหว สิ้นกำลังก็หมอบฟุบหลับอยู่กับที่ พวกนางปีศาจทั้งเจ็ดคน ครั้นแผลงฤทธิ์มัดโป๊ยก่ายไว้แล้ว ก็มิได้ทำอะไรพากันวิ่งกลับไปยังสำนักเดิม ครั้นมาถึงสะพานก็ร่ายเวทเรียกใยที่มัดโป๊ยก่ายกลับคืน พากันวิ่งเข้าไปในถ้ำเห็นพระถังซัมจั๋งยังอยู่ก็พากันหัวเราะ แล้วเดินเข้าไปข้างในเอาเสื้อผ้าสวมใส่นุ่งห่ม แล้วก็เดินไปที่หลังถ้ำร้องเรียกว่าอีเล็กๆ ลูกของ​แม่ไปข้างไหนหมด เหตุเดิมนางทั้งเจ็ดคนนี้ ชักใยขวางอากาศจะใคร่หาสัตว์กัน เผอิญมีแมลงผึ้งเจ็ดตัวบินมาติดใยปีศาจทั้งเจ็ดจับมาจะกิน นางผึ้งจึงอ้อนวอนขอชีวิตจะยอมเป็นบุตร เพราะฉะนั้นนางปีศาจจึงมิได้กิน เลี้ยงไว้นางละคนเพื่อเป็นบุตรเลี้ยง
   ในขณะเมื่อนางปีศาจเรียกหา นางผึ้งน้อยทั้งเจ็ดก็วิ่งมาคุกเข่าลงกับพื้นถามว่า ท่านแม่จะมีธุระอะไรหรือจึงเรียกพวกข้าพเจ้า นางปีศาจจึงบอกว่าบัดนี้แม่ไปจับพระถังซัมจั๋งเมืองใต้ถังมาแขวนไว้ สานุศิษย์ของเธอติดตามมากระทำให้แม่มีความอาย ลูกจงช่วยแม่พากันไปขับให้มันไป ถ้ามีชัยชนะแล้วพากันไปหาแม่ที่บ้านลุงเจ้า นางทั้งเจ็ดสั่งนางผึ้งแล้ว ก็พากันออกจากถ้ำเดินลัดไปบ้านพี่ชายของตน
   ฝ่ายนางผึ้งทั้งเจ็ดต่างก็เตรียมตัวโดยแข็งแรงออกไปคอยสกัดอยู่ที่สะพานศิลา โป๊ยก่ายถูกใยมัดก็หลับไปพักหนึ่ง ครั้นตื่นแล้วก็ตกใจแหงนหน้าแลดูไม่เห็นใยที่พัน จึงผุดลุกขึ้นเดินกลับมาทางเก่าหาเห้งเจีย ๆ ถามว่าทำไมหัวและหน้าเจ้าจึงได้ฟกบวม โป๊ยก่ายบอกว่าข้าพเจ้าไปถูกอีปีศาจมันชักใยครอบไว้ มันกั้นรีกั้นขวางทั้งพื้นดินจนเดินไม่ได้ก็หกล้ม ครั้นใยนั้นสูญหายไปจึงมาได้ ซัวเจ๋งพูดว่าพี่จะไปหาภัยมาอีกแล้ว พวกปีศาจมันกลับไปมันคงจะทำร้ายอาจารย์เป็นแน่ พวกเราจงรีบไปช่วยพระอาจารย์เถิด เห้งเจียก็ออกหน้าเดินมา โป๊ยก่ายก็จูงม้าตามหลังมา พอถึงสะพานแลไปเห็นปีศาจผึ้งทั้งเจ็ดขึ้นยืนอยู่บนสะพานร้องห้ามว่าช้าก่อนอย่าเพิ่งเข้ามาเราอยู่นี่
   ​เห้งเจียแลไปเห็นก็หัวเราะแล้วพูดว่าอีเด็กเหล่านี้ กายสูงไม่ถึงศอก น้ำหนักก็ไม่เกินสิบชั่ง มึงเป็นทารกอะไรที่ไหน ปีศาจผึ้งบอกว่าเราคือลูกสาวของนางทั้งเจ็ด เจ้าทำหมิ่นประมาทแม่ข้ายังไม่รู้ความผิดหรือ ยังจะกลับมาตีอีกหรือ เจ้าอย่าหนีไปจงระวังตัวให้ดี พวกปีศาจผึ้งก็ตรงเข้ามาทำร้ายโป๊ยก่าย เห็นดังนั้นก็เกิดโทโสจ้บคราดเหล็กฟันฟาดขนาบไป พวกปีศาจผึ้งเห็นโป๊ยก่ายมีกำลังมาก เห็นจะต่อสู้ไม่ได้ ก็แปลงกายเป็นผึ้งโผบินขึ้นบนอากาศแผลงฤทธิ์ เกิดเป็นผึ้งขึ้นนับแสนนับโกฏิ เต็มไปทั้งอากาศตรงเข้าต่อยตามหูตามตาตามตัวปัดไม่ทัน โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นร้องว่าพี่ดูถูกตัวเล็ก ๆ เห็นหรือไม่
   เห้งเจียว่าเราไม่ต้องวิตก เราสามารถจะแก้ได้ พูดแล้วก็ถอนขนในตัวออกเส้นหนึ่งใส่ปากเคี้ยว แล้วพ่นออกไปแปลงเป็นนกยางขาว นกกาน้ำ นกกะทุง นกยางกรอกบินร่อนบนอากาศ แล้วโผเข้าไปในหมู่ผึ้งเก็บกิน บัดเดี๋ยวผึ้งเหล่านั้นก็สูญหายไปสิ้น สามพี่น้องก็เดินข้ามสะพานมาเข้าในถ้ำ แลไปเห็นอาจารย์แขวนอยู่บนขื่อ โป๊ยก่ายว่าอาจารย์อยากเข้ามาในถ้ำจึงถูกแขวน ข้าพเจ้าก็ถูกล้มคว่ำปากคอหน้าตาบวม
   เห้งเจียถามว่าอีพวกปีศาจมันไปข้างไหน พระถังซัมจั๋งบอกว่าเห็นมันวิ่งเปลือยกายมาในถ้ำเรียกลูกมันแล้วมันก็ออกไป พี่น้องทั้งสามก็ถือเครื่องมือเข้าไปค้นหาก็ไม่เห็น จึงพากันกลับออกมานิมนต์อาจารย์ขึ้นม้าออกเดิน เห้งเจียจึงพูดว่าต่อไปภายหน้าอาจารย์อย่า​ได้ขืนไปอีกเลย ต้องไว้ธุระพวกข้าพเจ้าไปทำธุระแทนให้ พระถังซัมจั๋งว่าทีหลังให้หิวจนตายก็ไม่ไปอีกแล้ว โป๊ยก่ายก็เที่ยวเก็บฟืนแห้งมากองสุมเผาห้องหอไหม้เป็นจุณไปทั้งสิ้น อาจารย์กับศิษย์ก็ตั้งใจหมายปราจิณทิศออกเดินไป
(บทที่ ๗๓)
 ครั้นออกจากถ้ำนั้นแล้วก็ขึ้นทางใหญ่ เดินมาสักครู่หนึ่งแลไปก็เห็นข้างริมทางมีห้องหอตึกรามเป็นลำดับเรียงรายเป็นทิวแถว พระถังซัมจั๋งจึงยอม้าถามว่าที่ตรงนั้นเป็นแห่งใดจงดูทีหรือ เห้งเจียหันหน้าไปดูเห็นรอยที่มีน้ำลำห้วยไหล น้ำใสมีแสงฟุ้งขึ้นดุจสีเพชรและเงิน ต้นไม้ดอกไม้หอมระรื่นดูสง่างาม แลร่มรื่นน่าสำราญ ดูดังวิมานสวรรค์ เห้งเจียบอกแก่อาจารย์ว่าที่ตรงนั้นดูเหมือนกับมีพระอารามเดินไปถึงจึงจะรู้แน่ได้ อาจารย์กับศิษย์ก็พากันเดินมายังหน้าประตูพิเคราะห์ดู ที่บนประตูมีแผ่นศิลาจารึกอักษรไว้สามตัวว่า (อึ้งฮวยก๊วน) โป๊ยก่ายพูดว่าอึ้งฮวยก๊วนนี้ คือสำนักของอิสี เราเข้าไปหาสนทนาเล่น ฝ่ายอิสีนั้นนุ่งห่มผิดแก่ทางพระ แต่ความปฏิบัติก็คล้าย ๆ กัน
   ซัวเจ๋งพูดว่าพี่โป๊ยก่ายคิดดังนั้นเห็นจะดี เราเข้าไปชมดู ถ้าสมคะเนเราจะได้หาข้าวให้อาจารย์ฉัน พระถังซัมจั๋งก็เห็นชอบด้วย จึงพากันเดินเข้าไปถึงประตูชั้นสอง เห้งเจียพูดว่าฤาษีนี้คงประกอบยาและเล่นอัคคีเป็นทางกสิณ อาจารย์กับศิษย์พากันเดินเรื่อยเข้าประตูชั้นสอง แลไปเห็นสำนักใหญ่ข้างระเบียงทิศ​ตะวันออก มีเตาสือคนหนึ่งนั่งปั้นยาอยู่ พระถังซัมจั๋งร้องเรียกว่าท่านใต้เซียนอาตมามาคำนับ เต้าสือคนนั้นตกใจหันหน้ามาดู ก็ทิ้งยาลุกไปหยิบเสื้อแล้ว ลงบันไดมารับเชิญว่า เชิญท่านเข้ามานั่งข้างใน เต้าสือก็เปิดประตูพาพระถังซัมจั๋งเข้าข้างใน พระถังซัมจั๋งก็ตามเต้าสือนั้นเข้ามา แลขึ้นไปบนที่บูชาเห็นมีรูปพรหมซัมเชงบูชาอยู่ พระถังซัมจั๋งเข้าไปจุดธูปบูชาแล้ว จึงนั่งลงที่เก้าอี้ปราศรัยสนทนาแก่เต้าสือ เต้าสือจึงให้คนไปจัดหาน้ำชามา เด็กคนใช้ก็ไปจัดหาน้ำร้อนน้ำชา บังเอิญมาพบพวกพยาบาทกันเข้า
   อันเหตุเดิมที่ถ้ำปั๊วซือต๋องนี้ นางทั้งเจ็ดเป็นอาจารย์เดียวกับเต้าสือคนนี้ ตั้งแต่เรียกลูกมันออกสู้รบแก่เห้งเจียแล้ว ก็พากันหนีมาแอบอยู่ในสำนักนี้ นั่งเย็บปักอยู่ข้างใน เมื่อเห็นเด็กทั้งสองคนเข้ามาจัดหาน้ำร้อนน้ำชา ก็ถามว่าเจ้าหนูแขกที่ไหนมาหรือจึงได้รีบร้อนดังนี้ เด็กนั้นบอกว่ามีพระสงฆ์สี่คนมาหาพระอาจารย์ จึงให้พวกข้าพเจ้ามาหาน้ำชาไปเลี้ยง นางปีศาจจึงถามว่ามีพระสงฆ์หน้าขาว ๆ หรือ เด็กบอกว่ามี ถามว่ามีอ้ายปากยาวหูใหญ่ด้วยหรือ เด็กบอกว่ามี นางทั้งเจ็ดจึงสั่งเด็กว่าเจ้าเอาร้อนน้ำชาไปให้แล้วจงขยิบตาให้อาจารย์เข้ามานี่ เรามีธุระร้อนจะพูดให้ฟัง เด็กนั้นรับคำแล้วยกน้ำชาออกไปเลี้ยงแขกจึงขยิบตาให้อาจารย์รู้สึก เต้าสือรู้ทันทีก็ลุกขึ้นพูดปราศรัยแก่พระถังซัมจั๋ง ว่านิมนต์ท่านนั่งฉันให้สบาย ข้าพเจ้ามีธุระจะไปสักประเดี๋ยวจะกลับมา พูดแล้วเต้าสือก็เดินเข้า​ไปข้างใน เห็นนางทั้งเจ็ดคุกเข่าลงกับพื้นกราบไหว้แล้วพูดว่าท่านพี่ได้ทราบ
   เต้าสือก็พยุงนางให้ลุกขึ้นแล้วถามว่า เจ้ามีธุระเหตุการณ์อะไรหรือ เมื่อแรกมาทำไมจึงไม่บอก มาวันนี้ประกอบยาต้องห้ามมิให้เห็นสตรี พี่ไม่ทันบอกให้เจ้ารู้ และเดี๋ยวนี้ก็มีแขกมาอยู่ข้างนอกเจ้ามีธุระอะไรแล้วจึงค่อยพูด นางปีศาจเหล่านั้นพูดว่า ท่านพี่ได้ทราบเพราะเหตุที่แขกนี้มาจึงมีเรื่อง หากคอยแขกนั้นไปแล้ว จะบอกให้ท่านพี่ฟังก็ไม่มีประโยชน์อะไร ที่แขกมานั้นคือพระสงฆ์เมืองใต้ถังจะไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎก เมื่อเช้ามาที่ถ้ำข้าพเจ้าบิณฑบาตอาหาร ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ฟังเขาเล่าลือกันว่า พระถังซัมจั๋งองค์นี้ ได้บวชปฏิบัติความบริสุทธิ์มาสิบชาติแล้ว สำเร็จภาคบริบูรณ์ หากผู้ใดได้กินเนื้อเธอก้อนหนึ่งอายุจะยืนนาน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าช่วยกันจับไว้แล้ว ถูกอ้ายปากยาวหูใหญ่มันกั้นพวกข้าพเจ้าอยู่ที่สระ ต็อกโก๊จั๊ว มันลักเอาผ้าเสื้อไปเสีย แล้วมันก็โดดลงในสระอาบน้ำปนกับข้าพเจ้า แลมันแปลงเป็นปลาช่อนเที่ยวว่ายเวียนลอดแข้งลอดขา จะใคร่ทำการข่มขี่ข้าพเจ้าเห็นข้าพเจ้าไม่ยอม มันจึงเอาคราดเหล็กไล่ตีไล่สับพวกข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่รู้ทันก็จะถึงแก่ความตาย ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงไม่คิดแก่ความอาย จึงวิ่งหนีขึ้นจากน้ำได้รอดชีวิต จึงให้หลานท่านพี่ออกไปสู้รบแก่มัน ยังไม่รู้ว่าตายเป็นประการใด ข้าพเจ้าหนีหาหาท่าน​พี่ทางนี้ก็ยังหาทราบไม่ ขอท่านพี่ได้เห็นแก่พวกข้าพเจ้าที่ได้ร่วมอาจารย์กัน ขอให้ช่วยแก้แค้นให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด
   เต้าสือได้ฟังนางทั้งเจ็ดเล่าให้ฟังดังนั้น ก็มีความโกรธสีหน้าผิดปรกติ พูดว่าพวกพระสงฆ์เหล่านี้ มีความหมิ่นประมาทไม่มีธรรมเนียม น้องทั้งหลายอย่ามีความวิตกจงวางใจเถิด ไว้ธุระพี่จะคิดอุบายแก้แค้นแทนให้ นางเหล่านั้นก็ทำความเคารพขอบคุนพูดว่าหากพี่ลงมือแล้วพวกข้าพเจ้าจะระดมเข้าช่วย เต้าสือบอกว่าไม่ต้องตี ๆ ก็สู้ไม่ได้ เจ้าทั้งหลายตามพี่ไปดู นางเหล่านั้นก็ลุกขึ้นเดินตามไป เต้าสือก็เข้าห้องในเอาบันไดพาดขื่อ แล้วปีนขึ้นไปหยิบเอาหีบยาเล็กลงมา ไขกุญแจหีบเอาห่อยาออก ยานี้คือประกอบทำด้วยมูลนกต่าง ๆ กวาดเก็บเอารวมน้ำหนักพันชั่ง ใส่หม้อทองแดงต้มเคี่ยวจนคงเหลือเท่าขันล้างหน้า แล้วประสมเคี่ยวไปออกจนเหลือเท่าผลตะขบใหญ่ก็เป็นยาพิษอันวิเศษ หากเอาลิ้นลิ้มรสก็ทันถึงที่ตาย
   เต้าสือจึงหยิบมาให้นางทั้งเจ็ดดู พูดว่ายานี้ประสิทธิ์คุณนัก หากให้มนุษย์ธรรมดากินก็จะสิ้นชีวิตทันที หากพวกฤาษีเซียนกินสองทีก็สิ้นชีวิต หากพวกสงฆ์เหล่านี้เธอบวชเรียนสำเร็จภาคอันเชึ่ยวขาญสักสามทีก็ตาย จงไปหยิบตาเต็งมาที นางคนหนึ่งจึงลุกไปหยิบตาเต็งมาให้เต้าสือ ๆ เอายาปันเป็นสี่ส่วน ๆ ละสามทีเอาถ้วยชาใส่สามถ้วย ถ้วยหนึ่งเอาพุดซาดำใส่สองถ้วยไม่ใส่ยาใส่ถ้วยไว้ถ้วยหนึ่ง ครั้นปันเสร็จแล้วก็เอาใส่ถาดไว้ห้าถ้วย จึงสั่ง​นางทั้งเจ็ดนั้นว่า หากพี่ออกไปถามดูไม่ใช่พระถังซัมจั๋งก็ชั่งเถิด หากแน่ว่าพระถังซัมจั๋งมาจากเมืองใต้ถังแล้ว พี่เรียกให้เอาน้ำชามาน้องจงให้เด็กยกออกไป ให้เธอกินแล้วก็ตายทุกคน นั้นแลพี่จะแก้แค้นให้ นางทั้งเจ็ดได้ฟังเต้าสือชี้แจงดังนั้นก็มีความยินดีเป็นที่สุด
   เต้าสือครั้นสั่งเสร็จแล้ว ก็ผลัดเสื้อออกมายกมือทำคำนับพระถังซัมจั๋งพูดว่า ข้าพเจ้าเข้าไปข้างในสั่งให้พวกเด็ก ๆ จัดหาเครื่องแจมาถวายสักเวลาหนึ่ง พระถังซัมจั๋งพูดว่า อาตมภาพมาหาโดยความนับถือ มิได้ตั้งใจจะมารบกวน ให้ท่านได้ความลำบากดังนี้ เต้าสือหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านอาจารย์กับข้าพเจ้าก็เป็นคนบวชเรียนเหมือนกัน เห็นสำนักกุฎิแล้วก็คงมีความอิ่มเอิบ จะเกรงใจถ่อมตัวทำไมมี ข้าพเจ้าขอถามท่านอาจารย์อยู่สำนักวัดไหนมาด้วยกิจธุระอันใด จึงได้มาจนถึงที่นี่ พระถังซัมจั๋งตอบว่า อาตมภาพนี้เป็นคนชาวเมืองใต้ถัง เพราะมีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้ไปยังไซทีเพื่ออาราธนาพระไตรปิฎกธรรม จึงได้ข้ามมาถึงสำนักแห่งท่าน จะใคร่เข้ามานมัสการ เต้าสือได้ฟังดังนั้น สีหน้าก็ชื่นบานพูดว่า ท่านอาจารย์มีความซื่อตรงกตัญญูมีบุญอภินิหารอันใหญ่ ข้าพเจ้ามิได้รับรองให้เต็มเคารพ ขอท่านได้อนุญาตให้โอกาศแก่ข้าพเจ้าเถิด จึงร้องเรียกพวกเด็ก ๆ ให้ยกน้ำชามา แลสั่งให้จัดเครื่องแจ
   เด็กเหล่านั้นก็วิ่งเข้าไปข้างใน พวกหญิงเหล่านั้นก็ชี้ให้เด็กยกน้ำถ้วยที่ถาดนั้นออกไป เต้าสือสอง​มือยกถ้วยหนึ่ง ถวายพระถังซัมจั๋ง ยังอีกสามถ้วย เธอเห็นโป๊ยก่ายรูปร่างใหญ่โต คิดว่าเป็นสานุศิษย์ที่ ๑ จึงยกถ้วยหนึ่ง ซัวเจ๋งว่าที่สองก็ยกให้ถ้วยหนึ่ง เห็นเห้งเจียรูปร่างเล็ก ๆ จึงให้ถ้วยที่สาม เห้งเจียรับถ้วยมาตาชะแง้ดูในถาด เห็นมีอีกถ้วยหนึ่งพุดซาผลสีดำ จึงพูดว่าในถาดนั้น ขอให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนเอาเถิด
   เต้าสือหัวเราะพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ปิดท่านดอก ที่แถบนี้ผลไม้ไม่บริบูรณ์ ข้าพเจ้าพึ่งให้ค้นหาข้างหลังสำนักมาได้ผลพุดซาสุกสิบสองผล ปันเป็นสี่ส่วนเอามาคำนับท่านพอเป็นที่ชื่นใจ ส่วนข้าพเจ้าไม่ควรจะตอบเป็นธรรมเนียม จึงเอาสองผลพุดซาอย่างต่ำพอนั่งกินเป็นเพื่อนท่านทั้งสี่พอเป็นกิริยาที่นับถือเท่านั้น เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ทำไมท่านจึงพูดดังนั้นเล่า โบราณท่านย่อมว่า อยู่กับบ้านไม่ใช่จนทางจน จนก็ต้องฆ่าคน ท่านเต้าสืออยู่กับบ้านทำไมจึงถ่อมตัวว่าจน ขอให้ท่านเปลี่ยนแก่ข้าพเจ้าเถิด
   พระถังซัมจั๋งว่าท่านใต้เซียนมีจิตโอบอ้อมรักเราจงกินเถิด เห้งเจียจะเปลี่ยนอะไรที่ไหนเล่า เห้งเจียจึงรับถ้วยมาเอามือซ้ายปิดปากถ้วยไว้แล้วคอยดู โป๊ยก่ายกำลังหิวอยาก เห็นในถ้วยมีผลพุดซาสามผล หยิบใส่ปากกลืนเข้าไปในท้อง พระถังซัมจั๋งซัวเจ๋งก็กินทั้งสามคน พอตกถึงท้องในทันใดนั้น โป๊ยก่ายสีหน้าก็ผิดปรกติซัวเจ๋งน้ำตาก็ไหลออกมาพรั่งพราย พระถังซัมจั๋งก็อาเจียน ต่างก็เมามึนล้มลงกับที่ เห้งเจียก็รู้สึกว่าถูกยาพิษทั้งสามคน ก็โกรธจึงเอาถ้วย​ที่ถืออยู่นั้นขว้างไปตรงหน้าเต้าสือ ๆ ก็เอามือเสื้อรับ ถ้วยก็ตกลงกับพื้นแตกกระจายไป เต้าสือก็โกรธพูดว่าอ้ายคนนี้อยาบช้าทำไมทำถ้วยของเราแตกไปดังนี้
   เห้งเจียพูดว่ามึงดูสามคนนั้นว่ากระไร เรามิได้เกี่ยวข้องอะไรแก่เจ้าเลย เหตุใดเจ้าจึงเอายาพิษมาให้อาจารย์เรากินดังนี้ เต้าสือพูดว่าอ้ายสัตว์เดรัจฉานมึงทำร้ายมาแล้วมึงเข้าใจว่ากูไม่รู้หรือ เห้งเจียตอบว่าข้าพึ่งมานี่ก็ยังมิได้กล่าวคำหยาบช้าและทำอะไรแก่เจ้าเลย เต้าสือถามว่าเจ้าเคยแวะที่ถ้ำปั๊วซือต๋องบิณฑบาตหรือเปล่า แลได้ไปอาบน้ำที่สระต๊อกโก๊จั๊วหรือเปล่า เห้งเจียว่าที่สระนั้นคือนางปีศาจทั้งเจ็ด เจ้าพูดคำนี้ออกมาเจ้าก็เป็นพวกปีศาจ มึงก็เป็นปีศาจเหมือนกัน มึงจงกินตะบองสักทีหนึ่งว่าแล้วเห้งเจียก็ชักตะบองกายสิทธิ์ออกจากหู แกว่งไปทีหนึ่งแล้วตีลงตรงหน้าเต้าสือ ๆ ก็หลบหันกลับเข้าไปเอาเกี่ยมวิเศษออกมาต่อสู้กัน ฝ่ายพวกปีศาจหญิงทั้งเจ็ดคน ก็พากันออกมาร้องว่าไม่ต้องลำบากถึงท่านพี่ ไว้พวกข้าพเจ้าจะจับมันเอง
ตอน ปราบปิศาจแมงมุมสาว (ช่วงที่ 2)
   เห้งเจียแลเห็นนางเหล่านั้นก็บังเกิดโทสะขึ้น ยกตะบองขึ้นตีขนาบเข้าไปมิได้รอรั้ง ปีศาจทั้งเจ็ดก็แก้เอี๊ยมออกจากอก แผลงฤทธิ์ออกมาเป็นใยร้อยสอดเป็นเพดานครอบเห้งเจียไว้ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หกขะเมนขึ้นทีหนึ่งทะลุใยนั้นออกไปยืนอยู่บนอากาศ พิเคราะห์ดูเห็นพวกปีศาจช่วยกันร้อยสอดมุงไปมา บัดเที่ยวใจก็ปิดสำนักห้องหอตึกรามแลไม่เห็นทั้งสิ้น เห้งเจียแลเห็นดังนั้นออกปากว่าร้ายแรง​จริง เมื่อแรกเรามิได้โดนฝีมือมัน โป๊ยก่ายไปถูกเขาจึงได้ล้มคว่ำล้มหงายอย่างนี้เอง อาจารย์กับน้องก็ถูกยาพิษของมันแล้ว เราก็มิได้รู้เหตุเดิมมันว่าเป็นประการใด จำเราจะต้องถามภูมิเจ้าที่ดูหากจะรู้ได้ คิดแล้วเห้งเจียก็ร่ายพระเวทวิทยาเรียกภูมิเจ้าที่ ๆ ก็มาในทันใด เห้งเจียจึงถามว่าท่านเข้าใจอย่างไรว่านางปีศาจทั้งเจ็ดนี้มันชักไยออกมานั้นเป็นปีศาจชนิดใดมาจากไหน
   พระภูมิเจ้าที่จึงแจ้งความว่า มันมาอยู่ที่นี่ยังไม่ถึงสิบปี แต่เมื่อสามปีก่อนข้าพเจ้าเห็นมันถอดรูปเดิมออก คือเป็นตัวแมงมุมเจ็ดตัวที่คลายใยออกนั้นคือใยแมงมุม เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงพูดว่าท่านจงกลับไปยังที่เดิมของท่านเถิด ภูมิเจ้าที่ก็คำนับลาเห้งเจียไป เห้งเจียก็มาที่สำนักปีศาจอึ๊งฮวยก๊วนถอนขนหางออกเจ็ดสิบเส้น ก็เป่าให้แปลงเป็นรูปเห้งเจียน้อย ๆ เจ็ดสิบตน ทุก ๆ ตัวถือตะบองเหล็กคนละอัน เห้งเจียเองก็ถือตะบองยืนอยู่ข้างหน้า จึงสั่งให้พร้อมกันเข้าระดมเอาตะบองตีกวาดม้วนเข้าประมาณหนักสักสิบชั่ง นางทั้งเจ็ดก็ติดอยู่ในใยนั้น เห็นเป็นตัวแมงมุมเจ็ดตัวโตสักเท่ากระถางปากแดง ร้องขอชีวิตแก่เห้งเจียน้อย ๆ ก็เอาตะบองกดไว้ เห้งเจียว่าอย่าทำมันให้มันเอาอาจารย์กับน้องมาคืนให้จึงจะยกชีวิตให้แก่มัน นางปีศาจเหล่านั้นก็ร้องบอกแก่เต้าสือว่าท่านจงปล่อยอาจารย์กับน้องของเธอออกมาให้เธอเสียเถิด ชีวิตข้าพเจ้าทั้งเจ็ดนี้จะได้รอดจากความตาย
   ​เต้าสือกระโดดออกมาร้องว่า เราจะกินเนื้อถังซัมจั๋งช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งมีความโกรธยิ่งนัก จึงพูดว่ามึงไม่เอาอาจารย์มาคืนให้กู มึงจงดูน้องสาวของมึงให้เห็นแก่ตา เห้งเจียก็เอาตะบองฟาดแมงมุมตายหมดทั้งเจ็ดตัว ศพแมงมุมดุจถุงใส่แป้งโลหิตไหลนอง เห้งเจียก็เรียกขนกลับเข้าตัวตามเดิม แล้วก็ตรงเข้าตีเต้าสือ ๆ ก็เอาเกี่ยมรับไว้ รบสู้กันโดยกำลังความสามารถบุกบั่นฟันฟาดกันไปมาได้ห้าหกสิบเพลง ฝ่ายปีศาจเต้าสือกำลังก็อ่อนลงจึงถอดเสื้อในตัวออกแล้วก็ยกมือขึ้น ด้วยใต้รักแร้ มีตาตั้งพันทุก ๆ ตาฟุ้งออกมากเป็นแสงทองคลุมครอบเห้งเจียไว้ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็กลับไปกลับมาออกไม่ได้ดุจอยู่ในถังครอบ ธุรนธุรายจึงกระโดดขึ้นไปทีหนึ่งก็ตกลงมารู้สึกเจ็บศรีษะ จึงเอามือลูบดูก็เห็นบวมช้ำคิดเสียใจว่า หัวของเราวันนี้ไม่ดีเสียแล้ว แต่ก่อนนั้นทั้งมีดทั้งขวานและอาวุธต่าง ๆ ก็ไม่ทำอะไรได้ วันนี้ไปโดนแสงปีศาจเข้าก็บวมไปและเจ็บดังนี้ จึงคิดว่าข้างไหนก็ไปไม่ได้ จำจะต้องหนีลงข้างดินจึงจะไปได้
   คิดดังนั้นแล้วก็ร่ายพระเวทคาถาไหวกายาแทรกพระธรณีหนีลงไปใต้ดิน ก็ออกพ้นไปยี่สิบโยชน์ ที่แสงรอบนั้นประมาณสิบโยชน์ เห้งเจียออกมาพ้นแล้ว กำลังก็อ่อนเปลี้ยระบมไปทั้งกาย นึกถึงอาจารย์น้ำตาก็ไหลลงอาบหน้า ในขณะเมื่อเห้งเจียนั่งร้องไห้อยู่นั้น ได้ยินเสียงเรียกอยู่ข้างหลังเขาจึงหันไปดู ก็เห็นหญิงชราคนหนึ่งนุ่ง​ขาวห่มขาวมือขวาถือถาดข้าว มือซ้ายถือกระดาดเงินกระดาดทองเดินพลางร้องไห้พลาง เห้งเจียสั่นศรีษะแล้วออกปากพูดว่า เราร้องไห้มาพบปะร้องไห้เข้าอีก โทมนัสก็มาพบปะโทมนัสเข้าอีกฉะนี้ หญิงคนนี้ไม่รู้ว่าร้องไห้ด้วยเหตุอะไร จำเราจะต้องถามดูให้รู้เรื่อง พอหญิงคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ เห้งเจียจึงย่อตัวถามว่าท่านแม่จะไปข้างไหน ร้องไห้ถึงใครที่ไหนหรือ นางนั้นยิ่งสะอึกสะอื้น แล้วพูดว่าสามีของข้าพเจ้าไปซื้อไม้ไผ่ที่สำนักอึ้งฮวยก๊วน เจ้าของอึ้งฮวยก๊วนโต้ตอบพูดจากัน มันเอายาพิศษไส่ให้ผัวข้าพเจ้ากินตาย ข้าพเจ้าจึงเอาเข้าน้ำกระดาษมาเซ่นไหว้เป็นผัวเมียรักกัน
รูปภาพ ; นางลี่ซัวเล่าโป๊นี้เป็นฝ่ายฤาษีเซียนใหญ่ มีเดชานุภาพเชี่ยวชาญทั้งวุฒิ ฤทธิ์เดชอานุภาพกล้าหาญทั้งฌาณก็แก่กล้า สำนักอยู่ที่เขาลี่ซัวเป็นผู้แนะนำให้เห้งเจียไปหานางไผ้นาฝอปราบปีศาจ
รูปภาพ ; นางไผ้นาฝอนี้รักษาศีลอยู่ที่เขาจี๋หุ้นซัวถ้ำเชยฮวยต๋อง ความปฏิบัติแก่กล้ามีเข็มทองอันหนึ่ง อาจปราบปีศาจและสัตว์ร้ายได้ นางเป็นมารดาของเบ้ายิด คือพระอาทิตย์ได้มาช่วยเห้งเจียปราบปีศาจร้าย
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็คิดถึงอาจารย์ขึ้นมาหน้านิ่วคิ้วย่นก็ร้องไห้ หญิงชราก็โกรธจึงพูดว่าข้าพเจ้าคิดถึงผัวจึงร้องไห้ ตัวเกี่ยวข้องอะไรด้วย จึงมาร้องไห้ล้อเราดังนี้ เห้งเจียบอกว่าท่านแม่อย่าโกรธข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าคือคนชาวเมืองใต้ถัง มีรับสั่งให้อาจารย์ข้าพเจ้าไปไซที ข้าพเจ้านามเรียกว่าซึงหงอคง เหตุข้ามมาถึงที่หยุดพักที่ในสำนักนั้น ไม่รู้ว่าปีศาจอะไรเอายาพิษใส่ในผลพุดซาให้อาจารย์และน้องกิน รวมทั้งม้าก็ติดอยู่ในสำนักนั้น รอดแต่ข้าพเจ้าเพราะไม่กินของมัน ได้สู้รบแก่มันครึ่งวันมาแล้ว มันแก้เสื้อออกที่ใต้ร้กแร้มันทั้งสองข้างมีตามากนับพัน ฟุ้งออกไปเป็นแสงทองคลุมครอบข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าหนีมุดดินมาได้เดี๋ยวนี้กำลังคิดถึงอาจารย์ก็นั่งร้องไห้
   ครั้นเห็นท่านแม่มาจึงได้ถามถึงเหตุผล ท่านแม่ยังมีข้าวน้ำมาเซ่นตอบแทนสามี ​อาจารย์ข้าพเจ้าตายก็ไม่มีอะไรสักสิ่งหนึ่งซึ่งจะได้ตอบแทน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงแค้นขึ้นมาก็ร้องไห้ ความจริงมิได้คิดที่จะล้อเลียนอะไรเลย หญิงชราผู้นั้น คำนับตอบแล้วพูดว่าข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านถูกภัยร้ายอย่างนั้น ได้ทราบเพราะท่านพูดออกมา ท่านไม่ทราบหรือเต้าสือนั้น นามเรียกว่าแปะงั้นหม้อกุน คือท้าวพันตา แลเรียกโตมักกวั่ย คือปีศาจตามาก หากท่านเปลี่ยนแปลงหนีรอดสายทองนั้นมาได้ข้าพเจ้าจะบอกให้ไปเชิญท่านผู้วิเศษนั้นจึงจะปราบทำลายแสงทองนั้นได้ เห้งเจียได้ฟังก็ดีใจ ถามว่าท่านแม่ได้โปรดชี้แห่งให้ข้าพเจ้าด้วยท่านผู้วิเศษอยู่แห่งใด
   หญิงชราพูดว่า ข้าพเจ้าจะชี้ให้ไปเชิญมาแก้แค้นให้ได้โดยแท้ แต่ที่อาจารย์นั้นแก้ไมได้ เห้งเจียถามว่าทำไมจึงจะแก้ไมได้ ขอท่านแม่ได้โปรดชี้แจงให้ข้าพเจ้าทราบด้วย แม่หญิงพูดว่า ยาพิษนั้นร้ายนักแม้ว่ากินเข้าไปสามวันแล้ว กระดูกเล็กใหญ่ก็จะป่นละเอียดไปทั้งสิ้น หนทางที่จะไปกลัวจะช้ามาไม่ทันแก้ เห้งเจียพูดว่า บางทีจะไปมาใกล้ไกลเท่าใดก็อยู่ในครึ่งวันเพราะข้าพเจ้าชำนาญเหาะได้
   แม่หญิงบอกว่าหากท่านเหาะได้แล้วเราจะบอกให้ คือทางนั้นประมาณพันโยชน์ ที่แห่งนั้นมีภูเขาใหญ่นามเรียกว่า (จี๋หุ้นซัว) ในเขานั้นมีถ้ำเรียกว่า (เชยฮวยต๋อง) มีผู้วิเศษนนามเรียกว่า (ไผ้นาฝอ) เธอปราบกำจัดปีศาจนี้ได้ เห้งเจียถามว่าภูเขานั้นอยู่ข้างทิศไหน นางเอามือชี้บอกว่าตรงทิศอาคเนย์ไปนั้นและ เห้งเจียหันหน้าไปดูทิศแล้วหันกลับมาก็ไม่เห็น​แม่หญิงนั้น จึงแหงนหน้าขึ้นไปดูเห็นเป็นเจ้าแม่ (ลี่ซัวเล่าโป๊) เห้งเจียก็เหาะขึ้นไปตามยกมือขอบคุณ แล้วถามว่าเจ้าแม่เล่าโป๊ไปข้างไหนมาหรือ จึงได้มาชี้แจงให้ข้าพเจ้า เล่าโป๊บอกว่าข้าพเจ้าไปที่ประชุม (เล่งฮวยหวย) กลับมา เห็นอาจารย์ของใต้เซียถูกภัยร้ายจึงได้มาช่วย ท่านจงรีบไปเชิญผู้วิเศษมาเถิด อย่าบอกว่าข้าพเจ้าชี้ให้ ด้วยผู้วิเศษมักจะโกรธคนง่าย ๆ
   เห้งเจียก็คำนับลาเหาะละลิ่วมาบัดเดี๋ยว ก็ถึงเขาจี๋หุ้นซัว จึงหยุดแลดูเห็นถ้ำเชยฮวยต๋อง ก็ลดลงยังพื้นเดินเข้าไปเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นคนดูเงียบสงัด ไก่และสุนัขก็มิได้ยินเสียง นึกในใจว่าเห็นท่านผู้วิเศษจะไม่อยู่ดอกกระมัง ก็เดินเข้าไปอีกพักหนึ่ง แลไปก็เห็นนางหญิงคนหนึ่งมีกิริยาเป็นผู้ถือบวชนั่งอยู่บนเตียง เห้งเจียก็เข้าไปยกมือพูดว่าท่านไผ้นาฝอข้าพเจ้าคำนับ นางนั้นก็ลงจากเตียงคำนับตอบ พูดว่าข้าพเจ้าไม่ทันออกไปรับท่านใต้เซีย ท่านไปข้างไหนมาหรือ เห้งเจียถามว่าท่านทำไมรู้จักข้าพเจ้า ไผ้นาฝอจึงพูดว่า เมื่อเวลาท่านทำวุ่นวายบนสวรรค์ในรอบท้องฟ้าใครจะไม่รู้จักท่าน เห้งเจียบอกว่าบัดนี้ ข้าพเจ้าถือศีลเข้าเพศสัมมาทิฐิแล้ว ท่านไม่ทราบหรือ
   ไผ้นาฝอว่าท่านกลับใจได้ดีแล้ว ข้าพเจ้าพลอยโมทนาด้วย เห้งเจียบอกว่า บัดนี้ข้าพเจ้าตามพระถังซัมจั๋งจะไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมยังประเทศไซที ข้ามมาถึงสำนักอึ้งฮวยก๊วน ปีศาจเต้าสือเอายาพิษใส่ให้อาจารย์ข้าพเจ้ากินล้มลง ข้าพเจ้าจะต่อสู้แก่มัน ๆ แผลงฤทธิ์​อานุภาพเป็นแสงทองมาคลุมครอบข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าแผลงฤทธิ์ดำดินหนีออกมาได้ ข้าพเจ้าทราบว่าท่านแม่มีฝีมืออาจจับปีศาจนี้ได้ จึงมาเชิญให้ไปช่วยสักครั้งหนึ่ง ไผ้นาฝอถามว่านี่ใครบอกจึงได้รู้ ข้าพเจ้าตั้งแต่ครั้งไปประชุมฮื้อนาหวยมาจนบัดนี้สามร้อยปีกว่าแล้ว ไม่เคยออกจากที่ไปข้างไหนแอบหาที่สงัดรักษาอารมณ์อยู่ ก็ไม่มีใครรู้เหตุ ท่านใต้เซียทำไมจึงรู้จักทางเข้ามาถึงที่นี่
   เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าคือผีแผ่นดินที่ไหนๆ ก็เที่ยวซอกซอนสืบถามก็รู้ได้ ไผ้นาฝอว่าดังนั้นก็ช่างเถิด ข้าพเจ้าจะไม่ไปก็ขัดใต้เซี้ยไม่ได้ท่านได้มาถึงนี่แล้วไม่ควรจะตัดรอน ซึ่งการกุศลที่ใต้เซียจะไปอาราธนาพระธรรม จะต้องไปช่วยใต้เซียสักครั้งหนึ่ง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ขอบคุณและดีใจที่สุด แต่ไม่ทราบว่าท่านจะเอาเครื่องมืออะไรไป ไผ้นาฝอบอกว่า ข้าพเจ้ามีเข็มปักอันหนึ่งอาจทำลายของร้ายแห่งปีศาจได้ เห้งเจียถามว่าอันเข็มปักนั้น เดิมข้าพเจ้าก็มีเหมือนกัน ไผ้นาฝอว่าของใต้เซียนั้นเป็นของเหล็กและทองเหลืองทองคำใช้ไม่ได้ อันของวิเศษของข้าพเจ้านี้ไม่เหมือนของท่านเป็นของบุตรข้าพเจ้าประกอบแก้วตาให้เป็นขึ้น เห้งเจียถามว่าบุตรของท่านคือใครที่ไหน ไผ้นาฝอตอบว่าคือดาวยิดเบ๊าแซนั้นและ
   เห้งเจียได้ฟังก็ใจหาย ต่างก็พากันเหาะมา แลไปข้างหน้าเห็นแสงระยับระย้า เห้งเจียเอามือชี้ว่าที่แสงนั้นและเป็นสำนักอึ้งฮวยก๊วน นางไผ้นาฝอจึงชักเข็มวิเศษออกจากคอเสื้อ สักเท่าขนคิ้ว ยาวสักองคุลี​ครึ่ง นางไผ้นาฝอหมายที่แสงทองนั้นแล้วก็ขว้างไป สักประเดี๋ยวเสียงด้งเปรี้ยง แสงทองก็อันตรธานสูญหายไปทันที เห้งเจียว่าวิเศษแท้ ๆ นางไผ้นาฝอก็แบมือยื่นบอกว่านี่มิใช่เข็มหรือ เห้งเจียก็พร้อมกับนางไผ้นาฝอลงยังพื้น เดินเข้าไปยังสำนักที่รับแขกแลเห็นเต้าสือยืนหลับตาอยู่หน้าสำนัก เห้งเจียด่าว่าอ้ายสัตว์ร้ายมึงมีใจคิดฆ่าได้ ชักตะบองออกจะตี นางไผ้นาฝอร้องห้ามไว้ ให้เข้าไปดูอาจารย์ก่อน เห้งเจียก็เดินเข้าไปเห็นอาจารย์โป๊ยก่ายซัวเจ๋งฟุบอยู่กับพื้น รากเขียวรากเหลืองออกมาทุก ๆ คน เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ร้องไห้
   นางไผ้นาฝอพูดว่าท่านใต้เซียอย่าโทมนัสไปเลย ข้าพเจ้ามาวันนี้ก็ปราถนาจะทำการกุศลด้วย ข้าพเจ้าได้เอายาติดมาด้วยสามเม็ดอาจแก้ยาพิษนั้นได้ ว่าแล้วก็ล้วงเอายาออกจากมือเสื้อฉีกออกจากห่อกระดาดษเอายาสามเม็ดนั้นส่งให้เห้งเจีย ให้เอาใส่ในปากประเดี๋ยวก็จะฟื้น เห้งเจียรับยามาแล้ว ก็งัดปากให้อ้าออกเอายาใส่ปากให้คนละเม็ด พอฤทธิ์ยาเข้าไปในท้องสักประเดี๋ยว ก็อาเจียนยาพิษร้ายออกมาหมดก็พากันฟื้น โป๊ยก่ายกระโดดขึ้นว่ายาพิษหายแล้ว พระถังซัมจั๋ง ซัวเจ๋งก็ผุดลุกขึ้นนั่งพูดว่ามึนเมาจริง ๆ เห้งเจียบอกว่าถูกยาพิษของปีศาจ หากได้พึ่งท่านไผ้นาฝอมาช่วยแก้จึงฟื้นได้ จงมาเคารพขอบคุณท่านเถิด
   พระถังซัมจั๋งแลสานุศิษย์ได้ยินดังนั้น ต่างก็มาเคารพขอบคุณทุกคน โป๊ยก่ายถามว่าอ้ายเต้าสือมันอยู่ที่ไหน จะใคร่ถามมันดูว่า​เหตุใดมันจึงได้คิดฆ่าเราดังนี้ เห้งเจียก็เล่าเรื่องนางแมงมุมนั้นให้ฟัง โป๊ยก่ายก็ยิ่งโกรธว่ามันกับอีแมงมุมนั้นเป็นพี่น้องกัน มันก็เป็นปีศาจเหมือนกัน เห้งเจียชี้มือว่ามันยืนหลับตาอยู่หน้าสำนักจงไปล้างเสีย โป๊ยก่ายก็จับคราดจะลงมาสับ นางไผ้นาฝอร้องห้ามว่าอย่าเพิ่งก่อน ท่านพ่องง่วนส่วยระงับโทสะก่อน ข้าพเจ้าไม่มีคนเฝ้าประตู ขอให้ข้าพเจ้าไปไว้เฝ้าประตู เห้งเจียคำนับว่าขอเชิญท่านเถิด ท่านต้องการแล้วข้าพเจ้าไม่อาจขัดท่าน ขอให้ท่านให้มันแปลงกลับรูปเดิม เพื่อพวกข้าพเจ้าจะได้ทราบว่าปีศาจอันใด นางไผ้นาฝอพูดว่าจะยากอะไร จึงเอามือชี้เต้าสือทีหนึ่งก็ล้มตึงลงกับพื้น กลายเป็นตะขาบตัวหนึ่งยาวเจ็ดศอก นางไผ้นาฝอก็เอานิ้วก้อยช้อนขึ้นแล้วก็เหาะขึ้นกลางอากาศกลับไปยังถ้ำเชยฮวยต๋อง
   โป๊ยก่ายแหงนหน้าดูแล้วพูดว่า แม่คนนี้ชั่งอาจหาญแท้สามารถกำจัดจับปีศาจร้ายได้ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า พี่ถามเธอว่าเหตุเดิมประการใด เธอบอกวาดาวยิดเบ๊าแชกุนนั้นเป็นบุตรของเธอ เราคิดดูยิดเบ๊าแชกุนนั้นเป็นไก่ เธอว่าลูกของเธอ ถ้าดังนั้นก็เป็นแม่ไก่เป็นแน่ ความจริงตะขาบย่อมแพ้ไก่เพราะฉะนั้นเธอจึงกำจัดได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความขอบคุณไม่รู้สิ้น จึงให้จัดหาเครื่องแจกระยาหาร อาจารย์กับศิษย์กินอิ่มแล้ว จัดข้าวของออกเดิน เห้งเจียเก็บฟืนยัดในโรงครัวแล้วเอาไฟเผาสำนักห้องหอเหล่านั้นไหม้ไฟเป็นขี้เถ้าไปสิ้น
รูปภาพ ; ยิดเบ๊าแชกุนนี้เป็นดาวอยู่ใน ๒๘ ดวง เมื่อเห้งเจียมาถึงได้รบกับปีศาจตะขาบ ๆ มีฤทธาอานุภาพมาก จนเห้งเจียไม่อาจปราบได้โดยลำพังตน จึงต้องไปเชิญยิดเบ๊าแชกุนมาช่วยปราบ จึงได้ปราบปีศาจตะขาบตนนี้ได้ เพราะฉะนั้นตะขาบจึงได้แพ้ไก่ปรากฏจนทุกวันนี้
  วีดีโอฉบับการ์ตูน จบ. บริบูรณ์