
(บทที่ ๕๕)
เวลานั้นเห้งเจียจะร่ายคาถาทำจังงังให้หมู่หญิงชาวเมืองไซเหลียงก๊ก ยืนอยู่ที่เดียวก็ยังหาทันไม่ พอได้ยินเสียงซัวเจ๋งร้องโวยวายขึ้น เห้งเจียหันไปถามว่าอะไรกัน ซัวเจ๋งบอกว่ามีหญิงผู้หนึ่งทำเป็นม้วนลมพายุ หอบเอาพระอาจารย์ไปแล้ว เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็เหาะขึ้นกลางเวหาแลไปดูทั้งสิบทิศก็เห็นข้างทิศอุดรมีม้วนลมกลุ้ม ๆ ลิ่ว ๆ ไป เห้งเจียเห็นแล้วก็กลับหน้ามาเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่า จงรีบตามเราไปตามอาจารย์โดยเร็ว โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็เก็บของวางบนหลังม้าเสร็จแล้ว จึงหากันเหาะตามเห้งเจียมา
ฝ่ายพวกหญิงชาวเมืองไซเหลียงก๊กแลเห็นเหาะเหินเดินอากาศไปได้ดังนั้น ต่างคนก็คุกเข่าลงคำนับกับพื้นทำเคารพทุก ๆ คน แล้วพูดว่ามีอภินิหารบารมีเหาะเหินเดินอากาศได้ดังนี้ ชะรอยจะเป็นพระอรหันต์แน่ไม่ต้องสงสัยเลย ท่านน้องพระเจ้าแผ่นดินถังนั้นมีบารมีแก่กล้า พวกเรามีแต่นัยน์ตาไม่มีแก้วตาจึงได้คิดผิดไปดังนี้ หมายใจเสียว่าเหมือนมนุษย์ธรรมดา จึงได้เสียเวลาคิดป่วยการเปล่า ๆ ขอเชิญพระแม่เจ้าขึ้นสู่ราชรถกลับเข้าพระนครเถิด พระราชเทวีเมื่อได้พระสติก็ให้นึกละอายแก่พระทัย จึงพร้อมด้วยขุนนางใหญ่น้อย บ่ายหน้าราชรถคืนกลับเข้าสู่พระนคร
ฝ่ายเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งเหาะไล่ตามม้วนลมนั้นมา ถึงภูเขาสูงอันหนึ่งก็เห็นม้วนลมนั้นเงียบสงบลง ก็หาได้รู้ว่าปีศาจนั้นจะไปข้างไหนไม่ พี่น้องทั้งสามคนก็พากันลดลงยังยอดเขา เที่ยวค้นหาแลไปข้างหน้าก็เห็นแห่งหนึ่ง มีศิลาสีเขียวตั้งอยู่มีแสงระยับสว่างไสวดุจแผ่นกระจกลับแล พ้นแผ่นศิลาเข้าไปข้างหลังนั้น มีบานประตูศิลาปิดงับอยู่บนขวางประตูมีอักษรใหญ่หกตัว คือเขาต๊อกตี๊ซัวถ้ำปี้แป้ต๋อง
โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ตรงเข้ามาจะเอาคราดเหล็กสับ เห้งเจียห้ามว่าน้องอย่าเพิ่งทำก่อน เพราะเราตามม้วนลมมาก็หารู้แน่ไม่ น้องทั้งสองจงพักอยู่ที่นี่สักประเดี๋ยว พี่จะเข้าไปสืบความดู ให้ได้ความก่อนแม้ว่าได้ความแล้วประการใดเราจึงค่อยคิดอ่านต่อไป โป๊ยก่ายซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียก็รอคอยที่นั่น เห้งเจียก็แปลงเป็นแมลงผึ้งตัวน้อยบินลอดเข้าไปในประตูถึงชั้นที่สอง แลไปเห็นหญิงนั่งอยู่บนแท่นผู้หนึ่ง สองข้างมีหญิงรูปร่างสวยกำลังรุ่นสาว ยืนเรียงรายสองแถว พากันหัวเราะโดยไม่รู้เหตุ เห้งเจียค่อย ๆ บินเข้าไปใกล้จับอยู่บนขื่อคอยแอบฟังเหตุการณ์ ประเดี๋ยวก็เห็นหญิงผมยาวคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน สองมือประคองถาดออกมา ในถาดนั้นมีของกินสองอย่างกำลังร้อน ๆ เดินขึ้นมาที่นางนั่งพูดว่า ขอแม่นางได้ทราบของกินสองสิ่งนี้ สิ่งหนึ่งแกงเนื้อคนสิ่งหนึ่งเป็นของเครื่องแจ
ตอน เรื่องวุ่นๆในเมืองแม่หม้าย ปิศาจแมงป่อง (ช่วงที่2)
นางปิศาจได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มอยู่ในหน้า จึงสั่งว่าพวกเจ้าจงเข้าไปพยุง ท่านพระถังซัมจั๋งออกมานี่ พวกหญิงบริวารเหล่านั้นก็พากันเข้าไปพะยุงพระถังซัมจั๋งออกมา เห้งเจียเห็นพระอาจารย์มีสีหน้าเหลืองสองตาแดงเหมือนร้องไห้ เห้งเจียนึกแต่ในใจว่า อาจารย์เราเห็นจะถูกยาแฝดเสียแล้ว ฝ่ายนางปีศาจยักษ์เห็นคนพยุงพระถังซัมจั๋งออกมา ก็ลงจากแท่นจับมือพระถังซัมจั๋งไว้แล้วจึงพูดว่า ท่านจงวางใจเถิดอย่าทุกข์โทมนัสเศร้าโศกไปให้ป่วยการเลย อันความบริบูรณ์มั่งมีศรีสุขสู้เมืองไซเหลียงก๊กไม่ได้ก็จริง แลความสำราญเงียบสงัดที่นี่ดีกว่า จะภาวนาสวดมนต์ก็เป็นที่สะอาดใจ ท่านกับข้าพเจ้าจงเป็นเพื่อนยากกันกว่าชีวิตจะหาไม่เถิด
พระถังซัมจั๋งได้ฟังนางปีศาจยักษ์พูดเกี้ยวพานดังนั้น ก็มิได้โต้ตอบประการใด นางปีศาจจึงพูดต่อไปว่าท่านอย่ามีความเศร้าหมองเลย เมื่อเลี้ยงโต๊ะที่เมืองไซเหลียงก๊กในเวลานั้นข้าพเจ้าก็อยู่ แต่ไม่เห็นว่ายื่นให้ซึ่งของกิน มาบัดนี้ข้าพเจ้ามีของกินสองอย่าง คือ แจแลโช ตามแต่ท่านจะประสงค์เถิด พระถังซัมจั๋งนึกในใจว่าแม้ว่าเราไม่พูดจาโต้ตอบ อันหญิงปีศาจนี้หาเหมือนนางกระษัตริย์ไม่ นางยังมีธรรมเนียมะนุษย์ อันปีศาจนี้มันเป็นยักษ์มารร้ายกาจ แลอีกประการหนึ่งศิษย์ทั้งสามก็ยังไม่รู้เหตุการณ์ว่ามาตกทุกข์ได้ยากอยู่ที่นี่ไม่ บางทีปีศาจมันจะคิดหักหาญทำร้ายเราก็จะเสียซึ่งชีวิต คิดดังนั้นแล้วก็อุตส่าห์ออกวาจาตอบว่าอันของสองอย่างนั้น เรียกว่าแจเป็นอย่างไร โชเป็นอย่างไรข้าพเจ้าอยากทราบ นางปีศาจบอกว่าของแจทำต้มแกงไม่มีเนื้อสัตว์ ของโชนั้นต้มแกงด้วยเนื้อมนุษย์ พระถังซัมจั๋งพูดว่าอาตมภาพเคยฉันแต่ของแจ
นางปีศาจได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วเรียกสาวใช้ให้ยกน้ำร้อนน้ำชามา พวกคนใช้ก็ยกน้ำร้อนมาตั้งไว้ตามสั่ง นางปีศาจก็หยิบของแจยื่นส่งให้พระถังซัมจั๋งฉัน พระถังซัมจั๋งหยิบของโชส่งให้นางปีศาจ ต่างยื่นส่งกันไปมากินตามสบาย ฝ่ายเห้งเจียเป็นแมลงผึ้งจับอยู่บนขื่อ เห็นพระถังซัมจั๋งกับนางปีศาจพุดจาปราศรัยกันดังนั้น ก็วิตกกลัวว่าพระอาจารย์จะฟุ้งซ่านลุ่มหลงไป เห้งเจียอดไม่ได้ก็กลายกลับเป็นรูปเดิม ชักตะบองโดดลงมาร้องว่าอีมารร้ายมึงอย่าทำเล่ห์กลหลอกอาจารย์กูเลย นางปีศาจเห็นดังนั้นก็ตกใจ พ่นสายไฟออกจากปากมืดไปหมดทั้งถ้ำ เรียกสาวใช้ให้พาพระถังซัมจั๋งไปเก็บไว้ยังเดิม
แล้วนางปีศาจก็จับพลองเหล็กกระโดดออกมายังหน้าประตูถ้ำ ด่าว่าอ้ายลิงมึงถืออย่างไรจึงอาจสามารถแอบเข้ามาในถ้ำของกู มึงมาต่อสู้แก่กูให้เห็นฝีมือกัน เห้งเจียเอาตะบองเหล็กขึ้นรับค่อยรบรอถอยมาจากถ้ำ ฝ่ายโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง นั่งคอยอยู่หน้าถ้ำ แลไปเห็นคนทั้งสองกำลังต่อสู้กันออกมา โป๊ยก่ายสองมือจับคราดกระโดดมาร้องว่าพี่ขยับถอยไปก่อน ข้าพเจ้าจะสับอีมารด้วยคราดสักทีหนึ่ง
นางปีศาจเห็นโป๊ยก่ายว่าจะเข้ามาทำร้าย จึงแผลงฤทธิ์ให้ไฟออกจากรูจมูกเป็นควันกลุ้มไม่แลเห็นอะไร แล้วบันดาลให้พลองนั้นบินแกว่งมาบนอากาศตีกระหนาบไม่รอรั้ง จนไม่รู้ว่าปีศาจจะมีสักกี่มือ เห้งเจียโป๊ยก่ายรอรับอยู่คนละข้าง นางปีศาจจึงพูดว่าหงอคงทำไมจึงไม่รู้เหตุการณ์ เราจำเจ้าได้เจ้าจำเราไม่ได้หรือที่วัดลุ่ยอิมยี่พระยูไลยังกลัวเรา ทำไมกับเจ้าอ้ายชาติสัตว์เดรัจฉานสองตนเท่านี้จะไปถึงไหน เห้งเจียโป๊ยก่ายรบแก่นางปีศาจหลายชั่วโมงก็ไม่แพ้ชนะกัน ฝ่ายนางปีศาจก็ร่ายเวทบันดาลเป็นสากตำเข้าบินมา เห้งเจียไม่ทันรู้ตัวสากตกถูกกลางกระหม่อมทีหนึ่ง เห้งเจียร้องโอยก็ถลาถอยหนี โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ลากคราดถอยหนีไปเหมือนกัน ฝ่ายนางปีศาจมีชัยชนะแล้วกลับเข้าถ้ำ ฝ่ายเห้งเจียถูกสากเจ็บปวดก็ประคองศรีษะหน้านิ่วคิ้วย่นเหลือจะทนได้ ออกปากร้องว่าร้ายแรง
โป๊ยก่ายถามว่า กำลังรบกันอยู่ทำไมพี่จึงร้องขึ้นและกอดหัววิ่งหนีกลับมาดังนี้เล่า เห้งเจียประคองศรีษะร้องว่าเจ็บเหลือทน แล้วพูดว่าเพื่อเวลากำลังรบแก่ปีศาจมันเห็นเพลงอาวุธจวนจะแพ้เรา ไม่รู้ว่ามันแผลงฤทธิ์ด้วยประการใด บินมาถูกศรีษะเราทีหนึ่งเจ็บปวดเหลือจะทนได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องล่าหนี โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า เพื่อเวลามิได้รบพุ่งแก่ใคร พี่พูดอวดว่าศรีษะของพี่ปลุกเสกประกอบด้วยธรรมอันเชี่ยวชาญแก่กล้า ถ้าจริงดังนั้น ทำไมจึงไม่คุ้มไว้ได้ ให้ถูกเจ็บอย่างนี้ทำไมเล่า เห้งเจียว่า อันความที่เล่าเรียนวิชาการที่คุ้มภัยก็ได้จริงเหมือนกัน ซึ่งเป็นมีดพร้าหรือหอกดาบ แหลนหลาวและไฟเผาสารพัดก็ไม่เป็นอันตรายจริง มาวันนี้นางปีศาจนี้ ไม่รู้ว่ามันเอาสิ่งไรทำให้เราได้ความเจ็บปวดเหลือทนดังนี้
โป๊ยก่ายว่าถ้าดังนั้นเรากลับไปเมืองไซเหลียงก๊กหายาให้พี่ ปิดแก้ปวดเห็นจะดี เห้งเจียพูดว่าไม่มีบาดแผลและไม่บวมช้ำจะปิดยาอย่างไรได้ โป๊ยก่ายพูดว่าเพื่อข้าพเจ้ามีท้องจนท้องยุบเจ็บปวดก็ยังไม่เจ็บถึงสมอง ซัวเจ๋งพูดว่าพี่โป๊ยก่ายอย่าพูดเล่นให้เสียเวลา ด้วยเวลาก็จวนจะค่ำอยู่แล้ว พี่เห้งเจียได้ความเจ็บปวด ทั้งพระอาจารย์ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นตายประการใด จะคิดอย่างไรดี เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์อยู่ในถ้ำคงไม่เป็นไรอย่าวิตก เราพักพี่ชายเขาสักคืนหนึ่ง พอรุ่งแจ้งจึงค่อยคิดการต่อไป พูดดังนั้นแล้วทั้งสามคนก็พาค้นหาที่พักเป็นปรกติแล้วก็นอน
ฝ่ายนางปีศาจ ครั้นได้ชัยชนะแล้ว กลับเข้าไปในถ้ำก็ทำใจดีรื่นเริงอ่อนน้อมไม่ดุร้าย สั่งให้พวกคนใช้ปิดประตูชั้นนอกให้มั่นคง สั่งให้นั่งยามอยู่สองคนคอยระวังผลัดเปลี่ยนกัน และสั่งให้สาวใช้ปัดกวาดเตียงนอนจุดโคมไฟขึ้นให้สว่างไสว คืนวันนี้เรากับท่านพระอนุชาเมืองใต้ถังจะมีความรื่นเริงกัน พวกสาวใช้ก็จัดการตามนางปีศาจสั่งทุกประการ ครั้นจัดเสร็จแล้ว ก็พากันเข้าไปข้างในพยุงพระถังซัมจั๋งมาที่นาง ฝ่ายนางปีศาจทำกิริยายียวนเล้าโลมจับมือพระถังซัมจั๋ง แล้วพูดว่า ท่านกับข้าพเจ้าจงเป็นสามีภรรยากันอย่ามีความรังเกียจแต่อย่างใดเลย พระถังซัมจั๋งเมื่อได้เห็นปีศาจทำกิริยาอาการแลพูดจาดังนั้นตกประหม่าหน้าไม่มีสีโลหิต คิดแต่ในใจว่า แม้เราจะขัดขืนมิตามใจมัน ๆ ก็จะฆ่าเราเสีย อย่าเลยจำจะต้องผ่อนผันไปตามการ คิดแล้วก็เดินตามนางเข้าไปในห้อง
เวลานั้นพระถังซัมจั๋งดุจบ้าใบ้ไม่เป็นสติสมประดี มิได้เงยหน้าแลดูสิ่งใด ครั้นเข้าในห้องสองต่อสองแล้ว นางปีศาจก็ทำกิริยาลูบคลำจับต้องโดยจิตอันกำหนดในกามราคะ แต่พระถังซัมจั๋งมิได้มีความยินดีนั่งนิ่งสำรวมจิตมิได้มีความปฏิพัทธ์เกี่ยวข้องในกามคุณ นางปีศาจก็เล้าโลมกอดรัดหวังจะให้ความกำหนัดแห่งพระถังซัมจั๋งกำเริบขึ้น แต่พระถังซัมจั๋งก็นั่งนั่งอยู่เหมือนบ้าใบ้ไม่แสดงความกำหนัดเสน่หา ในทางอสัทธรรมสังวาสจนเวลาล่วงเข้ายามสาม นางปีศาจมีความกำหนัดเร่าร้อนไปด้วยเพลิงราคะ เข้ากอดปล้ำทำประการ ใด ๆ พระถังซัมจั๋งก็สภาวะนิ่งอยู่มิได้กำเริบ นางปีศาจสุดที่จะคิดเพราะเป็นสตรี เมื่อบุรุษไม่ยินดีแล้ว ก็ไม่สามารถจะให้สำเร็จความประสงค์ของตนได้ จึงเรียกสาวใช้ให้เอาเชือกมามัดผูกพระถังซัมจั๋ง ดุจมัดคชสารและราชสีห์แล้วก็สั่งให้ลากลงไปที่ระเบียง พวกคนใช้ก็กระทำตาม นางปีศาจจึงให้ดับโคมไฟนอน
ฝ่ายเห้งเจียพักอยู่ที่ข้างเขา พอตื่นรู้สึกก็เรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งแล้วพูดว่า เมื่อเวลากลางคืนเจ็บปวดศรีษะ เวลานี้ความเจ็บปวดก็หายแล้ว โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า แม้ว่าหายดีแล้วก็ให้มันลองดูอีกสักทีหรือจะเป็นอย่างใดอีกบ้าง เห้งเจียว่าเลิกเสียเถิดอย่าเอามาพูดอีกเลย โป๊ยก่ายว่าทิ้งอาจารย์เสียคืนหนึ่งแล้วไม่ทราบว่าจะเป็นประการใด ซัวเจ๋งพูดว่าสว่างดีแล้วจะรีบไปกำจัดปีศาจเสียให้จงได้ จะได้แก้เอาพระอาจารย์ออกมา เห้งเจียว่าน้องจงคอยพี่อยู่ที่นี่สักประเดี๋ยวพี่กับโป๊ยก่ายจะไปดูลาดเลาก่อน พูดดังนั้นแล้วก็พร้อมด้วยโป๊ยก่ายรีบเดินขึ้นไปบนถ้ำ ครั้นเห้งเจียขึ้นไปถึงจึงสั่งโป๊ยก่ายให้รอคอยอยู่ที่หน้าถ้ำก่อน วิตกว่าเมื่อคืนนี้ปีศาจมันจะทำแก่พระอาจารย์ประการใดก็ยังไม่รู้ได้ พี่จะเข้าไปฟังดูให้รู้แน่ใจก่อน พูดดังนั้นแล้วก็แปลงกายเป็นแมลงผึ้งบินเข้าในถ้ำ ถึงประตูชั้นในแลเห็นคนนั่งยามอยู่สองคน มือถือเกราะนอนหลับอยู่ข้างประตู เห้งเจียก็บินเข้าไปยังห้องนางปีศาจที่นอนอยู่
ฝ่ายนางปีศาจเวลากลางคืนอดนอนจึงได้หลับอยู่จนสายยังหาตื่นไม่ เห้งเจียก็ค่อย ๆ บินเข้าไปข้างในได้ยินเสียงพระอาจารย์ แลไปก็เห็นต้องมัดอยู่ดุจเขามัดสุกรนอนอยู่ข้างบันใด เห้งเจียก็บินลงมาใกล้ร้องเรียกพระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งได้ยินเสียงก็จำได้ว่าเห้งเจีย จึงเรียกว่าเห้งเจียจงรีบมาช่วยชีวิตเราด้วยเถิด เห้งเจียถามว่าเมื่อคืนนี้รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง พระถังซัมจั๋งตอบว่า การประเวณีแล้วก็ตายเสียดีกว่า เพราะไม่ยินดีด้วยกับมัน ๆ จึงได้มัดไว้ทรมานทรกรรมอย่างนี้ เวลานั้นอาจารย์กับศิษย์กำลังพูดกันอยู่นางปีศาจรู้สึกได้ยินเสียงว่าจะไปอาราธนาพระธรรมก็ตกใจตื่นขึ้น แม้นางปีศาจทำทรมานพระถังซัมจั๋งก็จริง แต่ใจนั้นยังมีความเสน่หาอาลัยพระถังซัมจั๋งอยู่มาก นางปีศาจได้ยินว่าจะไปก็รีบลงมาจากเตียงเดินเข้ามาที่มัดพระถังซัมจั๋งไว้ แล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า อยู่เป็นผัวเมียกันไม่ดีหรือ จะไปอาราธนาพระธรรมทำไมให้ลำบาก
เห้งเจียได้เห็นดังนั้นก็รีบบินออกจากอาจารย์มาบอกแก่โป๊ยก่ายว่า อาจารย์ท่านไม่ยอมตามใจนางปีศาจ เพราะฉะนั้นมันจึงทรมานมัดท่านไว้ เมื่อกี๊พี่กำลังพูดอยู่กับพระอาจารย์ มันตกใจตื่นขึ้นพี่จึงต้องรีบหนีมา โป๊ยก่ายถามว่า อาจารย์ได้พูดอะไรบ้างหรือ เห้งเจียบอกว่าพระอาจารย์ เธอพูดว่าตายเสียดีกว่าที่จะให้พรหมจรรย์เศร้าหมอง โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็หัวเราะ ชมว่าดี ๆ พระอาจารย์เราเป็นพระแท้ พี่น้องเราจึงพร้อมใจกันช่วยเธอให้ออกพ้นทุกข์ โป๊ยก่ายสองมือจับคราดเต็มกำลังสับกระชากประตูศิลาก็พังลงกระจายสามสี่ก้อน ฝ่ายพวกเฝ้าประตูกำลังนอนหลับก็ตกใจตื่น เห็นดังนั้นก็วิ่งเข้าไปบอกแก่นางปีศาจว่า อ้ายรูปชั่วร้ายทั้งสองคนมาอีกแล้ว
นางปีศาจได้ฟังดังนั้น ก็จับอาวุธพลองรีบเดินออกมายังประตูถ้ำ ร้องด่าว่าอ้ายสัตว์ลิงสัตว์หมูมึงอายุมากเสียเปล่า ๆ ไม่รู้จักขนบธรรมเนียม ทำไมจึงบังอาจมาทำลายประตูถ้ำของเราเสียดังนี้ควรหรือ โป๊ยก่ายได้ฟังนางปีศาจพูดดังนั้นก็ด่าว่าอีมารร้าย มัวเมาละโมบเต็มไปด้วยกามราคะท่วมกระบาลชาติสามารไม่มีดี มึงจะขับเขี้ยวอาจารย์กูให้ร่วมรักแก่มึงทำให้พรหมจรรย์เศร้าหมอง ครั้นไม่ตามใจมึง ๆ ก็ทำทรมานทรกรรมต่าง ๆ มึงจะตกนรกหมกไหม้ใต้เถรเทวทัตมิได้รู้กลับมาเกิดในที่ดีอีกต่อไปแล้ว มึงจงรีบส่งอาจารย์ของกูออกมากูจะยกโทษให้มึงไว้ชีวิตไม่ฆ่าฟัน แม้ดื้อดึงขัดขวางอยู่ไม่กระทำตามกูว่า กูจะพังรื้อทั้งภูเขาให้ทะลายลงมิให้มึงตั้งรังอยู่ได้ต่อไป
นางปีศาจได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น ก็เตรียมตัวร่ายเวทเหมือนครั้งก่อน ไฟก็พุ่งออกจากรูจมูก มือถืออาวุธเข้าตีโป๊ยก่าย ๆ จับคราดยกขึ้นสับปีศาจ เห้งเจียเอาตะบองเหล็กเข้าระดมตี ปีศาจ นางปิศาจก็แผลงฤทธิ์ออกไม่รู้ว่ากี่มือ รับซ้ายรับขวาต่อสู้กันประมาณได้ห้าสิบเพลง โป๊ยก่ายถูกอาวุธที่ปากได้ความเจ็บปวดก็ถอยหนี เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หวาดวิตกกลัวปีศาจ จึงได้ถอยหนีตามโป๊ยก่ายไป ฝ่ายนางปีศาจมีชัยแล้วก็กลับเข้าถ้ำ สั่งพวกบริวารให้เอาศิลาก้อนใหญ่ ๆ ซ้อนกันปิดปากถ้ำให้มั่นคง ฝ่ายซัวเจ๋งอยู่ที่ชายเขาปล่อยม้าให้กินหญ้า ได้ยินเสียงหมูร้องอยู่ที่ไหนก็ยังไม่เห็นตัว ครั้นแลไปก็เห็นโป๊ยก่ายยกปากวิ่งหนีมา ซัวเจ๋งถามว่านั่นเป็นอะไร โป๊ยก่ายบอกว่าไม่เป็นการเจ็บปวดเหลือทน เห้งเจียวิ่งถามตามมาทันหัวเราะว่าเมื่อวานนี้แช่งข้าหัวบวมวันนี้ปากเจ้าบวม
โป๊ยก่ายครางร้องว่าเหลือทน พี่น้องทั้งสามกำลังคร่ำครวญแลไปเห็นยายเฒ่าผู้หนึ่ง มือซ้ายถือตะกร้าๆ หนึ่งเก็บผักเดินมาทางทิศอาคเนย์ ซัวเจ๋งชี้มือว่าพี่ยายเฒ่าที่ไหนเดินมาโน่นแน่ เห้งเจียหันไปดูก็เห็นบนศรีษะมีรัศมีปกคลุมอยู่ เห้งเจียจำได้ว่าพระโพธิสัตว์จึงร้องเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมานมัสการว่าพระโพธิสัตว์มาแล้ว ฝ่ายพระโพธิสัตว์เหาะขึ้นบนอากาศ กลับเป็นรูปเดิมของพระโพธิสัตว์ เห้งเจียเหาะตามขึ้นไปนมัศการบอกว่า พวกข้าพเจ้ามัวต่อสู้แก่ปีศาจไม่ทันจะมารับท่าน ขอได้โปรดอภัยแก่พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด บัดนี้พวกข้าพเจ้ามาถูกมารร้ายยากที่จะปราบลงได้ พระโพธิสัตว์บอกว่าสัตว์ตนนี้มันมีฤทธิ์ร้ายแรงนัก ที่มันต่อยคนให้เจ็บปวดนั้นคือปลายหางของมัน ตัวมันเป็นปีศาจแมลงป่องเพราะฉะนั้นมันจึงมีพิษที่ปลายหาง เมื่อก่อนอยู่ที่วัดลุ่ยอิมยี่ฟังพระแสดงธรรม พระยูไลแลเห็นไม่ชอบก็เอามือปัดมันไป มันหวนกลับต่อยนิ้วหัวแม่มือพระยูไลเจ็บปวดเหลือจะทน พระยูไลให้เทพบุตรกิมกังจับมัน ๆ หนีมาซ่อนอยู่แห่งนี้
ท่านอยากจะให้อาตมาช่วยอาตมาเข้าใกล้ไม่ได้ แม้ว่าจะช่วยได้ก็รีบไปหาดาวเทพบุตรเบ๊ายิดแชกุน อยู่ข้างทิศบูรพาชั้นดาวดึงส์นั้นลงมา นั่นแลจึงจะปราบได้โดยง่าย พระโพธิสัตว์บอกให้เห้งเจียแล้วก็อันตรธานหายไป เห้งเจียครั้นพระโพธิสัตว์ไปแล้ว ก็กลับลงมาบอกแก่โป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่า พระอาจารย์เรามีดาวช่วยไม่เป็นไร พระโพธิสัตว์ท่านชี้แจงให้พี่ไปบนสวรรค์เชิญดาว เบ๊ายิดแชกุนให้ลงมาปราบปีศาจจึงจะได้ พี่จะรีบไปพูดแล้วก็เหาะไปยังดาวดึงส์ เห้งเจียตรงเข้าไปยังตำหนักก้วงเม้งเกง เวลานั้นท่านเบ๊ายิดแชกุนไม่อยู่ เพราะให้ไปตรวจชั้นฟ้าเห้งเจียเห็นไม่อยู่จะถอยกลับออกมา แลไปเห็นพลทหารยืนเป็นแถวข้างหลังนั้น ท่านเบ๊ายิดแชกุนกลับมา แล้วเห้งเจียกระทำคำนับ
เบ๊ายิดแชกุน เห็นเห้งเจียก็คำนับตอบแล้ว ถามว่าท่านใต้เซียจะไปข้างไหนหรือ เห้งเจียตอบว่า ข้าพเจ้ามาหาจินแสไปช่วยอาจารย์ข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่ง เบ๊ายิดแชกุนถามว่าจะให้ช่วยธุระอย่างไรหรือ บัดนี้อยู่ในที่ตำบลใด เห้งเจียบอกว่า อยู่ที่เมืองไซเหลียงก๊กตำบลเขาต๊อกติ๊ซัวถ้ำบี้แป้ต๋อง พระโพธิสัตว์กวนอิมท่านเสด็จมาบอกให้ว่านางปีศาจนั้นมันเป็นแมลงป่อง ชี้ให้ข้าพเจ้ามาหาท่านจึงจะปราบได้ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาขอเชิญท่านไปช่วยอาจารย์ข้าพเจ้า
เบ๊ายิดแชกุนพูดว่า จะเข้าไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ก็จะช้าการไป ท่านใต้เซียมาถึงนี่แล้ว ทั้งพระโพธิสัตว์ก็ได้ชี้มาแล้ว ก็ไม่อาจขัดได้ ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าจะไปพร้อมกับท่านให้ทันเวลา เห้งเจียมีความดีใจพร้อมกันกับเบ๊ายิดแชกุน ออกจากประตูสวรรค์ตังทีหมึงเหาะมายังเขาต๊อกติ๊ซัว ครั้นถึงก็พากันลงยังยอดเขาเดินตรงมาที่หน้าถ้ำ ซัวเจ๋งแลไปเห็นก็ร้องเรียกโป๊ยก่ายว่า พี่เห้งเจียไปเชิญเบ๊ายิดแชกุนมาแล้ว โป๊ยก่ายแหงนหน้าพูดว่า อย่าถือข้าพเจ้าเลยเป็นคนป่วยไข้ เบ๊ายิดแชกุนถามว่า ท่านมีความป่วยเจ็บประการใดหรือ โป๊ยก่ายบอกว่าเมื่อวานนี้ไปรบกับนางปีศาจ ในเวลากำลังรบกันอยู่ ไม่รู้ว่ามันเอาอะไรต่อยเอาที่ปากทีหนึ่ง ได้ความเจ็บปวดยังไม่หายจนบัดนี้
เบ๊ายิดแชกุนว่า ท่านขยับมาข้าพเจ้าจะรักษาให้ โป๊ยก่ายก็ขยับมาใกล้ เบ๊ายิดแชกุนก็เอามือลูบที่ปากโป๊ยก่ายทีหนึ่งแล้ว เป่าทีหนึ่งความเจ็บปวดก็หายทันที โป๊ยก่ายดีใจที่สุดก็คำนับสรรเสริญว่าศักดิ์สิทธิ์แท้ ๆ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะพูดว่า ท่านจินแสช่วยลูบให้ข้าพเจ้าสักทีหนึ่งเถิด เมื่อวานนี้ข้าพเจ้าก็ถูกทีหนึ่ง ค่อยเบาแต่ยังไม่หายขาด ยังแสบๆ ตึงๆ อยู่วิตกว่าจะแปรปรวนไปอีก ขอท่านจินแสได้ช่วยแก่ให้ข้าพเจ้าด้วย เบ๊ายิดแชกุนก็เอามือลูบที่กลางกระหม่อมเห้งเจียทีหนึ่ง เป่าทีหนึ่งด้วยลมปากก็หายไม่เจ็บแสบอีกต่อไป โป๊ยก่ายนึกโกรธขึ้นมาพูดว่า พี่ไปกำจัดอีปีศาจนั้นก็ไปเถิด
เบ๊ายิดแชกุนว่าท่านทั้งสองจงไปล่อพอให้มันออกมาพ้นจากปากถ้ำ ข้าพเจ้าจะปราบมันเอง เห้งเจียโป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้น ก็พร้อมกันลงมายังถ้ำ ถึงประตูโป๊ยก่ายก็เอาคราดสับกระชากประตูหักพังทลายลงทั้งสิ้น แล้วเข้าไปในถ้ำถึงชั้นสองก็เอาคราดสับกระชากพังลงทั้งสิ้น เวลานั้นนางปีศาจจะให้คนแก้มัดพระถังซัมจั๋ง จะใคร่เชิญมาฉันน้ำร้อนน้ำชา พอได้ยินเสียงพังประตูชั้นสองอึกกระทึกนางก็ลุกขึ้นจับอาวุธเดินออกมาจากที่ ตีโป๊ยก่าย ๆ ยกคราดขึ้นรับ เห้งเจียเอาตะบองตีนางปีศาจ ๆ รุกเข้ามาจะแผลงฤทธิ์ เห้งเจียโป๊ยก่ายรู้ทีก็ถอยหนีออกมานอกถ้ำ เห้งเจียจึงร้องว่าท่านเบ๊ายิดแชกุนอยู่ที่ไหน แลไปเห็นเบ๊ายิดแชกุนยืนอยู่บนเนินเขา แปลงกายเป็นรูปเดิมคือไก่ใหญ่ตัวหนึ่ง ยื่นศรีษะยาวประมาณแปดศอกหันตรงนางปีศาจร้องขึ้นคำหนึ่ง นางปีศาจก็กลายเป็นรูปเดิม คือแมลงป่อง เบ๊ายิดแชกุนร้องขันขึ้นอีกทีหนึ่ง แมลงป่องนั้นก็ล้มตายอยู่กับเนินเขานั้น
โป๊ยก่ายตรงเข้ามาเหยียบกลางหลังด่าว่าอีสัตว์เดรัจฉาน ทำไมมึงจึงไม่แผลงฤทธิ์ไปอีกเล่า ปีศาจก็นอนนิ่งไม่ไหวกาย โป๊ยก่ายก็เอาคราดสับฟันจนละเอียดไปทั้งสิ้น ฝ่ายเบ๊ายิดแชกุนเห็นเสร็จธุระแล้วก็เหาะกลับไปยังวิมานสถาน เห้งเจียเห็นดังนั้นก็คำนับขอบคุณไป พี่น้องทั้งสามก็พากันเข้าถ้ำ พวกคนใช้ของปีศาจก็พากันมาคุกเข่าคำนับพูดว่า ขอท่านได้โปรดพวกข้าพเจ้ามิใช่ปีศาจมารร้าย พวกข้าพเจ้าเป็นมนุษย์อยู่ในเมืองไซเหลียงก๊ก นางปีศาจจับเอามาทั้งนั้น ท่านอาจารย์นั้นอยู่ข้างในห้องเฮียวปั๊งกำลังนั่งร้องไห้อยู่ เห้งเจียพิจารณาดูคนเหล่านั้นก็เห็นว่ามิใช่ปีศาจจริง จึงเดินเลยเข้าไปข้างในค้นหาอาจารย์
ฝ่ายพระถังซัมจั๋ง เห็นศิษย์มาพร้อมกันทั้งสามคนก็มีความยินดีพูดว่า อาตมภาพผู้เดียวศิษย์ทั้งหลายจึงได้ซึ่งความทุกข์ แล้วถามต่อไปว่าบัดนี้นางปีศาจนั้นเป็นประการใด โป๊ยก่ายบอกว่าอันหญิงนั้น เดิมเป็นแมลงป่องตัวเมีย หากพระโพธิสัตว์กวนอิมมาบอกให้ไปหาเบ๊ายิดแชกุนลงมาปราบจึงได้ นางปีศาจนั้นข้าพเจ้าสับฟันละเอียดแล้ว พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น มีความขอบคุณพระกวนอิมยิ่งนัก พวกศิษย์ทั้งสามก็หาอาหารให้พระอาจารย์ฉันเสร็จแล้ว ต่างก็พากันกินอิ่มแล้วก็พากันออกจากถ้ำ จึงเรียกพวกหญิงที่ปีศาจจับไว้นั้น ให้ออกมาแล้วก็ชี้ทางให้กลับไปทุกคน แล้วเอาหญ้าฟางทำคบจุดไฟเผาถ้ำนั้นไหม้เป็นจุณไป ก็นิมนต์อาจารย์ชนม้าตัดออกทางใหญ่หมายทิศปราจิณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น