Translate

05 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 32 ไซอิ๋ว นวนิยาย

       (บทที่ ๓๖) ครั้นเดินไปได้หลายเวลาถังซัมจั๋งแลไปข้างหน้าเห็นมีภูเขาใหญ่ขวางอยู่ พระถังซัมจั๋งจึงเรียกสานุศิษย์มาถามว่า นั้นภูเขาอะไรขวางหน้าอยู่ จะมีอะไรบ้างดอกกระมัง พวกเราจงระวังระไว เกลือก ว่าจะมี ผี ปิศาจยักษ์อยู่บ้าง
   เห้งเจียพูดว่า ท่านอาจารย์อย่าวิตกคิดวุ่นวายไป จงตั้งจิตให้แน่วแน่ลงเป็นหนึ่ง สารพัดเหตุการณ์ก็จะไม่มีอยู่เอง พระถังซัมจั๋งถามว่า หนทางที่จะไปไซที ทำไมจึงมีความลำบากอย่างนี้ อาตมาจำได้ตั้งแต่ออกจากเมืองมา คิดได้สี่ห้าปีแล้วก็ยังไม่ถึง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ไม่ช้าไม่เร็ว ยังมิได้จากประตูเลย ท่านอาจารย์อย่าได้เอามารำพึงเป็นอารมณ์เลย จงวางอารมณ์ตั้งหน้าไปเถิด
   แม้มีความเพียรแล้ว ความประสงค์อย่างใดก็คงสำเร็จดังความปราถนาทั้งสิ้น พูดกันพลางศิษย์กับอาจารย์ก็พากันเดินมาเวลาก็จวนจะใกล้ค่ำ แลไปเห็นที่ริมปากช่องเขา มีตึกห้องหอเรียงระดับกันเป็นแถวๆ พิศดูเห็นเป็นอารามวัดใหญ่ พระถังซัมจั๋งก็ลงจากม้าพากันเดินเข้าไป ครั้นมาถึงประตูใหญ่ แลขึ้นไปเห็นมีอักษรใหญ่ห้าตัวบอกนามวัดว่า (กือเซ็กซูโป๊ลิ้มยี่) คือวัดหลวงสร้าง
   เห้งเจียถามว่าใครจะเข้าไปขออาศัยนอน ถังซัมจั๋งว่า อาตมจะเข้าไปเอง ว่าแล้วก็จัดครองจีวรนุ่งห่มเรียบร้อยเป็นปริมณฑลแล้ว ก็เดินเข้าไปในประตูชั้นที่หนึ่ง มองเข้าไปก็เห็นมีรูปเจ้ากิมกังบูชาอยู่ เดินเข้าไปในประตูชั้นที่สอง เห็นมีรูปเจ้าท้าวจัตตุโลก หลังรูปเข้าไปในประตูชั้นที่สาม แลไปเห็นมีไม้สนต้นใหญ่สี่ต้น มีต้นหนึ่งมีพุ่มออกสาขาปกคลุมร่มรื่น แลไปข้างนั้นมีพระอุโบสถใหญ่
   พระถังซัมจั๋งสำรวมกริยาแล้ว ก็เดินเข้าไปนมัสการพระพุทธรูป แล้วก็เดินไปทางข้างหลังพระอุโบสถ แลไปเห็นอุบาสกคนหนึ่งเดินออกมา พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่า อาตมภาพมาจากเมืองไต้ถังจะไปไซที บัดนี้มาถึงตำบลนี้ก็จวนค่ำแล้ว จะขออาศัยพักสักคืนหนึ่ง รุ่งเช้าก็จะลาไป
 อุบาสกผู้นั้นตอบว่า ข้าพเจ้ามิใช่เจ้าของวัด เป็นแต่คนกวาดล้าง เจ้าวัดท่านยังมีอยู่ข้างใน ข้าพเจ้าจะเรียนถามท่านก่อน ถ้าท่านยอมให้อาศัย ข้าพเจ้าจะมานิมนต์เข้าไป อุบาสกนั้นรีบกลับเข้าไปบอกว่า ขอท่านได้ทราบข้างนอกมีแขกมาหา ท่านเจ้าอาวาสก็เดินออกมา แลไปเห็นพระถังซัมจั๋ง ก็เกิดโทโสพูดดุอุบาสกว่า คนเช่นนี้เฆี่ยนเสียจึงจะดี ตัวไม่รู้หรือเราเป็นพระสงฆ์ราชาคณะมีเกียรติยศ ถ้ามีขุนนางมีวาสนายศศักดิ์ควรเราจะออกมารับ นี่เป็นแต่พระสงฆ์อาคันตุกะจรมา ทำไมจึงต้องให้เราออกมาเชื้อเชิญเล่า ทั้งพิเคราะห์ดูกิริยาก็เป็นพระสงฆ์เดินหน เวลานี้ก็จวนจะค่ำเธอจะใคร่มาขออาศัยพัก ในกุฎีนี้จะให้เธอเฃ้าอาศัยได้หรือ บอกเธอให้ออกไปตามแต่จะโลดเต้นที่ข้างนอกระเบียงนั้นเถิด ตัวมาบอกทำไม พูดดังนั้นแล้วก็ห้นหน้าเดินกลับเข้าไปข้างใน
   เมื่อพระถังซัมจั๋งได้ฟังพระสมภารพูดดูถูกอย่างนั้น ก็ให้เกิดความโทมนัสจนน้ำตาไหลอาบหน้า จึงบ่นว่าอนิจจังอนิจจา เหมือนคำโบราณว่า ออกจากบ้านแล้วก็มีแต่ความต่ำช้า อาตมานี้อุปสมบทมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ก็ยังหาได้ประพฤติผิดธรรมวินัยไม่ แลมิได้รู้ว่าชาติปางก่อน ทำผิดแก่ฟ้าแลดินไว้อย่างไรหรือ จึงบันดาลให้เรามาปะพบซึ่งผู้ไม่ชอบธรรมเช่นนี้ สมภารมิให้เราพักก็ตามทีเถิด เหตุไรจะถือตัวแลบอกให้เราไปโลดเต้นข้างระเบียงนั้นเล่า อันตามธรรมเนียมจะต้องมีความเคารพเป็นต้น จำเราจะต้องตามเข้าไปถามดูสักคำหนึ่ง พระถังซัมจั๋งคิดแล้วก็เดินเข้าไปหน้ากุฎิ แลไปเห็นสมภารกำลังนั่งสีหน้ากำลังโกรธอยู่ พระถังซัมจั๋งยืนอยู่กลางประตูกุฎิใหญ่ ยกมือขึ้นเคารพพูดด้วยคำสูภาพว่า ข้าพเจ้าขอเคารพท่านอาจารย์
   สมภารแลไปไม่อยากจะโต้ตอบ เห็นเคารพก็ไม่รู้ที่จะทำอย่างไร ต้องเคารพตอบแลถามว่า นี่ท่านมาแต่ข้างไหนจะไปข้างไหนหรือ พระถังซัมจั๋งบอกว่าอาตมนี้ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีรับสั่งให้ไปไซที อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม บัดนี้ข้ามมาถึงตำบลนี้เวลาก็จวนจะพลบค่ำ อาตมภาพจะขออาศัยพักในอารามของท่านสักคืนหนึ่ง รุ่งเช้าก็จะลาไป ขอท่านอาจารย์ได้กรุณาด้วย ท่านสมภารได้ฟังดังนั้น พูดว่าท่านจะไปไซทีอาราธนาพระธรรม ทำไมจึงไม่ไปตรงทางทิศตะวันตก มีแห่งหนึ่งประมาณห้าสิบเส้น ที่นั้นมีห้องเตี้ยมค้าขายข้าวแกงบริบูรณ์ ทั้งที่ห้องพักก็ดี อาตมาให้พักไม่ได้ เพราะเป็นพวกสงฆ์เดินทาง คำโบราณท่านย่อมว่าเสือร้ายเข้ามาถึงต้องปิดประตูบ้าน แม้ว่ามิได้กัดคน แต่เมื่อก่อนได้ทำให้เสียชื่อ พระถังซัมจั๋งได้ฟังสมภารพูดดังนั้น จึงย้อนถามว่าท่านอาจารย์ว่าครั้งก่อนได้เสียชื่อนั้น คือเหตุผลเป็นประการใด
   พระสมภารตอบว่า เมื่อคราวก่อนมีพวกพระสงฆ์เดินทางมานั่งพักที่นอกประตูใหญ่ อาตมาเห็นเธอขัดสนเสื้อผ้าขาดพะรุงพะรัง จึงนิมนต์เข้ามาพักข้างใน ยกข้าวแจมาเลี้ยงและเอาจีวรมาถวายให้องค์ละผืน ให้พักอยู่สองสามวัน ก็มิได้ทราบว่าจิตเธอโลภด้วยความกินนอน เธอก็มิได้คิดที่จะไปก็พักอยู่ได้เจ็ดแปดปี ครั้นเห็นอยู่สบายแล้ว ก็กระทำธุราจารไม่ชอบธรรมต่าง ๆ
   พระถังซัมจั๋งถามว่า เธอประพฤติไม่ชอบธรรมนั้น เธอทำประการใด สมภารบอกว่าท่านจงคอยฟัง เวลาสนุกก็เอาอิฐแลกระเบื้องมาขว้างปาเล่น เวลาไม่สนุกก็เที่ยวเจาะไชตามฝาผนังแลกำแพง เวลาหนาวก็หักไม้ประตูมาติดไฟผิง เวลาร้อนก็เปิดประตูทิ้งไว้เกะกะ ผ้าธงท่งฮอนก็เอาฉีกมัดทำเกือก แลลักธูปลักเทียนลักหม้อลักไหสาระพัดไม่อาจกำหนดได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังสมภารเล่าให้ฟังดังนั้น จึงมาคิดแต่ในใจว่า คิดสงสารแต่ตัวเรามิใช่จะเป็นเช่นเขาอย่างนั้นเมื่อไร คิดดังนั้นแล้วก็เดินกลับออกมา มีหน้าอันเต็มไปด้วยน้ำตา เห้งเจียเห็นพระอาจารย์เดินกลับออกมามีสีหน้าเศร้าโศกดังนั้น จึงถามว่าพระสงฆ์ในวัดตีด่าว่ากระไรพระอาจารย์หรือ จึงมีความเศร้าโศกดังนี้
   พระถังซัมจั๋งบอกเห้งเจียว่าเขาไม่พอใจ เห้งเจียว่าท่านไปไม่สำเร็จ ข้าพเจ้าจะไปเองจึงจะสำเร็จ ว่าแล้วเห้งเจียก็ถือไม้กระบองเหล็กเดินตรงเข้าไปยังโบสถ์ใหญ่ แลไปเห็นอุบาสกนั้นกำลังจุดธูปบูชาพระอยู่ เห้งเจียร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง อุบาสกคนนั้นตกใจก็ล้มลงแล้วลุกขึ้นแลไปดู เห็นหน้าตาเห้งเจียดังนั้นก็ให้หวาดหวั่น กระโดดวิ่งหนีออกไปทางหลังพระอุโบสถเข้าไปในกุฎิใหญ่บอกว่า ข้างนอกนั้นมีพวกพระสงฆ์มาอีกแล้ว
   สมภารได้ฟังอุบาสกพูด จึงว่าเฆี่ยนเสียเห็นจะดี บอกว่าให้เขาไปข้างนอกระเบียงนั้น ยังจะเข้ามาบอกทำไมอีกเล่า ถ้าขืนมาบอกอีกจะเฆี่ยนยี่สิบที อุบาสกบอกว่าคนนี้ไม่เหมือนพระสงฆ์คนก่อน หน้าตาล้วนแต่ขนทั้งสิ้น ดูดุจรามสูรมือถือกระบองดูสีหน้ามีความโกรธจะใคร่หาคนตี สมภารได้ฟังอุบาสกพูดชี้แจงดังนั้น จึงเปิดประตูออกมาดู ก็พอเห้งเจียเข้ามาถึง สมภารเห็นรูปร่างดุร้ายดังนั้น ตกใจกลัวก็ปิดประตูเสียทันที เห้งเจียเดินตรงเข้าไปเอากระบองกระทุ้งประตูบานหักไปบานหนึ่ง แล้วบอกว่าให้รีบจัดแจงห้องให้สะอาดพันห้อง เราจะได้พักนอน สมภารแอบอยู่ในห้องพูดแก่อุบาสกว่า ดูรูปร่างดุร้าย แรกมาก็พูดดุดันหักโค่นเอาอย่างนี้ ในวัดของเรานี้มีห้องแต่สามร้อยห้อง มันจะเอาพันห้องเราจะเอาที่ไหนมาให้มันพอ
   อุบาสกพูดว่า ข้าพเจ้ากลัวแทบจะขาดใจ ท่านอาจารย์จงช่วยพูดแก้ไขเถิด สมภารก็รัวสั่นไปทั้งตัว อุตส่าห์ขืนใจพูดด้วยเสียงอันดังว่า ท่านที่มาขออาศัยพักนั้น วัดข้าพเจ้าอยู่ในป่าดอน ขอเชิญท่านไปหาที่พักที่อื่นเถิด
   เห้งเจียได้ฟังพระสมภารพูดดังนั้น ก็เอากระบองแปลงเท่าอ่างใหญ่ ยืนอยู่หน้ากุฎิพูดว่า สมภารไม่พอใจก็ขนของออกไปให้หมด สมภารพูดว่าในวัดนี้สี่ห้าร้อยชื่อ จะให้ข้าพเจ้าขนไปไว้ที่ไหน เห้งเจียว่า ถ้าไม่มีจะขนไปให้ออกมานี่สักคนหนึ่ง จะตีด้วยกระบองเป็นตัวอย่าง สมภารบอกให้อุบาสกออกไปให้เธอตีเป็นตัวอย่างสักทีหนึ่งก่อน อุบาสกพูดว่า กระบองใหญ่เท่าอ่าง จะให้ออกไปรับตีจะทนได้หรือ
ตอน ผจญปีศาจเมืองอูจีกั๋วจอมวายร้าย (ช่วงที่1)
   เห้งเจียพูดว่า แม้ทนไม่ได้ข้าจะหาของอื่นตีให้ดูเป็นตัวอย่างจะได้รู้สึก เห้งเจียแลไปเห็นสิงโตศิลาตัวหนึ่งตั้งอยู่ จึงเอากระบองตีลงทีหนึ่ง สิงโตก็แตกละเอียดไปทั้งสิ้น สมภารอยู่ในห้องแอบมองตามช่องฝาเห็นดังนั้น ก็ตกตะลึงมือแลเท้าก็อ่อนเปลี้ยไปทั้งตัว จึงร้องออกมาว่ากระบองนั้นหนักนัก อาตมภาพจะยอมพอใจแล้ว เห้งเจียพูดว่าเราจะไม่ตีแต่เราจะถามว่า พระสงฆ์ในวัดนี้มีสักเท่าใด สมภารบอกว่ารวมทั้งสิ้นที่ได้รับฉายาแล้วห้าร้อยรูป เห้งเจียว่าสมภารจงรีบไปบอกห้าร้อยสงฆ์นั้น ให้ครองผ้าให้เรียบร้อยพร้อมกัน ออกไปรับพระถังซัมจั๋งเข้ามา สมภารว่าแม้ท่านไม่ตีแน่แล้ว ข้าพเจ้าจะออกไปรับเข้ามา เห้งเจียว่าจงรีบไปจัดแจงเถิด สมภารจึงสั่งอุบาสกให้ตีระฆังและกลองสัญญา อุบาสกก็ไม่กล้าออกไปทางประตูจึงมุดลงช่องใต้ถุนออกไป เดินมาที่โบสถ์ขึ้นตีกลองและระฆังสัญญา ประชุมสงฆ์สามแม่สามลูก
   ฝ่ายพระสงฆ์ในอาราม ได้ยินระฆังและกลองสัญญาณ ก็พร้อมกันไปที่โบสถ์ อุบาสกจึงบอกว่า ท่านเจ้าคณะสั่งให้ครองผ้าพร้อมกันออกไปหน้าวัดรับพระถังซัมจั๋งซึ่งมาจากเมืองใต้ถัง พระสงฆ์ทั้งหลายก็จัดแจงครองผ้าเรียบร้อยพร้อมกันแล้ว ออกมายืนคอยอยู่หน้ากุฎิใหญ่ สมภารก็นำหน้าออกมายังประตูใหญ่ ครั้นถึงพระถังซัมจั๋งก็พร้อมกันคุกเข่าลงคำนับแล้ว พูดว่าขอเชิญท่านอาจารย์เข้าไปพักในกุฎิใหญ่เถิด
   พระถังซัมจั๋งเห็นพระสงฆ์มาคำนับพร้อมกันดังนั้น ก็ไม่อาจนิ่งได้จึงพูดว่า นิมนต์ท่านทั้งหลายลุกขึ้นเถิด พระสงฆ์ทั้งหลายต่างลุกขึ้น ต่างก็ช่วยกันจูงม้ายกหาบเข้าไปข้างใน พระถังซัมจั๋ง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งก็เก็บเข้าไปข้างในมายังกุฎิใหญ่ พระถังซัมจั๋งเข้านั่งกลาง พระสงฆ์ทั้งหลายก็จัดแจงน้ำร้อนน้ำชามาถวายเสร็จแล้ว พระถังซัมจั๋งมีความขอบใจสมภารและลูกวัดทั้งหลาย พระถังซัมจั๋งจึงบอกแก่พระสมภารว่า ขอท่านจงไปพักผ่อนระงับกายเถิด สมภารบอกว่าไม่เป็นไรดอก พระถังซัมจั๋งถามว่าจะให้อาตมภาพนอนที่ไหน
   สมภารพูดว่าท่านอาจารย์อย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะจัดแจงให้เรียบร้อย ว่าแล้วก็สั่งอุบาสกหาหญ้าให้ม้ากิน และให้ออกไปจัดแจงให้เรียบร้อย อุบาสกได้ฟังแล้วก็ออกไปจัดแจงทุกประการ เสร็จแล้วจึงกลับเข้ามานิมนต์พระถังซัมจั๋งออกไปพัก พระถังซัมจั๋งกับเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งเดินออกไปยังหอธรรม ครั้นถึงพระถังซัมจั๋งพิเคราะห์ดูเห็นในนั้นมีตามตะเกียงไฟสว่างไสว มีเตียงอยู่สี่เตียง พระถังซัมจั๋งให้อุบาสกจูงม้ามาผูกที่ริมนั้น แลให้เอาหญ้าม้ามาไว้พร้อมแล้ว จึงอนุญาตให้อุบาสกไปพักหลับนอน อุบาสกก็คำนับลาไป
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งก็เข้านั่งอยู่กลางหอ พระสงฆ์ทั้งหลายก็มาเฝ้าอยู่ พระถังซัมจั๋งจึงย่อตัวบอกว่า ขอนิมนต์ท่านทั้งหลายกลับไปพักเถิด พระสงฆ์เหล่านั้นก็คำนับลากลับไป พระถังซัมจั๋งเห็นพระสงฆ์ไปหมดแล้ว ก็เดินไปข้างนอกจึงแหงนหน้าขึ้นดูบนฟ้าเห็นดาวเดือนสว่างไปทั้งฟ้า จึงเรียกเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งออกมาดู ในเวลานั้นท้องฟ้าก็ใสสะอาดไม่มีเมฆหมอกแลดูรอบฟ้าก็โชติช่วง พระถังซัมจั๋งจึงบอกแก่สานุศิษย์ทั้งสามว่า เดินมาเมื่อยขบก็จงไปหลับนอนก่อนเถิด อาตมภาพจะสวดมนต์สักพักหนึ่ง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าอาจารย์บวชตั้งแต่เล็กมาจนบัดนี้จำไม่ได้หรือจึงต้องสวดอีก แลรับๆสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จะไปอาราธนาพระธรรม พระพุทธเจ้าก็ยังมิได้เห็น พระธรรมก็ยังไม่ได้เห็น พระอาจารย์จะสวดพระคัมภีร์อะไร
   พระถังซัมจั๋งว่าอาตมภาพตั้งแต่ออกจากเมืองมาทางเดินลำบากกันดารไม่มีความสุข อันพระธรรมนั้นเรียนมาตั้งแต่เล็ก วิตกกลัวจะลืมเสีย เวลานี้พอมีความสุขได้บ้าง อาตมภาพจึงจะหัดสวดซ้อมไว้ให้ชัดเจน เห้งเจียว่าถ้ากระนั้นพวกข้าพเจ้าจะพากันไปนอนก่อน ทั้งสามคนก็พากันเข้าไปนอนคนละเตียง ๆ พระถังซัมจั๋งก็เข้ามาปิดประตูแล้วจึงมาที่โต๊ะกลาง จุดธูปเทียนบูชาแล้วก็นั่งสวดบริกรรมไป
(บทที่ ๓๗)
   พระถังซัมจั๋งนั่งบริกรรมอยู่ในหอพระธรรมนั้น ตกประมาณสามยามเศษ ได้ยินเสียงลมพัดอู้ดุจพายุใหญ่ พัดตรอกเข้ามาในประตูกระทบแสงไฟวับแวม ๆ บางทีทำให้มืดไปบ้างสว่างบ้าง
   ในเวลานั้นพระถังซัมจั๋งให้เคลิ้ม ๆ คล้าย ๆ กับจะหลับต่อตื่น ก็ฟุบลงกับโต๊ะ นัยน์ตาให้มัวหมองแต่จิตใจยังแจ่มใสมีราคีอยู่มาก ได้ยินเสียงข้างนอกร้องเรียกเบา ๆ ว่าท่านอาจารย์ คำหนึ่ง พระถังซัมจั๋งก็เงยหน้าขึ้นแลดู เห็นมีชายผู้หนึ่งมายืนที่นอกประตูเปียกน้ำทั่วทั้งกาย เสียงร้องเรียกไม่หยุดว่าท่านอาจารย์น้ำตาก็ไหลออกซึมซาบทั้งหน้า พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ย่อกายถามว่า ตัวเป็นปิศาจผีก็จงรีบหนีไป อย่าขืนมาที่หอพระธรรมนี้ ผู้นั้นพูดว่าท่านอาจารย์ ข้าพเจ้ามิใช่ปีศาจอสุรกายอะไรดอก ขอท่านอาจารย์ดูด้วยปัญญาจักษุโดยละเอียดเถิด
 พระถังซัมจั๋งพิจารณาดูโดยละเอียดก็เห็นบนศรีษะสวมหมวกอย่างมหากระษัตริย์ ตัวสวมเสื้อมังกรแดงรัดสายเขมขัดหยก สอดรองเท้าปักไหมทอง มือถือก้อนหยกสีขาว หน้าดุจเจ้าตังงักตี้ รูปลักษณะดุจ บุ่นเชียงกุน พระถังซัมจั๋งพิจารณาโดยละเอียดเห็นดังนั้นแล้วก็ตกใจย่อกายถามว่าท่านคือกษัตริย์ที่ไหนมา จะมีกิจธุระอะไรหรือ จึงได้มาในเวลากลางคืนดังนี้ ผู้นั้นจึงร้องไห้แล้วพูดว่าพระอาจารย์ที่ข้าพเจ้าอยู่นั้น อยู่พ้นที่นี้ไปประมาณสี่สิบโยชน์ ที่นั้นมีกำแพงเมืองใหญ่ คือสมบัติของข้าพเจ้าปลูกสร้างขึ้นเอง นามเมืองนั้นเรียกว่า (โอเกยก๊ก) เพราะเหตุเมื่อห้าปีก่อน เกิดมีความแห้งแล้งฝนฟ้าไม่มี หญ้าฟางก็ไม่มีแห้งเกรียบไปทั้งสิ้น ราษฎรได้ความลำบากอดอาหารการกินล้มตายไปหาประมาณมิได้ ข้าพเจ้ามีความสงสาร
   ในเมืองหลวงยุ้งฉางก็ไม่มีข้าวที่จะจับจ่ายให้ขุนนางแลราษฎรทั้งหลายกิน แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่มีจะกินให้อิ่มพอได้ ข้าพเจ้าจึงตั้งพิธีทั้งวันทั้งคืนก็ตั้งจิตจะให้ฝนตก จุดธูปเทียนสักการะบูชาบวงสวงขอฝนสามปีฝนก็ไม่ตก แห้งแล้งจนบ่อแลสระเป็นระแหงไปทั้งสิ้น เวลานั้นในบ้านเมืองก็กำลังเข้าคับแค้น บังเอิญมีอาจาริย์ (ช่วนจิน) ถือเพศฤๅษีอยู่ที่เขาแจงน่ำซัว เหาะลงมา เธอมีเวทมนต์เชี่ยวชาญประสิทธิ์ขลังอาจเรียกลมและฝนได้ และทำศิลาให้เป็นทองคำก็ได้ ข้าพเจ้าจึงเชื่อถือเชิญเธอให้ตั้งพิธีขอฝน ข้าเห็นคุณประสิทธิ์ในทันใดนั้น ป้ายที่ตั้งอยู่บนที่บูชานั้นก็สั่นไหวบัดเดี๋ยวใจก็มีฝนตกลงมาเป็นอันมาก ข้าพเจ้าขอน้ำท่วมเพียงสามศอก ช่วนจินว่าแห้งแล้งมานานแล้วจะไม่ทันชุ่มชื่นจึงได้ตกลงมาอีกเป็นอันมาก
   ไร่นาเรือกสวนน้ำก็มีบริบูรณ์ ข้าพเจ้าเห็นช่วนจินจิตเมตาอย่างนั้น จึงผูกพันสมัครปฏิญาณตัวเป็นมิตรสหายแก่เธอ ร่วมกินร่วมนอนมิได้มีความรังเกียจกินแหนง ได้ประมาณสักสองปี เวลาฤดูเดือนสี่เดือนห้ากำลังต้นผลไม้ทั้งหลายชิงดอกออกช่อใบอ่อน พร้อมด้วยขุนนางข้าราชการซ้ายขวา ฝ่ายหน้าฝ่ายในพระญาติวงศ์น้อยใหญ่ พากันตามเสด็จไปเที่ยวชมเล่นเป็นที่รื่นเริงสำราญ ครั้นสิ้นเวลาแล้วก็พากันกลับ ยังแต่ข้าพเจ้ากับฤๅษีช่วนจิน จับมือกันค่อย ๆ เดินเข้าไปยังสวนหลวงชั้นใน ครั้นเดินชมมาใกล้บ่อแปดเหลี่ยม นามเรียกว่าบ่อ (ลิวลี่จี๊) ไม่ทราบว่าเธอขว้างอะไรลงไปในบ่อ ในบ่อนั้นมีรัศมีแสงทองฟุ้งมาหลอกข้าพเจ้าให้เดินเข้าไปใกล้บ่อพิศดูว่าจะเป็นของวิเศษสิ่งใด ไม่รู้เลยว่าเธอใจร้ายผล้กข้าพเจ้าตกลงไปในบ่อแล้วเอาหินทุ่มลงไปปิดปากบ่อ แล้วเอาดินทรายกลบเต็มปากบ่อเอาหน่อกล้วยมาปลูกไว้ข้างบน ข้าพเจ้าตายมาได้สามปีแล้ว มิได้ไปเกิดเลยต้องเป็นผีอยู่อย่างนั้น ขอท่านได้ทราบเถิด
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเรื่องดังนั้นก็ให้หวาดเสียวสะดุ้งขนลุกทั้งตัว จึงถามว่าท่านพูดดังนั้น จะไม่มีมูลหลักฐานเค้าเงื่อนดอกกระมัง เพราะท่านตายมาสามปีแล้ว เหตุใดขุนนางทั้งหลายและฮองเฮ้าฝ่ายในจะไม่ค้นหาท่านหรือ
   ผู้นั้นตอบว่าถ้าพูดตามมนุษย์โลกแล้วก็ไม่มีใครเห็น ตั้งแต่วันเธอฆ่าข้าพเจ้าแล้วยังอยู่ในสวนนั้น เธอก็แปลงตัวเป็นรูปร่างให้เหมือนข้าพเจ้าจึงไม่มีผู้ใดรู้ บัดนี้ขึ้นเสวยราชสมบัติอยู่เหมือนข้าพเจ้า พระถังซัมจั๋งถามว่าซึ่งการเป็นจริงดังนั้นทำไมจึงไม่ไปฟ้องพระยามัจจุราชเงียมฬ่ออ๋องเล่า ผู้นั้นจึงพูดว่าเธอมีฤทธาอานุภาพกว้างใหญ่ พระภูมิเจ้าที่ก็นับถือเกรงกลัวเธอเคยเสพสุรายาเมาเป็นเพื่อนเกลอแก่เธอ พระยามัจจุราชก็เป็นเพื่อนฝูงแก่เธอ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่มีที่จะฟ้องร้องได้
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าพระยามัจจุราชฟ้องร้องไม่ได้จะกลับมาให้มนุษย์ทำประการใดเล่า ผู้นั้นตอบว่าท่านอาจารย์ อันวิญญาณที่เป็นไปตามวิบากของผลกรรมนั้นก็ยังไม่สิ้นสูญ แม้เทพยดาเจ้าที่ทำลมหอบข้าพเจ้าส่งมา เจ้านั้นก็ได้บอกแก่ข้าพเจ้าว่าอันภัยเวรจมน้ำสามปีนั้นสิ้นแล้ว ให้ข้าพเจ้ามาหาท่านอาจารย์บอกว่าสานุศิษย์ของท่านชื่อซีเทียนใต้เซีย สามารถจะกำจัดปีศาจผียักษ์ร้ายได้ บัดนี้ข้าพเจ้ามาขอเคารพเชิญท่านไปยังเมืองของข้าพเจ้าช่วยกำจัดปีศาจร้ายนั้นด้วย เพื่อให้เห็นเท็จแลจริงแล้วข้าพเจ้าจะสนองพระเดชพระคุณท่านให้ถึงขนาด
   พระถังซัมจั๋งถามว่านี่ท่านจะมาหาอาตมภาพกับสานุศิษย์ให้กำจัดจับปีศาจนั้นหรือ ผู้นั้นตอบว่าก็อย่างนั้นและ พระถังซัมจั๋งพูดว่าสานุศิษย์ของอาตมภาพนั้น จะให้จับผี ปิศาจยักษ์ร้ายก็สามารถจะทำได้จริงแต่เป็นความยากอยู่
   ผู้นั้นถามว่าเหตุใดจึงเป็นยาก พระถังซัมจั๋งบอกว่าอันปีศาจนั้นมันแปลงรูปร่างก็เหมือนพระองค์ ขุนนางนอกในทั้งเมืองก็พร้อมกันเห็นว่าเป็นพระองค์ท่านไปเสียหมดแล้ว หากสานุศิษย์ของอาตมภาพจะมีฝีมือก็ไม่อาจจะทำสงครามได้ บางทีเธอจับได้จะไม่ปรับโทษเอาว่าพวกอาตมภาพเป็นขบถหรือ จะเป็นเหมือนเขาไปหาเสือดอกกระมัง
   ผู้นั้นตอบว่า ข้าพเจ้ายังมีคนที่เชื่อได้อยู่ในเมืองเป็นอันมาก พระถังซัมจั๋งถามว่า คนพี่เชื่อได้นั้นคือใคร ในพระราชวังยังมีพระราชโอรส คือบุตรของข้าพเจ้าเอง จะแทนที่ครองราชสมบัติได้ พระถังซัมจั๋งว่า พระราชโอรสนั้นปีศาจจะไม่กำจัดเสียแล้วหรือ ผู้นั้นตอบว่ายังมิได้กำจัดดอก เธอยังอยู่ในปราสาทกิมหลวนเต้ย ในตำหนักหอเง้าฮองเล้า แต่ปีศาจนั้นห้ามสามปีแล้วแม่ลูกมิได้พบกัน
   พระถังซัมจั๋งถามว่า เป็นด้วยเหตุอย่างไรจึงได้ห้ามมิให้แม่ลูกพบปะกันดังนั้น ผู้นั้นบอกว่าคือปีศาจคิดอุบายกลัวแม่ลูกจะพบกัน จะคิดปรึกษาพูดจาถึงการผิดชอบก็จะเกิดเหตุขึ้น เพราะฉะนั้นแม่ลูกจึงมิได้เห็นหน้ากัน พระถังซัมจั๋งพูดว่า แม้ว่าลูกนั้นอยู่ในพระราชวังทำไมจะได้พบแก่อาตมภาพเล่า ผู้นั้นพูดว่ารุ่งพรุ่งนี้ เธอพาผู้คนมาประพาสป่าดงคงจะได้พบแก่ท่าน ท่านจงนำคำของข้าพเจ้าที่กล่าวมานี้เล่าให้ฟังก็คงจะเชื่อได้ พระถังซัมจั๋งถามว่าพระราชโอรสนั้น เธออยู่ในวังอย่างนั้น เธอจะไม่เรียกปีศาจว่าบิดาวันหนึ่งสองสามคำหรือ ผู้นั้นจึงว่าข้าพเจ้าจะให้ของสำคัญไว้แก่ท่านสิ่งหนึ่งเป็นเครื่องหมาย
   พูดแล้วก็หยิบเอาเพชรหยกขาวก้อนหนึ่งส่งให้พระถังซัมจั๋งแล้วพูดว่า ของสิ่งนี้ไว้เป็นที่หมาย พระถังซัมจั๋งถามว่า ของสิ่งนี้เป็นสำคัญอย่างไร ผู้นั้นพูดว่าตั้งแต่ปีศาจช่วนจินแปลงเป็นข้าพเจ้า ก็มิได้ถือหยกก้อนนี้ เธออุบายบอกว่าตั้งแต่ช่วนจินขอฝนแล้ว ก็ขอเอาหยกก้อนนี้ไป เพราะฉะนั้นสามปีมานี้แล้ว ช่วนจินจึงมิได้ถือหยกก้อนนี้ แม้ว่าบุตรของข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว ก็จะรู้สึกคิดถึงข้าพเจ้า คงจะคิดแก้แค้นได้
   พระถังซัมจั๋งรับว่าเอาเถิด จะรับของสิ่งนี้ไว้ปรึกษาหารือแก่สานุศิษย์ก่อน แล้วถามผู้นั้นว่าจะคอยอยู่ที่ไหน ผู้นั้นตอบว่าจะอยู่ช้าไม่ได้ จะขี่เจ้าเทพารักษ์ส่งเข้าไปพระราชวังเข้าฝันฮองเฮ้าบอกให้คิดอ่านพร้อมใจแก่บุตร และให้ท่านกับสานุศิษย์ให้พร้อมกัน พระถังซัมจั๋งครั้นได้ฟังดังนั้นก็รับเป็นธุระวิญญาณของผู้นั้นเคารพแล้วก็ลาไป พระถังซัมจั๋งเดินออกไปส่งแล้วก็เดินกลับเข้ามาสะดุดธรณีเข้าก็ตกใจตื่นก็รู้สึกว่านอนฝัน แต่ตะเกียงมืดมัว ก็ร้องเรียกสานุศิษย์คำหนึ่ง
   โป๊ยก่ายตกใจตื่น ถามว่าป่านนี้ยังไม่นอนจะทำอะไรหรือ พระถังซัมจั๋งบอกว่าอาตมาพึ่งนอน ฝันไปเห็นเป็นการประหลาดที่สุด เห้งเจียผุดลุกขึ้นพูดว่า อาจารย์จิตประวัติผูกพันธ์ก็ฝันไป ยังไม่ทันจะขึ้นเขาก็มีจิตกลัวเสียแล้ว เห็นหนทางมีหมอกมัวก็คิดถึงบ้านเมือง มากความตรึกตรองก็ฝันไป เหมือนข้าพเจ้าตั้งใจจะไปไซทีอยากจะพบพระพุทธเจ้า ก็ไม่ฝัน
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าอาตมาฝันนี้ มิใช่คิดถึงบ้านเมืองอะไรที่ไหน ในเวลาหลับตาก็ได้ยินเสียงดุจพายุพัดโกรกเข้ามาในนี้ ได้ยินที่ประตูข้างนอกมีเสียงคน เธอบอกว่าเธอเป็นเจ้าเมืองโอเกยก๊ก จึงเล่าความตามที่ฝันให้เห้งเจียฟังทุกประการ เห้งเจียได้ฟังแล้วก็หัวเราะพูดว่าเธอให้ฝันพระอาจารย์เหตุนั้น คงจะมีปีศาจ เป็นธุระของข้าพเจ้าจะช่วยจับปีศาจเองให้เห็นเท็จและจริง พระถังซัมจั๋งบอกว่าเธอได้ให้ของสำคัญไว้สิ่งหนึ่งเป็นพยานในความจริง จงออกไปดูทีจะเป็นของอะไรแน่
   เห้งเจียไปเปิดประตูเดินออกไป ในเวลานั้นแสงเดือนสว่าง แลไปที่พื้นบันไดเห็นก้อนหยกขาววางอยู่กับพื้น เห้งเจียจึงเก็บเอามาบอกว่าท่านอาจารย์ของนั้นมีจริง พรุ่งนี้เช้าการจับปีศาจนั้นข้าพเจ้าจะเป็นธุระเอง จะต้องทำตามข้าพเจ้าจึงจะได้ พระถังซัมจั๋งถามว่าท่านจะให้ทำตามท่านอย่างไร เห้งเจียบอกว่าไม่ควรแสดง ไว้ข้าพเจ้ากับอาจารย์ของอะไรสองสิ่ง พูดแล้วเห้งเจียก็ถอนขนเส้นหนึ่งแปลงเป็นแอบเล็ก ๆ ลงรักปิดทอง จึงหยิบเอาก้อนหยกนั้นใส่เข้าในแอบปิดฝาดีแล้ว ส่งให้พระถังซัมจั๋งแล้วสั่งว่า วันพรุ่งนี้เวลาเช้าท่านอาจารย์ครองจีวรที่ประทานนั้น มือถือแอบนี้นั่งอยู่กลางโบสถ์ภาวนาบริกรรมไว้ข้าพเจ้าจะไปดูวิธีจะเป็นประการใด แม้ว่าพระโอรสของเธอออกมาจริงดังนั้น ข้าพเจ้าจะล่อให้มาหาพระอาจารย์
   พระถังซัมจั๋งถามว่า บางทีเธอมาถึงนี่จะรับรองอย่างไร เห้งเจียว่าแม้ว่าเธอตรงมา ข้าพเจ้าจะมาบอกก่อนอาจารย์เปิดแอบ ข้าพเจ้าจะแปลงเป็นพระสงฆ์น้อย ๆ เข้าอยู่ในแอบท่านถือแอบอยู่กับมือ ไท้จื๊อมาถึงนี่คงจะเข้ามานมัสการพระ เธอจะไหว้ก็ชั่งอย่าหลีกหลบหวาดหวั่น เธอคงจับผิดท่านว่าดูถูก บางทีจะจับจะเฆี่ยนตีอย่างไรก็ตามแต่จะทำไมต้องกลัว
   พระถังซัมจั๋งถามว่าเธอไทจื้อมีอำนาจบางทีจะให้ฆ่าเราเสียจะแก้ไขอย่างไรได้ เห้งเจียว่าไม่ธุระอะไรมีข้าพเจ้าอยู่แล้วกลัวอะไร ถ้าเธอจะถามท่านจงบอกว่า มีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ไปไซทีอาราธนาพระธรรม จะนำของวิเศษไปถวาย ถ้าเธอจะถามว่าของวิเศษอะไร ท่านเอาเหตุกาสาวิเศษเล่าให้ฟังว่าของวิเศษที่สาม ยังมีอีกที่หนึ่งที่สองเป็นของวิเศษอย่างยิ่ง ถ้าเธอจะถามต่อไปให้บอกว่าแอบนี้มีของวิเศษอยู่ข้างใน ใคร่รู้การข้างหน้าได้ห้าร้อยปีการข้างหลังห้าร้อยปี แล้วท่านเปิดให้ข้าพเจ้าออกข้าพเจ้าจะได้เล่าตามความฝันให้เธอฟัง แม้ว่าเธอเชื่อแล้วก็ดี บางทีจะไม่เชื่อ จึงเอาก้อนหยกวิเศษนั้นให้เธอดู เธอคงจะจำได้ว่าเป็นของพระราชบิดาเธอ
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าความคิดอุบายนี้ดีแล้วแต่ของวิเศษนั้น สิ่งหนึ่งเรียกว่ากาสา สิ่งหนึ่งเรียกว่าหยกขาว ที่แปลงนั้นจะเรียกว่าอะไร เห้งเจียบอกว่าให้เรียกว่า (ลิบเต๊ห่วย) คือตั้งอาญาสิทธิ์เจ้า พระถังซัมจั๋งก็จำไว้ในใจ พระถังซัมจั๋ง เห้งเจียนั่งคิดอ่านกันอยู่ก็หาได้นอนไม่ จนรุ่งสว่างขึ้น เห้งเจียจัดแจงแล้วมาสั่งโป๊ยก่ายซัวเจ๋งให้อยู่รักษาอาจารย์ แล้วก็ออกมาเหาะไปทางตะวันตก แลเห็นมีกำแพงเมืองใหญ่ ก็เหาะใกล้เข้าไปดูโดยละเอียด ก็เห็นมีหมอกเมฆกลุ้มปกอยู่ข้างบน เห้งเจียก็รู้ได้ว่าคืออ้ายปีศาจ บัดเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงปืนยิง แลไปทางประตูทิศตะวันออก เห็นหมู่คนขี่ม้าถืออาวุธต่างๆเดินออกมาจากประตูเมือง พิเคราะห์ดูก็เห็นเป็นพวกเที่ยวป่า แลไปเห็นคนหนึ่งหนุ่ม ขี่ม้าสีเหลืองมือถืออาวุธเกี่ยม ที่เอวแขวนธนูศร ดูรูปลักษณะก็สมเป็นเจ้า กิริยาควรจะเป็นฮ่องเต้ มิใช่คนเลวทราม
   เห้งเจียเห็นดังนั้นแล้วก็มีความยินดีว่าไม่ต้องสงสัยเลย คนนี้เองคือไท้จื๊อเราจะหลอกเธอเล่นสักทีหนึ่ง คิดดังนั้นแล้วก็ลงยังพื้นแปลงเป็นกระต่ายขาวตัวหนึ่ง วิ่งผ่านหน้าไท้จื๊อมา ไท้จื๊อเห็นกระต่ายวิ่งผ่านไปดังนั้นก็ขับม้าไล่ตามเอาศรโก่งขึ้นยิงไปทางกะต่าย เห้งเจียเห็นศรยิงมาก็หลบจับลูกศรได้แล้วก็วิ่งหนีมา ไท้จื๊อเห็นกระต่ายถูกศรก็ชิงขับม้าขึ้นหน้าไล่ตามกระต่ายไป เห้งเจียเห็นไท้จื๊อไล่มาเร็วก็วิ่งเร็วไล่มาช้าก็วิ่งช้า ไล่ตามมากระต่ายก็ไม่วิ่งไปไกล วิ่งมาพักหนึ่งก็ถึงวัด (โป๊ลิ่มยี่) เห้งเจียวิ่งมาถึงประตูวัด ก็แปลงเป็นรูปเดิม เอาลูกศรนั้นเหน็บไว้บนประตูแล้ว เลยรีบเข้าไปในโบสถ์บอกแก่พระถังซัมจั๋งว่าไท้จื๊อมาแล้ว เห้งเจียจึงแปลงเป็นพระสงฆ์เล็กเท่าสององคุลีเข้าอยู่ในแอบนั้น
   ฝ่ายไท้จื๊อครั้นไล่มาถึงประตูวัดแลไปก็ไม่เห็นกระต่าย เห็นแต่ถูกศรติดอยู่บนประตูก็นึกประหลาดใจมากที่สุด เหตุไฉนหนอเรายิงไปถูกกระต่ายวิ่งมาทางนี้ ทำไมกระต่ายจึงหายไปลูกศรมาติดอยู่ที่ประตูฉะนี้ จึงนึกว่าศรนี้นานวันเข้าจะเกิดปีศาจเข้าสิงอยู่ จึงเข้าไปชักลูกศรออก แลดูบนประตูก็เห็นมีตัวอักษรจารึกว่าวัด (โป๊ลิ่มยี่) ไท้จื๊อเห็นดังนั้น จึงคิดว่าเราจะเข้าไปดูในวัด จึงลงจากม้าจะเดินเข้าไป มองไปข้างหลังเห็นพวกพลทหารวิ่งตามมาก็พากันเดินเข้าไปในประตู
   ฝ่ายพระสงฆ์ในวัดก็รีบพากันออกมารับเข้าไปในโบสถ์ใหญ่ ไท้จื๊อจะใคร่นมัสการพระพุทธรูป แลไปเห็นมีพระสงฆ์นั่งอยู่กลาง ไท้จื๊อโกรธว่าพระสงฆ์องค์นี้เป็นไฉน เราพาพวกพลทหารเข้ามาในวัดทำไมไม่มีความยำเกรงยังนั่งอยู่ได้ จึงร้องบอกให้ทหารรักษาองค์จับตัวลงมา พวกรักษาองค์ก็กรูกันเข้าจับพระถังซัมจั๋งลงมา ไท้จื๊อจึงตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เป็นพระสงฆ์ป่าดงที่ไหนมาจึงไม่รู้จักขนบธรรมเนียม พระถังซัมจั๋งบอกว่า อาตมภาพนี้คือพระสงฆ์อยู่เมืองใต้ถัง มีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้ไปไซที อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม จะเอาของวิเศษมาถวาย
   ไท้จื๊อถามว่าอันเมืองใต้ถังนั้นจะมีของวิเศษอะไร จงแสดงให้เราฟังดูทีหรือ พระถังซัมจั๋งพูดว่ากาสาวพัสตร์ที่อาตมาครองอยู่นี้ของวิเศษที่สามยังมีที่หนึ่งที่สองอีก ไท้จื๊อถามว่า อันกาสานั้นครองได้ครึ่งหนึ่ง บนบ่าครึ่งหนึ่งแหวกข้างล่าง จะมีราคาสักเท่าไรจึงได้อวดว่าเป็นของวิเศษ พระถังซัมจั๋งตอบว่า กาสาวะพัสตร์นี้ครึ่งหนึ่งก็จริง แต่มีคำว่า กาสาของพระพุทธเจ้าไม่ต้องครอง ข้างในมรรคผลข้างนอกปราศจากกิเลส ร้อยเข็มพันไหมทำสำเร็จสัมมาปฏิบัติและประกอบด้วยเพชรนินจินดา เทพยดานางฟ้าประกอบเย็บประทานให้อาตมภาพครองกันสิ่งโสโครก อาตมภาพเห็นไท้จื๊อไม่รับก็ควรแล้ว ท่านไม่แก้แค้นแทนบิดาเกิดมาก็เสียทีเกิดเป็นมนุษย์
   ไท้จื๊อได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้นก็ยิ่งโกรธเป็นอันมาก พูดว่าผืนผ้ากาสานั้น ตามแต่ปากพูดอวดดีวิเศษอย่างไรก็ตาม อันความแค้นบิดาของข้าพเจ้าที่ไหนเอามาพูดเลอะเทอะอย่างนี้ จงแสดงความมาให้เราฟัง พระถังซัมจั๋งจึงเดินเข้าไปไกล้ไท้จื๊อย่อตัวลงพูดว่า ไท้จื๊ออันความจริงอาตมภาพก็หาได้รู้เรื่องไม่ แต่ในแอบวิเศษนี้นามเรียกว่า (ลิบเต้ห่วย) แอบนี้รู้ได้ข้างหน้าห้าร้อยปีข้างหลังห้าร้อยปี และปัจจุบันนี้ห้าร้อยปี รวมกันเป็นพันห้าร้อยปี ถ้าพระองค์อยากจะรู้ถามดูก็อาจรู้ซึ่งความเท็จแลความจริง ไท้จื๊อได้ฟังดังนั้น จึงบอกว่าเอามาให้ข้าพเจ้าพิจารณาดูจะเป็นประการใด
   พระถังซัมจั๋งเปิดแอบออก เห้งเจียกระโดดออกมาเหลียวซ้ายแลขวาออกวุ่น ไท้จื๊อแลเห็นจึงพูดว่าคนเล็ก ๆ อย่างนี้จะรู้อะไรได้ซึ่งการนานปี เห้งเจียได้ยินดังนั้นจึงเอามือเท้าบั้นเอ็วแอ่นหน้าทีหนึ่งตัวก็สูงขึ้นสามสอกเลย พวกทหารทั้งหลายเห็นดังนั้นก็พากันตกใจ พากันพูดว่าถ้าสูงเร็วดังนี้ไม่กี่วันจะสูงค้ำฟ้า ไท้จื๊อเห็นดังนั้นจึงถามว่า ซึ่งพระสงฆ์นั้นพูดว่ารู้การล่วงหน้าและล่วงไปแล้วและปัจจุบันได้หรือ ตัวทำเต้าดูหรือว่าจับยามจึงรู้ได้ เห้งเจียตอบว่าไม่ต้องอาศัยอะไรทั้งสิ้น พึ่งลิ้นข้าพเจ้าเท่านั้น สารพัดการก็อาจรู้ได้ทั้งสิ้น
   ไท้จื๊อว่ากระนั้นท่านจงแสดงเหตุผลในบ้านเมืองของข้าพเจ้าว่าเป็นอย่างไร เห้งเจียพูดว่า อันเหตุการณ์ที่ในเมืองของท่านข้าพเจ้ารู้ทั้งสิ้น ข้าพเจ้าสามารถจะแสดงให้ท่านรู้ได้ทุกประการ ตัวท่านคือเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก เมื่อห้าปีก่อนฝนไม่ตกแห้งแล้ง ราษฎรได้ความเดือดร้อนอดอยาก บิดาของท่านได้ตั้งพิธีบวงสรวงขอฝนก็ไม่สมความปราถนาในเวลานั้น บังเอิญมีฤๅษีตนหนึ่งนามเรียกอาจาริย์ (ช่วนจิน) อาศัยอยู่บนเขา (เจงน่ำซัว) ลงมา เธอมีวิช้าแต้มศิลาเป็นทองคำได้ แลเรียกลมเรียกฝนได้ฝนก็ตกตามความประสงฆ์ บิดาของท่านจึงได้ปฏิญาณผูกรักเป็นมิตรสหายแก่ช่วนจินร่วมกิน ร่วมนอน ด้วยกัน อย่างนี้มีจริงเป็นจริงหรือไม่
   ไท้จื๊อพูดว่ามีจริงเป็นจริงดังท่านว่า ขอท่านจงแสดงต่อไปอีก เห้งเจียจึงพูดต่อไปว่าแล้วต่อมาภายหลังอีกสามปี ช่วนจินก็หายไป บัดนี้ที่ตั้งตัวเป็นเจ้าอยู่นั้น คือผู้ใดท่านรู้หรือไม่ ไท้จื๊อว่าช่วนจินเป็นสหายของพระราชบิดาเรานั้นจริง แต่เมื่อเวลาฤดูชมดอกไม้ พระราชบิดาพากันสองต่อสองเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ ช่วนจินบันดาลเป็นลมพายุเอาก้อนเพชรจากพระหัตถ์พระราชบิดาไป บัดนี้ไปอยู่ที่เขาเจงน่ำซัวนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นพระราชบิดาเราก็คิดถึงเธออยู่จึงได้ไปปิดสวนดอกไม้มิให้ใครเข้าออกสามปีมาแล้ว ที่นั่งเมืองอยู่บัดนี้มิใช่พระราชบิดาของเราแล้วก็คือใครเล่า
   เห้งเจียได้ฟังไท้จื๊อตรัสดังนั้น ก็ทำเป็นหัวเราะแล้วนิ่งเสียไม่ตอบว่ากระไร ไท้จื๊อก็โกรธตวาดว่า ควรพูดสิไม่พูด เหตุใดจึงหัวเราะดังนี้ควรหรือ เห้งเจียบอกว่าจะพูดออกไปนั้นยังไม่ควรด้วยเนื้อความยังมากมายนัก ด้วยผู้คนซ้ายขวามีอยู่มาก ไม่ควรจะให้คนเหล่านี้รู้ความลับที่ควรปิด ไท้จื๊อเห็นเธอพูดมีเค้าเงื่อนหลักฐานอยู่ จึงรับสั่งให้พวกข้าราชการที่ตามมานั้นออกไปเสียแล้วไท้จื๊อนั่งอยู่กลาง ถังซัมจั๋งนั่งอยู่ข้างหนึ่ง เห้งเจียจึงเดินเข้ามาใกล้ไทจื๊อพูดว่า ที่สูญหายไปนั้นคือพระราชบิดาของท่าน ที่นั่งเมืองอยู่เดี๋ยวนี้ คือตัวช่วนจินปลอม
   ไท้จื๊อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงพูดว่าท่านเอาอะไรมาพูดเลอะเทอะอย่างนี้เล่า ด้วยตั้งแต่ช่วนจินไปแล้วฝนลมก็ตกต้องตามฤดู ราษฎรก็ได้ความสุขสำราญ แม้พระบิดาได้ทราบว่าท่านพูดอย่างนี้ จะจับตัวท่านไปตัดหมื่นท่อน แล้วไท้จื๊อขับเห้งเจียให้ถอยไป เห้งเจียจึงหันหน้ามาพูดแก่ถังซัมจั๋งว่า ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าเธอจะไม่เชื่อก็จริงดังนั้น จงเอาก้อนหยกวิเศษนั้นเปลี่ยนเอาหนังสือไปไซทีเถิด พระถังซัมจั๋งก็เอาแอบส่งให้เห้งเจีย ๆ รับมาแล้วก็เอามือทุบลงทีหนึ่ง แอบนั้นก็อันตรธานไป จึงหยิบเอาก้อนหยกขาวนั้นมาถวายไท้จื๊อ ๆ รับมาดูแล้วพูดว่า พวกสงฆ์นี้ดีแล้ว เมื่อสามปีก่อนช่วนจินลักเอาไป บัดนี้แปลงเป็นสมณะเอามาถวาย จึงเรียกให้คนจับตัวถังซัมจั๋ง ๆ ก็ตกใจ แต่เห้งเจียร้องห้ามว่าพระองค์อย่าเพิ่งวุ่นวายไป การใหญ่ของพระองค์จะเสียไป ถ้าข้าพเจ้าไม่ทำ (ลิบเต้ห่วย) ก็ชื่อคงมีจริง ไท้จื๊อโกรธพูดว่า จงมานี่ข้าจะถามอันชื่อจริงนั้นจะส่งไปศาลชำระหรือ
   เห้งเจียพูดว่า ข้าพเจ้าคือสานุศิษย์ของท่านพระถังซัมจั๋ง ข้าพเจ้าชื่อซึงหงอคง จะไปกับพระอาจารย์ ณ ประเทศไซที อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม เมื่อคืนนี้อาจารย์ของข้าพเจ้านอนหลับฝันเห็นไปว่า พระราชบิดาของพระองค์มาบอกว่า ถูกช่วนจินทำอุบายฆ่าอยู่ในสวนดอกไม้ ที่ในบ่อแปดเหลี่ยม (ลิวลี่) นั้น ช่วนจินแปลงรูปร่างให้เหมือนแก่พระองค์ บัดนี้ตั้งตัวปลอมเป็นพระองค์อยู่ในพระราชวัง ขุนนางทั้งหลายก็หามีผู้ใดจะรู้สึกได้ไม่ ตัวท่านก็ยังทรงพระเยาว์อยู่ หารู้ความอะไรไม่ ได้ห้ามท่านมิให้เข้าข้างในเกรงจะรู้ระแคะระคาย แลได้ปิดประตูสวนสามปีมาแล้ว
   เมื่อคืนนี้พระราชบิดาท่านมาชี้แจงแลขอให้ช่วยกำจัดปีศาจช่วนจิน แลได้บอกว่าท่านวันนี้จะมาประพาสป่า เพราะฉะนั้นจึงแปลงตัวเป็นกระต่ายล่อให้ท่านไล่มา เพื่อพบแก่พระอาจารย์ของข้าพเจ้า ท่านจำก้อนหยกวิเศษได้แล้ว ทำไมจึงไม่คิดถึงพระราชบิดาที่ได้บังเกิดท่านมาเล่า ไท้จื๊อได้ฟังตั้งแต่ต้นจนปลายดังนั้น ก็สลดจิตลงทันทีคิดอยู่ในใจว่า จะไม่เชื่อหรือความที่พูดก็ล้วนแต่เป็นความจริงทุกประการ ถ้าเชื่อทำไมจะได้เห็นพระราชบิดาเล่า คิดไปก็แสนยาก เห้งเจียเห็นกิริยาไท้จื๊อยังไม่เชื่อสนิทลงได้ จึงพูดว่าไท้จื๊อไม่ต้องสงสัยเลย
   ถ้าจะให้ได้ความจริงแล้ว จงรีบไปถามพระราชมารดาดูก่อนนั้นแลจะได้เห็นจริง คือพระราชมารดาได้ทรงสังเกตหรือไม่ว่า พระราชสามีก่อนกับบัดนี้ มีความแปลกประหลาดผิดสังเกตอย่างไรบ้าง ก็จะรู้ได้แน่นอน ไท้จื๊อว่าดังนั้นเห็นจะรู้ความได้จริง จะเข้าไปถามมารดาดูก่อนแล้วจึงจะกลับมา พูดดังนั้นแล้วก็ผุดลุกจะไป มือกำก้อนหยกไว้ด้วย เห้งเจียจึงห้ามไท้จื๊อว่าจะไปมาอย่าให้ใครรู้ความพระองค์จงไปแต่ผู้เดียว จงกลับแต่ผู้เดียว อย่าเข้าทางข้างหน้า จงเข้าทางประตูหลังพระราชวัง แม้ว่าปะพระราชมารดาแล้วอย่าพูดเสียงดัง จงพูดแต่เบา ๆ ด้วยปีศาจช่วนจินนั้น มีฤทธาอานุภาพกว้างใหญ่ แม้ว่ารู้ถึงมันแล้วแม่ลูกจะไม่ดำรงอยู่ได้ ไท้จื๊อได้ฟังเห้งเจียแนะนำก็ทรงจำไว้ในใจ จึงออกมาข้างนอกบอกพวกทหารให้คอยอยู่ที่นี่ อย่าไปข้างไหนข้ามีกิจอันหนึ่ง จะกลับมาพร้อมกันก่อนจึงค่อยไป สั่งแล้วก็ขึ้นทรงม้ารีบขับเข้าไปหาพระราชมารดายังวังใน

ไม่มีความคิดเห็น: