Translate

24 มิถุนายน 2568

[เล่ม 3] ตอนที่ 50 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๖๘)
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสาม เดินมาหลายเวลาก็หลุดออกจากดงผลมะพลับเน่า ต่างก็มีความยินดีรื่นเริงในใจ ก็พากันล้างกลิ่นเน่าเหม็นให้สอาดแล้ว ก็เดินตามทางใหญ่ไปเวลานั้นกำลังฤดูร้อนจัด ต้นสารภีพิกุลบ้างผลิ ดอกออกช่อตูมบาน หอมกลิ่นระรื่นไปตามแนวทาง ครั้นเดินมาพ้นแล้วแลไปข้างหน้า เห็นมีกำแพงเมืองขวางหน้าอยู่ พระถังซัมจั๋งถามว่าข้างหน้านั้นจะเป็นบ้านเมืองอะไร เห้งเจียว่าอาจารย์ไม่รู้หนังสือหรือ พระถังซัมจั๋งว่าอาตมาเล่าเรียนมาตั้งแต่เล็กจนใหญ่ สารพัดคัมภีร์ธรรมก็ปรุโปร่งทั้งสิ้น ทำไมเราจะไม่รู้หนังสือเล่า เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์ว่ารู้หนังสือ หนังสือบนเสาธงมีอักษรใหญ่สามตัว ทำไมไม่เห็นหรือ พระถังซัมจั๋งว่า แต่ป้อมกำแพงยังไม่เห็นชัดเลย เหตุใดจะเห็น​หนังสือซึ่งเป็นของเล็กก่อนเล่า เห้งเจียบอกว่าคือจูจี๊ก๊ก อักขระสามตัวนั้นมิใช่หรือ
   พระถังซัมจั๋งว่า ถ้าหากว่าเป็นเมืองจูจี๊ก๊กก็คงเป็นเมืองที่มีพระเจ้าแผ่นดินปกครอง ควรเราจะเข้าไปเปลี่ยนหนังสือเดินทางเสียก่อนแล้วจึงค่อยไป พูดกันแล้วก็เดินมาประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงประตูเมือง พระถังซัมจั๋งก็ลงจากหลังม้าพากันเดินข้ามสะพานเข้าไปในประตูเมือง อาจารย์กับสานุศิษย์ก็พากันพิจารณาดูชัยภูมิเมือง เดินมาตามทางใหญ่เห็นผู้คนเรียบร้อยพูดจาอ่อนหวานไม่หยาบคาย คล้าย ๆ แก่เมืองใต้ถัง สองข้างถนนตั้งร้านค้าขาย มีสิ่งของต่าง ๆ เห็นอาจารย์กับศิษย์เดินมาก็พากันมาดู
รูปภาพ ; เจ้าเมืองจูจี๊ก๊ก 朱紫国国王 นี้เป็นเมืองขึ้นอยู่ในเมืองเจ๊จ๊ายก๊ก เธอเป็นผู้มีศรัทธาเชื่อถือพระพุทธศาสนา เวลาพระองค์ประชวรพระโรคเรื้อรังมาหลายปี เมื่อพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์มาถึงเข้าก็ได้ช่วยประกอบยารักษาพระโรคของพระองค์ให้หาย และยังได้ไปติดตามรบกับปีศาจพาเอาพระมเหสีคืนกลับมาถวายได้ด้วย
   พระถังซัมจั๋งก็สั่งสานุศิษย์ ให้สำรวมกิริยาอย่าให้เกิดวุ่นวายได้ โป๊ยก่ายก็ทำตามสั่งเอาปากงอลงแอบไว้กับอก ซัวเจ๋งก็ก้มหน้าเดินไม่แลเหลียว ยังแต่เห้งเจียเดินดูอะไรเล่นตามสบาย พวกชาวเมืองแลเห็นดังนั้นก็พากันหัวเราะ อาจารย์กับศิษย์พากันเดินมาบัดเดี๋ยวก็เลี้ยวหัวป้อม แลเข้าไปข้างประตูเห็นมีหนังสือสามตัวคือ ฮ่วยตั๋งก๊วน คือที่ประชุมนาๆ ประเทศ พระถังซัมจั๋งว่าเราเข้าไปในที่แห่งนี้ พักเปลี่ยนหนังสือเดินทางแล้วจึงค่อยไป โป๊ยก่ายได้ยินก็ชักปากออกมาทำให้พวกชาวเมืองที่ตามดู ตกใจล้มคว่ำคะมำหงายไปเป็นสามสี่สิบคน อาจารย์กับศิษย์ก็พากันเข้าไปในสำนักฮ่วยตั๋งก๊วนนั้น มีขุนนางข้าราชการสองคนรักษาการอยู่ในนี่นั้น
   พระถังซัมจั๋งเห็นขุนนางทั้งสองกำลังจัดคนใช้ไปทิศเหนือ​ทิศใต้ แลเห็นพระถังซัมจั๋งพากันเดินเข้ามาก็พากันตกใจ จึงถามว่านี่ท่านเป็นคนมาจากประเทศใดและจะไปข้างไหน พระถังซัมจั๋งย่อตัวแล้วก็ปราศรัยว่า อาตมภาพเป็นชาวเมืองใต้ถัง มีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้อาตมภาพข้ามไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ณ เมืองไซที บัดนี้มาถึงเมืองนี้ จะขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง อาตมภาพกับศิษย์ขออาศัยพักในที่นี้สักวันหนึ่ง พอเปลี่ยนหนังสือได้แล้วก็จะลาไป
   ฝ่ายขุนนางทั้งสอง เมื่อได้ฟังดังนั้นก็จัดแจงแต่งตัวลงมารับ และให้คนกวาดล้างห้องให้อาศัย เจ้าพนักงานก็จัดแจงข้าวสุกและข้าวสาร และกับข้าวต่าง ๆ มาส่งนี่ห้องข้างทิศตะวันตก ครั้นจัดแล้วก็บอกแก่ศิษย์ทั้งสามคนให้จัดหาเอาตามชอบใจเถิด พระถังซัมจั๋งถามขุนนางทั้งสองว่า เวลานี้พระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกขุนนางหรือยัง ขุนนางทั้งสองตอบว่า เจ้าของข้าพเจ้าไม่เสด็จออกมานานแล้ว วันนี้เป็นวันดีออกที่ขุนนางประชุมเสนาบดี คิดจะออกหมายประกาศ แม้ว่าท่านจะเปลี่ยนหนังสือทันเวลานี้เห็นจะดี ถ้ารอจนพรุ่งนี้เห็นจะไม่เป็นการ เพราะไม่ทราบว่าเวลาใดจะเฝ้าได้ พระถังซัมจั๋งเรียกเห้งเจียมาสั่งว่า จงอยู่จัดแจงหุงต้มคอยถ้าอาตมภาพจะเข้าไปเปลี่ยนหนังสือแล้ว กลับออกมากินเข้าแล้วจึงค่อยออกเดิน โป๊ยก่ายก็หยิบหนังสือมาส่งให้พระอาจารย์ ๆ รับหนังสือแล้วก็ลงจากห้อง เดินเข้าไปในพระราชวังมาบัดเดี๋ยวใจก็ถึง พระตำหนัก (เง้าห้อง​เล้า) พิจารณาดูเห็นประดับประดาด้วยลวดลายวิจิตรต่าง ๆ งดงามเป็นสง่า เดินมาพ้น (เง้าห้องเล้า) ก็ถึงทวารพระราชวังใน พระถังซัมจั๋งจึงแจ้งความแก่ขุนนางพนักงานให้ทราบเรื่องแล้ว ขอให้ช่วยนำความขึ้นกราบทูลเพื่อทรงทราบ
   ฝ่ายขุนนางได้ฟังดังนั้น เข้าไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินให้ทรงทราบก็มีพระทัยยินดี จึงตรัสว่าทรงพระประชวรมาก็นานมิได้เสด็จออก วันนี้คิดจะออกหมายประกาศ ก็บังเอิญมีพระสงฆ์วิเศษมาถึงเมือง จึงมีรับสั่งให้เชิญเข้ามาข้างใน พระถังซัมจั๋งก็เดินสำรวมอินทรีย์ย่อตัวคำนับแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็นิมนต์ให้นั่งที่อันสมควร มีรับสั่งให้ขุนนางจัดเครื่องเลี้ยงเพล พระถังซัมจั๋งจึงถวายหนังสือเดินทางขึ้นไป พระเจ้าแผ่นดินทรงรับมาทอดพระเนตรตลอดแล้วมีพระทัยยินดียิ่งนัก จึงตรัสถามว่าท่านอาจารย์เมืองใต้ถังนั้น ได้มีพระเจ้าแผ่นดินครองราชสมบัติมากี่พระองค์แล้ว และมีขุนนางที่ซื่อตรงกตัญญูสักกี่คน จึงได้มาถึงพระเจ้าถังทรงพระประชวรหนักและได้ฟื้นขึ้น จึงให้ท่านมาถึงเมืองไกลอาราธนาพระธรรมดังนี้
   พระถังซัมจั๋งจึงถวายพระพรว่า ที่เป็นเจ้ามานั้นตั้งแต่ซัมฮ่องเง้าตี่เป็นต้น ต่อกันมาหลายพระองค์แล้ว จนมาถึงเจ้าของอาตมภาพแซ่ลี้มีนามเมืองเรียกว่าใต้ถังเป็นเอก พระเจ้าถังโคโจ๊ฮ่องเต้ขึ้นเสวยราชสมบัติก็ล่วงไป มาในปัจจุบันนี้ทรงพระนามว่า พระเจ้าหลีซีบิ๋น พระองค์ทรงครองราชสมบัติบ้านเมืองสมบูรณ์ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข เพราะ​เหตุด้วยในเมืองเชียงอานมีลำแม่น้ำเกียฮ้อ มีพระยานาคกระทำผิดให้น้ำฝนเปลี่ยนแปลง เง็กเซียงฮ่องเต้ปรับโทษถึงประหารชีวิต เวลากลางคืนมาเข้าฝันขอให้พระองค์ช่วย พระองค์ทรงรับคำพระยานาค จึงรับสั่งให้งุยเต็งเข้ามาเล่นหมากรุกอยู่เสียในพระราชวัง หวังจะมิให้ไปกระทำการตามหน้าที่ได้ แต่พอเวลาเที่ยงงุยเต็งเคลิ้มหล้บไปตัดศรีษะพระยานาคตกลงมากลางพระนคร
   พระเจ้าแผ่นดินจูจี๊ก๊กได้ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสถามว่าอันขุนนางผู้ใหญ่นั้นมาแต่ข้างไหน พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่า ขุนนางผู้นั้นคือเป็นมหาอุปราชของพระเจ้าใต้ถังแซ่งุยชื่อเต็ง เธอรู้ฤกษ์บนและฤกษ์ล่างเวลากาลย่อมรู้ทั้งสิ้น เป็นผู้จัดราชการในบ้านเมืองโดยเรียบร้อยในเวลาหลับนั้น ก็ถอดดวงจิตออกไปตัดศรีษะพระยาเล่งอ๋อง ฝ่ายพระยาเล่งอ๋องลงไปฟ้องยังพระยามัจจุราชเงียมฬ่ออ๋อง เวลานั้นพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ก็ประชวรหนัก งุยเต็งจึงทำหนังสือฉนับหนึ่ง ฝากให้ไปถึงทุยปังที่รักษาบัญชี ณ เมืองนรก ให้ช่วยแก้ไขพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้สวรรคตไปได้สามวันก็กลับฟื้นขึ้นมา เพราะฉะนั้น พระองค์จึงได้ทรงพระศรัทธาจะใคร่ทำมหากุศลกงเต๊กให้เป็นการใหญ่ เพื่ออุทิศอานิสงส์ให้แก่สัตว์นรกทั้งหลาย จึงมีรับสั่งให้อาตมภาพมาอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมยังประเทศไซที
   ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินจูจี๊ก๊ก เมื่อได้ทรงฟังพระถังซัมจั๋งถวาย​พระพร ดังนั้น ทรงถอนพระราชหฤทัยใหญ่ ทรงคร่ำครวญว่าเมืองใต้ถังเป็นเมืองสวรรค์ พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม ขุนนางข้าราชการก็มีกตัญญูเหมือนข้าพเจ้านี้ประชวรมาก็นานแล้วไม่มีข้าราชการผู้ใดจะช่วยได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังพระเจ้าแผ่นดินตรัสดังนั้น ก็ชายตาชำเลืองดูพระเจ้าแผ่นดินเห็นสีพระพักตร์ซูบซีดพระวรกายก็ซูบผอม พระถังซัมจั๋งจึงจะใคร่ทราบเหตุที่ทรงพระประชวร พอขุนนางมากราบทูลว่า เครื่องฉันจัดเสร็จแล้วนิมนต์พระถังซัมจั๋งไปฉัน พระเจ้าแผ่นดินจึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งไปฉันยังตำหนัก (พีเฮียงเต้ย) พระองค์ก็เสด็จไปพร้อมกับพระถังซัมจั๋ง ครั้นถึงก็ทรงนิมนต์ให้พระถังซัมจั๋งนั่งโต๊ะแจ พระองค์ประทับที่โต๊ะโช ฝ่ายเห้งเจียอยู่คอยอาจารย์ที่สำนักฮ่วยตั๋งก๊วน ให้ซัวเจ๋งจัดแจงหุงข้าวต้มแกง
   ซัวเจ๋งพูดว่าหุงข้าวต้มน้ำชานั้นง่ายไม่เป็นไร จะแกงผักสักกะทะหนึ่งให้อาจารย์ฉัน ขัดด้วยเต้าเจี้ยวเต้าหู้ไม่มี เห้งเจียว่าพี่ยังมีอีแปะอยู่บ้าง ให้โป๊ยก่ายไปจ่ายที่ตลาด จะได้เอามาต้มแกงอะไรก็ตามเถิด โป๊ยก่ายได้ยินก็พูดเบี่ยงบ่ายว่า ข้าพเจ้าไม่กล้าไปเพราะปากคางหยาบคายรุงรัง วิตกจะไปเกิดความ เห้งเจียว่าเราซื้อหาโดยตรง เหตุใดจะเกิดความ อย่าไปทำให้วุ่นวายก็แล้วกัน โป๊ยก่ายพูดว่า เมื่อมาถึงประตูนั้นพี่ไม่เห็นหรือยกปากขึ้นหน่อยหนึ่ง ก็พากันตกใจล้มสามสี่สิบคน ถ้าเข้าไปที่ตลาดประชุมชน ก็ยังไม่รู้ว่าจะตกใจพากันตื่นไปสักปานใด เห้งเจีย​ถามว่า โป๊ยก่ายรู้หรือว่าที่ประชุมคนวุ่นวาย ได้เคยเห็นหรือว่าได้เคยไปที่ตลาดนั้น เขามีอะไรขายบ้าง โป๊ยก่ายพูดว่าพระอาจารย์ห้ามมิให้แลเหลียว ให้เดินก้มหน้าจึงมิได้เห็นสิ่งใด
   เห้งเจียบอกว่ามีร้านขายสุราโรง และร้านขายแพรสีต่างๆ พรรณาไม่สิ้น ยังอีกร้านขายขนมและน้ำชากับขนมหวานๆ ต่างๆ และร้านขายข้าวแกง และร้านขายน้ำตาลกรวดน้ำตาลทราย และร้านขายเตี้ยเลี่ยว และร้านขายผักกับผลไม้ต่างๆ มีขายสารพัดของกินต่าง ๆ เราจะออกไปตลาดจัดซื้อมาแล้ว เชิญโป๊ยก่ายมากินด้วยกันเห็นจะดีดอกกระมัง โป๊ยก่ายได้ยินเห้งเจียจารนัยเรื่องกินต่าง ๆ น้ำลายไหลโดยความอยาก จึงผุดลุกขึ้นพูดว่า ข้าพเจ้าจะตามพี่ไปช่วยซื้อจะได้เอามาสู่กันกิน เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น ก็นึกยิ้มอยู่ในใจ จึงสั่งซัวเจ๋งให้อยู่ต้มหุงพี่จะไปซื้อเครื่องแกงมาให้ โป๊ยก่ายก็ถือถ้วยชามเดินตามเห้งเจียไป เห้งเจียเดินออกจากประตูแล้วก็ถามคนเหล่านั้นว่า ร้านเครื่องแกงเขาขายกันที่ไหน คนเหล่านั้นชี้มือบอกว่าเดินตามทางนี้ไปข้างทิศตะวันตกริมหอกลอง ชื่อร้าน (แต้แก) มีขายสารพัดเชิญท่านไปซื้อเถิด
   เห้งเจียได้ฟังคนเหล่านั้นบอกให้แล้ว ก็พากันเดินไปกับโป๊ยก่าย เห้งเจียเดินข้ามร้านขายของที่ต้องการซื้อก็ไม่ซื้อ พากันเดินพลางพูดพลางพวกชาวตลาดก็พากันวิ่งตามมาดู เดินมาประเดี๋ยวก็ถึงหอกลองแลไปข้างริมรอบเหล่านั้น ผู้คนไปมาแออัดเสียงพูดซื้อขายออกแส้หูเหตุด้วยผู้คนมากมาย โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นจึงพูดว่าพี่ข้าพเจ้าไม่กล้า​เข้าไปเสียงคนออกแส้ไปดังนี้ บางทีเขาจะจับเอาตัวไป เห้งเจียพูดว่าทำไมเจ้าจึงพูดเลอะเทอะไปดังนี้ เรามิได้ทำผิดกฎหมายอะไรเลย เขาจะจับไปทำไมเราเข้าไปซื้อเครื่องแกงแล้วก็กลับจะกลัวเขาทำไม โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าไม่กล้าเข้าไปแล้ว กลัวจะเกิดวุ่นวายขึ้น พี่จะเดินเบียดเข้าไปดังนั้น ถ้าคนเหล่านั้นแตกตื่นตกใจก็จะเกิดความ ข้าจะเอาชีวิตที่ไหนมาใช้ให้เขา
   เห้งเจียว่าถ้าดังนั้นโป๊ยก่ายจงยืนแอบอยู่ที่นี่ พี่เข้าไปซื้อแล้วจึงค่อยพากันกลับ พี่จะซื้อของหวาน ๆ ฝาก โป๊ยก่ายก็ยืนแอบอยู่ที่นั่นเอาถ้วยชามส่งให้เห้งเจียไป เห้งเจียก็เดินเข้าไปในหอกลองเบียดคนเข้าไป มีป้ายแขวนอยู่ที่หน้าหอกลองคนจึงได้เบียดกันเข้าไปดู เห้งเจียเบียดคนแทรกเข้าไปจน ๆ ใกล้พิจารณาดูหมายประกาศ ความในหมายนั้นมีว่า เราพระเจ้าแผ่นดินผู้ครองเมืองจูจี๊ก๊ก ขอประกาศให้คนทั้งหลายทราบว่า ด้วยพระองค์ได้ครองราชสมบัติมาช้านาน ในพระราชอาณาเขตของพระองค์ก็เป็นสุขทั่วทุกมณฑล เวลานี้ชะตาเมืองไม่แจ่มแจ้ง จึงให้พระองค์มีโรคเรื้อรังมาช้านานแล้ว หมอหลวงประกอบยาถวายก็หลายขนานแล้ว แต่พระโรคนั้นก็มิได้ทุเลาเบาลงได้เป็นแต่ทรงอยู่กับทรุดไปทุกวัน เพราะฉะนั้นจึงขอประกาศให้ทราบว่าถ้าผู้ใดมียาวิเศษ
ประกอบแก้โรคให้ทุเลาบรรเทาหายได้ จะแบ่งราชสมบัติให้กึ่งหนึ่งมิได้เลือกเว้นว่าผู้ใด
   เห้งเจียอ่านทราบความแล้วก็มีความยินดียิ่งนัก จึงพูดว่าคำ​โบราณท่านย่อมว่าก็จะเห็นลาภเป็นผล อยู่ในฮ่วยตั๋งก๊วนก็จะโง่เสียเปล่า เมื่อมีช่องดังนี้แล้วเราก็จะไม่ต้องซื้อเครื่องแกงไปทำไม จำเราจะต้องช้าสักวันเป็นหมอรักษาโรคพระเจ้าแผ่นดิน คิดดังนั้นแล้วก็บิดตัวปากก็เป่าไปที่หนึ่งเรียกลม ในทันทีนั้นก็บังเกิดลมพายุพัดมาเอาหมู่คนที่ดูอยู่นั้นกระจายไปทั้งสิ้น เห้งเจียก็ใช้คาถาบังกายตรงเข้าไปแกะเอาหมายประกาศนั้นมาได้แล้วก็เดินมาหาโป๊ยก่าย แลเห็นโป๊ยก่ายเอาปากพิงกำแพงหลับอยู่เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ไม่ปลุก จึงเอาหมายประกาศเหน็บที่คอเสือโป๊ยก่ายแล้วก็เดินกลับมาที่ฮ่วยตั๋งก๊วน
   ฝ่ายหมู่คนเหล่านั้นถูกลมพายุลืมตาไม่ขึ้น ครั้นลมหายแล้วก็ไม่เห็นหมายประกาศพวกพนักงานที่รักษาก็พากันตกใจ ด้วยนำหมายประกาศมาปิดยังไม่ทันถึงสามชั่วโมง ก็ถูกลมพายุหายไปดังนี้ พวกตำรวจและขันธีก็พากันตกใจเป็นอันมาก ก็รีบพากันแยกย้ายเที่ยวค้นหา บังเอิญมาเห็นเหน็บอยู่ที่คอเสื้อโป๊ยก่าย คนเหล่านั้นจึงร้องว่านี้ทำไมแกแกะเอาหมายประกาศมาหรือ โป๊ยก่ายกำลังหลับตกใจยกปากขึ้น คนเหล่านั้นก็ตกใจล้มทับกันเป็นระนาวไป โป๊ยก่ายก็ออกเดินไป คนที่ใจกล้าก็เข้ามายึดไว้แล้วพูดว่า ท่านจะเอาหมายประกาศไปรับอาสาพระเจ้าแผ่นดิน ทำไมจึงไม่เข้าไปในพระราชวังประกอบยารักษาพระเจ้าแผ่นดินเล่าจะคิดไปข้างไหน โป๊ยก่ายตกใจพูดว่าใครเป็นหมอยาที่ไหน เราได้ไปแกะหมายประกาศมาเมื่อไร พวกตำรวจชี้ว่าเหน็บอยู่ที่คอเสื้อนั่นเป็นไรมิใช่หมายประกาศหรือ
   ​โป๊ยก่ายก้มศรีะเหลือบดูเห็นม้วนกระดาษอยู่ที่คอเสื้อ ก็ชักออกมาคลี่ดูแล้วกัดฟันด่าว่าอ้ายหัวลิงมันทำแก่กูดังนี้ มีความแค้นจะใคร่ฉีกประกาศนั้นเสีย พวกตำรวจร้องห้ามว่านี่แกจะถึงที่แล้ว หมายประกาศของพระเจ้าแผ่นดินเช่นนี้ใครเล่าเขาจะกล้าฉีกเช่นนี้ แม้ว่าแกเอามาแล้วแกก็คงจะเป็นหมอวิเศษจงรีบไปกับข้าพเจ้า โป๊ยก่ายตวาดว่าหมายประกาศนี้ข้าพเจ้ามิได้ฉีกเอามา คือพี่เราชื่อเห้งเจียไปลักฉีกเอามาเหน็บไว้ที่เราแล้วก็ไปเสีย แม้ว่าพวกท่านจะให้เห็นจริงจงไปกับเราถามดูจึงจะรู้เท็จจริงได้ พวกตำรวจพูดว่า ท่านพูดอะไรอย่างนั้นฟังไมได้ เลอะเทอะ ระฆังที่นี่ไม่ตีจะไปตีระฆังที่ไหน แกเป็นผู้ไปแกะหมายประกาศแล้วจะให้พวกข้าพเจ้าไปหาใครที่ไหนข้าพเจ้าตามใจท่านไม่ได้ ท่านจงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินก่อน
   พวกเหล่านั้นก็พากันเข้าฉุดคร่าโป๊ยก่าย ๆ ก็ยืนเฉยไม่ไหวหวาดดุจก้อนศิลาใหญ่ พวกนั้นก็ไม่รู้ที่จะทำประการใด โป๊ยก่ายพูดว่าพวกเจ้าไม่รู้จักฟ้าต่ำดินสูงจงมาลองดูอีกสักพักหนึ่ง จะเป็นอย่างไรบ้าง ยิ่งทำเราก็ยิ่งแน่นเข้าทุกที ในทันใดนั้นพวกชาวตลาดมาล้อมโป๊ยก่ายอยู่ออกแน่นไป ในหมู่นั้นมีขันธีสองคนจึงถามว่า ตัวอยู่ที่ไหนดูรูปร่างแปลกประหลาดมากดังนี้ ถ้อยคำน้ำเสียงก็ผิดกว่าคนทั้งหลาย ยังอาจมาทำกล้าแข็งในที่ของเขา
   โป๊ยก่ายตอบว่า ข้าพเจ้ามาจากเมืองใต้ถังข้างทิศบูรพา มีรับสั่งให้ไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม พระอาจารย์ของข้าพเจ้าเป็น​น้องยาเธอพึ่งเข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง ข้าพเจ้ามาซื้อเครื่องแกงกับพี่ข้าพเจ้า เธอบอกให้ข้าพเจ้าคอยอยู่ที่ตรงนี้ ชะรอยเธอจะไปแกะเอาหมายประกาศมาแอบเหน็บไว้ที่ข้าพเจ้าแล้วหนีไป ขันธีผู้เฒ่าพูดว่า ข้าพเจ้าเห็นพระสงฆ์องค์หนึ่งรูปร่างงดงามเข้าไปในพระราชวังนึกดูเห็นจะเป็นพระอาจารย์ของท่านดอกกระมัง โป๊ยก่ายพูดว่านั่นและอาจารย์ของข้าพเจ้าละ ขันธีถามว่าก็พี่ของท่านไปข้างไหนเล่า โป๊ยก่ายบอกว่า พวกข้าพเจ้ารวมด้วยกันสี่คนพักอยู่ที่ฮ่วยตั๋งก๊วน พี่ข้าพเจ้ามาทำแกล้งเล่นแล้วก็หนีไปฮ่วยตั๋งก๊วนก่อน ขันธีผู้เฒ่าจึงบอกแก่พวกตำรวจว่า พวกเราอย่าวุ่นวายจับกุมเธอไปเลย จงพากันไปฮ่วยตั๋งก๊วนนั้น ก็คงจะรู้เหตุผลได้ตลอดพูดแล้วก็พากันมา
   ฝ่ายพวกชาวตลาดที่กลุ้มกันอยู่นั้นก็ตามมาด้วย โป๊ยก่ายจึงบอกแก่ตำรวจและพวกชาวตลาดว่า พี่ข้าพเจ้าไม่เหมือนข้าพเจ้า ใครจะพูดเล่นเกินเลยไม่ได้ ใจซื่อตรงแต่ร้อนแรง แม้พวกท่านพบเธอจงนบนอบอ่อนน้อมเรียกเธอเป็นท่านผู้ใหญ่ ซึงเล่าเอี๊ย เธอก็คงจะรับรอง หากพูดจารุกรานเธอ ๆ ก็จะทะลึ่งตึงตังขึ้น การของท่านก็จะไม่สำเร็จ พวกขันธีกับตำรวจพูดว่า พี่ของท่านหากว่ามียาวิเศษประสิทธิ์แล้วแม้รักษาพระเจ้าแผ่นดินหายแล้ว ก็จะได้รางวัลแบ่งพระนครให้ครึ่งหนึ่ง พวกข้าพเจ้าก็จะลงเคารพทั้งสิ้น พวกที่ตามมามิใช่ธุระก็ยืนอยู่ข้างนอก โป๊ยก่ายก็พาพวกขันธีกับตำรวจเดินเข้าไปข้างในก็ได้ยินเห้งเจียคุยอยู่กับซัวเจ๋ง หัวเราะกันอยู่ในห้องกำลังพูดด้วย​เรื่องหมายประกาศ
   โป๊ยก่ายก็เดินเข้าไปจับมือเห้งเจีย พูดว่าพี่หรือเป็นคนดังนี้ได้ ลวงว่าจะซื้อขนมให้ข้าพเจ้ากินก็ไม่มีอะไรสักอย่างหนึ่ง กลับไปแกะเอาหมายประกาศอะไรมายัดให้ข้าพเจ้า ทำให้เราได้ความผิดดังนี้ จะควรคบเป็นพี่น้องกันไปได้หรือ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า มึงอ้ายชาติหมูไปหลงทางอยู่ที่ไหนมา ก็เราไปซื้อเครื่องแกงแล้วก็กลับมา ไม่เห็นเจ้าก็เลยกลับมาที่พัก จะไปแกะเอาหมายประกาศมาทำไม โป๊ยก่ายว่ามีขุนนางเฝ้ารักษาหมายประกาศบัดนี้ก็ตามมาด้วย พูดยังไม่ทันขาดคำก็เห็นขันธีกับตำรวจเดินเข้ามา พร้อมกันเคารพพูดว่าท่านผู้ใหญ่ ซึงเล่าเอี๊ย เจ้าของข้าพเจ้ามีนิสัยอันใหญ่ เทพยดาเชิญให้ท่านลงมาเปิดความประสิทธิ์ประกอบโอสถรักษาพระโรคเจ้าของข้าพเจ้า เห้งเจียได้ฟังขันธีแลตำรวจพูดดังนั้น จึงหยิบหมายประกาศมาจากโป๊ยก่ายแล้ว พูดแก่ขันธีและตำรวจว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้รักษาหมายประกาศหรือ ขันธีและตำรวจตอบว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายนี้เป็นผู้คอยรักษาหมายประกาศ
   เห้งเจียพูดว่า หมายประกาศนี้ข้าพเจ้าเอามาเอง แต่ให้น้องข้าพเจ้านำมาหา หากเจ้าของท่านประชวรพระโรคหนัก คำโบราณท่านว่า ยาไม่ตามซื้อโรคไม่หารักษา ท่านไปทูลพระเจ้าแผ่นดินให้ทรงทราบ ให้พระองค์มาเชิญข้าพเจ้า ๆ คงจะมีฝีมือที่จะแก้พระโรคนั้นได้ พวกขันธีได้ฟังดังนั้นต่างก็ตกตะลึง แต่ตำรวจพูดว่าถ้าออกความรุนแรงอย่างนี้ ก็คงมีความรู้ใหญ่กว้าง พวกเราอยู่​คอยรับเชิญครึ่งหนึ่ง ครึ่งหนึ่งเข้าไปกราบทูล พร้อมกันเห็นชอบจึงแบ่งกันอยู่กันไป ขันธีกับตำรวจสิบสองคนก็พากันเข้าไปในพระราชวัง ไม่ทันคอยรับสั่งก็ตรงเข้าไปที่ตำหนัก (พีเฮียงเต้ย) ครั้นถึงกระทำคำนับแล้วก็กราบทูลว่า ขอพระองค์ได้โปรดมีพระไทยอันรื่นเริง
   เวลานั้นพระเจ้าแผ่นดินเสวยแล้ว กำลังตรัสสั่งสนทนาอยู่กับพระถังซัมจั๋ง ได้ทรงฟังขันธีแลตำรวจเข้ามากราบทูลดังนั้น จึงตรัสถามว่ารื่นเริงอยู่ที่ไหนหรือ ขันธีทูลว่าเมื่อเวลาเช้ามีรับสั่งให้พวกข้าพระพุทธเจ้า นำหมายประกาศไปปิดเพื่อจะหาหมอรักษาพระโรค ข้าพระพุทธเจ้านำหมายประกาศไปปิดยังตำบลหอกลองตลาดใหญ่ มีสานุศิษย์ใหญ่ของพระถังซัมจั๋ง เป็นคนชาวเมืองใต้ถัง นามเรียกว่าซึงเล่าเอี๊ย บัดนี้พักอยู่ที่ฮ่วยตั๋งก๊วน เธอขอให้พระองค์เสด็จไปรับเธอ ๆ จึงจะมีฝีมืออันปรากฎรักษาพระโรคของพระองค์ให้พลันหาย เพราะฉะนั้นพวกข้าพระพุทธเจ้า จึงได้เข้ามากราบทูลเพื่อทรงทราบ
   ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินจูจี๊ก๊กให้ทรงฟังดังนั้น ก็มีพระไทยยินดีรื่นเริงยิ่งนัก จึงตรัสถามพระถังซัมจั๋งว่า สานุศิษย์ของท่านมีกี่คน พระถังซัมจั๋งทูลว่ามีสามคน พระเจ้าแผ่นดินทรงถามว่าคนไหนเป็นหมอ พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่าอาตมภาพไม่อาจปิดบัง สานุศิษย์ของอาตมภาพเป็นชาวป่าชาวดง เข้าใจแต่การเข้าป่าขึ้นเขาลงห้วย ​ถ้าพบปีศาจยักษ์ร้าย ก็มีฝีมือปราบได้ ที่จะมีฝีมือเป็นหมอประกอบยารักษาโรคนั้น ก็ไม่เห็นคนไหนจะเป็นได้
   พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่าพระอาจารย์ทำไมจึงถ่อมตัวดังนั้นเล่า วันนี้ข้าพเจ้าพึ่งออกขุนนาง บังเอิญมีนิสัยอันใหญ่ แม้ว่าสานุศิษย์นั้นไม่เป็นหมอที่ไหนจะอาจมาแกะเอาหมายประกาศนั้นไปได้ แลยังจะให้ข้าพเจ้าเสด็จไปรับเองเล่า ซี่งการเป็นดังนี้ คงจะมียาประสิทธิ์ขลังเป็นแน่ พระองค์ตรัสดังนั้นแล้ว จึงรับสั่งให้ขุนนางออกไปแทนว่า บัดนี้พระองค์มีพระอาการให้อ่อนเปลี้ยจะเสด็จมิได้ โดยเหตุทรงพระประชวรมานานแล้ว ไม่อาจทรงรถได้ เพราะฉะนั้นขอเชิญท่านซึงเล่าเอี๊ยเข้ามาดูพระโรคในพระราชวังเถิด
   ฝ่ายขุนนางได้รับสั่งดังนั้น ก็ถวายบังคมลาออกไป ครั้นถึงฮ่วยตั๋งก๊วนก็เข้าไปหาเห้งเจียกระทำคำนับ ฝ่ายโป๊ยก่ายซัวเจ๋งแอบอยู่ข้างใน ยังแต่เห้งเจียนั่งอยู่ท่ามกลาง จิตใจไม่หวั่นไหวกลัวเกรงผู้ใด ฝ่ายขุนนางเหล่านั้นครั้นคำนับแล้ว ก็ยืนอยู่สองข้างพูดว่า ขอท่านเล่าเอี๊ยได้ทราบ พวกข้าพเจ้าคือเป็นขุนนางของพระเจ้าจูจี๊ก๊ก บัดนี้มีรับสั่งให้ข้าพเจ้ามาเชิญเล่าเอี๊ยเข้าไปในพระราชวังดูไข้ของพระองค์ เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็ผุดลุกขึ้นทันทีแล้วถามว่าเป็นเหตุอย่างไร พระองค์จึงมิได้เสด็จมาเองเล่า พวกขุนนางพูดชี้แจงว่า พระองค์ทรงพระประชวรพระโรคมานานแล้ว หมดพระกำลังไม่สามารถจะเสด็จมาได้ เพราะเหตุนี้จึงจำเป็นให้​พวกข้าพเจ้ามาเชิญท่านแทนพระองค์ ขอเชิญท่านซึงเล่าเอี๊ยเข้าไปในพระราชวังตามรับสั่งเถิด เห้งเจียได้ฟังขุนนางชี้แจงดังนั้นจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นเชิญท่านทั้งหลายกลับไปก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะตามไปต่อภายหลัง
   ฝ่ายพวกขุนนางเหล่านั้น เมื่อได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้น ก็พากันกลับเข้าไปในพระราชวัง เห้งเจียจัดแจงกายเรียบร้อยแล้วก็เดินตามไป บัดเดี๋ยวก็มาถึงพระทวารวัง พวกขุนนางเห็นเห้งเจียมาถึงแล้วก็เข้าไปกราบทูล ครั้นทรงทราบก็เสด็จออกมาทอดพระเนตรตรัสถามว่าท่านผู้ใดคือซึงเล่าเอี๊ย เห้งเจียก็เข้าไปพูดเสียงดังว่า ข้าพเจ้านี้แลซึงเล่าเอี๊ย พระเจ้าแผ่นดินจูจี๊ก๊ก ได้ยินเสียงดังและทั้งแลดูรูปร่างก็น่ากลัวดังนั้น ก็ตกพระทัยพระองค์สั่นไม่เป็นสมประดี ก็ล้มลงทันทีรับสั่งให้นางใน มาพยุงพระองค์เข้าพระตำหนักในขุนนางทั้งหลายก็พากันโกรธเห้งเจียว่า ไม่รู้จักอะไรมีกิริยาหยาบคายเซอะซะ ยังมีหน้าอวดดีมาแกะเอาหมายประกาศออกได้ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าท่านทั้งหลายนี้ด่วนดูถูกข้าพเจ้าดังนี้ โรคเจ้าของท่านสักพันปีก็จะไม่หายเลย
   พวกขุนนางเหล่านั้นจึงถามว่า คนเราเกิดมาอายุสักเท่าใดท่านจึงว่าพันปีก็ไม่หาย เห้งเจียตอบว่าปัจจุบันบัดนี้ โรคของเจ้าแห่งท่านเรียกตายแล้ว คือโรคผีกลับชาติมาต่อภายหลังเรียกว่าโรคคนดังนี้จะไม่เรียกพันปีหรือ ขุนนางทั้งหลายได้ฟังเห้งเจีย​พูดประหลาดดังนั้น ก็พากันโกรธเคืองพูดว่าคนอะไรอย่างนี้พูดจาบ้าหลังไปได้ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าเรามิใช่บ้าหลังเราจะแสดงให้ฟัง ยาประกอบประสิทธิ์คุณนั้นยิ่งล้ำ มีครูเทวดาท่านชักนำหากไม่ฟังคำเราชี้แจงทั้งชาติก็ไม่หายอย่าสงสัยเลย
   ในพวกขุนนางนั้นมีขุนนางฝ่ายแพทย์ผู้หนึ่งเมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงพูดกับขุนนางทั้งหลายว่า ท่านผู้นี้แสดงความชอบกลควรจะฟังก่อน คือยาเทวดาจะคอยฟังซึ่งโรคนั้นก่อนจึงจะประกอบยาให้ พวกขุนนางทั้งหลายก็เห็นชอบด้วยจึงให้เข้าไปกราบทูลว่า บัดนี้ท่านซึงเล่าเอี๊ยจะขอฟังพระโรคก่อนจึงจะประกอบโอสถได้ พระเจ้าแผ่นดินจูจี๊ก๊กบรรทมประทับอยู่บนแท่นได้ทรงฟังดังนั้น จึงรับสั่งให้ขันธีออกไปบอกว่า ซึ่งท่านซึงเล่าเอี๊ยนั้นขอยกเลิกเถิด ด้วยพระองค์เห็นหน้าไม่ได้ ขันธีก็กลับออกมาบอกดามรับสั่งทุกประการ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าถ้าเห็นหน้าไม่ได้ เราเข้าใจทางตรวจจับแต่สายด้ายก็ได้ ให้เอาแต่ด้ายผูกข้อพระกรฟังก็ได้ พวกขุนนางให้ฟังดังนั้นก็ดีใจพูดว่าเคยได้ฟังอยู่ แต่ยังไม่เคยเห็นด้วยตาควรจะกลับเข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบใหม่ 
   ขุนนางจึงเข้าไปกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ บัดนี้ท่านซึงเล่าเอี๊ยพูดว่าไม่ต้องเห็นพระองค์ก็ได้ ให้เอาด้วยผูกพระกรแล้ว จับแต่ด้ายก็อาจทราบได้ในพระอาการ พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่าเราป่วยมาสามปีแล้วยังไม่เคยได้ยินการทดลองอย่างนี้ ถ้ากระนั้นก็เชิญตัวเข้ามาข้างใน ขุนนางก็ออกมาเชิญเห้งเจียเข้าไป
(บทที่ ๖๙)
​ฝ่ายพระถังซัมจั๋งก็เดินเข้ามาใกล้ด่าว่าเห้งเจียว่า อ้ายชาติลิงจะทำความเดือดร้อนให้แก่อาตม เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าคิดจะให้อาจารย์มีความเจริญรุ่งเรือง กลับจะว่าข้าพเจ้าจะคิดฆ่าอะไรที่ไหน พระถังซัมจั๋งตวาดว่าตามอาตมามาหลายปีแล้ว ก็ไม่เห็นรักษาโรคภัยอะไรที่ไหนหายยาธาตุไม่รู้จักตำหรับตำราอะไรก็ไม่รู้ ทำไมจึงอาจสามารถไปเกี่ยวเอาภัยใหญ่มาดังนี้ เห้งเจียหัวเราะพูดว่าพระอาจารย์ยังไม่ทราบว่า ข้าพเจ้ามียาวิเศษขนานที่จะแก้โรคใหญ่ได้ไม่ ข้าพเจ้าจะแก้โรคนั้นให้หายเท่านั้น หากว่ารักษาเขาไม่หายก็เพียงโทษบาปรักษาคนตายเท่านั้น ท่านจะวิตกด้วยเหตุอะไรที่ไหน พระอาจารย์จงนั่งพักเสียให้สบายเถิด ไว้ข้าพเจ้าไปตรวจลมดูก่อนว่าโรคนั้นจะมีมูลเดิมเกิดด้วยเหตุอย่างไร
   พระถังซัมจั๋งพูดว่ายังไม่เคยพบเห็นตำราตรวจลมที่ไหนมีเจ้าพูดบ้าหลังไปดังนี้ เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้ามีไหมทองติดอยู่กับตัว ท่านยังไม่เห็น พูดแล้วเห้งเจียก็ถอนเอาขนหางมาสามเส้นแปลงเป็นไหมยาวประมาณแปดศอก เอาวางกลางใจมือส่งให้อาจารย์ดูว่านี่มิใช่หรือไหมสำหรับดูลม พูดดังนั้นแล้วก็ตามขันธีเข้าไปตำหนักในที่พระบรรทม ก็ยืนยั้งอยู่นอกประตูเอาไหมสามเส้นส่งให้ขันธีสั่งว่า เอาไปผูกที่ข้อพระกรข้างซ้าย แล้วเอาหางไหมสอดออกมานี่ ฝ่ายขันธีรับไหมสามเส้นเอาไปทำตามเห้งเจียสั่ง แล้วเอาหางไหมสอดออกมาทางหน้าต่าง เห้งเจียก็รับเอาไหมสามเส้นมาวางบน​มือข้างซ้ายแล้ว เอามือขวาสามนิ้วกดไว้ เห้งเจียก็ระงับลมของตัวนิ่งคอยสังเกตฟังลมเดิน รู้สึกว่าลมเดินจมๆ ลอยๆ ก็เข้าใจได้ชัด จึงบอกขันธีให้แก้ที่มือซ้ายเอาไปผูกที่มือขวา ขันธีก็กระทำตามสั่ง
   เห้งเจียก็เอาหางไหมมาวางกดคอยฟังดูลมเดิน ก็รู้สึกได้ทุกประการ จึงเรียกไหมนั้นเข้าตัวตามเดิม แล้วจึงทูลว่าลมที่พระกรข้างซ้ายของพระองค์นั้นเดินรุกรน ประตูลมไสห่างเดินลอยแต่จมลึก ข้างขวาลมเดินลอยแต่ลื่นและช้าแต่ผูก และขยักแต่มัดข้างซ้ายแม้ลมเดินเช่นนั้น ใจให้ระโหยเจ็บและมีพระเสโทซึมผิวหนังชื้นและบังคนมีสีแดงดุจพระโลหิต พระกรข้างขวาแม้ลมเดินอย่างนั้นผูกแลไปพระบังคนหนักไม่สะดวก เสวยไม่ได้และเศร้าหมองสะท้านร้อนสะท้านหนาวเป็นกำลัง จะรวมอธิบายพระโรคนั้น มีความหวั่นหวาดคิดถึง นามเรียกว่า (โรคปักษาพลัดคู่)
   พระเจ้าแผ่นดินจูจี๊ก๊กได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น ก็มีพระทัยทุเลาฟื้นขึ้น จึงทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า ท่านแสดงในโรคนั้นแจ่มแจ้งแล้วทุกประการ ขอท่านได้ประกอบยาเถิด เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็กลับเดินออกมายังตำหนักนอก ฝ่ายขุนนางขันธีออกมาก่อน เล่าให้ขุนนางทั้งหลายฟัง บัดเดี๋ยวเห้งเจียก็ออกมา พระถังซัมจั๋งถามว่า เห้งเจียเข้าไปตรวจลมรู้อาการว่าเป็นประการใดบ้าง เห้งเจียตอบว่า ตรวจดูถูกต้องยังแต่จะประกอบยาเท่านั้น ขุนนางทั้งหลายก็พากันมาสรรเสริญแล้วถามว่า เมื่อกี้นี้ท่านเล่าเอี๊ยพูดว่า ​ปักษาพลัดคู่นั้นเป็นอย่างไร เห้งเจียหัวเราะแล้วตอบว่า เดิมมีนกคู่หนึ่ง ตัวผู้หนึ่งตัวเมียหนึ่ง จับอยู่ด้วยกันครั้นมาลมพายุพัดแรงและฝนตก นกตกใจก็พลัดจากกันไป ตัวผู้ไม่เห็นตัวเมีย ๆ ไม่เห็นตัวผู้ ๆ คิดถึงตัวเมีย ๆ คิดถึงตัวผู้ ดังนี้จะไม่เป็นปักษาพลัดคู่หรือ พวกขุนนางได้ฟังเห้งเจียชี้แจงอธิบายดังนั้นต่างก็พร้อมกัน ร้องขึ้นว่า ท่านเป็นเทพยดาแท้ หาผู้เสมอท่านยาก
   ฝ่ายขุนนางหมอหลวงถามว่า โรคนั้นชี้แจงถูกแล้ว ยังไม่ทราบว่าท่านจะเอายาสิ่งใดประกอบแก้โรคได้ เห้งเจียพูดว่าไม่เอาตามตำรับ หมอหลวงพูดว่าตามคัมภีร์กล่าวไว้ยามีแปดร้อยแปดสิ่ง คนมีโรคก็แปดร้อยแปดอย่าง โรคนั้นไม่อยู่จำเพาะตัวคนเดียว ก็ยาที่ไหนจะต้องใช้ทุกสิ่ง ทำไมจึงเห็นยาจึงต้องประสงค์เล่า เห้งเจียว่าโบราณท่านย่อมกล่าวไว้ว่า ไม่ต้องถือตามตำรา ให้วิเคราะห์ดูโรคจึงใช้ยาให้ควรแก่โรค เพราะฉะนั้นจึงมียาไว้สำหรับทุกสิ่ง ตามส่วนที่จะต้องลดต้องทวีและเติม
   ขุนนางหมอก็ไม่ถามต่อไป ให้คนนำเครื่องยาทุกสิ่งและเครื่องที่จะบดจะตำไปที่ฮ่วยตั๋งก๊วนมอบให้แก่เห้งเห้งเจีย ๆ ก็นิมนต์พระถังซัมจั๋งกลับออกไปยังฮ่วยตั๋งก๊วนประกอบยา พระถังซัมจั๋งก็จะลุกออกไปพอขันธีมาบอกว่า มีรับสั่งให้ท่านอาจารย์พักอยู่ในตำหนักปุนอวยเต้ยในพระราชวัง รอพรุ่งนี้เสวยพระโอสถพระโรคทุเลาแล้วจะได้สนองคุณแลจะได้ส่งไปทั้งจะได้เปลี่ยนหนังสือเดินทางให้ด้วย ฝ่ายพระถังซัมจั๋ง เมื่อได้ฟังขันธีบอกดังนั้นก็ตกใจ พูดว่าเหตุ​นี้ที่จะยึดเราไว้เป็นประธาน ถ้าหากรักษาหายก็จะพากันดีไป ถ้าหากรักษาไม่หายชีวิตอาตมาก็จะไม่รอด เห้งเจียจงไปทำให้ดี เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า พระอาจารย์ไม่ต้องเป็นทุกข์จงอยู่พักให้สบายเถิด ข้าพเจ้าคงมียาประสิทธิ์คุณรักษาได้
   พูดดังนั้นแล้วก็ลาพระอาจารย์ออกไปยังฮ่วยตั๋งก๊วน ครั้นถึงโป๊ยก่ายก็มารับหัวเราะแล้วพูดว่าข้าพเจ้าทราบแล้วว่าพี่ไม่จริงใจจะไปอาราธนาพระธรรม จะคิดหาผลประโยชน์ ขัดด้วยยังไม่มีทุนเห็นว่าเมืองนี้มั่งมีจึงทำอุบายผันแปรจะได้ตั้งโรงขายยาหรือ เห้งเจียพูดว่าพอรักษาโรคพระเจ้าแผ่นดินหายแล้วก็จะไป จะตั้งโรงยาทำอะไร โป๊ยก่ายว่ายามีถึงแปดร้อยแปดสิ่ง ก็รักษาคน ๆ เดียวจะเอาสักเท่าไร เห้งเจียว่าจะต้องมากทำไม พวกหมอหลวงมันโง่ไม่รู้จักอะไร เอายามาให้มากสิ่งโดยไม่เข้าใจตลอดว่าพี่จะต้องการสักกี่สิ่ง และไม่รู้ว่าคุณยาของเราจะประสิทธิ์ขลังอย่างไร กำลังพูดกันอยู่นั้นก็เห็นคนใช้สองคนมาเชิญไปกินข้าว เห้งเจียก็ดีใจจึงขึ้นไปชั้นบน พี่น้องทั้งสามก็พากันเข้านั่งกิน ครั้นเสร็จแล้ว ก็พอจวนเย็นเห้งเจียจึงสั่งเจ้าพนักงานให้จัดหาน้ำมันขึ้ผึ้งเอามาส่งพนักงานก็นำมาส่งตามสั่งทุกประการ รอพอเวลาดึกสงัดผู้คนหลบเงียบ
   โป็ยก่ายพูดว่าพี่จัดแจงทำยาก็ทำเสียข้าพเจ้าจะได้นอน เห้งเจียจึงบอกโป๊ยก่ายให้จัดเครื่อง ด้วยอึ๋งสิ่งหนึ่ง หนักตำลึงหนึ่ง เอาบดให้เป็นผงแล้วเอามาให้พี่ ซัวเจ๋งว่าต้ายอิ๋งสิ่งนี้​รสขมแต่ไม่ร้าย ใช้หน่วงลงเดินไม่ปิดแก้ผูกและระงับบังคับมิให้ระส่ำระสาย ยาสิ่งนี้วิตกอยู่ที่โรคนานวันคนไข้กำลังน้อยไม่ควรรับประทาน เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า น้องยังไม่เข้าใจตลอด ยาสิ่งนี้ประกอบมีเสมหะและไอในตัวเดินสะดวกไม่ขัด บังคับที่สะท้านหนาวสะท้านร้อน น้องอย่ามาพูดให้วุ่นวายไป รีบไปเอาปาเต้าหนักตำลึงหนึ่งมาปอกเปลือกทิ้งเสีย แล้วใส่ครกตำให้น้ำออกแล้วเอาไปบดให้เป็นผงแล้วเอามาให้พี่ โป๊ยก่ายพูดว่า ปาเต้าสิ่งนี้รสเผ็ดแต่ร้อนแก้คุมดีกับปวดที่หน่วงหนักปิด และมีกำลังเจริญอาหาร จะประกอบต้องระวัง เห้งเจียว่าน้องยังไม่เข้าใจยาสิ่งนี้มิให้ผูกและเหนี่ยวลำไส้ให้ตรงตามเดิม และฝืนหัวใจมิให้เคลื่อนจงรีบจัดมาโดยเร็ว พี่ยังมีสิ่งที่จะประกอบเข้าอีก
   โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็เอาสิ่งนั้น ๆ ไปทำตามเห้งเจียสั่ง ครั้นบดทำเป็นผงเสร็จแล้ว ก็เอามาวางไว้ถามว่าพี่จะต้องการอีกสักกี่สิ่ง
   เห้งเจียบอกว่าเท่านั้นพอแล้ว โป๊ยก่ายพูดว่ายานี้ถึงแปดร้อยแปดสิ่ง ทุกสิ่งจะต้องใช้น้ำหนักสิ่งละสองชั่ง นี่เอาหนักแต่หนึ่งตำลึงจะไม่ผิดมากกว่าเขาไปหรือ เห้งเจียจึงไปหยิบเอาถ้วยเล็กสองถ้วยส่งให้โป๊ยก่ายถ้วยหนึ่ง สั่งว่าน้องไปขูดเขม่าก้นหม้อสักครึ่งถ้วย โป๊ยก่ายถามว่าพี่จะเอามาทำไม เห้งเจียว่าน้องยังไม่เข้าใจ ​เขม่าก้นหม้อนั้นเรียกว่า (แป๊ะเช้าเซียง) ประกอบยาแก้โรคได้ต่าง ๆ โป๊ยก่ายก็ไปขูดมาครึ่งถ้วยบดละเอียดเป็นผง เห้งเจียหยิบถ้วยอีกถ้วยหนึ่ง ส่งให้ไปรองมูตม้าของเรานั้นมาสักครึ่งถ้วย โป๊ยก่ายว่าจะไปเอาเยี่ยวม้ามาทำอะไร เห้งเจียบอกว่าเอามาผสมทำลูกกร ซัวเจ๋งหัวเราะก๊าก ๆ แล้วพูดว่าพี่ฉันยังไม่เคยพบเห็นยาอะไรอย่างนี้ ด้วยเยี่ยวม้ามันเหม็นเหลือที่จะทนได้ หากคนเป็นโรคธาตุน้ำเสียพิการได้กลิ่นเข้าก็อาเจียน จนรากเขียวรากเหลือง และปาเต้า ต้ายอึ๊ง สองสิ่งนี้ กินแล้วก็ทั้งลงทั้งรากดังนี้ จะไม่เป็นการแกล้งเล่นดอกหรือ
   เห้งเจียว่าน้องยังไม่รู้มูลโรคซึ่งเป็นต้นเหตุ ม้าของเรานั้นมิใช่ม้าธรรมดา เธอคือเป็นบุตรของพระยาเล่งอ๋องอยู่ฝ่ายทิศบูรพา หากได้เยี่ยวเธอมากินโรคนั้นจะหายได้ทันที โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้น ก็ถือถ้วยยาไปที่ม้านอนอยู่กับดิน โป๊ยก่ายก็ยกขาม้าขึ้นเอาถ้วยรองที่องค์กำเนิด ม้าก็ไม่ถ่ายปัสสาวะ โป๊ยก่ายกลับมาบอกแก่เห้งเจียว่า พี่อย่าเพิ่งไปรักษาพระเจ้าแผ่นดินเลย ไปรักษาม้าเสียก่อนเถิด ด้วยมันปิดเบา ข้าเอาถ้วยรองเป็นนานมันก็ไม่ถ่ายปัสสาวะ เห้งเจียว่าถ้ากระนั้นไปด้วยกัน ครั้นมาถึงเห้งเจียบอกให้เอาถ้วยรอง ม้าก็ถ่ายปัสสาวะออกมาครึ่งถ้วย โป๊ยก่ายพิเคราะห์ดูน้ำมูตดุจน้ำทองคำ ได้แล้วก็นำมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วเอายาที่ประกอบไว้แล้วนั้นเข้าผสมกันปั้นเป็นลูกกรสามก้อน เอาใส่กลักเล็กเก็บไว้แล้ว ต่างก็พากันไปหลับนอน
รูปภาพ ; 此行药耳,但恐久病虚弱,不可用此,」孙悟空回沙和尚道:「贤弟不知,此药利痰顺气,荡肚中凝滞之寒热。
   ​ครั้นรุ่งเช้าเจ้าแผ่นดิน จูจี๊ก๊ก รู้สึกพระองค์ออกขุนนาง ให้นิมนต์พระถังซัมจั๋งมาแล้ว มีรับสั่งให้ขุนนางไปยังฮ่วยตั๋งก๊วน หาตัวท่านซึงเล่าเอี๊ยให้เอายามาถวาย พวกขุนนางก็รีบออกไปยังฮ่วยตั๋งก๊วนแจ้งความแก่เห้งเจียตามรับสั่ง เห้งเจียเรียกโป๊ยก่ายให้เอากลักเล็กมา เห้งเจียจึงส่งกลักยาให้แก่ขุนนาง ๆ ถามว่ายานี้ชื่ออะไร เห้งเจียตอบว่าชื่อ (โอกิมตัน) ขุนนางถามว่าจะเอาน้ำอะไรเป็นกระสาย เห้งเจียตอบว่ากระสายมีสองอย่าง อย่างหนึ่งเอาหกสิ่งเป็นกระสาย ขุนนางถามว่าหกสิ่งนั้นคืออะไรบ้าง ๆ เห้งเจียว่าเอาขนนกการะเวกหนึ่ง น้ำเยี่ยวปลากิมหลีฮื้อหนึ่ง แป้งผัดหน้าของเจ้าแม่เทวะราชอ๋องโป๊หนึ่ง ขี้เถ้าเตาไฟของท่านพรหมท้ายเสียงเล่ากุนหนึ่ง ชายผ้าโพกพระเศียรพระอิศวรหนึ่ง หนวดมังกรห้าเส้นหนึ่ง รวมหกสิ่งนี้ต้มทำน้ำกระสายกินยากิมตันนั้นแล้ว เจ้าของท่านก็จะทุเลาจากโรคนั้น ความเศร้าหมองในพระทัยก็จะหายเป็นแท้
   พวกขุนนางพูดว่า ของหกอย่างนั้นมิได้มีในมนุษย์โลกจะได้ที่ไหนมาเล่า อยากขอทราบอีกอย่างหนึ่ง คือน้ำกระสายอะไร เห้งเจียบอกว่า น้ำไม่มีรากเป็นกระสายก็ได้ พวกขุนนางว่าถ้ากระนั้นค่อยง่ายสักหน่อย เห้งเจียถามว่าท่านทั้งหลายจะเข้าใจว่าอะไรหรือน้ำไม่มีรากนั้น พวกขุนนางทั้งหลายตอบว่าตามชาวบ้านเรียกว่าน้ำไม่มีรากนั้น ไปตักตามบ่อหรือตามคลองตักมาแล้วเดินมาไม่หันหน้ากลับไปและมิให้หยดลงแผ่นดิน ดังนี้เรียกว่าน้ำไม่มีราก
   ​เห้งเจียว่า น้ำตามบ่อหรือลำคลองหรือแม่น้ำก็ยังเรียกว่ามีราก น้ำของข้าพเจ้าว่าไม่มีรากนั้น คือน้ำในอากาศที่ตกลงไม่ถึงดินนั้นแลเรียกว่าน้ำไม่มีราก พวกขุนนางทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้นจึงพูดว่า ถ้าดังนั้นต้องคอยน้ำฝนจึงกินยา ขุนนางทั้งหลายก็พร้อมกันคำนับลาเห้งเจีย นำยากลับเข้าไปในพระราชวัง ครั้งถึงก็ถวายพระเจ้าแผ่นดิน ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินจูจี๊ก๊กมีพระทัยยินดี จึงให้ขุนนางรับยามาแล้วตรัสถามว่าคือเป็นยาอะไร ขุนนางกราบทูลว่าท่านซึงเล่าเอี๊ยบอกว่า ยาโอกิมตันให้ใช้น้ำไม่มีรากเป็นกระสาย จึงรับสั่งให้ขุนนางเอาคณโฑไปตักน้ำไม่มีราก พวกขุนนางกราบทูลว่าท่านเล่าเอี๊ยบอกว่าน้ำบ่อน้ำคลองนั้นมิใช่น้ำไม่มีราก ให้เอาน้ำกลางอากาศที่ตกยังไม่ทันถึงดินจึงจะได้ พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้พราหมณ์มาตั้งพิธีขอฝน
   ฝ่ายเห้งเจียอยู่ที่ฮ่วยตั๋งก๊วนจึงเรียกโป๊ยก่ายมาปรึกษาว่า พี่สั่งให้ขุนนางไปหาน้ำไม่มีรากทำกระสายยา เวลานี้ก็เป็นการรีบร้อนทำอย่างไรจึงจะได้น้ำฝนให้ทันการ พี่พิจารณาดูพระเจ้าแผ่นดินจิตศรัทธาทางกุศลมาก มีบุญญาธิการได้สร้างสมมาควรเป็นเจ้า จำเราจะต้องช่วยให้ตลอดการ จึงจะเห็นคุณยาของเรา โป๊ยก่ายถามว่า พี่จะคิดช่วยอย่างไร เห้งเจียจึงเรียกโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งให้มายืนอยู่ซ้ายขวา เห้งเจียทำกิริยาร่ายพระคาถาเรียกพระยานาค บัดเดี๋ยวใจแลไปข้างทิศตะวันออก เห็นมีม้วนเมฆตั้งขึ้นออกดำใน​ท้องฟ้า แล้วเมฆนั้นก็ลอยมาในอากาศตรงที่เห้งเจียยืนอยู่ ก็ร้องเรียกว่าท่านใต้เซียข้าพเจ้าพระยานาคเง่าก๊วง ทิศบูรพามาหาท่านมีธุระประการใดหรือ
   เห้งเจียบอกว่าข้าพเจ้าไม่มีธุระอะไรก็ไม่อาจกวน ซึ่งเชิญท่านมาครั้งนี้หวังจะขอน้ำไม่มีราก ให้แก่เจ้าเมืองจูจี๊ก๊กเพื่อจะทำน้ำกระสายยา พระยาเล่งอ๋องพูดว่าท่านใต้เซียมิได้บอกว่าจะต้องการน้ำฝน ข้าพเจ้าก็หาได้เอาเครื่องสำหรับทำฝนนั้นมาไม่ ทำอย่างไรจึงจะทำฝนได้เล่า เห้งเจียพูดว่าไม่ต้องทำฝนมาก จะขอแต่สักหน่อยเดียวพอทำน้ำกระสายยาเท่านั้น พระยาเล่งอ๋องว่าถ้ากระนั้นข้าพเจ้าจะพ่นน้ำลายก็พอกินยา เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงพูดว่าดีแล้ว ๆ ขอท่านได้รีบทำเถิด พระยาเล่งอ๋องก็ค่อยๆ เคลื่อนเมฆลงมาต่ำยังปราสาทแล้ว ก็พ่นน้ำลายลงไปเป็นฝอยแปรเป็นฝนตกใสสอาด
   ฝ่ายพวกข้าราชการทั้งหลายพากันสรรเสริญว่า เจ้าของเรามีบุญญาธิการมากเทพยดาจึงบันดาลให้ฝนตก ก็พากันเอาคณโฑมารองน้ำฝนได้สองคณโฑ ครั้นฝนตกแล้วพระยาเล่งอ๋องก็เลิกลาเห้งเจียกลับไปยังที่อยู่ตามเดิม พวกข้าราชการก็นำน้ำฝนสองคณโฑนั้นมาถวายพระเจ้าแผ่นดินจูจี๊ก๊ก ๆ รับให้นำน้ำฝนนั้นไปในพระตำหนักใน พระองค์ก็เสด็จกลับเข้าไปจะเสวยพระโอสถ แล้วขึ้นประทับบนที่พระบรรทม จึงเอายาสามเม็ดนั้นมาแบ่งเป็นสามครั้ง ๆ ละเม็ด เสวยเม็ดแรกลงไปสักประเดี๋ยว พระอุทรก็มีเสียงดังลั่นท่าจะถ่ายพระบังคนหนัก ​เจ้าพนักงานก็เอาหม้อมารองในทันใดก็ถ่ายพระบังคนหนักลงสี่ห้าครั้ง พระองค์ล้มลงกับพระแท่นที่บรรทม พวกพนักงานนางในก็เอาหม้อมาตรวจดูเห็นล้วนแต่เมือกคาวเท่านั้นเหม็นและเสมหะสิ่งโสโครกทั้งสิ้น นางเหล่านั้นจึงมากราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบที่ถ่ายออกมานั้นล้วนแต่สิ่งโสโครกอันเป็นเชื้อของโรคออกมาหมดแล้ว
   พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังนางพระสนมกราบทูลดังนั้นก็ดีพระทัยจึงเสวยพระโอสถอีกเม็ดหนึ่ง สักประเดี๋ยวก็มีพระกำลังเกิดขึ้นทรงรู้สึกพระองค์โปร่งขึ้นยังเดิม จึงเสด็จลงจากแท่นแต่งพระองค์ออกขุนนาง เห็นพระถังซัมจั๋งก็ลดพระองค์ลงนมัสการ พระถังซัมจั๋งก็ลดลงคำนับ จึงเสด็จมาจับมือพระถังซัมจั๋ง แล้วมีรับสั่งให้ขุนนางฝ่ายอาลักษณ์ร่างหนังสือ ไปเชิญท่านเล่าเอี๊ยกับพี่น้องทั้งสามมาว่า บัดนี้ขอบคุณเป็นที่สุดแล้ว ขอเชิญเข้ามายังพระราชวังใน แล้วรับสั่งให้ขุนนางพนักงานโต๊ะจัดเครื่องโต๊ะเตรียมไว้ยังปราสาทตังก๊อดจะตอบแทนคุณ พวกขุนนางพนักงานก็ไปจัดการเตรียมไว้ตามรับสั่งทุกประการแล้ว ก็ไปเชิญเห้งเจียกับพี่น้องทั้งสามคนเข้าไปในพระราชวังพาขึ้นไปยังปราสาทตังก๊อด แลเห็นพระเจ้าแผ่นดินกับพระถังซัมจั๋ง คนทั้งสามก็ลดลงคำนับแล้ว ก็เดินเข้านั่งโต๊ะ ขุนนางทั้งหลายก็นั่งตามลำดับ เห้งเจียพี่น้องแลไปดู ก็เห็นเครื่องที่ตั้งบนโต๊ะล้วนแต่ของโอชารส ทั้งแจทั้งโชมีพร้อมเรียบเรียงวางไว้เป็นลำดับ
   ฝ่ายเจ้าเมืองจูจี๊ก๊กเห็นเรียบร้อยพร้อมเพรียงแล้ว ก็เสด็จมา​ทรงรินสุราส่งให้เห้งเจียถ้วยหนึ่ง เห้งเจียก็รับสองมือมาดื่มหมด ทรงรินอีกถ้วยหนึ่งมาส่งให้ก็รับดื่มหมด พระเจ้าแผ่นดินทรงพระสรวลตรัสว่า จะต้องให้ครบสามถ้วย ส่งอีกถ้วยหนึ่งเห้งเจียก็รับมาดื่มหมด ทรงตรัสว่าจะต้องให้เป็นสี่ฤดู จึงรับสั่งให้ขุนนางรินให้อีกถ้วยหนึ่ง เห้งเจียก็รับมาถือไว้แต่ยังหาทันจะดื่มไม่ โป๊ยก่ายเห็นสุราไม่มาถึงก็พูดขึ้นว่า ขอพระองค์ได้ทราบการที่ผสมและบดยาข้าพเจ้าได้ช่วย และในยานั้นมีม้า เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น วิตกกลัวคนอื่นจะรู้ความ ก็ชิงส่งถ้วยสุราให้โป๊ยก่าย ๆ ก็รับมาดื่มแล้วก็ไม่พูดต่อไป ส่วนพระเจ้าแผ่นดินได้ยินโป๊ยก่ายพูดแปลก จึงทรงถามว่าอะไรในยามีม้า เห้งเจียชิงทูลว่า พี่น้องข้าพเจ้าเมื่อประกอบยา ก็คิดเอาสิ่งที่ดีควรประกอบให้แก้พระโรคของพระองค์ได้เป็นประมาณ เธออยากจะให้ทรงทราบว่าสิ่งที่ดีนั้นเรียกว่า (ม้าเต้าเล้ง) มีประกอบในเม็ดยาของพระองค์นั้น
   พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งถามขุนนางฝ่ายแพทย์ว่าม้าเต้าเล้งเป็นสิ่งอะไร พวกขุนนางแพทย์กราบทูลว่าม้าเต้าเล้งนี้ รสขมแต่เย็นแก้กระหายอิดโรยและเสมหะให้สะดวก กำจัดน้ำเหลืองที่ให้เกิดพยาธิ และไม่ไอปรกติดี พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้นก็ทรงพระสรวลตรัสว่า ควรต้องการก็ประกอบดีแล้ว พระองค์รินสุรามาส่งให้โป๊ยก่ายอีกสองถ้วย โป๊ยก่ายก็รับมาดื่มแล้วพระองค์จึงทรงรินให้ซัวเจ๋งอีกสามถ้วย ต่างก็เข้านั่งโต๊ะที่กินตามสบาย แล้ว​พระเจ้าแผ่นดินทรงรินสุราใส่ถ้วยแล้วใหญ่ส่งให้เห้งเจีย ๆ ก็ยืนขึ้นรับแล้วก็ทูลว่า ขอพระองค์ประทับให้สบายเถิด ข้าพเจ้าจะรับพระราชทานตามสบายใจ ไม่ละเป็นอันขาด
   พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่าคุณของท่านมีน้ำหนักดุจภูเขาใหญ่ วิตกแต่จะตอบแทนท่านไม่พอเพียง เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงให้ท่านอีกแก้วใหญ่ และจะขออนุญาตไต่ถามบ้างเล็กน้อย เห้งเจียว่าขอพระองค์ได้ทรงถามตามที่ต้องประสงค์ แล้วข้าพเจ้าจึงจะดื่มถวาย พระเจ้าแผ่นดินทรงถามว่าตัวข้าพเจ้าตรอมใจเจ็บมาสองปีแล้ว บัดนี้ได้กินยาประสิทธิ์คุณของท่านก็หายแล้ว เห้งเจียหัวเราะแล้วทูลว่า เมื่อวานนี้ข้าพเจ้าได้แสดงว่า พระองค์ประชวรพระโรคตรอมพระทัย ไม่ทราบว่าพระองค์ตรอมพระทัยด้วยเหตุอะไร พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังเห้งเจียถามดังนั้นจึงตรัสว่าคำโบราณท่านกล่าวไว้ว่า (ความอายในบ้านไม่ควรให้คนนอกบ้านรู้) ขัดด้วยท่านมีคุณข้าพเจ้าก็ต้องเล่าให้ท่านฟัง เห้งเจียว่าขอพระองค์จงแสดงเถิดหากเป็นประโยชน์ของพระองค์
   จึงพระเจ้าแผ่นดินตรัสว่าข้าพเจ้าไม่ทราบว่า ท่านซึงเล่าเอี๊ยตั้งแต่ออกจากเมืองใต้ถังข้ามมาได้กี่เมืองแล้วจึงได้มาถึงนี่ เห้งเจียทูลว่าข้าพเจ้ามาได้หกหัวเมืองแล้ว พระเจ้าแผ่นดินตรัสถามว่าเมืองทั้งหลายเหล่านั้นที่เป็นเบื้องของพระเจ้าแผ่นดิน ยศศักดิ์ตั้งแต่งกันอย่างไร เห้งเจียทูลว่าถ้าเมียหลวงเรียกว่าเจี๊ยเกง เมียรองเรียกตังเกง เมียที่สามเรียกว่าโซเกง พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่าเมืองข้าพเจ้าหาได้ตั้งอย่างนั้นไม่ ​เมียที่หนึ่งเรียกกิมเซี้ยเกง เมียที่สองเรียกว่าเง็กเซี้ยเกง เมียตรีเรียกงึ้นเกง บัดนี้มีแต่เง็กงึ้นทั้งสองนี้อยู่ในตำหนัก
   เห้งเจียทูลถามว่าก็กิมเซี้ยเกงนั้นไปข้างไหนจึงไม่มีอยู่ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังเห้งเจียถาม ก็บังเกิดความโทมนัทรงพระกรรแสงตรัสว่ามิได้อยู่สามปีแล้ว เห้งเจียทูลถามว่าเหตุใดเล่าจึงมิได้อยู่ ขอพระองค์ได้โปรดให้ข้าพเจ้าทราบด้วย พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่าสามปีก่อนเวลาฤดูเดือนเจ็ด ข้าพเจ้าพาพวกสนมนางในและเมียทั้งสามไปยังสวนดอกไม้ พักอยู่ที่หอ (หลิวไฮ้เต๊ง) เสวยสุราชมดอกไม้เล่นแลดูการแข่งเรือบังเอิญเกิดลมพายุใหญ่ แลเห็นบนอากาศมีปีศาจยักษ์ตนหนึ่ง หน้าตาดุร้ายบอกว่าชื่อไซ้ทั้ยส่วยอยู่ตำบลเขา (ขี้ลินซัว) ถ้ำเก๊ยเฉียต๋องไม่มีภรรยา ได้ข่าวว่ากิมเซี้ยเกงรูปร่างลักษณะสวยสอาดงาม จึงให้ข้าพเจ้าส่งตัวไปให้มันแม้ไม่ส่งตัวกิมเซี้ยเกงให้มัน ๆ จะกินข้าพเจ้าเสียก่อน แล้วจะกินขุนนางและราษฎรให้หมดทั้งเมือง ข้าพเจ้ามีความสงสารแก่อาณาประชาชนแลบ้านเมือง แต่ไม่รู้ที่จะแก้ไขอย่างไรได้ จึงต้องส่งกิมเซี้ยเกงให้แก่มันไป อาศัยเหตุนี้จึงมีความทุกข์โศกโทมนัสตรอมใจ คิดถึงกิมเซี้ยเกงอยู่มิได้จะรู้วายเลย จึงได้บังเกิดโรคเจ็บป่วยทรมานกายมาถึงสามปีแล้ว บัดนี้ได้กินยาของท่านก็ถ่ายซึ่งของโสโครก ที่เกรอะกรังขังอยู่มานานวันนั้นสิ้นแล้ว บัดนี้กายและใจก็เป็นปรกติมีกำลังยิ่งกว่าแต่ก่อน
   ​เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็มีความอิ่มใจรื่นเริงยินดีเป็นที่ยิ่ง จึงยกถ้วยแก้วสุราขึ้นดื่มสองทีก็หมดหัวเราะแล้วทูลถามว่า พระองค์คือเป็นพระโรคเศร้าหมองพระทัย มาพบข้าพเจ้าพระโรคจึงหาย แต่ยังไม่ทราบว่าพระองค์จะพอพระทัยให้กิมเซี้ยเกงนั้นกลับมาหรือไม่ พระเจ้าแผ่นดินจูจี๊ก๊กตรัสว่า ข้าพเจ้ามีความคิดถึงอยู่เสมอมิได้ขาด แต่จนใจด้วยไม่มีผู้ใดจะช่วยได้ ก็ต้องจนใจอยู่จะทำประการใดได้ เห้งเจียว่าข้าพเจ้าจะอาสาพระองค์ไปปราบยักษ์กำจัดปีศาจร้าย ให้พระองค์แต่พระองค์จะเห็นควรหรือไม่ พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังเห้งเจียทูลดังนั้น ก็ลดพระองค์ลงตรัสว่า หากท่านเล่าเอี๊ยช่วยให้กลับมาได้ ข้าพเจ้าจะพาบุตรภรรยาออกจากราชสมบัติลดตัวลงเป็นไพร่ จะยกราชสมบัติให้แก่ท่านเล่าเอี๊ยเปนเจ้า โป๊ยก่ายอยู่ข้างนั้น ได้ยินพูดว่าจะยกราชสมบัติให้ดังนั้น ก็หัวเราะก๊ากใหญ่ พูดว่าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้จะเสียตระกูลเจ้าเสียแล้ว ทำไมจึงอยากได้แต่เมีย เอาสมบัติเจ้าไปยกให้แก่พวกเดินหนดังนี้ เห้งเจียก็ลงพยุงพระองค์ขึ้นแล้ว จึงทูลถามว่าตั้งแต่ปีศาจยักษ์ลักนางกิมเซี้ยเกงไปแล้ว ต่อภายหลังยังเคยมาบ้างหรือไม่
   พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า เมื่อปีเอาไปเดือนเจ็ดขึ้นห้าค่ำ ครั้นเดือนสิบสองมันมาเอาสาวใช้ไปอีกสองคน ข้าพเจ้าก็ต้องให้ไป เมื่อปีที่แล้วมานี้เดือนห้ามาเอาไปอีกสองคน ยังไม่ทราบว่าเมื่อไรจะมาเอาไปอีก เห้งเจียทูลถามว่าก็ปีศาจยักษ์มาเนือง ๆ ดังนั้น ก็​พระองค์ไม่กลัวหรือ พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า ข้าพเจ้าเห็นมันมาเนือง ๆ ดังนั้น มีความกลัวสะดุ้งหวาดวิตกว่ามันจะทำร้ายเอา เพราะฉะนั้นจึงให้สร้างตำหนักสำหรับซ่อนปีศาจ ถ้าได้ยินเสียงลมพายุมา ก็พาสนมนางในเข้าไปแอบอยู่ในตำหนักนั้น เห้งเจียทูลว่า ขอพระองค์ได้โปรดชี้ตำหนักสำหรับหนีปีศาจให้ข้าพเจ้าดูจะเป็นประการใด พระเจ้าแผ่นดินจึงพาเห้งเจียออกจากที่กินโต๊ะ พวกขุนนางต่างก็ผุดลุกออกจากที่ โป๊ยก่ายพูดว่าพี่ทำไมจึงไม่รู้ธรรมเนียม กำลังกินโต๊ะโดยสำราญทำให้แตกไปหมดจะไปดูอะไรที่ไหน
   พระเจ้าแผ่นดินเห็นโป๊ยก่ายพูดดังนั้นก็ทรงทราบว่าโป๊ยก่ายหนักในการกิน จึงสั่งพนักงานให้ยกโต๊ะไปที่ตำหนักหนีปีศาจตั้งคอยท่า โป๊ยก่ายเห็นพระเจ้าแผ่นดินรับสั่งดังนั้นก็นิ่งอยู่ มิได้พูดอะไรต่อไป ก็พร้อมกันทั้งพระถังซัมจั๋งไปด้วย พวกขุนนางก็เดินตามกันมา เจ้าแผ่นดินกับเห้งเจียก็จับมือกันเดินข้ามตำหนักเสด็จมายังสวนหลวง แลไปก็ไม่เห็นตำหนักอะไรที่ไหน เห้งเจียจึงทูลถามว่าตำหนักนั้นอยู่ที่ไหน พูดยังไม่ทันขาดคำก็แลเห็นขันธีสองคน ถือเหล็กชะแลงมางัดที่พื้นดินนั้นขึ้น ศิลาสี่เหลี่ยมก้อนหนึ่งเป็นเครื่องปิดอยู่ พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่าตรงนั้นลงไปลึกสามวา ที่ใต้นั้นทำเป็นตำหนักเก้าห้อง ในนั้นมีกระถางใหญ่สี่กระถาง สำหรับใส่น้ำมันไว้เต็มตามไฟไว้เสมอทั้งกลางคืนและกลางวัน ถ้าได้ยินมีลมพายุมาข้าพเจ้าก็หนีลงซ่อนอยู่ใต้นั้น ให้คนเอาศิลา​มาปิดเสีย
   เห้งเจียพูดว่าปีศาจมันยังไม่คิดร้าย ถ้าหากมันคิดร้ายแล้ว ที่เช่นนี้ที่ไหนจะคุ้มได้ เมื่อเวลากำลังเห้งเจียพูดอยู่นั้นก็พอได้ยินเสียงลมพายุพัดมาอู้ๆ ฝุ่นแลผงคลีฟุ้งมืดฟ้ามัวฝนไปทั้งอากาศ พวกขุนนางทั้งหลายพากันโกรธเห้งเจีย โดยความตกใจกลัว พากันพูดว่า ท่านเล่าเอี๊ยนี้ปากกินเค็มพูดถึงปีศาจยักษ์ขึ้น ปีศาจก็มาทันที พระเจ้าแผ่นดินก็ตกใจกลัวผละจากเห้งเจียหนีลงไปซ่อนตัวอยู่ใต้นั้น พระถังซัมจั๋งก็วิ่งมาลงไปอยู่ด้วย ด้วยพวกขุนนางก็พาแอบหนีซ่อนเร้นไปหมดสิ้น โป๊ยก่ายซัวเจ๋งจะพลอยวิ่งไปด้วย เห้งเจียยึดไว้คนละมือก็หนีไปมิได้ เห้งเจียพูดว่าน้องอย่ากลัวจงช่วยกันจำให้แน่ว่ามันเป็นปีศาจอะไร
   โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งหนีไปไม่ได้ก็ต้องอยู่ที่นั่นด้วย ไม่ช้าอีกสักประเดี๋ยวก็แลเห็นบนอากาศ เป็นปีศาจยักษ์ตนหนึ่งตรงเข้ามา เห้งเจียถามโป๊ยก่ายว่า จำได้หรือไม่ว่าเป็นปิศาจอะไร โป๊ยก่ายซัวเจ๋งตอบว่าจำไม่ได้ เห้งเจียจึงพูดว่าปีศาจนี้ มันเป็นคนของท่านตังงักเทียนฉีสำหรับเป็นผู้เฝ้าประตู โป๊ยก่ายพูดว่า ธรรมดาปีศาจผีมันย่อมออกกลางคืน เวลานี้พึ่งเที่ยงผีที่ไหนจะมา เห็นจะเป็น (ไซ้ทั้ยส่วย) ดอกกระมัง

ไม่มีความคิดเห็น: