
(บทที่ ๗๐)
เห้งเจียว่าถ้ากระนั้นน้องสองคนอยู่นี่ ไว้พี่จะขึ้นไปถามดูเพื่อจะได้รู้ว่าจะเป็นอะไรแน่ เห้งเจียเตรียมตัวมั่นคงแข็งแรงแล้วก็เหาะขึ้นไปกลางอากาศขวางหน้า ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายมารร้ายเอ็งอยู่ที่ไหนเป็นยักษ์มารชนิดใดจะไปข้างไหน มีธุระอะไรมาถึงที่นี่ทำไม จะมาอวดดีที่นี่หรือ ยักษ์ได้ฟังเห้งเจียร้องถามด้วยกิริยาอันห้าวหาญดังนั้น จึงตวาดด้วยเสียงอันดังแล้วตอบว่า เรามิใช่คนอื่น คือเซียนฮองของท่านไซ้ทั้ยส่วยอยู่ตำบลเขาขี้ลินซัวถ้ำเก๊ยใจต๋อง เรารับคำสั่งของท่านมาเอานางสาวใช้อีกสองคนไปรับใช้กิมเซี้ยเกงเนี้ย ๆ เจ้าเป็นคนอะไรที่ไหน อาจสามารถมาถามเราทำไม
เห้งเจียตอบว่าเราคือซีเทียนใต้เซียซึงหงอคง เพราะเรารักษาพระถังซัมจั๋งไปไซที เพื่อจะอาราธนาพระธรรม เพราะว่าข้ามมาทางนี้ จึงรู้ข่าวว่าเจ้าเป็นยักษร้าย ทำการหมิ่นประมาทเจ้าเมืองจะไปหาเจ้าก็ไม่รู้แห่งที่อยู่ บัดนี้เจ้าเอาชีวิตมาส่งถึงมือฉะนี้ดีแล้ว ปีศาจยักษ์ได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็มิได้รอรั้งยกทวนขึ้นแทงเห้งเจีย ๆ ยกกระบองขึ้นรับรบกันโดยสามารถได้สองเพลง เห้งเจียตีปีศาจด้วยกระบองถูกทวนหักเป็นสองท่อน ก็ตกใจหลบหนีตามลมไปทางทิศตวันตก เห้งเจียก็มิได้ไล่ตามลดลงมายังพื้น เดินมาที่ตำหนักซ่อนปีศาจ ร้องเรียกว่า พระอาจารย์จงเชิญพระเจ้าแผ่นดินขึ้นมาเถิด ปีศาจยักษ์นั้นข้าพเจ้าขับหนีไปแล้ว
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเมื่อได้ยินเห้งเจียเรียก ก็พยุงพระเจ้าแผ่นดินขึ้นมาจากอุโมงค์ แลเห็นท้องฟ้าใสสว่างดี มิได้เห็นปีศาจพระองค์ก็เสด็จมาที่ตั้งโต๊ะนั้น ทรงหยิบป้านสุรามารินใส่ถ้วยทองคำแล้ว ก็มาส่งให้เห้งเจียตรัสว่า ท่านเล่าเอี๊ยรับของคำนับแห่งข้าพเจ้าเป็นกิริยาก่อน เห้งเจียก็รับถ้วยสุรามาถือไว้แล้ว ได้ยินขุนนางมาทูลว่าประตูเมืองข้างทิศปราจิณเกิดไฟไหม้ เห้งเจียได้ยินขุนนางมาทูลดังนั้น ก็ขว้างถ้วยไปเสียงดังสนั่นถ้วยสุราก็ตกลงอยู่กับพื้น พระเจ้าแผ่นดินเห็นดังนั้นก็ตกพระทัยลดพระองค์คำนับเห้งเจียถามว่า ท่านเล่าเอี๊ยจะมีความผิดใจอะไรหรือ จงขออนุญาตโทษแห่งข้าพเจ้า ขอเชิญท่านขึ้นบนแท่น ข้าพเจ้าจะได้เคารพขอบคุณท่าน
เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า หาใช่เช่นนั้นไม่ บัดเดี๋ยวจะมีขุนนางมากราบทูลว่า มีฝนใหญ่ตกลงมาดับไฟเสียสิ้นแล้ว ทั่วทั้งถนนจะเหม็นกลิ่นสุราไปทั้งสิ้น แล้วเห้งเจียพูดว่าปีศาจยักษ์แพ้หนีไปข้าพเจ้าไม่ตาม มันจึงทิ้งไฟให้ไหม้ประตูเมืองทิศตะวันตก ข้าพเจ้าจึงเอาถ้วยสุราขว้างไปบันดาลเป็นฝนดับไฟนั้นหาใช่ผิดใจอะไรต่อพระองค์ไม่ แลชาวเมืองก็หาได้ทราบความตลอดไม่ ครั้นเห้งเจียชี้แจงดังนั้น ก็ยิ่งมีพระทัยยินดียิ่งนัก จึงเชิญพระถังซัมจั๋ง เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ขึ้นไปยังปราสาทใหญ่ ในพระทัยจะใคร่มอบราชสมบัติให้
เห้งเจียหัวเราะพูดว่า ขอพระองค์ทรงทราบ อันปีศาจนั้นบอกนามว่าเป็นทหารของไซ้ทั้ยส่วย ใช้ให้มาเอานางสนมไปรับใช้สอย กิมเซี้ยเกงเนี้ย ๆ บัดนี้มันพ่ายแพ้ไปคงจะกลับไปบอกนายมัน เห็นคงจะกลับมาชิงชัยอีกเป็นแน่ ข้าพเจ้าเห็นว่า ครั้นจะรอให้มันมาก็จะเกิดเดือดร้อนแก่อาณาประชาชนจะพากันวิตกทุกข์ร้อน ทั้งพระองค์ก็จะตกพระทัยกลัว เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าหมายจะรีบไปรบสกัดไว้เสียก่อน จะได้รับกิมเซี้ยเกงมาเมือง แต่หารู้จักทางที่จะไปไม่ และไม่ทราบว่าทางจะไกลสักเท่าใด พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า ข้าพเจ้าเคยให้คนไปสืบข่าว ทั้งไปทั้งมาไม่หยุดห้าสิบวัน ทางนั้นประมาณสามพันโยชน์อยู่ข้างทิศอาคเนย์ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงเรียกโป๊ยกายซัวเจ๋งมาสั่งว่า น้องทั้งสองจงอยู่คอยรักษาพระอาจารย์ พี่จะไปสืบข่าวดูให้รู้เหตุแล้วจะกลับ
พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้น จึงมายึดเห้งเจียว่า ขอท่านเล่าเอี๊ยพักสักวันหนึ่งให้สบายก่อน รอให้คนจัดหาเสบียงไปกินตามทางด้วย แล้วเลือกม้าที่มีฝีเท้าจะได้ขี่ไป เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่าอย่างที่พระองค์ทรงคิดนั้น ข้ามห้วยข้ามเขาทางเดินลำบาก แต่ข้าพเจ้าไม่ปิดบังอันทางไกลสามพันโยชน์นั้น ถ้วยสุราที่รินไว้ก็ยังไม่ทันจะเย็น พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่าท่านเล่าเอี๊ยอย่าหลอกข้าพเจ้า รูปและลักษณ์ของท่าน คล้ายกับวานร จะมีฤทธาอานุภาพอย่างนั้นเชียวหรือ เห้งเจียว่ากายข้าพเจ้าคล้ายวานร ตั้งแต่ยังเยาว์มาเคยเล่าเรียนลุถึงที่เกิดดับเที่ยวค้นหาอาจารย์ที่ฌานกล้า รักษาปฏิบัติไม่หยุดหย่อน อาศัยฟ้าดินเป็นที่พึ่ง สำเร็จธาตุทั้งห้าได้ตลอดเปลี่ยนแปลงกายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง หกขะเมนไปทีหนึ่งได้สิบหมื่นแปดพันโยชน์ไกลดังนี้ ขอพระองค์ได้ทรงทราบ
พระเจ้าแผ่นดินจูจี๊ก๊กได้ทรงฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้นก็มีความยินดี จึงทรงพระสรวลแล้วหยิบป้านสุรามารินส่งให้เห้งเจีย ตรัสว่าขอคำนับส่งท่านเล่าเอี๊ยด้วยความลำบาก สุราถ้วยนี้เป็นกิริยาจิตเล่าเอี๊ยจะได้ตั้งใจไปกำจัดปีศาจยักษ์ร้าย เห้งเจียกราบทูลว่าขอพระองค์ทรงเก็บไว้ก่อน รอให้ข้าพเจ้าไปแล้วกลับมาจึงควรพระราชทาน เห้งเจียร้องว่าไปทีเดียวดังหวิวก็มิได้เห็นตัว ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินกับขุนนางข้าราชการเห็นดังนั้น ต่างมีความเกรงกลัวทั่วทุกคน
ฝ่ายเห้งเจียหกขะเมนลิ่วไปทางทิศอาคเนย์ มาถึงภูเขาหนึ่งก็ลงยังยอดเขา เที่ยวสอดตาแลดูโดยละเอียดจะใคร่ค้นหาถ้ำ แลเห็นแสงไฟวับแวมออกมารอบเขา บัดเดี๋ยวก็ลุกมากขึ้นแดงสว่างไปทั้งท้องฟ้า ที่ไฟลุกเป็นม้วนไฟอันร้ายแรงฟูออกมา เห้งเจียเอ็งก็ออกจะหวาดเสียว แลเห็นในเขามีสายทรายโพลงขึ้นมืดฟ้า เห้งเจียยืนดูอยู่เป็นครู่ก็ยังไม่รู้ได้ว่าเป็นด้วยเหตุประการใด จึงร่ายพระเวทแปลงกายเป็นแมลงเม่า โผแซกเข้าไปในไฟกระพือปีกสองสามทีทรายนั้นก็สูญหายไปไฟนั้นก็ดับไปสิ้น เห้งเจียก็กลายกลับเป็นรูปเดิมลงมายังพื้นเที่ยวตรวจดูก็ได้ยินเสียงม้าฬ่อและกลองดังสนั่น เห้งเจียคิดว่านี่เรามาเห็นจะผิดทางเสียแล้ว ทางนี้เห็นจะไม่ใช่ที่ปีศาจยักษ์อยู่ เสียงม้าฬ่อนี้หากจะเป็นที่ฝึกหัดทหาร จำเราจะไปถามดูให้รู้เรื่อง
เห้งเจียคิดแล้วก็เดินตรงมา แลเห็นปีศาจตนหนึ่งแบกธงสีเหลืองข้างหลังสะพายหนังสือฉบับหนึ่ง มือตีม้าฬ่อเดินไปโดยการรีบ เห้งเจียแลเห็นก็หัวเราะพูดว่าตีม้าฬ่อนั้นคือคนนี้เอ็ง ไม่รู้ว่ามันจะเอาหนังสือไปให้ใครที่ไหน และไม่รู้ว่าจะเป็นหนังสืออะไร เห้งเจียแปลงกายเป็นแมลงหวี่ตัวหนึ่งบินตามไปจับห่อหนังสือ ก็ได้ยินปีศาจนั้นออกปากบ่นพูดว่า ใต้อ๋องนายของเรานี้ใจร้ายเมื่อสามปีก่อนไปที่เมืองจูจี๊ก๊ก แย่งเอานางเอกอัครมเหสีของเจ้าเมืองมา คือนางกิมเซี้ยเกงเนี้ย ๆ มาอยู่ถึงสามปีแล้วก็มิได้ถูกต้องเธอได้ แล้วยังมิหนำไปเอาสาวใช้มาอีกหลายคน แลใช้ให้เซียนฮองไปเอาก็ไปโดนคู่พยาบาทถูกมันตีเอาทวนหักวิ่งกลับมา เอานางสาวใช้ก็ไม่ได้ใต้อ๋องมีความโกรธจะคิดทำศึกชิงชัยแก่เจ้าเมืองจูจี๊ก๊ก ใช้ให้เราเอาหนังสือนัดรบอะไรก็ไม่รู้ หากว่าเราเอาหนังสือไปครั้งนี้ หากเจ้าเมืองจูจี้ก๊กไม่อยากรบก็จำจะต้องรบ แต่ถ้ารบไม่ชนะใต้อ๋องนายเราก็จะใช้ทรายและไฟบินเข้าไป ก็จะทำลายชีวิตเจ้าเมืองและขุนนางราษฎรทั้งหลายก็พากันล้มตายไม่เหลือแต่สักคนเดียว
เวลานั้นนายเราก็จะชิงเอาเมืองตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ พวกเราก็จะได้เป็นขุนนางกันทั้งสิ้น ถึงดังนั้นก็จริงตามแต่การเล็กใหญ่ อันที่จริงสุดแท้แต่เบื้องบนจะกำหนดเอาเป็นแน่ก็ยาก เห้งเจียได้ฟังตั้งแต่ต้นจนปลาย จึงคิดว่าปีศาจนี้มันพูดฟังดูก็ยังมีความดี คือข้อที่มันว่าสุดแท้แต่เบื้องบนกำหนดยังมิได้ ข้อที่ว่าได้กิมเซี้ยเกงไปไว้ แต่ถูกต้องไม่ได้นั้นยังหาเข้าใจว่าเป็นเหตุอย่างไรไม่ จำเราจะต้องถามมันดูให้รู้เรื่อง เห้งเจียก็ผละออกจากปีศาจโผบินไปข้างหน้าสักสองสามเส้น แปลงเป็นคนถือบวชหนุ่มน้อยคนหนึ่งบนศรีษะไว้ผมสองแหยมตัวนุ่งห่มอย่างถือบวช มือถือลูกประคำชักพลางภาวนาพลางเดินข้ามชายเขามาตรงปะทะหน้าปีศาจ ก็ลดตัวลงปราศรัยถามว่า ท่านจะไปส่งหนังสือที่ไหน
ปิศาจก็ชะงักดูเหมือนคนเคยรู้จัก จึงยั้งไม้ไม่ตีม้าฬ่อหัวเราะแล้วคำนับตอบว่า ใต้อ๋องนายข้าพเจ้าใช้ให้เอาหนังสือนัดรบลงไปเมืองจูจี๊ก๊ก เห้งเจียแกล้งถามว่าเจ้าเมืองจูจื๊ก๊กได้พูดกันว่า ได้ยกนางกิมเซี้ยเกงให้ไปมิใช่หรือ ปีศาจตอบว่าเมื่อปีก่อนได้รับนางไปแล้วเวลานั้นมีเทพารักษ์ให้เสื้อนางกิมเซี้ยเกงตัวหนึ่ง นางก็สวมเสื้อตัวนั้นเข้าแล้ว ทั่วสารพางค์กายนางก็เกิดเป็นเข็มแหลมใต้อ๋องไม่อาจถูกต้อง ครั้นว่าขืนจะเข้าถูกต้องก็เจ็บปวดดุจว่าถูกเข็มแทง จึงไม่รู้ที่ว่าจะทำประการใดได้ ตั้งแต่ได้นางมาจนบัดนี้ก็มิได้เกี่ยวข้องสิ่งใดได้ เมื่อวันก่อนใต้อ๋องใช้ให้เซียนฮองลงไปเมืองจูจี๊ก๊ก จับนางสาวใช้มาให้รับใช้นางกิมเซี้ยเกง ถูกอ้ายซึงหงอคงอะไรไม่รู้มันตีเซียนฮองแพ้กลับมา บัดนี้ใต้อ๋องมีความโกรธจึงใช้ให้ข้าพเจ้าเอาหนังสือนัดรบลงไปให้
เห้งเจียถามว่าทำไมใต้อ๋องจึงได้รีบร้อนดังนั้นเล่า ปีศาจพูดว่าใจของใต้อ๋องเธอรีบร้อนดังนั้นเอง เห้งเจียพูดว่าทำไมท่านไม่ชักนำในทางธรรมให้เธอแก้ความเศร้าโศกใจบ้างเล่า พูดดังนั้นแล้วเห้งเจียก็ลาปีศาจเดินไป
![]() |
รูปภาพ ; 一森读书会 |
ฝ่ายปีศาจก็ตีม้าฬ่อเดินไปพอคล้อยหลัง เห้งเจียก็เอาตะบองตีถูกปีศาจล้มลงถึงแก่ความตายอยู่กับที่ เห้งเจียนึกเสียใจว่ามิให้ถามมันว่าชื่อไร จึงเก็บเอาหนังสือที่ตัวปีศาจซ่อนไว้ในตัวแล้วก็เอาธงกับม้าฬ่อเก็บซ่อนไว้ในหญ้าที่รก แล้วจับขาปีศาจลากทิ้งลงไปก็ใด้ยินดังทีหนึ่งเหลียวไปดูก็แลเห็นป้ายงาตั้งอยู่ข้างนั้น มีอักษรว่าปีศาจสนิทที่ใช้มานั้นชื่อ (มีมามีไป) เห้งเจียแลเห็นก็หัวเราะว่าอ้ายปีศาจนี้มันชื่อ (มีมามีไป) มาถูกตะบองทีหนึ่งมีมาก็ไม่มีไป เห้งเจียจึงแกะเอาป้ายนั้นมาเก็บไว้กับเอวแล้ว ก็จะใคร่เอาซากศพนั้นทิ้งลงไปในห้วยก็นึกถึงไฟร้ายนั้นไม่อาจไปถึงถ้ำปีศาจ ก็เอาตะบองกระทุ้งที่อกปีศาจทะลุแล้ว จึงหิ้วเหาะขึ้นกลางอากาศกลับไปยังเมืองบอกข่าวเล่าความชอบครั้งแรก เหาะกลับมาประเดี๋ยวก็ถึงพระราชวัง เห้งเจียก็ลดลงยังพื้นเอาซากอาศพทิ้งลงที่หน้าบันใด จึงเรียกโป๊ยก่ายให้นิมนต์พระอาจารย์ลงมา
พระถังซัมจั๋งได้ยินเสียงเห้งเจียก็ลงไป เห้งเจียก็เอาหนังสือฉบับนั้นยัดใส่ในมือเสื้ออาจารย์แล้ว สั่งว่าพระอาจารย์ท่านจงเก็บไว้อย่าให้เจ้าเมืองเห็น พูดยังไม่ทันขาดคำเจ้าแผ่นดินก็เสด็จมาตรัสถามว่า ท่านเล่าเอี๊ยมาแล้วอันการที่ไปจับปีศาจนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เห้งเจียเอามือชี้ที่บันไดแล้วทูลว่านั่นมิใช่ปีศาจหรือ ถูกมือข้าพเจ้าตีตายเสียแล้ว
พระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรแล้วจึงตรัสว่า ปีศาจก็จริงแต่มิใช่ปีศาจใซ้ทั้ยส่วย ด้วยข้าพเจ้าเคยเห็นมันสองครั้งแล้ว ตัวมันสูงกว่าสี่ศอกหน้าอ้วนท้วนเป็นมันเงา เหลืองดุจสีทองเสียงดุจฟ้าลั่น อ้ายคนนี้รูปร่างหยาบคายดังนี้ไม่ใช่ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าจริงดังพระองค์ตรัสไม่ใช่ อ้ายนี้มันเป็นคนใช้ธุระการบอกเหตุ มันเดินมาพบข้าพเจ้า ๆ จึงได้ตีตายนำมาบอกเอาความชอบครั้งแรก พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังจึงตรัสว่าดีแล้ว แต่ข้าพเจ้าได้ให้คนไปสืบข่าวเสมอก็มิได้ข่าว ท่านเล่าเอี๊ยออกไปครั้งเดียวก็จับได้ปีศาจมา จึงตรัสสั่งเจ้าพนักงานยกสุรามาให้เล่าเอี๊ยรื่นเริง
เห้งเจียทูลว่าสุรานั้นเป็นการเล็กน้อย ข้าพเจ้าขอทูลถามพระองค์ว่า นางกิมเซี้ยเกงเมื่อจากพระองค์ไปได้ถวายสิ่งใดไว้แก่พระองค์เพื่อแสดงความอาลัยบ้างหรือเปล่า ขอพระองค์จงพระราชทานสิ่งนั้นแก่ข้าพเจ้า พระเจ้าแผ่นดินจูจี๊ก๊กได้ฟังเห้งเจียถามดุจใครเอาปลายมีดมาแทงเข้าที่ทรวงอก นึกขึ้นได้ก็ทรงพระกรรแสงน้ำพระเนตรไหลตกลงอาบพระพักตร์ แล้วตรัสแก่เห้งเจียว่าเมื่อฤดูเดือนเจ็ดขึ้นห้าค่ำใซ้ทั้ยส่วยยักษ์ร้ายทำเสียงดังฟ้าลั่น ชิงนางไปโดยเป็นเวลารุกรนก็หาได้สั่งเสียสิ่งใดไว้เป็นสำคัญไม่ เห้งเจียทูลถามาเมื่อนางจากไปไม่มีสิ่งสำคัญสิ่งของที่รักนั้นจะไม่มีบ้างหรือ หากว่ามีสิ่งอันใดบ้างขอพระราชทานให้ข้าพเจ้าสักสิ่งหนึ่ง
พระเจ้าแผ่นดินตรัสถามว่าท่านจะเอาไปทำอะไรหรือ เห้งเจียทูลว่าปีศาจยักษ์นั้น มีฤทธาอานุภาพโดยเชี่ยวชาญ ข้าพเจ้าเห็นมันปล่อยไฟปล่อยทรายออกมา พิเคราะห์ดูจะกำจัดก็แสนยากหากว่ากำจัดปีศาจได้ นางไม่เคยรู้จักแก่ข้าพเจ้าก็จะไม่ตามมา ถ้ามีของสำคัญอะไรสักสิ่งหนึ่งที่นางเคยใช้อยู่ทุกวัน นำไปให้นางเห็นเป็นพยาน นางก็คงจะเชื่อเพราะฉะนั้นจึงจะต้องนำของสำคัญไปสำหรับธุระในข้อนี้
พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังเห้งเจียทูลดังนั้นจึงตรัสว่า ของที่รักนั้นประคำทองคู่หนึ่ง นางเคยสวมข้อมืออยู่ทุกวัน เมื่อวันขึ้นห้าค่ำเดือนเจ็ดนั้นเธอจะผูกไหมห้าสี จึงถอดเก็บไว้ในตำหนัก ของสิ่งนี้แลเป็นของนางเคยใส่ข้อมืออยู่เสมอทุกวัน บัดนี้เก็บไว้ในตำหนักแต่งตัว ข้าพเจ้าไม่อยากเห็น เพราะว่าเห็นเข้าแล้วก็ให้คิดถึงโรคจะทวีกำเริบขึ้น เห้งเจียทูลว่าเหตุนั้นพระองค์ไม่ควรกล่าวให้ได้ความโทมนัสไปทำไม จงพระราชทานของสิ่งนั้นมาให้ข้าพเจ้าเถิด พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้เง็กเซี้ยเกง ไปนำประคำคู่หนึ่งนั้นมาพระราชทานให้แก่เห้งเจีย ๆ เห้งเจียก็รับมาใส่ซ่อนไว้ในมือเสื้อ แล้วสุราก็มิได้รับประทาน สำแดงเดชาเหาะขึ้นเวหาลอยละลิ่วไป บัดเดี๋ยวก็ถึงเขาขี้ลินซัว เที่ยวเดินค้นหาถ้ำ กำลังเดินมาก็ได้ยินเสียงคนพูดกันเอะอะ
เห้งเจียยืนพิจารณาดูอยู่โดยละเอียด เห็นที่หน้าถ้ำเก๊ยไจ่ต๋องมีคนประมาณสักห้าร้อย คอยรักษาอยู่ที่นั่น เห้งเจียเห็นแล้วก็หันกลับไปที่ตีปีศาจตายนั้น ค้นหาธงกับม้าฬ่อได้แล้ว ก็แปลงเป็นปีศาจที่ถือหนังสือไปนั้น แล้วรีบเดินมาที่ประตูถ้ำ พวกปีศาจเหล่านั้นก็ถามว่า มีมามีไปมาแล้วหรือ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้ามาแล้ว พวกเฝ้าประตูบอกว่าจงรีบเข้าไปเถิด ท่านใต้อ๋องคอยรออยู่ที่หอเล็กผ้วยเต๊ง เห้งเจียก็เดินเข้าไปตีม้าฬ่อเข้าในประตูชั้นที่สอง เงยหน้าขึ้นไปดู เห็นเป็นหอใหญ่ดูครึกครื้นระโหถาน ที่กลางหอมีเก้าอี้ทองตั้งอยู่บนเก้าอี้นั่งเอกเขนกท่วงทีดุร้าย เห้งเจียก็มิได้ครั่นคร้ามทำท่าจองหอง ไม่ลดไม่ย่อไม่คำนับ หันหน้ากลับออกมาตีม้าฬ่อเรื่อยไปไม่หยุด
ปีศาจใต้อ๋องถามว่า มีมามีไปมาแล้วหรือ เห้งเจียไม่ตอบ ถามอีกว่ามีมามีไปเจ้ามาแล้วหรือ เห้งเจียก็ไม่ตอบ ปีศาจใต้อ๋องลุกจากเก้าอี้มายึดมือไว้ถามว่าทำไมมาถึงบ้านแล้ว ยังจะตีม้าฬ่ออยู่อีกเล่าถามก็ไม่พูดนิ่งเฉยดังนี้ เห้งเจียก็เอาม้าฬ่อทิ้งลงกับพื้นพูดว่าทำอะไรที่ไหน ข้าพเจ้าบอกแล้วว่าไม่ไปไม่ไปยังขืนให้ข้าพเจ้าไป ครั้นไปถึงก็เห็นผู้คนพลทหารม้าไม่นับได้ตั้งเป็นกระบวนรบอยู่ พอข้าพเจ้าไปถึงก็ร้องว่าให้จับปีศาจ ก็พากันมาจับฉุดลากข้าพเจ้าเข้าไปในเมือง ก็ได้ยินเจ้าเมืองสั่งให้เอาข้าพเจ้าไปฆ่าเสีย หากว่าขุนนางทูลทัดทานว่า ธรรมเนียมกระทำศึกสงครามกันไม่ควรฆ่าทูตผู้ถือสาร พระเจ้าแผ่นดินจึงได้ยกโทษปล่อยตัวข้าพเจ้า รับหนังสือไปแล้วก็เอาตัวข้าพเจ้าออกมาข้างนอก เฆี่ยนข้าพเจ้าสามสิบทีแล้วไล่ให้กลับมา ไม่ช้าก็คงจะยกมารบแก่ใต้อ๋อง
ปีศาจใต้อ๋องว่าเจ้าได้เห็นดังนั้นจึงตกใจกลับมาถึงพูดไม่ออก ถามอะไรจึงนิ่งเสียดังนี้ เห้งเจียตอบว่าไม่ใช่ดังนั้นก็จะอะไรอีกเล่า ปีศาจใต้อ๋องถามว่า เจ้าได้รู้ว่ามีพลทหารสักเท่าได เห้งเจียตอบว่ามันทำข้าพเจ้าตั้งสติแทบไม่อยู่ จะเอาใจที่ไหนมาตรวจได้ เห็นมันตั้งกระบวนอาวุธและพลหารดุจดง งา ปีศาจใต้อ๋องว่าไม่ต้องวิตก แม้ไฟเราออกทีหนึ่งก็จะเป็นจุณไปทั้งสิ้น เจ้าจงไปบอกแก่นางกิมเซี้ยเกงให้เธอรู้ข่าว อย่าได้มีความโทมนัสไปเสย เมื่อเวลาเช้าเธอได้ยินว่าจะยกทัพไปเธอก็ร้องไห้ไม่หยุด เจ้าเข้าไปจงบอกว่า บัดนี้เจ้าเมืองจูจี๊ก๊กตระเตรียมพลทหารแข็งแรงคงจะมีชัยชนะเรา เธอจะได้ทุเลาความโศกลงได้บ้าง
เห้งเจียได้ฟังปีศาจใต้อ๋องสั่งดังนั้น ก็มีความยินดีนึกว่าสมคิดเราทั้งนั้น จึงลาปีศาจเดินเข้าไปหลังหอนั้น พิเคราะห์ดูห้องหอตำหนักเรียงรายเป็นลำดับกัน ก็เดินพ้นแถวมาแลเห็นตำหนักหลังหนึ่ง งดงามคือเป็นตำหนักที่นางกิมเซี้ยเกงอยู่ เห้งเจียก็เข้าไปมองดูเห็นนางปีศาจเสือปลาและนางปีศาจละมั่ง สองพวกแต่งแปลงเป็นสาวน้อยรูปร่างงามนั่งคอยรับใช้สอยอยู่สองข้าง นางกิมเซี้ยเกงกำลังนั่งเช็ดน้ำตา เห้งเจียพิศดูรูปร่างเห็นสมควรเป็นมเหสีเอกได้จริง โดยเหตุที่รูปร่างลักษณะงามพร้อม เห้งเจียก็ตรงเข้าไปใกล้ลดตัวลงปราศรัยตามกิริยา
นางกิมเซี้ยเกงแลเห็นก็หวีดร้องว่า นี่ปีศาจร้ายที่ไหนทำไมไม่มีธรรมเนียมดังนี้ เมื่อเราอยู่เมืองเราแม้ว่าเสนาบดีจัตุสดมภ์เข้ามาหาเรายังต้องก้มหน้าไม่อาจแลดูเรา นี่ปีศาจที่ไหนจึงอาจเข้ามาวุ่นวายที่นี่ทำไม พวกปีศาจสาวใช้เหล่านั้นพูดว่า ขอเจ้าแม่จงระงับโทษก่อนคนนี้คือคนสนิทของใต้อ๋องชื่อมีมามีไป เมื่อวานนี้ใต้อ๋องใช้ให้ถือหนังสือลงไปให้เจ้าเมืองจูจี๊ก๊กบัดนี้พึ่งกลับมา นางกิมเซี้ยเกงได้ฟังดังนั้นก็สะกดใจถามว่าเจ้าลงไปถึงในเมืองหรือ
เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าถือหนังสือไปถึงพระราชวังใน เข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินจูจี๊ก๊กแล้วจึงได้ถ้อยคำกลับมา นางถามว่าเจ้าไปเฝ้าเจ้าเมืองได้รับสั่งว่ากระไรแก่เจ้าบ้าง เห้งเจียตอบว่าเจ้าเมืองโต้ตอบด้วยการจะรบพุ่งชิงชัย ข้าพเจ้าได้บอกแก่ใต้อ๋องทราบแล้ว เจ้าเมืองคิดถึงเนี้ย ๆ ได้สั่งมา เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเข้ามาบอกข่าวแต่ขัดด้วยคนซ้ายขวามากไม่ควรจะพูดความลับ นางกิมเซี้ยเกงได้ฟังดังนั้น ก็บอกแก่นางสาวใช้เหล่านั้นให้ออกไปเสียข้างนอก นางเหล่านั้นก็พากันออกไปอยู่นอกประตู เห้งเจียก็มางับประตูเสียแล้วก็แปลงกลับเป็นรูปเดิม แล้วบอกแก่นางว่าอย่ากลัวข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าอยู่เมืองใต้ถังจะไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ข้ามมาถึงเมืองจูจี๊ก๊ก อาจารย์ข้าพเจ้าจะเข้าไปขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง เห็นเจ้าแผ่นดินประชวร ข้าพเจ้ารักษาหายแล้ว พระเจ้าแผ่นดินจัดโต๊ะเลี้ยงพวกข้าพเจ้า พระเจ้าแผ่นดินตรัสถึงเรื่องยักษ์ลักจับนางไป ข้าพเจ้าจึงขออาสากำจัดยักษ์ร้าย พระเจ้าแผ่นดินจะขอให้ข้าพเจ้าช่วยปราบยักษ์ร้ายจะช่วยนางกลับไปเมือง ที่เซียนฮองพ่ายแพ้มานั้นคือตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าได้ตีปีศาจมีมามีไปนั้นตายเพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจะเข้ามาก็เห็นประตูมีทหารเฝ้าอยู่แน่นหนา ข้าพเจ้าจึงแปลงเป็นปีศาจมีมามีไปเข้ามาบอกข่าว
นางกิมเซี้ยเกงได้ฟังดังนั้นก็นั่งนิ่งมิได้พูดจาประการใด เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงถอดลูกประคำทองออกมาส่งให้นาง แล้วพูดว่าเนี้ย ๆ ไม่เชื่อก็จงดูของสำคัญนี้เถิดว่าข้าพเจ้าจะได้ที่ไหนมา นางกิมเซี้ยเกงรับมาพิจารณาดูแล้วก็รู้ว่าของ ๆ ตัว ลุกลงจากที่คำนับเห้งเจียแล้วพูดว่า หากท่านช่วยข้าพเจ้าให้ได้กลับบ้านเมืองได้จริง ชีวิตหาไม่ก็ไม่ลืมพระเดชพระคุณ ๆ ของท่านเป็นที่สุดแล้ว เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าขอถามเนี้ย ๆ ว่า ที่ปล่อยไฟและควันทรายออกมานั้น คือจะเป็นของวิเศษอะไร
นางบอกว่าของวิเศษอะไรที่ไหนมันมีระฆังเล็กสามระฆัง ระฆังที่หนึ่งออกแกว่งสั่นทีหนึ่งมีไฟสว่างขึ้นได้สามร้อยวาเผาคน ระฆังที่สองแกว่งทีหนึ่งเกิดมีควันออกสามร้อยวา ระฆังที่สามแกว่งที่หนึ่งก็เกิดมีทรายออกสามร้อยวาเหมือนกัน ที่เป็นไฟเป็นควันนั้นยังไม่สู้กระไรนัก ที่เป็นทรายนั้นแม้ซัดเข้าจมูกคนก็ถึงแก่ชีวิต เห้งเจียได้ฟังดังนั้นพูดว่าร้ายแรงจริง แต่ไม่ทราบว่าระฆังนั้นเอาไว้ที่ไหน นางบอกว่ามันไม่กล้าทิ้งห่างกาย ผูกติดกับบั้นเอวเป็นนิตย์นั่งนอนยืนเดินก็ไม่ทิ้งเลย
เห้งเจียว่าแม้เนี้ย ๆ อยากจะพบกับพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ต้องระงับซึ่งความเศร้าหมองเสีย จะได้ทำอุบายเล้าโลมดุจสามีภิริยาที่รักกันอย่างยิ่ง ให้มันตายใจแล้วเอาระฆังนั้นให้เนี้ย ๆ เก็บรักษา ข้าพเจ้าจะได้ลักเอาไป เมื่อกำจัดมันลงได้แล้วเวลานั้นข้าพเจ้าจะพาเนี้ย ๆ กลับไปเมือง ให้พระองค์เป็นนางเจ้าต่อไป
ฝ่ายนางกิมเซี้ยเกงได้ฟังเห้งเจียคิดดังนั้น ก็กระทำตามเห้งเจีย เห้งเจียก็แปลงกายกลับเป็นปีศาจตามเดิม ออกไปเปิดประตูแล้วเรียกพวกสาวใช้เข้ามาเฝ้า นางเนี้ย ๆ จึงกำชับสั่งปีศาจมีมามีไปว่าเจ้าจงรีบไปเชิญใต้อ๋องเข้ามานี่เราจะมีธุระพูดอะไรสักหน่อย เห้งเจียก็รับคำรีบเดินออกไปยังหอเล็กพ่วย เข้าไปบอกแก่ใต้อ๋องว่าขอใต้อ๋องได้ทราบกิมเซี้ยเกงเนี้ย ๆ ขอเชิญใต้อ๋องเข้าไปบัดนี้ ใต้อ๋องได้ฟังก็มีความยินดีพูดว่า เมื่อก่อนนั้นพูดจาว่าเราโดยคำอยาบช้า วันนี้เป็นอย่างไรจึงให้มาเชิญ เห้งเจียพูดว่านางไต่ถามถึงเจ้าเมืองจูจี๊ก๊กข้าพเจ้าบอกแก่นางว่า บัดนี้เจ้าเมืองยกคนอื่นขึ้นเป็นมเหสีแล้ว ที่ตรงนางมิได้ต้องการแล้ว นางได้ฟังก็เชื่อ สิ้นความอาลัยในเจ้าเมืองจูจี้ก๊ก จึงใช้ให้ข้าพเจ้ามาเชิญใต้อ๋อง
ฝ่ายปีศาจใต้อ๋องเมื่อได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้น ก็ดีใจสรรเสริญว่าเจ้าเข้าใจพูดดีแล้ว หากเราปราบเจ้าเมืองจูจี๊ก๊กได้แล้วเราจะตั้งให้เจ้าเป็นขุนนางผู้ใหญ่สำเร็จราชการแผ่นดิน เห้งเจียก็คำนับขอบคุณ ใต้อ๋องก็เดินเข้าไปยังตำหนักนาง เห้งเจียก็ตามหลังเข้าไป ครั้นถึงประตูนางก็ทำกิริยายิ้มแย้มชำเลืองเนตรออกมาเชิญถึงประตู ยื่นมือมาจับมือใต้อ๋อง ๆ ก็ปราศรัยขยับถอยหลังพูดว่า ไม่อาจกลัวเจ็บมือไม่กล้าจะเข้าใกล้ นางจึงเชิญให้นั่งแล้วก็พูดว่าข้าพเจ้าจะขอพูดแก่ใต้อ๋องสักสองสามคำ ปีศาจว่าเจ้าพอใจจะพูดว่ากระไรก็จงพูดเถิด นางจึงพูดว่า ข้าพเจ้าพึ่งได้เห็นรักใคร่มาสามปีแล้ว แต่มิได้ร่วมที่นอนอันเดียวกันเพราะนิสัยชาติปางก่อน เคยเป็นผัวเมียกัน แต่ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าใต้อ๋องเอาใจออกนอก มิได้คิดว่าเป็นผัวเมียกันจริง ๆ แลจะเป็นที่ฝากผีฝากไข้แก่กัน ข้าพเจ้ายังคิดว่าอยู่ที่เมืองเป็นเอกอัครมเหสี ถ้ามีผู้ใดมาถวายเพชรนิลจินดา ของวิเศษต่าง ๆ ก็ดี พระองค์ทอดพระเนตรแล้วก็ส่งมาให้ข้าพเจ้าเก็บรักษา ส่วนท่านใต้อ๋องไม่มี ถ้าหากมีของวิเศษก็ไม่ให้ข้าพเจ้าเห็นแลไม่ให้ข้าพเจ้าเก็บ ข้าพเจ้าได้ยินว่า ใต้อ๋องมีระฆังสามระฆัง ทำไมไปที่ไหนก็ติดตัวไป ขอใต้อ๋องจงเอามาให้ข้าพเจ้าเก็บเถิด เมื่อใต้อ๋องมีธุระจะใช้มิใช่จะเอาไม่ได้หรือ ดังนี้จะเห็นว่าผัวเมียมีแก่ใจรักใคร่ฝากฝังกัน จึงจะไม่เป็นการนอกใจข้าพเจ้า
ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังก็หัวเราะพูดว่า นางอย่าสงสัยระฆังนั้นอยู่นี่จะฝากไว้ให้นางเก็บ ว่าแล้วก็ล้วงในเอวแก้เอาระฆังออกมาสามระฆัง เห้งเจียยืนอยู่ข้างหลังไม่พริบตา ปีศาจใต้อ๋องจึงเอาสำลีอุดปากแล้วเอาหนังสือหุ้มห่อส่งให้นาง แล้วสั่งว่าของสิ่งนี้ดูเล็กน้อยแต่ต้องเอาใจใส่เก็บซ่อนไว้ให้ดี และอย่าสั่นเล่นเป็นอันขาด นางรับมากับมือแล้วก็พูดว่า ข้าพเจ้าเข้าใจจะเก็บไว้ให้ดี ที่บนห้องแต่งตัวนั้น ไม่มีคนไปมาถูกต้องได้ นางกิมเซี้ยเกงเนี้ย ๆ ครั้นได้ระฆังมาก็ให้สาวใช้เอาขึ้นไปเก็บไว้ในห้อง สั่งนางสาวใช้ทั้งหลายให้จัดเครื่องโต๊ะแลสุรามา จะได้กินเล่นเป็นที่รื่นเริงกับใต้อ๋องสักวันหนึ่ง นางสาวใช้เหล่านั้นก็รีบไปจัดตามสั่ง ครั้นเสร็จแล้วก็ยกมาตั้งบนโต๊ะ
ฝ่ายนางกิมเซี้ยเกงจึงแกล้งทำเล่ห์กลมารยา แย้มสรวลแก่ปีศาจ เห้งเจียแอบฟังอยู่ข้างนั้น พิเคราะห์ดูเห็นได้การแล้ว ก็แอบขึ้นไปบนห้องแต่งตัว ฉวยได้ระฆังทั้งสามระฆังแล้ว ค่อย ๆ เดินออกมาพ้นตำหนักแล้ว มาถึงที่หอเล็กพ่อยเต้งเห็นไม่มีผู้คน ก็แก้หนังสือออกแล้วพิจารณาดู ระฆังกลางเท่าถ้วยชา สองระฆังใหญ่เท่ามือกำ ไม่รู้ว่าจะดีร้ายจึงเอาสำลีออก ก็ได้ยินเสียงอู้ ๆ ดังเปรี้ยงทีหนึ่ง ระฆังก็เกิดไฟควันทรายขึ้นออกแดงทั้งหอ เห้งเจียจะห้ามก็ไม่อยู่เกิดลุกแดงขึ้น พวกปีศาจที่อยู่ชั้นนอกพากันตกใจวิ่งหนีเข้าไปในห้องตำหนักใน ปีศาจใต้อ๋องก็ตกใจร้องให้ช่วยกันดับไฟ ออกมาดูเห็นอ้ายมีมามีไปลักเอาระฆังออกมา ใต้อ๋องก็ร้องตวาดว่าอ้ายขี้ข้า ทำไมไปลักเอาระฆังของเรามาสั่นเล่นดังนี้ จึงร้องให้จับเอาตัวมา พวกปีศาจเหล่านั้นก็กรูกันเข้าจับ เห้งเจียตกใจโยนระฆังกลายกลับเป็นรูปเดิม ถือตะบองตีแยกออกไปปีศาจใต้อ๋องเก็บระฆังไปแล้ว ก็สั่งให้ปิดประตูนอกอย่าให้หนีไปได้
เห้งเจียเห็นถ้าจะออกไม่ได้ ก็แปลงกายเป็นแมลงวันน้อยตัวหนึ่ง โผไปจับที่หินไม่มีไฟ พวกปีศาจพากันค้นหาก็ไม่เห็น จึงมาบอกว่าอ้ายตัวขโมยนั้นหนีไปแล้ว ไต่อ๋องถามว่าหนีไปทางประตูไหน พวกปีศาจบอกว่าประตูนอกปิดแน่นหนาหนีออกไปไม่ได้ จึงเที่ยวค้นหาดูก็ไม่มีร่องรอยที่ไหน ปีศาจโกรธว่าอ้ายขโมยใจสามารถใหญ่ แปลงเป็นอ้ายมีมามีไปแอบเข้ามาคอยเราเผลอลักเอาของวิเศษของเรา นี่มันยังไม่ทันจะเอาออกไป หากมันเอาออกไปที่ยอดเขาแล้ว ก็จะทำอย่างไรได้จึงนึกขึ้นมาได้ว่า นี่เห็นจะไม่ใช่คนอื่น คืออ้ายคนที่มันตีเซียนฮองเราแพ้นั้น คือชื่อซึงหงอคงนั้นเอง เห็นมันจะพบกับมีมามีไปมันจะฆ่าเสียแล้ว ชิงเอาธงม้าฬ่อแปลงรูปอย่างเดียวกันเข้ามาลวงหลอกเล่นดังนี้ จึงสั่งพวกปีศาจให้ค้นหาให้ละเอียด อย่าให้หนีไปได้
(บทที่ ๗๑)
ฝ่ายไซ้ทั้ยส่วยใต้อ๋องค้นหาทุกแห่งไม่เห็นแล้ว จึงสั่งให้ปีศาจทั้งหลายนั่งยามไฟตีเกราะเคาะไม้ ผลัดเปลี่ยนกันนั่งยามคอยระวังโดยกวดขัน เห้งเจียแปลงเป็นแมลงวัน จับอยู่ข้างประตูเห็นประตูข้างหน้า เฝ้าอยู่โดยกวดขันถ้าจะออกไปไม่ได้ ก็คลี่ปีกบินเลยกลับเข้าไปในตำหนักที่นางกิมเซี้ยเกงอยู่ แลไปเห็นนางกิมเซี้ยเกงเนี้ย ๆ นั่งคว่ำหน้าร้องไห้สะอื้นอยู่ เห้งเจียโผบินลงค่อย ๆ จับที่มวยผมนางแอบฟังนางร้องไห้คร่ำครวญ ว่าตัวพระองค์กับข้าพเจ้าจะทำกรรมเวรไว้แต่ปางก่อน หรือแยกผัวแยกเมียเขาจึงได้มาพบเห็นเช่นนี้ เพราะระฆังนี้จึงไม่รู้เหตุที่จะแก้ได้ คิดขึ้นมาก็ดุจคนบ้า เห้งเจียฟังนางคร่ำครวญ จึงค่อย ๆ เลื่อนลงมาที่หูพูดกระซิบเบา ๆ ว่านางอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าคือเจ้าเมืองใช้มาชื่อซึงหงอคง ข้าพเจ้ายังไม่ตาย เพราะเหตุข้าพเจ้ามีใจร้อน แอบลักเอาระฆังนั้นออกไปถึงที่หอ อดไม่ได้ก็แก้ออกมาดูไฟจึงได้ลุกขึ้น ข้าพเจ้าตกใจก็ทิ้งระฆังนั้นเสีย ข้าพเจ้าจะออกไปมิได้ จึงต้องแปลงตัวเป็นแมลงวันจับอยู่ข้างประตู ถึงเวลานี้ปีศาจยังกำชับกวดขันรักษาอยู่ยากที่จะออกได้ นางจงรีบทำกิริยาสามีล่อลวงปีศาจใต้อ๋อง เชิญมันเข้ามานอนข้าพเจ้าจะได้พ้นในระหว่างนี้ จะได้คิดอุบายอื่นช่วยนางได้ นางได้ฟังดังนั้นอกใจไม่สมประดี น้ำตาไหลลงอาบหน้า ถามว่าพี่เป็นคนหรือเป็นผี
เห้งเจียตอบว่าไม่ใช่คนไม่ใช่ผีอะไรดอก ข้าพเจ้าแปลงกายเป็นแมลงวันจับอยู่นี่ นางจงรีบไปเชิญใต้อ๋องออกมาโดยเร็ว นางก็ไม่เชื่อพูดเบา ๆ ว่า อย่ามาหลอกเรา ๆ ไม่เชื่อ เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าไม่อาจหลอกอย่ากลัวเลย แม้ว่านางไม่เชื่อจงแบฝ่ามือมาข้าพเจ้าจะลงไปในฝ่ามือให้เห็น นางจึงแบฝ่ามือคอยรับ เห้งเจียก็โผ ลงไปเบา ๆ จับอยู่กลางใจมือนาง นางพิจารณาแมลงวันโตสักเท่าเมล็ดถั่วเขียว นางก็ยกมือขึ้นเรียกว่าท่านผู้วิเศษ เห้งเจียก็ขานรับเบา ๆ ข้าพเจ้าคือซึงหงอคงแปลงตัว นางได้ยินจึงมีใจเชื่อแล้วกระซิบถามว่า ท่านจะให้ไปเชิญใต้อ๋องมา ท่านจะคิดอุบายอย่างไร
เห้งเจียพูดว่าโบราณท่านย่อมว่า หากคิดทำลายกันอะไรไม่ยิ่งกว่าสุราจะต้องสุราเป็นต้น และคนที่เคยใช้สอยสนิทขอเรียกมาให้ข้าพเจ้าดูสักคนหนึ่ง ข้าพเจ้าจะแปลงให้เหมือนอย่างนั้นยืนเฝ้ารับใช้อยู่ข้าง ๆ ถ้าสมคะเนจะได้ลงมือทำการโดยสนิท นางจึงร้องเรียกว่านางชุนเกียวอยู่ไหน นางชุนเกียวอยู่หลังลับแลจึงวิ่งออกมาคำนับถามว่าเจ้าแม่จะใช้ข้าพเจ้าหรือ นางกิมเซี้ยเกงจึงบอกว่าเจ้าจงไปเรียกพวกเจ้าให้ไปจัดทำโคมไฟ จะได้นำเราไปหาใต้อ๋องเชิญมานอนที่นี่
นางชุนเกียวจึงไปบอกพวกสาวใช้มาเจ็ดคนจัดทำโคมไฟแล้วก็ถือยืนสองข้างคอยนางกิมเซี้ยเกง จัดแจงแล้วก็ลุกออกมายังที่หอใต้อ๋องอยู่ สาวใช้ถือโคมนำหน้าเดินไป เห้งเจียก็จับเอาตัวหนอนหาวนอนขว้างไปใส่ตักนางชุนเกียว ๆ ตัวเนื้อก็อ่อนไป หาวนอนทนไม่ได้จึงวิ่งกลับไปที่นอนของตัวซุกหัวนอนหลับจนไม่รู้สึก เห้งเจียก็แปลงเป็นนางชุนเกียววิ่งตามไป ฝ่ายนางกิมเซี้ยเกงเดินมาใกล้หอ พวกปีศาจที่เฝ้าประตูก็วิ่งไปบอกแก่ใต้อ๋องว่า นางเจ้าแม่เดินมาหาใต้อ๋อง ๆ ไซ้ทั้ยส่วยก็ลงจากหอเดินมารับนอกประตู นางกิมเซี้ยเกงพูดว่าเวลานี้ก็ดึกไฟก็ดับแล้วคนร้ายก็หนีไปแล้วเชิญใต้อ๋องไปพักเถิด ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังนางพูดดังนั้นก็มีใจรื่นเริงยินดียิ่งนัก จึงพูดว่าขอบใจนางมาก ๆ ที่อุตส่าห์มีแก่ใจจงรักภักดี ข้าพเจ้าจึงเล่าให้นางฟังว่าที่ไฟเกิดเมื่อกี้นั้นคืออ้ายคนร้ายซึงหงอคงที่มันตีเซียนฮองของเราหนีมานั้น แลฆ่าอ้ายมีมามีไปชิงเอาธงกับม้าฬ่อมันแปลงมาลวงเรา ให้พวกเด็กของเราค้นหาดูก็ไม่เห็น เพราะฉะนั้นยังไม่เป็นสุขบายได้ยังวิตกอยู่
นางกิมเซี้ยเกงพูดว่าคิดดูอ้ายคนร้ายมันก็หนีไปแล้ว ใต้อ๋องไม่ต้องวิตกเชิญไปนอนหลับเสียให้สบายใจเถิด ปีศาจใต้อ๋องเห็นนางเฝ้าคอยเชิญไม่อาจอยู่ช้า จึงสั่งคนใช้ให้คอยตรวจตราดูอย่ามีความประมาทให้มั่นคงแข็งแรง สั่งแล้วปีศาจก็พร้อมมากับนางเดินไปยังตำหนัก
ฝ่ายเห้งเจียแปลงเป็นนางชุนเกียวเดินตามปนเข้าไปกับนางสาวใช้ ครั้นถึงนางเนี้ย ๆ ก็เข้าจัดเครื่องโต๊ะ เอาสุรากับของกินมาจะได้แก้เหน็ดเหนื่อยให้ใต้อ๋อง นางสาวใช้เหล่านั้นก็ไปจัดหามาพร้อมตามสั่งทุกประการ นางเนี้ยๆ ก็มาเชิญใต้อ๋อง ๆ ครั้นเห็นดังนั้นจึงพูดว่าควรแล้ว ๆ จงรินสุรามาจะได้รื่นเริงกัน ฝ่ายนางชุนเกียวก็ช่วยพวกพนักงานปีศาจสาวใช้เหล่านั้นรินเหล้ารินยา นางเนี้ย ๆ ก็ยกถ้วยสุราส่งให้ปีศาจใต้อ๋อง ๆ ก็ยกถ้วยสุราส่งให้แก่นางต่างก็เปลี่ยนถ้วยกันกิน นางชุนเกียวปลอมถือป้านสุราคอยรินพูดว่า วันนี้ใต้อ้องกับเนี้ย ๆ เปลี่ยนถ้วยกันกินเป็นที่รื่นเริงมาก ขอท่านทั้งสองรับประทานให้หมดในป้านนี้ ชุนเทียวก็รินอีกต่างก็กินจนหมดป้าน นางชุนเกียวพูดว่าใต้อ๋องเจ้าแม่มีความชอบสนุก ให้คนไหนเข้าใจร้องเข้าใจรำก็รำ พวกสาวใช้เหล่านั้นก็พากันรำและร้อง
ฝ่ายใต้อ๋องกับนางเนี้ย ๆ เสพสุรามากแล้ว เนี้ย ๆ จึงบอกให้หยุดรำร้อง นางเหล่านั้นก็เลิกหลีกออกไปข้างนอกพักเหนื่อย ข้างในนั้นเหลือแต่นางชุนเกียวปลอมผู้เดียวคอยเฝ้ารินสุรา นางเนี้ย ๆ ก็พูดจาเล้าโลมยวนยีปีศาจใต้อ๋องด้วยกลมารยาของสตรีต่าง ๆ ปีศาจก็มีความลุ่มหลงตัวเนื้ออ่อนล้มเอนลงกับเก้าอี้ นางเนี้ย ๆ ถามว่าระฆังของใต้อ๋องเอาไปไว้ที่ไหนไม่บุบสลายดอกหรือ ปีศาจใต้อ๋องบอกว่าระฆังวิเศษนี้ประกอบทำตั้งแต่เริ่มมีฟ้าดิน ทำไมจะบุบสลายได้เสียไปแต่หนังห่อนั้นถูกไฟไหม้ เพราะอ้ายคนร้ายมันชักเอาสำลีออกไฟจึงได้เกิดขึ้น
นางถามว่า ก็หนังเสียแล้ว จะเก็บไว้นั้นจะทำประการใดเล่า ปีศาจว่าไม่ต้องเก็บ ข้าพเจ้าผูกไว้กับเอวนี่แล้ว นางชุนเกียวปลอมได้ยินแล้วก็ถอนขนในตัวออกกำมือหนึ่ง ใส่ปากเคี้ยวแล้วพ่นไปเป็นสัตว์สามอย่าง คือ เล็น ไร หมัด เข้าติดอยู่ในเสื้อผ้าของปีศาจ เข้าไปถึงตัวกัดเอาปีศาจใต้อ๋องจนทนไม่ได้ ก็พลิกไปพลิกมาแล้วคลำจับได้สองสามตัวจึงเอาไปส่องดูที่ไฟ นางเนี้ย ๆ นึกรู้แต่ในใจจึงพูดว่า เสื้อของใต้อ๋องมิได้ตากซักหลายเวลา จึงมีสัตว์เล็นไรเกิดขึ้นได้ ปีศาจนึกอายแก่ใจจึงพูดว่า ข้าพเจ้าตั้งแต่ไรมาก็ไม่เคยมีสัตว์เหล่านี้ คืนวันนี้มาเกิดมีขึ้นประหลาดอยู่ นางเนี้ย ๆ พูดว่า ท่านใต้อ๋องทำไมจึงพูดดังนั้นเล่า เขาย่อมว่าแม้ว่าในตัวของฮ่องเต้ก็มีสัตว์สามชนิด ใต้อ๋องจงถอดเสื้อออกให้ข้าพเจ้าจะช่วยจับให้ ปีศาจก็ถอดเสื้อออก
ฝ่ายเห้งเจียแปลงยืนอยู่ข้างนั้น คอยพิเคราะห์ดูเห็นปีศาจถอดเสื้อออกเป็นชั้นๆ ทุกๆ ตัวก็ล้วนมีแต่เล็นและไรหมัดทั้งสิ้น ครั้นแก้ถึงชั้นในเห็นเนื้อและที่ระฆังนั้น ล้วนมีแต่เล็นและไรหมกอยู่ออกขยุก ๆ นางซุนเกียวก็ร้องว่าใต้อ๋องแก้ระฆังนั้นออกเถิด ข้าพเจ้าจะช่วยจับให้ ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังดังนั้น อนึ่งก็ให้นึกอายและทั้งไม่รู้ว่าเป็นกลอุบายของเห้งเจีย จึงแก้ระฆังทั้งสามระฆังส่งให้นางซุนเกียว ๆ ก็รับมาพิศดูสักครู่ใหญ่เห็นใต้อ๋องเมาสุรานอนซุกศรีษะอยู่กับเสื้อ จึงเอาระฆังซ่อนเสีย ถอนขนออกจากกายสามเส้นเสกด้วยคาถาเป่าทีหนึ่ง ขนก็กลายเป็นระฆังสามระฆังมิได้ผิดแก่ระฆัง จึงหยิบมาส่งที่ตะเกียงทำเป็นหาเล็นและไร พลิกไปพลิกมาสักประเดี๋ยวก็เรียกขนกลับเข้าตัวเสียตามเดิม จึงเอาระฆังส่งให้ใต้อ๋อง ๆ รับมาแล้วก็ส่งให้แก่นางเนี้ย ๆ เอาไปเก็บ กำชับสั่งว่าจงเก็บไว้ให้ดี ๆ อย่าให้เหมือนครั้งก่อน
นางเนี้ย ๆ รับมาแล้วก็เอาไปใส่หีบแล้วเอากุญแจทองใส่ดีแล้วก็กลับมากินสุรากับใต้อ๋องอีกสองสามถ้วย นางเนี้ย ๆ จึงสั่งพวกสาวใช้ให้จัดแจงปัดกวาดที่นอนเอาผ้าลาดปูให้ดี คืนวันนี้เราจะร่วมที่นอนเรียงหมอนกับใต้อ๋อง ๆ ได้ฟังจึงพูดว่า ข้าพเจ้าบุญน้อยไม่ควรจะเรียงหมอน ขอสาวใช้พาข้าพเจ้าไปนอนที่ตำหนักไซเกงนั้น ขอเชิญนางเนี้ย ๆ นอนให้สบายแต่ลำพังเถิด พูดดังนั้นแล้วต่างคนก็ไปที่นอน เห้งเจียเห็นเงียบได้เวลา ก็เอาระฆังวิเศษผูกซ่อนไว้กับบั้นเอ็วแล้วจึงกลายกลับเป็นรูปเดิม เรียกขนกลับเข้าตัวตามเดิม ก็เดินออกไปทางประตูหน้า ได้ยินเสียงตีเกราะเคาะไม้เวลาล่วงเข้ายามสาม เห็นประตูยังปิดลั่นกุญแจอยู่ เห้งเจียจึงสะเดาะกุญแจออกประตูเปิดแล้ว เห้งเจียก็รีบเดินออกไปพ้นประตู นั่งพักร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายไซ้ทั้ยส่วย มึงจงรีบพานางกิมเซี้ยเกงมาโดยเร็ว เรียกดังนั้นสองสามคำ พวกปีศาจที่เฝ้าประตูก็ตกใจตื่นวิ่งออกมาดูก็เห็นประตูเปิด จึงรีบเอากุญแจลั่นไว้แล้ว ให้สองสามคนวิ่งเข้าไปบอก
ฝ่ายนางสาวใช้ที่คอยเฝ้าออกมาบอกว่าอย่าทำอึกทึกไปใต้อ๋องพึ่งจะนอนหลับเมื่อตะกี้ ปีศาจวิ่งมาบอกอีกสามสี่ครั้งใต้อ๋องก็ยังไม่ตื่น เห้งเจียอยู่นอกประตูก็ด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบช้าต่าง ๆ จนกระทั่งสว่างคาที่ อดใจไม่ได้ก็เอาตะบองกระทุ้งประตูพังหลายลง ปีศาจใต้อ๋องหลับไปพักหนึ่งตกใจตื่นขึ้น ได้ยินเสียงเอะอะก็ลุกขึ้นถามว่าใครทำอะไรกัน พวกนางสาวใช้จึงคุกเข่าลงคำนับบอกว่าไม่ทราบว่าใครที่ไหนมาด่าอยู่ตั้งแต่ยามสามแล้ว บัดนี้พังประตูนอกหมดแล้ว ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังดังนั้น ก็เดินออกมาจากตำหนัก พวกปีศาจที่เฝ้าประตูวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาบอกว่า ข้างนอกประตูมีคนร้ายมาร้องด่าทวงจะเอานางกิมเซี้ยเกงเนี้ย ๆ มันด่าว่าหยาบช้าเหลือเกินพวกข้าพเจ้าไม่พอใจจะฟังของมัน ๆ เห็นฟ้าสว่างไม่เห็นใต้อ๋องออกไป มันจึงพังประตูล้มเสียทั้งสิ้น ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงสั่งให้เปิดประตูแล้วเจ้าจงไปถามดูว่ามันคือใครที่ไหนมา มีชื่อแซ่อย่างไร จงรีบกลับมาบอกเราโดยเร็ว ปีศาจคนใช้ก็ออกไปยังประตูถามว่า มึงมาตีประตูนั้นมีประสงค์อย่างไร ชื่อแซ่อย่างไร
เห้งเจียตอบว่า เราคือเจ้าเมืองจูจี๊ก๊กเชิญมาจะมารับนางกิมเซี้ยเกงกลับไปเมือง ปีศาจคนใช้ได้ฟังแล้วก็นำคำนั้นเข้าไปบอกแก่ปีศาจใต้อ๋อง ๆ ได้ฟังแล้วก็กลับเข้าไปยังตำหนัก จะถามต้นสายปลายเหตุ นางเนี้ย ๆ รู้ว่าใต้อ๋องมาก็ผุดขึ้นเอาเสื้อสวมใส่เดินออกมาจากห้องรับใต้อ๋องปีศาจเข้ามานั่งข้างใน ใต้อ๋องนั่งลงยังไม่ทันถาม ก็เห็นปีศาจวิ่งเข้ามาบอกว่า บัดนี้มันตีประตูพังเสียแล้ว ปีศาจใต้อ๋องถามนางว่า เนี้ย ๆ อยู่ในพระราชวังทราบว่ามีทหารเอกโทมากน้อยสักเท่าใด นางเนี้ย ๆ บอกว่าทหารประจำรักษาพระองค์สี่สิบเศษ ทหารเอกนับพัน แต่ทหารเลวนั้นนับไม่ถ้วน ปีศาจถามว่า ทหารที่มีแซ่งั่วบ้างหรือ นางบอกว่า ข้าพเจ้าอยู่แต่ข้างในจะรู้ได้แต่ที่พนักงาน อันข้างนอกนั้นไม่ทราบได้ ใต้อ๋องปีศาจว่า คนที่มาอยู่เดี๋ยวนี้ขานชื่อว่างั่วคง ข้าพเจ้าคิดดูว่าชาวชนทั้งหลายแซ่งั่วไม่มี ส่วนตัวนางเกิดในตระกูลอันดีมีบุญวาสนามากสูงสุดในพวกสตรี ทั้งได้เล่าเรียนรู้หนังสือลึกซึ้งจะมีมนุษย์แซ่งั่วนี้หรือไม่
นางเนี้ย ๆ พูดว่า ข้าพเจ้าทราบว่า ในเซยยี่บุ๊นมีคำว่ากู้งั่วสิ้วท้วน เห็นจะเป็นตัวงั่วนี้ดอกกระมัง ใต้อ๋องได้ฟังก็เห็นด้วย จึงว่าเห็นจะเป็นดังนั้นจริง จึงลานางเดินออกมาที่หอเล็กผ้วยเต็ง แต่งตัวสวมเกราะแล้วก็เรียกพลทหารปีศาจให้เปิดประตูออกไป ปีศาจไซ้ทั้ยส่วยถือขวานด้ามยาวคุมพวกออกไปถึงนอกประตู จึงตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายคนไหนมาจากเมืองจูจี๊ก๊กออกชื่องั่วคงคือใคร เห้งเจียถือตะบองเดินเข้ามาบอกว่า อ้ายหลานชาย เองมาเรียกว่าอะไรหรือ ปีศาจเห็นก็มีความโกรธ จึงพูดว่ามึงเป็นอะไรจึงอาจยกตัวว่าเป็นตาเขาดังนี้ รูปร่างของเองก็คล้ายแก่วานรหน้าตาก็ดุจเสือปลา มีเจ็ดส่วนที่เป็นลักษณะแห่งผีเปรต กระทำใจใหญ่มาโอหังอวดอ้างดูถูกเรา
เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายปีศาจเลวที่เขาทิ้งเสียแล้ว มึงช่างไม่มีตา หากจะคิดตั้งแต่ห้าร้อยปีกว่ามาจนบัดนี้ เรารบตลอดขึ้นไปบนสวรรค์ไม่มีผู้ใดที่จะไม่เรียกเราว่าตา เจ้าเรียกเราว่าตาคำหนึ่งจะเสียเกียรติยศอะไรไปเทียวหรือ ปีศาจใต้อ๋องพูดว่าข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่า มึงขี้นไปทำวุ่นวายบนสวรรค์นามชื่อว่า เป๊กเบ๊อุนคนเลี้ยงม้า เจ้าพ้นมหันต์โทษตามพระถังซัมจั๋งไปไซที เจ้าเดินไปตามทางไซทีก็ดีแล้ว เหตุใดจึงมาทำเป็นขี้ข้าเจ้าเมืองจูจี๊ก๊ก จะมาหาที่ตายกระนั้นหรือ เห้งเจียด่าว่าอ้ายมารพูดจาไม่รู้จักการดีชั่ว เจ้าเมืองจูจี๊ก๊กรับเชิญด้วยธรรมเนียมอันสมควรใหญ่สูงมีความนับถือดุจบิดามารดา ทำไมเอ็งจึงพูดว่าเป็นขี้ข้าเล่า มึงอย่าหนีจงก้มศรีษะมารับตะบองดูสักทีหนึ่งว่า จะมีรสชาติประการใดบ้าง ว่าแล้วเห้งเจียก็ยกตะบองขึ้นเงื้อมตีไป ปีศาจยกขวานขึ้นรับรบกันด้วยสามารถ ฟัดเหวี่ยงกันไปมาได้ห้าสิบเพลงยังไม่แพ้ชนะกัน
ฝ่ายปีศาจเห็นฝีมือเห้งเจียเข้มแข็ง จะคิดเอาชัยชนะมิได้ จึงเอาขวานทับตะบองเห้งเจียไว้แล้วร้องว่า เห้งเจียจงหยุดก่อน เรายังมิได้กินข้าวเช้ารอให้เรากินแล้ว จะออกมารบกับเจ้าให้ถึงแพ้ชนะ เห้งเจียก็รู้ในทันที อ้ายปีศาจคิดจะใช้ระฆังจึงชักตะบองกลับพูดว่า เป็นคนเก่งแล้วไม่ไล่ทำอะไรแก่กระต่าย อด มึงจงเร่งไปกินข้าวเสียให้อิ่มจะได้มารับความตาย ปีศาจก็กลับเข้าในถ้ำ ตรงมาบอกนางกิมเซี้ยเกงให้หยิบระฆังวิเศษนั้นมา นางถามว่าจะเอาระฆังไปทำไมหรือ ปีศาจบอกว่าเมื่อเช้าอ้ายเห้งเจียมาเรียกชวนรบ มันแกล้งบอกว่างั่วคง ข้าพเจ้ารบกับมันมาจนถึงเวลานี้ยังไม่แพ้ชนะกัน จะเอาระฆังออกไปปล่อยไฟออกเผามันให้สิ้นชีวิตอ้ายวานร
นางเนี้ย ๆ ได้ฟังดังนั้นก็เบี่ยงบ่ายมิใคร่จะให้ไป ปีศาจก็รบเร้าให้เอามา ก็เป็นการจนใจที่นางจะขัดไว้มิได้ จึงเข้าไปหยิบระฆังมาส่งให้ทั้งสามระฆัง ปีศาจได้ระฆังแล้วก็รีบเดินออกมาจากถ้ำ ฝ่ายนางกิมเซี้ยเกงนั่งอยู่ในตำหนัก มีความวิตกทุกร้อนถึงเห้งเจียกลัวว่าจะเป็นอันตรายจะเอาตัวรอดได้หรือไม่ก็ไม่ทราบ
ฝ่ายปีศาจออกมาพ้นประตูถ้ำแล้ว ก็ร้องเรียกเห้งเจียว่ามึงอย่าหนีจงคอยดูเราจะสั่นระฆัง เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าเจ้ามีระฆังข้าก็มีระฆังสั่นเหมือนกัน ปีศาจว่าเจ้ามีระฆังอะไรจงเอาออกมาให้เราดูหรือ เห้งเจียก็ล้วงระฆังออกมาจากเอวสามระฆังชูออกให้ปีศาจดูว่านี่มิใช่ระฆังหรือ ปีศาจเห็นดังนั้นก็ตกใจ คิดว่าอัศจรรย์ ๆ ทำไมระฆังของมันสร้างเหมือนแก่ระฆังของเราดุจเดียวกัน จึงร้องถามว่าระฆังของเจ้าได้ที่ไหนมา เห้งเจียว่าของเจ้านั้นได้ที่ไหนมาเล่าเจ้าจงบอกแก่เราก่อนซิ ปีศาจจึงบอกว่าระฆังของเรานี้ ทั้ยเชงเทพบุตรอันเชี่ยวชาญ ประกอบทำที่เบ้าโป๊ยก่วยจึงสำเร็จเป็นรูประฆังนี้ เป็นของวิเศษไม่มีที่ไหน ท่านท้ายเสียงเล่ากุนให้ไว้จนเท่าทุกวันนี้
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะแล้วพูดว่าอันระฆังของข้านี้ก็มีมาเมื่อเวลานั้นเหมือนกันพร้อมกับระฆังของเจ้า ปีศาจถามว่าออกมาจากไหน เห้งเจียว่าระฆังนี้ ครูใหญ่อาจารย์ผู้วิเศษอยู่วิมานชั้นดุสิตประกอบหลอมในเบ้าโป๊ยก่วยนั้น หล่อเป็นระฆังวิเศษนี้ ของเราตัวเมียของเจ้าตัวผู้ ปีศาจพูดว่าระฆังวิเศษประกอบด้วยธาตุทองมิใช่สัตว์มีชีวิต จะได้เป็นตัวผู้ผัวเมีย ลองสั่นดูก็จะรู้ได้ว่าใครดีกว่าใคร เห้งเจียว่าเจ้าว่าของเจ้าดี ก็ให้เจ้าลองสั่นดูก่อนซิ จะได้เห็นกันเดี๋ยวนี้แล
ปีศาจจึงเอาระฆังที่หนึ่งสั่นสามทีก็มิได้เห็นมีไฟออก เอาระฆังที่สองสั่นสามทีก็ไม่เห็นมีควันออก เอาระฆังที่สามออกสั่นก็ไม่เห็นทรายออก ปีศาจก็ตกตะลึงออกปากว่าผิดแล้ว ๆ ชะรอยระฆังของเราจะเป็นตัวผู้จริง จึงแพ้ระฆังตัวเมียสั่นไม่ออก เห้งเจียร้องว่าเจ้าหลานชายจงยั้งมือเถิด คอยดูของตาจะสั่นให้เจ้าดู ว่าแล้วก็จับระฆังรวมทั้งสามระฆังสั่นขึ้นทีเดียวทั้งสามพร้อมกัน ไฟและควันทรายก็ดังอู้ ๆ ออกมาเผาผลาญ เห้งเจียก็ร่ายคาถาเรียกลมเกิดขึ้นพัดมาทันที ไฟถูกลมพัดก็ยิ่งลุกกระพือออกแดงไปทั้งฟ้า ควันก็กลุ้มไปทั้งอากาศ ทรายก็ซัดสาดมืดไปจนไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ปีศาจไซ้ทั้ยส่วยหาทางหนีไม่ทัน ก็หมุนอยู่กลางไฟควันจวนจะถึงอันตรายแก่ชีวิตก็พอได้ยินเสียงบนอากาศ ร้องเรียกว่าซึงเห้งเจียอาตมามาแล้ว
เห้งเจียแหงนหน้าขึ้นไปดู เห็นพระโพธิสัตว์กวนอิมยืนอยู่บนเมฆ มือซ้ายถือขวดน้ำมนต์ มือขวาถือยอดสนจุ่มน้ำมนต์พรมลงมาดับไฟ เห้งเจียจึงเอาระฆังเหน็บซ่อนเสียในบั้นเอ็วแล้ว ก็พนมมือนมัสการพระโพธิสัตว์จึงเอากิ่งสนโบกไปสองสามที ไฟและทรายก็สูญหายไปทันที เห้งเจียก็ลดตัวลงคำนับพูดว่าไม่ทราบว่าพระโพธิสัตว์เสด็จมาข้าพเจ้าไม่ทันเห็นขอโอกาศโปรดให้อภัย ข้าพเจ้าขอถามว่าท่านจะไปข้างไหนหรือ พระกวนอิมบอกว่า อาตมภาพมาตามปีศาจนี้ เห้งเจียถามว่าอันปีศาจนี้เดิมมันอยู่ที่ไหน จึงต้องป่วยการมาตามมัน พระกวนอิมบอกว่า ปีศาจนี้นามเรียกว่า กิมม่อเฮ้า คือสิงห์เป็นพาหนะสำหรับอาตมภาพขี่ เพราะคนเฝ้านอนหลับ มันกัดเชือกที่ผูกขาดจึงได้หนีมา และจะมาแก้ให้เจ้าเมืองจูจี๊ก๊กพ้นโทษที่กระทำผิดไว้
เห้งเจียสงสัยจึงถามพระกวนอิมว่า สัตว์นี้มาแก้ให้พ้นภัยหรือ ๆ มาทำให้เป็นภัยแก่เจ้าเมืองจูจี๊ก๊ก คือมันลักเอามเหสีมาเป็นเมียมัน กระทำให้เมืองมีความทุกข์โทมนัสเดือดร้อนไม่เห็นมันแก้ให้เบาเลย มีแต่มันทำให้หนักลง พระกวนอิมว่าเห้งเจียไม่เข้าใจตลอดเรื่องคือ เมื่อเวลาพระราชบิดาของเจ้าเมืองจูจี๊ก๊กนี้ยังครองราชสมบัติอยู่ พอพระทัยเที่ยวประพาสป่ายิ่งเนื้อ พาพวกทหารและสุนัขไปไล่เนื้อ เข้าไปที่ชายเขา (โละโห้งปอ) ในที่นั้นมีนกยูงทองของพระจุ๊นที้เกิดลูกสองตัว ผู้หนึ่งเมียหนึ่งปีกขนยังอ่อน บินมาเกาะที่ชายเขา ถูกพระราชโอรสเอาธนูยิงถูกลูกนกยูงตัวผู้ ตัวเมียก็ตามลูกศรบินกลับไปหาพระจุ๊นทิ้โพธิสัตว์ ผลกรรมอันนั้นจึงบันดาลให้เจ้าเมืองจูจี๊ก๊กเป็นโรคลำบากและพลัดคู่ไปสามปี
เวลานั้นอาตมาขี่สัตว์สิงห์อยู่ที่นั้น ได้ทราบเหตุอันนี้ ก็มิได้รู้สึกว่าอ้ายสัตว์นี้มันจะจำใส่ใจ มันจึงมาชิงเอามเหสีไปสามปี ช่วยล้างเวรที่เป็นผลของบาปให้เจ้าเมืองจูจี๊ก๊ก ปีนี้ก็ครบสามปีแล้ว กรรมเวรก็หมดแล้ว จึงบังเอิญให้เห้งเจียมาช่วยรักษาเจ้าเมืองให้หายโรค อาตมาภาพจึงมาจับสัตว์นี้กลับไป เห้งเจียพูดว่า หากดังนั้นก็เป็นเหตุแต่เดิมมา แต่มันทำให้กิมเซี้ยเกงเสียความสุจริตดังนี้จะต้องปรับโทษถึงตาย บัดนี้พระโพธิสัตว์มาเองก็ยกแต่โทษตาย โทษเป็นนั้นจะยกเสียไม่ได้ขอให้ข้าพเจ้าตีด้วยตะบองยี่สิบทีแล้วท่านจึงเอาไป
พระกวนอิมว่า เห้งเจียทราบว่าอาตมามาเองแล้วก็จงเห็นแก่อาตมาภาพให้ตลอด จะยกแล้วก็จงยกให้ตลอดเถิด เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ไม่อาจขัดได้ พระกวนอิมจึงตวาดว่า อ้ายสัตว์เดรัจฉานทำไมยังไม่กลับตามเดิม จะคอยเวลาไหนอีกเล่า ในทันใดนั้นปีศาจก็กลายกลับเป็นรูปเดิม พระกวนอิมก็ขึ้นนั่งบนหลังมองลงมาดูที่คอไม่เห็นระฆังทั้งสามระฆัง พระกวนอิมจึงเรียกเห้งเจียให้เอาระฆังมาคืน เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าไม่เห็น พระกวนอิมว่าอ้ายหัวขโมย เจ้าจะให้ร่ายคาถารัดมงคลหรือ เห้งเจียตกใจก็เอาระฆังมาถวายให้แก่พระกวนอิมไป
ระฆังสามระฆังนี้เป็นระฆังสำหรับคล้องคอสัตว์สิงห์ พระกวนอิมรับมาแล้วก็เอาคล้องคอสิงห์ก็ตวาดทีหนึ่งร้องให้ไป สิงห์ก็เผ่นขึ้นที่เท้าทั้งสี่เท้าก็เกิดมีดอกบัวรับทั้งสี่เท้ามาบัดเดี๋ยวก็ถึงน่ำไฮ้ เห้งเจียก็แกว่งตะบองกลับเข้าไปในถ้ำตีขนาบเข้าไป พวกปีศาจเหล่านั้นก็ล้มตายวินาศไปทั้งสิ้นไม่เหลือหลอ ก็เข้าไปที่นางอยู่ เชิญนางกิมเซี้ยเกงกลับเมือง นางกราบไหว้ขอบคุณเห้งเจียไม่รู้แล้ว เห้งเจียจึงเอาหญ้ามัดเป็นเชือกเข้าเส้นหนึ่ง บอกให้นางกิมเซี้ยเกงขึ้นนั่งแล้วให้หลับตาเสีย เห้งเจียก็บันดาลเป็นสายลมพัดส่งไป มาประมาณสักครึ่งชั่วโมงก็ถึงพระราชวังใน เห้งเจียก็ลดลงยังพื้น ร้องเรียกว่ากิมเซี้ยเกงฮ่องเฮ้าจงลืมตาเถิดมาถึงวังแล้ว นางกิมเซี้ยเกงก็ลืมตาขึ้นเห็นรั้ววังจำได้มีความยินดีเป็นที่ยิ่ง พร้อมกับเห้งเจียเดินขึ้นบนปราสาท
ขณะนั้นพระเจ้าแผ่นดินกำลังประทับอยู่บนแท่น ทอดพระเนตรเห็นก็เสด็จมาจับมือนางฮองเฮ้าโดยความดีพระทัยที่ได้กลับมา ก็เลยล้มสลบลงกับที่พื้น และร้องว่าเจ็บมือ ๆ โป๊ยก่ายอยู่ข้างนั้นหัวเราะก๊าก ๆ พูดว่าไม่มีบุญวาสนาจะรับรองอบรมแล้ว พอเห็นหน้าก็จะตายเสียแล้ว เห้งเจียด่าว่าอ้ายชาติหมู เจ้ากล้าจับหรือเข้าไปลองจับดูทีก็เป็นไร เพราะในตัวนางเกิดมีเข็มขึ้นมา ตั้งแต่จากเมืองไปอยู่ในถ้ำสามปีแล้ว ปีศาจไซ้ทั้ยส่วยก็มิได้ถูกต้องเนื้อตัวนาง เพราะว่าถูกตัวก็เจ็บตัวถูกมือก็เจ็บมือ พวกขุนนางทั้งหลายถามว่าถ้าดังนั้นแล้วจะทำอย่างไรจึงจะแก้ได้เล่า เง็กเซี้ยเกง งึ้นเซี้ยเกงทั้งสองนางก็เข้าพยุงพระเจ้าแผ่นดิน
ในขณะนั้นก็พอได้ยินเสียงร้องเรียกอยู่บนอากาศว่า ซึงใต้เซี้ยข้าพเจ้ามาถึงแล้ว เห้งเจียแหงนหน้าขึ้นไปดูบนอากาศก็เห็นอาจารย์จี๋เอี๊ยงจินหยิน เห้งเจียก็เหาะขึ้นไปรับแล้วถามว่า ท่านอาจารย์จะไปข้างไหน จินหยินก็ลดลงยังปราสาทคำนับเห้งเจีย ๆ คำนับตอบแล้วถามว่า ท่านจินหยินไปไหนมาหรือ จินหยินตอบว่า ข้าพเจ้าจะไปประชุมที่พระพุทธเจ้า ข้ามมาทางนี้ก็เห็นเจ้าเมืองจูจี๊ก๊กมีเวรพลัดคู่ได้ความทุกข์ ข้าพเจ้ามีความวิตก กลัวว่าปีศาจจะพานางไปทำอุลามก วันหน้าจะมิได้กลับมาอยู่ด้วยเจ้าเมืองจูจี๊ก๊ก ข้าพเจ้าจึงเอาต้นหนามพุงดอมาทำให้เป็นเสื้อปักไหมทองตัวหนึ่ง แล้วนำมาให้แก่ปีศาจไซ้ทั้ยส่วย สั่งให้ใส่แต่งนางเป็นกิริยาเข้าหอใหม่ ครั้นนางใส่เสื้อเข้าแล้ว ตัวนางก็เกิดเป็นหนามอันมีพิษขึ้นทั่วสรรพางค์กาย
บัดนี้ทราบว่าท่านใต้เซี้ยปราบปีศาจสำเร็จแล้ว ข้าพเจ้าจะมาเปลื้องให้นาง จึงได้ตรงมาที่นี่เอามือชี้ทีหนึ่งเสื้อก็เปลื้องออกจากตัวนาง หนามก็ออกมาทั้งสิ้น นางก็กลับเป็นปรกติไปตามเดิม จินหยินก็เอาเสื้อนั้นพาดบ่าคำนับลาเห้งเจียแล้วก็เหาะขึ้นเวหากลับไปยังที่อยู่ของตน ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินกับข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนฝ่ายหน้าฝ่ายใน พากันเคารพนมัสการไปบนอากาศ แล้วจึงรับสั่งให้จัดเครื่องโต๊ะเลี้ยงขอบคุณอาจารย์กับศิษย์ แล้วพระเจ้าแผ่นดินก็พาพระวงศาคณาญาติใหญ่น้อยมาคุกเข่าลงนมัสการ เวลากำลังเลี้ยงโต๊ะนั้นเห้งเจียจึงบอกแก่อาจารย์ให้เอาหนังสือที่ปีศาจนัดรบนั้นให้พระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตร พระถังซัมจั๋งก็ส่งหนังสือนั้นถวายพระเจ้าแผ่นดิน ๆ ก็คลี่ออกทอดพระเนตรแล้ว เห้งเจียจึงเล่าความที่พระโพธิสัตว์กวนอิมจับปีศาจไปให้พระเจ้าแผ่นดินทราบทุกประการ พระเจ้าแผ่นดินและพระวงศานุวงศ์ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยก็พากันสรรเสริญ และเลื่อมใสนับถือพระอาจารย์กับสานุศิษย์
พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่า ข้อหนึ่งพระองค์ก็ทรงตั้งอยู่ในยุติธรรม ข้อสองได้กำลังของสานุศิษย์อาตมภาพ วันนี้ก็ได้รับพระราชทานอิ่มเอิบพอควรแล้ว อาตมภาพขอถวายพระพรลาไป อย่าให้อาตมภาพผิดความที่ตั้งใจจะไปไซที พระเจ้าแผ่นดินทรงอ้อนวอนถึงสามครั้ง พระถังซัมจั๋งก็ไม่ยอมอยู่ พระองค์จึงเปลี่ยนหนังสือเดินทางประทับตราเสร็จแล้วก็ถวายพระถังซัมจั๋งไป แล้วรับสั่งให้ขุนนางจัดราชรถนิมนต์พระถังซัมทั้งขึ้นนั่งบนรถแล้ว พระเจ้าแผ่นดินกับพระญาติวงศ์พงศ์ษาและข้าราชการก็ตามออกมาส่งจนนอกกำแพงเมืองจึงได้กลับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น