
ครั้นมาได้ประมาณสักเดือนเศษ ในเวลากำลังเดินอยู่นั้น ได้ยินเสียงน้ำดังกระทบหูพระถังซัมจั๋งเรียกสานุศิษย์ถามว่า นั่นเสียงน้ำอะไรดังอยู่ที่ไหน เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า อาจารย์นี้สงสัยมากเรื่องเดินมาด้วยกันสี่คนไม่มีใครได้ยิน ท่านได้ยินแต่ผู้เดียว พระอาจารย์เอาคัมภีร์ชิมเกงไปทิ้งลืมเสียวรรคหนึ่งแล้ว พระถังซัมจั๋งพูดว่า ชิมเกงคัมภีร์นี้ ของท่านอาจารย์โอเซ้าสอนให้เราต่อปาก ทุกวันนี้เราภาวนาอยู่เสมอเป็นนิตย์ เห้งเจียรู้ว่าเราลืมวรรคไหน เห้งเจียตอบว่า ลืมวรรคที่ว่าโบ้งั้นฮี้พี้อี๊ซินอี่ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันวิสัยคนบวชเรียนในทางสมณะกิจ ตาอย่าไปดูรูปสวยงาม หูอย่าไปฟังเสียงที่เพราะหวาน จมูกอย่าไปสูดดมกลิ่นที่หอมหวน ลิ้นอย่าไปเลียลิ้มรส กายอย่าไปสัมผัสถูกต้องรูป จิตอย่าไปน้อมนึกอารมณ์ที่ฟุ้งซ่านอย่างนี้จึงเรียกว่าเปลื้องโจรทั้งหกได้
ท่านอาจารย์ทุกวันนี้ ตั้งใจจะไปอาราธนาพระธรรม กลัวปีศาจมารร้ายไม่ยอมสละกาย มีความอยากในรสกังวลแก่ลิ้นพอใจแก่กลิ่นอันหอม ไปฟังเสียงสะดุ้งหวาด ไปเห็นซึ่งรูปสีจิตก็ให้ฟั่นเฟือนไปต่าง ๆ โจรทั้งหกก็เข้ากลุ้มรุมในดวงจิต ทำไมจึงจะไปถึงไซที เห็นพระพุทธเจ้าได้เล่า พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็นิ่งนึกอยู่ในใจสักครู่หนึ่ง จึงพูดว่าตั้งแต่ออกจากพระเจ้าแผ่นดินมา ใจก็รีบร้อนระมัดระวัง ไม่รู้ว่าเวลาใดจึงจะเต็มบริบูรณทั้งสามได้ ไปรับธรรมของพระพุทธเจ้ามาได้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า อันที่จริงพระอาจารย์มีความคิดถึงบ้านเมืองยากที่จะหยุดได้ แม้ว่าจะใคร่ให้สามบริบูรณ์จะยากอะไร ยังมีคำกล่าวว่า แม้ทำให้ถึงก็สำเร็จอยู่เอง
โป๊ยก่ายพูดว่าพี่แม้จะคิดตามซึ่งมีมารร้ายนั้น จะไปพันปีก็ไม่สำเร็จการ ซัวเจ๋งพูดว่าพี่ทั้งสองคิดเห็นเหมือนข้าพเจ้าคิด ตามประสาคนโง่โง่ เอาแต่บ่าลับฝนไปไม่หยุด ไปภายหน้าก็สำเร็จได้อยู่เอง อาจารย์กับศิษย์เดินพูดกัน แลไปข้างหน้าเห็นมีกระแสน้ำดำขึ้นโอบฟ้าม้าเดินไม่ได้ พระถังซัมจั๋งก็ลงจากม้า ถามศิษย์ว่าน้ำนี้ทำไมจึงดำดังนี้ เห้งเจียพูดว่าเห็นใครจะทิ้งอะไรดอกกระมัง จะมิใช่ดำเองโดยธรรมดาน้ำ ซัวเจ๋งพูดว่า หรือใครเอาหมึกลงไปล้างดอกกระมังจึงได้ดำอย่างนี้ เห้งเจียว่าอย่าพูดเลอะเทอะไป จะคิดทำอย่างไรให้พระอาจารย์ข้ามไปได้
พระถังซัมจั๋งถามว่าลำแม่น้ำนี้ จะกว้างสักเท่าใดจะรู้ได้หรือไม่ โป๊ยก่ายพูดว่าประมาณกว้างสักห้าสิบเส้น พระถังซัมจั๋งถามว่าให้คิคดูทั้งสามคนนี้ คนใดจะให้อาตมาขี่ข้ามไปได้บ้าง เห้งเจียว่าโป๊ยก่ายให้อาจารย์ขี่ข้ามไปได้ โป๊ยก่ายว่าไม่ได้ แม้จะให้ขี่เหาะเหินก็ไม่พ้นดินสามศอก โบราณท่านย่อมว่า แบกมนุษย์คนหนึ่ง ดุจภูเขาพระสุเมรุแม้ว่าจะขี่ข้าพเจ้าข้ามน้ำไป จะพาข้าพเจ้าจมน้ำไปด้วย อาจารย์กับศิษย์กำลังหารือกันอยู่ แลไปก็เห็นคนค้ำเรือล่องลงมา พระถังซัมจั๋งเห็นก็ดีใจ เอามือชี้บอกพวกศิษย์ว่ามีเรือจ้างลงมาแล้ว ซัวเจ๋งจึงตะโกนเรียกว่า ที่ค้ำเรือมานั้นโปรดช่วยข้ามส่งพวกข้าพเจ้าด้วย แม้มิใช่เรือจ้างก็จะให้ค่าจ้างรางวัลแก่ท่าน
คนค้ำเรือเมื่อได้ยินซัวเจ๋งเรียกก็ค้ำเรือเข้ามาใกล้ตลิ่ง บอกว่าเรือข้าพเจ้าเล็ก ทำไมจะบรรทุกหมดเล่า พระถังซัมจั๋งก็เดินมาใกล้เรือ แต่เรือนั้นคือท่อนไม้เขาเอามาเจาะทำเฉพาะ นั่งได้แต่สองคนเท่านั้น พระถังซัมจั๋งพูดว่าทำอย่างไรจึงจะดี ซัวเจ๋งจึงพูดว่าจะต้องเป็นสองเที่ยว ข้ามไปเที่ยวละสองคน โป๊ยก่ายจะใคร่ข้ามไปกับพระอาจารย์ก่อน จึงเข้าพยุงอาจารย์ลงเรือ เจ้าของเรือก็ค้ำเรือออกจากตลิ่ง ไปพอถึงกลางน้ำก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาทีหนึ่ง ดุจฟ้าลั่นก็เกิดละลอกขึ้น แลไปไม่เห็นอะไรมืดมัวหมด มีลมพายุใหญ่พัดกล้าน่ากลัว แลไปเห็นพระถังซัมจั๋งกับโป๊ยก่ายจมลงไปในน้ำกับทั้งเรือ ซัวเจ๋งเห้งเจียเห็นดังนั้น ก็ตกใจ ซัวเจ๋งว่าเห็นเรือจะคว่ำไปแล้วดอกกระมัง
เห้งเจียว่ามิใช่เรือคว่ำ แม้เรือคว่ำโป๊ยก่ายถนัดในทางน้ำ คงพาอาจารย์ขึ้นมาได้ เมื่อกี้นี้พิเคราะห์ดูเจ้าของเรือจะไม่สุจริต ชะรอยจะทำลมพายุเอาอาจารย์ทิ้งลงไปในน้ำ ซัวเจ๋งว่าทำไมพี่ไม่พูดไม่บอกเสียแต่แรก กระนั้นพี่จงดูม้าไว้ ข้าพเจ้าจะลงไปค้นดู พูดแล้วก็ผลัดผ้าเสื้อกางเกง มือก็จับพลองวิเศษ ยกขึ้นตีบนหลังน้ำทีหนึ่ง ร่ายพระคาถาแล้วก็เดินไป เวลากำลังลมคลื่นเดินมานั้นก็ได้ยินเสียงคนพูด ซัวเจ๋งจึงแอบฟังและไปในที่นั้น มีศาลเจ้ามีหนังสือแปดอักษรคือตำบล (ชวนเฮียกก๊อก) ลำแม่น้ำ (เฮ๊กจุ๊ยฮ้อ) ศาล (สินฮู้) ได้ยินเสียงปีศาจนั่งอยู่กลางพูดว่า มีความลำบากคราวหนึ่ง บัดนี้จึงได้มาถึงมือ อันพระสงฆ์นี้สิบชาติมาแล้วบวชเรียนก็บริสุทธิ์ดี แม้ได้กินเนื้อก้อนหนึ่งอายุก็ยืนยาวไม่แก่ เราก็อดมานานวันแล้ว ได้ปีศาจบริวารเปิดเอาออกจากกรงเหล็กไล่กะทะต้มให้สุก แล้วไปเชิญ (อะยี่กู๋) น้ามากินอายุจะได้ยืนยาว ซัวเจ๋งแอบได้ยินดังนั้นดุจเอาไฟเข้าจุดหัวใจ จึงยกพลองขึ้นตีซ้ายป่ายขวาลุกไล่เข้าไปในประตูมิได้รั้งรอ ร้องด่าว่าอ้ายพวกปีศาจ มึงจงรีบส่งอาจารย์กูออกมาโดยเร็ว
พวกปิศาจที่เฝ้าประตูได้ฟังดังนั้นก็ตกใจวิ่งเข้าไปบอก ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นก็แต่งตัวใส่เกราะ มือถือพลองทองแดงรีบเดินออกมายังประตูร้องถามว่า อ้ายคนไหนอาจสามารถมาตีประตูของกูเองไม่กลัวความตายหรือ ซัวเจ๋งพูดว่าอ้ายปีศาจมึงทำไมจึงอาจสามารถทำอุบายเป็นลมพายุใหญ่ลักเอาอาจาย์ของกูลงมาไว้ เองจงรีบส่งมาเสียโดยเร็วจะยกโทษให้สักครั้งหนึ่ง ปีศาจได้ฟังก็หัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายคนนี้มาพูดจาจองหองหารู้จักความตายไม่ อันอาจารย์ของเจ้าเราจับมาได้จะใคร่ต้มให้สุก จะได้เชิญพวกพ้องมากินให้อร่อยสักมื้อหนึ่ง เจ้ามาอีกคนหนึ่งก็ดีแล้ว จงมาเถิดเราจะจับไว้อีกคนหนึ่งจะได้ต้มเสียทั้งสองคนทีเดียว กินเสียให้หมดอย่าได้นึกว่าจะได้ไปไซทีเลย
ซัวเจ๋งได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งบันดาโทษะ แกว่งกระบองโจมตีปีศาจ ปีศาจก็ยกพลองขึ้นรับต่อสู้รบกันอยู่ใต้น้ำ ได้สามสิบเพลงกำลังก็เสมอกัน ซัวเจ๋งคิดอยู่ในใจว่า อ้ายปีศาจนี้มันมีฝีมือเสมอเท่าแก่เราจะเอาชัยชนะมันมิได้ ก็จะป่วยการรบแก่มัน อย่าเลยเรารบล่อขึ้นบนน้ำให้พี่เห้งเจียแกตีมันจึงจะดี คิดดังนั้นแล้วทำทีตีไปแล้วก็ลากพลองหนี ปีศาจก็มิได้ไล่ตามพูดว่าเจ้าไปเถิดข้าไม่รบกับเจ้า เราจะจัดแจงเขียนหนังสือไปเชิญพวกพ้องมากินเนื้อถังซัมจั๋งดีกว่า ซัวเจ๋งได้ฟังดังนั้นก็รีบกลับขึ้นพ้นน้ำ มาบอกแก่เห้งเจียตามเรื่องที่ได้พบรบแก่ปีศาจให้เห้งเจียฟังทุกประการ เห้งเจียถามว่ารู้ว่ามันเป็นปีศาจอะไร ซัวเจ๋งว่าคล้ายกับตะพาบน้ำ เห้งเจียว่าไม่รู้ว่าน้าชายของมันคือใครที่ไหน พูดกระนั้นยังหาทันสิ้นความไม่ ในคุ้งน้ำนั้นผุดขึ้นมาเป็นตาแก่เดินคำนับมาแต่ไกล คุกเข่าพูดว่าใต้เซียข้าพเจ้าอยู่ในแม่น้ำนี้ ขอทำความเคารพท่าน เห้งเจียถามว่านี่คือปีศาจที่ค้ำเรือจะมาล่อลวงอีกหรือ
คนผู้เฒ่านั้นคำนับแล้วน้ำตาก็ไหลพร่างพรายลงพูดว่า ข้าพเจ้าหาใช่ปีศาจผีร้ายไม่ ข้าพเจ้าคือเจ้าซึ่งสถิตย์อยู่ในลำแม่น้ำนี้ เหตุว่าเมื่อปีกลายนี้เดือนเจ็ดที่ทะเลทิศตะวันตกทำน้ำท่วมมาที่นี้ ปีศาจได้ต่อสู้แก่ข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าอายุมากกำลังน้อยสู้ปีศาจมิได้ มันจึงแย่งศาลเจ้าของข้าพเจ้าเข้าอาศัยอยู่จนทุกวันนี้ ข้าพเจ้าไม่รู้แห่งที่จะทำอย่างไรจึงได้ฟ้องแก่เล่งอ๋องทะเลทิศตะวันตก เล่งอ๋องนั้นคือน้าชายของมันก็ไม่ชำระให้แก่ข้าพเจ้ามันจึงอยู่ที่ศาลเจ้านั้น ข้าพเจ้าจะใคร่ฟ้องแก่เง๊กเซียงฮ่องเต้ก็เกรงด้วยข้าพเจ้ามีตำแหน่งเล็กน้อย วันนี้ข้าพเจ้าได้ทราบว่าใต้เซียมาถึงนี้จึงมาบอกให้ท่านทราบ ขอใต้เซียได้เป็นธุระแก้แค้นให้ข้าพเจ้าด้วย
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า เล่งอ๋องทะเลทิศตะวันตกนี้ต้องโทษ เห้งเจียจึงบอกแก่เจ้าว่า ขอท่านจงอยู่เป็นเพื่อนซัวเจ๋ง ข้าพเจ้าจะไปจับตัวไซฮั้ยเล่งอ๋องมาให้เธอจับปีศาจร้ายตนนี้ เจ้าคงคาว่าขอบพระคุณท่านแล้ว เห้งเจียก็เหาะไปยังทิศตะวันตกมหาสมุทรใหญ่ ครั้นถึงกลางทะเลก็ร่ายพระคาถาแซกน้ำเดินลงไปยังบาดาล ครั้นถึงแลไปเห็นปีศาจปลากา ถือหีบเล็กใส่หนังสือถือเดินมาจากท้ายน้ำรีบเดินโดยเร็ว เห้งเจียเดินมาสะกัดหน้าตบเอาทีหนึ่งปีศาจก็ล้มลง เห้งเจียเอากระบองกระทุ้งหัวทีหนึ่ง มันในสมองก็ทะเล้นออกมา เห้งเจียก็ทะลึ่งขึ้นพ้นน้ำ จึงเปิดหีบดูเห็นในนั้นมีหนังสือฉบับหนึ่ง มีจ่าหน้าว่าหลาน คือกูเคียดคำนับถึงน้าทั้งสอง เง่าเล้าใต้ยิ้นเมื่อก่อนได้พึ่งท่าน บัดนี้ข้าพเจ้าจับได้สองสัตว์ คืออยู่ทิศตะวันออกเป็นพระสงฆ์สองรูป คือในใต้หล้านี้หายากหลานไม่อาจกินเองแต่ลำพัง เพราะคิดถึงท่านน้า ขอเชิญมาเป็นกิริยาพรอายุจะได้ยืนยาวเป็นที่รื่นเริง ขอจงรีบมาให้ทันเวลาด้วยเทอญ
เห้งเจียครั้นดูรู้เหตุดังนั้นแล้ว จึงหัวเราะว่าหนังสือนี้มันเชิญกันมากินเนื้อพระอาจารย์ คิดดังนั้นแล้วก็พับใส่ในมือเสื้อ เดินไปเดินมาประเดี๋ยว มีพวกพลตระเวนในน้ำมาพบเห้งเจียก็รีบกลับเข้าไปบอก พระยาเล่งอ๋องเง่าสูนก็เดินออกมารับเห้งเจียเชิญเข้าไปนั่งในที่สมควรแล้วก็ยกน้ำชามาเลี้ยง เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้ายังไม่กินน้ำชาของท่าน ท่านไปกินน้ำเหล้าของข้าพเจ้าก่อน เง่าสูนเล่งอ๋องหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านไปถือศีลแล้วน้ำเหล้าและสดคาวก็ไม่ต้องพูดถึง แลท่านจะเชิญข้าพเจ้าไปกินเวลาใด เห้งเจียว่าท่านไม่ได้กินแต่ต้องมีโทษผิดด้วยบริวาร พูดแล้วเห้งเจียก็นำหนังสือออกมาจากมือเสื้อส่งให้เง่าสูนเล่งอ๋อง ๆ รับมาดูก็ตกใจสิ้นสติตะลึงไป แล้วคุกเข่าลงคำนับพูดว่า
ใต้เซียจงยกโทษข้าพเจ้าด้วย มันคือบุตรที่เก้าของน้องสาวข้าพเจ้า เพราะสามีของน้องนั้นทำผิดด้วยแปรเวลาลดน้ำฝนให้น้อยลง ไม่ตรงแก่คำสั่งของเง็กเซียงฮ่องเต้ ๆ มีรับสั่งให้เพชรฆาต งุยเต็งขุนนางผู้ใหญ่เอาไปประหารชีวิตเสีย ทิ้งอ้ายหลานคนนี้ไว้ ข้าพเจ้าจึงให้ไปปฏิบัติรักษากายอยู่ในลำน้ำเฮกฮ้อนั้น ไม่ทราบเลยว่ามันคิดทำการชั่วร้ายอย่างนี้ไว้ ข้าพเจ้าจะให้คนไปจับตัวมา พูดแล้วจึงเรียกบุตรชายไท้จื๊อ (มอหงัง) สั่งว่าให้เลือกคัดทหารที่แข็งแรงห้าสิบคนรีบไปจับตัวอ้ายกูเคียดมาชำระ เห้งเจียก็ลาเล่งอ๋องไปพร้อมด้วย มอหงังไท้จื๊อ ยกพลออกจากไซไฮ้ทะเลแล้ว มายังแม่น้ำเฮ๊กฮ้อ ครั้นถึงมอหงังจึงให้คนเข้าไปบอกปีศาจให้รู้ก่อนว่า ไซไฮ้เล่งอ๋อง ไท้จื๊อ มอหงังมาแล้ว
ปีศาจได้ฟังในใจก็นึกสงสัย ด้วยเราใช้ให้ปลากาเอาหนังสือไปเชิญเล่าเลงอ๋องก็ยังไม่เห็นกลับมาบอก ทำไมท่านน้าเล่งอ๋องไม่มาใช้ให้ท่านไท้จื้อมา ปีศาจกำลังคิดอยู่ในใจก็พอแลเห็นทหารมาบอกว่า ใต้อ๋องที่ในลำแม่น้ำนั้นมีพลทหารมาด้วย
ปีศาจพูดว่าพี่ไท้จื๊อมากินเลี้ยงทำไมเอาทหารมาด้วยเล่า เห็นจะมีเหตุเป็นแน่ จึงให้ปีศาจบริวารเข้าไปเอาเกราะแลพลองทองแดงออกมาคอยสำรอง แล้วก็เดินออกไปยังนอกประตู แลไปเห็นมีทหารนั่งกองอยู่ ปีศาจก็เดินเข้าไปใกล้ ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า พี่ไท้จื๊อน้องมานี่แล้ว ไท้จื๊อมือถือเหล็กสามเหลี่ยมเดินออกไป ถามว่าจะเชิญท่านน้ามาทำไมหรือ ปีศาจพูดว่า ข้าพเจ้าได้พี่งคุณของท่านน้า จึงได้อยู่ในที่ตำบลนี้เปนศุข ยังไม่มีอะไรที่จะตอบแทนพระคุณท่าน เมื่อวานนี้ข้าพเจ้าจับพระสงฆ์ได้รูปหนึ่งมาจากเมืองใต้ถัง ข้าพเจ้าได้ยินว่าสิบชาติมาแล้ว เธอได้บวชมาโดยความสุจริต แม้ผู้ใดได้กินเนื้อเธออายุยืนยาว เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงให้ไปเชิญให้ท่านน้ามา
ไท้จื๊อได้ฟังดังนั้นจึงตวาดว่า เจ้าชั่งมีจิตแน่นหนาจริง ๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระสงฆ์นั้นคือใคร ปีศาจพูดว่าเธอคือพระเจ้าแผ่นดินใต้ถังรับสั่งให้ไปไซทีอาราธนาพระธรรม ไท้จื๊อพูดว่าเจ้ารู้จักแต่พระถังซัมจั๋ง เจ้าไม่รู้จักสานุศิษย์ของเธอ ปีศาจพูดว่ามึคนหนึ่งข้าพเจ้าจับได้แล้วจะใคร่ต้มพร้อมแก่พระถังซัมจั๋ง เมื่อวานนี้มาทวงอาจารย์อีกคนหนึ่ง ถูกข้าพเจ้าตีก็หนีไป ไม่ทราบว่าใครจะมีฝีมืออีก ไท้จื๊อพูดว่าเจ้าไม่รู้อะไร ถังซัมจั๋งยังมีศิษย์อีกคนหนึ่ง เมื่อห้าร้อยปีก่อนทำจลาจลบนสวรรค์ คือชื่อซีเทียนใต้เซีย บัดนี้นามเรียกว่า (ซึงเห้งเจีย) เจ้าทำไมจึงหาภัยใส่ตัวดังนั้น เธอเดินไปกลางทะเล เจ้าให้คนไปเชิญบิดาไปพบเธอเข้าเอาหนังสือไปต่อว่าแก่บิดาเราดังนี้ เจ้าจงรีบแก้ถังซัมจั๋งกับโป๊ยก่ายส่งออกมาจะได้ขอโทษให้เจ้า ชีวิตจะได้รอดพ้นจากความตาย แม้ว่าเจ้าขัดขืนก็อย่าพึงนึกว่าจะรอดพ้นจากความตาย
ปีศาจได้ฟังดังนั้นก็โกรธแล้วพูดว่า ตัวเป็นวงศ์ญาติแก่เรากลับไปเข้าแก่คนอื่น ที่จะให้ส่งถังซัมจั๋งและโป๊ยก่ายนั้น ไม่มีตำราแล้ว ไท้จื๊อกลัวเขาแล้ว จะมาให้เราพลอยกลัวเขาด้วยหรือ แม้ว่าเขามีฤทธาอานุภาพอย่างไร ก็เชิญมาลองฝีมือกันดูสักสองสามเพลง ถ้าชนะเรา ๆ จึงจะส่งอาจารย์ให้มันไป แม้ไม่ชนะเรา ๆ จะรวมทั้งสามคนมาต้มกินให้อร่อยแก่โคนลิ้น สิ้นวงศ์ญาติเราไม่ต้องไปเชิญผู้ใดมา จะปิดประตูกินคนเดียวให้สบายใจเรา
ไท้จื๊อร้องด่าว่าอ้ายเดรัจฉาน มึงชั่งไม่มีความยำเกรง ไม่ต้องเห้งเจียสู้รบ มึงลองฝีมือดูกับกูก็แล้วกัน ปีศาจพูดว่าถ้าจะเป็นคนเก่งก็ไม่ต้องเว้นว่าใครหมดจะต้องกลัวกันทำไม จึงเรียกบริวารให้เอาเกราะแลอาวุธมาแต่งถืออยู่ ต่างตีกลองสัญญาณม้าฬ่อเข้าประจันบานกัน ไท้จื๊อถือเหล็กสามเหลี่ยมตีลงทีหนึ่ง ปีศาจหลบไม่ทันถูกบ่าซ้ายก็ล้มคว่ำลงกับพื้น พวกทหารกรูกันเข้าจับมัดมือไพล่หลัง เอาเชือกเหล็กสอดร้อยกระดูกสันหลังลากขึ้นมาบนบกต่อหน้าเห้งเจีย ไท้จื๊อจึงให้เห้งเจียพิพากษาโทษ เห้งเจียพูดว่ามึงทำไมไม่ฟังคำสั่ง น้าของเจ้าเธอให้เจ้าอยู่ที่นี่รักษาตัวโดยชอบธรรม เจ้าทำไมจึงแย่งชิงศาลของเจ้าคงคา อวดดีทำดุร้าย หลอกเอาอาจารย์และน้องเราไป ควรจะตีด้วยกระบองสักทีหนึ่ง
ปีศาจว่าใต้เซีย ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านมีชื่อเสียงเกียรติยศอานุภาพแข็งแรงเช่นนั้นแลย ข้าพเจ้าทำผิดพี่ข้าพเจ้าจึงตีจับมา ขอใต้เซียได้โปรดยกโทษให้ข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่ง จะมีความขอบคุณท่านหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้ามัดอาจารย์ท่านอยู่ในศาล ถ้าท่านปล่อยข้าพเจ้า ๆ จะไปแก้อาจารย์มาส่งให้แก่ท่าน ไท้จื๊อพูดว่าใต้เซียปล่อยไม่ได้ เพราะจิตมันกลับกลอก แม้ปล่อยมันมันจะคิดร้ายทันที ซัวเจ๋งพูดว่าข้าพเจ้าจำได้ ข้าพเจ้าจะไปพาอาจารย์ขึ้นมาเอง จึงพร้อมด้วยเจ้าคงคาแซกน้ำลงไปยังศาล เห็นบานประตูเปิดไม่เห็นมีปีศาจเล็กน้อยอะไร ก็เข้าไปข้างใน แลไปก็เห็นอาจารย์กับโป๊ยก่ายต้องมัดอยู่ ซัวเจ๋งกับเจ้าคงคา ก็แก้มัดถังซัมจั๋งโป๊ยก่ายออกแล้ว ก็อุ้มเดินขึ้นมาบนบกทั้งสองคน
โป๊ยก่ายแลเห็นปีศาจก็โกรธ ชักคราดมาจะสับปีศาจ ด่าว่าอ้ายสัตว์เดรัจฉาน มึงกินกูไม่ได้แล้ว เห้งเจียห้ามโป๊ยก่ายว่า พี่ได้ยกโทษตายให้มันแล้ว เห็นแก่เล่งอ๋องไท้จื๊อพ่อลูกทั้งสอง ไท้จื๊อมอหงังจึงมาคำนับเห้งเจียว่าข้าพเจ้าอยู่ช้าไม่ได้ จะขอเอาปีศาจนี้ไปหาบิดา แม้ท่านยกโทษตายให้มัน บิดาคงจะไม่ยกโทษเป็นให้มัน เห้งเจียพูดว่าถ้ากระนั้นไท้จื๊อจงพาไปหาบิดาเถิด จงบอกด้วยว่าข้าพเจ้าขอบคุณเป็นอันมาก ไท้จื๊อก็คำนับลาและพาปีศาจไปยังทะเลไซยฮั้ย เจ้าคงคาก็คำนับขอบคุณเห้งเจีย ที่ได้ช่วยเอาศาลคืนให้ พระถังซัมจั๋งถามว่าจะท่าอย่างไรจึงจะข้ามไปได้ เจ้าคงคาบอกว่าท่านอย่าวิตก ขอนิมนต์ขึ้นม้าข้าพเจ้าจะเปิดทางน้ำให้ท่านข้ามไป พระถังซัมจั๋งขึ้นม้า เจ้าคงคาจึงทำวิธีกั้นน้ำหยุดข้างบน บัดเดี๋ยวน้ำก็แห้งบันดาลเป็นหนทางใหญ่ อาจารย์กับศิษย์ก็พากันเดินข้ามฟากไปถึงฝั่งแล้ว จึงขอบคุณเจ้าคงคาแล้วก็พากันออกเดินต่อไป
(บทที่ ๔๔)
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสาม หมายตัดตรงทิศตะวันตกฝ่าแดดฝ่าฝนเดินไป ครั้นเดินมาได้หลายเวลา กำลังฤดูเดือนสามเดือนสี่ ต้นไม้กำลังจะออกดอกออกช่อหอมระรื่นไปตามแนวทาง ก็พากันเดินชมเล่น ได้ยินเสียงโห่ร้องดังสนั่นคะเนสักพันคน พระถังซัมจั๋งสะดุ้งตกใจประหม่า หันหน้ามาถามเห้งเจียว่าเสียงอะไรที่ไหนดังสะท้านหวั่นไหวไปดังนั้น โป๊ยก่ายพูดว่า เสียงดุจภูเขาพังหรือแผ่นดินทรุด ซัวเจ๋งพูดว่า ฟังดูดุจเสียงฟ้าฟาด พระถังซัมจั๋งว่าฟังดูคล้ายเสียงคนโห่ร้อง เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านทั้งหลายมีความสงสัยก็ยังไม่ถูก ข้าพเจ้าจะไปดูจึงจะรู้แน่ เห้งเจียก็เหาะขึ้นบนอากาศ แลไปทั่วทิศเห็นมีกำแพงเมืองตั้งอยู่ ก็เลยเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็เห็นมี ศรี สว่างวับ ๆ แวม ๆ ขึ้น แต่ไม่เห็นมีอากาศร้ายอะไร
เห้งเจียก็นิ่งตรึกตรองแต่ในใจ พูดว่าที่นั้นก็ปรกติดีอยู่ ไม่เห็นมีเหตุร้ายอะไร ทำไมจึงมีเสียงสนั่นหวั่นไหวไปดังนั้น เมื่อกำลังพิจารณาดูนั้นที่นอกประตูเมือง มีกองดินแลกองทรายอยู่กองหนึ่ง ที่พื้นว่างเปล่านั้น เห็นพวกพระสงฆ์มากหลายรูป พากันลากเกวียน คือพระสงฆ์เหล่านั้น ออกแรงร้องเป็นสัญญาว่า มหากำลังโพธิสัตว์เพราะฉะนั้นเสียงหวาดหวิว จึงไปถึงพระถังซัมจั๋ง เห้งเจียก็ลดลงเข้าไปใกล้ พิจารณาดูในเล่มเกวียนบรรทุกล้วนแต่ กระเบื้อง อิฐ ไม้ ที่ต้นเนินนั้นสูงตั้งชัน แลมีทางเล็กแยกตรงทางหนึ่ง มีประตูใหญ่ทางที่ประตูนั้นมีกำแพงสูง อันเกวียนนั้นจะเข็นขึ้นอย่างไรได้ ดูท้องฟ้าสุขุมดี แต่พิเคราะห์ดูพระสงฆ์เหล่านั้นค่อนอยู่ข้างจะคับแค้น
ตอน ปราบนักพรตปิศาจพรรคมาร (ช่วงที่1)
เห้งเจียมีความสงไสย พิเคราะห์ดูเห็นจะสร้างวัด ชะรอยตำบลนี้ข้าวปลาจะไม่บริบูรณ์ จะหาจ้างคนกุลีไม่ได้ พระสงฆ์จึงต้องทำเองดังนี้ แต่ยังสงสัยไม่แน่แก่ใจ แลไปก็เห็นในประตูเมืองเดินออกมา เป็นเต้าหยินหนุ่มน้อยสองคน ฝ่ายพระสงฆ์เหล่านั้น เมื่อเห็นเต้าหยินเดินมาทุก ๆ คนมีสีหน้าสะดุ้งหวาดออกแรงทนทุกขเวทนาเข็นเกวียนไป
เห้งเจียเห็นดังนั้น ก็นึกรู้ได้ว่าพระสงฆ์เหล่านั้นมีความกลัวเต้าหยิน เราเคยได้ยินชาวชนพูดกันว่า บางทีจะไปไซทีนั้นมีที่นับถือฤๅษีไม่นับถือพระสงฆ์ แน่แล้วเห็นจะเป็นที่นี่เอง จำเราจะลงไปถามดูให้รู้ประจักษ์จริงแก่ใจ คิดแล้วก็ไหวกายแปลงเป็นเต้าหยินปากก็ภาวนาคัมภีร์ฤๅษี เดินมาใกล้ประตูเมือง ยืนคอยรับเต้าหยินทั้งสองนั้น ฝ่ายเต้าหยินทั้งสองเดินออกมา เห้งเจียก็ย่อตัวพูดว่า ท่านผู้มีอายุทั้งสอง ข้าพเจ้าเคารพ เต้าหยินทั้งสองก็เคารพตอบ แล้วถามเห้งเจียว่า ท่านซินแสจะไปข้างไหน เห้งเจียตอบว่า ข้าพเจ้าเที่ยวมาทุกทิศไม่เว้นว่าทางน้ำทางบก วันนี้มาถึงนี่จะหาบ้านที่มีศรัทธาจิต ขอถามท่านทั้งสองว่า ในกำแพงเมืองนี้ ทางไหนจะดี ข้าพเจ้าจะได้บิณฑบาตกิน
เต้าหยินทั้งสองได้ฟังดังนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านซินแสทำไมจึงพูดคำทดถอย คิดดูว่าท่านมาจากไกลจะไม่เข้าใจการในเมืองนี้ ในเมืองนี้อย่าว่าแต่ขุนนางจตุมนตรีใหญ่น้อย แล เศรษฐี มหาเศรษฐี ทั้งผู้ดีเข็นใจไพร่บ้านพลเมืองทั้งสิ้น ก็ย่อมนับถือในเพศฤๅษีทั้งสิ้น จนที่สุดพระเจ้าแผ่นดินก็ยังนับถือ เต้าหยินทั้งสองได้ชี้แจงว่า ในเมืองนี้นามเรียกว่า (เซียตี้ก๊ก) พระเจ้าแผ่นดินกับข้าพเจ้าเป็นญาติกันสนิท เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ถ้ากระนั้นพระเจ้าแผ่นดินมิเป็นเต้าหยินหรือ เต้าหยินทั้งสองตอบว่าไม่ใช่ เหตุว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน ราษฎรมีความเดือดร้อนโดยแห้งแล้งฟ้าฝนไม่บริบูรณ์ ไม่ว่าขุนนางและราษฎร ต่างก็ทำตัวสอาด ตั้งโต๊ะจุดธูปเทียนบ่วงสรวงขอฝน เวลานั้นราษฎรเข้าที่คับแค้น บนฟ้าให้เทวดาใหญ่ลงมาสามองค์ ช่วยสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากความเดือดร้อนคับแค้น
เห้งเจียถามว่านั้นคือฤๅษีอะไร เต้าหยินอธิบายว่า คืออาจารย์ข้าพเจ้าทั้งสามนามเรียกว่า (เฮ้าลัดใต้เซียน) ที่สองนามว่า (ลกลัดใต้เซียน) ที่สามนามว่า (เอี๊ยวลัดใต้เซียน) เห้งเจียถามว่า ท่านอาจารย์ทั้งสามนั้นมีฤทธาอานุภาพสักเพียงใด เต้าหยินบอกว่า เธอเรียกลมเรียกฝนได้ แต้มศิลาให้เป็นทองดุจพลิกมือคว่ำหงาย เพราะฉะนั้นพระเจ้าแผ่นดินและขุนนางจึงได้นับถือ และเขาทั้งหลายนับถือพวกข้าพเจ้าดุจญาติอันสนิท เห้งเจียพูดว่าถ้ากระนั้นฮ่องเต้นี่มีความดีสิบส่วน อันท่านอาจารย์มีฝีมืออย่างนั้น ถึงจะผูกเป็นญาติก็ไม่ต้องพึ่งผู้ใด ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะมีนิสัยจะไปเคารพท่านได้หรือไม่
เต้าหยินหัวเราะแล้วพูดว่า การดังนั้นจะยากอะไร ข้าพเจ้าทั้งสองนี้เป็นสานุศิษย์ดุจหัวใจของเธอ ถ้าจะพาท่านไปดุจแรงเป่าเถ้า เห้งเจียก็ยังทำนบ ๆ นอบน้อม ๆ พูดว่าขอพึ่งท่านได้ยกย่องมาก ๆ
เต้าหยินบอกเห้งเจียว่าคอยสักประเดี๋ยว ข้าพเจ้าจะไปตรวจราชการเสียก่อนแล้วจึงค่อยไป เห้งเจียถามว่าเราบวชเป็นเพศฤๅษีแล้วจะมีราชการอะไรที่ไหน เต้าหยินเอามือชี้ที่กองดินและทรายที่สงฆ์ทั้งหลายนั้น คือตายเป็นอยู่ในมือข้าพเจ้า วิตกด้วยสงฆ์ทั้งหลายจะเกียจคร้าน ข้าพเจ้าจึงต้องไปตรวจดูสักครั้งหนึ่งแล้วจึงจะมา เห้งเจียพูดว่าอันหมู่สงฆ์นั้น คือคนบวชเรียนทำไมจึงใช้ให้เธอทำการงานให้เราด้วยเล่า และต้องอยู่ในบังคับเราดังนั้นจะสมควรหรือ เต้าหยินจึงพูดว่า ท่านยังไม่ทราบเหตุ คือเมื่อปีนี้ในเวลาตั้งพิธีฝน พวกพระสงฆ์อยู่ข้างหนึ่ง ฝ่ายฤๅษีอยู่ข้างหนึ่ง ข้างพระสงฆ์ก็สวดมนต์ไหว้พระขอฝน ข้างฤๅษีไหว้ดาวเดือนเชิญดาวขอฝน เวลานั้นก็ประชุมพร้อมราษฎรและขุนนางทั้งหลาย
ฝ่ายพระสงฆ์สวดมนต์ก็ไม่เป็นการ คือฝนไม่ตกไม่มีมา ฝ่ายฤๅษีอาจารย์ข้าพเจ้าก็เรียกลมขอฝนได้ดังประสงค์ ไพร่บ้านพลเมืองก็ได้ความสุขในราชการตัดสินว่า พระสงฆ์ไม่ต้องการต่อไป ก็กำจัดเสียซึ่งหมู่สงฆ์ และเรียกหนังสือคุ้มตัวคืนให้อยู่ในบังคับข้าพเจ้า เพราะฉะนั้นจึงเข้ารวมกันให้ข้าพเจ้าใช้การต่าง ๆ เพราะห้องหอยังไม่แล้ว จึงบังคับให้พระสงฆ์ไปลากเกวียน กระเบื้อง อิฐ ไปทำ ข้าพเจ้ากลัวว่าพระสงฆ์จะเกียจคร้าน จึงต้องไปทั้งสองคนคอยตรวจตราดู
เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็มายึดเต้าหยินทั้งสองน้ำตาไหลลงพร่างพรายแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าไม่มีนิสัยก็ไม่มีนิสัยจริง จะมิได้เห็นหน้าท่านอาจารย์แล้ว เต้าหยินถามว่าอย่างไรจึงจะมิได้เห็นหน้าเล่า เห้งเจียว่า ข้าพเจ้าอยู่เมืองบนมาเที่ยว ข้อหนึ่งเห็นแก่ชีวิต ข้อสอง เห็นแก่ญาติจะใคร่มาเยี่ยมเยียนให้รู้ทุกข์สุข เต้าหยินถามว่าญาติที่ไหน เห้งเจียว่าข้าพเจ้ามีอาคนหนึ่งไปอุปสมบทเป็นพระสงฆ์หลายปีมาแล้วมิได้เห็นกลับบ้าน ข้าพเจ้าคิดถึงว่าเป็นญาติจึงได้เที่ยวมาค้นหา นึกว่าต้องคับแค้นอยู่ที่นี่ ก็จะไม่ได้พ้นแล้วก็จะยังไม่รู้แน่ ข้าพเจ้าจะทำอย่างไร จึงจะได้ไปค้นหาได้ ได้พบปะสักครั้งหนึ่งแล้ว จึงจะพร้อมกับท่านเข้าไปในเมือง
เต้าหยินว่าถ้ากระนั้นเป็นการง่าย ข้าพเจ้าทั้งสองจะนั่งคอยอยู่ที่นี่ ท่านซินแสช่วยแทนไปตรวจดู มีบัญชีคือคนนั้นห้าร้อยด้วยกันแม้ว่าไปตรวจนั้นมีอา ญาติของท่านแล้วข้าพเจ้าจะปล่อยไป แล้วจึงพร้อมกันกับซินแสเข้าไปในเมืองจะมิดีหรือ เห้งเจียคำนับขอบคุณหาที่เปรียบมิได้ จึงออกจากเต้าหยินมายังที่กองดินนั้น เดินออกจากสองประตูมาที่ทางแยกนั้น พระสงฆ์ทั้งหลายเห็นแล้วต่างก็คุกเข่าลงคำนับพูดว่า พวกข้าพเจ้าไม่มีเกียจคร้าน อยู่พร้อมกันทั้งห้าร้อยคนคอยเข็นเกวียน เห้งเจียโบกมือว่าอย่าคุกเข่าเลยอย่ากลัวข้าพเจ้า ๆ ไม่ใช่คนตรวจ ข้าพเจ้าจะมาหาญาติ
หมู่สงฆ์ได้ยินว่าจะเยี่ยมญาติก็พากันล้อมรอบเห้งเจีย สงฆ์เหล่านั้นก็ออกหน้ามาทุก ๆ คน บ้างก็ทำกระแอมไอ ที่คนไหนไม่อยากให้จำหน้าก็ถอยออกไป พูดว่าไม่รู้ว่าใครเป็นญาติของเธอ เห้งเจียตรวจจำไปพักหนึ่งแล้ว ก็หัวเราะก๊าก ๆ พระสงฆ์ทั้งหลายจึงถามว่า ท่านหัวเราะอะไรที่ไหน
เห้งเจียบอก ท่านทั้งหลายไม่ทราบว่าข้าพเจ้าหัวเราะอะไรหรือ ข้าพเจ้าหัวเราะว่าท่านทั้งหลายไม่มีความเจริญ ด้วยบิดามารดาของท่านเกิดท่านมา เพราะเหตุด้วยต้องเคราะห์ร้าย เว้นพ่อและแม่ทิ้งลูกทิ้งเมียสละสมบัติมาบวชเป็นสงฆ์ ทำไมจึงไม่อยู่ในไตรสรณคมณ์ไม่สวดมนต์ไหว้พระ เหตุไรจึงไปรับจ้างแก่พวกเต้าหยินดังนี้เล่า จะไม่เสียกิริยาสมณะไปหรือ หมู่สงฆ์พูดว่า ท่านเล่าเอี๊ยมาพูดความอัปยศ พวกข้าพเจ้านึกว่าท่านประเทศไกลมาไม่ทราบความคับแค้นของข้าพเจ้าทั้งหลายพูดแล้วก็ร้องไห้ แล้วพูดว่าที่ในเมืองข้าพเจ้านี้ เจ้าแผ่นดินกลับใจเข้าหาทางเต้าหยิน มีความยินดีไปด้วยพวกเล่าเอี๊ย ทำความคับแค้นแก่หมู่พระสงฆ์
เห้งเจียถามว่า คือเหตุอย่างไร พระสงฆ์ตอบว่า เพราะด้วยขอลมขอฝนมีพวกเต้าหยินอาจารย์ทั้งสามมานี้ กำจัดพวกข้าพเจ้าทำหลอกหลอนด้วยอุบายต่าง ๆ เจ้าแผ่นดินก็หลงเชื่อ หักล้มทำลายวัดวาอาราม ขับไล่ไปให้พวกเต้าหยินบังคับใช้สอยให้กระทำการอยาบช้าต่าง ๆ มีความลำบากเหลือที่จะพรรณา แม้ว่าท่านเป็นเต้าหยินเดินหน จงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินรับรางวัลเถิด แม้ว่าสงฆ์มาทางไกลก็มิได้เลือกว่าใกล้ไกล คงจับส่งไปให้พวกเต้าหยินบังคับใช้การงานทั้งสิ้น
เห้งเจียจึงถามว่า อันอาจารย์เต้าหยินนั้นจะมีวิชาคุณวุฒิอย่างไร จึงชักนำให้เจ้าแผ่นดินหลงเชื่อได้ แม้ว่าเธอมีความรู้เรียกลมเรียกฝนได้ คือคัมภีร์ไสยศาตร์ที่ไหนจะทำให้พระเจ้าแผ่นดินหลงได้ หมู่พระสงฆ์พูดว่า เธอแต้มศิลาให้เป็นทองคำก็ได้ และประกอบยาวิเศษก็ได้ และบัดนี้จะสร้างทำเป็นตำหนักหอสูงบูชาซัมเซง ขอฟ้าดินสวดมนต์ตามไสยเวท ขอให้เจ้าแผ่นดินอายุยืนยาว อาศัยเหตุนี้ จึงกระทำให้พระเจ้าแผ่นดิน ทรงเห็นเป็นชอบธรรมไปตามเหตุเดิมทีมีดังนั้น เห้งเจียว่าถ้าดังนั้นท่านทั้งหลายจะพากันหลบหนีไปเสียจะไม่ดีหรือ หมู่พระสงฆ์ทั้งหลายตอบว่า หนีไม่รอดเพราะอาจารย์เต้าหยิน ทูลแก่พระเจ้าแผ่นดินให้วาดรูปพวกข้าพเจ้าไว้ทั้งสิ้น แล้วให้เที่ยวแขวนไว้ทุก ๆ ประตูเมือง ในอาณาเขต (เซียตี้ก๊ก) นี้
มีรูปแขวนไว้ทั้งสิ้น ที่ตำบลใดแห่งใดก็มีรูปแขวนทุกตำบล และมีลายพระราชหัถต์เซ็นว่า ถ้าผู้มียศจับพระสงฆ์ที่หลบหนีได้องค์หนึ่ง ก็จะมีรางวัลเลื่อนยศให้ ถ้าเป็นพลเรือนมิใช่ขุนนาง ก็จะรางวัลให้เงินห้าสิบตำลึง เพราะเหตุนี้จึงหนีไปไม่พ้น จึงไม่รู้ที่จะทำประการใดได้ จำเป็นต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้ เห้งเจียจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นท่านทั้งหลายตายเสียดีกว่าที่จะอยู่ต่อไปอย่างนี้ หมู่พระสงฆ์พูดว่า ตายเสียก็มากแล้วพวกข้าพเจ้า และสงฆ์ที่จับมาจากอื่นๆรวมกันถึงพันเศษ มาถูกความลำบากคับแค้น ตายไปหกร้อยกว่าแล้ว ยังเหลือพวกข้าพเจ้าห้าร้อยเศษไม่ตาย
เห้งเจียถามว่าเหตุใดจึงไม่ตาย หมู่พระสงฆ์พูดว่า ไปผูกคอเชือกก็ไม่ขาด เอามีดเชือดเชือดก็ไม่เข้า กระโดดลงน้ำก็ลอยขึ้นมาไม่จม กินยาพิษยาก็ไม่มีพิษ เห้งเจียพูดว่าถ้ากระนั้นก็เป็นบุญของท่านทั้งหลายเทวดาจะให้อายุยืนยาวอยู่ต่อไป หมู่พระสงฆ์พูดว่ายังขาดอีกอักษรหนึ่งคือให้ยืนยาวความทุกข์เท่านั้น พวกข้าพเจ้ากินเข้าวันละสามเวลา ก็ล้วนแต่ข้าวแดงและปลายเข้า เวลาค่ำก็อาศัยนอนที่กองศิลากองดินทรายนั้น จวนจะหลับก็มีเทวดามาคอยรักษา เห้งเจียว่ามีความลำบากก็เคลิบเคลิ้มเห็นปีศาจ ผี ว่าเป็นเทพยดาอารักษ์ไปดอกกระมัง หมู่พระสงฆ์พูดว่ามิใช่ ผี ปีศาจ คือลักเตงลักกะเจ้าแลท้าวมหาชมพูและเทพารักษ์เจ้าทั้งหลาย ถึงเวลากลางคืนก็มารักษา
เธอเข้าฝันพวกข้าพเจ้าทุกคน แลได้ชักนำสั่งสอนให้พวกข้าพเจ้าว่า อย่าให้คิดฆ่าตัวตายเสียก่อนเลย จึงอุตสาหะทนทุกข์คอยพระถังซัมจั๋งก่อน ด้วยพระถังซัมจั๋งจะไปไซทีอาราธนาพระธรรม เธอคือจะเป็นพระอรหันต์ มีสานุศิษย์ที่มีฤทธาอานุภาพเข้มแขง นามชื่อว่า (ซีเทียนใต้เซีย) น้ำจิตเธอซื่อตรงมักจะแก้แค้นให้แก่คนที่มีทุกข์ร้อน คอยเมื่อเธอมาถึงแล้วจะได้แผ่อำนาจฤทธิ์เดช ล้างผลาญอ้ายพวกเต้าหยินเสียให้สิ้นได้ ก็จะกลับนับถือทางชอบธรรมตามพระพุทธศาสนา พวกท่านก็จะได้ความสุข
เห้งเจียได้ฟังพระสงฆ์พูดดังนั้น ก็นึกหัวเราะอยู่ในใจว่าพวกเรามีฝิมือ พวกเทพารักษ์แลเจ้า แอบเอาชื่อเรามาบอกก่อนแล้ว เห้งเจียก็ออกจากหมู่สงฆ์นั้นไป กลับมายังประตูเมืองเข้าหาเต้าหยินทั้งสองนั้น เต้าหยินทั้งสองถามว่า พบญาติของท่านหรือไม่ เห้งเจียบอกแก่เต้าหยินว่าพระสงฆ์ทั้งห้าร้อยรูปนั้น ล้วนแต่ญาติของข้าพเจ้าทั้งนั้น เต้าหยินทั้งสองได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ทำไมวงศ์ญาติของท่านจึงได้มากดังนั้น เห้งเจียตอบว่า ร้อยหนึ่งคือเพื่อนข้างขวา ร้อยหนึ่งคือเพื่อนข้างซ้าย ร้อยหนึ่งเกี่ยวข้างบิดา ร้อยหนึ่งเกี่ยวข้างมารดา ร้อยหนึ่งมิตรสหายของข้าพเจ้า แม้ว่าท่านทั้งสองเอาพระห้าร้อยนี้ปล่อยออก ข้าพเจ้าจะเข้าไปกับท่าน แม้ไม่ปล่อยข้าพเจ้าก็ไม่ไป
เต้าหยินพูดว่าท่านเห็นจะเป็นโรคลมดอกกระมัง ประเดี๋ยวเดียวก็พูดเลอะเทอะไปเช่นนี้ อันพระสงฆ์เหล่านั้นเป็นของพระเจ้าแผ่นดินทรงประทานให้เอง แม้ว่าจะปล่อยองค์หนึ่งหรือสององค์ก็ต้องให้พระอาจารย์ลงเนื้อเห็นด้วยว่าควรปล่อย แลต้องทำรายงานกราบทูลก่อนจึงจะได้ ท่านจะมาบอกให้ปล่อยไปทั้งหมดอย่างนั้น จะเป็นไปที่ไหนได้ ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่ตลอดได้เป็นแน่
เห้งเจียถามว่าไม่ได้แน่ละหรือ เต้าหยินตอบว่าปล่อยอย่างใดทั้งหมด เห้งเจียถามดังนั้นสามครั้ง เต้าหยินก็ตอบยืนคำอยู่ว่าปล่อยอย่างไรได้ เห้งเจียชักกระบองออกจากหูยกขึ้นแกว่งไปทีหนึ่งหมายตรงศรีษะเต้าหยิน ตีซ้ายตีขวาก็ล้มลงตายทั้งสองคน หมู่สงฆ์อยู่ที่กองดินทรายวงมาร้องว่าไม่ดีแล้ว ๆ ตีฆ่าญาติของพระเจ้าแผ่นดินตายแล้ว เห้งเจียถามว่าใครเป็นญาติของพระเจ้าแผ่นดิน หมู่พระสงฆ์เหล่านั้นบอกว่าที่ตายนั่นซิ บอกแล้วก็เปลื้องเอาผ้าผ่อนออกคลุมศพไว้ แล้วพูดว่าท่านอาจารย์ของเธอที่ตายนั้นเป็นใหญ่ ไม่ไหว้เจ้าและขุนนาง เจ้าและขุนนางเรียกเธอว่า (ก๊กซือ) นี่ซินแสมาตีศิษย์ของท่านตายดังนี้ อาจารย์ของเธอก็จะคาดโทษว่าพวกข้าพเจ้าฆ่าศิษย์ของท่านตายจะทำอย่างไร คงจะต้องเข้าไปในเมืองกับท่านให้รู้เหตุดีร้ายนี้แล้วกลับออกมา
เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าท่านทั้งหลายอย่าวิตก ข้าพเจ้าจะช่วยท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิใช่พวกเต้าหยินดอก คือเป็นสานุศิษย์ใหญ่ของพระถังซัมจั๋งจะมาช่วยท่านทั้งหลายให้พ้นซึ่งความคับแค้นทุกข์ยาก พระสงฆ์ทั้งหลายพูดว่าไม่ใช่ ๆ ข้าพเจ้ารู้จักจำได้ ศิษย์พระถังซัมจั๋งไม่ใช่รูปอย่างนี้ เห้งเจียว่าท่านทั้งหลายยังไม่เคยพบปะทำไมจึงว่าจำได้ สงฆ์ทั้งหลายบอกว่าข้าพเจ้าเคยฝันเห็นเนือง ๆ แลทั้งมีผู้เฒ่าคนหนึ่งเธอชื่อ (ท้ายเป๊กกิมแช) บอกแก่พวกข้าพเจ้าว่าซึงเห้งเจียนั้นรูปร่างไม่เหมือนใคร
เห้งเจียถามว่าเฒ่านั้นบอกแก่ท่านว่ากระไร สงฆ์ทั้งหลายพูดว่าผู้เฒ่านั้นบอกว่า เห้งเจียนั้นในแก้วตาเป็นสีทองคำ ศรีษะกลมหน้ามีขนแก้มตอบฟันแหลมจิตใจห้าวหาญ คล้าย ๆ รามสูรมือถืออาวุธกระบองวิเศษ มีฤทธาอานุภาพเชี่ยวชาญไม่ยำเกรงผู้ใด น้ำใจซื่อตรงพอใจจะช่วยผู้ที่ได้ความคับแค้น เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็พูดเสียงดังว่า ท่านทั้งหลายจริงใจว่ามิใช่เห้งเจีย ข้าพเจ้าเป็นบวิวารของเห้งเจียจะมาหาเหตุเล่น แล้วเห้งเจียเอามือชี้ไปว่าโน่นไม่ใช่เห้งเจียหรือพระสงฆ์ทั้งหลาย ก็พากันหันหน้าแลไปดูตามมือเห้งเจียที่ชี้ให้ดู เห้งเจียก็แปลงกายกลับเป็นรูปเดิม
พระสงฆ์ทั้งหลายเห็นดังนั้น ต่างคนก็คุกเข่าลงคำนับ พูดว่าท่านใต้เอี๊ย พวกข้าพเจ้าในตาต่ำ มิได้ทราบว่าท่านมีฤทธาอานุภาพเปลี่ยนแปลงกว้างอย่างนี้ไม่ ขอท่านได้ช่วยแก้แค้นให้พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด แลขอท่านเข้าไปในเมืองกำจัดพวกมิจฉาทิฏฐิให้ราบคาบ เห้งเจียว่าท่านทั้งหลายจงตามข้าพเจ้าไป สงฆ์เหล่านั้นก็เดินตามเห้งเจียมายังกองดินทรายนั้น จับเกวียนลากออกประตู แล้วฟาดลงกับพื้นแตกหักไปสิ้น ทั้ง อิฐ ปูน ทราย ไม้ กระเบื้อง สิ่งของที่ปลูกสร้างเหล่านั้น ก็เก็บโยนลงจากที่เนินสูงนั้นทั้งสิ้น แล้วก็บอกแก่พระสงฆ์เหล่านั้น ให้แยกย้ายกันไปเถิด พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะเข้าไปหาพระเจ้าแผ่นดิน จะกำจัดพวกเต้าหยินนี้ให้ราบคาบ
พระสงฆ์ทั้งหลายบอกว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่กล้าจะไปไกลกลัวขุนนางจะจับได้ ก็จะส่งคืนเข้ามาอีก ก็จะเกิดภัยมากขึ้นกว่าเก่า เห้งเจียพูดว่าถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะให้ของคุ้มตัวทุก ๆ คน เห้งเจียจึงถอนขนในตัวออกกำมือหนึ่ง แล้วส่งให้พระสงฆ์ทั้งหลายคนละขนเหน็บไว้ในเล็บนิ้วนางข้างขวาและให้กำมือไว้ แม้ไปปะเขาจะมาจับตัว ก็ปล่อยมือออกร้องเรียกว่า ซีเทียนใต้เซียคำหนึ่ง ข้าพเจ้าจะไปช่วยท่านทั้งหลาย แม้ว่าทางจะไกลสักกี่ร้อยโยชน์ก็คุ้มได้ทั้งสิ้น
ในหมู่พระสงฆ์นั้น ยังมีพระสงฆ์องค์หนึ่งใจกล้า กำมือแล้วร้องเรียกซีเทียนใต้เซีย ในทันทีนั้นมีรามสูรมาต่อหน้า รูปร่างดุร้ายมือถือกระบองเหล็กกระทำสีหนาทน่ากลัว ถึงจะมีทหารสักหมื่นก็ไม่อาจสามารถจะทำอันตรายได้ พระสงฆ์ทั้งหลายเห็นดังนั้น ก็พากันทดลองร้องเรียกทุก ๆ คน ก็ให้เห็นแลได้เป็นจริงปรากฎทุกคน จึงพากันคำนับเห้งเจียแล้วพูดว่า ท่านมีอภินิหารย์เดชาอานุภาพใหญ่หลวงเห็นปรากฎจริง ๆ ประจักษ์แก่ตาข้าพเจ้าทั้งหลาย เห้งเจียบอกว่าแม้เรียกดังนั้นแล้ว ต้องภาวนาเรียกกลับคืน แล้วก็บอกคาถาว่า (ติ) ตัวเดียว ก็เรียกเป็นขนคืนกลับมาเข้าเล็บไปตามเดิม
พระสงฆ์ทั้งหลายได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ ต่างก็จำทรงไว้ทุก ๆ องค์ เห้งเจียสั่งพระสงฆ์ทั้งหลายว่า แม้ท่านจะไปก็อย่าไปให้ไกลนัก จงคอยฟังข่าวในเมือง เพื่อจะมีประกาศให้หาพระสงฆ์ ถ้าดังนั้นท่านทั้งหลายจงเอาขนมาคืนให้ข้าพเจ้า หมู่พระสงฆ์ทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียสั่งดังนั้นก็พากันแยกย้ายไปในที่ต่าง ๆ
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งรอคอยเห้งเจียไม่เห็นมา จึงเรียกโป๊ยก่ายให้จูงม้าเดินไปทางทิศตะวันตก จวนจะถึงกำแพงเมืองก็พบหมู่พระสงฆ์เดินสวนทางมาสิบรูปกว่า แลไปเห็นเห้งเจียอยู่ริมกำแพงเมือง พระถังซัมจั๋งก็ขับม้าเดินเข้าไปใกล้ เห้งเจียเห็นก็รีบมาคำนับอาจารย์ พระถังซัมจั๋งถามว่าทำอะไรอยู่จึงไม่เห็นกลับไป เห้งเจียจึงเล่าเรื่องของพระสงฆ์เหล่านั้นให้อาจารย์ฟังทุกประการ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจแล้วจึงถามว่า อันการเกิดขึ้นดังนี้จะทำประการใดดี
พระสงฆ์เหล่านั้นคุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า ท่านอาจารย์อย่าวิตกมีท่านใต้เอี๊ยรักษาแล้วสารพัดการก็จะไม่เป็นอะไรหมด ที่ในกำแพงเมืองมีวัดใหญ่ของพระเจ้าแผ่นดินก่อนมีศรัทธาได้สร้างไว้ เพราะในวัดนั้นมีพระพุทธรูปอยู่จึงมิได้ทำลาย นามวัดนั้นเรียกว่า (ตี้เอียนยี่) ข้าพเจ้าทั้งหลายนี้บวชอยู่ในวัดนั้น ขอเชิญท่านอาจารย์ไปพักที่ในวัดนั้นก่อน รอพอรุ่งพรุ่งนี้ท่านเห้งเจียเข้าไปในเมือง จัดแจงก็จะสำเร็จทุกประการได้
เห้งเจียว่าถ้ากระนั้นเห็นจะดี พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงลงจากหลังม้าพากันเข้าไปในเมืองมายังวัดตี้เอียนยี่ พระถังซัมจั๋งมาถึงวัดแล้ว แลขึ้นไปบนประตูใหญ่มีกระดานป้ายใหญ่ จารึกอักษรว่าวัดตี้เอียนยี่ พวกพระสงฆ์เหล่านั้นก็ผลักประตูเข้าไป พระถังซัมจั๋งเดินเข้าไปยังโบถส์ครองผ้าแล้วก็เดินเข้าไปนมัสการพระพุทธรูป แล้วก็เดินเข้าไปยังกุฎิใหญ่ ในกุฎินั้นมีพระสงฆ์ผู้เฒ่าอยู่องค์หนึ่งเดินออกมารับแลเห็นเห้งเจียก็คำนับพูดว่าท่านเล่าเอี๊ยมาแล้ว เห้งเจียถามว่าท่านรู้จักข้าพเจ้าว่าเป็นผู้ใด
พระสงฆ์เฒ่าผู้นั้นตอบว่าข้าพเจ้าจำได้ท่านคือซีเทียนใต้เซีย ซึงเห้งเจีย พวกข้าพเจ้าฝันเห็นรูปท่านอยู่เนือง ๆ และทั้งท่านท้ายเป๊กกิมแชเคยมาให้ฝันอยู่เสมอ ๆ ว่า ถ้าท่านมาถึงแล้วก็จะได้รอดชีวิต วันนี้จึงได้เห็นท่านมา เห้งเจียพูดว่าท่านรอพรุ่งนี้จึงจะได้รู้การตลอด พระสงฆ์ทั้งหลายก็จัดแจงน้ำร้อนน้ำชามาเลี้ยง แล้วก็จัดที่ให้พระถังซัมจั๋งพักต่างก็พากันไปหลับนอน ในเวลานั้นสองยามเศษ ฝ่ายเห้งเจียมีธุระในใจนอนไม่หลับ ได้ยินเสียงแว่ว ๆ จึงผุดลุกขึ้นเดินออกมาจากห้อง เหาะขึ้นบนอากาศพิเคราะห์ดู เห็นข้างทิศตะวันออกเฉียงใต้ไฟตะเกียงออกสว่างไสว เห้งเจียก็ลงไปใกล้ ๆ พิเคราะห์ดูโดยละเอียด เห็นมีที่บูชาพรหมซัมเซง และเต้าหยินอาจารย์ทั้งสามกำลังทำพิธีเชิญดาว ข้างหน้าประตูมีหนังสือเหรียญคำพรแขวนไว้สองข้างประตูคู่หนึ่ง
คำพรนั้นว่าขอลมฝนให้ตกต้องตามฦดูขอฟ้าอภินิหารย์ธรรมได้ประเสริฐ มหาสมุทรให้ระงับสุกใส เจ้าแผ่นดินอายุเจริญนาน ฝ่ายอาจารย์เต้าหยินทั้งสาม แต่งตัวยืนอยู่ท่ามกลางพวกสานุศิษย์เต้าหยินล้อมรอบทั้งเล็กใหญ่ ประมาณสักเจ็ดแปดร้อยคน บางคนตีกลองบางคนตีระฆัง ต่างมีธุระในการพิธีนั้นทุกคนๆ เห้งเจียจึงคิดว่า เราจะลงไปทำให้ป่นเกรงว่าเรามาคนเดียวจะลำบาก จำจะกลับไปชวนโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งมาเป็นเพื่อนด้วย จึงจะทำการได้ถนัดดี คิดเห็นดังนั้นแล้วก็เหาะกลับมายังที่อาศัยเดินเข้าไปในกุฎิ เรียกซัวเจ๋ง ๆ ตกใจผุดลุกขึ้นถามว่าพี่ป่านนี้ยังไม่นอนอีกหรือ
เห้งเจียบอกว่าเจ้าจงลุกขึ้นไปกับพี่ไปหาของที่ต้องการ ซัวเจ๋งถามว่า ครึ่งค่อนคืนป่านนี้แล้ว จะไปหาของต้องการอะไรที่ไหน เห้งเจียพูดว่าในกำแพงเมืองมีหอใหญ่ตั้งที่บูชาพรหมซัมเซง เวลานี้พวกอาจารย์เต้าหยินกำลังตั้งพิธีเชิญดาว มีเครื่องสารพัดขนมนมเนยโอชารต่าง ๆ ทั้งผลไม้ก็มีเปนอันมาก น้องไปกับพี่กินให้อิ่มแล้วจึงกลับมา โป๊ยก่ายกำลังนอนได้ยินพูดถึงเรื่องกินอะไรที่ไหน อดไม่ได้ก็ผุดลุกขึ้นถามว่า พี่ไม่เอาข้าพเจ้าไปด้วยดอกหรือ เห้งเจียห้ามว่าอย่าพูดอึกระทึกไปอาจารย์จะรู้เรื่องเข้า เจ้าจงมาตามเราไปเถิด โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งสวมเสื้อแต่งตัวเสร็จแล้วก็ค่อย ๆ ออกจากประตูเหาะตามเห้งเจียไป
ฝ่ายโป๊ยก่ายเหาะมาใกล้ เห็นแสงไฟสว่างไสวจะใคร่ลงมือ เห้งเจียยึดไว้ห้ามว่าอย่าเพิ่งก่อน รอพวกเต้าหยินไปแล้วเราจึงลงไป ในทันใดนั้น เห้งเจียร่ายพระคาถาเอาธาตุลมเป่าไปบันดาลเป็นลมพายุใหญ่พัดโกรกเข้าไปในที่บูชานั้น สารพัดเครื่องบูชาทั้งหลายก็หักล้มลงทั้งสิ้น ประทีบโคมไฟก็ดับมืดไปทั้งหมด พวกเต้าหยินพากันตกใจไปทุกคน เฮ้าลัดใต้เซียนอาจารย์ใหญ่พูดว่า สานุศิษย์ทั้งหลายจงไปก่อนเถิด อันม้วนลมพายุดังนี้พัดมาดับตะเกียงไฟไปดังนั้น ควรจะกลับไปหลับนอน พรุ่งนี้จึงค่อยมาพร้อมกัน สวดมนต์สองสามจบเพิ่มเติม พวกสานุศิษย์เต้าหยินเหล่านั้นก็พากันกลับไปทั้งสิ้น
เห้งเจียเห็นพวกเต้าหยินกลับไปแล้ว ก็พาโป๊ยก่ายซัวเจ๋งลงไปยังโรงพิธีนั้น โป๊ยก่ายพอมาถึงเห็นขนมลูกไม้ตั้งอยู่บนโต๊ะไม่เลือกว่าสุกหรือดิบคว้าได้ก็อ้าปากรีบกิน เห้งเจียจึงว่าเจ้าทำกิริยาอาการอย่างนี้เหมือนแก่ทารก จะนั่งลงให้เรียบร้อยจึงค่อยกินจะไม่ได้หรือโป๊ยก่ายว่าไม่ต้องอายใคร ขโมยกินให้หมดแล้วจึงค่อยนั่ง ซัวเจ๋งว่าบางทีเขาเชิญมาจะทำอย่างไร เห้งเจียถามว่าฉากที่แขวนอยู่นั้นคือรูปโพธิสัตว์อะไร โป๊ยก่ายบอกว่ารูปซัมเซงจะไม่รู้ทีเดียวหรือ เห้งเจียถามว่าซัมเซงอะไร โป๊ยก่ายบอกว่าที่รูปอยู่กลางนั้นคือพรหมง่วนซุ้ยทีกุน ข้างซ้ายนั้นคือเล่งโป๊เต้ากุน ข้างขวานั้นคือท้ายเสียงเล่ากุน
เห้งเจียว่าเราทั้งสามจงแปลงเป็นซัมเซงทั้งสาม นั่งกินให้สบายใจ โป๊ยก่ายได้กลิ่นหอมโดนจมูกก็นึกอยากกิน จึงกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะสองมือกระชากฉากซัมเซงลงมา แล้วพูดว่าท่านทั้งสามนั่งนานแล้ว ขอให้ข้าพเจ้านั่งบ้าง โป๊ยก่ายก็แปลงกายเป็นท้ายเสียงเล่ากุน เห้งเจียก็แปลงเป็นง่วนซุ้ยทีกุน ซัวเจ๋งก็แปลงเป็นเล่งโป๊เต้ากุน
เห้งเจียว่าโป๊ยก่ายเอารูปฉากทิ้งเกะกะดังนี้ บางทีพวกเต้าหยินมาเห็นเข้า ความจะไม่แตกออกหรือ จงเอาไปซ่อนเสียให้พ้น โป๊ยก่ายว่าในที่นี้ก็ไม่มีที่จะซ่อนที่ไหน เห้งเจียว่าที่ข้างนี้เห็นจะมีสระอยู่เอาไปทิ้งเสียก็แล้วกัน โป๊ยก่ายจึงกระโดดลงฉวยเอารูปฉากนั้นไปทิ้งในสระน้ำแล้วก็กลับมา ทั้งสามคนก็ขึ้นนั่งกินตามสบายใจ เห้งเจียกินผลไม้ได้สามสี่ผล โป๊ยก่ายซัวเจ๋งทั้งสองกินดุจลมหอบเมฆพักเดียวก็หมดเกลี้ยง
ฝ่ายพวกเต้าหยินน้อย ๆ พึ่งจะล้มตัวลงนอนก็ตรึกตรองคิดขึ้นได้ว่า ลืมทิ้งระฆังไว้ในที่นั้น จึงผุดลุกขึ้นเดินไปในที่พิธีจะใคร่ไปหาระฆัง ก็เที่ยวคลำหา ครั้นได้ระฆังแล้วเดินจะกลับมาได้ยินเสียงหายใจ เต้าหยินตกใจรีบก้าวเดินออกมา ไปเหยียบถูกเมล็ดเงาะเข้าก็พลาดล้มลงระฆังก็แตกออกไป โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ จึงหัวเราะด้วยเสียงอันดัง เต้าหยินได้ยินดังนั้นก็ยิ่งมีความตกใจตาลีตาลานรีบลงมาจากหอใหญ่ ตบประตูร้องเรียกว่าท่านตาท่านตาไม่เป็นการแล้ว ฝ่ายอาจารย์เต้าหยินทั้งสามยังไม่หลับ จึงเปิดประตูออกมาถามว่ามีเหตุการณ์อย่างไรหรือ เต้าหยินน้อยตัวสั่น พูดไม่ใคร่จะออกจึงบอกว่าข้าพเจ้าขึ้นไปหาระฆังที่ในโรงพิธี ได้ยินเสียงคนหัวเราะจนข้าพเจ้าตกใจกลัวโดยไม่รู้ว่าใครมาอยู่มืด ๆ อย่างนั้น
อาจาริย์เต้าหยินทั้งสามได้ฟังดังนั้น จึงให้เอาตะเกียงไฟมา จะออกไปดูว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายดีประการใด จึงเรียกสานุศิษย์ให้ตื่นขึ้นพร้อมกันทั้งเด็กแลผู้ใหญ่ จุดไฟขึ้นพร้อมกันเดินขึ้นไปยังที่พิธี เพื่อจะดูให้รู้แน่แก่ใจ อ่านต่อ_
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น