(บทที่ ๓๒) ฝ่ายพระถังซัมจั๋งได้เห้งเจียกลับมาแล้ว ศิษย์กับอาจารย์ก็ตั้งใจตรงไปยังประเทศไซที ออกจากเมืองเชียงโป๊ก๊ก เวลากลางวันก็ออกเดินเวลากลางคืนก็หยุดพักนอน เวลานั้นเป็นฤดูเดือนสามต้นไม้กำลังผลัดเปลี่ยนใบจะออกช่อดอกดูสง่างาม พากันเดินพลางชมพลางแลไปข้างน่าเห็นภูเขาใหญ่ขวางอยู่พระถังซัมจั๋งเตือนศิษย์ให้ระวัง เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์ทำไมจึงพูดเหมือนชาวบ้านอย่างนั้น พระอาจารย์ได้พระคาถาซิมเกงของพระโอเซ้าให้คุ้มตัวในคาถาว่า (ซิมโป๊ก้วยหงายฮองโป๊ขงโพ้) แปลว่า จิตไม่มีความสงสัย ความสะดุ้งหวาดเสียวก็ไม่มี เพราะฉะนั้นจะต้องกวาดสิ่งโสโครกในจิตนั้นให้สิ้น และล้างซึ่งผงละอองเปื้อนในหูนั้นให้หมด ท่านอย่ามีความเศร้าหมอง อันการร้ายดีทั้งหลายอยู่แก่ตัวข้าพเจ้าเอง
พระถังซัมจั๋งยอม้าแล้วจงพูดว่า อาตมภาพตั้งแต่รับ ๆ สั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ออกจากเมืองหลวงแล้ว ก็ตั้งใจจะไปไซทีนมัสการพระพุทธเจ้าอุตส่าห์ข้ามเขาแลห้วยธารมา ไม่รู้ว่าเวลาใดจึงจะได้สุขกายสุขใจบ้าง เห้งเจียได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า พระอาจารย์จะใคร่ได้สุขกายสุขใจนั้นก็ไม่สู้ยากอะไรนัก แม้ว่าสำเร็จการตามความประสงค์แล้ว สารพัดจะมีความสุข ย่อมมีความบริบูรณ์พร้อมอยู่เอง วันทั้งหลายก็ว่างเปล่า ในเวลานั้นก็มีสุขโดยลำพัง ถ้าดังนั้นแล้วจะไม่เรียกว่าความสุขหรือ
พระถังซัมจั๋งครั้นได้ฟังเห้งเจียอธิบายให้ฟังดังนั้น ในดวงจิตก็ปล่อยอุปทานความยึดถือเสียได้ขณะหนึ่ง สิ้นความเศร้าหมองในใจทั้งหลายแล้ว ก็ชักม้าให้เดินขึ้นเขา อันหนทางนั้นแสนที่จะลำบากในเวลากำลังเดินอยู่นั้น แลเห็นคนตัดฟืนยืนอยู่บนเนินสูง ร้องเรียกว่าท่านผู้นั้นจงหยุดก่อน ข้าพเจ้าจะบอกข่าวให้ ในเขานี้มีปีศาจยักษ์ร้าย มันคอยจับมนุษย์กินเป็นอาหาร ใครเดินไปมาทางนี้ ย่อมไม่พ้นฝีมือมันไปได้
พระถังซัมจั๋งได้ฟังคนตัดฟืนบอกดังนั้น มีความตกใจสะดุ้งกลัวจึงถามสานุศิษย์ว่า ใครได้ยินหรือเปล่าว่าคนตัดฟืนร้องบอกว่ากระไร เห้งเจียว่าข้าพเจ้าจะไปถามดู ว่าแล้วก็เดินไปที่คนตัดฟืน คำนับแล้วถามว่า เมื่อกี้นี้ท่านบอกว่ากระไรฟังไม่ถนัด คนตัดฟืนคำนับตอบแล้ว ก็ถามว่าพวกท่านมีธุระอย่างไรหรือ จึงได้มาถึงตำบลนี้ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าไม่ปิดบังอะไรแก่ท่าน พวกข้าพเจ้านี้ คือมาจากเมืองใต้ถัง จะไปเมืองไซที อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม บังเอิญมาถึงนี่ ได้ยินท่านร้องบอกว่า มีปีศาจยักษ์ร้ายอะไรอยู่ที่ไหนข้าพเจ้าฟังไม่ถนัด จึงมาขอถามท่านให้แน่นอนแก่ใจว่า ปีศาจนั้นมีมากี่ปีแล้ว แลมารนั้นมันเกิดเมื่อไร ขอท่านได้โปรดบอกแก่ข้าพเจ้าโดยความจริงเถิด ข้าพเจ้าจะได้ให้พระภูมิเจ้าที่ แลเจ้าป่าเจ้าเขาขับไล่มันไปเสียให้พ้น
คนตัดฟืนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า พวกท่านเดินทางแม้จะเรียนรู้เวทมนต์ที่ขับไล่ซึ่ง ผี ปิศาจก็ยังไม่เคยพบเห็น ซึ่งมารยักษ์ร้ายอย่างนี้ ข้าพเจ้าจะบอกให้ท่านทราบ ทางจะข้ามเขานี้มีระยะหกร้อยโยชน์ เขานี้เรียกว่าเขา (ซือเพ่งเต๊งซัว) มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งเรียกว่า (เน่ยฮวยต๋อง) ในถ้ำนั้นมีปีศาจยักษ์สองตนมันวาดรูปถังซัมจั๋งไว้ มันจะใคร่กินเนื้อพระถังซัมจั๋ง แม้ท่านเป็นพวกอื่นมาก็ไม่เป็นไร ถ้าพวกของถังซัมจั๋งแล้ว อย่าพึงนึกว่าจะรอดไปเลย
![]() |
รูปภาพ ; 陈惠冠·新绘西游记 第三十二回 平顶山功曹传信 莲花洞木母逢灾 |
เห้งเจียว่าข้าพเจ้านี้แลเป็นผู้มาด้วยพระถังซัมจั๋ง คนตัดฟืนพูดว่า ปีศาจนั้นมันจะคอยกินเนื้อถังซัมจั๋ง และมันมีของวิเศษห้าอย่าง มีฤทธาอานุภาพมาก แม้ท่านรักษาถังซัมจั๋งไป จงระวังระไวให้มากอย่าได้มีความประมาทเลย เห้งเจียพูดว่า แม้ท่านบอกดังนี้แล้วข้าพเจ้าจะคอยระวัง พูดแล้วเห้งเจียก็ลาคนตัดฟืนนั้นกลับมา ครั้นถึงจึงบอกแก่พระอาจารย์ว่า ไม่มีการร้ายแรงอะไรดอกแต่คนตัดฟืนนั้นเป็นคนขลาด แม้จะมีเหตุการณ์สิ่งใด ขอท่านอาจารย์จงวางใจแก่ข้าพเจ้าเถิด พระ ถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ค่อยวางใจไม่สู้เป็นทุกข์ เวลาออกเดินนั้นแลไปก็ไม่เห็นคนตัดฟืน เห้งเจียก็แลดูด้วยตาสว่างของเห้งเจียเหลือบไปดู เห็นเป็นเจ้าเชากง เห้งเจียก็เหาะขึ้นไปไล่ตามตวาดด่าสองสามคำว่า ทำไมมาบอกแล้วจึงไม่บอกให้จะแจ้งว่า ปีศาจนั้นมันจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
เชากงได้ยินดังนั้นก็ตกใจยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าขออนุญาตเถิด อันความจริงนั้น ปีศาจสองตนนี้มีฤทธาอานุภาพมาก เพราะข้าพเจ้าเห็นท่านมีความรู้ฉลาดก็จริง แต่ไม่มีความเฉลียว พอจะรักษาพระถังซัมจั๋งไปได้ แม้ว่าท่านข้ามไปจงระวังให้มาก ถ้าพลั้งพลาดก็จะมีความลำบากมาก
เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็ตวาดไล่เจ้าเชากงไป แล้วก็ตรึกตรองแต่ในใจว่า แม้เราจะนำเนื้อความอันนี้เล่าบอกให้พระอาจารย์ฟังตามจริง เธอก็จะตกใจกลัว เราจะต้องไม่บอกจึงจะดี ถ้าปีศาจมันจับพระอาจารย์ไป เราก็จะมีความลำบากมาก จำเราจะให้โป๊ยก่ายเป็นธุระออกหน้าก่อน รบแก่ปีศาจสักพักหนึ่งบางทีจะชนะปีศาจ อันความชอบนั้นจะได้เป็นของโป๊ยก่าย ถ้าจะสู้ปีศาจไม่ได้ ปีศาจมันจับไปได้เราจึงไปแก้ออกมา ก็จะรู้สึกในความชอบของเรา แต่วิตกด้วยโป๊ยก่ายจะรังเกียจไม่ยอมไป แลทั้งพระอาจารย์ก็จงรักภักดีแก่โป๊ยก่ายด้วย จำเราจะพูดให้เข้าที่บังคับจึงจะได้ เห้งเจียคิดดังนั้นแล้ว ก็เอามือขยี้นัยน์ตาให้น้ำตาออกแล้ว จึงกลับมาหาพระอาจารย์
โป๊ยก่ายเห็นกิริยาเห้งเจียเศร้าโศกดังนั้น จึงเรียกซัวเจ๋งให้วางหาบลงพูดว่า เราสองคนจงหาทางไปเถิด พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้นจึงด่าว่าอ้ายชาติหมูป่า กำลังเดินทำไมจึงได้พูดเลอะเทอะดังนี้ โป๊ยก่ายว่าพระอาจารย์ท่านไม่ดูพี่เห้งเจียบ้างเล่า เธอร้องไห้กลับมานั้นไม่เห็นหรือ เธอมีฤทธาอานุภาพมาก เหาะเหินเดินอากาศได้เธอยังมีความหวาดสะดุ้งเสียวร้องให้กลับมา คงจะไปพบปะหรือรู้เรื่องปีศาจร้ายมาแล้ว ข้าพเจ้าทั้งสองเป็นคนอ่อนแอ จะต่อสู้แก่ปีศาจอย่างไรได้
![]() |
รูปภาพ ; 陈惠冠,新绘西游记 |
พระถังซัมจั๋งว่าเจ้าอย่าพูดวุ่นวายไปไว้ข้ากับเห้งเจียดูเหตุผลนั้นจะเป็นประการใด จึงถามเห้งเจียว่าเหตุผลนั้นเป็นอย่างไรหรือ จึงได้มีกิริยาเศร้าโศก กระทำให้อาตมภาพพลอยมีความหวาดหวั่นไปด้วย เห้งเจียบอกว่าเมื่อตะกี้นี้ เธอบอกว่าปีศาจดุร้ายนัก ทั้งทางที่จะไปก็ลำบาก จะข้ามไปนั้นไม่ได้ขอพระอาจารย์จงกลับเถิด
หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็ตกใจแล้วพูดว่าเห้งเจียนี่เรามาได้ส่วนครึ่งแล้วยังอีกส่วนครึ่งเท่านั้น ทำไมจึงพูดถอยหลังอย่างนี้เล่า เห้งเจียว่ามิใช่ข้าพเจ้าจะไม่มีแก่ใจเมื่อไรเล่า เพราะเหตุว่าปีศาจยักษ์มีกำลังมาก ถ้าคนเดียวจะสู้ไม่ได้จึงได้มีความวิตก หลวงจีนถังซัมจั๋งว่าคนเดียวนั้นก็ลำบากจริง แต่พวกเรายังมีโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ตามแต่จะจัดแจงที่จะต้องการใช้อย่างไร จะได้พร้อมใจช่วยกันป้องกันรักษาเราให้พ้นเขาไป อย่างนี้จะไม่สำเร็จมรรคผลหรือ เห้งเจียได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้น จึงเช็ดน้ำตาแล้วพูดว่า แม้พระอาจารย์จะใคร่ข้ามเขานี้ให้ได้ จะต้องให้โป๊ยก่ายทำสองประการ จึงจะข้ามเขานี้ไปได้ ถ้าไม่ทำตามสองประการนี้ แต่องคุลีเดียวก็ข้ามไม่พ้นไปได้เลย
โป๊ยก่ายว่าพี่เห้งเจียไปไม่ได้ก็กลับเถิด อย่าเกี่ยวข้าพเจ้าเข้าไปเลย ข้าพเจ้าขอถามว่าจะให้ข้าพเจ้าทำอะไร เห้งเจียว่า ข้อหนึ่งจะให้คอยรักษาอาจารย์ ข้อสองจะให้ไปตรวจตามบนเขา
โป๊ยก่ายถามว่ารักษาอาจารย์นั้นจะให้ทำอย่างไรและไปตรวจบนเขานั้นจะให้ทำอย่างไร จงแสดงชี้แจงให้ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าจะได้ทำตามให้ถูกต้องแก่การนั้นๆ เห้งเจียบอกว่า อันรักษาอาจารย์นั้นคือพระอาจารย์จะไปไหน จะต้องติดตามไปป้องกันรักษาอย่าให้อาจารย์อุธรร้อนใจได้ ถ้าอาจารย์จะใคร่ฉันจังหันก็ให้ไปบิณฑบาตรมาให้ ถ้าทิ้งให้อาจารย์โหยหิวจะต้องปรับคว่ำลงเฆี่ยน
โป๊ยก่ายว่า ที่ข้อนี้ก็แสนยาก เห้งเจียพูดว่า ข้อสองไปตรวจดูบนภูเขานั้น โป๊ยก่ายว่าทำอย่างไร เห้งเจียบอกว่าจะต้องขึ้นบนเขาเที่ยวตรวจดู ที่ไหนมี ผี ปีศาจยักษ์ร้ายมากน้อยเท่าใด ชื่อเขาอะไรถ้ำอะไร พวกเราจะควรไปได้หรือไม่ โป๊ยก่ายพูดว่า ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าจะขอขึ้นไปตรวจบนเขา พูดดังนั้นแล้วก็แต่งตัวเอาผ้าคาดพุงแน่นหนาแล้ว มือจับคราดเหล็กดูท่าแข็งแรง ก็ออกเดินขึ้นบนเขา เห้งเจียเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้จึงหัวเราะขึ้น
พระถังซัมจั๋งเห็นเห้งเจียหัวเราะดังนั้น จึงว่าอ้ายชาติลิงไม่มีดี ตั้งใจแต่จะอิจฉากันไม่มีเมตาต่อกัน เจ้าออกความคิดอย่างสัตว์ดังนี้จะให้โป๊ยก่ายไปตรวจอะไรที่ไหน เจ้าอยู่ที่นี่คอยหัวเราะเยาะเล่นอย่างนั้นหรือ เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าไม่ได้หัวเราะเยาะเธอ ท่านจงคอยดูโป๊ยก่ายไปตรวจบนเขานั้นคงจะไม่ไปเป็นแน่ จะไปแอบหลับเสียที่ไหนสักครู่หนึ่งแล้ว ก็จะกลับมาปดเราเป็นแน่
ถังซัมจั๋งถามว่า ทำไมจึงจะรู้ว่าจะเป็นเช่นนั้นได้เล่า เห้งเจียว่าซึ่งข้าพเจ้าให้เธอไปก็เพราะทราบนิสัยได้แท้ พระอาจารย์ไม่เชื่อข้าพเจ้าจะตามไปดูจึงจะเห็นจริง เห้งเจียก็แปลงเป็นแมลงหวี่ บินตามโป๊ยก่ายไปจับที่ใบหู ฝ่ายโป๊ยก่ายเดินไปก็ไม่รู้สึกว่าเห้งเจียแปลงเป็นแมลงหวี่มาจับอยู่ที่หู เดินไปได้เจ็ดแปดโยชน์ก็ยืนหยุดเอาคราดเหล็กทิ้งลงกับพื้น จึงหันหน้ากลับเอามือชี้ตรงที่พระถังซัมจั๋งแล้วออกอุทานว่า อีตาเฒ่าอ่อนถังซัมจั๋ง อ้ายคนโลดโผนเป๊กเบ๊อุน อ้ายคนหน้าหมอกซัวเจ๋ง
มันทั้งสามคนอยู่เล่นสบาย บังคับให้กูมาได้ความลำบากตรวจทางเขา เพราะอยากได้มรรคผล เราก็รู้แล้วว่าคงจะมีปีศาจยักษ์ร้าย มันจึงให้เรามาหาที่เดือดร้อน เราก็ไม่ต้องไปให้ป่วยการ ว่าดังนั้นแล้วใจก็ถอยไม่กล้าจะไป จำเราจะไปหาที่แอบนอนเสียสักตื่นหนึ่ง แล้วจึงกลับไปพูดโต้ตอบก็ได้ว่าได้ไปตรวจแล้ว จะรู้ที่ไหนว่าเราไปหรือไม่ไปจริง คิดดังนั้นแล้วก็เที่ยวหาที่นอน เห็นที่ซอกเขามีเถาวัลขึ้นซุ้มเซิง มีที่ร่มพอจะอาศัยได้ โป๊ยก่ายก็มุดเข้าไปเอาคราดวางลงแล้วก็เอนหลังนอนลง บิดตัวพลิกไปพลิกมา พูดว่าอ้ายเป๊กเบ๊อุนสู้เราไม่ได้
![]() |
รูปภาพ ; 陈惠冠,新绘西游记 第二十二平山 |
ฝ่ายเห้งเจียแปลงเป็นแมลงหวี่จับอยู่ที่ใบหูโป๊ยก่าย ได้ฟังโป๊ยก่ายพูดร้ายดีทุกประการ อดใจไม่ได้โผบินออกจากโป๊ยก่ายแปลงเป็นตัวต่อ แล้วก็บินกลับมาต่อยเอาปากโป๊ยก่ายทีหนึ่ง แล้วก็บินขึ้นร่อนอยู่ โป๊ยก่ายถูกเจ็บก็ตกใจผุดลุกขึ้นบ่นด่าออกวุ่นวาย พูดว่าอ้ายผีเปรตที่ไหนเอาอะไรมาแทงปากเราอย่างนี้ จะไม่เจ็บปวดหรือ โป๊ยก่ายจึงเอามือคลำที่ปากมีโลหิตซึมไหลออกมา พูดว่าเราก็ไม่ได้ไปทำอะไรที่ไหน ทำไมปากจึงมีโลหิตแดงดังนี้ พูดดังนั้นแล้วก็เหลียวซ้ายแลขวาเห็นเงียบอยู่ จึงแหงนหน้าขึ้นไปดูเห็นตัวต่อกำลังบินร่อน จึงด่าว่าอ้ายเป๊กเบ๊อุนแล้ว มึงไม่เห็นกูเป็นคนเลย มีงต่อยเอาปากกูให้ได้ความเจ็บปวด ทำไมไม่ไปหาโพรงไม้จะได้ไปหาหนอนกิน มาต่อยเอาปากกูทำไม กูจะเอาปากซ่อนเสียแล้วก็จะนอนให้สบาย พูดดังนั้นแล้วก็ล้มตัวลงนอนอีก
เห้งเจียก็บินมาโผลงต่อยเอาใบหูอีกทีหนึ่ง โป๊ยก่ายก็ผุดลุกขึ้นร้องด่าว่าอ้ายตายโหง แล้วคิดว่าที่นี่เห็นจะเป็นรังของต่อมัน มันจะคิดว่าเราจะแย่งรังของมัน มันจึงได้ต่อยเอาเรา เรามานอนอยู่ที่นี่จะกีดขวางมัน พูดเช่นนั้นแล้วก็ฉวยคราดออกจากพุ่มไม้เดินไปประมาณสักพักหนึ่ง เห้งเจียก็หัวเราะงอแปลงเป็นแมลงหวี่บินตามไปจับใบหูโป๊ยก่ายไปด้วย
ฝ่ายโป๊ยก่ายก็เดินขึ้นบนเนินเขา มาปะก้อนศิลาใหญ่สี่เหลี่ยมเข้าก้อนหนึ่ง โป๊ยก่ายก็วางคราดตรงเข้าใกล้ก้อนศาลาร้องว่าขอรับ เห้งเจียแลเห็นดังนั้นก็หัวเราะอยู่ในใจ คอยดูโป๊ยก่ายจะทำประการใด
โป๊ยก่ายนึกเอาก้อนศิลาเป็นพระถังซัมจั๋งแลเห้งเจียซัวเจ๋ง เพื่อจะหัดพูดโต้ตอบ คิดว่าแม้เราจะกลับไปหาพระอาจารย์ ๆ จะถามว่าไปพบปีศาจหรือเปล่า เราจะตอบว่าพบ ถ้าจะถามต่อไปว่าปีศาจนั้นชื่อไร เราจะตอบว่าที่โน่นเธอทั้งสามจะด่าเราว่าอ้ายชาติหมู เราจะตอบว่า นามชื่อเขานั้นเรียกว่าเขาเจี๊ยเท้าซัว ถ้าจะถามว่าถ้ำอะไร เราจะตอบว่าถ้ำเจี๊ยเท้าต๋อง ถ้าจะถามว่าประตูอะไรเราจะตอบว่าเซี้ยเที้ยหมึง ถ้าจะถามว่าในถ้ำนั้นเข้าไปไกลสักเท่าใด เราจะตอบว่าเข้าไปสามชั้นประตู ถ้าถามว่าตะปูตอกสักกี่อัน เราจะตอบว่ามิได้จำเห็นสร้างทำพร้อมแล้ว เราจะหลอกให้เห้งเจียไป โป๊ยก่ายคิดจะพูดโต้ตอบดังนั้นเห็นว่าดีแล้ว ก็ฉวยคราดแบกเดินกลับมา
ฝ่ายเห้งเจียฟังก็รู้ได้ทุกประการแล้ว จึงผละออกจากใบหูโป๊ยก่าย ชิงบินมาก่อนโป๊ยก่าย ครั้งถึงก็แปลงกลับเป็นรูปเดิมเข้ามาคำนับพระอาจารย์แล้ว จึงเล่าเรื่องโป๊ยก่ายคิดการจะมาโกหกทุกประการให้พระอาจารย์ทราบก่อนแล้ว บัดเดี๋ยวใจโป๊ยก่ายก็เดินกลับมาถึงยืนชะงักกลัวว่าที่คิดจะปดพูดโต้ตอบนั้นจะลืมเสีย ก็ยืนก้มหน้ายืนบ่นท่องพึมพำอยู่
เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายชาติหมูมึงยืนบ่นภาวนาอะไรอยู่ โป๊ยก่ายตกใจหูชันขึ้นพูดว่าข้าพเก้าไปดูสุดทางแล้ว พระถังซัมจั๋งถามว่าไปพบปีศาจหรือเปล่า โป๊ยก่ายตอบว่ามีปีศาจ พระถังซัมจั๋งถามว่าปีศาจนั้นทำประการใดบ้าง จึงได้กลับมา โป๊ยก่ายตอบว่า ปีศาจมันเรียกข้าพเจ้าว่าเป็นตาเป็นปู่ของมัน มันจัดแจงเครื่องโอชารสมาเลี้ยงข้าพเจ้าแล้ว ก็จัดแจงมีธงมีกลองม้าฬ่อมาส่งข้าพเจ้ากลับมา เห้งเจียพูดว่าข้านึกดูเห็นจะนอนในพุ่มเถาวัลย์นั้นฝันเห็นดอกกระมัง
โป๊ยก่ายได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้นก็ตกใจ พูดว่าท่านอาจารย์ข้าพเจ้านอนทำไมท่านจะรู้ได้เล่า เห้งเจียกระโดดมาจับมือโป๊ยก่าย ถามว่าเขาอะไรถ้ำอะไรประตูอะไร โป๊ยก่ายตอบว่าเขาเจี๊ยเท้าซัวถ้ำเจี๊ยเท้าต๋อง ประตูเซี้ยเที้ยหมึง เห้งเจียว่าเจ้าพูดยังไม่หมดความเราจะพูดแทนให้เจ้า โป๊ยก่ายว่าพี่ไม่ได้ไปทำไมจะพูดแทนข้าพเจ้าได้เล่า
เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า เธอถามว่าในถ้ำนั้นไกลสักเท่าใด ในนั้นมีประตูสามชั้น บนประตูนั้นมีตะปูมากน้อยเท่าใด ตอบว่าข้าพเจ้ามิได้จำ เจ้าพูดดังนี้มิใช่หรือ โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ตกใจคุกเข่าลงกับพื้น เห้งเจียว่ามึงเอาก้อนศิลาใหญ่ ทำต่างเราและพระอาจารย์และซัวเจ๋งมิใช่หรือ แล้วเจ้าพูดว่าจะหลอกเราว่าที่ถ้ำนั้นสร้างทำพรักพร้อมแล้วจะให้เราไปมิใช่หรือ
โป๊ยก่ายตาลีตาลานคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าไปตรวจพี่ตามไม่แอบฟังหรือ เห้งเจียตอบว่าข้าเข้าใจได้ว่าสันดานของเจ้าอ้ายชาติหมูกินรำ ให้ไปตรวจทางบนเขาเพื่อจะได้รู้ร้ายดี เข้าแอบนอนเสีย ข้าจึงแปลงเป็นต่อต่อยจึงมิได้นอนหลับได้ หาไม่เจ้าก็จะนอนหลับเสียตื่นหนึ่งแล้ว ก็จะกลับมาพูดโกหกอย่างนี้ จะไม่เสียการใหญ่ไปดอกหรือ เจ้าจงนอนลงข้าจะตีด้วยกระบองสั่งสอนให้จำไว้มิให้ปดดังนี้ต่อโป
ตอน ศึกปีศาจคู่ เขาเงิน-เขาทองจอมเจ้าเล่ห์ (ช่วงที่1)
โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียว่าจะตี ก็ร้องไห้ดุจว่าศพจะลงจากเรือนเสียงโฮ ๆ แล้วพูดว่ากระบองนั้นหนักนัก แม้จะตีเสียสักห้าทีเห็นข้าพเจ้าจะตายเสียเป็นแน่ เห้งเจียว่าเจ้ากลัวตายแล้ว เหตุใดจึงได้เรียนโกหกดังนี้ทำไม โป๊ยก่ายพูดว่าข้าพเจ้าพึ่งจะโกหกครั้งหนึ่ง ถ้าภายหลังข้าพเจ้าทำอีกจึงค่อยตี เห้งเจียว่าถ้าหนเดียวก็ตีสามที พอให้เข็ดหลาบจึงจะได้ โป๊ยก่ายตอบว่าท่านพี่อย่าว่าแต่สามทีเลย แม้แต่ครึ่งทีก็ทนไม่ได้ โป๊ยก่ายไม่รู้ที่จะทำประการใด จึงเข้ายึดพระอาจารย์ขอให้ช่วยขอโทษให้
พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นจึงพูดว่า หงอคงเขาบอกแก่เราว่าเจ้าพูดพลิกแพลงโกหกเราก็ยังหาเชื่อไม่ มาบัดนี้ก็สมดังคำเขาพูดล่วงหน้าโทษของเจ้าควรจะตีได้อยู่แล้ว แต่จะข้ามเขาไปยังขาดคนที่ใช้สอยอยู่ เพราะฉะนั้นขอให้เห้งเจียยกโทษให้โป๊ยก่ายสักครั้งหนึ่งก่อนรอข้ามเขาแล้วจึงค่อยตีเถิด
เห้งเจียพูดว่าถ้ากระนั้นข้าพเจ้าจะยกโทษให้สักครั้งหนึ่ง แต่เจ้าจงรีบไปตรวจบนเขาโดยเร็ว แม้ครั้งนี้มาพูดปดอีกเราจะไม่ยกโทษให้เป็นอันขาด โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นก็ผุดลุกขึ้นคำนับแล้ว ฉวยคราดได้ก็ออกเดินขึ้นทางไป โป๊ยก่ายเมื่อเดินไปในใจคิดสงสัยทุกย่างเก้า คือให้คิดว่าเห้งเจียจะแปลงตัวตามมาอีก นึกพลางเดินพลางมาบัดเดี๋ยวแลเห็นเสือมาข้างหน้าเผ่นวิ่งข้ามเนินเขาไป โป๊ยก่ายสำคัญว่าเห้งเจียแปลงกายตามมา มิได้มีความกลัวถือคราดยืนดูแล้วพูดว่า พี่เห้งเจียจะแอบมาฟังหรือ ข้าพเจ้าไม่ได้พูดโกหกเลยพูดแล้วก็เดินมาอีกพักหนึ่ง มีลมพัดโยกเอาต้นไม้ตายแห้งนั้นโค่นล้มลงที่ตรงหน้าโป๊ยก่าย ๆ ตกใจกระทืบดินทุบอกพูดว่า
ข้าพเจ้ามาครั้งนี้ไม่กล้าจะโกหก ทำไมพี่จึงต้องแปลงเป็นต้นไม้มาตีคนอย่างนี้เล่า พูดดังนั้นแล้าก็เดินไปอีกพักหนึ่ง แลเห็นนกเขาตัวหนึ่งจับกิ่งไม้มองหน้าร้องขันว่าตรวจตรา ๆ สองสามคำแล้วก็บินไป โป๊ยก่ายพูดว่าข้าพเจ้าได้บอกแล้วไม่เชื่อว่าไม่โกหกอีกแล้ว จะแปลงมาตามฟังอะไรที่ไหน แต่ที่จริงเห้งเจียหาได้แปลงตามมาไม่ เป็นแต่โป๊ยก่ายหวาดหวั่นไปเอ็ง
จะกล่าวถึงภูเขาเพ่งเต๊งซัวถ้ำเน่ยฮวยต๋อง ในถ้ำนั้นมีปีศาจยักษ์สองตน ตนหนึ่งนามชื่อว่า (กิมกั๊กใต้อ๋อง) ตนหนึ่งนามชื่อว่า (งึ้นกั๊กใต้อ๋อง) ในเวลานั้นกิมกั๊ก ถาม งึ้นกั๊กว่า พวกเรานี้ไม่ได้ไปเที่ยวตรวจบนเขานั้นมาได้สักกี่วันแล้ว งึ้นกั๊กตอบว่า ได้สิบวันแล้ว กิมกั๊กจึงพูดว่าวันนี้ น้องจงคุมพวกไปตรวจดู คือเราได้ยินข่าวเล่าลือกันว่า ถังซัมจั๋งน้องชายพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จะไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม มีศิษย์มาด้วยสามคนรวมสี่คนด้วยกัน แลมีม้าด้วยหนึ่งม้า บางทีเราไปตรวจพบพวกนี้ คือถังซัมจั๋ง เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง น้องจงจับเอามาให้พี่ งึ้นกั๊กใต้อ๋องได้ฟังพี่สั่งดังนั้น จึงพูดว่าเราก็จะต้องประสงค์กินเนื้อพวกนี้ ปะแล้วจะปล่อยไปอย่างไรได้
กิมกั๊กพูดว่า น้องยังไม่รู้เหตุในปีนี้เราออกจากสวรรค์ ก็ได้ยินเล่าลือกันว่า ๆ มีพระโพธิสัตว์กิมเสี้ยนสิบชาติแล้ว ความปฏิบัติไม่เกี่ยวข้องในกามคุณประพฤติพรมจรรย์มาสิบชาติแล้ว บัดนี้ก็กลับชาติมาเป็นถังซัมจั๋ง แม้ว่าผู้ใดกินเนื้อเธอก้อนหนึ่ง อายุยืนยาววัฒนะ งึ้นกั๊กพูดว่า อายุได้ยืนยาวดังนั้นสารพัดการเราจะไม่ต้องฝึกฝนให้ป่วยการ คอยแต่กินเนื้อเธอก็แล้วกัน เป็นธุระของข้าพเจ้าจะไปคอยตรวจดู ถ้าพบจะจับตัวมาให้จงได้ กิมกั๊กใต้อ๋องพูดว่าน้องอย่าทำใจเร็วบางทีพี่จะต้องดูให้แน่ก่อน เพราะว่าบางทีจะไมใช่ถังซัมจั๋ง จะเสียเวลาจับ ข้าพเจ้าได้รูปวาดถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามไว้ น้องจงเอาไปดูสอบให้ถูกต้อง
งึ้นกั๊กใต้อ๋องจึงรับเอารูปวาดในฉากนั้นมา แลถามชื่อและแซ่ได้ความชัดเจนแล้ว จึงเกณฑ์พวกปีศาจสามสิบชื่อพร้อมกันแล้ว งึ้นกั๊กก็พาพวกบริวารออกจากถ้ำ ตรงไปบนภูเขาแล้ว ให้พวกบริวารเที่ยวแยกย้ายรายกันตรวจตราดูทุกช่องทาง ฝ่ายโป๊ยก่ายกำลังเดินมา บังเอิญปะทะหน้าแก่พวกปีศาจ ๆ เห็นโป๊ยก่ายก็กรูกันเข้าสกัดหน้าหลังล้อมไว้ แล้วถามว่านี่คือใครที่ไหนมา โป๊ยก่ายแลไปเห็นพวกปีศาจก็ตกใจคิดว่า แม้เราบอกไปตามจริงว่าพวกสงฆ์จะไปไซที อาราธนาพระไตรปิฎกธรรมมันก็จะจับเราไปเป็นแน่ โป๊ยก่ายจึงบอกว่าข้าพเจ้าคนเดินทาง พวกปีศาจจึงวิ่งมาบอกว่าใต้อ๋องคนนั้นเป็นคนเดินทาง ในเวลานั้นมีปีศาจน้อยตนหนึ่งพูดว่าข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูคนนั้นกิริยาจะเป็นเพศพระสงฆ์แลคล้าย ๆ แก่ที่รูปวาดในฉาก
งึ้นกั๊กใต้อ๋องได้ฟังดังนั้น จึงเรียกเอาฉากมาดู โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ คิดในใจว่านี่มันไปเอารูปวาดมาตั้งแต่ครั้งใด จึงวาดรูปเราไว้ได้ ปีศาจจึงเอาฉากผูกปลายหอกคลี่ออกงึ้นกั๊กใต้อ๋องจึงเอามือชี้ว่า ที่ขี่ม้าขาวนี้คือถังซัมจั๋ง หน้าตาอย่างนี้คือเห้งเจีย โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นตกใจให้หวั่นหวาด ปากก็บ่นว่า ขอพระภูมิเจ้าที่เทพยดาเทพารักษ์ทั้งหลาย ขออย่าให้มันจับไปได้สูญหายไปข้าพเจ้าจะถวายหัวหมูยี่สิบหัว ปีศาจจึงชี้ต่อไปว่า หน้าหมอกดำนี้คือซัวเจ๋ง อ้ายปากยาวหูใหญ่นี้คือโป๊ยก่าย
โป๊ยก่ายได้ยินออกชื่อถึงตัว จึงอ้าปากก้มหัวซุกอยู่กับน่าอก งึ้นกั๊กจึงว่า เจ้าจงยื่นปากออกมาดูทีหรือ โป๊ยก่ายบอกว่าที่ท้องเป็นโรคยื่นไม่ออก งึ้นกั๊กตวาดด้วยเสียงอันดัง บอกพวกบริวารให้เอาไม้ขอเหล็กเบ็ดเกี่ยวออกมา โป๊ยก่ายตกใจก็ยื่นปากออกมางึ้นกั๊กก็จำได้ ฉวยอาวุธเกี่ยมกระโดดเข้ามาฟันโป้ยก่าย ๆ ก็เอาคราดรับต่อสู้กันไปมาประมาณยี่สิบเพลงไม่แพ้ไม่ชนะกัน งึ้นกั๊กจึงร้องเรียกพวกบริวารให้พร้อมกันระดมเข้าล้อมไว้ พวกปีศาจก็ระดมกันเข้าต่อตี โป๊ยก่ายเห็นปีศาจกรูกันเข้ามาวุ่นวายรอรับไม่อยู่ก็ออกวิ่งหนี พวกปีศาจก็ไล่กระชั้นเข้ามาใกล้ ทางบนเขาก็ไม่เรียบร้อย โป๊ยก่ายวิ่งไปเตะเถาวัลย์เข้าก็หกล้ม พวกปีศาจก็กรูกันเข้าจับโป๊ยก่ายได้ บ้างก็จับหูจับผมช่วยกันลากเอามาถ้ำ
(บทที่ ๓๓)
งึ้นกั๊กบอกแก่กิมกั๊กว่า ข้าพเจ้าจับได้อ้ายคนหนึ่งแล้ว กิมกั๊กใต้อ๋องจึงพิจารณาดู จึงพูดว่าน้องจับผิดตัวเสียแล้ว อ้ายคนนี้ไม่ต้องการอะไร โป๊ยก่ายชิงพูดว่าจะต้องการอะไรก็ไม่ได้ไม่สมประสงค์จงปล่อยไปเถิด งึ้นกั๊กว่าไม่ควรจะปล่อย แม้ไม่ต้องประสงค์ก็จริงอยู่ แต่โป๊ยก่ายเป็นพวกเดียวแก่ถังซัมจั๋ง ขอเอาไปแช่น้ำสองคืนให้อิ่มก่อน โป๊ยก่ายได้ยินปีศาจพูดดังนั้น ร้องว่าตายจริง ๆ มาโดนอ้ายพวกปีศาจขี้เมาเข้าแล้ว ฝ่ายพวกปีศาจบริวารก็พากันเข้าลากเอาโป๊ยก่ายไปโยนในบ่อแล้วก็คอยระวังอยู่มิให้หนีได้
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งคอยท่าโป๊ยก่ายอยู่ที่เนินเขา ก็บังเอินบันดานให้สะดุ้งหวาดเสียวนัยน์ตาให้เขม่นไม่หยุด ตัวก็ให้เสียวซ่านไม่สบาย จึงเรียกเห้งเจียบอกว่าตัวเราไม่สบาย และโป๊ยก่ายก็หายไปไม่เห็นมา เห้งเจียว่านิมนต์อาจารย์ขึ้นม้าออกเดินเถิด ตามดูพักหนึ่งจะเป็นประการใด พระถังซัมจั๋งจึงขึ้นม้า ก็ขับเดินขึ้นบนเนินเขาตรวจดูไปตามทางเดิน
ฝ่ายกิมกั๊กปีศาจ จึงเรียกงึ้นกั๊กปีศาจว่า น้องจับโป๊ยก่ายได้คงจะมีถังซัมจั๋งเป็นแน่ จงรีบไปตรวจดูอีกเถิด อย่าให้ข้ามเขาไปพ้นได้ งึ้นกั๊กปีศาจจึงเรียกบริวารห้าสิบคนเตรียมเครื่องศาสตราอาวุธพร้อมแล้ว งึ้นกั๊กก็พาบริวารออกจากถ้ำขึ้นเขาเที่ยวรายกันตรวจดู
ฝ่ายพวกปีศาจเมื่อเดินมา แลไปข้างหน้าเห็นเป็นเมฆฟุ้งขึ้นมีสีต่าง ๆ ห้อมล้อมอยู่ข้างบน งึ้นกั๊กเห็นดังนั้นจึงพูดว่า ถังซัมจั๋งมาโน่นแล้ว พวกปีศาจบริวารถามว่า ถังซัมจั๋งมาอยู่ที่ไหน งึ้นกั๊กพูดว่าคนมีบุญจึงมีเมฆห้อมล้อมอยู่บนศรีษะอย่างนั้น ถังซัมจั๋งนั้นเธอเป็นกิมเสี้ยนโพธิสัตว์กลับชาติมาบวชสิบชาติบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นจึงมีเมฆห้อมล้อม พวกปีศาจบริวารว่าไม่เห็นทีไหน งึ้นกั๊กจึงเอามือชี้ว่าโน้นมิใช่หรือ
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกำลังเดินก็ให้สะท้านหนาวใจ ปีศาจชี้ไปอีก ถังซัมจั๋งก็สะท้านหนาวดังนี้สามหน ในใจก็ให้ครั่นครามไม่ปรกติ จึงถามเห้งเจียว่า เป็นอย่างไรจิตใจเราจึงให้หนาวและครั่นคร้ามไปดังนี้เล่า เห้งเจียตอบว่าพระอาจารย์ขี่ม้าขึ้นเขาสูง จึงให้ครั่นคร้ามจิต พระอาจารย์อย่าได้วิตกกลัวไปเลย ไว้ธุระข้าพเจ้าจะอวดฝีมือรำให้ท่านดูแก้หวั่นหวาดใจ เห้งเจียจับกระบองออกท่าตีซ้ายป่ายขวาถอยน่าถอยหลัง รำออกกลมเกลียวแคล่วคล่องว่องไวท่าทางแข็งแรง ออกหน้าม้านำทางไป
ฝ่ายปีศาจงึ้นกั๊กได้เห็นเห้งเจียทำสง่าท่าทางดังนั้น จิตก็นึกออกขยาดฝีมือเห้งเจียอยู่ ให้ตกตลึกนิ่งไปเป็นครู่จึงได้สติ สรรเสริญเห้งเจียว่า เราได้ยินชื่อเห้งเจียมาสองสามปีแล้ว วันนี้ได้เห็นแก่ตาเราเอง ที่คำพูดเล่าลือนั้นไม่ผิด พวกปีศาจบริวารจึงถามว่าใต้อ๋องสรรเสริญใครที่ไหน งึ้นกั๊กจึงชี้มือว่านั่นไม่ใช่หรือ ที่นั่งอยู่บนหลังม้าขาวนั้นแลถังซัมจั๋ง เห้งเจียนั้นมีฤทธานุภาพกว้างใหญ่เห็นจะกินถังซัมจั๋งไม่ได้ พวกปีศาจบริวารถามว่า กินไม่ได้โป๊ยก่ายจะมิต้องปล่อยหรือ
งึ้นกั๊กใต้อ๋องจึงพูดว่าที่จับมานั้นก็ไม่ผิดอะไร จะส่งคืนไปทำหมิ่นก็ไม่ควร ถังซัมจั๋งนั้นก็จะต้องกิน แต่จะต้องทำอุบายจึงจะได้ จะจับโดยร้ายนั้นไม่ได้ เรามีฤทธิ์เปลี่ยนแปลงได้ จึงจะจับเธอได้ พูดดังนั้นแล้ว จึงไล่พวกปีศาจบริวารให้แยกย้ายกันไป งึ้นกั๊กก็เดินลงมาจากยอดเขาแต่ผู้เดียว เข้าแอบข้างหนทางเดินแล้วแปลงตนเป็นผู้เฒ่าถือพรตทำเป็นขาหักพิการ กำลังโลหิตไหลออกซึมอาบไปทั้งขานอนแอบอยู่ในพุ่มรกปากก็ร้องว่าจงช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ด้วยเถิด
พระถังซัมจั๋งกำลังเดินมาก็ได้ยินเสียงคนร้องไห้ช่วยชีวิต จึงพูดว่าในห้วยเขาป่ารกเปลี่ยวอย่างนี้ มีคนที่ไหนมาร้องให้ช่วยอย่างนี้ จึงคิดว่าหรือจะถูกสัตว์ดุร้ายกัดเอาดอกกระมัง พระถังซัมจั๋งก็ยอม้าหยุดอยู่แล้วร้องถามว่าท่านผู้ใดต้องภัยร้ายอะไรจงออกมานี่เถิด
ปีศาจงึ้นกั๊กได้ฟังดังนั้นก็ค่อย ๆ คลานออกมาจากรก มายังหน้าม้าพระถังซัมจั๋งกระทำคำนับ พระถังซัมจั๋งแลไปเห็นรูปเป็นคนมีอายุ และมีกิริยาถือบวชพระถังซัมจั๋งก็ลงจากหลังม้า เข้าพยุงปีศาจ ๆ ก็ทำเป็นร้องว่าโอยเจ็บนัก พระถังซัมจั๋งก็วางมือแลไปดูที่ขานั้น เห็นโลหิตไหลออกเลอะเทอะ พระถังซัมจั๋งถามว่านี่ท่านจีนแสอยู่ไหนมาขาจึงได้เจ็บอย่างนี้ ปีศาจตอบว่าข้าพเจ้าอยู่ข้างแง้มเขาทิศตะวันตกนั้นมีที่เงียบสงัดเป็นสำนัก ข้าพเจ้าอยู่ในสำนักนั้นถือบวช เหตุเมื่อวานนี้ไปที่บ้านทายกทำการไหว้ดาวสะเดาะเคราะห์ ครั้นกลับมาปะเสือโคร่งตัวหนึ่งมาคาบสานุศิษย์ของข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าจึงหลีกหนีมาก็สะดุดโขดหินล้มลง ขานั้นกระทบกับหินก็เคล็ด ข้าพเจ้าได้ตามเจ็บปวดสาหัสจึงเดินกลับบ้านไม่ได้ วันนี้เป็นบุญจึงได้มาพบท่านอาจาย์ ขอท่านได้กรุณาโปรดส่งข้าพเจ้าไปถึงสำนักแล้ว ข้าพเจ้าจะขอบพระเดชพระคุณท่านเป็นที่ยิ่ง
พระถังซัมจั๋งได้ฟังปีศาจพูดอ่อนหวานดังนั้น ก็สำคัญคิดว่าเป็นความจริง จึงพูดว่า ท่านจินแสก็เป็นผู้ถือบวช อาตมาที่ไหนจะไม่ช่วยเล่า แต่ท่านเดินไม่ได้จะให้ทำอย่างไร ปีศาจแปลงมารยาพูดว่า แต่ยืนยังไม่ได้ทำไมจึงจะเดินได้เล่า พระถังซัมจั๋งพูดว่า ถ้ากระนั้นอาตมจะเดินไป ม้านั้นจะให้ท่านขี่ไป ปีศาจพูดว่า ขอท่านอาจารย์ได้เมตาเถิด ขาข้าพเจ้านั้นก็หักเสียแล้วจะขี่ม้ามิได้ พระถังซัมจั๋งพูดว่า ถ้ากระนั้นก็ให้ซัวเจ๋งรองให้ขี่ไป จึงบอกซัวเจ๋งให้วางหาบของลงบนหลังม้าก่อน ช่วยพาจีนแสไปสักพักหนึ่ง ปีศาจหันหน้ามาทำเช็ดน้ำตา แล้วบอกว่าท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าพึ่งถูกเสือทำให้หวาดหวิวใจ ซัวเจ๋งหน้าสีหมอกดำ เข้าใกล้ข้าพเจ้าก็ยิ่งมีใจสะดุ้งเสียวไม่กล้าขี่
พระถังซัมจั๋ง หันหน้ามาเรียกเห้งเจียให้ขี่ไป เห้งเจียเข้ารับว่าไว้ธุระข้าจะเอาไปเอ็ง ปีศาจก็ยอมขี่เห้งเจีย ๆ ก็ตามใจเอาหลังมารอให้ปีศาจขี่แล้วหัวเราะว่าอ้ายมารสัตว์เดรัจฉาน ทำไมมันอาจสามารถมาหลอกเรา ๆ จำได้ว่ามึงเป็นปีศาจในเขานี้ มึงจะใคร่กินเนื้ออาจารย์กูหรือ อาจารย์ของเราเอ็งกินไม่ได้ง่าย ๆ ไม่เหมือนคนทั้งหลาย มึงอยากกินเนื้อเธอก็จงแบ่งให้เรากินครึ่งหนึ่ง
ปีศาจได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น จึงบอกแก่พระถังซัมจั๋งว่า ข้าพเจ้าคนสุจริตแลถือบวชวันนี้ต้องภัยเสือร้าย ข้าพเจ้ามิใช่ปีศาจยักษ์มารดอก เห้งเจียว่ากลัวสัตว์ร้ายทำไมไม่สวดคัมภีร์ปั๊กเต๊าเกงเล่า พระถังซัมจั๋งได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น จึงด่าว่าอ้ายชาติลิงไม่รู้จักอะไร ช่วยชีวิตคน ๆ หนึ่งได้บุญมากยิ่งกว่าสร้างกุศลเจ็ดวัน เจ้าให้เธอขี่ก็ให้ขี่ไปถามปั๊กเต๊าเกงทำอะไร เห้งเจียจึงเข้าพยุงปีศาจขึ้นเกาะหลังแล้วก็เดินไปพักหนึ่ง พระถังซัมจั๋งก็ข้ามเขาลงไป เห้งเจียเดินข้างหลัง แลไปไม่เห็นพระอาจารย์กับซัวเจ๋ง เห้งเจียจะใคร่คิดฆ่าปีศาจ
ฝ่ายปีศาจก็รู้ได้ว่าเห้งเจียจะคิดร้าย ก็ร่ายเวทย์เรียกเขาสุเมรุให้เลื่อนลอยมาทับศรีษะเห้งเจีย ๆ ตกใจหลบเขานั้นก็ทับเห้งเจียอยู่ขาซ้าย เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านบันดาลอ่านเวทย์อันใด เรียกเขาหนักมาทับเราอย่างนี้ เรา ก็มิได้วิตกหวาดเสียวสะดุ้งกลัวเลย พูดดังนั้นแล้วก็วิ่งตามอาจารย์
ปีศาจเห็นภูเขาทับเห้งเจียไม่อยู่ ก็ร่ายเวทย์เรียกภูเขา (ง่อมีซัว) ลอยมาตกลงทับเห้งเจีย เห้งเจียหลบทัน เขานั้นตกลงติดอยู่ขาขวา เห้งเจียก็รีบตามอาจารย์ดุจตัวเปล่า ปีศาจเมื่อได้เห็นดังนั้นจิตให้ระย่อท้อถอยสะดุ้งกลัวประหม่าจนเหงื่อเปียกทั้งตัว คิดว่าเห้งเจียมีวิชาแบกเขาได้ ปีศาจจึงสำรวมจิตร่ายพระเวทย์เรียกภูเขาท้ายซัวลอยลงมาบนอากาศทับอีก เห้งเจียถูกเขาท้ายซัวทับลงบนหัวแลเอาอำนาจฤทธิ์กายสิทธิ์ทับซ้อนลงเห้งเจียก็ติดอยู่กับที่นั้น จะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่ไหวแล้ว ปีศาจก็ผละออกรีบตามถังซัมจั๋งเหาะขึ้นแทรกเมฆเอามือยื่นลงมาจับถังซัมจั๋งบนหลังม้า
ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจ ชักไม้พลองเข้าตีสกัด ปิศาจงึ้นกั๊กถือเกี่ยมตรงเข้ามาประจันหน้ารบกับซัวเจ๋ง เข้ารบรุกบุกบั่นโดยความสามารถ ซัวเจ๋งทานกำลังปีศาจมิได้ก็ล่าถอยจะหนี ปีศาจก็บันดานให้มือใหญ่รวบจับซัวเจ๋งไว้ได้ลากมาหนีบไว้ใต้รักแร้ข้างซ้าย เอามือขวารวบจับถังซัมจั๋งไว้ได้เล้ว ก็บันดาลเป็นลมใหญ่เหาะกลับมายังถ้ำ ครั้นถึงจึงร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า พี่ใต้อ๋องข้าพเจ้าจับถังซัมจั๋งมาได้แล้ว กิมกั๊กปีศาจแลไปเห็นแล้วจึงพูดว่าน้องจับผิดตัวเสียแล้ว งึ้นกั๊กว่าพี่ให้จับถังซัมจั๋งข้าพเจ้าก็จับมา กิมกั๊กว่าเห้งเจียซึ่งมีฤทธิ์นั้นจับมาได้ จึงจะกินเนื้อถังซัมจั๋งได้
![]() |
รูปภาพ ; 陈惠冠・新绘西游记 第二十二神 |
งึ้นกั๊กหัวเราะแล้วพูดว่าซึ่งตัวเห้งเจียนั้น ข้าพเจ้าเรียกภูเขาใหญ่สามเขามาทับไว้แล้ว สักองคุลีก็ไม่เคลื่อนไปได้ บัดนี้เราไม่ต้องลงมือใช้ให้ปีศาจบริวารของตนเอาของวิเศษสองสิ่ง ไปเรียกมันใส่น้ำเต้าเอาตัวมาไม่ต้องวุ่นวายอะไรเลย
กิมกั๊กถามว่า ของวิเศษสองสิ่งนั้นคืออะไร งึ้นกั๊กบอกว่าของที่เรียก (เอี๊ยกจีเง็ก) คือ ขวดน้ำมนต์หยก กับลูกน้ำเต้าทอง กิมกั๊กจึงหยิบขวดวิเศษส่งให้แล้วเรียกปีศาจทั้งสองคือ เจงเส่ยผีตนหนึ่ง เล่งหลีตนหนึ่ง สั่งว่าเจ้าทั้งสองจงเอาของวิเศษนี้ไปบนยอดเขาคว่ำปากน้ำเต้าลงแล้วร้องเรียกชื่อเห้งเจียคำหนึ่ง ถ้าขานรับ มันก็เข้าอยู่ในน้ำเต้านั้นแล้ว เจ้าจงเอาแผ่นยันต์ปิดปากน้ำเต้าแล้วเอามาให้ข้า มันอยู่ในนั้นครึ่งชั่วโมง กายมันก็จะแปรเป็นน้ำหนองไป ปีศาจทั้งสองรับเอาของวิเศษสองสิ่งมาแล้วคำนับลาออกจากถ้ำตรงไป กิมกั๊กงึ้นกั๊กสั่งให้ปีศาจมัดถังซัมจั๋งซัวเจ๋งแขวนไว้ที่ริมประตูระเบียงเสร็จแล้วทั้งสองคน
ฝ่ายเห้งเจียถูกปีศาจเรียกเขามาทับไว้ ทุกข์ร้อนคิดถึงอาจารย์ร้องคร่ำครวญด้วยเสียงอันดังบ่นว่า เมื่ออาจารย์มาถึงแดนต่อแดนเขาเหลียงกัยซัว ได้ช่วยข้าพเจ้าออกพ้นซึ่งความทุกข์ แนะนำให้ข้าพเจ้าบวชเรียน ข้าพเจ้าก็ปลงใจด้วยท่าน ไม่รู้เลยว่ามาถึงแห่งนี้จะถูกปีศาจมารร้ายมาสกัดกั้นกลางอย่างนี้ แลมิหนำถูกมันเอาเขามาทับไว้ ท่านตายก็ควรแล้ว สงสารแต่โป๊ยก่ายซัวเจ๋งกับมังกรที่แปลงเป็นม้านั้นจะพากันบรรลัยไปทั้งสิ้น ดุจไม้ใหญ่ต้องพายุพัดล้มพลอยทับเอาไม้เล็ก ๆ ล้มไปด้วย คนอยากได้ชื่อเสียงล้างเอาคนอื่นละลายไปด้วย
เห้งเจียคร่ำครวญโศกศัลย์น้ำตาไหลอาบไปทั้งกาย เวลาเมื่อเห้งเจียร้องไห้คร่ำครวญอยู่นั้น ก็ร้อนถึงเทพยดาเขาเอี๊ยดที้ จึงมีคำถามพระภูมิเจ้าที่และเจ้าเขาว่า ภูเขานี้ของผู้ใด พระภูมิเจ้าที่บอกว่าของพวกข้าพเจ้ารักษาเอง เทพยดาถามว่า ที่ถูกเขาทับอยู่นั้นคือใคร พระภูมิเจ้าที่ตอบว่าไม่ทราบว่าผู้ใด เจ้าเอี๊ยดที้พูดว่า ท่านทั้งหลายยังไม่รู้ว่าใคร นั้นแลคือเมื่อห้าร้อยปีก่อนทำให้ชั้นวิมานครั่นคร้ามวุ่นวาย คือชื่อซีเทียนใต้เซียซึงหงอคง บัดนี้เข้าทางชอบแล้วมาตามพระถังซัมจั๋งเป็นสานุศิษย์ ทำไมท่านทั้งหลายมาช่วยปีศาจเอาเขาทับเธอเล่า หากเธอหลุดออกมาได้ เธอจะยอมท่านทั้งหลายหรือ
พระภูมิเจ้าที่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจกลัวจึงคิดกับเจ้าเอี๊ยดที้ว่า ข้าพเจ้าจะถอนเขาออก พูดฉะนั้นแล้วก็อ่านคาถาถอนเอาเขานั้นออกไปเสีย เห้งเจียก็กระโดดขึ้นมาชักกระบองออกจากหู เรียกพระภูมิเจ้าที่เจ้าเขาว่าให้นอนลงเราจะตีคนละสองที ให้เราแก้รำคาญ เจ้าเขาเจ้าที่ก็ตกใจกลัวคำนับแล้วขอโทษตัว เห้งเจียจึงพูดว่าภูมิเจ้าที่เจ้าเขากลัวแต่ปีศาจไม่มีความกลัวเรา ดีแล้วจะได้เห็นกันเป็นไรมี พระภูมิเจ้าที่จึงพูดว่าปีศาจทั้งสองนั้นฤทธาอานุภาพเชี่ยวชาญ มันร่ายเวทย์เรียกพวกข้าพเจ้าวันละคนมารักษาการณ์ทุกวันไป เห้งเจียได้ฟังว่ารักษาการ ณ์จิตใจให้หวั่นหวาดแหงนขึ้นบนฟ้าร้องว่าฟ้า ๆ เขียวให้เกิดจึงให้มีพวกนี้มาด้วยเล่า พูดดังนั้นแล้วแลไปบนเขาเห็นมีรัศมีระยับยอยลงมา เห้งเจียจึงถามเจ้าเขาแลเจ้าที่ว่าพวกท่านอยู่ในถ้ำนั้นเคยเห็นหรือว่าในถ้ำนั้นมีรัศมีดังนี้
เจ้าที่ตอบว่าที่มีรัศมีนั้น คือขวดหยกวิเศษของปีศาจ ข้าพเจ้าคิดดูเห็นจะเป็นปีศาจเอาของวิเศษมาสำแดงดอกกระมัง เห้งเจียว่าถ้าดังนั้นเป็นอันดี เราจะขอถามท่านว่า ปีศาจทั้งสองนั้นมีที่ชอบที่รักแก่ใครบ้างหรือเปล่า ภูมิเจ้าที่บอกว่า ที่ชอบที่รักก็คือพวกฤๅษีถือพรตฝึกฝนในทางประกอบยาสำเร็จ นามพระดาบสนั้นชื่อว่าช่วนจินเต๊าหยิน
เห้งเจียครั้นได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงบอกแก่เจ้าเขาแลเจ้าที่ให้กลับไปยังสถานแห่งตนเถิด ข้าพเจ้าจะคิดจับมันให้จงได้ แล้วเห้งเจียก็แปลงกายเป็นตาเฒ่า เต๊าหยินคนหนึ่ง ยืนคอยอยู่บัดเดียวปีศาจทั้งสองก็เดินมาถึง เห้งเจียก็จับกระบองเงื้อ ปีศาจทั้งสองเห็นดังนั้นก็ตกใจ หกล้มลงแล้วคลาน ลุกขึ้นมองเห็นเห้งเจีย จึงพูดว่าทำไมจึงเงื้อไม้จะตีเราดังนี้
เห้งเจียตอบว่า เรามาการธุระ
ปีศาจถามว่าท่านอยู่ที่ไหนมา
เห้งเจียตอบว่าข้ามาจาก (เขาพ่วงล่ายซัว)
ปีศาจถามว่าที่เขาพ่วงล่ายซัวเป็นที่เทวดาอยู่มิใช่หรือ
เห้งเจียว่านี่มิใช่เทวดาหรือ
ปีศาจทั้งสองได้ฟังดังนั้นก็หายโกรธพูดว่า ขอโทษข้าพเจ้าทั้งสองนี้เถิด บางทีจะพูดผิดพลั้งไปบ้างท่านอย่าถือข้าพเจ้าเลย เพราะพวกข้าพเจ้ามีแต่ตาเนื้อไม่มีตาทิพย์จึงไม่รู้ดูคนดีและคนชั่ว
เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าไม่ถือท่านดอก เวลานี้ข้าพเจ้ามาถึงเขานี้ด้วยความตั้งใจจะโปรดคนผู้หนึ่ง ให้สำเร็จมรรคผล จะมีคนใดติดตามเราไปบ้าง เห้งเจียถามว่าท่านทั้งสองอยู่ที่ไหนไปไหนมา
ปีศาจตอบว่า นายข้าพเจ้าใช้ให้มาจับซึงเห้งเจีย ๆ
ถามว่าที่ตามพระถังซัมจั๋งมานั้นหรือ ปีศาจตอบว่านั่นแหละ ๆ ท่านจำได้หรือ เห้งเจียตอบว่าเรารู้จักแล้ว คือลูกลิงมันไม่รู้จักธรรมเนียม เรามีความเคืองใจมันอยู่ เราจะช่วยทั้งสองไปจับมันให้ได้ ปีศาจว่าท่านไม่ต้องช่วยดอกนายข้าพเจ้าเรียกภูเขาทั้งสามมาทับไว้แล้ว ให้ข้าพเจ้าเอาของวิเศษมาใส่มัน เห้งเจียถามว่าของวิเศษนั้นรูปร่างอย่างไร ขอดูสักหน่อยจะได้หรือไม่ได้
ปิศาจเจงเส่ยพูดว่า คือขวดหยกและน้ำเต้าทองสองสิ่งนี้ ถ้าเอาปากลงเอาก้นขึ้นเรียกชื่อคำหนึ่งแม้ว่าขานรับ ตัวของผู้ขานนั้นก็เข้าไปอยู่น้ำเต้านั้น แล้วเอายันต์ของท้ายเสียงเล่ากุนปิดปากสักครึ่งชั่วโมง กายของผู้ที่เข้าไปอยู่ในน้ำเต้านั้นก็ละลายเป็นน้ำหนองไปหมด เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ แล้วแกล้งทำเป็นหัวเราะพูดว่าไหนขอดูสักหน่อยหรือของวิเศษจะเป็นประการใด ปีศาจไม่รู้ศึกว่าเห้งเจียก็ส่งของสองสิ่งให้เห้งเจียดู เห้งเจียก็รับมาพิจารณาดู มีความยินดีพูดว่าเป็นดีแน่ แล้วคิดว่า ถ้าเราจะชิงเอาเสียเดี๋ยวนี้ก็จะได้ แต่จะเสียชื่อ เขาจะเหมาว่าเราวิ่งราวกลางวันดูแล้วก็ส่งคืนให้ แล้วพูดว่าท่านทั้งสองยังไม่เคยเห็นของวิเศษของเรา
ปีศาจถามว่าท่านอาจารย์มีของวิเศษอย่างไร ขอให้ข้าพเจ้าดูสักหน่อยเถิด เห้งเจียเอามือล้วงไปข้างหลัง ถอนเอาขนหางมาเส้นหนึ่ง ร้องเรียกให้แปลงก็แปลงเป็นลูกน้ำเต้าทองคำโตประมาณสองกำมา เอาออกมาจากเอวส่งให้ปีศาจ ๆ ดูแล้วพูดว่า ของท่านอาจารย์มีรูปลักษณ์ใหญ่ดังนี้พิศดูงดงามยิ่งนัก แต่ต้องการใช้ไม่ได้ เห้งเจียถามว่าเหตุใดจึงใช้ไม่ได้ ปีศาจว่าของนี้เรียกคนไปประจุได้พันคนทั้งสองสิ่ง เห้งเจียว่าของที่ใส่คนนั้นไม่ประหลาดอะไร น้ำเต้าของเรานี้ ใส่ได้ทั้งท้องฟ้าเรียกให้เข้าในนี้ได้หมด ปีศาจถามว่าจริงดังนั้นหรือ เห้งเจียว่าดังนั้นซี ปีศาจว่าแม้จริงดังนั้น ขอท่านอาจารย์ลองทำให้ข้าพเจ้าดูสักทีเถิด เห้งเจียว่า แม้ว่าฟ้าทำให้เราขัดใจ เดือนหนึ่งเราเรียกเข้าเจ็ดแปดหน ถ้าไม่ทำให้ขัดใจครึ่งปีก็ไม่เรียกใส่ครั้งหนึ่ง
ปีศาจเล่งหลีพูดแก่เจงเส่ยว่า เอาของเราแลกแก่ท่านเถิด เจงเส่ยพูดว่า ของเธอใส่ได้ทั้งฟ้าจะยอมแลกแก่เราที่ไหน เล่งหลีพูดว่า เราเอาขวดนั้นเติมให้เห็นเธอจะให้ดอกกระมัง เห้งเจียมีความยินดีอยู่ในใจแล้วจึงพูดว่า ของเราใส่ได้ทั้งฟ้าท่านจะเอาของท่านเปลี่ยนจะควรหรือ ปีศาจพูดว่า แม้ใส่ทั้งฟ้าได้ก็จะเปลี่ยน ถ้าไม่เปลี่ยนให้ข้าพเจ้าท่านจะเป็นเด็กทารก เห้งเจียพูดว่าดีแล้ว ข้าพเจ้าจะเรียกใส่ให้ดูพูดแล้วก็ก้มหน้าลงร่ายพระคาถา เรียกเทวดาเจ้าที่เที่ยวตระเวรตามท้องฟ้าแลเจ้าเอี๊ยดที้มาพร้อมกันในทันใดนั้น เห้งเจียสั่งว่าให้ขึ้นไปทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ว่า บัดนี้เราตามรักษาพระถังซำจั๋งจะไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมยังมัชฌิมประเทศ เราอยากจะได้ของวิเศษของปีศาจ ขอพระองค์ได้โปรดให้ข้าพเจ้ายืมท้องฟ้าสักครึ่งชั่วโมง เรียกใส่ในน้ำเต้านี้ แม้ว่าขัดขืนไม่ยอมให้ เราจะขึ้นไปเล่งเซียวเต้ย
ฝ่ายเจ้าทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียสั่งดังนั้น ก็พากันเหาะขึ้นไปยังสวรรค์ เข้าไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ทรงทราบทุกประการ เง็กเซียงฮ่องเต้จึงตรัสว่าอ้ายลิงมันพูดจาไม่มีความยำเกรง น้ำใจโตอาจสามารถมายืมท้องฟ้าไปเรียกใส่น้ำเต้า มันจะเรียกใส่อย่างไรได้ เวลาที่เง็กเซียงฮ่องเต้ตรัสดังนั้น มีน่อจาท้ายจื๊อออกมากราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ ท้องฟ้าเรียกใส่ได้ เง็กเซียงฮ่องเต้ตรัสถามว่าทำอย่างไรจึงใส่ได้ น่อจาทูลว่า ขอพระองค์มีรับสั่งออกไปทางประตูสวรรค์ทิศอุดร ขอยืมธงดำวิเศษของท่านพรหมจินบู๊นั้น เอามายังประตูน่ำทีหมึง ถือออกโบกหอบเดือนตะวันและดาวทั้งหลายให้มืดท้องฟ้าแลไม่เห็นหน้ากัน สักประเดี๋ยวพอหลอกปีศาจอย่างนี้ก็ครอบเอาท้องฟ้าได้ ก็จะช่วยเห้งเจียให้สำเร็จได้ เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังน่อจากราบทูลดังนั้น พระองค์ทรงพระสรวลเห็นชอบด้วย จึงตรัสสั่งให้ทำตามน่อจา กราบทูลนั้น
ฝ่ายเจ้าทั้งหลาย เมื่อได้ฟังเง็กเซียงฮ่องเต้รับสั่งดังนั้นแล้ว ก็ถวายบังคมลากลับลงมายังมนุษย์โลก เข้าใกล้เห้งเจียกระซิบบอกให้รู้ทุกประการ เห้งเจียจึงบอกแก่ปีศาจทั้งสองว่า เจ้าจงคอยดูเถิดข้าพเจ้าจะทำให้เห็นแก่ตา ปีศาจทั้งสองพูดว่าท่านจะเรียกก็จงเรียกเถิด เห้งเจียจึงเอาน้ำเต้าขว้างขึ้นไปกลางอากาศ
ฝ่ายน่อจายืนอยู่บนประตูน่ำทีหมึงเห็นดังนั้น ก็เอาธงคลี่ออก กวัดแกว่งไปมา ท้องฟ้าก็มืดคลุ้มไปทั้งหมด แลไม่เห็นดวงดาวแลพระอาทิตย์พระจันทร์ มองดูหน้ากันก็ไม่เห็นหน้า ปีศาจทั้งสองเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงพูดว่า เมื่อพูดกันนั้นดูเหมือนตะวันกำลังเที่ยงทำไมดูมืดค่ำไปดังนี้ เห้งเจียว่าเราเรียกท้องฟ้ามาใส่ในน้ำเต้าแล้วทำไมจะไม่มืดเล่า ปีศาจถามว่าท่านอาจารย์นั่งพูดอยู่ที่ไหน เห้งเจียพูดหลอกว่าอย่าก้าวไป ที่นี่ฟากฝั่งทะเลใหญ่ แม้พลัดตกลงไปเจ็ดแปดวันก็ยังไม่ถึงพื้นล่าง ปีศาจทั้งสองได้ยินดังนั้นก็เชื่อตกใจ กลัวบอกว่าท่านอาจารย์จงปล่อยฟ้าไปเถิด ข้าพเจ้าเข้าใจในวิชาของท่านแล้ว อย่าให้ข้าพเจ้าตกทะเลไปเลย เห้งเจียเห็นปีศาจทั้งสองมีใจเชื่อถือแน่แล้ว จึงร่ายพระคาถาส่งจิตไปถึงน่อจาให้รู้ น่อจาจึงเอาธงม้วนเสีย ท้องฟ้าก็สว่างมาอย่างเดิม ปีศาจทั้งสองจึงสรรเสริญว่าดีแท้ ๆ ของวิเศษอย่างนี้เราจะไม่ขอแลกอย่างไรได้ จึงหยิบน้ำเต้าแลขวดหยกส่งให้แก่เห้งเจีย ๆ เอาน้ำเต้าเก๊ ปลอมส่งให้แก่ปีศาจ แลกกันแล้วก็เหาะไปยังประตูน่ำทีหมึงขอบคุณน่อจา แล้วเห้งเจียก็กลับลงมาหยุดอยู่กลางอากาศแลดูปีศาจทั้งสอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น