
(บทที่ ๔๕) ฝ่ายเห้งเจียนั่งอยู่ท่ามกลาง มือขวาจับซัวเจ๋งมือซ้ายจับโป๊ยก่ายกระชุ่นให้รู้สึกว่าคนมา โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็รู้สึก จึงนั่งนิ่งไม่พูดจาว่ากระไร คอยแลดูพวกเต้าหยินว่าจะทำประการใด พวกเต้าหยินเอาไฟเที่ยวส่องดูข้างหน้าข้างหลัง เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งนั่งนิ่งดุจรูปอิฐ รูปปูน เฮาลัดอาจารย์พูดว่า ไม่มีคนพาลที่ไหนมา ทำไมผลไม้และเครื่องบูชาจึงหมดสิ้นไปดังนี้ ลกลัดอาจารย์พูดว่าดูดุจคนกิน แม้ว่าคนกินก็คงทิ้งเมล็ดทิ้งเปลือก นี่ทำไมจึงหมดไปดังนี้ แล้วก็ไม่เห็นมีคน เอี๋ยวลัดอาจาริย์พูดว่า ท่านพี่ทั้งสองอย่าสงสัยคิดดูว่าพวกเราตั้งจิตสวดมนต์ จึงร้อนขึ้นไปถึงพรหมทั้งหลายนี่คือท่านซัมเซงลงมารับของบูชาเป็นแน่ เวลานี้ท่านกำลังอยู่เราขอน้ำมนต์ต้มยากิน แลจะได้ถวายพระเจ้าแผ่นดินจะไม่ดีหรือ พวกเราจะได้มีความชอบในพระเจ้าแผ่นดิน
เฮาลัดใต้เซียนอาจารย์ใหญ่พูดว่า คิดดังนั้นเห็นจะถูกต้อง จึงเรียกศิษย์ให้ตีเครื่องสัญญาณประโคม แล้วให้ไปเอาเสื้อผ้าเครื่องจะเข้าพิธี แลคอยรอเราทำการบวงสรวงเชิญแล้ว จึงค่อยพร้อมกันสวดมนต์ เต้าหยินทั้งหลายรับคำสั่งแล้วก็พากันจัดแจงรอคอยอยู่พร้อมกัน สวดคัมภีร์เซียนไสยศาสตร์ได้จบหนึ่ง เฮาลัดใต้เซียนแต่งตัวแล้วก็ยืนอยู่ท่ามกลาง ทำการบวงสรวงเคารพเชิญ แล้วก็คุกเข่าลงคำนับขอน้ำทิพย์จะได้ถวายพระเจ้าแผ่นดิน โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นในใจให้กระสับกระส่ายกระซิบบอกแก่เห้งเจียว่า นี่พวกเรากินแล้วยังไม่ไป ถ้าเขาบวงสรวงแล้วจะขออะไรเราจะทำอย่างไร เห้งเจียสะกิดมิให้โป๊ยก่ายพูด แล้วจึงออกปากพูดว่า พวกท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งขออะไรเลย เรามาจากที่ประชุมเลี้ยงชมภพู่แล้วก็เลยมา มิได้ติดน้ำมนต์ทิพย์และยาก็มิได้เอามา วันอื่นจึงจะเอามาให้
พวกเต้าหยินได้ยินเสียงพูดดังนั้น ต่างตกประหม่าตัวสั่นไปทุกคน พูดว่าท่านเอี๊ย ๆ ลงมาจากสวรรค์แล้ว ขอท่านอย่าทิ้งซึ่งธรรมพิเศษที่ให้อายุยืนนานเลย ลกลัดเต้าหยินเดินเข้ามาอ้อนวอนว่า ขอท่านจงไว้น้ำมนต์ทิพย์ให้พวกข้าพเจ้าอายุยืนนานด้วย ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นจึงสกิดเห้งเจียกระซิบว่า พวกเต้าหยินจะรีบรัดขอเอาอย่างนี้ เห้งเจียว่าจะต้องให้เขา
ฝ่ายพวกเต้าหยินทำการบวงสรวงแล้ว เห้งเจียจึงออกปากพูดว่าไม่ต้องกราบไหว้วุ่นวาย เราไม่อยากได้ไหว้ แต่วิตกว่าจะเสียการพิธี ครั้นจะให้ก็เป็นที่ง่ายนัก พวกเต้าหยินได้ฟังดังนั้น จึงพร้อมกันกราบลงกับพื้น อ้อนวอนว่าขอท่านได้เห็นแก่พวกข้าพเจ้าซึ่งได้มีใจเคารพดังนี้ ขอได้โปรดให้พวกข้าพเจ้าได้ตามความประสงค์แล้ว พวกข้าพเจ้าจะกราบทูลเจ้าแผ่นดินให้เคารพนับถือในคัมภีร์ไสยศาสตร์ทั่วไป เห้งเจียพูดว่า ถ้ากระนั้นจงเอาของมาใส่เถิด พวกเต้าหยินได้ฟังดังนั้น ต่างก็เคารพกราบลงพร้อมกัน ใต้เซียนทั้งสามให้เอาอ่างใหญ่มาตั้งไว้ บ้างก็เอากระถางใหญ่และขวดดอกไม้มาตั้งไว้เสร็จแล้ว เห้งเจียจึงพูดว่า พวกเจ้าจงออกไปคอยนอกหับบานประตูเสีย พวกเต้าหยินได้ฟังสั่งต่างก็พากันถอยออกไปข้างนอก คุกเข่าคอยท่าอยู่ข้างหน้าลาน
เห้งเจียเห็นพวกเต้าหยินออกไปข้างนอกหมดแล้ว จึงลุกยืนขึ้นถกผ้าหนังเสือขึ้นแล้ว ก็เยี่ยวใส่ในขวดดอกไม้เต็มทั้งสองขวด โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ดีใจ พูดว่าวันนี้เราจะต้องให้เขาบ้าง จึงยืนขึ้นถกกางเกงเยี่ยวออกซ่า ๆ ดุจเทน้ำลงกระดาน เยี่ยวใส่กระถางใหญ่เต็มกระถาง ซัวเจ๋งก็เยี่ยวใส่อ่างไว้เต็มอ่าง ครั้นเสร็จแล้วก็ลงนั่งเรียบร้อยอย่างเดิม พูดว่าพวกเจ้าจงเข้ามาเอาน้ำมนต์ทิพย์ไปเถิด ฝ่ายพวกเต้าหยินเปิดประตูเข้าไป ต่างก็พากันเคารพขอบคุณช่วยกันยกน้ำรวมไว้ที่เดียวกัน จึงบอกพวกสานุศิษย์ทั้งหลายให้เอาถ้วยเล็กมาตักกิน เฮาลัดใต้เซียนได้ถ้วยมาตักกิน พอดื่มเข้าไปอุตส่าห์จีบปากจีบคอกลืน ลกลัดใต้เซียนถามว่าพี่กินดีหรือ เฮาลัดว่าว่ารสฝาดๆ ขื่นๆ เอี๋ยวลัดใต้เซียนดื่มเข้าไปครึ่งถ้วยว่าคาว ๆ ดุจเยี่ยวหมู
เห้งเจียนั่งอยู่ข้างบนได้ยินดังนั้น ก็นึกรู้ว่าจะเกิคความแล้ว เราลองฝีมือให้มันรู้แลไว้ชื่อให้ปรากฎด้วย คิดดังนั้นแล้วก็ออกปากเรียกว่า เฮ้ยอ้ายพวกเต้าหยิน มึงทำการทุจริตมากมายเหลือเกินไม่มีความยุติธรรมเลย มึงคิดว่าท่านพรหมซัมเซงจะลงมาง่าย ๆ ดังนั้นหรือ เราจะบอกพวกเจ้าให้รู้สึกตามความจริง นี่คือพระถังซัมจั๋งรับรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ วันนี้วันดีจึงลงมากินเครื่องบวงสรวงขนมนมเนย จะเป็นที่สำราญแก่พวกเจ้าที่เคารพนบน้อม ไม่มีอะไรจะตอบแทนให้สมความดีของพวกเจ้า จึงถ่ายปัสสาวะลงไว้ในขวดในหม้อต่างน้ำมนต์ ให้พวกเจ้ากินเพื่อสิริมงคลแลอายุยืนนาน ฝ่ายพวกเต้าหยินเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็พากันกั้นประตู พร้อมกันถือเครื่องศาสตราอาวุธ อิฐและไม้ต่าง ๆ ปาส่งเข้าไป แล้วก็กรูกันถือไม้บุกรุกเข้าไปจะตี
ฝ่ายเห้งเจียคอยต่อสู้รับรองมือหนึ่งหนีบโป๊ยก่าย มือหนึ่งหนีบซัวเจ๋ง ปิดป้องลอดหนีออกมาพ้นประตู ก็เหาะหนีกลับมายังวัดตี้เอียนยี่ ครั้นถึงก็ลงเดินเข้าในกุฎีพากันเข้าที่นอน สักประเดี๋ยวก็สว่างในพระราชวังก็ตีกลองสัญญาณ พระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกขุนนาง ๆ เข้าเฝ้าประชุมพร้อมกันทั้งซ้ายขวา เวลานั้นพระถังซัมจั๋งก็ตื่นนอนลุกจากที่เรียกสานุศิษย์ทั้งสาม จะเข้าไปในวังเปลี่ยนหนังสือเดินทาง
เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ก็ตื่นขึ้นล้างหน้าล้างตาแล้วก็จัดแจงตามอาจารย์ไป อาจารย์กับศิษย์พากันเดินมา ครั้นถึงหอเหงาฮ่องเล้า พระถังซัมจั๋งจึงพูดแก่ขุนนางที่เฝ้าประตูว่า อาตมภาพพระสงฆ์อยู่เมืองใต้ถังถือรับสั่งจะไปเมืองไซทีอาราธนาพระธรรม บัดนี้มาถึงนี่จะขอเปลี่ยนหนังสือ ขอท่านได้เข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบด้วย พวกขุนนางก็นำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินให้ทรงทราบแล้ว จึงมีรับสั่งว่าพวกพระสงฆ์เหล่านี้ไม่มีที่ตายจะมาหาที่ตาย พวกขุนนางที่คอยจับทำไมอยู่จึงไม่จับมาส่งเล่า ขณะนั้นมีขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งกราบทูลขึ้นว่า เมืองใต้ถังในชมภูทวีปนี้เป็นเมืองใหญ่ มาถึงนี้ทางไกลตั้งหมื่นโยชน์ อันพระสงฆ์ที่มานี้คงจะมีอภินิหารฤทธาอานุภาพ จึงสามารถมาประเทศไซทีได้ ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาเอาแต่หนังสือดู ถ้าถูกต้องแล้วก็ควรจะปล่อยไป จึงจะชอบด้วยทางทศพิธราชธรรม พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงเห็นชอบด้วยตามถ้อยคำที่ขุนนางกราบทูลนั้น จึงรับสั่งให้นำพระถังซัมจั๋งเข้าไปเฝ้า
พระถังซัมจั๋งกับพวกศิษย์ทั้งสามก็พร้อมกันเข้ามาในท้องพระโรง ครั้นถึงหน้าพระที่นั่งก็ยืนเรียงกันเป็นแถวอยู่ จึงนำหนังสือสำหรับตัวออกถวาย พระเจ้าแผ่นดินทรงรับมาทอดพระเนตรพิจารณาดู ในขณะนั้นพวกขันธีเข้ามากราบทูลว่า บัดนี้ท่านอาจารย์เต้าหยินจะขอเข้ามาเฝ้า เมื่อพระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังขุนนางกราบทูลดังนั้น ก็ลงจากพระที่นั่งเสด็จออกมาคอยรับ ฝ่ายเต้าหยินทั้งสามก็เดินเข้ามาถึงพระที่นั่ง ก็ขึ้นนั่ง ส่วนพระเจ้าแผ่นดินก็ย่อพระองค์รับเชิญ พระถังซัมจั๋งหันหน้าไปดู เห็นเต้าหยินเดินตรงเข้ามาขึ้นที่นั่งมิได้เคารพต่อผู้ใด พวกขุนนางซ้ายขวาก็ก้มหน้าไม่กล้าแลดู เต้าหยินขึ้นนั่งเสมอพระเจ้าแผ่นดินก็มิได้ทำความเคารพ พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสว่า ข้าพเจ้ามิได้ให้หา เหตุใดท่านใต้เซียนจึงเข้ามา ท่านจะมีกิจธุระประการใดหรือ เต้าหยินกราบทูลว่า ข้าพเจ้ามีกิจอันหนึ่งจึงได้มาเฝ้า คือพวกพระสงฆ์ทั้งสี่นี้จะมาแต่เมืองใดข้าพเจ้าไม่ทราบ พระเจ้าแผ่นดินตรัสบอกว่าเธออยู่เมืองใต้ถัง มีรับสั่งให้ไปไซทีอาราธนาพระธรรม
เต้าหยินได้ฟังดังนั้นก็ตบมือหัวเราะพูดว่า ข้าพเจ้าหมายว่ามันหนีพ้นไปแล้ว มิรู้ก็กลับมาอยู่ที่นี่เอง พระเจ้าแผ่นดินตกพระทัยถามว่า พระสงฆ์เหล่านี้ได้ทำให้ท่านอาจารย์เดือดร้อนอย่างไรหรือ เธอมาบอกชื่อแซ่แก่ข้าพเจ้า ๆ ก็อยากจะใคร่ส่งไปให้ท่านใช้ แต่ท่านขุนนางผู้ใหญ่ท้ายซือได้ทูลทัดทานเราเห็นว่าถูกต้อง แลทั้งเห็นว่าเธอมาจากเมืองใต้ถัง จึงเรียกเข้ามาพิจารณาดูหนังสือนั้น หากว่าพวกพระสงฆ์เหล่านี้มีโทษก็แล้วแต่ท่านเถิด เต้าหยินหัวเราะแล้วพูดว่า พระองค์ยังไม่ทรงทราบคือเธอมาเมื่อวันวานนี้ ยังที่ประตูเมืองทิศตะวันออก ฆ่าสานุศิษย์ของข้าพเจ้าตายเสียสองคนแล้ว และยังซ้ำปล่อยพระสงฆ์ห้าร้อยรูปเสียด้วยอีก และทำลายเกวียนกระเบื้องอิฐปูนไม้เสียไปทั้งสิ้น
ครั้นเมื่อคืนนี้มาทำลายที่บูชาซัมเซงไปหมดสิ้นอีก แล้วลักกินผลไม้ขนมนมเนยที่พระราชทานหมดสิ้น พวกข้าพเจ้าสำคัญว่าซัมเซงเสด็จลงมาจึงพากันขอน้ำมนต์น้ำยาทิพย์ เพื่อจะนำมาถวายพระองค์ มิได้รู้ว่าสงฆ์พวกนี้ถ่ายปัสสาวะไว้ในที่ หลอกลวงข้าพเจ้า ๆ จะจับตัวก็พากันหนีไป บัดนี้กลับมาอยู่ที่นี่ ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินได้ทรงทราบดังนั้นก็ทรงพระพิโรธยิ่งนัก จะใคร่ลงโทษพระสงฆ์ทั้งสี่นั้น ในทันใดนั้นเห้งเจียจึงพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ขอพระองค์จงยับยั้งพระทัยก่อน ข้าพเจ้าจะทูลให้ทรงทราบบ้าง ซึ่งอาจารย์เต้าหยินมาทูลกล่าวโทษว่าข้าพเจ้าฆ่าศิษย์เสียสองคนนั้นผู้ใดเป็นพยานได้รู้เห็น แม้ว่าจริงดังนั้นพวกข้าพเจ้าจะยอมถ่ายใช้ชีวิตให้เธอทั้งสอง ข้อที่กล่าวว่าข้าพเจ้าทำลายเกวียนและสิ่งของที่ปลูกสร้างเหล่านั้น แล้วปล่อยพระสงฆ์ที่มีโทษ การที่กล่าวนี้ไม่มีพยานยืนยัน และกล่าวว่าข้าพเจ้าทำลายรูปซัมเซงและสิ่งของเครื่องบูชาเสียนั้น ทั้งลักกินผลไม้และขนมนมเนย ก็พวกข้าพเจ้าจรมาแต่เมืองใต้ถังหนทางไกลไม่รู้เบาะแส เหตุใดจะรู้ว่าโรงพิธีอยู่ที่แห่งใด และข้อที่กล่าวว่าข้าพเจ้าถ่ายปัสสาวะไว้ ก็ควรจะจับคุมเอาตัวไว้จึงจะชอบ ซึ่งเอาความเท็จไม่จริงมากล่าวโทษข้าพเจ้าว่ากลางวันฆ่าผู้ฟันคนตายดังนี้ แลมนุษย์ทั้งหลายที่ปลอมชื่อปลอมแซ่กันก็มีอยู่เป็นเช่นอย่างถมไปจะนับจะประมาณมิได้ ด้วยเหตุอย่างไรจึงพูดว่าข้าพเจ้ากระทำการชั่วร้ายดังนี้ เป็นข้อความเลื่อนลอยหามีหลักฐานอันใดไม่ ขอพระองค์ได้ทรงพระราชดำริก่อนโดยทางยุติธรรม
ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินทรงฟังเห้งเจียชี้แจงก็ลังเลพระทัยอยู่ แต่หากมีความเชื่อแลความนับถือเต้าหยินก็ยังทรงตรึกตรองอยู่ พอเห็นขุนนางเข้ามากราบทูลว่า พวกกำนันผู้ใหญ่บ้านทั้งหลายมาคอยรับรับสั่งอยู่นอกประตู พระองค์ทรงทราบแล้วจึงโปรดให้นำเข้าไปเฝ้าพวกขุนนางก็ออกไปนำกำนันผู้ใหญ่บ้านสี่สิบคนกว่าเข้าไปเฝ้า ถวายบังคมแล้วก็กราบทูลว่า ชอพระองค์ได้ทรงทราบ ในปีนี้ตั้งแต่เดือนห้าเดือนหกเดือนเจ็ดมาแล้วนี้ไม่มีฝน วิตกว่าเดือนแปดเดือนเก้าฝนจะแล้ง เพราะฉะนั้นพวกข้าพเจ้ามากราบทูล ขอเชิญท่านอาจารย์เต้าหยินตั้งพิธีขอฝน ขอพระบารมีเป็นที่พึ่งได้โปรดเกล้าทรงพระอนุกูลแก่อาณาประชาชนทั้งหลาย ให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุข สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสว่าการที่ท่านทั้งหลายมากราบทูลนี้ก็ทรงทราบอยู่แล้ว พระองค์จึงตรัสแก่พระถังซัมจั๋งว่า ข้าพเจ้านับถือศาสนาเต้าหยิน มิได้นับถือพระสงฆ์เพราะเหตุใด เพราะเหตุที่พระสงฆ์ตั้งพิธีขอฝน ๆ ก็ไม่ตก
ส่วนท่านเต้าหยินลงมาจากฟ้าทำพิธีขอฝน ๆ ก็ตกลงมาชุ่มชื่น ราษฎรทั้งหลายมีความอิ่มเอิบบริบูรณ์ทั่วทุกตำบล ก็ท่านมาแต่ทางไกลได้ผิดพลั้งต่อท่านใต้เซียน ก็ย่อมมีโทษมาก แต่ข้าพเจ้าจะยกให้ ท่านยังสามารถจะตั้งพิธีขอฝนให้ฝนตกได้หรือไม่ แม้ว่าท่านขอฝนได้ข้าพเจ้าจะยกโทษนั้นให้มิให้มีโทษ แล้วเปลี่ยนหนังสือเดินทางให้ แม้ว่าฝนไม่ตกก็จะต้องโทษตามกฎหมาย ประจานให้ชาวเมืองรู้ทั่วกัน เห้งเจียได้ฟังพระเจ้าแผ่นดินตรัสดังนั้น ก็หัวเราะแล้วพูดว่าข้าพเจ้าสามารถจะขอฝนให้ตกได้ตามต้องการ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังเห้งเจียรับดังนั้น จึงรับสั่งให้ขุนนางพนักงานจัดเครื่องพิธี แลสั่งให้จัดราชรถ พระองค์จะเสด็จไปทอดพระเนตรยังหอเหงาฮ่องเล้า
ตอน ปราบนักพรตปิศาจพรรคมาร (ช่วงที่2)
ฝ่ายขุนนางพนักงานก็จัดการตามรับสั่งเสร็จ พระองค์ก็เสด็จพร้อมด้วยขุนนางข้าราชการ มาประทับยังหอเหงาฮ่องเล้าแล้ว พระถังซัมจั๋งกับพวกศิษย์ก็พากันตามเสด็จมาอยู่ข้างล่าง ฝ่ายอาจารย์เต้าหยินทั้งสามขึ้นนั่งอยู่บนหอกับด้วยพระเจ้าแผ่นดิน บัดเดี๋ยวมีขุนนางขี่ม้าวิ่งมาบอกว่า การพิธีสารพัดจัดเสร็จแล้ว ขอเชิญท่านใต้เซียนไปบวงสรวง
เฮ้าลัดอาจารย์ใหญ่ได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ย่อตัวคำนับแก่พระเจ้าแผ่นดินแล้ว เดินลงมาจากหอ เห้งเจียวิ่งมากั้นหน้าไว้ ถามว่าจินแสจะไปข้างไหน เต้าหยินตอบว่าจะขึ้นทำพิธีขอฝน เห้งเจียว่าเห็นจะผิดที่ท่านยกย่องกันเอง ทำไมไม่ให้ข้าพเจ้าผู้มาทางไกลขอก่อนเล่า นี่คือดุจกำลังมังกรจะเบียนที่ของงูหรือ แม้ว่าท่านจะขึ้นไปก่อน จะต้องต่อหน้าพระที่นั่ง พระเจ้าแผ่นดินแสดงความทรงพระอนุญาตจึงขึ้น เต้าหยินถามว่าแสดงความอะไร เห้งเจียว่าท่านกับข้าพเจ้าพร้อมกันขึ้นทำพิธีขอฝน จะรู้ได้หรือว่าฝนของท่านหรือฝนของข้าพเจ้า ก็จะไม่รู้ว่าความชอบของผู้ใด เต้าหยินพูดว่า จึงดูป้ายจะร้องเรียกเป็นลำดับ คือที่หนึ่งร้องให้มีลม ที่สองร้องไห้มีเมฆ ที่สามร้องให้มีฟ้าร้อง ที่สี่ให้มีฝนตก ที่ห้าให้ฝนหยุด เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะก๊ากใหญ่ แล้วพูดว่า ข้าพเจ้าพวกสงฆ์ยังไม่เคยเห็น เชิญท่านเถิด ๆ
เต้าหยินใต้เซียนจึงเดินไปก่อน พระถังซัมจั๋งกับศิษย์เดินตามหลังไป ครั้นมาถึงหน้าประตูพิธี แลเข้าไปเห็นมีแท่นสูงสักสามวาในรอบนั้นปักธงยี่สิบแปดคัน เป็นอย่างดาวยี่สิบแปดดวง บนแท่นนั้นมีโต๊ะตั้งไว้โต๊ะหนึ่ง มีเครื่องบูชากระถางปักธูป เชิงเทียน หม้อไฟ กลางโต๊ะมีป้ายทองจารึกชื่อเจ้ารามสูร ข้างนั้นมีกระถางตั้งห้ากระถาง ใส่น้ำใสเต็มทุกกระถาง บนน้ำนั้นทิ้งยอดใบสนลอยอยู่ทุก ๆ กระถาง มีป้ายเหล็กวางซ้อนบนกระถางแผ่นหนึ่ง เขียนยันต์ชื่อรามสูร ข้างนั้นมีไม้หลักห้าอันเขียนชื่อพระพายทุกๆ หลัก ๆ หนึ่งมีเต้าหยินยืนอยู่สองคน มือถือลูกตุ้มเหล็กคอยเคาะหลักนั้น ข้างหลังแท่นมีพวกเต้าหยินหลายคนคอยเขียนหนังสือยันต์ ที่หว่างปักกระดาษราวไฟไว้ราวหนึ่ง และมีรูปหุ่นคนสองสามรูป เป็นกิริยาราชทูตของพระภูมิเจ้าที่ใช้สอย
ฝ่ายเต้าหยินมาถึงก็ตรงขึ้นไปบนแท่นยืนอยู่ข้างหนึ่ง ข้างนั้นมีเต้าหยินน้อย มือถือกระดาษยันต์เหลือง และเกี่ยมอันหนึ่ง เอามาส่งให้อาจารย์เต้าหยิน ๆ รับเอาเกี่ยมแลยันต์มาถือมือก็จับเกี่ยมยกขึ้นเสกร่ายเวท เอายันต์แผ่นหนึ่งวางเผาบนหม้อไฟแล้ว ข้างล่างนั้นพวกเต้าหยินน้อยสองสามคนก็เอายันต์เผา และกระดาษยันต์ที่ราวนั้นก็จุดไฟเผา ข้างบนแท่นนั้นเสียงอู้ทีหนึ่งและป้ายพระพายก็มีเสียงลั่นดังบนเวหามีลมพัดฉิว ๆ มา
โป๊ยก่ายเห็นดังนั้น ปากก็บ่นว่าเห็นจะไม่เป็นการ เต้าหยินนี้เธอมีความรู้วิเศษจริง อาจทำป้ายให้มีเสียงขึ้นได้ ก็มีลมพัดมาดังนี้ เห้งเจียว่าพวกเราจงเงียบ ๆ อย่าพูดจาแก่เรา ๆ จะมีธุระการไป พูดดังนั้นแล้วก็ถอนขนเพ็ชร์ออกหนึ่งขน ร่ายพระคาถาเป่าแปลงเป็นเห้งเจียปลอมยืนอยู่ที่นั่น ตัวเห้งเจียก็เหาะขึ้นบนเวหา ถามว่าผู้ใดเป็นพนักงานลม ฝ่ายพระพายตกใจก็รีบรัดปากถุงลมให้หยุดแล้ว ก็ลงคำนับเห้งเจีย ๆ พูดว่าข้าพเจ้ารักษาพระถังซัมจั๋งไปไซทีอาราธนาพระธรรม จะทดลองขอฝนแก่เต้าหยินทำไมพระพายจึงไม่ช่วยเรา กลับไปช่วยเต้าหยินเล่า เราจะยกโทษให้ จงเก็บลมเสียให้สิ้น แม้ว่ามีสักนิดหน่อย พัดให้สิ่งของ ๆ เต้าหยินไหวเราจะตีด้วยกระบองเหล็กกายสิทธิ์นี้ยี่สิบที พระพายตอบว่า ข้าพเจ้าไม่กล้าแล้ว ในทันใดนั้นลมก็สงัดเงียบหยุดไปสิ้น
ฝ่ายเต้าหยินก็เอายันต์ออกเผาอีกแผ่นหนึ่งก็ตบกับโต๊ะทีหนึ่ง ก็เห็นบนอากาศมีสายเมฆออกมัวท้องฟ้า เห้งเจียร้องถามว่าที่ทำเมฆนั้นผู้ใด เทพบุตทำเมฆก็ตกใจมาคำนับบอกว่า ข้าพเจ้าคือหนึงกุน เห้งเจียจึงเอาความนั้นมาเล่าให้ฟังทุกประการแล้ว หนึงกุนก็เก็บเมฆเสียหมดสิ้น ท้องฟ้าทั่วโลกไม่มีเมฆฝนเลย
ฝ่ายเต้าหยินจิตใจให้ร้อนรน ก็คลายมวยผมปล่อยลงร่ายเวทเสกเผายันต์อีกแผ่นหนึ่ง เอาป้ายตบลงกับโต๊ะ ก็แลเห็นข้างทิศอาคเย์ เทพยดาเตงทีกุน ขับพวกรามสุรมายังอากาศ พบเห้งเจียก็คำนับ เห้งเจียก็ชี้แจงเล่าเหตุผลให้ทราบทุกประการ แล้วต่อว่า ๆ ทำไมพวกท่านมาโดยใจดังนี้มีรับสั่งอย่างไรหรือ
ทีกุนบอกว่า เต้าหยินเผายันต์รามสูรและหนังสือขอร้องขึ้นไปร้อนถึงเง็กเซียงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้พวกข้าพเจ้ามาพวกข้าพเจ้าจึงได้มาทำการตามรับสั่ง เห้งเจียว่า ถ้ากระนั้นจงหยุดก่อน ไว้รอข้าพเจ้ากระทำการ จึงลงมือช่วยกันเถิด ฝ่ายเต้าหยินเห็นไม่มีเสียงรามสูรจิตใจให้หวาดหวั่น ก็รีบจุดธูปจุดเทียนเพิ่มเติมเอายันต์เผาอีกแผ่นหนึ่งเอาป้ายตบลงกับโต๊ะ ทันใดนั้นเห็นเล่งอ๋องพระยานาคทั้งสี่สมุทรขับบริวารรีบมา เห้งเจียมาสกัดร้องตวาดถามว่า เง่ากวั๊งเล่งอ๋องจะไปข้างไหน เง่ากวั๊งเล่งอ๋องเห็นเห้งเจียก็เข้ามาคำนับ เห้งเจียจึงเล่าเหตุการณ์นั้น ๆ ให้ฟังทุกประการ แล้วพูดว่าเมื่อวันก่อน มีความลำบากแก่ท่านไม่สำเร็จ คราวนี้ขอช่วยเป็นกำลัง
เล่งอ๋องพูดว่าท่านอย่ามีความวิตก ข้าพเจ้าจะทำตามท่านสั่งทุกประการ เห้งเจียว่าขอบใจท่าน เมื่อวันก่อนบุตรของท่านได้มาช่วยจับปีศาจ ช่วยอาจารย์ของข้าพเจ้าให้ข้ามฟากมาได้ เล่งอ๋องบอกว่า ปีศาจนั้นบัดนี้ยังมัดอยู่ในทะเลยังไม่กล้าชำระเองจะใคร่เชิญใต้เซียไปตัดสิน เห้งเจียพูดว่า โทษานุโทษนั้นแล้วแต่ท่านจะเห็นสมควรเถิด เวลานี้ขอท่านได้ช่วยเป็นกำลังแก่ข้าพเจ้าเถิด ด้วยเต้าหยินร้องเรียกสี่หนแล้ว ก็ถึงเวณข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าจะไม่เข้าในยันต์เขียนและตบตีซึ่งป้ายนั้น เตงทีกุนพูดว่า ท่านสั่งแล้วก็ต้องทำตามท่านสั่ง แต่วิตกว่าไม่มีสัญญาณจะไม่เข้าใจกันได้ เห้งเจียพูดว่า ข้าพเจ้าจะเอากระบองนี้เป็นสัญญา แม้ว่าข้าพเจ้าชี้ขึ้นจงให้มีลม พระพายก็รับสัญญาณว่าจะให้เกิดลม ถ้าชี้ที่สองจงให้เกิดเมฆขึ้น หนึงกุนก็รับสัญญาณว่า จะทำให้เกิดเมฆขึ้น ถ้าชี้ที่สามจงให้ฟ้าร้อง รามสูรก็รับสัญญาณจะทำให้ฟ้าร้อง ถ้าชี้ที่สี่จงให้ฝนตก เล่งอ๋องทั้งสี่ก็รับสัญญาจะทำให้ฝนตก ถ้าชี้ที่ห้าให้ฟ้าสว่างปรกติ
แล้วกำชับว่า ตามสัญญาณนี้ขออย่าให้เคลื่อนคลาด กำชับแล้วเห้งเจียก็ลงมายังที่เดิม เรียกขนกลับเข้าตัวแล้วก็ยืนแอบพระถังซัมจั๋งอยู่ แล้วร้องเรียกด้วยเสียงอันตังว่า ท่านจินแสเชิญสี่หนแล้ว ก็ไม่มีลมแลเมฆแลฟ้าร้องแลฝนเล่า จะต้องให้ข้าพเจ้าทำบ้างจึงจะควร
ฝ่ายเต้าหยินจนใจไม่รู้ที่จะทำประการใด ก็เดินกลับลงมาไปขึ้นหอ (เหงาฮ่องเล้า) เข้าเฝ้าทูลพระเจ้าแผ่นดิน เห้งเจียก็เดินตามไป พระเจ้าแผ่นดินก็ตรัสถามว่า ข้าพเจ้าคอยฟังคอยดูท่านอาจารย์ทำการพิธีบวงสรวงสี่หนแล้ว ก็ไม่เห็นมีลมแลฝนการจะเป็นอย่างไรหรือ เต้าหยินทูลว่า วันนี้เทพยดาพนักงานที่ทำลมและฝนไม่อยู่ เห้งเจียพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า วันนี้เทพยดาอยู่พร้อมกัน ที่ฝนไม่ตกนั้นเพราะวิทยาของจินแสไม่ศักดิ์สิทธิ์ เชิญเธอจึงไม่มา เมื่อพระเจ้าแผ่นดินได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงทรงอนุญาตว่า ถ้ากระนั้นเห้งเจียจงกระทำให้เกิดลมและฝนเถิดเราจะคอยดู เห้งเจียได้อนุญาตแล้ว ก็คำนับเดินกลับมายังพิธี บอกพระถังซัมจั๋งให้ขึ้นบนโรงพิธี พระถังซัมจั๋งว่า อาตมภาพไม่เคยขอฝน เห้งเจียพูดว่าท่านไม่ต้องบวงสรวงจงทำเป็นนั่งสวดมนต์เท่านั้น ข้าพเจ้าจะทำเองท่านอย่าได้วิตกเลย
พระถังซัมจั๋งขึ้นบนแล้วนั่งสำรวมจิตสวดพระคัมภีร์ (ซิมเกง) เวลานั้นมีขุนนางขี่ม้าวิ่งมาถามว่า ท่านสงฆ์หมู่นี้ทำไมไม่ได้ยินเสียงป้ายสัญญาณเล่า แลทำไมไม่เผากระดาษยันต์เล่า เห้งเจียได้ฟังดังนั้น จึงพูดด้วยเสียงอันดังว่า ข้าพเจ้าไม่ต้องการ พวกข้าพเจ้าไม่ต้องบวงสรวงขอเอาโดยทางความระงับ ขุนนางผู้นั้นก็กลับไปกราบทูล เห้งเจียได้ฟังพระถังซัมจั๋งสวดมนต์จบแล้ว จึงชักกระบองออกจากหู แกว่งกวัดไปมาทีหนึ่งแล้ว เอากระบองชี้ขึ้นบนเวหา ในทันใดนั้นก็บังเกิดลมพัดเปนพายุใหญ่ พัดจนกระเบื้องแลดินทรายปลิวว่อนมืดมนต์ไปทั้งอากาศ แล้วเห้งเจียเอากระบองชี้ขึ้นบนอากาศอีกทีหนึ่ง ในทันใดนั้นเมฆฝนก็ตั้งขึ้นเต็มไปทุกทิศเขียวชะอุ่ม เห้งเจียเอากระบองชี้ขึ้นไปบนเวหาอีกทีหนึ่ง ในทันใดนั้นฟ้าก็ร้องครื้นครั่นลั่นสะท้านไปทั่วโลก เห้งเจียก็ชี้กระบองขึ้นไปบนเวหาอีกทีหนึ่ง ฝนก็ตกลงมาทันทีตั้งแต่สามโมงเช้าจนเวลาเที่ยง ในกำแพงเมืองน้ำท่วมถนนหนทางไปทั้งสิ้น เจ้าแผ่นดินรับสั่งว่าน้ำก็มากแล้ว ข้าวปลาจะเสียไปหมด จะกลับเป็นไม่ดี
เห้งเจียได้ฟังดังนั้น จึงเอากระบองชี้ขึ้นบนเวหาทีหนึ่ง ฝนก็หยุดลมก็หายรามสูรย์ก็ไม่มีเสียง เมฆก็ม้วนหอบหายไปหมด ท้องฟ้าก็ขาวสว่างไสวผ่องไสเหมือนปรกติแต่เดิม พระเจ้าแผ่นดินมีพระทัยโสมนัสยินดียิ่งนัก พวกขุนนางทั้งหลาย ก็พร้อมกันสรรเสริญทุกๆ คน ว่าพระสงฆ์องค์นี้ดีจริง พระเจ้าแผ่นดินก็เสด็จกลับเข้าพระราชวัง ทรงเปลี่ยนหนังสือสัญญาประทับตราแผ่นดินให้
เต้าหยินทั้งสามกราบทูลขัดขวางว่า ขอพระองค์ได้ทราบฝนตกในครั้งนี้ ไม่ใช่พาหนะของพระสงฆ์พวกนี้ คือพาหนะอำนาจของข้าพเจ้าทั้งสิ้น พระเจ้าแผ่นดินรับสั่งว่าท่านอาจารย์พูดว่าเล่งอ๋องไม่อยู่ขอฝนไม่ได้ ครั้นเธอขึ้นไปขอก็ตกลงมาห่าใหญ่ฉะนี้ ทำไมจึงมาพูดลบล้างความชอบของเธอเสียเล่า เฮ้าลัดทูลว่าข้าพเจ้าขึ้นทำพิธีบวงสรวงและเผาซึ่งยันต์ แลหนังสือกราบทูลไปยังสวรรค์แลเคาะไม้สัญญาณ เล่งอ๋องจะไม่มานั้นได้อยู่หรือ ครั้นข้าพเจ้าลงจากพิธีฝ่ายพระสงฆ์ขึ้นพอมาประจวบเข้าจึงได้บังเกิดฝน เมื่อจะพิเคราะห์ให้ดีแล้วก็เป็นด้วยข้าพเจ้าบวงสรวงทั้งสิ้น ทำไมจึงกลับเป็นความชอบของพระสงฆ์ไปฝ่ายเดียวเล่า
พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังเต้าหยินก็เกิดความสงสัย ไม่แน่นอนในใจลงไปได้ว่าอย่างไร เห้งเจียจึงกราบทูลว่าขอพระองค์ได้ทราบ คือเธอทำด้วยเวทมนต์กลเล่ห์ทางไสยศาสาตร์ไม่เป็นความจริงได้ แม้จะเห็นว่าไม่แน่ว่าเป็นความจริงฝนตกด้วยอำนาจของผู้ใด บัดนี้เล่งอ๋องนาคทั้งสี่อยู่บนเวหา ข้าพเจ้ายังไม่บอกให้ไป ถ้าเต้าหยินเป็นผู้วิเศษจริงจงเรียกเล่งอ๋องออกมาให้เห็นตัวได้ จึงจะเห็นจริงว่าซึ่งลมและฝนตกนั้นเป็นเพราะฤทธิ์เดชและความสำเร็จมาจากเธอจริง
พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังเห้งเจียกราบทูลดังนั้น ก็มีพระทัยยินดียิ่งนัก จึงตรัสว่าข้าพเจ้าได้ราชสมบัติยี่สิบสามปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นรูปพระยาเล่งอ๋องว่าจะเป็นประการใด ขอท่านทั้งสองจงสำแดงวิทยาความรู้อันประเสริฐให้ข้าพเจ้าเห็นเป็นขวัญตาสักครั้งหนึ่งเถิด ความชอบจะอยู่แก่ท่านผู้เดียว ถ้าหากว่าเรียกมาไม่ได้จะเอาโทษให้สาหัส เต้าหยินทูลว่าพวกข้าพเจ้าไม่เข้าใจ ขอให้พวกสงฆ์เรียกมาเถิด เห้งเจียแหงนหน้าขึ้นบนอากาศร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า ท่านเง่ากวั๊งอยู่ที่ไหนจงพาพวกพี่น้องบริวารออกทั้งรูป ให้เห็นปรากฎแก่ตา มนุษย์โลก เล่งอ๋องได้ยินดังนั้นก็ออกจากกลีบเมฆลอยอยู่บนเวหาทั้งสี่พี่น้อง พลิกแพลงเลี้ยวลดเร่ร่อนไปมาตรงปราสาทกิมหลวนเต้ย
พระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็จุดธูปเทียนบูชาขุนนางทั้งหลายก็คุกเข่าลงคำนับทุกคน แล้วพระองค์จึงตรัสว่ามีความลำบากแก่ท่านเล่งอ๋องได้อุตสาหะลงมาขอเชิญท่านกลับเถิด วันอื่นข้าพเจ้าจึงจะตอบแทนพระคุณ เห้งเจียพูดว่าท่านเล่งอ๋องและเทพบุตรทั้งหลายจงกลับไปยังที่เถิด วันอื่นข้าพเจ้าจะขอบพระคุณท่าน ฝ่ายพระยาเล่งอ๋องและเทพยดาทั้งหลายได้ฟังดังนั้น ก็อันตรธานสูญหายกลับไปยังสำนักแห่งตน ๆ
(บทที่ ๔๖)
ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินเห็นเห้งเจียมีอำนาจฤทธิ์เดชศักดิ์สิทธิ์ อาจสามารถเรียกเชิญเล่งอ๋องและเทวดาได้ จึงหยิบเอาตราจะประทับส่งให้พระถังซัมจั๋งไป ฝ่ายเต้าหยินทั้งสามก็คุกเข่าลงคำนับกับพื้น พระเจ้าแผ่นดินเห็นดังนั้นก็เสด็จลงจากบัลลังก์ เข้าประคองอาจารย์เต้าหยินไว้แล้วตรัสว่า ท่านอาจารย์ทำไมวันนี้จึงมาทำกิริยาอย่างนี้จะว่ากระไรหรือ เต้าหยินทูลว่า พระองค์ได้ทราบคือพวกข้าพเจ้ามาถึงเมืองนี้ก็ปราถนาจะรักษาบ้านเมืองของพระองค์ให้ราษฎรมีความสุข มาวันนี้พวกสงฆ์เอาวิชาความรู้ออกเล่น แม้พระองค์ปล่อยเธอไปก็จะเสียเกียรติยศของพวกข้าพเจ้า พระองค์เห็นแก่ฝนเวลาเดียวก็มายกโทษฆ่าคนตายเสียนั้น จะไม่มีความประมาทพวกข้าพเจ้ามากหรือ ขอพระองค์อย่าเพิ่งให้หนังสือไปก่อน ให้พวกพี่น้องข้าพเจ้าทดลองดูก่อน เมื่อพระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังเต้าหยินกราบทูลดังนั้น ก็ให้วุ่นวายในพระทัยไป จึงยังมิได้พระราชทานหนังสือให้ จึงตรัสถามเต้าหยินว่าท่านจะใคร่ทดลองด้วยประการใดหรือ
เฮ้าลัดอาจาริย์ทูลว่า ข้าพเจ้าจะลองด้วยนั่งสมาธิ พระเจ้าแผ่นดินรับสั่งว่า ฝ่ายพระสงฆ์นั้นเธออยู่ในทางสมาธิเป็นอารมณ์ ทำไมจึงจะเอาสมาธิมาทดลองแก่เธอเล่า เต้าหยินทูลว่า อันสมาธินี้ไม่เหมือนแก่สมาธิตามเคยนั้น เรียกว่าอริยะเมฆเป็นบันใดสมาธิ พระเจ้าแผ่นดินทรงถามว่า อย่างไรเรียกว่าอริยะสมาธิขอให้ท่านชี้แจงข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจ เต้าหยินทูลว่า คือเอาไม้ร้อยท่อน เอาห้าสิบท่อนซ้อนขึ้นให้สูงประมาณสิบวา ข้างบนนั้นมีที่นั่งได้ จะขึ้นไปไม่ให้เอามือจับแลไม่ให้ใช้บันได จะขึ้นก็เหยียบเมฆขึ้นไปนั่ง กำหนดสองสามชั่วโมงกายไม่ไหวสั่น
พระเจ้าแผ่นดินเห็นว่าเป็นการยาก จึงมีรับสั่งแก่พระสงฆ์ว่ามีผู้ใดเข้าใจจะทำได้บ้างหรือ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ยังนิ่งอยู่ โป๊ยก่ายถามว่าทำไมพี่จึงไม่พูดว่ากระไร เห้งเจียพูดว่าน้องพี่ไม่ปิดบังอำพรางอะไรแก่น้อง แม้ว่าจะขึ้นฟ้าดำดินและวิดน้ำในทะเลหรือเลื่อนแม่น้ำทุก ๆ อย่าง ซึ่งความประหลาดเหล่านั้นพี่ทำได้ทั้งสิ้น แต่ที่ว่านั่งสมาธินั้นพี่ต้องยอมด้วยสันดานยังมิได้เคย ที่ไหนจะนั่งได้เล่า พระถังซัมจั๋ง ได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงพูดว่าอาตมานั่งสมาธิได้ เห้งเจียดีใจพูดว่าดีแล้ว ๆ ถามว่าอาจารย์จะนั่งได้สักเท่าใด พระถังซัมจั๋งตอบว่า อาตมภาพได้พบท่านผู้วิเศษสำเร็จทางสมาธิ อธิบายซึ่งรากเหง้าประเภทของสมาธิให้ฟัง คือสมาธิอย่างสูงสำรวมจิตวางที่ช่องทวารเกิดดับ นั่งได้ทนสามปีสี่ปีแต่วิตกจะขึ้นไปไม่ได้ เห้งเจียว่าอาจารย์อย่าวิตกจงไปรับเถิด ข้าพเจ้าจะส่งอาจารย์ขึ้นไปเองพระถังซัมจั๋งจึงเดินมายังหน้าที่นั่งพนมมือพูดว่า อันสมาธินั้นอาตมภาพนั่งได้
จึงพระเจ้าแผ่นดินรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดทำขึ้นโดยเร็ว ประมาณชั่วโมงหนึ่งก็แล้วสำเร็จตามรับสั่งสองแท่น ยังที่ประสาทกิมหลวนเต้ยซ้ายขวา ฝ่ายเฮ้าลัดอาจารย์ใหญ่ก็ลุกจากที่เดินลงมายังพื้นล่าง ก็สำแดงขึ้นเหยียบเมฆตรงขึ้นไปนั่งปรกติอยู่บนแท่นข้างทิศตะวันตก เห้งเจียก็ถอนขนออกหนึ่งขน แปลงเป็นเห้งเจียยืนอยู่กับโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ตัวเห้งเจียก็บันดานเป็นเมฆห้าสีเข้าโอบยกเอาพระถังซัมจั๋งขึ้นนั่งบนแท่นข้างทิศตะวันออก เห้งเจียก็รวมเมฆแปลงเป็นแมลงหวี่บินลงมาจับข้างใบหูโป๊ยก่าย บอกว่าน้องทั้งสองอย่าพูดจาแก่รูปแปลงนั้นโป๊ยก่ายบอกว่ารู้แล้ว
ฝ่ายลกลัดอาจารย์ที่สอง นั่งอยู่ข้างล่างเห็นเธอทั้งสอง ขันนั่งสมาธิก็หลายชั่วโมงยังไม่แพ้ชนะกัน จึงนึกว่าเราจะช่วยใต้เซียนสักแรงหนึ่ง จึงถอนเอาผมท้ายทอยออกเส้นหนึ่ง เสกเป็นก้อนกลมแล้ว ดีดขึ้นไปติดบนศรีษะพระถังซัมจั๋งแปลงเป็นตัวหนอนเกาะอยู่ ก็กัดไชศรีษะพระถังซัมจั๋ง ฝ่ายพระถังซัมจั๋ง ทีแรกก็รู้สึกคัน ทีหลังก็รู้สึกเจ็บ อันความสัญญานั่งสมาธิ กายมิให้ไหวถ้าไหวก็เรียกว่าแพ้ เมื่อหนอนกัดศรีษะพระถังซัมจั๋งหนักเข้าก็ทนไม่ไหว จึงคุดงอศรีษะลง โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นพูดว่าเห็นจะไม่เป็นการ ท่านอาจารย์จะบังเกิดลมอะไรขึ้นแล้ว เห้งเจียพูดว่า อาจารย์เราพูดคำเดียวไม่เป็น คำสองแม้รับได้ก็ได้ น้องทั้งสองอย่าวุ่นวาย พี่จะขึ้นไปดูจะเป็นอย่างไรดอกกระมัง เห้งเจียก็บินโผขึ้นไป ถึงศรีษะพระถังซัมจั๋งจึงพิจารณาดู เห็นมีเท่าเมล็ดถั่วเขียวใหญ่ เกาะไชอยู่บนศรีษะพระถังซัมจั๋ง
เห้งเจียก็เอื้อมมือไปแกะออกแล้วเอามือเกาถูให้อาจารย์ พระถังซัมจั๋งก็ไม่เจ็บไม่คันนั่งปรกติไปตามเดิม เห้งเจียจึงนึกว่าศรีษะพระสงฆ์ก็โล้นไม่มีเหาเลนอะไรจะอยู่ได้ นี่ทำไมหนอ จึงมีหนอนมาเกาะอยู่อย่างนี้ เห็นจะเป็นพวกเต้าหยินคนใดคนหนึ่งคิดทำลายอาจารย์เราเป็นแน่ จำเราจะต้องแกล้งมันบ้าง เห้งเจียจึงโผบินข้ามไปยังที่อาจารย์เต้าหยินนั่งอยู่ตรงนั้น แปลงเป็นตะขาบตัวหนึ่งยาวเจ็ดองคุลีตรงเข้าเกาะที่รูจมูกเต้าหยิน ๆ ก็นั่งไม่เปนสุข ขยับตัวทีหนึ่งก็หกคะเมนลงมาจากแท่นจะถึงแก่ความตาย บังเอิญมีคนช่วยก็รอดตายไปได้ พระเจ้าแผ่นดินเห็นดังนั้นก็ตกพระทัย จึงรับสั่งให้ขุนนางพาตัวอาจารย์ไปอาบน้ำยังตำหนักบุ้นฮวย
เห้งเจียจึงบันดาลเป็นเมฆรับพระถังซัมจั๋งลงมานับว่าเป็นการชนะพวกเต้าหยิน พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้หนังสือเดินทางแก่พระถังซัมจั๋ง
ลกลัดอาจารย์ที่สอง ก็คุกเข่าลงคำนับทูลขัดว่าขอพระองค์ได้ทราบ พี่ข้าพเจ้าเคยเป็นโรคลม ครั้นขึ้นสูงถูกลมอากาศจึงได้เป็นเช่นนั้น พวกพระสงฆ์จึงได้ชนะดังนี้ ขอพระองค์ได้โปรดได้ข้าพเจ้าขันพนันทายบังตาลองดูก่อน พระเจ้าแผ่นดินถามว่า การทายบังตานั้นอย่างไร เต้าหยินทูลว่า ข้าพเจ้าทายรู้ได้ซึ่งสิ่งของในที่ลับ รู้ได้ว่าเป็นของสิ่งใด แม้ว่าพวกพระสงฆ์ทายรู้ได้ก็ควรยอมได้เธอไป แม้เธอทายไมได้ขอพระองค์ปรับโทษที่ฆ่าคนนั้นเถิด พระเจ้าแผ่นดินก็ลงเนื้อเห็นเชื่อตามเต้าหยิน จึงรับสั่งให้ขันธียกตู้ล่องชาติแดงนั้นออกมายังตำหนักใน เอาของวิเศษใส่เข้าไว้แล้วปิดประตูตู้เสีย หามออกมาตั้งไว้ข้างนอกหน้พระที่นั่ง แล้วพระองค์จึงรับสั่งว่า พวกท่านทั้งสองฝ่าย จงทายว่าในตู้นั้นมีของสิ่งใด
ในทันใดนั้นเห้งเจียแปลงเป็นแมลงหวี่ เข้าเกาะตู้พิจารณาดูเห็นมีช่องเล็กก็ลอดเข้าไปข้างใน จึงได้เห็นเสื้อวิเศษตัวหนึ่งกางเกงวิเศษตัวหนึ่ง จึงจับยกขึ้นฉีกป่นไปหมด จึงกัดปลายลิ้นเอาโลหิตพ่นเข้าไปร้องแปลง เสื้อกางเกงก็กลายเป็นระฆังแตกระฆังหนึ่ง แล้วก็ถ่ายปัสสาวะไว้ด้วย แล้วก็ลอดออกมาจับที่ใบหูพระถังซัมจั๋งบอกให้ทายของวิเศษว่าระฆังแตกจะเป็นของวิเศษอะไร จงทายอย่างนั้นไม่ต้องวิตกอะไรเลย พระถังซัมจั๋งจึงเดินเข้าไปจะทาย เต้าหยินก็ชิงทายว่า ในตู้นั้นมีเสื้อหนึ่งตัวกางเกงหนึ่งตัวเป็นของวิเศษสองสิ่ง พระถังซัมจั๋งพูดว่าไม่ใช่ ในตู้นั้นมีระฆังแตกระฆังหนึ่งเท่านั้น
พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า พระสงฆ์นี้ดูถูกเราว่าไม่มีสิ่งของวิเศษ จึงได้ทายว่าระฆังแตกฉะนี้ รับสั่งให้จับตัวไว้ พระถังซัมจั๋งจึงทูลว่าขอพระองค์ได้เปิดตู้ดูเสียก่อน แม้ว่ามีของวิเศษจริงขอรับพระราชอาญาตามโทษ ถ้ามิใช่ของวิเศษก็เพียงอย่าลงโทษอาตมภาพเลย จึงพระเจ้าแผ่นดินโปรดให้เปิดตู้ดู ก็แลเห็นมีแต่ระฆังแตกอยู่ระฆังหนึ่งเท่านั้น ก็ยิ่งทรงพระพิโรธว่าใครเอาระฆังแตกใส่เข้าไว้ พระมเหสีทูลว่า ข้าพเจ้าใส่แก่มือข้าพเจ้าเอง คือเสื้อกางเกงของวิเศษสองสิ่ง เหตุใดจึงกลายเป็นของอย่างนี้ไปเล่า พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่าเรารู้เหตุแล้ว ให้พระมเหสีเสด็จเข้าจึงรับสั่งให้ยกตู้เข้าไปข้างใน แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปเอาผลชมพู่เซียนผลหนึ่งใส่ไว้ในตู้นั้นปิดประตูเสียแล้ว สั่งให้หามออกไปข้างนอก จึงรับสั่งให้ทาย
เห้งเจียก็เข้าไปในตู้อีกเช่นครั้งก่อน พอแลเห็นผลชมพู่ ก็กลายเป็นรูปเดิมกินผลชมพู่จนหมดลูกยังเหลือแต่เมล็ดในก็วางไว้ แล้วแปลงเป็นแมลงหวี่กลับออกมากระซิบบอกพระถังซัมจั๋งว่า พระอาจารย์จงทายว่าเมล็ดในชมพู่เซียน พระถังซัมจั๋งจะออกปากทาย เต้าหยินก็ชิงทายว่า ชมพู่ผลหนึ่ง พระถังซัมจั๋งว่า ชมพู่ก็จริงแต่ไม่มีเนื้อมีแต่เมล็ดในเท่านั้น พระเจ้าแผ่นดินตวาดว่า คราวนี้ข้าพเจ้าใส่เองกับมือข้าพเจ้าคือชมพู่เซียนผลหนึ่ง ทำไมจึงทายว่ามีแต่เมล็ดในเล่า พระถังซัมจั๋งทูลว่า ถ้าไม่เชื่อขอให้เปิดตู้ออกดูก็จะเห็นจริงว่าเป็นประการใด จึงรับสั่งให้ขุนนางเปิดประตูตู้ออกดู ก็เห็นเมล็ดในชมพู่จริงของพระถังซัมจั๋ง พระเจ้าแผ่นดินเห็นดังนั้นก็ตกพระทัย จึงตรัสแก่เต้าหยินอาจารย์ว่า อย่าขันสู้แก่เธอเลยจงปล่อยให้ไปเถิด ข้าพเจ้าได้เอาผลชมพู่เซียนใส่แก่มือของข้าพเจ้าเองทั้งผล เหตุใดจึงเหลือแต่เมล็ดในดังนี้เล่า ชะรอยจะมีเทพยดารักษาเธออยู่เป็นแน่
ขณะเมื่อพระเจ้าแผ่นดินตรัสอยู่ดังนั้น เฮ้าลัดอาจารย์ใหญ่เมื่อตกลงมาจากแท่นก็ออกไปอาบน้ำชำระกายแล้ว กลับเข้ามายังหน้าที่นั่ง กราบทูลว่าขอพระองค์ได้ทราบ พระสงฆ์เหล่านี้เข้าใจกลอาจเรียกสิ่งของที่ไม่มีวิญญาณ แลให้เปลี่ยนแปลงได้ จงยกตู้ขึ้นมาข้าพเจ้าจะทำลายตู้นั้นเสียให้เธอทายใหม่ พระเจ้าแผ่นดินถามว่าพระอาจารย์จะทายอะไรอีกหรือ เต้าหยินทูลว่า กลนั้นเคลื่อนได้แต่สิ่งของเท่านั้น สิ่งที่มีวิญญาณจิตเคลื่อนไม่ได้ เอาเด็กน้อยซ่อนเข้าไว้ในตู้แล้ว ปิดประตูตู้เสีย ยกตู้ลงไปให้เห้งเจียมาทาย เห้งเจียเห็นยกตู้ลงมาตั้งไว้อีก ก็บินไปจับที่ตู้ลอดเข้าไปในตู้ เห็นมีเด็กน้อยนั่งอยู่ก็รู้สึกจึงแปลงเป็นอาจารย์เต้าหยิน เรียกว่าสานุศิษย์คำหนึ่ง เด็กก็ถามว่าอาจารย์มาทางไหน เห้งเจียบอกว่าเราแซกเข้ามา เด็กถามว่าอาจารย์เข้ามาจะสั่งว่ากระไรหรือ
เห้งเจียว่าเจ้าเข้าอยู่ในตู้นี้ พวกสงฆ์นั้นแลเห็นเสียแล้ว หากว่าเขาทายว่ามีเด็กน้อยจะมิเสียทีเขาหรือ คิดโกนผมเสียพวกเราจะทายว่าสามเณรน้อย เด็กนั้นพูดว่าตามใจอาจารย์เถิด เห้งเจียก็เรียกกระบองให้แปลงเป็นมีดโกน จึงโกนผมเด็กนั้นเสียให้หมดทั้งศรีษะแล้วแปลงเสื้อกางเกงของเด็กนั้นเป็นผ้าเหลืองนุ่งห่มให้เด็ก ๆ ก็เหมือนแก่รูปพระสงฆ์ แล้วเห้งเจียถอนขนออกเส้นหนึ่ง แปลงเป็นระฆังเล็กระฆังหนึ่งส่งให้เด็กนั้นถือแล้วกำชับสั่งว่า เจ้าจงคอยฟังถ้าเรียกว่าเด็กน้อยแล้วจงอย่าได้ออกมาเลย ถ้าเรียกว่าเณรน้อยแล้วจงเปิดประตูตู้มือถือระฆังเคาะเดินออกมา ปากก็สวดว่า (อะมิโธพุทธะ) จงจำไว้ข้าจะไปก่อนแล้ว เห้งเจียก็กลับเป็นแมลงหวี่บินลอดออกมาพูดกระซิบที่หูพระถังซัมจั๋งว่าจงทายว่าเณรน้อย
เฮ้าลัดใต้เซียนจึงเรียกว่า เด็กน้อยในตู้นั้นจงออกมา เรียกเท่าใด ๆ เด็กนั้นก็หาออกมาไม่ พระถังซัมจั๋งพนมมือพูดว่า ในตู้นั้นคือสามเณรน้อย โป๊ยก่ายจึงออกแรงเรียกว่า ในตู้นั้นสามเณรน้อยจงออกมา เด็กน้อยได้ยินเรียกว่าสามเณรน้อย ก็เปิดประตูตู้ออกมา มือถือระฆังปากก็สวดอะมิโธพุทธะ พวกขุนนางทั้งหลายเห็นดังนั้น ต่างก็พร้อมกันสรรเสริญ เต้าหยินทั้งสามก็ตกตะลึงปากพูดไม่ออก
พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า พวกพระสงฆ์นี้มีฤทธาอนุภาพมาก และมีเทพยดาคอยประคับประคองอยู่เสมอ เหตุใดเด็กอยู่ในตู้จึงได้กลายเป็นสามเณรน้อยไปได้ ท่านอาจารย์จงปล่อยให้เธอไปเถิด เฮ้าลัดใต้เซียนทูลว่าขอพระองค์ได้ทรงทราบ ไหน ๆ ก็ได้มาพบผู้มีฝีมือด้วยกันแล้ว แต่เล็กมาข้าพเจ้าก็เคยเล่าเรียนฝึกหัด จะขอลองฝีมือแก่พวกพระสงฆ์อีกสักครั้งหนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งถามว่า ท่านอาจารย์จะใคร่ลองฝีมืออย่างไร เต้าหยินทูลว่า พี่น้องข้าพเจ้าทั้งสามคนนี้จะขันตัดศรีษะผ่าท้องเอาไส้ออก แลกลับทำให้ดีอย่างเดิมได้ น้ำมันต้มให้เดือดก็ลงไปอาบเล่นได้ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้นก็ตกพระทัย จึงตรัสว่าการทั้งสามอย่างนั้นถึงชีวิตทั้งนั้น ท่านจะทำไปจะกระไรอยู่ ข้าพเจ้ายังหนักใจมาก เกลือกจะเป็นอันตรายดอกกระมัง
เฮ้าลัดใต้เซียนทูลว่า พวกข้าพเจ้ามีความรู้วิชาสามารถจะกระทำได้ จึงได้กล้ากราบทูลพระองค์ดังนี้ ขอพระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกเลย พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสแก่พระถังซัมจั๋งว่าอาจารย์ของข้าพเจ้ายังไม่ยอมให้ท่านไป จะขอลองขันตัดศรีษะผ่าท้อง อาบน้ำมันที่เดือดกำลังร้อนอยู่ เห้งเจียได้ฟังก็กลับยังรูปเดิมหัวเราะแล้ว ก็ทูลว่าดีแล้ว ๆ ค้าขายมาถึงประตูบ้านแล้ว โป๊ยก่ายถามว่า ทั้งสามอย่างนั้นถึงแก่ชีวิตทั้งนั้นมิใช่หรือ พี่พูดอะไรมาถึงประตูบ้านข้าพเจ้าคนโง่ยังไม่เข้าใจ เห้งเจียพูดว่า น้องยังไม่รู้ความดีของพี่หรือ คือตัดศรีษะขาดแล้วก็ยังพูดได้ ผ่าท้องแบะออกไม่มีรอย น้ำมันต้มกำลังเดือดร้อนๆ อาบได้ไม่ร้อน ของง่ายๆ ไม่ยากอะไรเลย จะได้สระล้างเหงื่อไคลด้วย พูดดังนั้นแล้วจึงเดินเข้าไปทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า ข้าพเจ้าเคยเรียนรู้ตัดศรีษะได้ ไม่ทราบว่าจะดีหรือไม่ดี บัดนี้จะขันพนันลองดู พระเจ้าแผ่นดินทรงพระสวนแล้วตรัสว่า พระสงฆ์พวกนี้ยังไม่เคย เหตุไฉนจึงอาจลองได้ เฮ้าลัดเต้าหยินจึงทูลว่า เธออยากอย่างนั้นจึงจะได้สมแก่ความแค้นของข้าพเจ้า พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้จัดสนามให้พระสงฆ์ไปตัดศรีษะก่อน
เห้งเจียมีความยินดี พนมมือพูดเสียงดังว่า ขอขมาท่านอาจารย์เต้าหยิน อย่าถือว่าข้าพเจ้าใจกล้าชิงทำก่อน พูดดังนั้นแล้วก็หันหน้าเดินออกไปที่สนามฆ่า พวกเพชรฆาตก็จับมัดลงแล้วก็ร้องว่าลงดาบ ก็ตัดศรีษะหล่นลงทันที แล้วผลักล้มลงกับพื้นดุจตัดแตงโมฉะนั้น ศรีษะกระเด็นไปห่างกาย แต่ที่คอเห้งเจียโลหิตมิได้ไหลออก ได้ยินในท้องร้องเรียกว่าศรีษะจงกลับมา ลกลัดเต้าหยินก็รีบร่ายเวทบอกพระภูมิเจ้าที่ให้ยึดศรีษะเห้งเจียไว้
ฝ่ายพวกเจ้าพระภูมิเหล่านั้น เพราะพวกเต้าหยินได้เวทเหงาลุ้ยไว้จึงต้องช่วยเต้าหยิน ก็แอบบังตัวเข้าไปจับศรีษะเห้งเจียไว้มิให้ไปติดกับตัว เห้งเจียเรียกอีกคำหนึ่งว่า หัวจงกลับมาหัวนั้นก็ดุจมีรากไม่เขยื้อนไปได้ เห้งเจียก็กำมัดออกแรงสลัดทีหนึ่งเชือกที่มัดก็ขาดหลุดไปสิ้น ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่าให้สูงขึ้น ก็เห็นที่คอมีศีศะโผล่ขึ้นมาเหมือนอย่างเดิม พวกเพชรฆาตเหล่านั้นก็พากันตกตะลึงตัวแข็งไปทุกคน ทั้งพวกทหารรักษาองค์ก็พากันตกใจตัวสั่น มีความอุทัจหน้าซีดสลดไปทุกคน แล้วพวกขุนนางข้าราชการแลเพชรฆาต ก็นำความเข้าไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า เป็นการประหลาดอัศจัรรย์ที่สุด ตัดศรีษะขาดแล้วกลับมีศรีษะเกิดขึ้นอีกอย่างเดิมได้ กำลังที่พวกขุนนางกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินอยู่นั้นก็เห็นเห้งเจียเดินเข้ามา ร้องเรียกอาจารย์
พระถังซัมจั๋งดีใจถามว่า มีความลำบากนักหรือเปล่า เห้งเจียว่าไม่มีความลำบากอะไรหามิได้จะลองเล่นดูเท่านั้น พวกพี่น้องต่างก็มีความรื่นเริง พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า พวกพระสงฆ์จงมารับหนังสือ ข้าพเจ้ายกโทษให้จงไปเถิด เห้งเจียทูลว่า หนังสือก็ต้องรับแต่จะต้องให้อาจารย์เต้าหยิน ออกไปตัดศรีษะลองดูก่อน
เฮ้าลัดได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็เดินออกไปยังสนามให้พวกเพชรฆาตจับมัดแล้วฟันคอศรีษะขาดกระเด็นลงกับแผ่นดิน ที่คอก็ไม่มีโลหิตออกได้ยินเสียงร้องเรียกว่าศรีษะจงกลับมา เห้งเจียเห็นดังนั้นก็รีบถอนขนออกเส้นหนึ่ง ร่ายคาถาเป่าไปก็กลายเปนสุนัขตัวหนึ่ง วิ่งเข้าไปในสนามคาบเอาศรีษะเต้าหยินนั้นหนีไป วิ่งไปทิ้งที่แม่น้ำหน้าตำหนักแพ เต้าหยินเรียกว่าติด ๆ อีกสามคำศรีษะนั้นก็ไม่คืนกลับมาเข้าที่ ที่คอนั้นก็มีแสงแดงผุดขึ้นบัดเดี๋ยวก็ขาดใจตายล้มลงกับพื้น พวกคนเข้าไปดูก็เห็นเป็นเสือสีเหลืองหัวขาดตัวหนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงทราบดังนั้นก็ตกประหม่าสิ้นสติ
ลกลัดอาจารย์ที่สองทูลว่าพี่ข้าพเจ้าก็สิ้นชีวิตแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นเสือ เหตุทั้งนี้คือพวกพระสงฆ์ทำกลวิชาให้เห็นเป็นเสือ ข้าพเจ้าไม่ยอมแพ้จะขอขันทดลอง ผ่าอกควักหัวใจออกให้จงได้ พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังลกลัดเต้าหยินทูลดังนั้นก็ได้สติ จึงเรียกพระสงฆ์มาบอกว่า อาจารย์ที่สองจะรับผ่าอกแก่พวกท่าน ๆ จะรับขันสู้หรือไม่ เห้งเจียทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า นานแล้วไม่ได้กินของสุกด้วยไฟ เมื่อวันก่อนเดินมาตามทางพบผู้มีศรัทธาอ้อนวอนให้กินข้าวแจ ก็ได้รับมาหลายครั้ง ทำให้เจ็บท้องมาหลายเวลาแล้ว จะใคร่ยืมมีดของพระองค์มาผ่าท้องเอาไส้ออกล้างให้สะอาด จะได้ไปไซทีนมัสการพระพุทธเจ้า พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงรับสั่งให้จับเห้งเจียไปยังสนาม เห้งเจียพูดว่าไม่ต้องจับข้าพเจ้าจะไปเอง แล้วเห้งเจียพูดว่าไม่ต้องมัดผูกทั้งสิ้นข้าพเจ้าจะล้างไส้พุงเอง
พูดแล้วก็เข้าพิงกับเสาถอดเสื้อผ้าออก แล้วปลิ้นท้องออกพวกเพชรฆาตก็เอาเชือกผูกรัดตัวเข้ากับเสา แล้วเอามีดสั้นแทงพุงเข้ากรีดแหวะออก เห้งเจียก็เอาสองมือควักไส้พุงตับปอดออกทั้งสิ้น ลำดับเป็นสิ่ง ๆ ไว้สักครู่หนึ่ง แล้วก็เอากลับคืนเข้าที่ไว้ตามเดิม พระเจ้าแผ่นดินได้เห็นดังนั้นก็ตกพระทัย หยิบหนังสือถืออยู่กับพระหัถต์ตรัสว่า พระสงฆ์ผู้วิเศษจงมารับหนังสือไปเถิดช้าไปจะเสียการ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าหนังสือเป็นการเล็กน้อย ขอให้อาจารย์ที่สองออก ไปทดลองตามสัญญาก่อนบ้างให้เห็นจริง พระเจ้าแผ่นดินตรัสแก่ลกลัดอาจารย์ที่สองว่า เหตุการณ์อันนี้มิใช่การของข้าพเจ้า เป็นเพราะอาจารย์ขันทดลอง แก่เธอเอง จงเชิญออกไปทดลองให้ปรากฎเถิด
ลกลัดเต้าหยินทูลว่าขอพระองค์จงวางพระทัยเถิด ข้าพเจ้าไม่ยอมให้แพ้เธอเป็นอันขาด ทูลแล้วเต้าหยินก็เดินไปยังสนาม พวกเพชรฆาตจับตัวมัดเอามีดมาแหวะผ่าท้องออก เต้าหยินสองมือควักล้วงไส้พุงออกแล้ว เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ถอนขนเส้นหนึ่งเป่าไปเป็นนกแร้งตัวหนึ่ง บินโผ ลงมาโฉบเอาไส้พุงได้แล้วก็บินหนีไป ไม่รู้ว่าจะไปกินที่ไหน ในท้องเต้าหยินก็ไม่มีไส้พุงตับไตบัดเดี๋ยวก็ขาดใจตาย พวกเพชรฆาตเข้าแก้มัดออกดู เห็นร่างกายกลายเป็นกวางขาวไป พวกเพชรฆาตแลขุนนางเห็นประหลาดดังนั้นก็ตกใจ จึงนำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน ๆ ได้ทรงทราบดังนั้นก็ยิ่งทรงพระวิตกมากขึ้น ตรัสถามว่าทำไมจึงกลายเป็นกวางไปได้
เอี๊ยวลัดอาจารย์ที่สามทูลว่า พี่ข้าพเจ้าตายแล้วกลายเป็นกวางนั้นชะรอยพระสงฆ์พวกนี้ทำเล่ห์กลฆ่าพวกข้าพเจ้า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าต้องขอแก้แค้นแทนพี่ทั้งสองให้จงได้ พระเจ้าแผ่นดินตรัสถามว่าท่านจะมีวิชาอะไรจึงจะไปขันทดลองแก่เธอเล่า เต้าหยินทูลว่าข้าพเจ้าขอขันสู้ด้วยอาบน้ำมันเดือดร้อน ๆ พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานทำเตาตั้งกะทะใหญ่เอาน้ำมันใส่ติดไฟให้เดือดร้อน แล้วอนุญาตให้ทั้งสองฝ่ายไปทดลองกัน
เห้งเจียทูลว่าข้าพเจ้านี้นานแล้วไม่ได้อาบน้ำล้างตัวเลย มาสองสามวันนี้เนื้อหนังให้แสบคัน มีน้ำมันร้อนดังนี้ชอบใจนัก ครั้นน้ำมันเดือดพล่านแล้วจึงบอกให้เห้งเจียลงไปอาบ เห้งเจียพนมมือถามว่า จะให้อาบซ้ายหรืออาบขวา พระเจ้าแผ่นดินถามว่าอาบซ้ายอย่างไรอาบขวาอย่างไร เห้งเจียทูลว่าซ้ายอาบไม่ถอดเสื้อผ้าลงไปทั้งตัว กลับขึ้นมาเสื้อผ้าก็มิให้เปียกเปื้อน แม้ว่าเปียกเปื้อนสักหยดหนึ่งก็เอาเป็นแพ้ ขวาอาบนั้นต้องถอดเสื้อผ้าแต่ตัวเปล่าลงไปอาบแล้วกลับขึ้น พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสถามเอี๊ยวลัดเต้าหยินว่าท่านอาจารย์จะพอใจให้อาบอย่างไหน เต้าหยินทูลว่าแม้ให้อาบทั้งเสื้อผ้าเกรงจะมียาแก้ร้อน จงให้เธออาบขวาเถิด เห้งเจียก็ยืนขึ้นพนมมือ พูดว่าขออนุญาตให้ข้าพเจ้า เพราะทุกครั้งข้าพเจ้าชิงขึ้นก่อน พูดดังนั้นแล้วก็เดินเข้าไปที่ข้างกะทะถอดเสื้อผ้าออกแล้ว ก็กะโดดลงไปในกะทะดำผุดมุดว่ายกลิ้งเกลือกไปมาดุจอาบน้ำเย็น
โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็กระดิกลิ้นพูดแก่ซัวเจ๋งว่าพวกอ้ายหลงผิดไม่รู้ว่าอ้ายลิงนี้ มันมีอิทธิฤทธิ์เดชามหาอานุภาพอย่างนี้เลย พูดสรรเสริญแก่ซัวเจ๋งอยู่ดังนั้น เห้งเจียเหลือบไปเห็นคนยืนบ่นอยู่ จึงถามว่านั่นพูดนินทาอะไรข้า โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วบอกว่าไมได้พูดอะไรดอก เห้งเจียพูดว่ามีวิชาก็ต้องลำบาก ที่ไม่ดีไม่รู้อะไรมันก็ได้สะบาย แล้วนึกว่าจะทำเล่นดูให้พากันตกใจไม่สบายจึงจะได้ คิดดังนั้นแล้วก็ดำมุดหายอยู่ใต้ก้นกะทะ พวกขุนนางพนักงานเห็นดังนั้น ก็นำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ บัดนี้พวกสงฆ์ลงอาบน้ำมันนั้นถูกน้ำมันเดือดร้อนลวกตายเสียแล้ว พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้นก็มีพระทัยยินดี จึงรับสั่งให้เก็บกะดูกขึ้น พวกพนักงานก็เอาสวิงเหล็กลงช้อนไปช้อนมา สวิงนั้นห่างเห้งเจียแปลงเล็กเท่าเมล็ดพุดซาลอดออกนอกสวิง
พวกขุนนางจึงมากราบทูลว่าพวกพระสงฆ์นั้นกระดูกอ่อนน้ำมันกินละเอียดไปหมดแล้ว จะเอากระดูกก็มิได้ พระเจ้าแผ่นดินรับสั่งว่า ยังอีกสามองค์ให้จับไส่ลงต้มเสีย พวกทหารรักษาองค์เห็นโป๊ยก่ายหน้าตาดุร้ายก็ตรงเข้าจับก่อน พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า ขอพระองค์จงผ่อนให้อาตมภาพสักชั่วโมงหนึ่ง ด้วยสานุศิษย์คนนี้ ตั้งแต่สวามิภักดิ์มา ก็มีความชอบมาก บัดนี้มาทำการข้ามเกินท่านอาจารย์เต้าหยินตายอยู่ในกะทะนั้น อาตมภาพก็ไม่คิดอยากจะเป็นอยู่ แต่ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดให้ข้าวถ้วย เกลือเม็ดหนึ่ง พอได้ในการเซ่นไหว้ที่กะทะนั้นแล้ว อาตมภาพกับศิษย์ก็จะยอมตายตามโทษานุโทษ
พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า เมืองใต้ถังมีคนดีที่มีความกตัญญูมาก จึงรับสั่งให้จัดข้าวเกลือมาให้ตามที่เธอขอร้อง พระถังซัมจั๋งบอกให้ซัวเจ๋งยกไปตั้งที่ข้างกะทะแล้ว ก็จุดธูปเทียนรินสุรารินน้ำแล้ว พระถังซัมจั๋งยืนอยู่ข้างกะทะพรรณาร้องเรียกว่า เห้งเจียตั้งแต่เข้ามาสวามิภักดิ์สมาทานถือฝ่ายพระพุทธศาสนารักษาอาตมภาพจะไปยังไซที มีบุญคุณนั้นลึกล้ำเหลือที่จะคณนา ก็ปราถนาจะให้สำเร็จแก่มรรคผล ไม่รู้เลยว่า จะมาสิ้นชีวิตเสียในเวลานี้ เมื่อเป็นผู้ตั้งจิตอันชอบแล้ว แม้ตายไปก็จงตั้งใจถึงพระพุทธเจ้า อันวิญญาณศักดิสิทธ์ แม้อยู่ไกล้ใกลจงมารับเถิด
โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้น จึงพูดว่าอาจารย์พรรณนาอย่างนั้นไม่ถูกไว้ข้าพเจ้าจะอ้อนวอนเซ่นเอง โป๊ยก่ายก็คุกเข่ากับพื้นบอกให้ซัวเจ๋งรินเหล้าแทน โป๊ยก่ายพูดด้วยโทโสว่า อ้ายหาเหตุอ้ายลิงระยำ อ้ายไม่รู้จักตาย อ้ายเป๊กเบ๊อุน สิ้นชาติลิงเท่านี้ หมดรากเหง้าเป็กเบ๊อุนแล้วอ้ายฉิบหายตายโหงจงมารับเครื่องเซ่นเถิด ฝ่ายเห้งเจียกบดานอยู่ก้นกะทะ ได้ยินโป๊ยก่ายด่าแช่งดังนั้นก็อดไม่ได้ ก็แปลงกลับรูปเดิมผุดขึ้นมายืนกลางกะทะ ถามว่าอ้ายชาติหมู อ้ายกินรำมึงด่าว่าใคร พระถังซัมจั๋งเห็นเห้งเจียก็ดีใจ จึงพูดว่าเห้งเจียอย่าทำให้อาตมภาพตกใจเลย ขุนนางใหญ่น้อยเห็นดังนั้นก็นำความมากราบทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบพวกพระสงฆ์นั้นไม่ตายอยู่ก้นกะทะผุดขึ้นมาแล้ว
ครั้นทูลดังนั้นแล้วก็เกรงจะผิดจึงทูลต่อไปว่า เห็นจะตายแล้ว แต่หากจะเป็นปีศาจกลับผุดขึ้นมาเป็นแน่ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็โกรธ กระโดดออกจากกะทะชักกระบองออกจากหู ตรงมาตีขุนนางพนักงานทีหนึ่งก็น่วมอยู่กับพื้น แล้วพูดว่าเราเป็นลิงเป็นปิศาจที่ไหน ขุนนางเหล่านั้นก็ตกใจรีบแก้มัดโป๊ยก่ายออก ต่างพากันคุกเข่าลงคำนับขอโทษ เจ้าแผ่นดินลงจากพระแท่นจะหนีเห้งเจียเข้ายึดไว้ พูดว่าพระองค์ไม่ต้องหนีจงรับสั่งให้เต้าหยินอาจารย์ที่สามลงกะทะไปอาบน้ำมัน พระเจ้าแผ่นดินไม่เป็นสมประดี พระกายสั่นระริกระรัวไป แข็งพระทัยเรียกว่าพระอาจารย์ช่วยข้าพเจ้าด้วย จงรีบลงกะทะน้ำมันโดยเร็วอย่าให้พระสงฆ์ติข้าพเจ้าเลย
เอึ๊ยวลัดอาจารย์ที่สาม ก็เดินไปยังที่กระทะทำตามอย่างเห้งเจียถอดเสื้อผ้าออกแล้วก็กระโดดลงไปในกระทะ เห้งเจียก็เดินแอบมาที่ข้างกะทะ เอามือจุ่มในน้ำมันดูก็ไม่ร้อนดุจน้ำเย็นฉะนั้น เห้งเจียคิดขึ้นได้ว่าเห็นจะมีเล่งอ๋องที่ไหนมาช่วยเป็นแน่ น้ำนี้จึงได้เย็นไปคิดดังนั้นแล้ว ก็เหาะขึ้นไปบนอากาศร่ายคาถาเรียกเล่งอ๋องสมุทรทิศอุดรมาทันใด ถามว่าทำไมจึงช่วยทำน้ำมันในกะทะให้เย็น อาจารย์เต้าหยินจะเอาชนะเราได้ฉะนี้
เล่งอ๋องตกใจคำนับแล้วพูดว่า ท่านจงทราบเถิดข้าพเจ้ามาช่วยเองไม่ได้ ท่านยังไม่ทราบมันคือสัตว์แพะตั้งความเพียรปฏิบัติได้เปลี่ยนแปลงถอดรูปได้ แต่เธอได้ยินเหงาลุ้ยนั้นจริง นอกนั้นเป็นส่วนไสยศาสตร์ไม่จริง ที่สองคนก่อนใต้เซียได้ทำลายเสียแล้ว ยังอีกคนหนึ่งนี้ มันฝึกเล่งอ๋องทำให้น้ำมันเย็นนั้น มันล่อลวงชาวชนทั้งหลายให้หลงเชื่อมันทั้งสิ้น แม้ว่าข้าพเจ้าเก็บมังกรเย็นเสียแล้ว เนื้อหนังมันก็จะละเอียดไปหมด จะอวดเก่งแก่ใครได้ต่อไปอีกเล่า เห้งเจียจึงสั่งพระยาเล่งอ๋องว่า จงรีบไปเก็บมังกรเย็นเสียโดยเร็ว พระยาเล่งอ๋องก็บันดาลลมพายุลงมาจับมังกรเย็นนั้นกลับไปยังทะเล เห้งเจียก็ลงมายืนอยู่ริมกะทะน้ำมันคอยพิจารณาดู
ฝ่ายเต้าหยินอยู่ในกะทะกลิ้งเกลือกโลดเต้นไปมา ประเดี๋ยวก็ล้มลงหนังเนื้อก็ลอกออกทั้งสิ้น พวกขุนนางพนักงานเห็นดังนั้น ก็นำความขึ้นกราบทูลว่า บัตรนี้อาจารย์ที่สามนั้นตายในกระทะน้ำมันแล้ว
(บทที่ ๔๗)
พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงทราบดังนั้น ก็ตบโต๊ะเสียพระทัยทรงพระกันแสงยิ่งนัก เห้งเจียเห็นดังนั้น ก็เข้ามาใกล้ร้องขึ้นไปด้วยเสียงอันดังว่า พระองค์ทำไมจึงได้เศร้าโศกเสียพระทัยอย่างนี้เล่า อันอาจารย์ทั้งสามนั้นมันเป็นสัตว์อยู่ป่าเขา เพราะได้สำเร็จในการเปลี่ยนแปลงกายได้ต่าง ๆ พระองค์ก็ได้เห็นชัดด้วยพระเนตรของพระองค์แล้ว จะมาเศร้าโศกเสียใจร้องไห้ไปทำไม อ้ายพวกปีศาจร้ายเหล่านี้มันคิดจะมาฆ่าท่าน ๆ ยังมิได้รู้สึกเลย หากข้าพเจ้ากำจัดมันเสียก่อน มิฉะนั้นราชสมบัติของพระองค์ ก็จะตกอยู่ในเงื้อมมือพวกปีศาจร้ายทั้งสิ้น พระองค์อย่าทรงพระกรรแสงไปเลย จงรีบขอหนังสือเดินทางให้ข้าพเจ้าไปโดยเร็วเถิด
พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังเห้งเจียทูลดังนั้น แลขุนนางซ้ายขวาก็กราบทูลพร้อมกันว่า ซึ่งท่านเห้งเจียกราบทูลดังนี้ ย่อมเป็นความจริงทุกประการ ขอพระองค์จงเชื่อฟังถ้อยคำเห้งเจียเถิด จึงพระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า ถ้ากระนั้น เวลานี้ก็จวนจะค่ำอยู่แล้ว ขอจงรอพักอยู่พอให้ข้าพเจ้าตอบแทนพระคุณท่านบ้าง จึงรับสั่งให้ขุนนางพาพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ไปพักอยู่ที่จัดตี้เอียมยี่ พรุ่งนี้จึงค่อยจัดแจงเลี้ยงสนองพระเดชพระคุนท่านทั้งสี่สักครั้งหนึ่ง ครั้นวันที่สองพอได้เวลาพร้อมขุนนางน้อยใหญ่เข้าเฝ้า จึงรับสั่งให้ร่างหนังสือ ประกาศ นิมนต์พระสงฆ์ที่หลบหนีไปนั้น ให้กลับมาอยู่ตามวัดวาอารามของตนๆ ตามเดิม และให้จัดเครื่องโต๊ะถวายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสาม ยังจัดตี้เอียมยี่ ครั้นเจ้าพนักงานจัดการตามรับสั่งแล้ว พระเจ้าแผ่นดินกับขุนนางข้าราชการก็พร้อมกันไปยังวัดตี้เอียมยี่ถวายเครื่องแจแก่พระถังซัมจั๋ง นอกนั้นก็เลี้ยงตามธรรมดา
ฝ่ายพระสงฆ์ที่เห้งเจียปล่อยให้หนีไปนั้น เมื่อได้ทราบประกาศก็มีความยินดี พากันกลับมายังวัดวาอารามตามเดิม แลไปหาเห้งเจียเพื่อจะคืนขนเพชรที่เห้งเจียให้ไปคุ้มตัวนั้น ทั้งจะได้ขอบคุณเห้งเจียด้วย เวลาเมื่อพระถังซัมจั๋งฉันแล้ว เจ้าเมืองเซียตี้ก๊ก จึงเปลี่ยนหนังสือเดินทางมอบให้พระถังซัมจั๋งไป พระถังซัมจั๋งรับหนังสือแล้วก็คำนับลาพระเจ้าแผ่นดิน ๆ พร้อมด้วยขุนนางก็ตามส่งพระถังซัมจั๋งจนออกนอกประตูเมือง เมื่อขณะเดินมานั้น ตามหนทางมีหลวงจีนคุกเข่าเคารพอยู่เต็มไปทั้งสองข้างทาง ปากก็ร้องว่าพระผู้เป็นเจ้ามาแล้ว พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเหล่านี้ คือที่ท่านปล่อยให้หนีไปนั้นได้ทราบว่าท่านกำจัดปีศาจที่ดุร้ายราบคาบแล้ว พวกข้าพเจ้ามีความยินดีรีบนำขนเพชรมาคืนให้แก่ท่านและขอเคารพขอบพระเดชพระคุณของท่านด้วย
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วถามว่าพวกท่านมาพร้อมกันแล้วหรือ หลวงจีนเหล่านั้นตอบว่า มาพร้อมกันทั้งห้าร้อยไม่ขาด เห้งเจียก็เรียกขนเพชรกลับคืนเข้ากาย แล้วทูลแก่พระเจ้าแผ่นดินเซียตี้ก๊กว่า หมู่หลวงจีนทั้งหลายเหล่านี้ข้าพเจ้าได้ปล่อยให้หนีไป และสิ่งของทั้งหลายที่อาจารย์ทั้งสามทำไว้ ข้าพเจ้าก็พังทำลายเสียทั้งสิ้น และพวกศิษย์ทั้งหลายของอาจารย์เต้าซือที่ให้ออกมาดูการนั้น ข้าพเจ้าก็ตีตายเสียทั้งสองคน บัดนี้พวกเหล่าร้ายก็สงบแล้ว เห็นจริงในส่วนธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นทางอันชอบแท้ ต่อนี้ไปท่านจงตั้งอยู่ในพระไตรสรณาคมณ์ อย่ามีความเคลือบแคลงสงสัยต่อไป และให้มีเมตตาปราณีแก่สมณะชีพรามณ์อาณาประชาราษฎรของพระองค์ ให้ได้รับความร่มเย็นเปนสุข อย่ามีความฟุ้งซ่านกลับเป็นมิจฉาทิฐิเห็นผิดเป็นชอบ บ้านเมืองของพระองค์จะได้รุ่งเรืองวัฒนากาล
เจ้าแผ่นดินเซียตี้ก๊กได้ฟังเห้งเจียให้โอวาทตักเตือนดังนั้น ก็มีความขอบคุณยิ่งนัก ครั้นเสร็จการสนทนากันแล้ว พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามก็ลาไป เจ้าเมืองเซียตี้ก๊กก็ยืนรออยู่จนพระถังซัมจั๋งไปลับตาแล้วจึงพาขุนนางกลับเข้าเมือง อ่านต่อ_
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น