Translate

06 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 33 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   หน้าต่อไป 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
        (บทที่ ๓๘) บัดเดี๋ยวก็ถึงพระนคร เข้าประตูเมืองเลยไปยังประตูหลังวังใน เข้าไปในวัง    เวลานั้น นางฮองเฮ้าออกมานั่งอยู่ที่หอเย็น มีสาวใช้เฝ้าอยู่ด้วยสองสามคน นางกำลังคร่ำครวญโศกศัลย์อยู่ โดยเหตุที่ทรงพระสุบินฝันไปถึงพระราชสามี
 พอไท้จื๊อเข้าไปถึงคุกเข่าลงคำนับร้องเรียกว่าพระมารดา ฮองเฮ้าเงยพระพักตร์แลไปเห็นไท้จื๊อ ออกพระโอฐว่าลูกแม่ดีแล้วดีแล้ว สองสามปีแล้วไม่ได้พบเห็น แม่คิดถึงเป็นที่สุด วันนี้ทำไมจึงมาหาแม่ได้เล่า เขาไม่ห้ามปรามดอกหรือ ไท้จื๊อเคารพแล้วพูดว่า ลูกมีธุระจะพูดด้วยพระมารดา ขอจงบอกคนเหล่านี้ให้ออกไปเสียก่อน ฮ่องเฮ้าจึงบอกให้สาวใช้เหล่านั้นออกไปเสียแล้ว ไท้จื๊อพูดว่าขอพระมารดาได้โปรดยกโทษให้ลูกเถิด ลูกจึงจะพูดได้ ฮ่องเฮ้าตรัสว่าแม่ลูกกันทำไมไม่กล้าพูดเล่า เจ้าจงพูดไปเถิด ไท้จื๊อถามว่า พระมารดาอยู่กินอบรมกับพระราชบิดาเมื่อสามปีก่อนกับสามปีหลังนั้นมีความผิดแปลกพระทัยอย่างไรบ้าง
   ฮ่องเฮ้าได้ฟังไท้จื๊อทูลถามดังนั้น ให้หวาดหวิวในพระทัยตกตะลึงไปเป็นครู่ จึงลุกมากอดไท้จื๊อไว้กับอก น้ำพระเนตรตกลงพราก ๆ จึงค่อยกระซิบแต่เบาๆ ถามว่า นี่ลูกไปเอาเหตุการณ์ที่ไหนมาถามแม่ แม้ว่าเจ้าไม่ถามแม่ ถึงแม่ตายไปเมืองนรกแล้ว ความเรื่องนี้ก็ไม่แจ่มแจ้งว่ากระไรเลย แม่จะเล่าให้พ่อฟัง เมื่อสามปีก่อนจะอยู่กินด้วยกันอบอุ่นสุขุมดี เมื่อสามปีหลังมาจนบัดนี้ ความสัมผัสถูกต้องรู้สึกว่าเย็นดุจน้ำแข็งแลกระด้างขัดแข็ง ถามเธอ ๆ ก็บอกว่าอายุมากกำลังก็ถอยไป
   ไท้จื๊อเมื่อได้ฟังพระราช มารดาเล่าให้ฟังดังนั้นก็เคารพจะลาไป ฮ่องเฮ้าจึงยึดไว้ถามว่ามีกิจธุระจะทำไมหรือ เหตุใดไม่พูดให้หมดความจะด่วนไปข้างไหน ไท้จื๊อทูลว่าลูกไม่อาจอยู่ช้า ด้วยเมื่อเช้านี้มีรับสั่งให้ออกไปป่าไล่เนื้อ บังเอิญไปพบพระถังซัมจั๋งแลสานุศิษย์ชื่อเห้งเจีย จะไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม เห้งเจียมีฤทธาอานุภาพอาจปราบภูตผีปิศาจได้ เหตุด้วยพระราชบิดาตายอยู่ที่ในสวน ที่บ่อโป๊ยกั๊กลิวลี่แจ๊ ช่วนจินแปลงเป็นพระราชบิดาชิงราชสมบัติตั้งตั้วอยู่บัดนี้ เมื่อคืนนี้ในเวลาสามยามพระราชบิดาไปเข้าฝัน เชิญเธอทั้งสองมายังเมืองจับปีศาจ
   พระราชบิดาให้หยกขาวแก่พระถังซัมจั๋งไว้เป็นสำคัญ ลูกก็ไม่สามารถจะเชื่อได้ จึงได้เข้ามาถามพระมารดาก็ได้ทราบเหตุการณ์ดังนี้ จึงแน่ใจว่าปีศาจจริงไม่สงสัย จึงส่งหยกขาวให้พระราช มารดาทอดพระเนตร ฮ่องเฮ้ารับหยกมาดูก็รู้แน่ว่า เป็นของพระราชสามีก็ทรงพระกันแสง บอกไท้จื๊อว่า เมื่อคืนนี้เวลาย่ำรุ่งพระบิดาของเจ้ามายืนอยู่ต่อหน้าแม่นี้ เปียกน้ำทั้งพระองค์ บอกว่าเธอสิ้นพระชนม์แล้ว วิญญาณจิตของเธอไปนิมนต์พระถังซัมจั๋งให้ช่วยมาปราบปรามปีศาจ เธอเล่าบอกให้ฟังทุกประการ จำได้บ้างลืมไปเสียบ้าง
   เวลานี้กำลังตรึกตรองอยู่ บังเอิญเจ้าเข้ามาพูดดังนี้ แลทั้งได้เพชรนั้นมาด้วย แม่จะขอเอาเพชรนั้นไว้ก่อน ลูกจงไปเชิญพระถังซัมจั๋งเข้ามา จะได้คิดอ่านกำจัดปีศาจนั้นเสีย เพื่อได้รู้ความเท็จจริง แลจะได้แก้แค้นแทนบิดาด้วย ไท้จื๊อได้ฟังพระราช มารดาสั่งสอนดังนั้น ก็รีบทูลลากลับออกมาขึ้นม้า ตรงไปยังวัด (โป๊ลิ่มยี่) ลงจากม้าเข้าไปหาพระถังซัมจั๋งแต่พระองค์เดียว ครั้นถึงจึงคำนับเห้งเจีย ๆ จับมือไท้จื๊อถามว่า พระองค์ไปพบพระราช มารดาได้ความประการใด
   ไท้จื๊อแจ้งความว่า ข้าพเจ้าได้ถามพระราช มารดาแล้ว พระองค์ทรงเล่าความฝันให้ฟังไม่ผิดเพี้ยนตรงกันทุกประการตามที่ท่านเล่าบอก เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า การก็นานมาถึงสามปีแล้วก็เงียบสงบอยู่ไม่มีผู้รู้เหตุ ขอไท้จื๊ออย่ารีบร้อนจะเสียการ ไว้ธุระข้าพเจ้าจะคิดกำจัดปีศาจนั้นให้จงได้ เวลานี้ก็จวนค่ำแล้ว พระองค์จงรีบกลับไปเมืองก่อน คอยรอเวลาพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะเข้าไป
   ไท้จื๊อพูดว่า มีรับสั่งให้ข้าพเจ้าออกมาไล่เนื้อ ในวันนี้ก็ไม่ได้สัตว์สักตัวเดียว จะกลับเข้าไปก็ยากอยู่ เห้งเจียพูดว่าทำไมจึงไว้ให้จวนเวลาอย่างนี้ พูดแล้วเห้งเจียก็เหาะขึ้นบนอากาศ ร่ายพระคาถาเรียกเจ้าที่เจ้าเขาเจ้าป่ามาพร้อมกันในทันใดนั้น เห้งเจียพูดว่า ขอแรงเจ้าเขาเจ้าป่าทั้งหลาย ให้ช่วยไล่สัตว์ป่ามาให้ไท้จื๊อ เธอจะได้กลับเมือง เจ้าทั้งหลายได้ฟังคำสั่งเห้งเจียดังนั้น ต่างก็พากันไปให้พวกผีไล่ประเดี๋ยวใจ สัตว์ป่าต่าง ๆ ก็วิ่งมาเป็นอันมาก เจ้าทั้งหลายก็มาคำนับบอกเห้งเจีย เห้งเจียก็ร่ายพระคาถาให้สัตว์เหล่านั้นอยู่ที่ข้างทาง เห้งเจียก็กลับลงมาบอกแก่ไท้จื๊อให้ไปจับสัตว์ป่าที่ข้างหน้านั้น
   ไท้จื๊อจึงคำนับพระถังซัมจั๋งแลเห้งเจียแล้ว สั่งให้พวกทหารยกกลับเข้าเมือง ไท้จื๊อขี่ม้าขับพลเดินมาประเดี๋ยวหนึ่ง แลไปข้างหน้าก็เห็นสัตว์ป่ายืนอยู่มากมายหลายตัว พวกพลก็ดีใจพากันเข้าจับได้ต่างคนต่างร้องสรรเสริญว่า ไท้จื๊อมีบุญมากเทพยดาจึงไล่สัตว์มาให้ดังนี้ พวกเหล่านั้นก็หาได้รู้ว่าความศักดิ์สิทธิ์ของเห้งเจียไม่ พวกพลทหารพากันร้องเพลงรื่นเริงมาตามทาง
   ฝ่ายเห้งเจียพระถังซัมจั๋งครั้นไท้จื๊อกลับไปแล้ว ก็พากันกลับเข้าไปพักยังหอพระธรรม ประมาณยามเศษเห้งเจียมีธุระในจิตก็หลับไม่ลง จึงผุดลุกขึ้นมาเดินมาข้างเตียงพระถังซัมจั๋ง เรียกว่าพระอาจารย์ข้าพเจ้ามีธุระอย่างหนึ่ง พระถังซัมจั๋งถามว่ามีธุระอะไรหรือ เห้งเจียว่าเมื่อกลางวันนี้พูดอวดแก่ไท้จื๊อว่า อันจะจับปีศาจนั้นดุจล้วงของในถุง ข้าพเจ้ามานึกขึ้นได้ว่า เห็นจะเป็นการยากมากที่สุดเสียแล้ว
   พระถังซัมจั๋งถามว่ายากด้วยเหตุอย่างไร เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์ก็รู้แต่สวดมนต์ไหว้พระเท่านั้น หาได้รู้การผันแปรอะไรไม่ คำโบราณท่านว่าแม้จับโจรก็ต้องดูท่วงที ปีศาจนี้มันแปลงทำเป็นพระเจ้าแผ่นดินสามปีแล้ว ได้ร่วมสัมผัสสนมนางใน ขุนนางซ้ายขวาก็เป็นที่รื่นเริงด้วยกันทั้งสิ้น แม้ว่าข้าพเจ้าจับได้ปีศาจนั้นก็จะไม่มีข้ออันใดคาดโทษลงได้ 
   พระถังซัมจั๋งถามว่าทำไมจึงจะไม่คาดโทษลงได้
   เห้งเจียพูดว่าปีศาจจะพูดว่าข้าพเจ้าไม่มีผิดอะไร มาจับเขาเอาโทษอะไรมาชี้แจงให้เห็นเท็จและจริง หากเขาจะพูดอย่างนี้เราจะเอาอะไรมาสำแดงเล่าดูไม่ชอบกล
   พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่าถ้าดังนั้นก็สุดแต่เห้งเจียจะคิดอ่านให้การสำเร็จได้ก็แล้วกัน
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าได้คิดอุบายไว้อย่างหนึ่งเสร็จแล้ว แต่ยังวิตกด้วยพระอาจารย์มีความป้องกัน
   พระถังซัมจั๋งถามว่าป้องกันด้วยเหตุอะไร
   เห้งเจียว่าโป๊ยก่ายมีความถือตัวว่า อาจารย์มีความลำเอียงเข้าแก่เธอมาก
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าอาตมไม่ลำเอียง เห้งเจียจะต้องประสงค์อย่างไรหรือ
   เห้งเจียจึงพูดว่าจะต้องทำการให้ทันในเวลานี้ คือข้าพเจ้ากับโป๊ยก่ายจะต้องเข้าไปในเมืองโอเกยก๊ก แลเข้าไปในสวนดอกไม้ที่บ่อ (โป๊ก๊กลิวลี่แจ๊) ค้นหาซากศพเอามา พรุ่งนี้เราพากันเข้าไปในเมืองทำเป็นจะขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง แม้เห็นปีศาจได้เข้าไปใกล้ถึงแล้ว ข้าพเจ้าจะตีด้วยกระบอง แม้ว่าปีศาจจะมีความโต้ตอบว่ากระไร เราเอาศพนั้นให้เธอดู แลพูดว่า มึงฆ่าพระเจ้าแผ่นดินแล้วแปลงตัวปลอมเข้านั่งเมือง แล้วให้ไท้จื๊อออกมาร้องไห้ดูศพพระราชบิดา แลให้ฮ่องเฮ้าออกมาพิจารณาดูพระศพพระราชสามี และให้ข้าราชการดูพระศพเจ้านายของตัว ต้องกระทำอย่างนี้ข้าพเจ้าจึงจะลงมือกระทำได้ถนัด เพราะเรามีสิ่งสำคัญเป็นพยานปรากฎมั่นคงแล้ว
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็นึกยินดีอยู่ในใจจึงพูดว่า ซึ่งเห้งเจียคิดอ่านดังนี้ก็ดีแล้ว วิตกแต่โป๊ยก่ายจะไม่ยอมไป เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าพูดว่าอาจารย์คอยป้องกัน ทำไมพระอาจารย์จึงรู้ว่าโป๊ยก่ายจะไม่ยอมไปเล่า แม้ว่าพระอาจารย์ไม่ลำเอียงแล้ว อย่าว่าแต่โป๊ยก่ายคนเดียวเลย ให้อีกเก้าโป๊ยก่ายข้าพเจ้าก็มีปัญญาคิดให้ตามหลังข้าพเจ้าไปได้
   พระถังซัมจั๋งพูดว่า ตามใจเห้งเจียเห็นชอบเห็นควรอย่างใดก็จงทำเถิด เห้งเจียจึงเดินไปริมเตียงโป๊ยก่าย ร้องเรียกว่าโป๊ยก่ายจงลุกขึ้นเถิด โป๊ยก่ายขี้เซาไม่ลุก เห้งเจียเปิดมุ้งดึงใบหูให้ลุกขึ้น โป๊ยก่ายตกใจพูดว่า ป่านนี้แล้วก็ยังไม่นอน จะมาหยอกอะไรกันอยู่อีก นอนเอากำลังไว้พรุ่งนี้จะให้เดิน เห้งเจียพูดว่าไม่ใช่หยอกเล่น มีธุระสำคัญจะใคร่ให้โป๊ยก่ายไปด้วยกัน โป๊ยก่ายถามว่า มีธุระอะไรที่ไหน เห้งเจียบอกว่า น้องไม่ได้ยินหรือเมื่อกลางวันนี้ไท้จื๊อเธอมาพูดแก่พระอาจารย์ว่า ปิศาจนั้นมีของวิเศษวันพรุ่งนี้พวกเราจะเข้าไปในเมืองก็คงจะไม่ทันต่อสู้กับปิศาจ แต่วิตกว่าปีศาจมีของวิเศษ ก็จะกลับให้ร้ายแก่พวกเรา จำเป็นพวกเราจะต้องลงมือเสียก่อน ลักเอาของวิเศษนั้นมาเสียจะมิดีหรือ
โป๊ยก่ายว่า นี่พี่จะหลอกให้ข้าไปเป็นโจรโขมยด้วยหรือ ถ้าดังนั้นข้าพเจ้าไปด้วยไม่ได้ หากว่าไปกับพี่แม้ได้ของวิเศษมาข้าพเจ้าจะเอาเป็นของข้าพเจ้า พี่จะยอมให้ข้าพเจ้าหรือ เห้งเจียบอกว่าพี่จะยอมให้ของวิเศษแก่น้อง ตัวพี่จะขอแต่ชื่อเสียงเท่านั้น โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ ผุดลุกขึ้นหยิบเอาเสื้อใส่เสร็จแล้ว ก็พร้อมกันค่อย ๆ เปิดประตูออก เห้งเจียโป๊ยก่ายก็เหาะไปยังเมืองโอเกยก๊ก
   เวลานั้นตีกลองยามได้สองยาม โป๊ยก่ายเห้งเจียก็ลงเดินเข้าไปยังกำแพงชั้นในเผ่นขึ้นไปบนกำแพงแล้วโดดลงไปยังพื้น ก็พากันเดินเที่ยวค้นหาสวนดอกไม้ เห้งเจียเดินมาก่อนเห็นประตูลั่นกุญแจไว้แน่นหนา เห้งเจียบอกโป๊ยก่ายให้ลงมือ โป๊ยก่ายเอาคราดสับกระชากประตูก็หักพังล้มลงไปสิ้น
ตอน ผจญปีศาจเมืองอูจีกั๋วจอมวายร้าย (ช่วงที่ 2)
เห้งเจียกระโดดเข้าไปก่อน โป๊ยก่ายตกใจยึดเห้งเจียไว้ พูดว่าเราเป็นขโมยทำอึกกระทึกอย่างนี้ เขารู้เขามิจับตัวเราไปชำระหรือ จะไม่ถึงความตายดอกหรือ เห้งเจียพูดว่าน้องยังไม่รู้ น้องจงพิเคราะห์ดูในสวนนี้ มีต้นผลไม้ดอกไม้ปลาดต่างๆ ดูงดงามหาที่เปรียบมิได้ โป๊ยก่ายว่าไปสนุกทำไมกับของเหล่านั้น รีบไปธุระของเราให้เสร็จจะได้กลับ
   เห้งเจียจึงคิดขึ้นได้ว่า พระอาจารย์ได้ฝันเห็นว่า ที่ใต้ต้นกล้วยนั้นมีบ่อ แลไปก็เห็นต้นกล้วยมีอยู่ต้นหนึ่ง เห้งเจียบอกโป๊ยก่ายว่า ของวิเศษนั้นอยู่ใต้ต้นกล้วยนี้ จึงรีบลงมือขุดเถิด โป๊ยก่ายก็เอาคราดสับลงกระชากต้นกล้วยล้มลงแล้วค่อย ๆ เอาปากคุ้ยดินขึ้นประมาณลึกสักสามสี่ศอก ก็แลเห็นมีแผ่นศิลาใหญ่ปิดขวางอยู่ โป๊ยก่ายดีใจพูดว่า พี่เห้งเจียเห็นจะมีของวิเศษจริง จึงมีแผ่นศิลาปิดอยู่อย่างนี้ เห้งเจียบอกว่าจงงัดเอาแผ่นศิลานั้นขึ้น โป๊ยก่ายก็เอาปากคุ้ยงัดแผ่นศิลานั้นขึ้นแล้ว เห็นมีแสงสว่างฟุ้งขึ้นมาเป็นวาววับ
   โป๊ยก่ายดีใจว่าเป็นของวิเศษ ครั้นพิจารณาดูก็เป็นบ่อ ด้วยแสงพระจันทร์ส่องลงไปจึงได้มีแสงระยับขึ้นดังนั้น โป๊ยก่ายว่าถ้ารู้ว่าเป็นดังนี้ เราได้ติดเอาเชือกมาด้วยก็จะดีได้ลงไป เห้งเจียถามว่าจะลงไปหรือ โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าจะลงไป เห้งเจียว่าถ้าจะลงไปก็ผลัดเสื้อกางเกงเสีย พี่จะทำให้ลงไปได้โป๊ยก่ายก็ผลัดเสื้อกางเกง เห้งเจียก็เอากระบองวิเศษออกร้องให้ยาว กระบองก็ยาวออกแปดเก้าศอก บอกโป๊ยก่ายให้กอดหัวกระบอง แล้วเห้งเจียก็ค่อย ๆ หย่อนลงไปในบ่อ ครั้นถึงหลังน้ำเห้งเจียร้องถามว่า เห็นของวิเศษหรือยัง โป๊ยก่ายว่าของวิเศษไม่เห็น ๆ แต่น้ำเท่านั้น
   เห้งเจียว่าของวิเศษนั้นจมอยู่ก้นบ่อ จงดำลงไปเอาขึ้นมา โป๊ยก่ายถนัดในการน้ำ เมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ปล่อยจากกระบองดำมุดลงไป บ่อนั้นลึกลงไปยังบาดาล โป๊ยก่ายดำลงไปทีหนึ่งก็ลืมตาแลดูเห็นมีตึกสูง มีหนังสือจดไว้ที่หน้าประตูว่าตำหนัก (จุ๊ยเจียเกง) โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ตกใจ สำคัญว่านี่เราออกท้องทะเลใหญ่ ด้วยเดิมโป๊ยก่ายก็มิได้รู้ว่าบ่อนั้นทะลุไปถึงบาดาล บังเอิญบริวารพวกพระยานาคเที่ยวตระเวนตามชายทะเล มาพบโป๊ยก่ายเข้าก็รีบไปบอกแก่ฮั้ยเล่งอ๋องว่า ข้าพเจ้าไปพบคนผู้หนึ่งปากยาวหูใหญ่แหวกน้ำเดินมาขอใต้อ๋องได้ทราบ
   เล่งอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า เห็นทีจะเป็นพ่องง่วนโซ่ยเมื่อวานนี้ เทพารักษ์ได้มานำเอาวิญญาณจิตของเจ้าเมืองโอเกยก๊กไปหาถังซัมจั๋ง บัดนี้จะมาถึงดอกกระมัง จึงเดินออกมาหน้าตำหนักแลเห็นโป๊ยก่าย จึงเรียกว่าพี่พ่องง่วนโซ่ยเข้ามาพักข้างในก่อน โป๊ยก่ายแลไปเห็นเล่งอ๋องก็ค่อยดีใจด้วยคุ้นเคยกันมาแต่ก่อน
   โป๊ยก่ายเข้าไปข้างในตัวยังเปียกน้ำอยู่ จึงคำนับแล้วเข้านั่ง เล่งอ๋องถามว่าข้าพเจ้าได้ยินว่า ท่านรักษาพระถังซัมจั๋งไปประเทศไซทีอาราธนาพระธรรม ทำไมท่านจึงลงมาถึงที่นี่ได้ โป๊ยก่ายตอบว่า อันความจริงก็จริงดังท่านถาม แต่พี่ซึงหงอคงให้ข้าพเจ้าลงมาเอาของวิเศษอะไรที่ท่านก็ไม่รู้ เล่งอ๋องพูดว่า ข้าพเจ้าจะเอาของวิเศษอะไรที่ไหนมาให้ ไม่เหมือนท่านเล่งอ๋องตามมหาสมุทรใหญ่ เธอเหาะเหินเปลี่ยนแปลงรูปกายได้ จึงจะมีของวิเศษ ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แต่ละวันก็มิได้เห็นจะเอาของวิเศษที่ไหนมา
   โป๊ยก่ายพูดว่าท่านเล่งอ๋อง อย่าหลีกเลี่ยงไปเลย แม้มีแล้วจงเอาออกมาเถิด เล่งอ๋องพูดว่ามีก็มีอยู่สิ่งหนึ่งแต่เอาออกไม่ได้ ท่านง่วนโซ่ยไปดูเอาเองเถิด โป๊ยก่ายว่าดีแล้วๆ โป๊ยก่ายเดินตามเล่งอ๋องไปดู ครั้นถึงที่ห้องหอระเบียง เล่งอ๋องยกมือชี้ว่านี่แลของวิเศษแล้ว โป๊ยก่ายแลไปก็เห็นคนนอนอยู่บนเตียง ตัวยาวหกศอก เล่งอ๋องพูดว่านี่แลคือของวิเศษ โป๊ยก่ายเดินเข้าไปใกล้พิจารณาดู ก็เห็นเป็นซากศพคนตาย บนศรีษะสวมหมวกอย่างกษัตริย์ พร้อมเครื่องแต่งตัวล้วนแต่เครื่องกษัตริย์ โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ของวิเศษอย่างนี้เมื่อข้าพเจ้าอยู่เป็นปิศาจ เอามากินเสียกระดูกกองเท่าภูเขา อย่างนี้จะว่าของวิเศษอะไรได้
   เล่งอ๋องพูดว่า ท่านง่วนโซ่ยยังไม่ทราบ นี่แลคือพระเจ้าแผ่นดิน (โอเกยก๊ก) ตกลงมาในบ่อนี้ถึงแก่ความตาย ข้าพเจ้าเอาแก้ววิเศษใส่ปากไว้ รูปกายจึงยังไม่เน่าเปื่อยพอง อยู่มาได้จนทุกวันนี้ แม้ว่าท่านเอาขึ้นไปให้หงอคงบางทีจะหายาวิเศษแก้ ฟื้นเป็นขึ้นได้แล้ว สารพัดของวิเศษท่านจะปราถนาอย่างไรก็คงได้ทั้งสิ้น
   โป๊ยก่ายพูดว่าถ้ากระนั้นท่านเล่งอ๋องกับข้าพเจ้าช่วยกันหามออกไป ท่านจะให้เงินข้าพเจ้าหรือ เล่งอ๋องพูดว่าความจริงนั้นเงินของข้าพเจ้าก็ไม่มี ข้าพเจ้าจะเอาที่ไหนมาให้ท่านเล่า โป๊ยก่ายพูดว่าท่านใช้คนทำไมไม่มีเงินเล่า ถ้าไม่มีเงินข้าพเจ้าก็ไม่หามละ
   เล่งอ๋องพูดว่าท่านไม่หามก็เชิญออกไปเถิด โป๊ยก่ายก็เดินกลับออกไป เล่งอ๋องจึงเรียกบริวารสองคนให้หามศพนั้นออกไปนอกประตูแล้ว เอาแก้ววิเศษบังน้ำ โป๊ยก่ายหันหน้ามาดูก็ไม่เห็นห้องหอ เอามือไปคลำดูก็ถูกซากศพก็ตกใจ รีบโผล่ขึ้นบนหลังน้ำ เกาะอยู่ข้างริมบ่อร้องเรียกว่าพี่เห้งเจีย ส่งไม้กระบองลงมารับข้าพเจ้าด้วย เห้งเจียร้องถามลงไปว่า มีของวิเศษหรือเปล่า โป๊ยก่ายบอกว่าข้างก้นนั้นมีพระยานาคบอกให้ข้าพเจ้าหามศพคนตายขึ้นมา ข้าพเจ้าไม่ยอมหาม เห้งเจียบอกว่านั่นแลของวิเศษแล้ว ทำไมจึงไม่หามขึ้นมาเล่า โป๊ยก่ายบอกว่าเป็นซากศพเปรอะเปื้อนข้าพเจ้าจะหามอย่างไรได้ เห้งเจียว่าถ้าเจ้าไม่หามศพขึ้นมาข้าจะกลับไปวัดนอนให้สบายใจดีกว่า
   โป๊ยก่ายตกใจพูดว่า พี่อย่าเพิ่งไปคอยข้าพเจ้าก่อนจะกลับไปหามขึ้นมา โป๊ยก่ายดำลงไปคลำค้นพบแล้วก็พยุงยกขึ้นวางบนหลังแบกกลับขึ้นมา โผล่พ้นน้ำแล้วจึงร้องเรียกว่าพี่เห้งเจียส่งกระบองลงมารับทีเถิด เห้งเจียก็หย่อนกระบองลงไป โป๊ยก่ายก็อ้าปากกัดกระบอง เห้งเจียก็ค่อย ๆ ลากขึ้นมา โป๊ยก่ายก็วางซากศพนั้นลง เอาเสื้อผ้าผลัดเห้งเจียก็มาพิจารณาดู เห็นรูปกายก็ยังสดใสดุจคนเป็น จึงหันหน้ามาพูดแก่โป๊ยก่ายว่า คนนี้ตายได้สามปีแล้วทำไมจึงไม่ทรุดโทรมเน่าเปื่อย โป๊ยก่ายพูดว่าพี่ยังไม่รู้ที่ใต้บ่อนี้มีเล่งอ๋อง บอกแก่ข้าพเจ้าว่า เธอได้เอาแก้วมณีวิเศษใส่ไว้ในปากศพ รูปกายจึงมิได้ทรุดโทรม เห้งเจียว่าเหมาะแล้ว ๆ ข้อหนึ่งเธอยังมิได้แก้แค้น ข้อสองจะให้หากเราสำเร็จคิด โป๊ยก่ายจงรีบแบกไปเถิด
   โป๊ยก่ายถามว่าจะให้แบกไปที่ไหน เห้งเจียว่าแบกกลับไปหาอาจารย์ โป๊ยก่ายบ่นว่าเรากำลังนอนดี ๆ ถูกอ้ายหัวลิงมันหลอกว่ามีของวิเศษ แล้วมิหนำซ้ำใช้ให้เราแบกคนตายไปอีก เราไม่แบกไปแล้ว เห้งเจียว่าถ้าเจ้าไม่แบกไป ก็จงนอนลงให้เราตีเสียยี่สิบที โป๊ยก่ายตกใจพูดว่า ไม้กระบองใหญ่แม้จะตียี่สิบที ก็จะเหมือนพระเจ้าแผ่นดินนี้เป็นแน่ เห้งเจียพูดว่าแม้เจ้ากลัวตาย ก็จงรีบแบกศพนี้ไปโดยเร็วเถิดข้าจะได้ไม่ตี โป๊ยก่ายก็เข้าพยุงศพขึ้นบนหลังแบกออกจากสวนดอกไม้ 
   เห้งเจียก็ร่ายพระคาถา บันดาลเป็นม้วนลมเป่าหอบเอาโป๊ยก่ายข้ามพ้นกำแพงเมืองออกมา เห้งเจียโป๊ยก่ายก็ลงยังพื้นค่อยๆ เดินไป โป๊ยก่ายเดินพลางนึกแค้นใจว่าอ้ายลิงนี้มันทรกรรมกู กูกลับไปถึงต่อหน้าพระอาจารย์จะแก้แค้นมันบ้าง เดินมาประเดี๋ยวก็ถึงวัด เดินเข้ามาที่หน้าหอ เอาศพวางลงที่หน้าประตู แล้วร้องเรียกว่าอาจารย์ลงมาดูเถิด พระถังซัมจั๋งถามว่าดูอะไร โป๊ยก่ายพูดว่าไม่ทราบว่าปู่ย่าตายายหรือทวดอะไรของพี่เห้งเจีย ใช้ให้ข้าพเจ้าแบกมานี่แล้ว
   พระถังซัมจั๋งก็รีบเปิดประตูออกมาดู เห็นรูปพระมหากษัตริย์ยังสดใสอยู่มิได้แปรปรวน ดูดุจยังมีชีวิตอยู่ พระถังซัมจั๋งเห็นดังนี้ก็เกิดคาามสังเวชพูดว่า ไม่รู้พระองค์ทำกรรมเวรไว้อย่างไรจึงให้เขาคิดฆ่าได้อย่างนี้ แลทั้งบุตรภรรยาและขุนนางข้าราชการและราษฎรทั้งบ้านทั้งเมืองก็ไม่มีใครรู้เหตุผลคิดดูก็น่าสงสาร พูดดังนั้นแล้วน้ำตาก็ไหลตกลงพร่างพราย โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็หัวเราะ แล้วพูดว่าเธอก็มิใช่วงศาคณาญาติของอาจารย์ ทำไมจึงได้ร้องไห้ร้องห่มเอาจริงเอาจังอย่างนั้น
   พระถังซัมจั๋งพูดว่า เราบวชเป็นสมณะต้องมีจิตกรุณาปราณีจึงจะควร โป๊ยก่ายทำไมจึงมีจิตคัดง้างอย่างนั้นเล่า
   โป๊ยก่ายพูดว่าไม่ใช่คัดง้าง คือเหตุที่พี่เห้งเจียได้พูดแก่ข้าพเจ้าว่า เธอจะแก้ให้ฟื้นขึ้นอย่างเดิม
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น จึงเรียกเห้งเจียมาพูดว่า แม้ฝีมือประสิทธิ์แก้ให้พระมหากระษัตริย์กลับเป็นมาได้ จะสร้างกุศลสักเจ็ดวันก็สู้ไม่ได้ 
   เห้งเจียพูดว่า ทำไมพระอาจารย์จึงไปเชื่ออ้ายชาติหมูกินรำอย่างนั้นเล่า อันธรรมดาคนตายแล้วได้เจ็ดวันก็ดี หรือเดือนหนึ่งก็ดี ในมนุษย์โลกก็สิ้นกรรมเวรแล้ว ย่อมเคลื่อนไปปฏิสนธิต่อเข้าแห่งภพหน้าถือเอากำเนิดมีวิญญานอีก ในภพใดภพหนึ่ง ก็นี่ตายมาได้ถึงสามปีแล้ว ทำอย่างไรจึงจะแก้ให้คืนกลับเป็นมาได้เล่า
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดชี้แจงดังนั้น จึงพูดว่า ถ้าดังนั้นก็เห็นจะแก้ไม่ได้
   โป๊ยก่ายยังไม่หายโกรธ พูดว่าอาจารย์ถูกเธอหลอกแล้ว ท่านลองภาวนาคาถาดูทีเธอจะแก้ได้หรือไม่ พระถังซัมจั๋งก็เชื่อจึงภาวนา เห้งเจียก็ปวดศรีษะนัยน์ตาทะเล้นออกมาเหลือจะทนได้ จึงร้องขอพระอาจารย์ว่า ท่านจงหยุดก่อน ข้าพเจ้าจะคิดอ่านแก้ไขให้จงได้ พระถังซัมจั๋งว่าจะแก้อย่างไร จงบอกให้เรารู้
(บทที่ ๓๙)
   เห้งเจียตอบว่า จะต้องไปหาพระยามัจจุราชเงียมกุน รับวิญญาณมาจึงจะแก้ได้ โป๊ยก่ายว่าพระอาจารย์อย่าเชื่อ เธอพูดว่าไม่ต้องไปหาเงียมกุนในมนุษย์โลกแก้จึงจะเห็นคุณ พระถังซัมจั๋งเชื่อฟังโป๊ยก่ายก็ยิ่งภาวนา เห้งเจียก็รับว่าจะรักษาในมนุษย์โลกนี้แหละ โป๊ยก่ายว่าพระอาจารย์อย่าหยุดภาวนาไปเถิด เห้งเจียด่าว่าอ้ายโป๊ยก่าย อ้ายสัตว์เดรัจฉาน มึงยุให้อาจารย์ภาวนาให้กูได้ความเจ็บ โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า พี่เห้งเจียแกซิรู้จักแกล้งข้าพเจ้า ๆ จะไม่รู้จักแกล้งแกบ้างหรือ เห้งเจียจึงพูดว่าอาจารย์จงหยุดเถิด รอให้ข้าพเจ้าไปหายามาแก้เถิด
   พระถังซัมจั๋งว่าจะไปหายาที่ใหน เห้งเจียบอกว่าจะไปหายาบนสวรรค์ คือจะไปหาท้ายเสียงเล่ากุน ขอยาวิเศษสักเม็ดหนึ่ง เรียกวิญญาณเข้ารูปได้ ก็จะฟื้นขึ้นยังเดิม พระถังซัมจั๋งจึงบอกว่า เห้งเจียจงรีบไปหายาเถิดอย่าได้ช้าเลย เห้งเจียว่าเวลานี้ก็ได้สามยามมาแล้ว จะไปมาก็พอสว่างพอดี คนก็กำลังนอนเงียบสงัด จะได้ใครร้องไห้ศพสักคนหนึ่งจึงจะดี โป๊ยก่ายว่าพี่เห้งเจียไม่ต้องพูด การร้องไห้เป็นธุระของข้าพเจ้าจะร้องเอง เชิญพี่ไปหายาเถิดอย่าเป็นห่วงเลย เห้งเจียพูดว่าไหนเจ้าลองร้องให้ข้าฟังเป็นตัวอย่างดูทีหรือจะได้หรือไม่ โป๊ยก่ายก็อ้าปากร้องไห้ไม่หยุดสะอึกสะอื้นคร่ำครวญดุจคนร้องไห้หน้าศพจริง ๆ 
   โป๊ยก่ายร้องจนผู้ฟังเกิดความสมเพศน้ำตาออก พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายคร่ำครวญก็เกิดสังเวชสลดจิตจนน้ำตาไหล เห้งเจียก็อดหัวเราะไม่ได้แล้วพูดว่า ร้องไห้อย่างนี้ดีแล้ว จงร้องไปอย่าหยุด แม้ว่าไม่ร้องจะเฆี่ยนยี่สิบที โป๊ยก่ายพูดว่าพี่จงไปเถิด พนักงานร้องไห้อยู่กับข้าพเจ้าเอง เห้งเจียก็เหาะขึ้นไปยังประตูสวรรค์ น่ำทีหมึง ชั้นดุสิต เข้าไปยังวิมานท้ายเสียงเล่ากุน เดินเข้าไปในประตู เวลานั้นท้ายเสียงเล่ากุน กำลังปรุงยาอยู่ในห้องยา เห็นเห้งเจียเข้ามา ร้องสั่งสานุศิษย์ทั้งหลายว่าจงระวังยา อ้ายหัวขโมยยามาแล้ว
   เห้งเจียคำนับแล้วก็พูดว่า ข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ท้ายเสียงเล่ากุนถามว่า อ้ายลูกลิงทำไมไม่ไปตามพระถังซัมจั๋ง มาที่นี่มีธุระอะไรหรือ เห้งเจียจึงเล่าเหตุซึ่งพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กให้เล่ากุนฟังทุกประการ บัดนี้ข้าพเจ้ามาขอความกรุณา ขอยาวิเศษที่เรียกวิญญาณให้คืนได้สักพันเม็ด จะได้เอาไปแก้พระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กให้กลับเป็นมาตามเดิม
   เล่ากุนพูดว่ายาวิเศษจะขอไปพันเม็ดนั้นจะเอาไปกินเล่นต่างข้าวหรือ ยานั้นไม่มีจงไปเถิด เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า โปรดให้ทานสักร้อยเม็ดก็เอาเถิด ท้ายเสียงเล่ากุนพูดว่าไม่มีจงไปเถิด เห้งเจียก็ลุกขึ้นเดินออกไป เล่ากุนหวนคิดขึ้นมาว่าเห็นจะไม่ได้การ ด้วยอ้ายลิงตัวนี้ฝีมือดีตัวสำคัญ บอกให้ไปก็ไปเอาง่ายๆ ดังนี้ มันคงจะหวนกลับมาลักเอายาเป็นแน่ คิดเห็นดังนั้นแล้วก็เดินตามออกมา เรียกว่าเห้งเจียจงกลับมาก่อน เราจะให้ยาไปแต่สักหนึ่งเม็ด
   เห้งเจียพูดว่าท่านเล่ากุน แม้ว่ารู้ฝีมือข้าพเจ้าก็จงเอายามาให้เสียดี ๆ เล่ากุนก็เอาน้ำเต้ามาเทยาออก หยิบยาหนึ่งเม็ดส่งให้เห้งเจีย เห้งเจียรับยานั้นมาแล้วก็คำนับลาเล่ากุนออกจากประตูน่ำทีหมึง เหาะมายังวัดโป๊ลิ่มยี่ ก็ยังได้ยินเสียงโป๊ยก่ายร้องไห้อยู่ไม่หยุด เห้งเจียก็เข้ามายังหอธรรมร้องเรียกอาจารย์ พระถังซัมจั๋งถามว่าเห้งเจียมาแล้วหรือ ได้ยามาหรือไม่
   เห้งเจียบอกว่าได้มาแล้ว จึงร้องบอกโป๊ยก่ายว่าไม่ต้องร้องไห้แล้ว จงหลีกไปร้องที่อื่นเถิด แล้วเรียกซัวเจ๋งให้ไปตักน้ำมา ซัวเจ๋งก็เอาถ้วยแก้วไปตักน้ำที่บ่อมาส่งให้เห้งเจีย ๆ ก็คายยาออกจากปากวางลงในปากศพพระเจ้าแผ่นดิน แล้วเอาน้ำกรอกลงไป ยาก็ลงไปในท้องบัดเดี๋ยวก็ได้ยินท้องร้อง แต่ร่างกายยังไหวติงไม่ได้ พระถังซัมจั๋งว่าตายมานานแล้วลมกำลังก็สิ้นเสียแล้ว อย่างนี้ถ้าได้ใครต่อลมจึงจะฟื้นได้ โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นจึงว่าข้าพเจ้าจะต่อให้ พระถังซัมจั๋งว่า ตัวกินสัตว์เมือกคาวยังมีอยู่ลมปากไม่สะอาด ให้เห้งเจียเขาต่อเถิด เพาะเขาบวชเรียนตั้งแต่เล็กมา กินแต่ผลไม้ลมก็สะอาดดี
   เห้งเจียนั่งก้มลงเอาปากจดกับปากศพพระเจ้าแผ่นดินแล้ว เปิดปากออกเป่าลมเข้าไปในคอหอยลมก็แล่นลงไปกระทั่งท้องน้อย สักประเดี๋ยวมือและเท้าก็กระดิกได้ แลร้องเรียกพระอาจารย์คำหนึ่ง ก็ผุดลุกขึ้นคุกเข่าอยู่กับพื้นพูดว่าเมื่อคืนวานนี้ยังจำได้ว่า จิตยังเป็นผีมานะมัสการท่าน วันนี้กลับคืนเป็นอย่างมนุษย์โลกแล้ว พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็เข้าพยุงประคองให้ลุกขึ้น เชิญให้นั่งที่อันสมควรแล้ว
   ฝ่ายพระสงฆ์ในวัดจัดของแจมาถวายพระถังซัมจั๋งเวลาเช้า แลไปเห็นพระเจ้าแผ่นดินก็พากันตกใจมีความสงสัย เห้งเจียจึงเดินออกไปบอกว่าท่านทั้งหลายอย่ามีความสงสัยเลย นี่คือพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก เป็นเจ้านายของท่านทั้งหลาย เมื่อสามปีก่อนปีศาจมันฆ่าตาย เมื่อคืนนี้ข้าพเจ้าช่วยชีวิตกลับคืนมาได้วันนี้จะเข้าไปในเมือง ชำระให้รู้เท็จและจริง แม้มีเครื่องแจขอให้พวกข้าพเจ้ากินสักมื้อหนึ่ง จะได้เข้าไปในเมือง พวกพระสงฆ์เมื่อได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น ก็จัดเครื่องแจมาเลี้ยง เห้งเจียจึงบอกให้เจ้าเมืองถอดเครื่องสำหรับกษัตริย์นั้นออกเสีย ขอผ้าขาวสมภารมาสองผืนผลัดนุ่งห่มเป็นตาปะขาวดาบส
   เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่าท่านแต่งตัวดังนี้ตามพวกข้าพเจ้าเข้าไปในเมือง
   พระเจ้าแผ่นดินคุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า ท่านเปรียบประดุจบิดามารดาบังเกิดข้าพเจ้ามาใหม่ ท่านไปไหนข้าพเจ้าจะขอติดตามท่านไปกว่าจะหาชีวิตไม่ เห้งเจียว่าท่านไม่ต้องไป เมื่อไปในเมืองกำจัดปีศาจแล้ว ท่านจะได้อยู่รักษาบ้านเมืองและราษฎรต่อไป พวกข้าพเจ้าก็จะขอลาไปไซที พูดดังนั้นแล้วก็พร้อมกันออกจากวัด ตรงมายังเมืองโอเกยก๊ก
   ฝ่ายพระสงฆ์ในวัดห้าร้อยรูป ก็เดินตามออกมาส่งจนสิ้นเขตอาวาส เห้งเจียจึงพูดแก่พระสงฆ์ทั้งหลายว่า ขอท่านทั้งหลายจงกลับยังกุฎิวิหารเถิด อย่าติดตามมาให้อื้อฉาวเลยจะทำให้เสียการไป จงรักษาแต่เครื่องของพระมหากษัตริย์ไว้ให้จงดี เมื่อข้าพเจ้ากำจัดปีศาจแล้ว ท่านทั้งหลายจึงค่อยนำมาถวายเถิด ข้าพเจ้าจะได้เสนอความชอบให้แก่ท่านทั้งหลาย พระสงฆ์ทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็พากันกลับวัดทั้งสิ้น
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์เดินมาได้ครึ่งวันก็ถึงเมืองโอเกยก๊ก ครั้นเดินเข้าไปใกล้กำแพงเมือง เห้งเจียจึงเชิญให้อาจารย์ลงจากม้าแล้ว ห้าคนก็พากันเดินเข้าไปในเมือง ครั้นถึงประตูพระราชวังเห้งเจียบอกแก่ขุนนางกรมวังว่า พวกข้าพเจ้าอยู่เมืองใต้ถัง พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้ไปประเทศไซที อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม บัดนี้มาถึงนี่จะขอประทานเปลี่ยนหนังสือเดินทาง ขอท่านเจ้าพนักงานได้นำความขึ้นกราบทูลให้ทรงทราบ อันกุศลก็จะมีแก่ท่านด้วย พวกขันทีก็นำความขึ้นกราบทูลทรงทราบแล้ว จึงรับสั่งให้นำเข้าไปเฝ้า พวกขันทีจึงออกมาพาพระถังซัมจั๋งกับศิษย์เข้าไปเฝ้า
   ครั้นถึงหน้าพระที่นั่ง เห็นขุนนางข้าราชการข้ายขวา ยืนเฝ้าอยู่ตามหน้าที่เป็นลำดับ เห้งเจียจึงนำพระถังซัมจั๋งมายืนอยู่ข้างหน้าไม่สะดุ้งหวาดหวั่น พวกขุนนางแลเห็นดังนั้น ต่างก็ตกใจทุก ๆ คนแล้วพูดว่า พระสงฆ์ป่าดงอะไรที่ไหนมาก็ไม่รู้ เข้าเฝ้าเจ้านายก็ไม่มีความเคารพคารวะอย่างนี้ ขุนนางเหล่านั้นพูดยังไม่ทันขาดคำ พญามารก็ถามว่า พระสงฆ์เหล่านี้อยู่ที่ไหน เห้งเจียทำหน้าชื่นพูดว่า พวกข้าพเจ้าอยู่เมืองใต้ถังอันเป็นพระมหานครใหญ่ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ รับสั่งให้ไปเมืองไซที อาราธนาพระธรรม บัดนี้มาถึงเมืองนี้จะขอเปลี่ยนหนังสือเดินทางตามธรรมเนียม
   พญามารว่าหนังสืออยู่ที่ไหนจงเอามาดู เห้งเจียจึงเอาหนังสือส่งขึ้นไปถวาย พญามารรับแล้วคลี่ออกอ่าน ถามว่าเดินออกจากเมืองแต่คนเดียวมาตามทางได้ศิษย์อีกสามคน รวมเป็นสี่คนด้วยกัน ก็อีกคนหนึ่งนั้นทำไมไม่มีในหนังสือดูน่าสงสัย คนนั้นคือชื่อแซ่อะไร แลอยู่ที่ไหนจีบมาดูทีหรือ เจ้าเมืองโอเกยก๊กได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จนตัวสั่นสิ้นสติถามเห้งเจียว่าจะทำอย่างไรดี เห้งเจียจึงมาจับมือพูดว่าท่านอย่ากลัว ข้าพเจ้าจะรับแทนท่านเอง เห้งเจียจึงเดินขึ้นมาข้างหน้า บอกว่าคนนั้นเป็นใบ้พูดไม่ออก หูก็หนวกไม่ได้ยินเสียงพูด ยันการร้ายดีมูลเหตุของคนนั้น ข้าพเจ้าทราบได้ทั้งสิ้น สามารถจะชี้แจงแทนได้ทุกประการ 
   พญามารพูดว่า ถ้ากระนั้นจงชี้แจงตามความจริงจะได้ไม่ต้องถือโทษโกรธขึง เห้งเจียจึงพูดว่า คนนั้นตั้งแต่เล็กมาจนแก่ หูหนวกเป็นใบ้ จิตใจซึมเซอะบ้านเรือนเคหาก็ป่นปี้ บ้านเกิดเมืองเดิมอยู่ตำบลนี้ เมื่อห้าปีก่อนก็ทรุดโทรมแห้งแล้งไม่มีฝน ชาวชนทั้งหลายได้รับความเดือดร้อนอดอยาก ครั้งนั้นมีอาจารย์ (ช่วนจิน) มาจากเขาเจงน่ำซัว มีวิชาเรียกลมเรียกฝนได้ ต่อมาช่วนจินเอาคนนั้นผลักลงบ่อแล้ว ชิงเอาราชสมบัติมาจนเท่าบัดนี้ได้สามปีแล้ว ข้าพเจ้าได้ช่วยเป็นกำลังแก้ไขตายแล้วให้กลับเป็นขึ้น จะมาที่ประสาทกิมหลวนเต้ยนี้ เพื่อจะใคร่รู้เท็จจริง จับปีศาจมารร้ายฆ่าเสียแล้ว จะได้ยกขึ้นครองราชสมบัติไปตามเดิม
   เมื่อปีศาจมารร้ายได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น มีความสะดุ้งตกใจกลัวสีหน้าเผือดสลดลงทันที ลุกจากที่เดินมาชักเอาเกี่ยมที่ขุนนางนายทหารออกอันหนึ่งได้แล้ว ก็เหาะหนีขึ้นไปยังอากาศ ซัวเจ๋งโกรธร้องดุจเสียงฟ้าลั่น โป๊ยก่ายก็เคืองเห้งเจียว่า เพราะพูดเอาเรื่องเหล่านั้นมาให้มันรู้ มันจึงร้อนใจอยู่มิได้ จึงดั้นเมฆหนีไป เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า พี่น้องทั้งหลายอย่าพูดวุ่นวายไป จงให้เชิญไท้จื๊อมาคำนับพระราชบิดาก่อน แล้วให้เชิญฮ่องเฮ้าสนมนางในออกมารับพระราชสามี แลให้ขุนนางทั้งหลายมาคำนับเจ้าเดิมของตนแล้ว จึงค่อยคิดจับปีศาจ ซัวเจ๋งก็จัดการตามสั่งทุกประการ
   ฝ่ายเห้งเจียก็รีบเหาะขึ้นกลางอากาศ แลไปทั่วทั้งแปดทิศ ก็เห็นปีศาจหนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เห้งเจียก็รีบเหาะตามไป ครั้นใกล้ก็ตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายมารร้ายมึงจะหนีไปข้างไหน ซึงเห้งเจียมาแล้ว
   ฝ่ายช่วนจินมือถือเกี่ยมหันหน้ากลับมาพูดด้วยเสียงอันดังว่า แม้เราชิงราชสมบัติก็เป็นของผู้อื่นมิใช่ของเจ้า เรียกว่ามิใช่การของตัวเลย เหตุไฉนเจ้าจึงจะมากั้นกางกีดขวางเราเล่า เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายมารร้ายมึงช่างตับใหญ่ทำไมไม่นั่งเมืองอยู่เล่า จะหนีกูไปข้างไหนมึงจงมาลองกินกระบองดูสักทีเถิด จะได้รู้รสชาติไว้ว่าจะหวานมันประการใด ช่วนจินได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้นก็โกรธ ถือเกี่ยมตรงเข้ามาฟันเห้งเจีย ๆ ยกกระบองขึ้นรับ ต่อสู้กันได้สองสามเพลงปีศาจทานกำลังเห้งเจียไม่ได้ ก็ล่าถอยหนีกลับเข้าในเมืองไปยังหน้าพระที่นั่ง แล้วแปลงกายเป็นพระถังซัมจั๋งยืนอยู่หน้าบัลลังค์แก้ว
   เห้งเจียก็ไล่ติดตามมาจะตีด้วยกระบอง อ้ายปีศาจแปลงร้องว่าเห้งเจียอย่าตีอาตมาเองดอก เห้งเจียชักกระบองจะตีพระถังซัมจั๋ง ๆ ก็ร้องว่าเห้งเจียอย่าตีอาตมาเองดอก มีถังซัมจั๋งปลอมแลถังซัมจั๋งจริง สองคนดังนี้ก็ย่อมเป็นที่ฉงน เห้งเจียไม่รู้ที่จะทำประการใด จึงร้องเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมาถามว่า คนไหนเป็นปีศาจแน่ คนไหนอาจารย์ของเราเจ้ารู้จักหรือไม่
   โป๊ยก่ายพูดว่าก็พี่ไล่ติดตามมาข้าพเจ้าเหมือนคนตามืดเห็นมีสองคนอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าคนไหนปีศาจ คนไหนอาจารย์ของเรา เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงร่ายพระคาถาเรียกเทพารักษ์ก็มาในทันใดนั้น เห้งเจียจึงถามว่าข้าพเจ้าจับปีศาจ ๆ มันกลับแปลงเหมือนพระอาจารย์ยากที่จะรู้ได้ แม้ว่าท่านทั้งหลายเห็นจงเชิญอาจารย์ขึ้นบนแท่นข้าพเจ้าจะได้จับปีศาจ
   ฝ่ายปีศาจช่วนจินครั้นได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น ก็รีบขึ้นแท่นก่อน เห้งเจียยกกระบองจะตีพระถังซัมจั๋ง พวกเทพารักษ์ก็เข้ากั้นไว้บอกว่าใต้เซีย ปีศาจมันขึ้นแท่นก่อนแล้ว เห้งเจียไล่ขึ้นไปปีศาจก็กระโดดลงจากแท่น มาจับพระถังซัมจั๋งชุลมุนอยู่ในหมู่คน เห้งเจียในใจให้ร้อนรน โป๊ยก่ายยืนหัวเราะอยู่แล้วพูดว่า พี่เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าเป็นหมู พี่ก็เหมือนข้าพเจ้าเหมือนกันอันอาจารย์นั้นยากที่จะรู้ได้ ทำไมพี่ไม่จำที่ปวดหัวนั้นเล่า พี่จงเรียกอาจารย์ให้ภาวนา ถ้าปีศาจไม่รู้ก็จะภาวนาบ้างอย่างนี้ก็จะไม่ยากอะไรเลย
   เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงหันหน้ามาพูดแก่พระอาจารย์ว่า ขอพระอาจารย์จงภาวนาคาถาให้ข้าพเจ้าดูที พระถังซัมจั๋งก็ภาวนาเห้งเจียก็ปวดศรีษะ ปีศาจเห็นดังนั้นก็ภาวนาบ้างปากบ่นพึมพำเห้งเจียก็ไม่เป็นไร โป๊ยก่ายจึงร้องว่าอ้ายบ่นพึมพำนั้นแลปีศาจแล้ว โป๊ยก่ายก็ชักคราดมาสับลงที่ปีศาจ ๆ ก็เหาะขึ้นบนเวหาหนีไป โป๊ยก่ายร้องตวาดด้วยเสียงอันดังแล้วก็ขึ้นตามไปบนเวหา ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็จับพลองไล่ตามขึ้นไปซ้ายขวาช่วยกันระดมตี เห้งเจียหัวเราะว่าเราจะเข้าประจันหน้ามันก็จะหนีไป จำเราจะขึ้นบนสูงก่อนแล้วกระแทกลงมาจึงจะดี
   คิดดังนั้นแล้วก็เหาะขึ้นไปบนสูงกว่าโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง จะใคร่เอากระบองกระแทกลงที่ศรีษะปีศาจ แลไปข้างทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เห็นคนอยู่ในกลบเมฆ ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่าเห้งเจียอย่าเพิ่งลงมือ เห้งเจียแลเห็นพระโพธิสัตว์บุญซู้ เห้งเจียก็เก็บกระบองเสียพนมมือ คำนับถามว่าพระโพธิสัตว์จะไปข้างไหนมา พระบุญซู้ตอบว่าอาตมาจะมาช่วยจับปีศาจ จึงเอากระจกออกจากมือเสื้อ ส่องตรงปีศาจ ปีศาจก็หนีไปไม่ได้ เห้งเจียแลดูในกระจกเห็นรูปร่างดุร้ายจึงถามพระโพธิสัตว์ว่า สิงห์โตตัวนี้ของท่านสำหรับขี่หรือทำไมจึงหนีมาได้
   พระโพธิสัตว์บอกว่าไม่ใช่เธอจะหนีเอง พระเป็นเจ้าใช้มาเพื่อลงโทษเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก ด้วยเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก มีจิตศรัทธารักษาศีลกินแจ พระเจ้าให้อาตมาแนะนำเพื่อให้เธอสำเร็จซึ่งมรรคผล อาตมาแปลงเป็นพระสงฆ์ปุถุชนมาบิณฑบาตข้าวแจ ถามเธอสองสามคำที่เธอไม่พอใจ เธอโกรธก็จับเอาอาตมภาพมัดแช่น้ำไว้ที่หน้าตำหนักแพสามวันสามคืน เพราะฉะนั้นพระเป็นเจ้าจึงได้ใช้ให้สิงห์โตตัวนี้มา มาลงโทษเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กให้สิ้นเวรสิ้นกรรม บัดนี้ท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ได้สำเร็จความคิดแล้ว
   เห้งเจียถามว่า อันทรมานเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กนั้นก็เป็นอันสมควรว่าสิ้นเวรกรรมแล้ว แต่ข้อนี้ผิดประเวณีแก่ฮ่องเฮ้าแลสาวสนมนั้นจะไม่มีโทษส่วนหนึ่งหรือ พระโพธิสัตว์ว่า ส่วนนั้นไม่เป็นไร เพราะเธอเป็นสิงห์โตมา เห้งเจียว่าถ้าดังนั้น ขอพระโพธิสัตว์ได้เรียกกลับคืนไปเถิด พระโพธิสัตว์บุญซู้จึงร้องเรียกว่าอ้ายสัตว์ยังไม่กลับไปหรือ ปีศาจก็แปลงเป็นรูปเดิม พระโพธิสัตว์เอาดอกบัววางสะกดไว้แล้ว ขึ้นบนหลังแล้วก็บันดาลเป็นแสงสว่างเหาะไปยังเขาเง่าท้ายซัว ฝ่ายเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งทั้งสาม เห็นพระโพธิสัตว์กลับไปแล้ว ก็พากันเหาะกลับลงมาเข้าในพระราชวังใน

ไม่มีความคิดเห็น: