Translate

26 มิถุนายน 2568

[เล่ม 3] ตอนที่ 52 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๗๒)
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋งครั้นออกจากเมืองจูจี้ก๊กแล้วหมายปราจิณทิศตรงไป ข้ามห้วยธารละหานเขาเดินมา เวลานั้นเป็นฤดูหนาวอาจารย์กับศิษย์พากันมา แลไปข้างหน้ามีหมู่บ้านอยู่ข้างทาง พระถังซัมจั๋งลงจากม้ายืนหยุดพูดว่า ที่ตรงนั้นมีหมู่บ้านคนอยู่ อาตมาจะใคร่​เข้าไปบิณฑบาตข้าวมาฉันเห็นจะดี เห้งเจียหัวเราะพูดว่า อาจารย์จะหาความยาก ข้าพเจ้าจะไปแทน จะให้ต้องลำบากถึงอาจารย์ทำไม พระถังซัมจั๋งพูดว่าไม่ใช่อย่างนั้น เวลาที่ไม่เห็นบ้านช่องมี ใกล้ไกลก็ไม่รู้ได้ควรจะให้เห้งเจียไปแทน วันนี้บ้านคนมีอยู่ใกล้ดังนี้แล้วทั้งเวลานี้ก็เแห้งแล้ง ควรอาตมภาพจะไปเองก็ได้ โป๊ยก่ายก็ตามใจหยิบเอาบาตรมาให้อาจารย์ พระถังซัมจั๋งรับบาตรมาแล้ว ก็สำรวมอิริยาบถ เดินเข้าไปในหมู่บ้านนั้น ครั้นถึงก็ยืนพิจารณาดูเห็นมีสะพานศิลาพิศดูงดงาม
   อันที่จริงในบ้านนั้นไม่มีผู้ชายมีแต่ผู้หญิงอยู่สี่คน กำลังนั่งปักทอลายสีต่าง ๆ พระถังซัมจั๋งก็ไม่อาจเข้าไป จึงยืนแอบอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เห็นพวกผู้หญิงนั้นรูปร่างงามทุก ๆ คนดูดุจนางฟ้าลงมาดิน พระถังซัมจั๋งยืนรออยู่สักครึ่งชั่วโมง ก็เห็นเงียบสงัดไม่ได้ยินเสียงไก่และสุนัข พระถังซัมจั๋งคิดว่า แม้เราบิณฑบาตไม่ได้เข้ากลับไป พวกสานุศิษย์ก็จะหัวเราะเยาะเราได้ ก็จะไม่เป็นการ จะพาให้เสียซึ่งความจริง คิดแล้วก็เดินข้ามสะพานมาสักสิบย่างก้าว ก็แลเห็นมีบ้านหลังคาจากหลังหนึ่ง ในรั้วมีหอเล็กหอหนึ่ง ข้างหนาหอนั้นมีหญิงสาวรูปงามสามคนนั่งพักเตะตะกร้อ พระถังซัมจั๋งยืนรออยู่พักหนึ่ง จึงร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า ท่านสีกาอาตมภาพมาบิณฑบาตข้าวสุก ตามแต่จะศรัทธาสักเวลาหนึ่งเถิด
   ฝ่ายหญิงสาวเหล่านั้น เมื่อได้ยินก็ดีใจทุกคน ก็วางของเสียพากันหัวเราะออกแส้เสียง จึงพากันออกจากประตูแล้วพูดว่า ​ข้าพเจ้าไม่ทันนิมนต์ วันนี้ท่านมาถึงบ้านข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะศรัทธาถวายข้าวสงฆ์สักเวลาหนึ่ง นิมนต์ท่านนั่งข้างทิศไซทีก่อน ข้าพเจ้าจะได้จัดแจงถวาย พระถังซัมจั๋งได้ยินพูดดังนั้น คิดแต่ในใจว่าชอบแล้ว ทิศไซทีเป็นทิศที่ชัยภูมิพระพุทธเจ้า ผู้หญิงยังตั้งใจถึงทิศไซทีถวายสงฆ์ เป็นผู้ชายจิตจะควรไม่เนื่องถึงองค์พระ พุทโธ หรือ พระถังซัมจั๋งจึงปราสัย แล้วก็เดินตามหญิงนั้นเข้าไปที่เรือนมุมจากนั้น เดินข้ามหอนั้นมาแลไปก็ไม่เห็นห้องหอ เห็นเป็นคูเป็นถ้ำและหินเขาไปทั้งนั้น หญิงคนหนึ่งตรงเข้าไปที่ประตูศิลาเปิดออก นิมนต์พระถังซัมจั๋งเข้านั่งข้างใน พระถังซัมจั๋งพิศดูแล้วเดินไปข้างใน เห็นโต๊ะล้วนแต่ศิลาเครื่องตั้งเหล่านั้นก็ล้วนแต่ศิลาทั้งสิ้น มีไอเยือกเย็นพระถังซัมจั๋งนึกในใจว่าที่นี้ร้ายมากกว่าดี พวกผู้หญิงเหล่านั้นพากันหัวเราะยิ้มแย้ม จึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งให้นั่ง พระถังซัมจั๋งขัดไม่ได้ก็นั่งลงที่เตียงศิลา
ตอน ปราบปิศาจแมงมุมสาว (ช่วงที่ 1)
   หญิงสาวเหล่านั้นจึงมาถามว่า ท่านอยู่วัดไหนมาเรี่ยรายทำการอะไร พระถังซัมจั๋งบอกว่า อาตมภาพมิใช่พระเรี่ยราย อาตมภาพอยู่เมืองใต้ถังมีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้อาตมภาพไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎก ข้ามมาถึงตำบลนี้ได้ความหิวโหยจะมาขอบิณฑบาตข้าวฉันสักมื้อหนึ่ง แล้วก็จะลาไป หญิงเหล่านั้นได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าดีแล้วเขาย่อมว่า พระสงฆ์มาทางไกลเป็นสงฆ์เคร่งครัดดี พวกที่น้องเราอย่าเกียจคร้าน จงรีบไปจัดหาเครื่องแจมาถวายสักมื้อหนึ่ง เวลานั้นสามคนนั่งสนทนา​อยู่ในทางบาปบุญกับพระถังซัมจั๋ง ยังสี่คนเข้าไปจัดหาของในครัว อันที่จริงมันเอาเนื้อคนรวนและปิ้งทำต่างเครื่องเจ แลควักเอาสมองคนทำเต้าหู้และของหวานอีกถาดหนึ่ง รวมจัดสองที่แล้วยกมาวางบนโต๊ะศิลาแล้ว จึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งให้ฉัน พูดว่าเวลานี้รีบร้อนหาอะไรไม่ทัน ขอนิมนต์ท่านฉันตามมีพอแก้หิวก่อน
   พระถังซัมจั๋งได้กลิ่นเหม็นคาวจึงย่อกายพูดว่าสีกา อาตมภาพกินแจมาตั้งแต่เล็กของเนื้อสดคาวอย่างนี้ไม่เคยฉัน พวกหญิงเหล่านั้นหัวเราะพูดว่าท่านอาจารย์ของนี้ก็แจเหมือนกัน พระถังซัมจั๋งพูดว่าถ้าของนี้เป็นแจอาตมาไม่กล้าฉัน แม้พระสงฆ์ฉันเข้าไปแล้วก็จะมิได้เห็นพระพักตร์พระพุทธเจ้า อาตมภาพก็จะไม่ได้พระคัมภีร์กลับเมือง ขอสีกาได้ทราบเลี้ยงสัตว์ปล่อยสัตว์ดีกว่า จงปล่อยให้อาตมาไปเถิด พระถังซัมจั๋งลุกขึ้นจะเดินออกไป พวกหญิงเหล่านั้นก็พากันมากั้นประตูไม่ยอมให้ออกไป แล้วพูดว่ามาถึงที่ซื้อขายแล้วจะปล่อยตัวไปได้หรือ พวกปีศาจเหล่านั้นมีฝีมือทุกคน เข้าจับพระถังซัมจั๋งทั้งเป็นลากไปดุจจูงแพะ เอาไปผลักล้มลงกับพื้นแล้วก็ช่วยกันกดไว้ แล้วเอาเชือกเกลียวมาผูกชักรอกแขวนไว้บนขื่อเสร็จแล้ว ก็พากันมาช่วยถอดเสื้อจีวรออกหมด พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจที่ลอกเสื้อผ้าออกดังนี้เห็นจะเฆี่ยนเราดอกกระมัง หรือจะกินเราทั้งเป็นดังนี้ก็ไม่รู้ได้ อันที่จริงปีศาจถอดเสื้อผ้าออกแล้วก็เหลือแต่กางเกง ปีศาจก็แผลงฤทธิ์ที่สะดือก็ออกมาเป็นใยขาวทุก ๆ คนระยับดุจแสงเงินแสงเพชร ช่วยกันลากพันประเดี๋ยวใยนั้นก็ปิดประตูไม่มีทางออก
   ​ฝ่ายเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งพักอยู่ริมทางใหญ่ โป๊ยก่ายก็ปล่อยม้าให้กินหญ้าและคอยระวังข้าวของ ยังแต่เห้งเจียเที่ยวซนปีนป่ายตามต้นไม้ เด็ดใบหักกิ่งหาผลไม้กินตามสบาย หันไปมองที่หมู่บ้านนั้นมีสายสว่างก็รีบโดดลงมาจากต้นไม้ วิ่งมาร้องบอกว่าไม่ได้การแล้ว พระอาจารย์เห็นจะมีเหตุขึ้นเป็นแน่แล้ว เห้งเจียเอามือชี้ไปให้โป๊ยก่ายซัวเจ๋งดูที่ประตูบ้านนั้นเป็นอะไรดังนั้น โป๊ยก่ายแลไปเห็นขาวดุจน้ำค้างจึงพูดว่าแน่แล้ว พระอาจารย์เห็นจะโดนปีศาจเข้าแล้วพวกเรารีบไปช่วยโดยเร็วเถิด
   เห้งเจียพูดว่าน้องทั้งสองอย่าเพิ่งวุ่นวาย รอพี่ไปดูแล้วกลับมา เห้งเจียก็เดินเข้าไปใกล้ยืนพิเคราะห์ดู เห็นเป็นใยไหมสอดพันไปมาออกยุ่งเป็นชั้น ๆ ตั้งพันตั้งหมื่น เห้งเจียแอบเข้าไปใกล้เอามือกดดูอ่อน ๆ ยืด ๆ เหนียว ๆ เห้งเจียก็มิได้รู้ว่าสิ่งใดจะเอาตะบองตีแล้วยั้งมือคิดว่า ถ้าแข็งเราก็จะตีขาดได้นี่อ่อนยืดดังนี้ แม้ว่าเราไปถูกต้องเข้าพันติดเราอยู่ก็จะทำให้ลำบากอีกชั้นหนึ่ง เราจะถามดูก่อนจึงค่อยตีก็ได้ ก็ร่ายถาคาเรียกพระภูมิเจ้าที่มาในเดี๋ยวนั้น ถามว่าตำบลนี้เรียกอะไร พระภูมิเจ้าที่บอกว่าข้างหน้านั้นเรียกว่าเขาปั๊วซือซัว ข้างล่างนั้นเรียกว่าถ้ำปั๊วซือต๋องในถ้ำนั้นมีปีศาจหญิงอยู่เจ็ดคน
รูปภาพ ; ▲ ปีศาจแมงมุม 蜘蛛精 นางตีตูเจียงนี้กำเนิดเดิมเป็นแมลงมุมตัวเมีย มีฤทธาอานุภาพด้วยใย สำนักอาศัยอยู่ในถ้ำปั๊วซือต๋อง ตำบลเขาปั๊วซือซัว เมื่อพระถังซัมจั๋งมาถึงเข้าไปบิณฑบาต นางลวงจับไว้เห้งเจียตามมาพบนางที่สระน้ำได้ลักเอาเสื้อผ้าไปเสีย แล้วโป๊ยก่ายมารบกับนางถูกใยล้มกลิ้งอยู่ แล้วพากันหนีไป
   เห้งเจียถามว่าปีศาจนั้นมีฤทธาอานุภาพอย่างไร พระภูมิเจ้าที่บอกว่าข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะมีฝีมือและฤทธิ์เดชอย่างไร ข้าพเจ้าทราบแต่ว่าทางนี้ไปสักสามร้อยโยชน์ มีสระแห่งหนึ่งเรียกว่าสระต๊อกโก๊จั๊ว​เป็นของฟ้าเกิดขึ้นน้ำนั้นอุ่นดี เดิมนางฟ้าทั้งเจ็ดคนเคยลงมาอาบน้ำ ตั้งแต่ปีศาจหญิงนั้นมาอยู่ก็ชิงเอาสระนั้นเสีย นางฟ้าทั้งเจ็ดก็ไม่ต่อว่าอะไร ทุกวันนี้ก็ปล่อยให้มันมาเล่นน้ำอยู่เสมอ ๆ ข้าพเจ้านึกว่านางฟ้าไม่แผ้วพานถึงปีศาจ ๆ นั้นคงจะมีฤทธิ์ เห้งเจียถามว่าปีศาจมันชิงเอาสระนั้นไปทำอะไรหรือ พระภูมิเจ้าที่บอกว่า มันจองเอาสระนี้วันหนึ่งไปเล่นสามหน เวลานี้กำลังเที่ยงพอเวลาบ่ายมันก็จะพากันไปอาบเล่น เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็บอกให้พระภูมิเจ้าที่กลับไปยังที่ เห้งเจียก็แปลงตัวเป็นแมลงวันหนึ่งโผจับที่ยอดหญ้าริมทางคอยท่า สักประเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงซ่า ๆ ดุจตัวไหมกินใบไม้สักเคี้ยวหมากแหลก ใยที่คลุมประตูนั้นก็หายสูญ แลเห็นห้องหออยู่อย่างเดิม ประเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงเปิดประตู แลไปเห็นหญิงสาวเจ็ดคนเดินเกี่ยวก้อยกันมา มาเดินพลางหัวเราะพลางออกมา เห้งเจียแอบคอยพิเคราะห์ดูโดยละเอียด นางเหล่านั้นก็เดินพ้นสะพานศิลามา เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะคิดว่าปีศาจหญิงเหล่านี้ มันขังอาจารย์เราไว้แล้ว เพราะอาจารย์อยากมาบิณฑบาต นี่คงไม่ถึงสองวันมันก็จะกินเนื้ออาจารย์เราเป็นแน่ เราตามไปฟังดูว่ามันจะคิดกันอย่างไร
   เห้งเจียก็บินออกจากยอดหญ้ามาจับบนมวยผมคนเดินหน้านิ่งคอยฟัง เห็นคนเดินหลังวิ่งมาบอกแก่คนเดินหน้าว่า พี่ ๆ เราไปอาบน้ำแล้วกลับไปจับเอา​สงฆ์นั้นต้มกินเถิด พูดกันพลางประเดี๋ยวก็มาถึงสระ แลไปก็เห็นกำแพงศิลาล้อมรอบมีประตูสะอาด งดงามดีนางปีศาจสาวคนหนึ่งก็ตรงเข้าไปผลักประตูออกสองบาน เห้งเจียแลไปดูเห็นมีสระน้ำร้อน สมจริงดังพระภูมิเจ้าที่เล่าให้ฟัง จะใคร่ทราบว่าสระน้ำนี้เหตุเดิมมาอย่างไร
   คือเดิมเมื่อพึ่งมีคัยเพ็ก มีดาวเรียกว่าทั้ยเอี๊ยงแชสิบดวง มาภายหลังผู้วิเศษเอาศรยิง กาเก้าตกลงมาพื้นธรณี ก็ยังเหลือตัวหนึ่งคือดาวทั้ยเอี๊ยงนั้นเอง ที่ทุกวันนี้เรียกดวงอาทิดย์ เพราะฉะนั้นสระนั้นคือไอธาตุของพระอาทิตย์ จึงได้มีน้ำร้อนอยู่เป็นนิตย์ ใต้หล้านี้มีสระน้ำร้อนอยู่เก้าแห่ง คือกาเก้าตัวถูกศรตายนั้น บันดาลเป็นสระน้ำเก้าแห่ง คือกาเก้าตัวที่ถูกศรตายนั้น บันดาลเปนสระน้ำแห่งหนึ่ง สระจาเล้งจั๊วหนึ่ง  สระป่างซัวจั๊วหนึ่ง สระอุนจั๊วหนึ่ง สระตังหะจั๊วหนึ่ง สระฮ่องซัวจั๊วหนึ่ง สระเฮ้าอานจั๊วหนึ่ง สระกวั๋งฮุนจั๊วหนึ่ง สระเอี๋ยงจั๊วหนึ่ง สระเหล่านี้เรียกว่า ย๊อกโก๊จั๊ว เก้าสระ สระย๊อกโก๊จั๊วนี้กว้างห้าวากว่า ยาวสิบกว่าวา ลึกสี่ศอก น้ำใสแลเห็นก้นสระมีแสงวาววับดุจสีเงินและเพชร พลุ่ง ๆ ขึ้นทั้งสี่ด้านสระแลมีทางน้ำไหลป่วนออกเจ็ดแปดแห่ง ไหลออกไปตามทางท้องนาน้ำก็อุ่นอยู่เสมอเป็นนิตย์ ที่ข้างริมสระมีหอสามห้องหนึ่งหอ ข้างหลังหอนั้นมีเตียงตั้งอยู่หนึ่ง สองข้างมีไม้ราวผ้าสองราว เห้งเจียเห็นดังนั้นก็โผบินไปจับที่ราวผ้า
   ฝ่ายพวกปิศาจหญิงเหล่านั้นมาถึงสระน้ำ ต่างก็เปลื้องผ้าเสื้อ​พาดไว้บนราว เหลือแต่ตัวพากันลงเล่นน้ำตามสบาย บ้างดำบ้างว่ายตามประสาผู้หญิงที่เข้าใจว่าไม่มีใครรู้เห็นมิได้มีความอาย เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ให้นึกขวยเขินแก่ใจ จึงคิดว่าเราจะตีปีศาจพวกนี้ให้ตายก็ถือตะบองมาข้างสระเรียกว่าน้ำร้อนลวกหนูก็ตายทั้งรัง คิดดูก็น่าสังเวช หากว่าจะฆ่าเสียก็จะตายทั้งสิ้น แต่ชื่อเราจะเสีย คำโบราณท่านย่อมว่า ผู้ชายไม่ตีกับผู้หญิง อีกประการหนึ่งเราก็มีฝีมือลือชาว่าเป็นคนเก่ง จะมาตีพวกเหล่านี้ก็ไม่ชอบกล อย่ากระนั้นเลยเราจะคิดอุบายอย่างหนึ่งให้มันไปไม่ได้ ให้มันแช่น้ำอย่างนี้จึงจะดี คิดแล้วก็แปลงกายเป็นนกเหยี่ยวใหญ่ตัวหนึ่ง บินมาเฉี่ยวเอาเสื้อผ้าของปีศาจที่พาดไว้นั้นไปทั้งหมด บินข้ามยอดเขามาหาโป๊ยก่ายแล้วกลายเป็นรูปเดิม
   โป๊ยก่ายมารับหัวเราะพูดว่าอาจารย์เห็นพวกร้านขายของมันจะจับไว้ ซัวเจ๋งพูดว่าทำไมจึงรู้ไปก่อนเล่า โป๊ยก่ายว่าไม่เห็นหรือ พี่เห้งเจียแกหอบเอาเสื้อกางเกงมาเป็นกอง เห้งเจียเอาเสื้อผ้านั้นทิ้งลงแล้วพูดว่า เสื้อผ้านี้ของปีศาจมันนุ่งห่ม โป๊ยก่ายถามว่าทำไมจึงมากดังนี้ เห้งเจียว่า รวมเจ็ดสำรับด้วยกัน โป๊ยก่ายถามว่า ทำไมพี่จึงแก้ได้ง่าย ๆ ดังนั้นเล่า เห้งเจียบอกว่าจะต้องแก้ทำไมอันที่จริงตำบลนี้เขาเรียกว่า เขาปั๊วซือเนี้ยในหมู่บ้านนั้น เรียกว่าปั๊วซือต๋อง เป็นที่ถ้ำปีศาจอยู่ในถ้ำนั้น มีปีศาจหญิงเจ็ดคนบัดนี้มันจับอาจารย์เรามัดแขวนอยู่บนขื่อ ตัวมันพากันไปอาบน้ำร้อน มันคิดกันว่า ถ้ามันอาบน้ำแล้วจะกลับมากินเนื้ออาจารย์ พี่​จึงตามไปดูมันจนถึงสระน้ำ พวกมันพากันแก้ผ้าเปลือยกายลงเล่นน้ำหมดทั้งเจ็ดคน พี่คิดจะตีเสียให้ตายก็คิดขึ้นมาได้ว่า ฆ่าผู้หญิงจะมีชื่อเสียงเกียรติยศอย่างไร กลับจะพาให้ชื่อเสียงเสียไปด้วยเสียอีก คิดเห็นดังนี้แล้ว จึงแปลงเป็นนกเหยี่ยวโฉบเฉี่ยวเอาผ้าเสื้อมันมาหมด มันคงไม่กล้าขึ้นจากน้ำยังจะยืนแช่น้ำอยู่ เราพากันรีบไปช่วยอาจารย์ออกจะได้พากันไป
   โป๊ยก่ายพูดว่า ที่การอย่างนี้ก็เหมือนไว้รากเหง้าให้มันงอกอีกได้ ไปพบแล้วทำไมไม่ฆ่าเสียให้สิ้นเล่าจะเอาไว้ทำอะไรอีก ใจข้าพเจ้าคิดว่ากลับไปฆ่ามันเสียก่อนแล้วจึงไปแก้อาจารย์จะดีกว่า เห้งเจียพูดว่า เจ้าอยากไปตีก็ไปเถิดแต่ข้าไม่ไปแล้ว โป๊ยก่ายมีความยินดียิ่งนัก จึงตระเตรียมตัวให้มั่นคงแข็งแรงแบกคราดเหล็กเดินไปที่สระน้ำครั้นถึงก็ยืนแอบแลดู เห็นนางทั้งเจ็ดคน แก้ผ้าเปลือยกายอาบน้ำยังพากันยืนบ่นอยู่ในน้ำว่า อีนกเหยี่ยวตายโหงอีแมวจิกหัว มึงช่างแกล้งเฉี่ยวเอาเสื้อผ้าของกูไปหมด ทำให้กูขึ้นจากน้ำไม่ได้ โป๊ยก่ายยืนฟังอยู่นึกกระหยิ่มใจอดไม่ได้ก็เดินมาริมสระ ร้องเรียกว่า แม่น้องขอให้พี่อาบน้ำด้วยสักคนหนึ่งได้ไหม
   ฝ่ายนางปีศาจทั้งเจ็ดคน ได้ยินและเห็นโป๊ยก่ายก็โกรธพูดว่า แกเป็นผู้ชายอะไรหน้าด้านดังนี้ เขาเป็นผู้หญิงจะมาอาบน้ำร่วมกันได้หรือ คำโบราณท่านย่อมว่าชายกับหญิงอายุเจ็ดขวบมิให้ร่วมที่กัน แกจะมาร่วมสระแกเห็นชอบอย่างไรหรือ โป๊ยก่ายหัวเราะตอบว่า​เวลากำลังร้อนจะหาน้ำอาบพอชื่นใจเท่านั้น เจ้าจะง้างเอาตำราที่ไหนมาขัดขวางเราไม่ฟังเสียงเจ้า โป๊ยก่ายวางคราดแล้วก็เปลื้องเสื้อผ้าโจนลงไป นางปีศาจเหล่านั้น เห็นโป๊ยก่ายลงน้ำก็มีความโกรธแค้นจะใคร่ฆ่าตีโป๊ยก่าย มิได้รู้ว่าโป๊ยก่ายชำนาญในทางน้ำ โป๊ยก่ายแปลงเป็นปลาช่อนตัวดำว่ายน้ำอยู่ ด้วยน้ำนั้นใสนางทั้งเจ็ดก็แลเห็นตัวปลาถนัด จึงช่วยกันล้อมจับปลาก็ลอดหนีไปมาจับหาได้ไม่ จนมีความเหน็ดเหนื่อยทุกคน โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็แปลงกลับเป็นรูปเดิมขึ้นจากน้ำ เอาเสื้อผ้านุ่งห่มเสร็จแล้ว ก็จับคราดเหล็กมายืนอยู่ข้างสระร้องบอกว่า เฮ้ยพวกปีศาจที่พวกมึงไล่จับปลาช่อนนั้นคือตัวกูนี้เอง
   นางเหล่านั้นแลเห็นโป๊ยก่ายก็พากันตกใจ ถามว่านี่แกเป็นคนมาจากไหน แกชื่อเรียงเสียงไรทำไมจึงทำวุ่นวายดังนี้ โป๊ยก่ายตอบว่า มึงอีพวกปีศาจไม่มีเงาหัวจึงไม่รู้จักเรา เราคืออยู่ประเทศจีนเมืองใต้ถัง มีรับสั่งพระเจ้าแผ่นดินให้อาจารย์กูไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ยังประเทศไซที นามกูชื่อว่าตือโป๊ยก่าย พวกมึงล่อลวงจับอาจารย์กูไปไว้ในถ้ำคิดจะกินเนื้อ ๆ อาจารย์กูกินอร่อยนักไม่มีเนื้ออะไรจะสู้ได้ พวกมึงจงยื่นศรีษะมากูจะสับด้วยคราดคนละทีให้มันสิ้นโคตรเหง้า
   พวกปีศาจหญิงได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นต่างก็ตกตะลึง ยกมือไหว้ขอโทษโป๊ยก่ายว่า พวกข้าพเจ้ามีตาแต่ไม่รู้จักดูขอท่านได้​กรุณาพวกข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด อันอาจารย์ของท่านนั้นข้าพเจ้าได้จับไว้จริง แต่หาได้ทำอันตรายไม่ ขอท่านได้ให้ทานชีวิตแก่พวกข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะยอมออกสะเบียงอาหารให้แก่ท่านเป็นค่าเดินทางไปไซทีของท่านได้กรุณา โป๊ยก่ายได้ฟังจึงยกมือขึ้นสั่นห้ามว่าอย่าพูดอย่าพูดคำนี้ออกมา ซึ่งมึงพูดอ่อนหวานน้ำตาลทาก็โดยปราถนาจะลวงเรา เองอย่าพูดให้ป่วยการเสียเวลาเราไม่เชื่อเจ้าทั้งสิ้น โป๊ยก่ายก็เอาคราดสับคนละทีสองที พวกนางปีศาจเหล่านั้นก็วิ่งหลบหลีกสิ้นความอาย สองมือปิดที่ลับแล้วก็ขึ้นจากสระหนีมายืนอยู่ที่หอเล็ก ต่างก็แผลงฤทธิ์อานุภาพเสียงซ่า ๆ ชักใยออกจากสะดือพันสอดไปมาปิดมิดไม่แลเห็นพระอาทิตย์ บัดเดี๋ยวก็เป็นประทุนครอบโป๊ยก่ายไว้ โป๊ยก่ายแหงนหน้าขึ้นแลดูฟ้าก็มิได้เห็นแสงตะวัน ตกใจคิดจะวิ่งหนีออกนอกประตู
   ฝ่ายนางปีศาจเหล่านั้นชักใยปิดรีบปิดขวางเต็มทั่วโป๊ยก่ายจะก้าวไปใยก็พันขายืนไม่ถนัดก็ล้มคว่ำลงกับพื้น ใยก็มัดกลมล้มลุกคลุกคลานยิ่งดิ้นรนสายใยก็ยิ่งพันแน่นจนดิ้นไม่ไหว สิ้นกำลังก็หมอบฟุบหลับอยู่กับที่ พวกนางปีศาจทั้งเจ็ดคน ครั้นแผลงฤทธิ์มัดโป๊ยก่ายไว้แล้ว ก็มิได้ทำอะไรพากันวิ่งกลับไปยังสำนักเดิม ครั้นมาถึงสะพานก็ร่ายเวทเรียกใยที่มัดโป๊ยก่ายกลับคืน พากันวิ่งเข้าไปในถ้ำเห็นพระถังซัมจั๋งยังอยู่ก็พากันหัวเราะ แล้วเดินเข้าไปข้างในเอาเสื้อผ้าสวมใส่นุ่งห่ม แล้วก็เดินไปที่หลังถ้ำร้องเรียกว่าอีเล็กๆ ลูกของ​แม่ไปข้างไหนหมด เหตุเดิมนางทั้งเจ็ดคนนี้ ชักใยขวางอากาศจะใคร่หาสัตว์กัน เผอิญมีแมลงผึ้งเจ็ดตัวบินมาติดใยปีศาจทั้งเจ็ดจับมาจะกิน นางผึ้งจึงอ้อนวอนขอชีวิตจะยอมเป็นบุตร เพราะฉะนั้นนางปีศาจจึงมิได้กิน เลี้ยงไว้นางละคนเพื่อเป็นบุตรเลี้ยง
   ในขณะเมื่อนางปีศาจเรียกหา นางผึ้งน้อยทั้งเจ็ดก็วิ่งมาคุกเข่าลงกับพื้นถามว่า ท่านแม่จะมีธุระอะไรหรือจึงเรียกพวกข้าพเจ้า นางปีศาจจึงบอกว่าบัดนี้แม่ไปจับพระถังซัมจั๋งเมืองใต้ถังมาแขวนไว้ สานุศิษย์ของเธอติดตามมากระทำให้แม่มีความอาย ลูกจงช่วยแม่พากันไปขับให้มันไป ถ้ามีชัยชนะแล้วพากันไปหาแม่ที่บ้านลุงเจ้า นางทั้งเจ็ดสั่งนางผึ้งแล้ว ก็พากันออกจากถ้ำเดินลัดไปบ้านพี่ชายของตน
   ฝ่ายนางผึ้งทั้งเจ็ดต่างก็เตรียมตัวโดยแข็งแรงออกไปคอยสกัดอยู่ที่สะพานศิลา โป๊ยก่ายถูกใยมัดก็หลับไปพักหนึ่ง ครั้นตื่นแล้วก็ตกใจแหงนหน้าแลดูไม่เห็นใยที่พัน จึงผุดลุกขึ้นเดินกลับมาทางเก่าหาเห้งเจีย ๆ ถามว่าทำไมหัวและหน้าเจ้าจึงได้ฟกบวม โป๊ยก่ายบอกว่าข้าพเจ้าไปถูกอีปีศาจมันชักใยครอบไว้ มันกั้นรีกั้นขวางทั้งพื้นดินจนเดินไม่ได้ก็หกล้ม ครั้นใยนั้นสูญหายไปจึงมาได้ ซัวเจ๋งพูดว่าพี่จะไปหาภัยมาอีกแล้ว พวกปีศาจมันกลับไปมันคงจะทำร้ายอาจารย์เป็นแน่ พวกเราจงรีบไปช่วยพระอาจารย์เถิด เห้งเจียก็ออกหน้าเดินมา โป๊ยก่ายก็จูงม้าตามหลังมา พอถึงสะพานแลไปเห็นปีศาจผึ้งทั้งเจ็ดขึ้นยืนอยู่บนสะพานร้องห้ามว่าช้าก่อนอย่าเพิ่งเข้ามาเราอยู่นี่
   ​เห้งเจียแลไปเห็นก็หัวเราะแล้วพูดว่าอีเด็กเหล่านี้ กายสูงไม่ถึงศอก น้ำหนักก็ไม่เกินสิบชั่ง มึงเป็นทารกอะไรที่ไหน ปีศาจผึ้งบอกว่าเราคือลูกสาวของนางทั้งเจ็ด เจ้าทำหมิ่นประมาทแม่ข้ายังไม่รู้ความผิดหรือ ยังจะกลับมาตีอีกหรือ เจ้าอย่าหนีไปจงระวังตัวให้ดี พวกปีศาจผึ้งก็ตรงเข้ามาทำร้ายโป๊ยก่าย เห็นดังนั้นก็เกิดโทโสจ้บคราดเหล็กฟันฟาดขนาบไป พวกปีศาจผึ้งเห็นโป๊ยก่ายมีกำลังมาก เห็นจะต่อสู้ไม่ได้ ก็แปลงกายเป็นผึ้งโผบินขึ้นบนอากาศแผลงฤทธิ์ เกิดเป็นผึ้งขึ้นนับแสนนับโกฏิ เต็มไปทั้งอากาศตรงเข้าต่อยตามหูตามตาตามตัวปัดไม่ทัน โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นร้องว่าพี่ดูถูกตัวเล็ก ๆ เห็นหรือไม่
   เห้งเจียว่าเราไม่ต้องวิตก เราสามารถจะแก้ได้ พูดแล้วก็ถอนขนในตัวออกเส้นหนึ่งใส่ปากเคี้ยว แล้วพ่นออกไปแปลงเป็นนกยางขาว นกกาน้ำ นกกะทุง นกยางกรอกบินร่อนบนอากาศ แล้วโผเข้าไปในหมู่ผึ้งเก็บกิน บัดเดี๋ยวผึ้งเหล่านั้นก็สูญหายไปสิ้น สามพี่น้องก็เดินข้ามสะพานมาเข้าในถ้ำ แลไปเห็นอาจารย์แขวนอยู่บนขื่อ โป๊ยก่ายว่าอาจารย์อยากเข้ามาในถ้ำจึงถูกแขวน ข้าพเจ้าก็ถูกล้มคว่ำปากคอหน้าตาบวม
   เห้งเจียถามว่าอีพวกปีศาจมันไปข้างไหน พระถังซัมจั๋งบอกว่าเห็นมันวิ่งเปลือยกายมาในถ้ำเรียกลูกมันแล้วมันก็ออกไป พี่น้องทั้งสามก็ถือเครื่องมือเข้าไปค้นหาก็ไม่เห็น จึงพากันกลับออกมานิมนต์อาจารย์ขึ้นม้าออกเดิน เห้งเจียจึงพูดว่าต่อไปภายหน้าอาจารย์อย่า​ได้ขืนไปอีกเลย ต้องไว้ธุระพวกข้าพเจ้าไปทำธุระแทนให้ พระถังซัมจั๋งว่าทีหลังให้หิวจนตายก็ไม่ไปอีกแล้ว โป๊ยก่ายก็เที่ยวเก็บฟืนแห้งมากองสุมเผาห้องหอไหม้เป็นจุณไปทั้งสิ้น อาจารย์กับศิษย์ก็ตั้งใจหมายปราจิณทิศออกเดินไป
(บทที่ ๗๓)
 ครั้นออกจากถ้ำนั้นแล้วก็ขึ้นทางใหญ่ เดินมาสักครู่หนึ่งแลไปก็เห็นข้างริมทางมีห้องหอตึกรามเป็นลำดับเรียงรายเป็นทิวแถว พระถังซัมจั๋งจึงยอม้าถามว่าที่ตรงนั้นเป็นแห่งใดจงดูทีหรือ เห้งเจียหันหน้าไปดูเห็นรอยที่มีน้ำลำห้วยไหล น้ำใสมีแสงฟุ้งขึ้นดุจสีเพชรและเงิน ต้นไม้ดอกไม้หอมระรื่นดูสง่างาม แลร่มรื่นน่าสำราญ ดูดังวิมานสวรรค์ เห้งเจียบอกแก่อาจารย์ว่าที่ตรงนั้นดูเหมือนกับมีพระอารามเดินไปถึงจึงจะรู้แน่ได้ อาจารย์กับศิษย์ก็พากันเดินมายังหน้าประตูพิเคราะห์ดู ที่บนประตูมีแผ่นศิลาจารึกอักษรไว้สามตัวว่า (อึ้งฮวยก๊วน) โป๊ยก่ายพูดว่าอึ้งฮวยก๊วนนี้ คือสำนักของอิสี เราเข้าไปหาสนทนาเล่น ฝ่ายอิสีนั้นนุ่งห่มผิดแก่ทางพระ แต่ความปฏิบัติก็คล้าย ๆ กัน
   ซัวเจ๋งพูดว่าพี่โป๊ยก่ายคิดดังนั้นเห็นจะดี เราเข้าไปชมดู ถ้าสมคะเนเราจะได้หาข้าวให้อาจารย์ฉัน พระถังซัมจั๋งก็เห็นชอบด้วย จึงพากันเดินเข้าไปถึงประตูชั้นสอง เห้งเจียพูดว่าฤาษีนี้คงประกอบยาและเล่นอัคคีเป็นทางกสิณ อาจารย์กับศิษย์พากันเดินเรื่อยเข้าประตูชั้นสอง แลไปเห็นสำนักใหญ่ข้างระเบียงทิศ​ตะวันออก มีเตาสือคนหนึ่งนั่งปั้นยาอยู่ พระถังซัมจั๋งร้องเรียกว่าท่านใต้เซียนอาตมามาคำนับ เต้าสือคนนั้นตกใจหันหน้ามาดู ก็ทิ้งยาลุกไปหยิบเสื้อแล้ว ลงบันไดมารับเชิญว่า เชิญท่านเข้ามานั่งข้างใน เต้าสือก็เปิดประตูพาพระถังซัมจั๋งเข้าข้างใน พระถังซัมจั๋งก็ตามเต้าสือนั้นเข้ามา แลขึ้นไปบนที่บูชาเห็นมีรูปพรหมซัมเชงบูชาอยู่ พระถังซัมจั๋งเข้าไปจุดธูปบูชาแล้ว จึงนั่งลงที่เก้าอี้ปราศรัยสนทนาแก่เต้าสือ เต้าสือจึงให้คนไปจัดหาน้ำชามา เด็กคนใช้ก็ไปจัดหาน้ำร้อนน้ำชา บังเอิญมาพบพวกพยาบาทกันเข้า
   อันเหตุเดิมที่ถ้ำปั๊วซือต๋องนี้ นางทั้งเจ็ดเป็นอาจารย์เดียวกับเต้าสือคนนี้ ตั้งแต่เรียกลูกมันออกสู้รบแก่เห้งเจียแล้ว ก็พากันหนีมาแอบอยู่ในสำนักนี้ นั่งเย็บปักอยู่ข้างใน เมื่อเห็นเด็กทั้งสองคนเข้ามาจัดหาน้ำร้อนน้ำชา ก็ถามว่าเจ้าหนูแขกที่ไหนมาหรือจึงได้รีบร้อนดังนี้ เด็กนั้นบอกว่ามีพระสงฆ์สี่คนมาหาพระอาจารย์ จึงให้พวกข้าพเจ้ามาหาน้ำชาไปเลี้ยง นางปีศาจจึงถามว่ามีพระสงฆ์หน้าขาว ๆ หรือ เด็กบอกว่ามี ถามว่ามีอ้ายปากยาวหูใหญ่ด้วยหรือ เด็กบอกว่ามี นางทั้งเจ็ดจึงสั่งเด็กว่าเจ้าเอาร้อนน้ำชาไปให้แล้วจงขยิบตาให้อาจารย์เข้ามานี่ เรามีธุระร้อนจะพูดให้ฟัง เด็กนั้นรับคำแล้วยกน้ำชาออกไปเลี้ยงแขกจึงขยิบตาให้อาจารย์รู้สึก เต้าสือรู้ทันทีก็ลุกขึ้นพูดปราศรัยแก่พระถังซัมจั๋ง ว่านิมนต์ท่านนั่งฉันให้สบาย ข้าพเจ้ามีธุระจะไปสักประเดี๋ยวจะกลับมา พูดแล้วเต้าสือก็เดินเข้า​ไปข้างใน เห็นนางทั้งเจ็ดคุกเข่าลงกับพื้นกราบไหว้แล้วพูดว่าท่านพี่ได้ทราบ
   เต้าสือก็พยุงนางให้ลุกขึ้นแล้วถามว่า เจ้ามีธุระเหตุการณ์อะไรหรือ เมื่อแรกมาทำไมจึงไม่บอก มาวันนี้ประกอบยาต้องห้ามมิให้เห็นสตรี พี่ไม่ทันบอกให้เจ้ารู้ และเดี๋ยวนี้ก็มีแขกมาอยู่ข้างนอกเจ้ามีธุระอะไรแล้วจึงค่อยพูด นางปีศาจเหล่านั้นพูดว่า ท่านพี่ได้ทราบเพราะเหตุที่แขกนี้มาจึงมีเรื่อง หากคอยแขกนั้นไปแล้ว จะบอกให้ท่านพี่ฟังก็ไม่มีประโยชน์อะไร ที่แขกมานั้นคือพระสงฆ์เมืองใต้ถังจะไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎก เมื่อเช้ามาที่ถ้ำข้าพเจ้าบิณฑบาตอาหาร ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ฟังเขาเล่าลือกันว่า พระถังซัมจั๋งองค์นี้ ได้บวชปฏิบัติความบริสุทธิ์มาสิบชาติแล้ว สำเร็จภาคบริบูรณ์ หากผู้ใดได้กินเนื้อเธอก้อนหนึ่งอายุจะยืนนาน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าช่วยกันจับไว้แล้ว ถูกอ้ายปากยาวหูใหญ่มันกั้นพวกข้าพเจ้าอยู่ที่สระ ต็อกโก๊จั๊ว มันลักเอาผ้าเสื้อไปเสีย แล้วมันก็โดดลงในสระอาบน้ำปนกับข้าพเจ้า แลมันแปลงเป็นปลาช่อนเที่ยวว่ายเวียนลอดแข้งลอดขา จะใคร่ทำการข่มขี่ข้าพเจ้าเห็นข้าพเจ้าไม่ยอม มันจึงเอาคราดเหล็กไล่ตีไล่สับพวกข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่รู้ทันก็จะถึงแก่ความตาย ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงไม่คิดแก่ความอาย จึงวิ่งหนีขึ้นจากน้ำได้รอดชีวิต จึงให้หลานท่านพี่ออกไปสู้รบแก่มัน ยังไม่รู้ว่าตายเป็นประการใด ข้าพเจ้าหนีหาหาท่าน​พี่ทางนี้ก็ยังหาทราบไม่ ขอท่านพี่ได้เห็นแก่พวกข้าพเจ้าที่ได้ร่วมอาจารย์กัน ขอให้ช่วยแก้แค้นให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด
   เต้าสือได้ฟังนางทั้งเจ็ดเล่าให้ฟังดังนั้น ก็มีความโกรธสีหน้าผิดปรกติ พูดว่าพวกพระสงฆ์เหล่านี้ มีความหมิ่นประมาทไม่มีธรรมเนียม น้องทั้งหลายอย่ามีความวิตกจงวางใจเถิด ไว้ธุระพี่จะคิดอุบายแก้แค้นแทนให้ นางเหล่านั้นก็ทำความเคารพขอบคุนพูดว่าหากพี่ลงมือแล้วพวกข้าพเจ้าจะระดมเข้าช่วย เต้าสือบอกว่าไม่ต้องตี ๆ ก็สู้ไม่ได้ เจ้าทั้งหลายตามพี่ไปดู นางเหล่านั้นก็ลุกขึ้นเดินตามไป เต้าสือก็เข้าห้องในเอาบันไดพาดขื่อ แล้วปีนขึ้นไปหยิบเอาหีบยาเล็กลงมา ไขกุญแจหีบเอาห่อยาออก ยานี้คือประกอบทำด้วยมูลนกต่าง ๆ กวาดเก็บเอารวมน้ำหนักพันชั่ง ใส่หม้อทองแดงต้มเคี่ยวจนคงเหลือเท่าขันล้างหน้า แล้วประสมเคี่ยวไปออกจนเหลือเท่าผลตะขบใหญ่ก็เป็นยาพิษอันวิเศษ หากเอาลิ้นลิ้มรสก็ทันถึงที่ตาย
   เต้าสือจึงหยิบมาให้นางทั้งเจ็ดดู พูดว่ายานี้ประสิทธิ์คุณนัก หากให้มนุษย์ธรรมดากินก็จะสิ้นชีวิตทันที หากพวกฤาษีเซียนกินสองทีก็สิ้นชีวิต หากพวกสงฆ์เหล่านี้เธอบวชเรียนสำเร็จภาคอันเชึ่ยวขาญสักสามทีก็ตาย จงไปหยิบตาเต็งมาที นางคนหนึ่งจึงลุกไปหยิบตาเต็งมาให้เต้าสือ ๆ เอายาปันเป็นสี่ส่วน ๆ ละสามทีเอาถ้วยชาใส่สามถ้วย ถ้วยหนึ่งเอาพุดซาดำใส่สองถ้วยไม่ใส่ยาใส่ถ้วยไว้ถ้วยหนึ่ง ครั้นปันเสร็จแล้วก็เอาใส่ถาดไว้ห้าถ้วย จึงสั่ง​นางทั้งเจ็ดนั้นว่า หากพี่ออกไปถามดูไม่ใช่พระถังซัมจั๋งก็ชั่งเถิด หากแน่ว่าพระถังซัมจั๋งมาจากเมืองใต้ถังแล้ว พี่เรียกให้เอาน้ำชามาน้องจงให้เด็กยกออกไป ให้เธอกินแล้วก็ตายทุกคน นั้นแลพี่จะแก้แค้นให้ นางทั้งเจ็ดได้ฟังเต้าสือชี้แจงดังนั้นก็มีความยินดีเป็นที่สุด
   เต้าสือครั้นสั่งเสร็จแล้ว ก็ผลัดเสื้อออกมายกมือทำคำนับพระถังซัมจั๋งพูดว่า ข้าพเจ้าเข้าไปข้างในสั่งให้พวกเด็ก ๆ จัดหาเครื่องแจมาถวายสักเวลาหนึ่ง พระถังซัมจั๋งพูดว่า อาตมภาพมาหาโดยความนับถือ มิได้ตั้งใจจะมารบกวน ให้ท่านได้ความลำบากดังนี้ เต้าสือหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านอาจารย์กับข้าพเจ้าก็เป็นคนบวชเรียนเหมือนกัน เห็นสำนักกุฎิแล้วก็คงมีความอิ่มเอิบ จะเกรงใจถ่อมตัวทำไมมี ข้าพเจ้าขอถามท่านอาจารย์อยู่สำนักวัดไหนมาด้วยกิจธุระอันใด จึงได้มาจนถึงที่นี่ พระถังซัมจั๋งตอบว่า อาตมภาพนี้เป็นคนชาวเมืองใต้ถัง เพราะมีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้ไปยังไซทีเพื่ออาราธนาพระไตรปิฎกธรรม จึงได้ข้ามมาถึงสำนักแห่งท่าน จะใคร่เข้ามานมัสการ เต้าสือได้ฟังดังนั้น สีหน้าก็ชื่นบานพูดว่า ท่านอาจารย์มีความซื่อตรงกตัญญูมีบุญอภินิหารอันใหญ่ ข้าพเจ้ามิได้รับรองให้เต็มเคารพ ขอท่านได้อนุญาตให้โอกาศแก่ข้าพเจ้าเถิด จึงร้องเรียกพวกเด็ก ๆ ให้ยกน้ำชามา แลสั่งให้จัดเครื่องแจ
   เด็กเหล่านั้นก็วิ่งเข้าไปข้างใน พวกหญิงเหล่านั้นก็ชี้ให้เด็กยกน้ำถ้วยที่ถาดนั้นออกไป เต้าสือสอง​มือยกถ้วยหนึ่ง ถวายพระถังซัมจั๋ง ยังอีกสามถ้วย เธอเห็นโป๊ยก่ายรูปร่างใหญ่โต คิดว่าเป็นสานุศิษย์ที่ ๑ จึงยกถ้วยหนึ่ง ซัวเจ๋งว่าที่สองก็ยกให้ถ้วยหนึ่ง เห็นเห้งเจียรูปร่างเล็ก ๆ จึงให้ถ้วยที่สาม เห้งเจียรับถ้วยมาตาชะแง้ดูในถาด เห็นมีอีกถ้วยหนึ่งพุดซาผลสีดำ จึงพูดว่าในถาดนั้น ขอให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนเอาเถิด
   เต้าสือหัวเราะพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ปิดท่านดอก ที่แถบนี้ผลไม้ไม่บริบูรณ์ ข้าพเจ้าพึ่งให้ค้นหาข้างหลังสำนักมาได้ผลพุดซาสุกสิบสองผล ปันเป็นสี่ส่วนเอามาคำนับท่านพอเป็นที่ชื่นใจ ส่วนข้าพเจ้าไม่ควรจะตอบเป็นธรรมเนียม จึงเอาสองผลพุดซาอย่างต่ำพอนั่งกินเป็นเพื่อนท่านทั้งสี่พอเป็นกิริยาที่นับถือเท่านั้น เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ทำไมท่านจึงพูดดังนั้นเล่า โบราณท่านย่อมว่า อยู่กับบ้านไม่ใช่จนทางจน จนก็ต้องฆ่าคน ท่านเต้าสืออยู่กับบ้านทำไมจึงถ่อมตัวว่าจน ขอให้ท่านเปลี่ยนแก่ข้าพเจ้าเถิด
   พระถังซัมจั๋งว่าท่านใต้เซียนมีจิตโอบอ้อมรักเราจงกินเถิด เห้งเจียจะเปลี่ยนอะไรที่ไหนเล่า เห้งเจียจึงรับถ้วยมาเอามือซ้ายปิดปากถ้วยไว้แล้วคอยดู โป๊ยก่ายกำลังหิวอยาก เห็นในถ้วยมีผลพุดซาสามผล หยิบใส่ปากกลืนเข้าไปในท้อง พระถังซัมจั๋งซัวเจ๋งก็กินทั้งสามคน พอตกถึงท้องในทันใดนั้น โป๊ยก่ายสีหน้าก็ผิดปรกติซัวเจ๋งน้ำตาก็ไหลออกมาพรั่งพราย พระถังซัมจั๋งก็อาเจียน ต่างก็เมามึนล้มลงกับที่ เห้งเจียก็รู้สึกว่าถูกยาพิษทั้งสามคน ก็โกรธจึงเอาถ้วย​ที่ถืออยู่นั้นขว้างไปตรงหน้าเต้าสือ ๆ ก็เอามือเสื้อรับ ถ้วยก็ตกลงกับพื้นแตกกระจายไป เต้าสือก็โกรธพูดว่าอ้ายคนนี้อยาบช้าทำไมทำถ้วยของเราแตกไปดังนี้
   เห้งเจียพูดว่ามึงดูสามคนนั้นว่ากระไร เรามิได้เกี่ยวข้องอะไรแก่เจ้าเลย เหตุใดเจ้าจึงเอายาพิษมาให้อาจารย์เรากินดังนี้ เต้าสือพูดว่าอ้ายสัตว์เดรัจฉานมึงทำร้ายมาแล้วมึงเข้าใจว่ากูไม่รู้หรือ เห้งเจียตอบว่าข้าพึ่งมานี่ก็ยังมิได้กล่าวคำหยาบช้าและทำอะไรแก่เจ้าเลย เต้าสือถามว่าเจ้าเคยแวะที่ถ้ำปั๊วซือต๋องบิณฑบาตหรือเปล่า แลได้ไปอาบน้ำที่สระต๊อกโก๊จั๊วหรือเปล่า เห้งเจียว่าที่สระนั้นคือนางปีศาจทั้งเจ็ด เจ้าพูดคำนี้ออกมาเจ้าก็เป็นพวกปีศาจ มึงก็เป็นปีศาจเหมือนกัน มึงจงกินตะบองสักทีหนึ่งว่าแล้วเห้งเจียก็ชักตะบองกายสิทธิ์ออกจากหู แกว่งไปทีหนึ่งแล้วตีลงตรงหน้าเต้าสือ ๆ ก็หลบหันกลับเข้าไปเอาเกี่ยมวิเศษออกมาต่อสู้กัน ฝ่ายพวกปีศาจหญิงทั้งเจ็ดคน ก็พากันออกมาร้องว่าไม่ต้องลำบากถึงท่านพี่ ไว้พวกข้าพเจ้าจะจับมันเอง
ตอน ปราบปิศาจแมงมุมสาว (ช่วงที่ 2)
   เห้งเจียแลเห็นนางเหล่านั้นก็บังเกิดโทสะขึ้น ยกตะบองขึ้นตีขนาบเข้าไปมิได้รอรั้ง ปีศาจทั้งเจ็ดก็แก้เอี๊ยมออกจากอก แผลงฤทธิ์ออกมาเป็นใยร้อยสอดเป็นเพดานครอบเห้งเจียไว้ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หกขะเมนขึ้นทีหนึ่งทะลุใยนั้นออกไปยืนอยู่บนอากาศ พิเคราะห์ดูเห็นพวกปีศาจช่วยกันร้อยสอดมุงไปมา บัดเที่ยวใจก็ปิดสำนักห้องหอตึกรามแลไม่เห็นทั้งสิ้น เห้งเจียแลเห็นดังนั้นออกปากว่าร้ายแรง​จริง เมื่อแรกเรามิได้โดนฝีมือมัน โป๊ยก่ายไปถูกเขาจึงได้ล้มคว่ำล้มหงายอย่างนี้เอง อาจารย์กับน้องก็ถูกยาพิษของมันแล้ว เราก็มิได้รู้เหตุเดิมมันว่าเป็นประการใด จำเราจะต้องถามภูมิเจ้าที่ดูหากจะรู้ได้ คิดแล้วเห้งเจียก็ร่ายพระเวทวิทยาเรียกภูมิเจ้าที่ ๆ ก็มาในทันใด เห้งเจียจึงถามว่าท่านเข้าใจอย่างไรว่านางปีศาจทั้งเจ็ดนี้มันชักไยออกมานั้นเป็นปีศาจชนิดใดมาจากไหน
   พระภูมิเจ้าที่จึงแจ้งความว่า มันมาอยู่ที่นี่ยังไม่ถึงสิบปี แต่เมื่อสามปีก่อนข้าพเจ้าเห็นมันถอดรูปเดิมออก คือเป็นตัวแมงมุมเจ็ดตัวที่คลายใยออกนั้นคือใยแมงมุม เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงพูดว่าท่านจงกลับไปยังที่เดิมของท่านเถิด ภูมิเจ้าที่ก็คำนับลาเห้งเจียไป เห้งเจียก็มาที่สำนักปีศาจอึ๊งฮวยก๊วนถอนขนหางออกเจ็ดสิบเส้น ก็เป่าให้แปลงเป็นรูปเห้งเจียน้อย ๆ เจ็ดสิบตน ทุก ๆ ตัวถือตะบองเหล็กคนละอัน เห้งเจียเองก็ถือตะบองยืนอยู่ข้างหน้า จึงสั่งให้พร้อมกันเข้าระดมเอาตะบองตีกวาดม้วนเข้าประมาณหนักสักสิบชั่ง นางทั้งเจ็ดก็ติดอยู่ในใยนั้น เห็นเป็นตัวแมงมุมเจ็ดตัวโตสักเท่ากระถางปากแดง ร้องขอชีวิตแก่เห้งเจียน้อย ๆ ก็เอาตะบองกดไว้ เห้งเจียว่าอย่าทำมันให้มันเอาอาจารย์กับน้องมาคืนให้จึงจะยกชีวิตให้แก่มัน นางปีศาจเหล่านั้นก็ร้องบอกแก่เต้าสือว่าท่านจงปล่อยอาจารย์กับน้องของเธอออกมาให้เธอเสียเถิด ชีวิตข้าพเจ้าทั้งเจ็ดนี้จะได้รอดจากความตาย
   ​เต้าสือกระโดดออกมาร้องว่า เราจะกินเนื้อถังซัมจั๋งช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งมีความโกรธยิ่งนัก จึงพูดว่ามึงไม่เอาอาจารย์มาคืนให้กู มึงจงดูน้องสาวของมึงให้เห็นแก่ตา เห้งเจียก็เอาตะบองฟาดแมงมุมตายหมดทั้งเจ็ดตัว ศพแมงมุมดุจถุงใส่แป้งโลหิตไหลนอง เห้งเจียก็เรียกขนกลับเข้าตัวตามเดิม แล้วก็ตรงเข้าตีเต้าสือ ๆ ก็เอาเกี่ยมรับไว้ รบสู้กันโดยกำลังความสามารถบุกบั่นฟันฟาดกันไปมาได้ห้าหกสิบเพลง ฝ่ายปีศาจเต้าสือกำลังก็อ่อนลงจึงถอดเสื้อในตัวออกแล้วก็ยกมือขึ้น ด้วยใต้รักแร้ มีตาตั้งพันทุก ๆ ตาฟุ้งออกมากเป็นแสงทองคลุมครอบเห้งเจียไว้ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็กลับไปกลับมาออกไม่ได้ดุจอยู่ในถังครอบ ธุรนธุรายจึงกระโดดขึ้นไปทีหนึ่งก็ตกลงมารู้สึกเจ็บศรีษะ จึงเอามือลูบดูก็เห็นบวมช้ำคิดเสียใจว่า หัวของเราวันนี้ไม่ดีเสียแล้ว แต่ก่อนนั้นทั้งมีดทั้งขวานและอาวุธต่าง ๆ ก็ไม่ทำอะไรได้ วันนี้ไปโดนแสงปีศาจเข้าก็บวมไปและเจ็บดังนี้ จึงคิดว่าข้างไหนก็ไปไม่ได้ จำจะต้องหนีลงข้างดินจึงจะไปได้
   คิดดังนั้นแล้วก็ร่ายพระเวทคาถาไหวกายาแทรกพระธรณีหนีลงไปใต้ดิน ก็ออกพ้นไปยี่สิบโยชน์ ที่แสงรอบนั้นประมาณสิบโยชน์ เห้งเจียออกมาพ้นแล้ว กำลังก็อ่อนเปลี้ยระบมไปทั้งกาย นึกถึงอาจารย์น้ำตาก็ไหลลงอาบหน้า ในขณะเมื่อเห้งเจียนั่งร้องไห้อยู่นั้น ได้ยินเสียงเรียกอยู่ข้างหลังเขาจึงหันไปดู ก็เห็นหญิงชราคนหนึ่งนุ่ง​ขาวห่มขาวมือขวาถือถาดข้าว มือซ้ายถือกระดาดเงินกระดาดทองเดินพลางร้องไห้พลาง เห้งเจียสั่นศรีษะแล้วออกปากพูดว่า เราร้องไห้มาพบปะร้องไห้เข้าอีก โทมนัสก็มาพบปะโทมนัสเข้าอีกฉะนี้ หญิงคนนี้ไม่รู้ว่าร้องไห้ด้วยเหตุอะไร จำเราจะต้องถามดูให้รู้เรื่อง พอหญิงคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ เห้งเจียจึงย่อตัวถามว่าท่านแม่จะไปข้างไหน ร้องไห้ถึงใครที่ไหนหรือ นางนั้นยิ่งสะอึกสะอื้น แล้วพูดว่าสามีของข้าพเจ้าไปซื้อไม้ไผ่ที่สำนักอึ้งฮวยก๊วน เจ้าของอึ้งฮวยก๊วนโต้ตอบพูดจากัน มันเอายาพิศษไส่ให้ผัวข้าพเจ้ากินตาย ข้าพเจ้าจึงเอาเข้าน้ำกระดาษมาเซ่นไหว้เป็นผัวเมียรักกัน
รูปภาพ ; นางลี่ซัวเล่าโป๊นี้เป็นฝ่ายฤาษีเซียนใหญ่ มีเดชานุภาพเชี่ยวชาญทั้งวุฒิ ฤทธิ์เดชอานุภาพกล้าหาญทั้งฌาณก็แก่กล้า สำนักอยู่ที่เขาลี่ซัวเป็นผู้แนะนำให้เห้งเจียไปหานางไผ้นาฝอปราบปีศาจ
รูปภาพ ; นางไผ้นาฝอนี้รักษาศีลอยู่ที่เขาจี๋หุ้นซัวถ้ำเชยฮวยต๋อง ความปฏิบัติแก่กล้ามีเข็มทองอันหนึ่ง อาจปราบปีศาจและสัตว์ร้ายได้ นางเป็นมารดาของเบ้ายิด คือพระอาทิตย์ได้มาช่วยเห้งเจียปราบปีศาจร้าย
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็คิดถึงอาจารย์ขึ้นมาหน้านิ่วคิ้วย่นก็ร้องไห้ หญิงชราก็โกรธจึงพูดว่าข้าพเจ้าคิดถึงผัวจึงร้องไห้ ตัวเกี่ยวข้องอะไรด้วย จึงมาร้องไห้ล้อเราดังนี้ เห้งเจียบอกว่าท่านแม่อย่าโกรธข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าคือคนชาวเมืองใต้ถัง มีรับสั่งให้อาจารย์ข้าพเจ้าไปไซที ข้าพเจ้านามเรียกว่าซึงหงอคง เหตุข้ามมาถึงที่หยุดพักที่ในสำนักนั้น ไม่รู้ว่าปีศาจอะไรเอายาพิษใส่ในผลพุดซาให้อาจารย์และน้องกิน รวมทั้งม้าก็ติดอยู่ในสำนักนั้น รอดแต่ข้าพเจ้าเพราะไม่กินของมัน ได้สู้รบแก่มันครึ่งวันมาแล้ว มันแก้เสื้อออกที่ใต้ร้กแร้มันทั้งสองข้างมีตามากนับพัน ฟุ้งออกไปเป็นแสงทองคลุมครอบข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าหนีมุดดินมาได้เดี๋ยวนี้กำลังคิดถึงอาจารย์ก็นั่งร้องไห้
   ครั้นเห็นท่านแม่มาจึงได้ถามถึงเหตุผล ท่านแม่ยังมีข้าวน้ำมาเซ่นตอบแทนสามี ​อาจารย์ข้าพเจ้าตายก็ไม่มีอะไรสักสิ่งหนึ่งซึ่งจะได้ตอบแทน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงแค้นขึ้นมาก็ร้องไห้ ความจริงมิได้คิดที่จะล้อเลียนอะไรเลย หญิงชราผู้นั้น คำนับตอบแล้วพูดว่าข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านถูกภัยร้ายอย่างนั้น ได้ทราบเพราะท่านพูดออกมา ท่านไม่ทราบหรือเต้าสือนั้น นามเรียกว่าแปะงั้นหม้อกุน คือท้าวพันตา แลเรียกโตมักกวั่ย คือปีศาจตามาก หากท่านเปลี่ยนแปลงหนีรอดสายทองนั้นมาได้ข้าพเจ้าจะบอกให้ไปเชิญท่านผู้วิเศษนั้นจึงจะปราบทำลายแสงทองนั้นได้ เห้งเจียได้ฟังก็ดีใจ ถามว่าท่านแม่ได้โปรดชี้แห่งให้ข้าพเจ้าด้วยท่านผู้วิเศษอยู่แห่งใด
   หญิงชราพูดว่า ข้าพเจ้าจะชี้ให้ไปเชิญมาแก้แค้นให้ได้โดยแท้ แต่ที่อาจารย์นั้นแก้ไมได้ เห้งเจียถามว่าทำไมจึงจะแก้ไมได้ ขอท่านแม่ได้โปรดชี้แจงให้ข้าพเจ้าทราบด้วย แม่หญิงพูดว่า ยาพิษนั้นร้ายนักแม้ว่ากินเข้าไปสามวันแล้ว กระดูกเล็กใหญ่ก็จะป่นละเอียดไปทั้งสิ้น หนทางที่จะไปกลัวจะช้ามาไม่ทันแก้ เห้งเจียพูดว่า บางทีจะไปมาใกล้ไกลเท่าใดก็อยู่ในครึ่งวันเพราะข้าพเจ้าชำนาญเหาะได้
   แม่หญิงบอกว่าหากท่านเหาะได้แล้วเราจะบอกให้ คือทางนั้นประมาณพันโยชน์ ที่แห่งนั้นมีภูเขาใหญ่นามเรียกว่า (จี๋หุ้นซัว) ในเขานั้นมีถ้ำเรียกว่า (เชยฮวยต๋อง) มีผู้วิเศษนนามเรียกว่า (ไผ้นาฝอ) เธอปราบกำจัดปีศาจนี้ได้ เห้งเจียถามว่าภูเขานั้นอยู่ข้างทิศไหน นางเอามือชี้บอกว่าตรงทิศอาคเนย์ไปนั้นและ เห้งเจียหันหน้าไปดูทิศแล้วหันกลับมาก็ไม่เห็น​แม่หญิงนั้น จึงแหงนหน้าขึ้นไปดูเห็นเป็นเจ้าแม่ (ลี่ซัวเล่าโป๊) เห้งเจียก็เหาะขึ้นไปตามยกมือขอบคุณ แล้วถามว่าเจ้าแม่เล่าโป๊ไปข้างไหนมาหรือ จึงได้มาชี้แจงให้ข้าพเจ้า เล่าโป๊บอกว่าข้าพเจ้าไปที่ประชุม (เล่งฮวยหวย) กลับมา เห็นอาจารย์ของใต้เซียถูกภัยร้ายจึงได้มาช่วย ท่านจงรีบไปเชิญผู้วิเศษมาเถิด อย่าบอกว่าข้าพเจ้าชี้ให้ ด้วยผู้วิเศษมักจะโกรธคนง่าย ๆ
   เห้งเจียก็คำนับลาเหาะละลิ่วมาบัดเดี๋ยว ก็ถึงเขาจี๋หุ้นซัว จึงหยุดแลดูเห็นถ้ำเชยฮวยต๋อง ก็ลดลงยังพื้นเดินเข้าไปเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นคนดูเงียบสงัด ไก่และสุนัขก็มิได้ยินเสียง นึกในใจว่าเห็นท่านผู้วิเศษจะไม่อยู่ดอกกระมัง ก็เดินเข้าไปอีกพักหนึ่ง แลไปก็เห็นนางหญิงคนหนึ่งมีกิริยาเป็นผู้ถือบวชนั่งอยู่บนเตียง เห้งเจียก็เข้าไปยกมือพูดว่าท่านไผ้นาฝอข้าพเจ้าคำนับ นางนั้นก็ลงจากเตียงคำนับตอบ พูดว่าข้าพเจ้าไม่ทันออกไปรับท่านใต้เซีย ท่านไปข้างไหนมาหรือ เห้งเจียถามว่าท่านทำไมรู้จักข้าพเจ้า ไผ้นาฝอจึงพูดว่า เมื่อเวลาท่านทำวุ่นวายบนสวรรค์ในรอบท้องฟ้าใครจะไม่รู้จักท่าน เห้งเจียบอกว่าบัดนี้ ข้าพเจ้าถือศีลเข้าเพศสัมมาทิฐิแล้ว ท่านไม่ทราบหรือ
   ไผ้นาฝอว่าท่านกลับใจได้ดีแล้ว ข้าพเจ้าพลอยโมทนาด้วย เห้งเจียบอกว่า บัดนี้ข้าพเจ้าตามพระถังซัมจั๋งจะไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมยังประเทศไซที ข้ามมาถึงสำนักอึ้งฮวยก๊วน ปีศาจเต้าสือเอายาพิษใส่ให้อาจารย์ข้าพเจ้ากินล้มลง ข้าพเจ้าจะต่อสู้แก่มัน ๆ แผลงฤทธิ์​อานุภาพเป็นแสงทองมาคลุมครอบข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าแผลงฤทธิ์ดำดินหนีออกมาได้ ข้าพเจ้าทราบว่าท่านแม่มีฝีมืออาจจับปีศาจนี้ได้ จึงมาเชิญให้ไปช่วยสักครั้งหนึ่ง ไผ้นาฝอถามว่านี่ใครบอกจึงได้รู้ ข้าพเจ้าตั้งแต่ครั้งไปประชุมฮื้อนาหวยมาจนบัดนี้สามร้อยปีกว่าแล้ว ไม่เคยออกจากที่ไปข้างไหนแอบหาที่สงัดรักษาอารมณ์อยู่ ก็ไม่มีใครรู้เหตุ ท่านใต้เซียทำไมจึงรู้จักทางเข้ามาถึงที่นี่
   เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าคือผีแผ่นดินที่ไหนๆ ก็เที่ยวซอกซอนสืบถามก็รู้ได้ ไผ้นาฝอว่าดังนั้นก็ช่างเถิด ข้าพเจ้าจะไม่ไปก็ขัดใต้เซี้ยไม่ได้ท่านได้มาถึงนี่แล้วไม่ควรจะตัดรอน ซึ่งการกุศลที่ใต้เซียจะไปอาราธนาพระธรรม จะต้องไปช่วยใต้เซียสักครั้งหนึ่ง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ขอบคุณและดีใจที่สุด แต่ไม่ทราบว่าท่านจะเอาเครื่องมืออะไรไป ไผ้นาฝอบอกว่า ข้าพเจ้ามีเข็มปักอันหนึ่งอาจทำลายของร้ายแห่งปีศาจได้ เห้งเจียถามว่าอันเข็มปักนั้น เดิมข้าพเจ้าก็มีเหมือนกัน ไผ้นาฝอว่าของใต้เซียนั้นเป็นของเหล็กและทองเหลืองทองคำใช้ไม่ได้ อันของวิเศษของข้าพเจ้านี้ไม่เหมือนของท่านเป็นของบุตรข้าพเจ้าประกอบแก้วตาให้เป็นขึ้น เห้งเจียถามว่าบุตรของท่านคือใครที่ไหน ไผ้นาฝอตอบว่าคือดาวยิดเบ๊าแซนั้นและ
   เห้งเจียได้ฟังก็ใจหาย ต่างก็พากันเหาะมา แลไปข้างหน้าเห็นแสงระยับระย้า เห้งเจียเอามือชี้ว่าที่แสงนั้นและเป็นสำนักอึ้งฮวยก๊วน นางไผ้นาฝอจึงชักเข็มวิเศษออกจากคอเสื้อ สักเท่าขนคิ้ว ยาวสักองคุลี​ครึ่ง นางไผ้นาฝอหมายที่แสงทองนั้นแล้วก็ขว้างไป สักประเดี๋ยวเสียงด้งเปรี้ยง แสงทองก็อันตรธานสูญหายไปทันที เห้งเจียว่าวิเศษแท้ ๆ นางไผ้นาฝอก็แบมือยื่นบอกว่านี่มิใช่เข็มหรือ เห้งเจียก็พร้อมกับนางไผ้นาฝอลงยังพื้น เดินเข้าไปยังสำนักที่รับแขกแลเห็นเต้าสือยืนหลับตาอยู่หน้าสำนัก เห้งเจียด่าว่าอ้ายสัตว์ร้ายมึงมีใจคิดฆ่าได้ ชักตะบองออกจะตี นางไผ้นาฝอร้องห้ามไว้ ให้เข้าไปดูอาจารย์ก่อน เห้งเจียก็เดินเข้าไปเห็นอาจารย์โป๊ยก่ายซัวเจ๋งฟุบอยู่กับพื้น รากเขียวรากเหลืองออกมาทุก ๆ คน เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ร้องไห้
   นางไผ้นาฝอพูดว่าท่านใต้เซียอย่าโทมนัสไปเลย ข้าพเจ้ามาวันนี้ก็ปราถนาจะทำการกุศลด้วย ข้าพเจ้าได้เอายาติดมาด้วยสามเม็ดอาจแก้ยาพิษนั้นได้ ว่าแล้วก็ล้วงเอายาออกจากมือเสื้อฉีกออกจากห่อกระดาดษเอายาสามเม็ดนั้นส่งให้เห้งเจีย ให้เอาใส่ในปากประเดี๋ยวก็จะฟื้น เห้งเจียรับยามาแล้ว ก็งัดปากให้อ้าออกเอายาใส่ปากให้คนละเม็ด พอฤทธิ์ยาเข้าไปในท้องสักประเดี๋ยว ก็อาเจียนยาพิษร้ายออกมาหมดก็พากันฟื้น โป๊ยก่ายกระโดดขึ้นว่ายาพิษหายแล้ว พระถังซัมจั๋ง ซัวเจ๋งก็ผุดลุกขึ้นนั่งพูดว่ามึนเมาจริง ๆ เห้งเจียบอกว่าถูกยาพิษของปีศาจ หากได้พึ่งท่านไผ้นาฝอมาช่วยแก้จึงฟื้นได้ จงมาเคารพขอบคุณท่านเถิด
   พระถังซัมจั๋งแลสานุศิษย์ได้ยินดังนั้น ต่างก็มาเคารพขอบคุณทุกคน โป๊ยก่ายถามว่าอ้ายเต้าสือมันอยู่ที่ไหน จะใคร่ถามมันดูว่า​เหตุใดมันจึงได้คิดฆ่าเราดังนี้ เห้งเจียก็เล่าเรื่องนางแมงมุมนั้นให้ฟัง โป๊ยก่ายก็ยิ่งโกรธว่ามันกับอีแมงมุมนั้นเป็นพี่น้องกัน มันก็เป็นปีศาจเหมือนกัน เห้งเจียชี้มือว่ามันยืนหลับตาอยู่หน้าสำนักจงไปล้างเสีย โป๊ยก่ายก็จับคราดจะลงมาสับ นางไผ้นาฝอร้องห้ามว่าอย่าเพิ่งก่อน ท่านพ่องง่วนส่วยระงับโทสะก่อน ข้าพเจ้าไม่มีคนเฝ้าประตู ขอให้ข้าพเจ้าไปไว้เฝ้าประตู เห้งเจียคำนับว่าขอเชิญท่านเถิด ท่านต้องการแล้วข้าพเจ้าไม่อาจขัดท่าน ขอให้ท่านให้มันแปลงกลับรูปเดิม เพื่อพวกข้าพเจ้าจะได้ทราบว่าปีศาจอันใด นางไผ้นาฝอพูดว่าจะยากอะไร จึงเอามือชี้เต้าสือทีหนึ่งก็ล้มตึงลงกับพื้น กลายเป็นตะขาบตัวหนึ่งยาวเจ็ดศอก นางไผ้นาฝอก็เอานิ้วก้อยช้อนขึ้นแล้วก็เหาะขึ้นกลางอากาศกลับไปยังถ้ำเชยฮวยต๋อง
   โป๊ยก่ายแหงนหน้าดูแล้วพูดว่า แม่คนนี้ชั่งอาจหาญแท้สามารถกำจัดจับปีศาจร้ายได้ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า พี่ถามเธอว่าเหตุเดิมประการใด เธอบอกวาดาวยิดเบ๊าแชกุนนั้นเป็นบุตรของเธอ เราคิดดูยิดเบ๊าแชกุนนั้นเป็นไก่ เธอว่าลูกของเธอ ถ้าดังนั้นก็เป็นแม่ไก่เป็นแน่ ความจริงตะขาบย่อมแพ้ไก่เพราะฉะนั้นเธอจึงกำจัดได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความขอบคุณไม่รู้สิ้น จึงให้จัดหาเครื่องแจกระยาหาร อาจารย์กับศิษย์กินอิ่มแล้ว จัดข้าวของออกเดิน เห้งเจียเก็บฟืนยัดในโรงครัวแล้วเอาไฟเผาสำนักห้องหอเหล่านั้นไหม้ไฟเป็นขี้เถ้าไปสิ้น
รูปภาพ ; ยิดเบ๊าแชกุนนี้เป็นดาวอยู่ใน ๒๘ ดวง เมื่อเห้งเจียมาถึงได้รบกับปีศาจตะขาบ ๆ มีฤทธาอานุภาพมาก จนเห้งเจียไม่อาจปราบได้โดยลำพังตน จึงต้องไปเชิญยิดเบ๊าแชกุนมาช่วยปราบ จึงได้ปราบปีศาจตะขาบตนนี้ได้ เพราะฉะนั้นตะขาบจึงได้แพ้ไก่ปรากฏจนทุกวันนี้
  วีดีโอฉบับการ์ตูน จบ. บริบูรณ์

ไม่มีความคิดเห็น: