
(บทที่ ๕๐) ในฤดูนั้นเป็นฤดูหนาวจัดลมพัดกล้า น้ำค้างหมอกลงกลุ้มทั้งป่า อาจารย์กับศิษย์กำลังเดินมา แลไปข้างหน้าก็เห็นภูเขาใหญ่ขวางอยู่ หนทางก็แคบเดินลำบากไม่เรียบราบ พระถังซัมจั๋งชักบังเหียนม้าหยุด เรียกเห้งเจียมาถามว่า ดูข้างหน้านั้นมีภูเขาสูง อาตมาวิตกว่าจะมีสิงสาราสัตว์ ร้ายดอกกระมัง จงเอาใจใส่ช่วยกันระวังให้จงดี เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์จงวางใจเถิด พวกพี่น้องข้าพเจ้าพร้อมใจกันจะตั้งจิตตามทางอันชอบธรรม จะกลัวเกรงอะไรแก่สิงสาราสัตว์ที่ดุร้าย
พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็ค่อยคลายความวิตกตั้งหน้าอุตส่าห์บุกน้ำค้างทนหนาวมิได้คิดที่จะท้อถอย ครั้นข้ามยอดเขาลงมาถึงเชิงเขา พระถังซัมจั๋งแลไปในซอกเขา เห็นมีตึกสามห้องหอสูงตระหง่านดูงดงามสะอาดตา พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ดีใจ จึงเรียกเห้งเจียมาพูดว่า อาตมภาพเดินมาวันนี้ทั้งหนาวทั้งหิวอกใจให้ระอาอ่อนไม่มีกำลัง ในซอกเขานั้นเห็นมีตึกบ้านห้องหอเป็นลำดับคงจะเป็นบ้านคนอยู่ หรือวัดวาอารามเป็นแน่ เห้งเจียลองไปบิณฑบาตบางทีจะได้บ้างดอกกระมัง จะได้มาฉันพอแก้หิวแล้วจะได้เดินต่อไป เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็แลไปดูในที่แห่งนั้น ก็เห็นมีขี้เมฆสีร้ายกลุ้มปกอยู่ข้างบน สลับซับซ้อนกันเป็นกลุ่ม ๆ ดังนั้น จึงหันหน้ามาบอกแก่อาจารย์ว่า ที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่ดี หากจะมีสิ่งร้ายสำคัญ พระถังซัมจั๋งว่าเห็นมีเป็นตึกรามห้องหอดูงดงาม เหตุใดเห้งเจียจึงว่าที่ไม่ดี
เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า พระอาจารย์ที่ไหนจะรู้ได้ หนทางไซทีนั้น ปีศาจ ยักษ์ร้ายมักจะบันดาลให้เห็นเป็นตึกรามห้องหอ ที่ตรงนั้นดูงดงามแต่อากาศร้ายปกคลุมอยู่ ไม่ควรเราจะเข้าไปเลย
พระถังซัมจั๋งว่าจะเข้าไปได้ก็ชอบแล้ว แต่อาตมภาพหิวนักจะทำอย่างไรดี เห้งเจียว่าแม้อาจารย์หิวโหย จงนิมนต์ลงจากหลังม้านั่งพักก่อน ข้าพเจ้าจะไปบิณฑบาตที่อื่นมา ฉันแล้วจึงค่อยไป พระถังซัมจั๋งก็เชื่อเห้งเจียลงจากหลังม้าอาศัยนั่งยังพื้นราบ ซัวเจ๋งจึงแก้เอาบาตรส่งให้เห้งเจีย ๆ รับบาตรมาแล้วสั่งซัวเจ๋งว่า น้องอย่าไปข้างไหน จงระวังระไวพระอาจารย์ให้มาก ๆ ให้อาจารย์นั่งอยู่ตรงนี้ คอย กว่าเราจะกลับจึงค่อยไป ซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียสั่งดังนั้นก็คอยระวังรักษาอาจารย์ ฝ่ายเห้งเจียสั่งแล้วก็ยังไม่วางใจดี จึงหันหน้ามาบอกแก่อาจารย์ว่า ที่ตรงนี้ร้ายมากดีน้อย พระอาจารย์อย่าได้ออกจากที่นี้ไปเลย ข้าพเจ้าวิตกกลัวแต่พระอาจารย์จะไม่ยุติอยู่ได้ ข้าพเจ้าจะช่วยทำยันต์คุ้มไว้ให้
เห้งเจียพูดดังนั้นแล้ว ก็จับตะบองเขียนลงที่แผ่นดินเป็นยันต์วงรอบ วงหนึ่ง เขียนแล้วจึงนิมนต์อาจารย์เข้านั่งในกลางวงยันต์ แล้วสั่งโป๊ยก่ายซัวเจ๋งให้นั่งเฝ้าอยู่ซ้ายขวา แล้วเห้งเจียจึงบอกแก่อาจารย์ว่า อันวงล้อมนี้มั่นคงยิ่งกว่ากำแพงเหล็ก หากว่าจะมี ผี ปิศาจยักษ์ร้าย และสิงสาราสัตว์ที่ดุร้ายก็ไม่อาจสามารถจะเข้ามาใกล้ แต่อาจารย์อย่าได้ออกจากวงนี้เป็นอันขาด จงนั่งอยู่แต่ในวงนี้ให้สบาย พระถังซัมจั๋งฟังเห้งเจียสั่งดังนั้น ก็นั่งอยู่ในวงยันต์มิได้ไปข้างไหน เห้งเจียเห็นเรียบร้อยดีแล้วก็ปาฎิหารย์ไปบิณฑบาตเหาะตรงไปยังทิศอาคเนย์ แลไปก็เห็นมีต้นพฤกษาสูงใหญ่ตระหง่านที่ข้างนั้นมีหมู่บ้าน เห้งเจียก็ลดลงยังพื้นดินเดินไปพิจารณาดูภูมิบ้านได้ยินเสียงคนเปิดประตูเดินออกมา เห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งมือถือไม้ เท้าเงยหน้าขึ้นบนฟ้าพูดว่า วันนี้ลมหนาวพัดกล้าพรุ่งนี้ก็จะหยุด พูดยังไม่ทันจะสิ้นคำ เห็นสุนัขตัวหนึ่งวิ่งออกมาเห่าเห้งเจีย ตาเฒ่าเห็นสุนัขเห่าจึงหันไปดู เห็นเห้งเจียยืนถือบาตรอยู่ เห้งเจียจึงร้องบอกตาเฒ่านั้นว่า ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของพระถังซัมจั๋งมีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้ไปไซทีอาราธนาพระธรรม บัดนี้มาถึงตำบลนี้ท่านอาจารย์หิวโหย ขอท่านได้ทำบุญมากน้อยตามจะศรัทธา
ฝ่ายตาเฒ่าเมื่อได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น จึงบอกว่าอย่าบิณฑบาตเลย ตัวเดินทางผิดเสียแล้ว ทางไปไซทีกับจะมาถึงที่นี่ไกลหลายร้อยโยชน์ทำไมจึงไม่ไปทางโน้นตามทางใหญ่ เห้งเจียพูดว่าก็จริงเหมือนท่านตาพูด แต่อาจารย์ข้าพเจ้านั่งคอยอยู่ที่ทางใหญ่ ตาเฒ่าพูดว่าเป็นชีบานาสงฆ์ถือทางพระ ทำไมจึงพูดจาเลอะเทอะอย่างนี้ ที่ว่าอาจารย์ตัวนั่งอยู่ที่ทางใหญ่ ตัวมาบิณฑบาตหนทางเดินไกลถึงหกเจ็ดวันจึงจะถึง ถ้ากระนั้นอาจารย์จะมิอดตายหรือ เห้งเจียว่าข้าพเจ้าไม่ปิดบังท่านตาข้าพเจ้าจากอาจารย์มา น้ำร้อนที่รินใส่ถ้วยยังไม่ทันเย็นก็มาถึงนี่ บัดนี้บิณฑบาตได้แล้วกลับไปก็ทันเวลาเพล
ตาเฒ่าได้ฟังดังนั้นจ้งพูดว่าคนนี้เห็นจะเป็นผีปีศาจยักษ์ พูดดังนั้นแล้วก็หันหน้าจะวิ่งกลับเข้าบ้าน
เห้งเจียก็วิ่งมายึดไว้ถามว่าจะไปไหน มีอาหารก็จงรีบเอามาทำบุญเถิด ตาเฒ่าบอกว่าข้าไม่ปลงใจศรัทธา ในบ้านข้าหกเจ็ดปากกินอยู่ด้วยกันพึ่งเอาข้าวสารใส่หม้อตั้งยังไม่ทันสุก ตัวไปที่อื่นก่อนแล้วจึงค่อยมา เห้งเจียพูดว่าโบราณท่านย่อมว่าไปสามบ้านสู้บ้านเดียวไม่ได้ ข้าพเจ้าจะคอยอยู่ที่นี่กว่าเข้าจะสุกก็ได้ ตาเฒ่าเห็นเห้งเจียพูดรีบรัดข้างจะเอาดังนั้นจึงยกไม้เท้าขึ้นจะตี เห้งเจียก็ไม่สะดุ้งหวาดอะไรยืนนิ่งอยู่ ตาเฒ่าก็ตีศรีษะเห้งเจียเจ็ดแปดที เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าตามแต่ท่านตาจะตีอย่างไรก็ตีเถิด แม้ตีข้าพเจ้าทีหนึ่งจะคิดเอาข้าวทะนานหนึ่งท่านตาจะต้องคิดตวงมาให้ข้าพเจ้า ตาเฒ่าได้ยินดังนั้นก็ทิ้งไม้เท้าวิ่งหนีเข้าไปในบ้านปิดประตูร้องว่ามีผีมา มีผีมา คนทั้งบ้านก็พากันตกใจไปทุกคน ก็พากันปิดประตูทุก ๆ ประตู
เห้งเจียเห็นปิดประตูทุกประตูก็นึกแต่ในใจว่า ตาเฒ่าคนนี้พูดว่าพึ่งซาวข้าวใส่หม้อจะจริงเท็จก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องเข้าไปดูให้รู้แน่ คิดดังนั้นแล้วก็ร่ายพระคาถาบังตัวแอบเข้าไปในครัวไฟ เห็นในกะทะควันขึ้นร้อน ๆ เข้าก็สุกครึ่งกะทะเห้งเจียเอาบาตรลงตักทีหนึ่งเต็มแล้วก็ปาฏิหารย์กลับไป
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งนั่งอยู่ในวงยันต์ คอยเห้งเจียอยู่เป็นนานก็ยังไม่เห็นมา จึงขยับตัวบ่นว่าอ้ายลูกลิงมันไปบิณฑบาตที่ไหนก็ไม่รู้ป่านนี้ยังไม่มา โป๊ยก่ายว่าจะรู้ว่าเธอไปข้างไหน เที่ยวเล่นตามสบายใจทิ้งให้เราตากน้ำค้างอยู่ดังนี้ พระถังซัมจั๋งถามว่าทำไมโป๊ยก่ายจึงถูกจำ โป๊ยก่ายว่าอาจารย์ยังไม่รู้คนโทษถ้ามีโทษเขาเขียนวงจำไว้ ไม่ให้ไปข้างไหน เธอว่าวงนี้มั่นคงนั่งลอย ๆ อยู่ดังนี้ หากมีสิงสาราสัตว์มาจะเอาอะไรคุ้มได้ ถ้าดังนี้ก็ส่งเนื้อให้มันกินเสียง่าย ๆ ก็แล้วกัน พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นจึงพูดหารือแก่โป๊ยก่ายว่า ตัวเห็นอย่างไรก็จงคิดดู โป๊ยก่ายพูดว่าความเห็นของข้าพเจ้าเห็นว่านั่งอยู่ที่นี้จะหาที่บังลมกันหนาวก็ไม่ได้ สู้เดินไปข้างหน้าไม่ได้บางทีพี่เห้งเจียบิณฑบาตกลับมาทางนั้นจะปะกัน นั่งคอยอยู่ที่นี่ก็จะเกิดหนาวมากขึ้น
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งนั่งอยู่ในวงยันต์ คอยเห้งเจียอยู่เป็นนานก็ยังไม่เห็นมา จึงขยับตัวบ่นว่าอ้ายลูกลิงมันไปบิณฑบาตที่ไหนก็ไม่รู้ป่านนี้ยังไม่มา โป๊ยก่ายว่าจะรู้ว่าเธอไปข้างไหน เที่ยวเล่นตามสบายใจทิ้งให้เราตากน้ำค้างอยู่ดังนี้ พระถังซัมจั๋งถามว่าทำไมโป๊ยก่ายจึงถูกจำ โป๊ยก่ายว่าอาจารย์ยังไม่รู้คนโทษถ้ามีโทษเขาเขียนวงจำไว้ ไม่ให้ไปข้างไหน เธอว่าวงนี้มั่นคงนั่งลอย ๆ อยู่ดังนี้ หากมีสิงสาราสัตว์มาจะเอาอะไรคุ้มได้ ถ้าดังนี้ก็ส่งเนื้อให้มันกินเสียง่าย ๆ ก็แล้วกัน พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นจึงพูดหารือแก่โป๊ยก่ายว่า ตัวเห็นอย่างไรก็จงคิดดู โป๊ยก่ายพูดว่าความเห็นของข้าพเจ้าเห็นว่านั่งอยู่ที่นี้จะหาที่บังลมกันหนาวก็ไม่ได้ สู้เดินไปข้างหน้าไม่ได้บางทีพี่เห้งเจียบิณฑบาตกลับมาทางนั้นจะปะกัน นั่งคอยอยู่ที่นี่ก็จะเกิดหนาวมากขึ้น
พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นก็คิดเห็นชอบไปด้วย จึงพากันออกจากวงนั้นแล้วก็ไปทางทิศตะวันตกเดินไป เดินมาประเดี๋ยวก็มาถึงที่ห้องหอนั้น มีประตูใหญ่อยู่ข้างหน้าก่อทำประดับมีสีต่าง ๆ ที่ประตูเปิดบานหนึ่งปิดบานหนึ่ง โป๊ยก่ายก็จูงม้าเข้ามายังประตู ซัวเจ๋งก็เอาหาบวางลง พระถังซัมจั๋งก็นั่งพักอยู่ที่ประตู โป๊ยก่ายพูดกับอาจารย์ว่า ที่บ้านนี้เห็นจะเป็นบ้านขุนนางผู้ใหญ่ดูไม่เห็นมีคน เห็นคนจะอยู่ข้างในผิงไฟดอกกระมัง
พระอาจารย์นั่งอยู่นี่กับซัวเจ๋งก่อนข้าพเจ้าจะเข้าไปดูข้างใน พระถังซัมจั๋งว่าจะเข้าไปก็ดูให้เรียบร้อย อย่าไปทำให้เสียธรรมเนียม โป๊ยก่ายพูดว่าข้าพเจ้าเข้าใจตั้งแต่ข้าพเจ้าเข้าในทางพระ ทำนุ๊กธรรมเนียมก็รู้มาก ไม่เหมือนอย่างพวกฆราวาส พูดดังนั้นแล้วก็เอาคราดเหล็กเหน็บหลัง จัดแจงแต่งตัวแล้วก็เดินเข้าไปในประตูพิจารณาดูไปข้างหน้านั้น เห็นมีตึกหลังหนึ่งสามห้องมีมู่ลี่แขวนบังห้อยอยู่ดูเงียบสงัดไม่เห็นมีคน โป๊ยก่ายก็เดินต่อเข้าไปข้างใน ก็เห็นมีหอสูงประตูหน้าต่างแง้มเปิดครึ่งหนึ่ง มองขึ้นไปชั้นบนก็เห็นมีม่านแพรสีต่าง ๆ กั้นอยู่ ประดับประดางามตาแต่เงียบสงัดไม่ได้ยินเสียงผู้คน โป๊ยก่ายนึกแต่ในใจว่า เห็นจะเป็นคนกลัวหนาวนอนยังไม่ตื่น
ตอน ผจญปิศาจควายจอมพลังกับของวิเศษไร้เทียมทาน
คิดดังนั้นแล้วก็ตรงขึ้นไปบนหอ เอามือผลักประตูออกดู โป๊ยก่ายแลเห็นกระดูกคนกองอยู่เป็นกองใหญ่ก็ตกตะลึงล้มลง น้ำตาก็ร่วงเผาะผอย แลเข้าไปในม่านเห็นแสงไฟอันแจ่มโป๊ยก่ายนึกว่าเห็นจะมีคนเฝ้าจุดธูปเทียน โป๊ยก่ายเดินเข้าไปในม่านก็เห็นมีโต๊ะตั้งอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะนั้นมีเสื้อแพรปักไหมทอง โป๊ยก่ายหยิบขึ้นดูเห็นงามดี ก็เอาเสื้อตัวนั้นเดินออกมาจากหอ ออกมายังประตูชั้นนอกพูดแก่อาจารย์ว่าในนั้นไม่มีคน เป็นที่เขาบูชาคนตาย ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปบนหอพิจารณาดู ก็เห็นมีแต่กระดูกคนเป็นกองใหญ่ บนโต๊ะมีเสื้อปักไหมทองอยู่ตัวหนึ่ง ข้าพเจ้าเอามา พวกเราเดินทางหนาวมากอาจารย์จงเปลื้องจิวรออกเอาเสื้อตัวนี้ใส่ชั้นในอุ่นดีกันหนาวได้
พระถังซัมจั๋งว่า ไม่ควรไม่ควร ในสิกขาห้ามปรามสิ่งของอย่างนี้เราจะถือเอาไม่ได้ จะเป็นโทษ โป๊ยก่ายจงรีบเอาไปวางไว้เสียตามเดิม พวกเรานั่งคอยเห้งเจียมาแล้วจะได้พากันไป โป๊ยก่ายว่าไม่มีคนเห็นจะกลัวอะไร ใครจะมาโจทย์ว่าเราเป็นขโมยได้ พระถังซัมจั๋งพูดว่า ตัวไม่เคยฟังหรือทำการอยู่ในห้องลับก็จริง แต่ยังมีเจ้ารู้แจ้ง อย่ามักได้สิ่งของที่ไม่บริสุทธิ์ โป๊ยก่ายถึงได้ฟังพระอาจารย์ห้ามปรามดังนั้นก็อย่าพึงนึกว่าจะเชื่อฟัง จึงตอบอาจารย์ว่าแม้ท่านไม่ประสงค์ ข้าพเจ้าจะเอาไว้ใส่กันหนาว รอพี่เห้งเจียบิณฑบาตกลับมาแล้วจึงค่อยคืนก็ได้ ซัวเจ๋งพูดว่า ถ้าดังนั้นก็ให้ข้าพเจ้าใส่กันหนาวตัวหนึ่ง โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็พากันถอดเครื่องของตัวออกแล้ว จึงเอาเสื้อปักนั้นแบ่งกันไส่คนละตัว ครั้นใส่เสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร กำลังยืนอยู่ดีดีก็หกล้มลง โป้ยก่ายซัวเจ๋งครั้นใส่แล้ว ก็ตรึงมัดมือแลเท้าออกแน่นจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่หลุดไม่ออก พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบมาถอดเสื้อให้โป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ก็ถอดไม่ออกบัดเดี๋ยวก็จับมืองอติดกับอก พระถังซัมจั๋งจึงบ่นว่าคนทั้งสองไม่เชื่อฟัง โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ร้องอึกกะทึงเสียงดัง
ปิศาจครั้นได้ยินเสียงร้อง ก็วิ่งออกมามองดูเห็นทั้งสองต้องมัดอยู่แล้ว จึงเรียกปีศาจน้อยให้ออกไปเก็บตึกรามห้องหอเหล่านั้น แลจับถังซัมจั๋งกับม้าและโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเอาเข้ามาในถ้ำ ครั้นแล้วปีศาจใหญ่ก็ขึ้นนั่งบนแท่น เห็นปิศาจน้อยจับถังซัมจั๋งเข้ามาคุกเข่าลงกับพื้น ปีศาจจึงถามว่าตัวเป็นสงฆ์อยู่ที่ไหนมา ทำไมจึงสามารถเวลากลางวันแสก ๆ ลักขโมยเสื้อของเราดังนี้
พระถังซัมจั๋งร้องไห้แล้วตอบว่า อาตมภาพอยู่เมืองใต้ถัง มีรับสั่งให้อาตมภาพไปอาราธนาพระธรรมยังเมืองไซที เพราะอาตมภาพมีความหิวโหย จึงให้สานุศิษย์ใหญ่ไปบิณฑบาตก็ยังหากลับมาไม่ อาตมภาพก็ไม่เชื่อฟังเธอสั่ง จึงเดินมาถึงที่นี่แอบลมหนาว ก็บังเอิญเจ้าทั้งสองคนนั้นมีความมักได้ เอาเสื้อออกมาใส่กันหนาว จึงต้องถึงให้ใต้อ๋องจับมา ขอใต้อ๋องได้กรุณาปล่อยอาตมภาพไปอาราธนาพระธรรม พระเดชพระคุณของใต้อ๋องจะอยู่แก่ข้าพเจ้าชั่วพระจันทร์ พระอาทิตย์ไม่มีเวลาลืม ปีศาจได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า เราอยู่ตำบลนี้ได้ยินข่าวเล่าลือกันเนือง ๆ ว่า ถ้าผู้ใดได้กินเนื้อถังซัมจั๋งก้อนหนึ่ง ผมขาวกลับดำ ฟันหักกลับงอก วันนี้ไม่เชิญก็มาเอง ยังจะหมายให้เราปล่อยอีกหรือ ที่ว่าสานุศิษย์ใหญ่นั้นชื่อเรียงเสียงไรไปบิณฑบาตตำบลไหน
โป๊ยก่ายได้ฟังปีศาจถามดังนั้น ก็พูดอวดแก่ปีศาจว่า พี่ข้าพเจ้าคือเมื่อห้าร้อยปีก่อนนั้น ได้ขึ้นไปบนสวรรค์ทำสงครามแก่เทพบุตรนามเรียกว่าซีเทียนใต้เซีย หรือซึงหงอคงก็เรียก ปีศาจได้ฟังดังนั้นก็ครั่นคร้าม จึงคิดในใจว่า เราเคยได้ยินเลื่องลือชื่อเสียงว่าเธอมีฤทธากล้าหาญมาก บัดนี้ไม่ได้นัดบังเอิญมาปะกันเข้า คิดดังนั้นแล้วจึงสั่งพวกปีศาจให้มัดถังซัมจั๋งไปขังไว้ก่อน และจับอ้ายทั้งสองนั้นถอดเสื้อออกเสียก่อน แล้วมัดเอาไปขังไว้แห่งเดียวกัน คอยจับอ้ายคนใหญ่มาแล้ว จึงค่อยสระล้างกินทีเดียว พวกปีศาจได้ฟังนายสั่งดังนั้น ก็พากันไปทำตามสั่งทุกประการ
ฝ่ายเห้งเจียครั้นได้ข้าวเต็มบาตรแล้ว ก็เหาะกลับมายังที่อาจารย์นั่งแล้วก็ลดลงยังพื้นราบ แลไปก็มิได้เห็นพระอาจารย์กับโป๊ยก่ายและซัวเจ๋งทั้งม้าก็หายไปด้วย เห็นแต่วงที่เขียนไว้นั้นยังอยู่ จึงหันมองไปทางที่มีตึกห้องหอก็สูญหายไปหมดสิ้น เห็นแต่โขดเขาหินผาทั้งนั้น เห้งเจียพูดว่าเห็นจะพากันไปโดนที่ร้ายเข้าแล้ว คิดเห็นดังนั้นแล้วก็รีบเดินตามทางรอยท้าวม้านั้นไป เดินไปพักหนึ่งโดยกำลังระเหระหน ก็ได้ยินเสียงคนพูดกันที่ในโขดเขา เห้งเจียแลไปเห็นตาเฒ่าคนหนึ่งมือถือตะบองศรีษะมังกร มีเด็กเดินตามหลังตาเฒ่ามาคนหนึ่ง ทั้งเดินทั้งร้องเพลงข้ามโขดเขามา เห้งเจียเห็นดังนั้น ก็วางบาตรลงแล้ววิ่งไปสกัดหน้าปราศรัยถาม ตาเฒ่าแลเห็นก็คำนับตอบแล้วถามว่าท่านจะไปข้างไหน
เห้งเจียตอบว่า พวกข้าพเจ้าทั้งอาจารย์และศิษย์มาจากเมืองใต้ถัง มาด้วยกันสี่คน ส่วนตัวข้าพเจ้ามีกิจไปบิณฑบาต ข้าพเจ้าสั่งให้คอยอยู่ที่พื้นราบริมโขดเขาทั้งสามคน ครั้นข้าพเจ้ากลับมาก็ไม่เห็นทั้งสามคนและม้า ไม่ทราบว่าจะพากันไปทางใด ขอถามท่านตาเดินมาได้เห็นบ้างหรือไม่ ตาเฒ่าได้ยินถามดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าพึ่งเดินมาเห็นคนทั้งสามเดินหลงพากันเข้าไปในปากปรศาจยักษ์เสียแล้ว เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ขอท่านตาได้กรุณาโปรดชี้ที่ทางได้ข้าพเจ้าด้วยเถิด คือปีศาจยักษ์ร้ายนั้นอยู่ที่ไหน ข้าพเจ้าจะได้ไปทวงถาม ตาเฒ่าตอบว่า อันนามภูเขานี้เรียกว่า (กิมเต๊าซัว) ข้างหน้าเขามีสำนักถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง ถ้ำนั้นเรียกว่าถ้ำกิมเต๊าต๋อง มีปีศาจตนหนึ่งนามว่า ต๊อกกั๊กจูใต้อ๋องมีอำนาจฤทธิ์เดชกล้าหาญ คนทั้งสามเข้าไปก็จะสูญชีวิตเสียแล้ว ท่านจะไปตามเห็นจะกินท่านเสียอีกคนกระมัง
เห้งเจียพูดว่าขอท่านได้ช่วยชี้ให้เถิด อันจะเป็นตายประการใดจงยกไว้ ข้าพเจ้าจะนิ่งอยู่ที่ไหนได้ เห้งเจียจะใคร่เอาเข้าในบาตรให้ตาเฒ่า จะได้ถือแต่บาตรเปล่าไป ตาเฒ่าเห็นดังนั้นก็วางไม้เท้าลง แปลงรูปกลับเป็นรูปเดิม คือ พระภูมิ ก็คุกเข่าลงกับพื้นคำนับแล้วพูดว่า ใต้เซียข้าพเจ้าไม่อาจจะปิดบังท่าน ข้าพเจ้าคือภูมิเจ้าเขานี้ ข้าพเจ้าคอยถ้ารับใต้เซียอยู่ที่นี่ บาตรข้าวนั้นข้าพเจ้าจะรับไว้ ใต้เซียจะได้เบาตัวไปแก้อาจารย์ออกแล้ว จึงค่อยเอาข้าวในบาตรนี้ไปถวายให้พระอาจารย์ฉัน เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ตวาดว่า อีตาคนนี้จะหาเหตุให้เฆี่ยนหรืออย่างไร ก็เมื่อรู้ว่าเรามาแล้ว ทำไมจึงไม่มาคอยรับก่อนทำซ่อนหัวซ่อนหางดังนี้ ภูมิ เจ้าที่พูดว่าใต้เซียใจร้อนข้าพเจ้ามีความเกรงกลัว เพราะฉะนั้นจึงแปลงรูปเสีย มาบอกให้ใต้เซียรู้ก่อน
เห้งเจียพูดว่าถ้ากระนั้นจงรักษาบาตรไว้ คอยเราจะไปปราบปีศาจแล้วจึงจะกลับมา ภูมิ เจ้าที่ก็รับบาตรไว้ เห้งเจียจึงผูกรัดแต่งตัวแล้ว มือถือตะบองเหล็กเดินลัดไปทางหน้าเขา เดินไปเห็นแต่หินโขดเกะกะ เห้งเจียไปยังประตู แลไปก็เห็นมีประตูหิน นอกประตูมีพวกปีศาจบริวาร เต้นรำฝึกหัดซักซ้อมเพลงอาวุธ หอก ดาบ แหลนหลาวกำลังชุลมุลกันอยู่ เห้งเจียก็เดินตรงเข้าไปร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายพวกเหล่านี้จงรีบไปบอกแก่นายมึงว่า กูเป็นสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋ง คือซีเทียนใต้เซียหงอคง ให้รีบเอาอาจารย์เรามาส่งเสียโดยเร็ว พวกเจ้าจะได้รอดชีวิต พวกปีศาจบริวารได้ยินดังนั้น ก็รีบวิ่งเข้าไปบอกแก่นายโดยเร็ว
ฝ่ายปิศาจเมื่อได้ยินดังนั้น ก็มีความยินดีแล้วพูดว่า เราเองก็อยากให้เธอมา ตัวเราตั้งแต่จากวิมานก็ยังไม่เคยได้ลองฝีมือแก่ใครเลย วันนี้เธอมาก็ดีแล้ว จึงเรียกให้เอาทวนทองแดงมา พวกบริวารก็ไปแบกเอาทวนมาวางไว้ให้ แล้วสั่งพวกบริวารให้ยกออกนอกประตู ปีศาจเดินนำหน้าถือทวนออกไป พวกบริวารก็พร้อมกันตามหลังออกมา ปีศาจครั้นเห็นเห้งเจียแล้ว จึงร้องถามว่า อ้ายคนไหนชือหงอคง เห้งเจียเดินขยับเข้ามาแล้วตอบว่า อ้ายหลานน้อยตาอยู่นี่ เจ้าจงรีบส่งท่านอาจารย์มาโดยเร็ว ทั้งสองฝ่ายจะได้ไม่เจ็บช้ำ แม้ผิดครึ่งคำไม่ถูกธรรมเนียม จะให้ตายไม่มีที่ฝังศพ ปิศาจร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า มึงชั่งตับใหญ่อ้ายลิงจะมีฝีมือสักเพียงใดมึงจึงสามารถมาพูดจาอวดอ้างอย่างนี้ อาจารย์ของเจ้าขโมยเสื้อของเราไปใส่ บัดนี้เราจับได้จะใคร่เอาต้มกิน แม้ว่าเจ้ามีฝีมือจงมาลองดูแก่เรา แม้ว่าเราแพ้เราจะปล่อยอาจารย์ของเจ้าไป หากไม่ชนะพวกของเจ้าก็ต้องสิ้นชีวิต
เห้งเจียได้ฟังปิศาจพูดดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ชะ ช่ะ อ้ายปีศาจเขาทิ้ง เอ็งไม่ต้องพูดจงมาลองกินตะบองดูสักทีหนึ่งหรือ จะได้รู้รสชาติว่าเป็นประการใด เห้งเจียยกกระบองตีลงไป ปีศาจยกทวนขึ้นรับ ต่างมีกำลังเข้มแขงทั้งสองฝ่าย ตลบแตลงรบรับกันไปมาได้สามสิบเพลง ยังไม่แพ้ชนะกัน ปีศาจเห็นเห้งเจียชำนาญในการตะบองคล่องแคล่ว รวดเร็ว ว่องไว จะคิดหักไม่ลง จึงทำเป็นหัวเราะแล้วพูดสรรเสริญว่า อ้ายลิงนี้ดีจริงอาจทำสงครามบนสวรรค์ได้ ปีศาจจึงเอาด้ามทวนลงบนพื้น แล้วร้องให้บริวารเข้าระดมตี พวกปีศาจทั้งหลายก็พากันกุมอาวุธเข้าล้อมเห้งเจีย ๆ ก็มิได้หวาดหวั่น เห้งเจียเอาตะบองขว้างขึ้นไปบนอากาศ ร้องให้แปลงตะบองก็บังเกิดขึ้นเต็มอากาศตกลงมาดังห่าฝน ปีศาจน้อยเห็นดังนั้นต่างก็ตกใจขวัญหาย พากันวิ่งกลับเข้าไปในถ้ำ
ปีศาจใหญ่เห็นดังนั้นก็ทำเป็นหัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายลิงอย่ากำเริบให้เกินไป เองจงคอยดูของเราบ้างว่าจะเป็นประการใดจึงล้วงในมือเสื้อเอาของวิเศษสิ่งหนึ่งออกมา มีสันฐานเป็นรูปวงกลมขว้างขึ้นไปบนอากาศ ร้องให้คล้องก็คล้องเอาตะบองของเห้งเจียไปเสียได้ เห้งเจียไม่มีอาวุธก็รีบหนีไป ฝ่ายปีศาจมีชัยชนะดังนั้นก็ยกกลับเข้าถ้ำมีความรื่นเริงโดยเหตุที่ได้ชัยชนะนั้น
(บทที่ ๕๑)
ฝ่ายเห้งเจียเวลานั้น รบกับต๊อกกั๊กปีศาจ ธานฤทธิ์ต๊อกกั๊กปีศาจนั้น ไม่ไหว ทั้งเสียตะบองเหล็กไปด้วย เห้งเจียสิ้นอาวุธก็ล่าหนีแอบข้างหลังเขากิมเง่ซัวนั่งร้องไห้คร่ำครวญ ถึงอาจารย์ว่าเพระเหตุร้อนใจกับท่านปราถนาจะให้สำเร็จมักผล จึงได้อุตสาหะมิได้คิดแก่ชีวิต มาบัดนี้ก็สิ้นอาวุธเสียแล้ว จะทำประการใดจึงจะแก้อาจารย์ออกมาได้เล่า เห้งเจียนั่งคร่ำครวญอยู่แต่ผู้เดียวแล้วนึกขึ้นมาได้ว่า อ้ายปีศาจร้ายนี้ มันพูดว่าจำเราได้เมื่ออยู่บนสวรรค์ ชะรอยจะเป็นดาวร้ายบนสวรรค์จุติลงมาเป็นแน่ จำเราจะขึ้นไปตรวจดูจึงจะดี คิดดังนั้นแล้วก็เหาะขึ้นไปยังชั้นดาวดึงส์ เข้าไปข้างในปราสาทเล่งเซียวเต้ยแลเห็นเทพยดาองค์ใหญ่ คือหลินก๊าดเซียนกง หนึ่ง เค้าเซียงเอี้ยง หนึ่ง กูวั่งเจ่ หนึ่ง และซีใต้เซียนก็อยู่พร้อมกันยังหน้าปราสาทแลเห็นเห้งเจียเดินเข้ามา ก็พร้อมกันมาคำนับรับกัน เห้งเจียยกมือขึ้นคำนับตอบแล้วหมู่เทพยดาผู้ใหญ่จึงถามเห้งเจียว่า ท่านใต้เซียมามีกิจธุระสิ่งใดหรือ
เห้งเจียตอบว่า ข้าพเจ้ามีธุระสำคัญจึงต้องขึ้นมา ขอท่านใต้เซียนโปรดนำความกราบทูลด้วย ซีใต้เซียนซือได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงนำเห้งเจียเข้าเฝ้า เห้งเจียตามใต้เซียนเข้าไปแลเห็นเง็กเซียงฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์แล้ว ก็ย่อตัวลงทำความเคารพแล้ว จึงทูลว่าขอพระองค์ได้ทราบ ซึ่งข้าพเจ้าป้องกันรักษาพระถังซัมจั๋งไปไซที หนทางก็กันดารไกลมากความร้ายก็มากกว่าความดี แต่กระนั้นก็ไม่ต้องพรรณา มาบัดนี้พวกข้าพเจ้าเดินทางมาพบปีศาจร้ายออกสกัด จับเอาพระถังซัมจั๋งไปซ่อนไว้ในถ้ำ ข้าพเจ้าเที่ยวค้นหามาถึงยังประตูถ้ำ ปีศาจร้ายออกต่อสู้รบกัน มันมีฤทธานุภาพมาก เรียกเอาตะบองเหล็กของข้าพเจ้าไปได้และปีศาจนั้นพูดว่าจำข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้ามีความสงสัยว่าจะเป็นหมู่ดาวบนสวรรค์จุติลงไป เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมากราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ ขอพระองค์ให้ผู้รักษาการตรวจดู จะเป็นดาวร้ายดวงใดลงไปแน่ ขอให้ยกพลเทพยดาลงไปกำจัดเสียให้สิ้นสัตว์บาป ข้าพเจ้าจะมีความขอบพระคุณหาที่เปรียบมิได้
ขณะที่เห้งเจียกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้อยู่นั้น มีเทพยดาก๊าดเซียนกงอยู่ที่นั่น จึงถามเห้งเจียว่า แต่ก่อน ๆ นั้นดูแข็งแรงทำไมบัดนี้จึงทำอ่อนน้อมเล่า เห้งเจียตอบว่าบัดนี้สิ้นอาวุธแล้วจะแข็งแรงไปอย่างไรได้เล่า เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังเห้งเจียกราบทูลร้องทุกข์ดังนั้น จึงรับสั่งให้เทพบุตรทั้งสองคือกัวหั้นซี หนึ่ง ตีเต๋า หนึ่ง ให้ออกไปตรวจดูให้รอบในชั้นดาวดึงส์ว่า จะมีดาวดวงใดจุติลงไปบ้าง เทพบุตรทั้งสองได้ฟังรับสั่งดังนั้นก็ถวายบังคมลารีบออกไปตรวจรอบทั้งนอกในชั้นดาวดึงส์ก็ไม่มีขาด ดาวประจำก็อยู่คงที่ทุก ๆ ดวง เทพบุตรทั้งสองก็กลับมาเฝ้ากราบทูลว่า ข้าพเจ้าทั้งสองได้ไปตรวจตามรับสั่งโดยละเอียด ก็ไม่มีดาวดวงใดขาดคงพร้อมอยู่ตามหน้าที่ทุก ๆ ดาว ขอพระองค์ได้ทรงทราบ เง็กเซียงฮ่องเต้ ได้ทรงฟังกัวหั้นซี ตีเต๋าเทพบุตรกราบทูลดังนั้น จึงตรัสแก่เห้งเจียว่าถ้ากระนั้นก็ให้เห้งเจียเลือกดูทหารเอกที่มีฝีมือเข้มแข็งคุมพลเทพบุตรลงไป กำจัดจับปีศาจร้ายเสียให้ได้
ฝ่ายซีใต้เทียนซือเทพบุตร เมื่อได้ฟังเง็กเซียงฮ่องเต้รับสั่งดังนั้นจึงออกมาจากปราสาทเล่งเซียวเต้ย บอกแก่เห้งเจียให้ทราบตามรับสั่ง เห้งเจียจึงพูดขึ้นว่า อันทหารเทพบุตรนั้นเดิมข้าพเจ้าขึ้นมารบ ก็ไม่เห็นเทวดาองค์ใดจะดีกว่าข้าพเจ้า ส่วนปีศาจมีฝีมือเข้มแข็งทั้งฤทธิ์เดชก็มากที่ไหนจะเอาชัยชนะได้ เทพบุตรเค้าเซียงเอี้ยงพูดแก่เห้งเจียว่าอันเวลาการนั้นผิดกัน มีรับสั่งมาดังนี้แล้วไม่ควรขัดขืน ตามแต่พอใจของท่านจะเลือกเอา ควรท่านผู้ใดจะต่อสู้ได้จะได้ยกลงไปช่วยปราบปราม เห้งเจียพูดว่า ถ้าดังนั้นท่านช่วยโปรดกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ทรงทราบว่า ข้าพเจ้าจะขอท่านถักทะลีทีอ๋องและโลเฉียท้ายจื๊อ เพราะเธอมีอาวุธหกอย่างอาจปราบปีศาจยักษ์มารได้ ท่านทั้งสองนี้ยกพลลงไปบางทีจะจับปีศาจได้
เทียนซือเทพบุตรได้ฟังดังนั้น ก็นำความเข้าไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ๆ ได้ทรงฟังดังนั้น จึงรับสั่งให้ถักทะลีทีอ๋องกับโลเฉียท้ายจื้อคุมพลเทพบุตรลงไปช่วยเห้งเจีย ถักทะลีทีอ๋องครั้นได้ฟังรับสั่งดังนั้น ก็คำนับลาออกมาจัดแจงเกณฑ์พลพร้อมกับเห้งเจีย ๆ จึงบอกแก่เทียนซือว่า ข้าพเจ้ายังมีธุระอีกอย่างหนึ่ง อยากจะได้พวกรามสูรไปช่วย ถ้าเวลารบกันจะให้รามสูรคอยอยู่บนอากาศผ่าลงศรีษะปีศาจให้ตายอย่างนี้จึงดี เทียนซือได้ฟังดังนั้นก็กลับเข้าไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ๆ จึงมีรับสั่งให้บอกรามสูรยกมาสมทบ ครั้นพร้อมเสร็จแล้วก็พากันยกออกจากประตูน่ำทีหมึง ถักทะลีทีอ๋องก็ขับพลมายังเขากิมเง่ซัวรอทัพอยู่บนอากาศ
เห้งเจียพูดว่า ท่านทั้งหลายคิดดูว่าท่านผู้ใดจะเข้าไปต่อสู้ก่อน ถักทะลีทีอ๋องพูดว่า จะต้องให้โลเฉียบุตรข้าพเจ้าเข้าไปรบก่อน เพราะเธอมีอาวุธวิเศษสำหรับปราบปีศาจ จะต้องให้เธอออกก่อน เห้งเจียว่าถ้ากระนั้น ข้าพเจ้าจะนำท้ายจื๊อไปร้องท้าทายให้มันออกรบ โลเฉียก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้วพร้อมกับเห้งเจียเดินมาหน้าถ้ำ แลไปก็เห็นปิดประตูไว้แน่นหนา เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายปีศาจร้ายมึงจงรีบเปิดประตูส่งอาจารย์ของกูออกมาโดยเร็ว ฝ่ายพวกปีศาจที่เฝ้าประตูได้เห็นดังนั้น จึงรีบเข้าไปบอกนายว่า บัดนี้เห้งเจียพาเด็กหนุ่มที่ไหนมาท้าชวนรบอยู่หน้าประตูถ้ำขอใต้อ๋องได้ทราบ
ปีศาจต๊อกกั๊กได้ทราบดังนั้น ก็จับทวนรีบเดินออกมาดู แลไปเห็นหนุ่มน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ รูปร่างสง่างาม ปีศาจก็หัวเราะแล้วพูดว่า นี่เจ้าเป็นบุตรของถักทะลีทีอ๋องคือโลเฉียหรือ เหตุใดจึงมายังหน้าประตูถ้ำของเราแล้วยังทำฮึกฮักดังนี้ โลเฉียพูดว่าเพราะมึงอ้ายมารร้ายคิดทำลายพระถังซัมจั๋ง มีรับสั่งเง็กเซียงฮ่องเต้ให้เรามาจับตัวเจ้า ๆ ยังไม่รู้สึกหรือ
ต๊อกกั๊กได้ฟังดังนั้นก็โกรธพูดว่า นี่เจ้าเห็นจะเป็นเห้งเจียไปเชิญมาหรือ เราคือเป็นตัวมารของพระถังซัมจั๋งเจ้าจงเร่งรู้เถิด จงคิดดูให้ดีเจ้าเป็นทารกเด็กเล็กน้อยจะมีฝีมือสักเพียงไร ต๊อกกั๊กพูดดังนั้นแล้วก็ยกทวนแทงโลเฉีย โลเฉียก็เอาเกี่ยมวิเศษขึ้นรับไว้ ต่างต่อสู้กันไปมาโดยสามารถ เห้งเจียเห็นดังนั้น จึงเรียกพวกรามสูร ๆ ก็ขึ้นบนอากาศคอยได้ถ้าก็จะผ่าปีศาจ เห็นโลเฉียกำลังแผลงฤทธิ์แปลงเป็นสามเศียรหกกรมือถืออาวุธหกอย่าง เข้าโจมตีปีศาจอยู่ ฝ่ายปีศาจเห็นดังนั้น ก็แปลงเป็นสามเศียรหกกร มือถือทวนหกเล่มยกขึ้น รับ โลเฉียก็สำแดงวิธีอาวุธหกอย่าง คอเกี่ยม หนึ่ง ดาบหนึ่ง เชือกวิเศษหนึ่ง ตะบองวิเศษหนึ่ง จักรไฟหนึ่ง ตะกร้อวิเศษหนึ่ง ของหกอย่างนี้อาจปราบปีศาจยักษ์ร้ายได้ โลเฉียร้องด้วยเสียงอันดังว่าให้แปลง ของวิเศษหกอย่างก็แปลงออกตั้งหมื่นแสนดุจเม็ดฝนตกลงมาจากอากาศฟาดฟันปีศาจยักษ์ ปีศาจต๊อกกั๊กแลเห็นดังนั้น ก็มิได้มีความสะดุ้งหวาดหวั่น จึงชักห่วงวิเศษออกขว้างไปบนอากาศร้องว่าเก็บ ของวิเศษห่วงนั้นก็เก็บของวิเศษเหล่านั้นเข้ามาได้ทั้งสิ้น ต๊อกกั๊กก็เรียกห่วงกลับคืน โลเฉียเห็นดังนั้นก็ตกใจล่าหนีกลับมายังที่ ฝ่ายปีศาจได้ชัยชนะก็กลับไปยังถ้ำ
ฝ่ายเทพบุตรรามสูรทั้งสอง เห็นโลเฉียล่าหนีกลับมาก็มาบอกว่า เห็นท่านแผลงฤทธิ์แผ่อำนาจอยู่ ข้าพเจ้าทั้งสองไม่อาจขว้างขวานลงไป บัดนี้ปีศาจมันเอาของวิเศษไปหมดแล้ว ท่านจะคิดประการใดต่อไป เห็นจะต้อง กลับไปหาท่านแม่ทัพก่อน พูดกันดังนั้นแล้วก็พร้อมกันทั้งโลเฉียมมาหาถักทะลีทีอ๋อง บอกว่าปีศาจนั้นมันมีอิทธิฤทธิ์มากจะเอาชัยชนะมันมิได้
เห้งเจียว่า มันมีอานุภาพร้ายแรงที่ห่วงไม่รู้ว่าห่วงนั้นเป็นของวิเศษอย่างไร มันโยนขึ้นก็รวบเอาของๆ เราไว้ได้ทั้งสิ้น ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังดังนั้น จึงพูดว่าถ้ากระนั้นจะทำอย่างไรจึงจะปราบได้ เห้งเจียว่าตามแต่ท่านทั้งหลายจะคิดอ่านเหตุสำคัญที่ห่วง แม้ว่าสิ่งใดมันเรียกเอาไปไม่ได้แล้ว ก็คงจะจับตัวมันได้ ถักทะลีทีอ๋องพูดว่า สิ่งที่มันจะเรียกไปไม่ได้ก็มีอยู่แต่ไฟกับน้ำ ด้วยคำโบราณท่านย่อมว่าไฟกับน้ำไม่มีวิญญาณ เห้งเจียพูดว่า ท่านคิดดังนั้นเห็นจะถูกต้องท่านคอยอยู่ที่นี่ข้าพเจ้าจะรีบไปบนสวรรค์ ไปเชิญพระเพลิงมาช่วยปล่อยไฟให้เผาปีศาจยักษ์ บางทีจะพลอยเผาถุงนั้นได้ด้วย ลองดูอีกสักครั้งหนึ่งบางทีจะเอาของวิเศษของเรากลับคืนได้ ท่านทั้งหลายก็จะได้พากันกลับไปสวรรค์ และจะได้แก้พระอาจารย์ให้พ้นภัยได้
โลเฉียได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีแล้วพูดว่า ถ้ากระนั้นท่านใต้เซียจงรีบไปรีบมา เห้งเจียก็เหาะขึ้นมาบนอากาศไปยังประตูสวรรค์น่ำทีหมึง ครั้นถึงก็เดินตัดไปยังตำหนักแพฮวยเกง ครั้นถึงหน้าตำหนักพระเพลิง (ฮ้วยเต๊กแชกุน) แลเห็นเห้งเจียมาก็จัดแจงแต่งตัวออกมารับคำนับ พระเพลิงจึงพูดว่า เมื่อวานนี้ท่านกัวหั้นซีมาตรวจถึงตำหนักนี้ก็ไม่มีผู้ใดจุติลงไป เห้งเจียพูดว่า ข้าพเจ้าทราบแล้ว บัดนี้ท่านถักทะลีทีอ๋อง กับบุตรชายโลเฉีย ยกพลเทพยดาลงไปก็ปราชัยพ่ายแพ้ เสียของวิเศษปีศาจเก็บเอาไปหมดสิ้น เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงต้องมาเชิญท่านให้ลงไปช่วย เพราะปีศาจมันมีห่วงวิเศษอาจเรียกของอื่น ๆ ไปได้ทั้งสิ้น ก็หารู้ว่าจะเป็นของวิเศษอะไรไม่ ท่านถักทะลีทีอ๋องเห็นว่าไฟเป็นของเผาสิ่งอื่น ๆ ได้ แต่ที่เรียกไปนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านแชกุนลงไปปล่อยไฟเผาปีศาจยักษ์เสียให้สิ้น จะได้ช่วยพระอาจารย์ข้าพเจ้าออกให้พ้นภัย
พระเพลิง ครั้นได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็รีบจัดพวกบริวารไฟพร้อมด้วยเห้งเจียออกจากประตูน่ำทีหมึง เหาะลงมายังเขากิมเง่ซัวครั้นถึงก็มาพบแก่ท่านแม่ทัพถักทะลีทีอ๋อง แลโลเฉียรามสูรต่างก็คำนับกันแล้ว ถักทะลีทีอ๋องบอกแก่เห้งเจียว่าให้ไปท้าชวนรบล่อปีศาจออกมา ข้าพเจ้าจะเข้ารบดูก่อน แม้ได้ทีก็ให้ฮ้วยเต๊กแชกุนปล่อยไฟออกเผามัน เห้งเจียก็ไปยังประตูถ้ำร้องท้าด้วยเสียงอันดัง ปีศาจต๊อกกั๊กได้ยินก็พาพวกบริวารถืออาวุธออกมา เห็นเห้งเจียก็ด่าว่าอ้ายชาติลิง มึงไปหากองทัพที่ไหนมาอีกหรือ
ถักทะลีทีอ๋องร้องตวาดว่าอ้ายพวกมารร้าย มึงจำกูไมได้หรือต๊อกกั๊กปีศาจได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ท่านถักทะลีทีอ๋องจะแก้แค้นให้บุตรชายหรือ แลจะใคร่ได้เอาอาวุธวิเศษคืนดอกกระมัง ถักทะลีทีอ๋องตอบว่า ข้อหนึ่งเราจะแก้แค้นเอาของวิเศษคืน ข้อสองเราจะจับตัวเจ้าแก้พระถังซัมจั๋งออก ว่าแล้วก็ยกง้าวขึ้นฟัน ปีศาจต๊อกกั๊กก็ยกทวนขึ้นรับ รบกันด้วยกำลังอันเข้มแข็ง ต่อสู้กันอยู่ที่หน้าถ้ำ เห้งเจียจึงร้องให้ ฮ้วยเต๊กแชกุนปล่อยไฟพวกพระเพลิงก็จัดไฟพร้อมกัน ฝ่ายถักทะลีทีอ๋อง กำลังรบเห็นปีศาจชักถุงออก ถักทะลีทีอ๋องถอยกระโดดหนี พวกอัคคีอยู่บนยอดภูเขาสูงก็ปล่อยไฟลงมาเผาปีศาจ ต๊อกกั๊กปีศาจแลเห็นไฟลุกโหมมาก็มิได้มีความหวั่นหวาด มือก็หยิบเอาถุงขว้างไปบนอากาศเสียงเปรี้ยง ไฟต่าง ๆ เหล่านั้นถุงก็หอบเอาไปทั้งสิ้น ปีศาจมีชัยชนะแล้วก็กลับเข้าไปยังถ้ำ
ฝ่ายฮวยเต๊กแชกุนเมื่อปล่อยไฟไปก็หาทำอะไรแก่ปีศาจได้ไม่ จึงพาพวกพ้องบริวารกลับมาพร้อมกันอยู่ที่ยอดเขากิมเง่ซัว ถักทะลีทีอ๋องจึงพูดแก่เห้งเจียว่า บัดนี้เราก็เสียทีมันรวบเอาไฟไปได้แล้วเราจะทำประการใดดี เห้งเจียพูดว่าจะมาคร่ำครวญวิตกทำไม เสียไฟไปแล้วก็จะต้องเอาน้ำมาทำลายให้จงได้ ท่านทั้งหลายจงพักคอยข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ก่อน ข้าพเจ้าจะไปเชิญจุ๊ยเต๊กแชกุนมาทำน้ำท่วมมันจึงจะเอาชัยชนะได้ สิ่งของนี้เราเสียคงจะได้คืน ว่าแล้วเห้งเจียก็เหาะขึ้นบนเวหาตรงไปยังประตูสวรรค์ปักทีหมึงทิศอุดร เข้าไปในตำหนักเจี๊ยวห้าวเกง
ฝ่ายจุ๊ยเต๊กแชกุนเห็นเห้งเจียเดินเข้ามา ก็ออกไปเชิญเข้ามาข้างในนั่งที่อันสมควรแล้ว จุ๊ยเต๊กแชกุนพูดว่าวันก่อนท่าน กวหั้นซีมาตรวจวิตกในพวกข้าพเจ้านี้ว่าจะจุติลงไปบ้าง ท่านมิได้ไปตรวจในท้องพระมหาสมุทร จะเป็นปีศาจยักษ์ร้ายอะไรที่ไหน เห้งเจียพูดว่าอันปีศาจนั้นก็หาใช่อยู่ในท้องพระมหาสมุทรไม่ ข้าพเจ้าได้ไปเชิญฮ้วยเต๊กแชกุนลงไปช่วยปล่อยไฟเผามัน มันก็เอาถุงขว้างขึ้นเรียกไฟเข้าถุงไปสิ้น ข้าพเจ้าคิดว่าของสิ่งที่ไม่กลัวไฟคงจะแพ้น้ำ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้ามาเชิญท่านลงไปปล่อยน้ำท่วมปีศาจให้ตาย ช่วยอาจารย์ข้าพเจ้าออกให้พ้นภัย จุ๊ยเต๊กแชกุนได้ฟังดังนั้นก็รีบรวมบริวารน้ำพร้อมเสร็จแล้ว ก็ออกจากตำหนักพร้อมด้วยเห้งเจียเหาะไปยังเขากิมเง่ซัว เห้งเจียถามจุ๊ยเต๊กแชกุนว่าท่านจะเอาอะไรใส่น้ำ จุ๊ยเต๊กแชกุนจึงล้วงเอาขวดเล็กออกจากมือเสื้อขวดหนึ่ง แล้วบอกว่านี่แลข้าพเจ้าใส่น้ำ
เห้งเจียถามว่าขวดเล็ก ๆ เท่านี้จะใส่น้ำได้สักเท่าใด จุ๊ยเต๊กแชกุนตอบว่าน้ำในลำแม่น้ำอึงฮ้อนั้นจะใส่ครึ่งลำแม่น้ำ ถ้าเต็มขวดก็หมดทั้งแม่น้ำ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ดีใจพูดว่าครึ่งขวดก็ดีแล้ว ฝ่ายจุ๊ยเต๊กแชกุนออกจากสวรรค์ ก็เอาขวดวิเศษตักน้ำในลำแม่น้ำอึงฮ้อครึ่งขวดแล้วก็ตามเห้งเจียมา ครั้นถึงเขากิมเง่ซัวก็เข้าคำนับถักทะลีทีอ๋องหมู่เทพยดา ก็เล่าการที่รบสู้ให้จุ๊ยเต๊กแชกุนฟังทุกประการ เห้งเจียพูดว่าอย่าพูดให้ช้าไป ขอท่านได้ตามข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าจะเรียกพวกปีศาจให้เปิดประตูท่านไม่ต้องรอให้มันออก แม้เห็นมันเปิดประตูจงเทน้ำกรอกเข้าไปในถ้ำให้ท่วมทั้งถ้ำ มันตายหมดแล้วข้าพเจ้าจะได้รับอาจารย์ออกต่อภายหลัง จุ๊ยเต๊กแชกุนกับเห้งเจียก็พร้อมกันไปที่หน้าถ้ำเห้งเจียเรียกว่า อ้ายพวกมารร้ายมึงเร่งเปิดประตูออกมา
ต๊อกกั๊กได้ยินดังนั้นก็หยิบถุงวิเศษกระโดดออกมาเปิดประตู จุ๊ยเต๊กแชกุนก็เอาขวดน้ำวิเศษเท กรอกเข้าไปในถ้ำ น้ำก็ไหลอู้เข้าไป ต๊อกกั๊กเห็นดังนั้น ก็เอาถุงส่องตรงสายน้ำ ๆ ก็ไหลย้อนกลับออกไปปากถ้ำ เห้งเจียจุ๊ยเต๊กแชกุนเห็นดังนั้นก็ตกใจกระโดดถอยหนีขึ้นยอดเขา ฝ่ายถักทะลีทีอ๋องกับหมู่เทวดาก็เหาะขึ้นกลางอากาศคอยดูเห็นน้ำไหลเป็นคลื่นละลอกซัดออกฉาดฉาน เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ร้องว่าไม่เป็นการ น้ำท่วมไร่นาชาวบ้านเสียไปหมด ปีศาจก็สบายอยู่ไม่ร้อนใจไม่รู้ที่ว่าจะทำประการใดได้ จึงบอกจุ๊ยเต๊กแชกุนให้เรียกน้ำกลับคืน จุ๊ยเต๊กแชกุนว่าข้าพเจ้าทำได้แต่ปล่อยจะเรียกคืนกลับทำไม่ได้ (คำโบราณว่าน้ำเทแล้วกลับคืนเข้าไม่ได้) อันเขานั้นแม้จะสูงถ้าน้ำท่วมเขาขึ้นเขานั้นก็ต่ำลง สักประเดี๋ยวน้ำก็ไหลลงคลองหมด
แลเห็นที่หน้าถ้ำมีปีศาจกระโดดโลดเต้นตบมือเยาะเย้ย ถักทะลีทีอ๋องพูดว่าน้ำก็ไม่เข้าไปในถ้ำได้เสียเวลาเปล่า ๆ ไม่เป็นผล เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ละอายแก่ใจ กำหมัดวิ่งมาร้องว่าอ้ายมารร้ายมึงอย่าหนีกูกูจะตีมึงให้ตาย ปิศาจบริวารเหล่านั้นก็พากันวิ่งหนีเข้าถ้ำ ไปบอกแก่ต๊อกกั๊กว่าอ้ายลิงมันไล่ตีมาอีกแล้ว ต๊อกกั๊กได้ยินดังนั้นก็ฉวยทวนวิ่งออกมาตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายนี่มึงแพ้หลายครั้งแล้วยังจะเอาชีวิตมาทำลายเสียอีกหรือ เห้งเจียว่าอ้ายลูกน้อยมึงอย่าพูดโอหังมึงจงมากินหมัดตาสักทีหนึ่งเถิด ต๊อกกั๊กได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายลิงมันอุตส่าห์มาต่อสู้ มันมือเปล่ากำหมัดมวยใหญ่เสมอเมล็ดชมพู่ทำไมมันจึงมาอวดเก่ง
พูดดังนั้นแล้วก็ร้องว่าเราจะวางทวนเสียเอามือเปล่า ลองเล่นมวยกับเจ้าสักพักหนึ่งให้เห็นฝีมือ ว่าแล้วก็วางทวน มือก็ถกกางเกงขึ้นผูกเชือกเอวแน่นดีแล้ว ก็ออกท่าตรงเข้ามายกกำหมัดขึ้นดุจลูกตุ้มเหล็ก เห้งเจียก็ขยับท่าคอยระวัง พอได้ทีก็เข้าประจันบานต่างออกกำลังโดยเข้มแขงด้วยกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายถักทะลีทีอ๋องโลเฉียหมู่เทพยดาอยู่บนยอดเขา แลเห็นก็ลงมาจะเข้าช่วยเห้งเจีย ฝ่ายพวกปีศาจต่างก็ถือทวนหอกดาบอาวุธต่าง ๆ เต้นลำโห่ร้องตีกลองม้าฬ่อกึกก้องสนั่นหวั่นไหว พากันเข้าล้อมเห้งเจีย ๆ เห็นไม่ได้ท่าก็ถอนขนออกกำมือหนึ่ง ขว้างไปบนอากาศร้องว่าแปลงก็แปลงเปนลิงน้อยห้าหกสิบตัวกรูกันเข้าล้อมจับต๊อกกั๊กบ้างเข้าจับแข้งจับขากอดบั้นเอวบ้างก็ควักลูกตา
ปีศาจตกใจจึงควักถุงวิเศษออก เห้งเจียถักทะลทีอ๋องกับเทวะดาทั้งหลายเห็นปีศาจชักเอาถุงวิเศษออกก็พากันล่าถอยหนีออกขึ้นภูเขา ปีศาจขว้างถุงวิเศษไปเสียงเปลี้ยงก็รวบเก็บลิงแปลงนั้นเข้าถุงทั้งสิ้น ปีศาจมีชัยชนะแล้วก็พาบริวารเข้าถ้ำปิดประตู ฝ่ายเห้งเจียถักทะลีทีอ๋องกับเทวดาทั้งหลายนั่งปรึกษากันว่า อ้ายปีศาจมารร้าย มันมีฤทธิ์ที่ถุงนั้นยากที่จะกำจัดได้ ฮ้วยเต๊กกับจุ๊ยเต๊กพูดว่า ถ้าได้ถุงวิเศษมาแล้วจึงจะปราบลงไปได้ เห้งเจียพูดว่า ทำอย่างไรจึงได้ถุงวิเศษของมันเล่า นอกจากจะขโมยเป็นไม่ได้ เทพบุตรทั้งหลายพูดว่า นอกจากท่านเห้งเจียก็ไม่เห็นใครผู้ใดจะเอาได้ เมื่อครั้งก่อนลักชมพู่ ลักยา ไม่มีผู้ใดเสมอ มาวันนี้จะต้องลักถุงวิเศษ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าท่านทั้งหลายช่างพูด ถ้ากระนั้นรอให้ข้าพเจ้าไปแอบดูลาดเลาก่อนจึงจะดี เห้งเจียพูดแล้วก็กระโดดลงจากเขาเดินมาถึงหน้าถ้ำ ก็แปลงเป็นแมลงวันหัวเขียวตัวน้อยบินเบา ๆ เข้าไปในถ้ำ แลไปก็เห็นหมู่ปีศาจนั่งอยู่ทั้งสองข้าง ปีศาจต๊อกกั๊กใต้อ๋องนั่งอยู่หัวโต๊ะ บนโต๊ะก็ตั้งเรี่ยรายล้วนเนื้อสัตว์ต่าง ๆ เนื้องูเนื้อเสือเนื้อกวาง ปีศาจนั่งกินตามสะบาย
เห้งเจียลงยังพื้นแปลงเป็นตัวเหาน้อย ค่อยคลานเลียบเคียงเข้าข้างโต๊ะสอดนัยน์ตาด้อมมองหา ก็มิได้เห็นถุงวิเศษ ค่อย ๆ คลานเลยไปข้างหลังโต๊ะแลขึ้นไปบนราวก็เห็นแขวนอยู่ มังกรไฟ ม้าไฟและตะบองเหล็ก เห้งเจียแลเห็นแล้วก็อดใจไม่ได้ก็ลืมนึกแปลงรูปเดิมกระโดดขึ้นกระชากตะบองลงมาได้ก็แกว่งกวัดตีขนาบออกมา
(บทที่ ๕๒)
ฝ่ายปีศาจตกใจด้วยไม่ทันรู้ตัว รอรับไม่อยู่เห้งเจียก็ออกมาจากถ้ำได้ ก็เดินขึ้นบนยอดเขา บอกแก่ถักทะลีทีอ๋องและเทวดาทั้งหลายว่า ข้าพเจ้าเอาตะบองมาได้แล้ว ถักทะลีทีอ๋องถามว่าเข้าไปในถ้ำเห็นเป็นอย่างไรบ้างเห้งเจียก็เล่าให้ถักทะลีทีอ๋องฟังทุกประการ ในทันใดนั้นได้ยินเสียงกลองและม้าฬ้อหวั่นไหว แลไปเห็นพวกปีศาจต๊อกกั๊กคุมพวกบริวารไล่ตามเห้งเจีย เห้งเจียแลเห็นก็แกว่งตะบองตรงมาสกัดหน้าร้องถามว่าอ้ายมารร้าย มึงจะไปข้างไหน ปีศาจตอบว่าอ้ายขโมยมึงชั่งไม่มีความอาย กลางวันแสก ๆ ก็มาปล้นเอาของกูมา เห้งเจียด่าว่าอ้ายชาติปีศาจมารร้าย มึงทำเล่ห์กลเอาของกูไป ของสิ่งใดว่าเป็นของมึงที่กูได้เอามา ว่าแล้วเห้งเจียก็ยกตะบองขึ้นตี ปีศาจยกทวนขึ้นรับปัดป้อง ต่อสู้กันประมาณสามชั่วโมงไม่แพ้ไม่ชนะกัน ตะวันก็จวนจะค่ำปีศาจล่าถอยเข้าถ้ำปิดประตู
เห้งเจียก็แบกเอาตะบองกลับมาบอกแก่ถักทะลีทีอ๋องแลเทพยดาว่า ปีศาจถูกฝีมือข้าพเจ้ารบวันนี้มันระอา อ่อนลงมาก ท่านทั้งหลายอย่าเป็นทุกข์ รอข้าพเจ้าจะเข้าไปดูในถ้ำมัน จะค้นหาถุงนั้น แม้ว่าได้ท่วงทีก็จะลักมาการที่จะจับตัวก็คงจะสำเร็จ สิ่งของวิเศษที่มันเอาไปไว้ ก็จะได้กลับคืนมาให้แก่ท่านทั้งหลายกลับไปสวรรค์ โลเฉียจึงห้ามว่าเวลานี้ก็จวนค่ำแล้วพรุ่งนี้จึงค่อยไปเถิด เห้งเจียพูดว่าท้ายจื๊อยังไม่เข้าใจ อันธรรมดาขโมยนั้น กลางวันหาสู้จะถนัดไม่ กลางคืนจึงจะทำได้ตามสบาย พูดดังนั้นแล้วก็หัวเราะเอาตะบองเหน็บซ่อนแล้วก็ลงจากยอดเขาตรงมายังประตูถ้ำ แปลงเป็นตัวเล็นน้อยกระโดดมุดเข้าไปในประตูถ้ำ ไปเกาะจับอยู่ที่ฝาผนังคอยดูลาดเลา แลเห็นตามไฟสว่างไสว
เห้งเจียค่อยพิศดูโดยละเอียด เห็นพวกปีศาจน้อยกำลังเลี้ยงกันอยู่วุ่นวาย ทั้งเหล้าทั้งเนื้อสัตว์กินเล่นตามสบายใจ ประมาณครู่ใหญ่ก็เก็บเลิก ต่างก็จัดหาที่นอน เวลานั้นได้สองยามเศษ เห้งเจียก็ออกจากที่คลานไปข้างชั้นใน ได้ยินเสียงปีศาจต๊อกกั๊กสั่งพวกบริวารให้ผลัดกันคอยระวังระไว จะนอนก็ให้อุตส่าห์ตื่นลุกขึ้นบ้าง บางทีเห้งเจียจะแปลงตัวแอบเข้ามาขโมยของ พวกเจ้าจงเอาระฆังมาสั่นนั่งยาม เห้งเจียเห็นแล้วก็เลยกระโดดคลานเข้าห้องใน เห็นมีเตียงหิน โต๊ะหินมีเครื่องตั้งแต่งเรียงราย และนางไม้ปีศาจเข้าคอยปฏิบัติรักษาต๊อกกั๊กอยู่ เห้งเจียแลไปเห็นต๊อกกั๊กถอดเสื้อถอดเครื่องแต่งตัวออกแล้วขึ้นนอนบนเตียงศิลา ที่แขนสวมห่วงเหล็กดูคล้ายพวงร้อยลูกประคำ ปีศาจก็ไม่ถอดออกจากแขน กลับรูดขึ้นแน่นแล้วก็หลับ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็แปลงเป็นตัวไรน้อย กระโดดขึ้นบนเตียงศิลา มุดแอบอยู่ในผ้าห่มนอน คลานมาใกล้ที่ห่วงวิเศษนั้น คะยิกกัดทีหนึ่ง
ฝ่ายปิศาจพลิกตัวด่าว่าอ้ายพวกเล็ก ๆ มันไม่ปัดกวาดที่นอนทิ้งไว้ให้ตัวอะไรมันติดอยู่กัดกูดังนี้ พูดดังนั้นแล้วก็เอามือรูดห่วงนั้นขึ้นแล้วก็นอนลงอย่างเดิม เห้งเจียก็กลับคลานเข้าที่ห่วงกัดอีกทีหนึ่ง ปีศาจก็นอนนิ่งเฉยไม่ธุระ เห้งเจียเห็นท่าจะขโมยไม่ได้ก็กลับกระโดดลงจากเตียง แปลงกลับเป็นตัวเล็นไปอย่างเดิมคลานออกจากห้องเข้าไปข้างหลัง ก็ได้ยินเสียงมังกรร้องม้าร้องออกอึกกระทึก ประตูชั้นในใส่กุญแจไว้แน่นหนามังกรไฟ ม้าไฟขังอยู่ในนั้น เห้งเจียเห็นดังนั้นก็แปลงกลับเป็นรูปเดิม เดินเข้ามายังหน้าประตู ร่ายคาถาสะเดาะกุญแจหลุดถอนเปิดออกแล้ว เห้งเจียก็เข้าไปในห้องที่ไว้สิ่งของวิเศษไฟส่องแสงสว่างดุจกลางวัน แลเห็นทั่วไปที่แขวนที่พิงอยู่ตามฝาเป็นเครื่องอาวุธต่าง ๆ คือเป็นของโลเฉียและศรไฟ ธนูไฟเป็นของของจุ๊ยเต๊กแชกุนและฮ้วยเต๊กแชกุน
เห้งเจียเห็นแล้วแลไปเห็นมีแท่นศิลาบนนั้นมีถาดตั้งอยู่ถาดหนึ่ง ในนั้นมีขนสักกำมือหนึ่งเห้งเจียเห็นดังนั้นก็ดีใจ หยิบขึ้นเป่าทีหนึ่งร้องให้แปลงก็แปลงเป็นวานรน้อยสี่ห้าสิบ เห้งเจียก็สั่งให้เก็บเอาอาวุธเหล่านั้นไป วานรน้อยก็พากันเก็บเอาไปหมดสิ้น เห้งเจียกระโดดขึ้นหลังมังกรไฟแล้ว ก็ปล่อยไฟตั้งแต่ในถ้ำตลอดออกมาจนปากถ้ำ ก็ได้ยินไฟลุกในถ้ำดุจพายุใหญ่ ลุกไหม้โพลงแดงไปทั้งถ้ำ พวกปีศาจต่างตกใจลุกขึ้นร้องไห้เสียงอึกกะทึก ต่างเอาตัวรอดวิ่งหนีไฟ ไม่มีทางออกถูกไฟเผาล้มตายไปประมาณครึ่งหนึ่ง เห้งเจียก็กลับมาหาถักทะลีทีอ๋องเวลานั้นสามยามเศษ
ฝ่ายถักทะลีทีอ๋องกับเทวดาทั้งหลายอยู่บนยอดเขาแลลงไปที่หน้าถ้ำปีศาจ เห็นไฟลุกออกสว่างฟ้าก็พากันจะลงไป ก็พอแลเห็นเห้งเจียขี่มังกรไฟขับพวกลิงน้อยกลับมา ครั้นถึงก็ร้องเรียกเสียงดังว่าท่านทั้งหลายจงมารับเครื่องอาวุธเถิด แล้วเห้งเจียก็เรียกขนแปลงเหล่านั้นกลับคืนเข้าตัว โลเฉียท้ายจื๊อก็เก็บเอาเครื่องมือของตัว ฮ้วยเต๊กแชกุนก็เก็บเอาเครื่องไฟแลมังกรไฟแล้ว ต่างก็ได้เครื่องมือกลับคืนทุกคนมีความรื่นเริง สรรเสริญเห้งเจียว่าท่านมีฝีมือดีมาก ข้าพเจ้าทั้งหลายสู้ไม่ได้
ฝ่ายต๊อกกั๊กอยู่ในถ้ำกำลังหลับได้ยินเสียงไฟลุกก็ตกใจ รีบเปิดประตูห้องสองมือจับห่วงวิเศษขึ้นบังซ้ายบังขวา ที่ไหนมีไฟลามลุกก็เอาห่วงวิเศษส่งไปไฟก็ดับสงบลงทันทีทั้งสิ้น ต๊อกกั๊กก็รีบไปช่วยพวกบริวาร ตรวจดูที่ถูกไฟตายเสียครึ่งหนึ่งแลค้นดูเครื่องอาวุธวิเศษที่ได้มาก็หายไปทั้งสิ้น แล้วเดินเลยไปข้างในดูโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ถังซัมจั๋งก็ยังอยู่พร้อม ม้าและข้าวของก็อยู่พร้อม ต๊อกกั๊กคิดขึ้นมาก็แค้นใจพูดว่า อันไฟนี้ไม่ใช่ผู้ใดเลยอ้ายเห้งเจียเป็นแน่ เมื่อเวลาข้าลงนอนไม่มีความสุข ชะรอยอ้ายลิงมันแปลงมาจะขโมยของวิเศษของเรา มันจะเห็นท่าว่าจะเอาไม่ได้แล้ว มันจึงได้ลักเอาของเหล่านั้นไป จึงได้ปล่อยมังกรไฟให้เผาอย่างนี้ มันคิดจะใคร่เผาเราให้ตาย แม้อ้ายชาติลิงจะคิดกลอุบายประการใดก็คงป่วยการเปล่า มันมิได้รู้ว่าของวิเศษของเรานั้น ลงน้ำก็ไม่จมเผาไฟก็ไม่ไหม้ แม้ว่ากูจับอ้ายลิงนี้ได้ก็จะสับฟันให้สาแก่ใจกู พูดคร่ำครวญสักครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงไก่ขันจวนจะแจ้ง
ฝ่ายพวกเทพบุตรบนยอดเขา โลเฉียครั้นได้อาวุธกลับคืนแล้วจึงพูดแก่เห้งเจียว่า สว่างแล้วพวกเราพากันลงไปกำจัดปีศาจโดยเร็วในเวลากำลังตกใจอยู่ฉะนี้ แลให้ฮ้วยเต๊กแชกุนเอาไฟปล่อยเผาช่วยเป็นกำลังท่านเห้งเจียจงไปรบกับปีศาจบางทีครั้งนี้จะจับตัวได้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าเห็นการจะสำเร็จได้ พูดดังนั้นแล้วต่างก็จัดแจงแต่งตัวพร้อม เห้งเจียออกหน้าโลเฉียกับเทพบุตรแลถักทะลีทีอ๋องก็ยกพลหนุนตามไป ครั้นถึงหน้าถ้ำแลไปเห็นบานประตูถ้ำทั้งสองบานถูกไฟไหม้เป็นเถ้าไปทั้งสิ้น ในประตูนั้นเห็นพวกปีศาจบริวารสองสามปีศาจกำลังเก็บกวาดขี้เถ้าอยู่ เห้งเจียร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่าอ้ายปีศาจมึงจงออกมารบกับกูให้เห็นฝีมือกันว่าผู้ใดจะดีกว่ากัน จนถึงแพ้ชนะในครั้งนี้
ปีศาจบริวารได้ยินเสียงตวาดดังนั้น แลไปเห็นเห้งเจียก็ทิ้งไม้กวาดวิ่งเข้าไปบอกต๊อกกั๊กว่าใต้อ๋องอ้ายลิงมาอีกแล้ว ต๊อกกั๊กได้ยินดังนั้นก็ตกใจ มือจับทวนกระโดดลงจากแท่นเดินออกมายังประตูถ้ำแลเห็นเห้งเจียยืนอยู่ จึงร้องด่าว่าอ้ายผู้ร้ายปล้นเผาเรือนเก็บทรัพย์ มึงจะมีฝีมือสักเท่าใดก็จงมารบสู้กันจนถึงแพ้ชนะอย่าหนี ว่าแล้วก็ยกทวนแทงไปหวังให้ถูกเห้งเจีย เห้งเจียก็ยกตะบองขึ้นรับปัดป้องไว้รบกันอยู่ช้านานหลายเพลง
ฝ่ายโลเฉียถักทะลีทีอ๋องและเทพบุตรทั้งหลาย ก็ช่วยกันเข้าระดมรบฮ้วยเต๊กแชกุนก็ปล่อยไฟ พวกรามสูรก็ขว้างขวานฟ้าผ่าลงมา ถักทะลีทีอ๋องถือง้าวเข้าช่วยเห้งเจียรบ โลเฉียเอาอาวุธวิเศษหกอย่างเข้าระดมรบ หมู่เทพยดาต่างแผลงฤทธิ์เข้าระดมพร้อมกันทุก ๆ คน แต่ปีศาจก็มิได้สะดุ้งหวาดหวั่น หัวเราะแล้วมือก็ล้วงเอาห่วงวิเศษออกจากมือเสื้อขว้างไปร้องว่าให้เก็บ ห่วงวิเศษก็เอาอาวุธเหล่านั้นและตะบองเหล็กของเห้งเจียไปได้ทั้งสิ้น ฝ่ายปีศาจต๊อกกั๊กเมื่อมีชัยชนะแล้วก็พาบริวารปีศาจกลับเข้าถ้ำ สั่งบริวารให้เอาศิลาก้อนซ้อนทำปิดแทนประตูถ้ำขึ้นใหม่ แลจัดทำห้องหับให้เรียบร้อยดีแล้ว จะให้เอาพระถังซัมจั๋ง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งมาฆ่าบวงสรวงที่ทางแล้ว จึงเอาเลี้ยงกันเป็นที่รื่นเริงในพวกเรา ปีศาจทั้งหลายได้ฟังนายสั่งดังนั้นก็ไปจัดการตามนายสั่ง
ฝ่ายหมู่เทพยดา ครั้นแพ้ฝีมือปีศาจแล้วก็พากันกลับไปยังยอดเขากิมเง่ซัว ถักทะลีทีอ๋อง โลเฉีย ฮ้วยเต๊กแชกุนกับเห้งเจีย ต่างก็มีความโกรธแค้นเว้นแต่จุ๊ยเต๊กแชกุนนั่งนิ่งอยู่ เห้งเจียอุตส่าห์สะกดใจแข็งทำหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านทั้งหลายอย่ามีความวิตกเลย ไว้ธุระข้าพเจ้าจะไปสืบสาวราวเรื่องของอ้ายปีศาจนี้ ให้ทราบเหตุผลได้ความจริงก่อน โลเฉียพูดว่าท่านใต้เซีย เมื่อครั้งก่อนได้ขึ้นไปทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ก็ได้สืบตรวจดูจนชั้นฟ้าแล้วก็ไม่ได้ความ ก็บัดนี้ท่านจะไปสืบที่ไหนอีกเล่า เห้งเจียตอบว่า ข้าพเจ้าคิดว่าพระพุทธเจ้ามีอภินิหารย์เป็นสัพพัญญูรู้ทั่วโลกหาผู้ใดเปรียบเสมอมิได้ ข้าพเจ้าจะทูลถามก็จะรู้ได้ว่าปีศาจตนนี้จะเป็นสิ่งอะไร และจะใคร่จับปีศาจนั้นแก้แค้นให้ท่านทั้งหลายสิ้นธุระได้กลับไปยังเมืองสวรรค์
ถักทะลีทีอ๋อง โลเฉียกับหมู่เทพยดาทั้งหลายพูดว่าท่านใต้เซีย พูดอย่างนี้ชอบแล้วถูกแล้ว ขอเชิญท่านรีบไปเถิด เห้งเจียก็รับว่าข้าพเจ้าจะไปเดี๋ยวนี้ ว่าแล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศตรงมาบัดเดี๋ยวก็ถึง เห้งเจียลงยังพื้นเดินพิจารณาดูรอบทั้งซ้ายขวา ได้ยินเสียงคนเรียกว่าซึงหงอคงไปอยู่ที่ไหนจะไปข้างไหน เห้งเจียหันหน้ามาดู เห็นนางภิกขุนี เห้งเจียก็ยกมือขึ้นคำนับแล้วจึงพูดว่า ข้าพเจ้ามีกิจมาเฝ้าสมเด็จพระพุทธเจ้า นางภิกขุนีพูดว่า ท่านจะหาพระยูไลทำไมไม่ขึ้นไปบนสำนักแก้วเล่า เห้งเจียพูดว่า ข้าพเจ้าพึ่งมายังไม่เคยไม่เข้าใจว่าควรจะเฝ้าได้ในที่ใด นางภิกขุนีบอกว่าท่านจงเดินตามข้าพเจ้าไปเถิดจะพาท่านไป
เห้งเจียก็เดินตามนางภิกขุนีมาประเดี๋ยวก็ถึงประตูวัดลุ่ยอิมยี่ แลไปข้างในก็เห็นหมู่พวกพรหม อินทร์และเทพบุตรสาวกนั่งเฝ้าอยู่ เห้งเจียก็พักคอยอยู่ข้างนอก นางภิกขุนีก็เข้าไปกราบทูล พระองค์ทรงทราบแล้วก็รับสั่งว่าให้เห้งเจียเข้าไปเฝ้า เห้งเจียเข้าไปถึงก็ถวายอะภิวาทกราบไหว้โดยเคารพ แล้วนั่งคุกเข่าพนมมือท่าพรหม สมเด็จพระผู้มีพระภาคจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสถามเห้งเจียว่า หงอคงตถาคตได้ยินว่ากวนอิมโพธิสัตว์โปรดให้ออกจากทรมาทุกข์แล้ว และให้สมาทานถือศีลปฏิบัติธรรม และให้รักษาพระถังซัมจั๋งให้มาถึงนี่ เพื่อจะได้อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ทำไมจึงมาแต่ผู้เดียวเล่า มีกิจธุระสิ่งใดหรือ
เห้งเจียยกมือขึ้นเคารพแล้วทูลว่า ขอพระองค์ได้โปรด ข้าพระองค์ตั้งแต่สมาทานศีลแล้ว ก็ติดตามรักษาพระถังซัมจั๋งมา บัดนี้เดินทางมาถึงภูเขากิมเง่ซัว พบปีศาจมารร้ายเรียกนามว่า จู๊ต้ายอ๋องมีฤทธิ์อานุภาพเชี่ยวชาญทำกลอุบายจับเอาพระถังซัมจั๋งกับโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งไว้ในถ้ำ ข้าพเจ้าได้รบพุ่งต่อสู้แก่ปีศาจหลายครั้ง แลได้พึ่งเง็กเซียงฮ่องเต้ ให้หมู่เทพยดาเทพารักษ์ลงมาช่วย ก็พ่ายแพ้แก่ปีศาจไปทั้งสิ้น ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดช่วยปราบปีศาจร้าย เพื่อให้พระถังซัมจั๋งรอดพ้นจากมือมาร จะได้ตั้งความเพียรให้ถึงแก่มรรคผล สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อได้ทรงฟังเห้งเจียกราบทูล ก็ทรงทราบโดยพระญาณวิถี จึงมีพระพุทธฎีกาบริหารตรัสแก่เห้งเจียว่า อันปีศาจนั้นแม้ว่าพระตถาคตรู้เหตุการณ์ตลอดแล้ว ก็ไม่ควรจะแพร่งพรายให้เห้งเจียรู้แจ้งได้ ตถาคตจะให้แต่สิ่งอันประกอบธรรมไปช่วยจับปีศาจได้อยู่ เห้งเจียทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พระองค์จะประทานสิ่งใดแก่ข้าพเจ้าให้ไปปราบจับปีศาจร้าย ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าทราบ
สมเด็จพระผู้มีพระภาค จึงสั่งสิบแปดพระอรหันต์ เปิดห้องแก้วหยิบยากิมตันสิบแปดเม็ด เอาไปถือต่างพระองค์ ๆ ละเม็ด ไปช่วยเห้งเจีย ๆ ทูลถามว่า ยากิมตันนั้นจะเป็นประการใด พระองค์ตรัสว่า ครั้นเวลาถึงถ้ำปีศาจแล้ว เห้งเจียจงไปท้าล่อให้ปีศาจออกมานอกถ้ำ แล้วให้พระอรหันต์ เอายากิมตันขว้างล้อมปีศาจมิให้ออกมาได้ เมื่อเวลานั้นเห้งเจียจะทำอย่างไรก็แล้วแต่เห้งเจีย เห้งเจียได้ฟังพระองค์ตรัสชี้แจงสั่งดังนั้นก็มีความยินดี พูดว่ายาวิเศษ ๆ ขอได้โปรดรีบไปโปรดเถิด สิบแปดพระอรหันต์ก็เข้าไปหยิบยากิมตันองค์ละเม็ดออกมาจากห้องแล้ว นมัสการพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เสด็จปาฏิหารย์เหาะไปยังเขากิมเง่ซัวพร้อมกับด้วยเห้งเจีย ๆ เหาะตามมาข้างหลังคอยตรวจดู เห็นพระอรหันต์หายไปสององค์ เห้งเจียจึงพูดว่านี่ท่านไปข้างไหนเสียสององค์
พระอรหันต์จึงถามว่าท่านบ่นอะไร เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าได้เห็นพระอรหันต์สิบแปดองค์มาด้วยกัน บัดนี้ทำไมจึงเห็นแต่สิบหกองค์เล่า พูดยังไม่ทันขาดคำก็เห็นพระอรหันต์มาอีกสององค์ พูดว่าเห้งเจียทำไมทิ้งเราเสียสององค์เล่า ด้วยอาตมภาพทิ้งสองล้าหลังคอยฟังคำสั่งพระพุทธเจ้าอยู่ เห้งเจียพร้อมกับพระอรหันต์สิบแปดพระองค์เหาะมา บัดเดี๋ยวก็ถึงเขากิมเง่ซัว ถักทะลีทีอ๋อง แลเห็นก็รีบพาหมู่เทพบุตรออกมาคำนับรับเข้านั่งที่แล้ว ถักทะลีทีอ๋องจึงเล่าความให้พระอรหันต์ฟังทุกประการ พระอรหันต์ตรัสว่าไม่ต้องเล่าจะช้าไปเปล่าๆ จงรีบไปล่อให้ปีศาจออกมาเถิด เห้งเจียได้ฟังพระอรหันต์ดังนั้น ก็แผลงฤทธิ์กำหมัดกัดฟันกะโดดลงไปยังหน้าถ้ำร้องด่าว่าท้าทายด้วยถ้อยคำอันหยาบช้าต่าง ๆ เพื่อให้ปีศาจมีใจโกรธจะได้ออกมาโดยเร็ว
ฝ่ายพวกปีศาจที่เฝ้าประตูถ้ำ เมื่อได้เห็นเห้งเจียมาร้องด่าท้าทายดังนั้น ก็รีบนำความเข้าไปแจ้งแก่ต๊อกกั๊กใต้อ๋อง ๆ ได้ฟังบริวารบอกดังนั้นก็บันดาลโทสะเป็นกำลัง ก็จับทวนเป็นอาวุธสำหรับมือถือเดินออกมา เห็นเห้งเจียยืนอยู่ก็ร้องด่าว่าอ้ายชาติไพร่ไม่มีความอาย มึงแพ้กูหลายครั้งแล้วยังหารู้สึกคิดหนีเอาตัวรอดไม่ ยังจะกลับมาหาที่ตายหรือ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่าอ้ายมารร้าย มึงไม่รู้จักดี ถ้ามึงจะใคร่ให้ตาของมึงไม่มา มึงจงยอมสวามิภักดิ์ส่งอาจารย์ของเราและน้องเราทั้งสองออกมาแล้ว เราจึงจะละเจ้าไม่มารบกวนต่อไป ปีศาจตอบว่าคนทั้งสามนั้น เราชำระขัดล้างไว้ดีแล้ว ไม่ช้าจะทำกับกินเป็นแกล้มสุรากินเล่นให้อร่อย เจ้าเห็นจะยังไม่รู้ดอกกระมัง จึงยังมาร้องทวงดังนี้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็สะกดใจไม่อยู่ กำหมัดตรงเข้าไปจะชกปีศาจ ๆ ก็เอาทวนรบปัดป้องแล้วเอาทวนแทงเห้งเจีย ๆ ก็ตลบซ้ายตลบขวาล่อให้ปีศาจไล่ตามมา
ปิศาจมิได้ทราบในกลอุบาย ก็ขยิกไล่เห้งเจียออกมาพ้นหน้าถ้ำข้างทิศอาคเนย์ เห้งเจียเห็นได้ทีก็ร้องให้พระอรหันต์สิบแปดองค์ เอายากิมตันขว้างลงมา ยาก็บันดาลเป็นเม็ดทรายตกลงมาดุจห่าฝน บัดเดี๋ยวทรายท่วมขึ้นสามศอกเศษ ปีศาจยืนงงงวยมองดูที่เท้าก็เห็นทรายยิ่งพูนมากขึ้นทุกที ปีศาจก็กระโดดขึ้นยืนบนหน้าทรายยั้งตัวไม่ใคร่อยู่ มองดูบัดเดี๋ยวเห็นทรายท่วมขึ้นมาอีกสองสามศอก ปีศาจตกใจก็รีบชักห่วงออกขว้างขึ้นไปร้องให้เก็บคำหนึ่ง ห่วงก็รวบยากิมตันสิบแปดเม็ดมาได้หมด ปีศาจเก็บยากิมตันมาได้แล้วก็กลับไปยังถ้ำ
ฝ่ายพระอรหันต์ก็เหลือแต่มือเปล่ายืนอยู่บนเมฆ เห้งเจียเข้ามาใกล้ถามว่า ทำไมท่านไม่ปล่อยยาลงมาเล่า พระอรหันต์บอกว่าขว้างลงไปแล้ว ได้ยินเสียงอะไรดังเปรี้ยงทีหนึ่ง ยานั้นก็หายไปข้างไหนหมด เห้งเจียหัวเราะพูดว่าอ้ายปีศาจมันเอาไปเสียแล้ว ถักทะลีทีอ๋องว่ากำจัดมันยากที่สุด คราทีนี้จะทำประการใดดีเล่า พระอรหันต์ หั้งเล้ง หกเฮ้าทั้งสองพระองค์พูดแก่เห้งเจียว่า ท่านเข้าใจหรือเปล่าเมื่อออกจากอาราม อาตมภาพล้าหลังอยู่นั้นว่าเป็นอย่างไร เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าไม่เข้าใจเลย พระอรหันต์บอกว่าพระผู้เป็นเจ้าได้สั่งว่าปีศาจต๊อกกั๊กมีฤทธิ์เชี่ยวชาญ แม้ว่ามันเรียกเอากิมตันนั้นไปได้ ก็ให้เห้งเจียขึ้นไปชั้นดุสิตวิมานลีหึนที่สำนักท่านพรหมท้ายเสียงเล่ากุนอยู่นั้น สืบดูก็จะรู้เหตุผลแห่งปีศาจนั้น บางทีกระพริบตาเดียวก็จะจับตัวได้ เห้งเจียว่าน่าแค้นแท้ ๆ เมื่อแรกจะโปรดบอกเสียก็จะแล้วกัน ไม่ต้องให้ท่านทั้งหลายมาให้ป่วยการ
ถักทะลีทีอ๋องพูดว่าพระพุทธเจ้าได้โปรดชี้แจงดังนั้นแล้ว ท่านเห้งเจียจงรีบไปสืบดูเถิด เห้งเจียก็เหาะขึ้นบนเวหาตรงไปยังชั้นดุสิตเข้าไปในวิมานลีหึนเกง ครั้นถึงที่ท้ายเสียงเล่ากุนอยู่ เห้งเจียก็ค่อยเดินเข้าไปแลเห็นเทพบุตรน้อยสองคนยืนเฝ้าข้างหน้าสำนัก เห้งเจียก็ไม่บอกว่ากระไรเดินเลยเข้าไปข้างใน กำลังเดินเข้าไปก็เห็นท้ายเสียงเล่ากุนเดินออกมา เห้งเจียก็ลดลงคำนับแล้วพูดว่า นานแล้วข้าพเจ้ามิได้มาเยือนท่าน ท้ายเสียงเล่ากุนหัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายลิงทำไมไม่ไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมเจ้ามาที่ข้าจะมีธุระอะไรหรือ
เห้งเจียบอกว่าข้าพเจ้าไปอาราธนาพระธรรม ไม่มีเวลาหยุดหย่อนเพราะหนทางไกลและกันดาร ทั้งมียักษ์มารปีศาจร้ายและสัตว์ร้ายต่างๆ จึงต้องมาดังนี้ ท้ายเสียงเล่ากุนว่าหนทางไซทีขัดข้องก็ไม่เกี่ยวอะไรแก่เรา เห้งเจียว่าท่านอย่าเพ่อพูดแม้สืบเหตุผลได้แล้วก็จะมัวหมองถึงตัวท่านด้วยหลบไม่พ้น ท้ายเสียงเล่ากุนว่าเราอยู่เบื้องบนมีเหตุผลอะไรจึงต้องมาสืบที่เรา เห้งเจียเดินเข้าไปสองตาเที่ยวสอดมองซ้ายมองขวา เดินเข้าไปอีกสองสามห้องมองไปที่ระเบียง เห็นข้างคอกโคมีเด็กนอนอยู่คนหนึ่งโคไม่มี เห้งเจียจึงหันมาบอกแก่ท้ายเสียงเล่ากุนว่าโคของท่านหนีไปแล้ว ท้ายเสียงเล่ากุนตกใจเดินมาดูก็ไม่เห็นโคจึงพูดว่าอ้ายสัตว์นี้มันหนีไปเมื่อไร ท้ายเสียงเล่ากุนกำลังบ่นว่าเด็กน้อย เด็กน้อยตกใจตื่นผุดลุกขึ้นคุกเข่าเคารพพูดว่า ข้าพเจ้ากำลังนอนไม่ทราบว่าโคมันหนีไปเมื่อไร ท้ายเสียงเล่ากุนก็ด่าว่าเจ้าทำไมจึงนอนจนไม่รู้สึกตัวดังนี้ เด็กนั้นพูดว่าข้าพเจ้าอยู่ห้องยาเก็บได้ยากิมตันเมล็ดหนึ่ง กินเข้าไปแล้วก็นอนหลับไปไม่รู้สึกตัว
ท้ายเสียงเล่ากุนจึงระลึกได้ว่าเมื่อวันก่อนนั้นได้ประกอบยาวิเศษไว้หายไปเสียเมล็ดหนึ่งมันเก็บเอาไปกิน ยานั้นใครกินเมล็ดหนึ่งก็นอนหลับไปเจ็ดวัน โคนั้นไม่มีใครเลี้ยงดูมัน เพราะฉะนั้นมันจึงได้หนีลงไปเมืองใต้ วันนี้ก็ได้เจ็ดวันแล้วท้ายเสียงเล่ากุนก็ตรวจของวิเศษว่าจะหายสิ่งใดบ้าง เห้งเจียว่าไม่เห็นมีสิ่งใด เห็นแต่ห่วงเหล็กอย่างเดียวเป็นของมีฤทธิ์มาก ท้ายเสียงเล่ากุนจึงเดินเข้าไปดูข้างในจึงได้รู้ว่ากิมกางต๊อกหายไป จึงพูดว่ามันลักเอากิมกางต๊อกของวิเศษไป เห้งเจียพูดว่าของวิเศษสิ่งนี้ครั้งก่อนได้ตีข้าพเจ้า บัดนี้อ้ายสัตว์เดรัจฉานโคมันลักไปเมืองใต้แผลงอิทธิฤทธิ์ มันได้เรียกเอาของวิเศษไปมากแล้ว ท้ายเสียงเล่ากุนจึงถามว่าบัดนี้มันอยู่ตำบลไหน เห้งเจียบอกว่าบัดนี้มันตั้งตัวอยู่ที่ตำบลเขากิมเง่ซัวถ้ำกิมเง่ต๋อง มันจับพระถังซัมจั๋งไปไว้เอาตะบองเหล็กของข้าพเจ้าไป ทั้งเครื่องอาวุธของถักทะลีทีอ๋องโลเฉีย กับเครื่องไฟของฮ้วยเต๊กแชกุน แลเครื่องกั้นน้ำของจุ๊ยเต๊กแชกุน และเอายาวิเศษของพระอรหันต์สิบแปดเม็ด ที่พระพุทธเจ้าให้มานั้นมันก็เรียกเก็บเอาไปทั้งสิ้น ท่านท้ายเสียงเล่ากุนปล่อยสัตว์ร้ายลงไปแย่งชิงเข้าของแลฆ่าคนดังนี้ โทษของท่านจะมีประการใด
ท้ายเสียงเล่ากุนพูดว่า กิมกางต๊อกของเรานั้น เป็นของประกอบขับมารร้าย เราฝึกทำมาตั้งแต่เด็กจนได้สำเร็จเป็นของวิเศษ เราต่อให้ของวิเศษอย่างไรไฟหรือน้ำก็หาอาจทำลายได้ไม่ ถ้าหากมันลักเอาพัดไปได้ด้วย ก็ไม่สามารถจะคิดแก้ไขได้ นี่มันลักเอาไปแต่สิ่งเดียวไม่เป็นไร เห้งเจียได้ฟังท้ายเสียงเล่ากุนพูดดังนั้น ก็มีความยินดีค่อยมีความเบาใจลงมาก ท้ายเสียงเล่ากุนก็จับพัดขึ้นเหยียบเมฆเหาะลงไป เห้งเจียก็เหาะตามท้ายเสียงเล่ากุนมา ออกจากประตูน่ำทีหมึงมายังเขากิมเง่ซัว บัดเดี๋ยวก็ถึงพบกับสิบแปดพระอรหันต์แลหมู่เทพยดาทั้งหลาย เล่าความให้ท้ายเสียงเล่ากุนฟังทุกประการ ท้ายเสียงเล่ากุนจึงบอกให้เห้งเจียไปล่อให้ปีศาจมันออกมา เราจะได้จับตัวมันกลับคืนไป
เห้งเจียได้ฟังท้ายเสียงเล่ากุนสั่งดังนั้นก็กระโดดลงไปยังหน้าถ้ำร้องท้าด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายปีศาจมึงจงเร่งออกมารับความตาย ปีศาจต๊อกกั๊กคิดในใจว่า อ้ายลิงหัวขโมยมันจะไปพาใครมาอีกดอกกระมังจึงกลับมาร้องท้าทายอยู่ดังนี้ คิดแล้วก็จับทวนถือเดินออกมาจากถ้ำ ฝ่ายเห้งเจียครั้นเห็นต๊อกกั๊กเดินออกมา ก็แกล้งด่าว่าอ้ายสัตว์ร้ายมึงจะตายในวันนี้แล้ว เห้งเจียก็กำหมัดกระโดดเข้าชกถูกที่หูปีศาจ แล้วก็หันกลับวิ่งหนีไปล่อให้ไล่ ฝ่ายปีศาจต๊อกกั๊กก็ถือทวนไล่แทงเห้งเจียมา ได้ยินเสียงเรียกว่าอ้ายโคน้อยมึงยังไม่กลับที่หรือ ปีศาจเงยหน้าขึ้นไปดูก็เห็นท้ายเสียงเล่ากุนตกใจสะดุ้งหวาด นึกว่าอ้ายลิงนี้มันดีจริงทำไมจึงรู้การดังนี้หนอ สามารถไปเชิญท่านเจ้าของ ๆ เรามาได้ ท้ายเสียงเล่ากุนร่ายเวทคาถาเอาพัดโบกลงไปทีหนึ่ง
ปีศาจก็เอาห่วงขว้างขึ้น ท้ายเสียงเล่ากุนก็จับเอาห่วงนั้นไว้ได้ ก็เอาพัดโบกลงไปปีศาจนั้นก็สลดลงทันที มีอาการให้มือแลเท้าอ่อนเปลี้ยก็กลายกลับเป็นโคไปอย่างเดิมท้ายเสียงเล่ากุนก็เอากิมกางต๊อกเจาะจมูกแล้วเป่าทีหนึ่งก็ทะลุ แก้เชือกคาดพุงออกร้อยผูก มือหนึ่งก็จับสายตะพาย แล้วก็ลาเทพบุตรทั้งหลาย ขึ้นนั่งบนหลังโคเหาะไปยังวิมานลีหึนเกง ฝ่ายเห้งเจียกับเทพบุตรทั้งหลายก็พากันเข้าในถ้ำ ต่างก็เก็บเอาอาวุธเครื่องมือของตน ๆ เห้งเจียก็ตีพวกปีศาจบริวารตายหมดสิ้น เทพยดาทั้งหลายได้อาวุธแลเครื่องมือแล้ว ก็ลากลับไปยังวิมานแห่งตน ๆ เห้งเจียก็เข้าไปชั้นในแก้อาจารย์และโป๊ยก่ายซัวเจ๋งออก เก็บข้าวของและม้าได้พร้อมแล้ว อาจารย์กับศิษย์ก็พากันออกจากถ้ำเดินไป กำลังเดินมานั้นได้ยินเสียงคนร้องเรียกอยู่ข้างทางว่า ท่านอาจารย์ฉันจังหันเสียก่อนจึงค่อยไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น