
ตอน ปะทะหงไหเอ๋อ[ลูกไฟแดงน้อย] (ช่วงที่2)
ฝ่ายเห้งเจียหนีออกมาจากไฟ ๆ ก็ติดไหม้ทั้งตัว ก็โจนลงในห้วยหาน้ำดับไฟหมายว่าจะให้เย็น มิได้รู้ว่าถูกน้ำเย็นไฟยิ่งจะลุกขึ้นร้อนแรง ไฟร้อนเข้าในหัวใจวิญญาณก็ถอดออกจากกาย ธาตุลมก็สูญสิ้นดับไปหมด ร่างกายก็เย็นไปทั้งตัว เล่งอ๋องทั้งสี่เห็นดังนั้นก็พากันตกใจ รีบมาบอกแกโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ๆ ได้ทราบดังนั้นก็รีบแก้ม้ายกหาบใส่บ่าออกจากดงไม้สนเดินมา โคลนเลนอะไรก็มิได้กลัวเปื้อนเปรอะ แลหาตามห้วยเห็นน้ำกระเพื่อมอยู่ ซัวเจ๋งก็กระโจนลงไปอุ้มเห้งเจียขึ้นมาบนบก เห้งเจียดิ้นรนมืองอไปหมดทั่วสรรพางค์กายเย็นไปหมด ซัวเจ๋งก็ร้องไห้พูดว่า น่าเสียดายพี่ร้อยหมื่นปีไม่แก่ไม่ตาย มาวันนี้เหตุใดจึงได้แปลเป็นอายุสั้นไปอย่างนี้เล่า
โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า อย่าร้องไห้ไปเลยอ้ายลูกลิงมันแกล้งทำตายหลอกให้พวกเรากลัว เธอเปลี่ยนแปลงได้ถึงเจ็ดสิบสองอย่างก็มีเจ็ดสิบสองชีวิต โป๊ยก่ายบอกให้ซัวเจ๋งยืดเท้าเธอออก ซัวเจ๋งจับเท้าเห้งเจียยืดออก โป๊ยก่ายเข้าประคองศรีษะะแล้ว ยกตั้งให้นั่งขัดสมาธิ โป๊ยก่ายก็ขยี้สองฝ่ามือให้ร้อนแล้ว ลูบตามทวารช่องหูช่องตาแลลูบที่ท้องน้อย เห้งเจียถูกน้ำเย็นลมหยุดทุกทวาร กระแสเสียงไม่มี ครั้นโป๊ยก่ายทำวิธีนวดฟั้นดังนั้น บัดเดี๋ยวลมก็เดินตลอดเป็นปรกติ จึงออกปากร้องเรียกพระอาจารย์คำหนึ่ง
ซัวเจ๋งพูดว่าพี่เป็นห่วงอาจารย์จนตัวตายแล้วก็ยังอยู่ในปาก จงฟื้นขึ้นเถิดพวกข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว เห้งเจียลืมตาพูดว่า ข้าพเจ้าได้พึ่งพี่น้องทั้งหลาย พูดแล้วก็ผุดลุกขึ้นแหงนหน้าถามว่า พี่น้องเง่ากวั้งเล่าอ๋องอยู่ที่ไหน เล่งอ๋องตอบว่าพี่น้องข้าพเจ้าคอยอยู่นี่ เห้งเจียพูดว่าขอบใจพี่น้องทั้งหลายมาช่วยโดยความลำบาก ก็ไม่สำเร็จการ ขอเชิญท่านกลับเถิด วันอื่นข้าพเจ้าจะไปขอบคุณ เล่งอ๋องก็คำนับลาเห้งเจียแล้วก็พาพวกบริวารกลับไปสถานที่แห่งตน ๆ
ซัวเจ๋งเข้าพยุงเห้งเจียเดินเข้าพักในดงไม้สน เห้งเจียนั่งพักประเดี๋ยว ก็ได้สะติมีกำลังขึ้น คิดขึ้นมาน้ำตาก็ไหลนองอาบหน้า ออกปากว่าพระอาจารย์ลำบากเหลือที่จะทนได้ ซัวเจ๋งพูดว่าพี่จะร้องไห้ไปทำไม พวกเราจงคิดอุบายไปเชิญพลที่ไหนมาช่วยแก้อาจารย์ออก เห้งเจียว่าจะไปหาใครที่ไหนมาช่วย ตั้งแต่ทำสงครามมาเทพยดามนุษย์ที่ไหนก็ไม่อาจต่อสู้พี่ได้ ก็อันปีศาจนี้มันมีฤทธิ์เข้มแขง ต่อผู้ใดมีฤทธาอานุภาพมากกว่าพี่จึงจะต่อสู้มันได้ ถ้าไม่เชิญพระโพธิสัตว์กวนอิมมา ก็จะแก้ปีศาจนี้ไม่ได้ แต่ขัดด้วยตัวพี่ยังเจ็บทั่วสรรพางค์กาย จะเหาะไปยังมิได้ ทำอย่างไรจึงจะเหาะไปได้
โป๊ยก่ายพูดว่า พี่จะสั่งเสียว่ากระไร ข้าพเจ้าจะไปเชิญเอง เห้งเจียวาดีแล้ว แม้ว่าน้องไปถึงท่านแล้วจงทำกิริยาคำนับแล้วคุกเข่าก้มหน้า คอยท่านถามจงนำความตำบลนี้เล่าบอกชื่อปีศาจและเหตุการณ์ให้ท่านทราบ และนิมนต์ท่านให้มาช่วย แก้อาจารย์ออกด้วย โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้น ก็เหาะขึ้นบนอากาศไปยังเขาน่ำไฮ้
ฝ่ายปีศาจอั้งฮั้ยยี้ เวลานั้นอยู่ในถ้ำ ดีใจก็ดีใจกลัวก็กลัวพูดแก่บริวารว่า เห้งเจียถูกไฟหนีวันนี้แม้ไม่ตายก็มืดมัว เราวิตกว่าหากจะไปหาใครมาช่วยอีก เราจะต้องออกไปดู มันจะไปหาผู้ใดมา อั้งฮั้ยยี้ว่าแล้วก็เดินออกไปนอกถ้ำ เหาะขึ้นบนอากาศพิจารณาดู บังเอิญโป๊ยก่ายเหาะไปทางทิศน่ำไฮ้ ปีศาจเห็นแล้วจึงคิดว่าเห็นจะไปหาพระกวนอิม ปีศาจก็ลดลงมายังถ้ำ เรียกปีศาจน้อยให้เอาถุงหนังออกมา จัดแจงเปลี่ยนเชือกหูรูดเสียใหม่ไม่ได้ใช้นานแล้ว กลัวเชือกจะไม่แน่นหนา พวกเจ้าจงจัดเกวียนไว้ คอยข้าจะไปจับโป๊ยก่ายมาใส่ถุงนี้ต้มให้สุก อันที่จริงปีศาจอั้งฮั้ยยี้มีถุงวิเศษ พวกปีศาจบริวารจึงเอาถุงออกมาตระเตรียมไว้สำรอง ปีศาจอั้งฮั้ยยี้เดินออกไปนอกถ้ำแล้วก็เหาะขึ้นบนเวหาชิงออกหน้าโป๊ยก่ายแล้วลงหยุดนั่งบนยอดเขา แปลงกายให้เหมือนพระกวนอิม นั่งคอยท่าโป๊ยก่าย
โป๊ยก่ายเหาะมาแลไปเห็นพระกวนอิมนั่งอยู่ โป๊ยก่ายมิได้รู้ว่าปีศาจแปลง พอแลเห็นก็นึกว่าพระกวนอิม โป๊ยก่ายก็ลดลงนมัสการว่าพระโพธิสัตว์ ข้าพเจ้าคือหงอเหนงคำนับ ปีศาจว่าทำไมไม่ไปตามถังซัมจั๋งมาหาเราจะมีกิจธุระอะไรหรือ โป๊ยก่ายบอกว่าข้าพเจ้าตามอาจารย์ไปข้ามมาถึงเขาพ้อซัว ตำบลห้วยโคกั๊นถ้ำฮ้วยหุ่นต๋อง ปีศาจอั้งฮั้ยยี้จับเอาพระอาจารย์ไปซ่อนไว้ในถ้ำ พี่น้องข้าพเจ้าได้ตามมารบกับมัน ๆ พ่นไฟออกเผาจึงมิได้เอาชัยชนะแก่มันได้ ครั้งที่สองพี่เห้งเจียเชิญพระยาเล่งอ๋องเอาน้ำมาดับไฟ ก็ไม่เอาชัยชนะมันได้ จึงให้ข้าพเจ้ามานิมนต์ท่านไปช่วยแก้อาจารย์ให้พ้นภัย
ปีศาจพูดว่าที่ถ้ำฮ้วยหุ่นต๋องปีศาจก็หาได้ทำร้ายแก่ผู้ใดไม่ เห็นพวกเจ้าจะไปทำถูกต้องอย่างไรดอกกระมัง โป๊ยก่ายพูดว่าข้าพเจ้ามิได้ทำอะไรแก่เธอ พี่เห้งเจียจะไปทำอย่างไรบ้างข้าพเจ้ารู้ไม่ได้ แต่ปีศาจนั้นแปลงเป็นเด็กเจ็ดขวบ ขึ้นไปแขวนอยู่บนยอดไม้สูงอาจารย์บอกให้ข้าพเจ้ารับไปข้าพเจ้าว่าให้ขี่พี่เห้งเจียไป พี่เห้งเจียเอาเธอฟาดลงกับพื้น เธอก็ทำให้เป็นพายุมืดมัวแล้วก็จับอาจารย์ไป
ปีศาจพูดว่าเจ้าจงลุกขึ้นตามเราไปที่ถ้ำนั้น เมื่อเข้าไปถึงจงไหว้เขาเสียทีหนึ่งจะได้ขออาจารย์ออก โป๊ยก่ายมิได้รู้สึกว่าปีศาจก็ตามหลังปีศาจกลับไปยังถ้ำ มาบัดเดี๋ยวก็ถึงประตูถ้ำ ปีศาจพูดแก่โป๊ยก่ายว่าเขาจะมีความสงสัยเพราะเธอกับเราชอบกัน เจ้าจงตามเราเข้าไปข้างใน โป๊ยก่ายก็เดินตามเข้าไปในประตู พวกปีศาจบริวารก็โห่ขึ้นพร้อมกันจับโป๊ยก่ายใส่เข้าในถุงหนัง แล้วรวบมัดปากถุงลากมาแขวนไว้บนอกไก่
ปีศาจอั้งฮั้ยยี้ก็แปลงกลับเป็นรูปเดิม แล้วถามว่าโป๊ยก่ายมึงมีฝีมืออย่างไร จึงได้รักษาถังซัมจั๋งไปไซที และอาจไปนิมนต์พระกวนอิมให้มากำจัดกู สองตามึงไม่รู้จักกูหรือ เราคือเซี้ยเองใต้อ๋อง วันนี้จะต้มมึงให้สุกจะเอาเนื้อเจ้ารางวัล ให้บริวารของเรากินแกล้มเหล้าเล่น โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็ด่าว่าอ้ายสัตว์เดรัจฉาน มึงทำไมล่อหลอกกูมาจะกินเนื้อกูตามแต่มึงจะกิน กูจะทำให้มึงหัวบวมใหญ่ขึ้นให้เป็นโรคทุก ๆ คน
ฝ่ายเห้งเจียนั่งอยู่กับซัวเจ๋งมีสายลมพัดมาเหม็นคาว เห้งเจียก็จามขึ้นทีหนึ่งแล้วพูดว่าไม่ดีแล้ว สายลมนี้ร้ายมากกว่าดีเห็นโป๊ยก่ายจะเดินทางผิดไปพบปีศาจเข้าเสียแล้วดอกกระมัง เห้งเจียจึงพูดแก่ซัวเจ๋งว่า น้องจงอยู่ดูแลข้าวของไว้พี่จะไปฟังดูว่าจะมีเหตุร้ายดีประการใด ซัวเจ๋งว่าพี่ยังเจ็บอยู่ให้ข้าพเจ้าไปฟังเองเถิด เห้งเจียพูดว่าน้องไปไม่ได้ไม่เป็นการให้พี่ไปเอง เห้งเจียก็ทนเจ็บอุตส่าห์เดินไปตรงมายังหน้าถ้ำ ครั้นถึงจึงเรียกอ้ายพวกปีศาจที่เฝ้าประตู ก็วิ่งเข้าไปบอกว่าเห้งเจียมาอีกแล้ว
ปีศาจอั้งฮั้ยยี้จึงร้องให้จับตัวมันไว้ ปีศาจเหล่านั้นก็พากันถืออาวุธวิ่งกรูออกมาเปิดประตูร้องว่าจับตัวให้ได้ เห้งเจียเวลานั้นกำลังยังอ่อนก็ไม่อาจสู้รบ จึงหลบอยู่ข้างทางร่ายคาถาแปลงเป็นเป๋าเล็กเป๋าหนึ่ง พวกปีศาจวิ่งออกมาก็เห็นเป๋าตกอยู่ จึงเก็บเอากลับเข้าไปในถ้ำบอกแก่ปีศาจใต้อ๋องว่า เห้งเจียกลัวพวกข้าพเจ้าจะจับก็วิ่งหนีทิ้งเป๋าไว้ข้างทางข้าพเจ้าเก็บมาได้ อั้งฮั้ยยี้พูดว่าเป๋านิดหนึ่งเท่านี้ราคาไม่เท่าไรก็ไม่เอาเป็นธุระทิ้งไว้ข้างในประตู เห้งเจียแปลงจึงถอนขนออกมาขนหนึ่ง แปลงเป็นเป๋าหนังอย่างเดียว ตัวของเห้งเจียก็แปลงเป็นแมลงวันตัวหนึ่ง บินขึ้นจับบนธรณีประตูได้ยินเสียงโป๊ยก่ายบ่นอยู่ในถุงที่แขวนนั้น แลได้ยินโป๊ยก่ายด่าว่าปีศาจด้วยถ้อยคำหยาบช้าว่า มึงทำแปลงเป็นพระกวนอิมหลอกให้กูมาในถ้ำ จับกูแขวนจะกินเนื้อกู แม้พี่กูมาแผ่นอำนาจทั่วทั้งเขา กำจัดพวกเองเปิดถุงปล่อยกูออกมา ก็จะจับพวกมึงด้วยคราดนี้จึงจะสาแก่ใจกู
เห้งเจียแอบได้ยินก็กลั้นหัวเราะมิได้ จึงคิดว่าโป๊ยก่ายอยู่ในถุงนี้ ได้ความทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้ยังไม่คิดลดทิ้งอาวุธ คิดจะอุบายแก้โป๊ยก่ายออกในขณะนั้น ก็พอได้ยินเสียงปีศาจใต้อ๋องเรียกว่าทหารทั้งหกอยู่ที่ไหน ปีศาจทั้งหกนั้นคือผู้ที่แข็งแรง ปีศาจใต้อ๋องตั้งนามให้เรียก หุ้นลี้บู๊ผู้หนึ่ง บู๊ลี้หุ้นผู้หนึ่ง กิมยู่ฮ้วยผู้หนึ่ง ข่วยยู่ฮองผู้หนึ่ง เฮ้งอั่งเฮงผู้หนึ่ง เฮงอั่งเฮ้งผู้หนึ่ง ทหารทั้งหกได้ยินใต้อ๋องเรียกก็เข้ามาคุกเข่าลง อั้งฮั้ยยี้ถามว่าพวกเจ้าทั้งหกจำใต้อ๋องบิดาข้าได้หรือไม่ ทหารทั้งหกบอกว่าจำได้ อั้งฮั้ยยี้บอกว่าพวกเจ้าจงไปเชิญเธอมาบอกว่าบัดนี้ข้าจับถังซัมจั๋งได้แล้วจะต้มให้เธอกิน จะได้อายุยืนยาวอยู่ชั่วฟ้าแลดิน ทหารทั้งหกก็คำนับลาไป เห้งเจียได้ยินดังนั้นก็โผบินตามทหารทั้งหกไป
(บทที่ ๔๒)
ฝ่ายทหารปีศาจทั้งหกออกจากถ้ำ ก็หมายตรงไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ เห้งเจียก็คิดในใจว่า ปีศาจอั้งฮั้ยยี้จะให้พวกเหล่านี้ไปเชิญบิดามันมากินเนื้ออาจารย์เรา บิดามันคืองู้หม้ออ๋อง ๆ เดิมก็ผูกสมัครเป็นมิตรสหายกับเรา มาบัดนี้เราเข้าหาที่ชอบแล้ว งู้หม้ออ๋องยังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ ถึงจากกันไปนานก็จริงแต่ยังจำกิริยาอาการกันได้อยู่ อย่าเลยเราจะแปลงเป็นงู้หม้ออ๋อง หลอกมันดูสักคราวหนึ่ง ดูจะเป็นประการใด เห้งเจียบินขึ้นหน้าปีศาจทั้งหกประมาณสักห้าสิบเส้นแล้ว ก็ไหวกายแปลงเป็นรูปงู้หม้ออ๋อง แล้วถอนขนออกสี่ห้าเส้นแปลงเป็นคนใช้ห้าคนอยู่ในเนินเขาทำเป็นกิริยาไล่เนื้อป่า คอยปีศาจทั้งหกอยู่ในป่านั้น
ฝ่ายพวกปีศาจทั้งหกตนกำลังเดินมา แลไปเห็นงู้หม้ออ๋องนั่งอยู่ท่ามกลางเฮงอั้งเฮ้ง เฮ้งอั้งเฮง ทั้งสองก็คำนับแล้วคุกเข่าลงกับพื้นพูดว่าท่านเล่าใต้อ๋องอยู่ในที่นี้ ปีศาจหุ้นลี้บู๊ บู๊ลี้หุ้น กิมยู่ฮ้วย ข่วยยู่ฮองทั้งหกตนก็มาคำนับคุกเข่าลงพร้อมกัน พูดว่าพวกข้าพเจ้านี้เซียเองใต้อ๋องบุตรของท่านให้มาเชิญเล่าใต้อ๋องไปกินเนื้อถังซัมจั๋งให้อายุยืนยาว เห้งเจียจึงบอกว่าพวกเจ้าจงลุกขึ้นเถิด จะกลับไปแต่งตัวแล้วจึงค่อยไป ปีศาจทั้งหลายคำนับแล้วพูดว่า ขอใต้อ๋องดูพอสมควรไม่ต้องกลับไปก็ได้ ขอเชิญท่านไปเดี๋ยวนี้เถิด เห้งเจียหัวเราะพูดว่าถ้ากระนั้นก็ไปเถิด พวกเจ้าจงออกนำทางก่อนเราจะตามไป
ปีศาจทั้งหกก็เตรียมตัวแข็งแรง ออกร้องตวาดนำทางไป เดินมาสักครู่ใหญ่ก็ถึง ปีศาจกิมยู่ฮ้วย ข่วยยู่ของทั้งสองนี้ ก็เดินเข้าไปในถ้ำก่อน บอกว่าใต้อ๋องได้ทราบ บัดนี้เล่าใต้อ๋องมาแล้ว อั้งฮั้ยยี้ใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ พูดว่าพวกเจ้าเอาใจใส่ดีไปมาโดยเร็ว ในทันใดนั้นก็สั่งพวกพนักงาน จัดกันให้เป็นหมู่เป็นหมวดไปรับใต้อ๋อง ครั้นจัดเสร็จแล้ว อั้งฮั้ยยี้ก็ออกมายังประตูถ้ำ
เห้งเจียครั้นมาถึงก็ทำหน้าชื่นบานเดินเข้าไปในถ้ำขึ้นนั่งอยู่ท่ามกลาง อั้งฮั้ยยี้ก็มาคุกเข่าพูดว่าบิดาข้าพเจ้าขอทำเคารพ เห้งเจียพูดว่าลูกไม่ต้องไหว้ อั้งฮั้ยยี้ทำเคารพสี่ทีแล้ว ก็ลุกขึ้นยืนอยู่ เห้งเจียถามว่าลูกของพ่อ เจ้าให้คนไปเชิญบิดามาจะมีกิจธุระอย่างไรหรือ อั้งฮั้ยยี้ก็ย่อกายพูดว่า ลูกไม่มีฝีมืออะไร เมื่อวันวานนี้จับได้ถังซัมจั๋ง ที่มาจากเมืองใต้ถัง คือเธอบวชปฏิบัติมาสิบชาติแล้ว แม้ว่าผู้ใดได้กินเนื้อเธอสักก้อนหนึ่ง อายุจะยืนยาว ลูกไม่อาจกินเอง จึงเชิญบิดามาเพื่อจะได้กินกับลูก
เห้งเจียได้ฟังก็ทำตกใจ ถามว่าไหนถังซัมจั๋งอยู่ที่ไหน อั้งฮั้ยยี้ตอบว่าถังซัมจั๋งที่จะไปไซทีนั้น เห้งเจียถามว่าถังซัมจั๋งที่เปนอาจารย์ของเห้งเจียนั้นหรือ อั้งฮั้ยยี้ตอบว่านั่นและ เห้งเจียทำเป็นโบกมือสั่นศรีษะแล้วพูดว่า อย่าไปทำวุ่นวายแก่เขา ๆ ซึงเห้งเจียนั้นคือน้องเป็นมิตรสหายของบิดาได้สาบานผูกรักกันไว้ ลูกยังไม่รู้จักเธอ เธอมีฤทธาอานุภาพกว้างใหญ่นัก เปลี่ยนแปลงกายได้หลายประการนัก เธอเคยได้ขึ้นไปผจญบนสวรรค์ เง็กเซียงฮ่องเต้ให้พลทหารเทพบุตรสิบหมื่นไปต่อสู้แก่เธอ ยังจับเธอหาได้ไม่ ลูกทำไมจึงอาจกินเนื้ออาจารย์ของเธอเล่า จงรีบปล่อยคืนไปเสียเถิดอย่าได้เกี่ยวข้องแก่ลูกลิงนี้เลย จะเกิดวุ่นวายขึ้น แม้ว่าเธอสืบรู้ว่ากินเนื้ออาจารย์เธอแล้ว เธอก็ไม่ต้องรบพุ่งด้วยเจ้า เธอเอากระบองวิเศษมางัดเอาภูเขานี้ก็จะพินาศไปทั้งสิ้น ลูกจะไม่มีที่อาศัย บิดาจะได้อาศัยใครเมื่อแก่เล่า
อั้งฮั้ยยี้ว่าทำไมบิดาจึงพูดดังนั้น ให้เสียอำนาจของเราไปกระทำให้เขามีความกำเริบได้ ซึงเห้งเจียเคยต่อสู้แก่ลูกสองครั้งแล้วก็ไม่เห็นมีความประหลาดอะไร ครั้งที่หนึ่งลูกได้ปล่อยไฟเผาก็ล่าหนีไปครั้งหนึ่ง ครั้งที่สองไปหาพระยาเล่งอ๋องเอาน้ำมาช่วยก็ดับไฟไม่ลง ถูกลูกเอาไฟเผาจนมืดมัวสิ้นสติก็หนีไป แล้วให้โป๊ยก่ายไปเชิญพระกวนอิมมาช่วย ลูกก็แปลงเป็นพระกวนอิม จับโป๊ยก่ายใส่ถุงวิเศษแขวนอยู่นั้น เมื่อเช้านี้ก็ทำอึกกระทึกลูกให้บริวารน้อยออกไปจับตัว เห้งเจียก็วิ่งหนีทิ้งเป๋าไว้เป๋าหนึ่ง จึงได้ไปเชิญบิดามาพิเคราะห์ดูถังซัมจั๋งนั้นควรจะต้มกิน
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ทำเป็นหัวเราะแล้วพูดว่า ลูกรู้แต่ไฟภาคเผาเท่านั้น หารู้ว่าเธอมีฤทธิ์เปลี่ยนแปลงได้ถึงเจ็ดสิบสองอย่าง อั้งฮั้ยยี้พูดว่า ต่อให้เธอเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ลูกก็คงจะรู้ได้ลูกคิดดูเธอไม่อาจจะมาเป็นแน่ เห้งเจียว่าแม้ว่าลูกรู้ได้ เธอก็หาแปลงเป็นเสือช้างอย่างนั้นไม่ เธอจะแปลงเป็นแมลงวันแมลงหวี่ตัวเล็กน้อยต่าง ๆ อย่างนี้ แลแปลงเหมือนแก่รูปบิดาอย่างนี้ลูกจะรู้อย่างไรได้ อั้งฮั้ยยี้พูดว่าอย่างนั้นไม่ต้องเป็นทุกข์ ถึงจะใจเหล็กใจทองแดงเป็นอันขาดไม่กล้ามา เห้งเจียว่าอย่างนั้น ลูกก็มีฝีมือฤทธาอานุภาพกินเนื้อถังซัมจั๋งได้แล้ว แต่ขัดด้วยบิดากินไม่ได้เป็นแน่
อั้งฮั้ยยี้จึงถามว่า เหตุใดจึงจะกินไม่ได้เล่า เห้งเจียพูดว่าด้วยบัดนี้บิดาอายุก็มากแล้ว มารดาเจ้าอ้อนวอนให้บิดาทำการกุศลบ้างบิดาคิดดูไม่รู้ว่าจะทำประการใด จึงกินแจเป็นทางกุศล
อั้งฮั้ยยี้ถามว่า ไม่ทราบว่าบิดาจะกินแจจนชีวิตหาไม่หรือ หรือว่ากินมีกำหนดปีเดือน เห้งเจียตอบว่าแจนั้นไม่มีกำหนดปีเดือนเรียกว่าแจรามสูรทุกเดือนมีสี่วัน อั้งฮั้ยยี้ถามว่าสี่วันอะไร เห้งเจียตอบว่า คือวันซามซินวันนี้ถูกวันซินอิ๋วก็ถึงวันที่ถือแจ แลไม่รับแขก ไว้วันพรุ่งนี้เช้าบิดาจะไปดูขัดล้างต้มขึ้นกินกันจึงจะดี อั้งฮั้ยยี้ปีศาจได้ฟังดังนั้น ก็ตรึกตรองอยู่ในใจ พูดว่าบิดาทุกวัน ๆ เอาเนื้อเป็นภักษาหารมาจนบัดนี้อายุได้พันปีกว่าแล้ว ทำไมจึงกลับกินแจอย่างนี้ ก็สามสี่วันเท่านี้จะแก้โทษที่ทำบาบกรรมได้หรือ คำนี้พูดออกมาก็น่าสงสัย จึงผุดลุกออกไปข้างนอก เรียกปีศาจทั้งหกมาถามว่าพวกเจ้าไปเชิญบิดาที่ไหนมา ปีศาจเหล่านั้นบอกว่าพวกข้าพเจ้าไปพบที่กลางทาง
อั้งฮั้ยยี้พูดว่า ข้าถามว่าพวกเจ้าทำไมมาเร็วนัก จะมิได้ไปถึงที่ถ้ำหรือ พวกปีศาจเหล่านั้นบอกว่า มิได้ไปถึงพบเข้าที่กลางทางก็พามา อั้งฮั้ยยี้ได้ฟังดังนั้น พูดว่าเห็นจะผิดเสียแล้ว จะมิใช่บิดาแล้ว ปิศาจน้อยจึงพูดว่า บิดาของใต้อ๋องจะจำไม่ได้หรือ จึงมาสงสัยดังนี้ อั้งฮั้ยยี้พูดว่าพิจารณาดูลักษณะกิริยาก็ไม่ผิด แต่คำพูดแผลงไปไม่ตรงกัน เราวิตกว่าจะมิใช่ กระนั้นพวกเจ้าไปเตรียมศาสตราอาวุธให้พรักพร้อม เราจะกลับเข้าไปถามใหม่ ถ้าโต้ตอบไม่ตลอดพวกเจ้าพร้อมกันลงมือ พวกปีศาจบริวารก็จัดแจงตระเตรียมตามคำสั่งของใต้อ๋องไว้พร้อมทุกประการ อั้งฮั้ยยี้เดินกลับเข้าไปข้างใน จึงเคารพเห้งเจียแล้ว เห้งเจียบอกว่าอยู่บ้านลูกไม่ต้องเคารพทำไมบ่อย ๆ จะมีธุระอะไรลูกจงบอกไป
อั้งฮั้ยยี้คุกเข่าพนมมือพูดว่า ขอบิดาได้ทราบ ข้อหนึ่งเชิญบิดามากินเนื้อถังซัมจั๋ง ข้อสองลูกจะขอถามบิดา เพราะเมื่อวันก่อนลูกไปพบซินแสเตียวเต้าเหลง เธอเห็นลักษณะลูกได้ส่วนตามตำรา เธอจึงถามลูกซึ่งปีเดือนวันเวลา เพราะลูกอายุยังเยาว์จำจะไม่แน่นอน ซินแสนั้นจะใคร่ดูให้ลูก เพราะลูกจะถามบิดาถึงความข้อนี้ เพื่อจะได้จดจำจารึกไว้ ทีหลังปะซินแสจะได้ให้เธอดูให้ลูก
เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็นึกหัวเราะในใจ นึกในใจว่าอ้ายปีศาจมันซอกแซกหาความถาม ซึ่งการบ้านเรือนสั้นยาวดังนี้ เราก็จะตอบได้ อันถามวันเดือนปีอย่างนี้ที่ไหนจะตอบได้ เห้งเจียก็ไม่หวั่นหวาดอะไร นั่งเฉยอยู่ท่ามกลางหัวเราะดีใจ จึงบอกว่าลูกจงลุกขึ้นเถิด พูดว่าอันบิดานี้อายุก็มากชราอยู่แล้ว มีธุระการมากก็หาได้จำไว้ไม่ ไว้พรุ่งนี้กลับไปบ้านถามมารดาเจ้าดูก็รู้ได้ อั้งฮั้ยยี้ว่า บิดาทุก ๆ วันเอาโป๊ยยี่ของข้าพเจ้าพูดว่าอายุยืนเท่าฟ้า ทำไมมาวันนี้จึงได้ลืมไป จะมีอย่างนี้หรือ ถ้าดังนั้นก็เก๊แน่แล้วอั้งฮั้ยยี้ก็ร้องว่า (เอา) คำเดียวเท่านั้น พวกปีศาจน้อยก็พากันกรูขึ้นล้อมเห้งเจีย ระดมตีฟันแทง เห้งเจียก็ชักกระบองกายสิทธิ์ออกรบรับ แล้วแปลงกายกลับเป็นรูปเดิม
พูดแก่อั้งฮั้ยยี้ว่า มึงทำไมไม่มีธรรมเนียม อ้ายลูกมาตีพ่ออย่างนี้มีที่ไหน อั้งฮั้ยยี่ได้ฟังดังนั้น ก็มีความอายไม่รู้ว่าจะพูดโต้ตอบประการใดได้ เห้งเจียก็บันดาลเป็นแสงสว่าง หนีออกจากถ้ำมือถือกระบองหัวเราะกากใหญ่ข้ามห้วยเดินมา ซัวเจ๋งเห็นก็เดินออกมารับ ถามว่าพี่ไปช้าครึ่งวันแล้วมีความยินดีหัวเราะ เห็นจะแก้อาจารย์ออกมาได้แล้วหรือ เห้งเจียว่าถึงจะแก้อาจารย์ออกยังไม่ได้ก็จริง แต่พี่ได้อยู่เหนือลมพักหนึ่ง
ซัวเจ๋งถามว่าอะไรเหนือลม เห้งเจียจึงเล่าความที่ได้เป็นมาให้ซัวเจ๋งฟัง ซัวเจ๋งว่าพี่ได้เหนือลม น้องเกรงว่าชีวิตรอาจารย์จะไม่คงอยู่ได้ เห้งเจียว่าอันข้อนั้นไม่ควรจะต้องทุกข์ พี่จะไปนิมนต์พระโพธิสัตว์มาช่วย ซัวเจ๋งพูดว่าพี่ยังเจ็บอยู่มิใช่หรือ เห้งเจียบอกว่าหายแล้ว พูดดังนั้นแล้วเห้งเจียก็เหาะขึ้นบนเวหาไปยังน่ำไฮ้ ตรงมายังที่เขาโละแก่ซัวเข้าไปหาพระกวนอิม ครั้นถึงก็คุกเข่าลงนมัการ พระโพธิสัตว์ถามว่าเห้งเจียมาทำไม มีกิจธุระสิ่งใดหรือ เห้งเจียยกเอาความที่เป็นมาเล่าให้พระโพธิสัตว์ฟังทุกประการ พระโพธิสัตว์ว่า ปีศาจมีไฟภาคอย่างนั้น ทำไมจึงไม่รีบมาบอกก่อน เห้งเจียว่าข้าพเจ้าก็อยากจะมาบอก แต่ไปถูกฤทธิ์ไฟของปีศาจเผาป่นปี้ ได้ความเจ็บป่วยจึงมามิได้ แต่ได้ใช้ให้โป๊ยก่ายมา
พระโพธิสัตว์พูดว่า ไม่เห็นโป๊ยก่ายมา เห้งเจียว่าโป๊ยก่ายยังมิได้มาจริง เพราะอ้ายปีศาจมันแปลงเป็นพระโพธิสัตว์ หลอกจับโป๊ยก่ายใส่ถุงไว้ บัดนี้ยังแขวนอยู่ในถ้ำ จะใคร่ต้มกิน
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น ก็โกรธพูดว่าอ้ายปีศาจเขาทิ้ง มันอาจสามารถแปลงเป็นรูปอาตมาได้ พูดดังนั้นแล้วจึงเอาขวดมณีขว้างไปในทะเล เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ตกใจ พูดว่าพระโพธิสัตว์ใจร้อนยังไม่หมด เราเล่าเรื่องปีศาจให้ฟังซึ่งร้ายแลดี เธอเอาขวดมณีขว้างไปดังนี้ น่าเสียดายจริง ๆ ถ้ารู้ดังนี้เรารับเอาก่อนจะมิดีหรือ พูดยังไม่ขาดคำก็เห็นในทะเลเป็นคลื่นละลอกขึ้นมา มีเต่าตัวหนึ่งที่หลังถูกขวดมณีวิเศษ คลานขึ้นมาที่ตรงหน้าพระโพธิสัตว์ เห้งเจียเห็นดังนั้น ก็นึกหัวเราะแต่ในใจพูดว่า หมายว่าจะมิได้เห็นขวดมณีแล้ว จะใคร่ตามเอาขวด พระโพธิสัตว์ถามว่าเห้งเจียพูดว่ากระไร
เห้งเจียตอบว่ามิได้พูดว่ากระไร จึงพระโพธิสัตว์บอกให้เห้งเจียหยิบขวดมณีขึ้นมานี่ เห้งเจียจึงเข้าไปยกขวดก็มิได้ขึ้นเลย และทั้งมิได้เขยื่อนเท่าเส้นผม เห้งเจียวางขวดเดินมาคำนับพระโพธิสัตว์ บอกว่าขวดนั้นข้าพเจ้ายกไม่ไหว พระโพธิสัตว์ถามว่าขวดเล็กนิดเดียวทำไมจึงยกไม่ขึ้น เห้งเจียไม่รู้หรือ ทุกวันมีแต่ขวดเปล่า วันนี้ขว้างลงไปในทะเล ตัวจะมีกำลังสักเท่าใดจึงจะยกทะเลไหว เพราะฉะนั้นจะเอากำลังมายกจึงมิได้เขยื่อนได้ เห้งเจียยกมือขึ้นนมัสการ แล้วพูดว่าข้าพเจ้ามิได้ทราบเลย
พระโพธิสัตว์เดินลงไปเอามือขวายกขึ้นเบา ๆ แล้วก็วางลงไว้ในฝ่ามือข้างซ้าย เต่าตัวนั้นก็ยกศรีษะคำนับแล้วก็คลานลงน้ำไป พระโพธิสัตว์จึงนั่งลงบนแท่น เรียกเห้งเจียมาพูดว่าขวดน้ำนี้ กับน้ำพระยานาคเล่งอ๋องไม่เหมือนกัน น้ำขวดนี้กับไฟภาคของปีศาจนั้นดับกันได้ดังประสงค์ จะให้เห้งเจียเอาไปก็จะยกไม่ไหว จะให้นางเล่งนึ้งเอาไปกับเห้งเจีย เห้งเจียมักจะหลอกหลอนคน หรือบางทีจะเห็นว่านางเล่งนึ้งของอาตมาสวยงาม แลขวดวิเศษนี้ถ้าเห้งเจียเอาไปแล้วจะไปตามที่ไหน เห้งเจียจงให้สิ่งของอันใดไว้เป็นสำคัญจึงจะได้
เห้งเจียจึงพูดว่าน่าสงสารตัวข้าพเจ้า พระโพธิสัตว์ทำไมจึงคิดสงสัยไปดังนี้ ในตัวของข้าพเจ้านี้มีหรือสักสิ่งหนึ่ง มีผ้าแพรผืนนี้ก็เป็นของพระอาจารย์ใหญ่ กระบองนี้จะไปไหนก็สำหรับตัวที่จะได้ต่อสู้แก่ศัตรู บนศรีษะหรือก็มีแต่มงคลทอง ข้าพเจ้าจะขอเอาสิ่งนี้เป็นมัดจำ ขอท่านได้ภาวนาคาถาถอดออกเถิด พระโพธิสัตว์พูดว่าเห้งเจียใจเจ้าจะใคร่ได้แต่ความสบาย อาตมาจะขอเอาขนรักษาชีวิตที่ท้ายทอยนั้นหนึ่งเส้นเท่านั้นจะเอาไว้เป็นมัดจำ เห้งเจียพูดว่าอันขนเส้นนี้ก็ของท่านให้ จะถอนเส้นหนึ่งก็วิตกว่าจะพังตามกันลงมาหมด จะเอาอะไรมารักษาชีวิตต่อไป
พระโพธิสัตว์จึงด่าว่าอ้ายลูกลิงแต่ขนเส้นหนึ่งยังถอนไม่ได้ นางเล่งนึ้งก็ยากที่จะปล่อยให้ไปได้ เห้งเจียพูดว่าท่านมีความสงสัยมากไป แม้ไม่เห็นแก่สงฆ์ก็จงเห็นแก่พระพุทธศาสนาเถิด ขอท่านได้ไปช่วยแก้ให้อาจารย์ข้าพเจ้าออกพ้นจากปีศาจด้วยเถิด พระโพธิสัตว์มีความยินดีจึงเดินออกมาจากสำนัก บอกแก่เห้งเจียให้ข้ามทะเลไปก่อน เห้งเจียคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าไม่อาจทำต่อหน้าท่านจะเป็นการอวดดีไป เพราะหกคะเมนนั้นดูกิริยาไม่น่าดู วิตกเกรงจะเป็นความผิด
พระโพธิสัตว์จึงให้เสียนใช้เล่งนึ้งไปเก็บใบบัวมาใบหนึ่ง ทิ้งลงในน้ำแล้วบอกให้เห้งเจียขึ้นยืนบนใบบัวจะทนได้หรือไม่ เห้งเจียพูดว่าใบบัวเท่านั้นท่านจะให้ข้าพเจ้าขึ้นยืนเหยียบ ใบบัวจะทานได้หรือ พระโพธิสัตว์จึงพูดว่าเห้งเจียจงขึ้นลองดูที เห้งเจียก็ขึ้นเหยียบใบบัวก็ลอยอยู่ดุจเรือสำเภาอย่างใหญ่ เห้งเจียดีใจพูดว่าใบบัวนี่ทานตัวข้าพเจ้าไหว
พระโพธิสัตว์พูดว่าถ้าใบบัวทานตัวท่านได้แล้ว ให้เห้งเจียข้ามไปเถิด เห้งเจียพูดว่าไม่มีถ่อแจวและใบจะข้ามไปอย่างไรได้เล่า พระโพธิสัตว์บอกว่าไม่ต้องพายแจวและถ่อค้ำลมพัดดอก ท่านจงบันดาลให้เป็นลมพัดไปทีหนึ่งก็จะข้ามพ้นมหาสมุทรใหญ่ เห้งเจียกระโดดขึ้นบนบกแล้วหัวเราะพูดว่า พระโพธิสัตว์ทำอภินิหารย์จับเราให้ไปมาก็ได้ไม่ต้องป่วยการแรงสักนิดเดียว
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็ปาฏิหารย์ออกจากเขาเพ้าท่อซัว สั่งให้ฮุยไง้ไปดาวดึงส์ขอยืมอาวุธวิเศษบิดาเจ้าทีกังสามสิบหกอันจะต้องการใช้ ฮุยไง้คำนับแล้วก็เหาะไป บัดเดี๋ยวก็เอามีดวิเศษกลับมาถึง ส่งมีดทีกังให้แก่พระโพธิสัตว์ ๆ จับดูแล้วก็โยนขึ้น ร่ายพระคาถาเป่าไปมีดนั้นก็กลายเป็นกลีบบัวรวมกันประดับเป็นแท่น พระโพธิสัตว์ก็ขึ้นนั่งบนแท่นแล้ว จึงบันดาลให้ไปยังเขา (พ้อซัว) พระโพธิสัตว์ก็หยุดลอยอยู่บนอากาศ จึงร่ายพระคาถาเรียกพระภูมิเจ้าที่เจ้าเขาว่าท่านทั้งหลายอย่ามีความสะดุ้งตกใจกลัว วันนี้อาตมาจะมาจับปีศาจร้าย จงมาห้อมล้อมช่วยกันกวาดล้างให้พวกผี ปีศาจเหล่านี้ราบคาบสิ้นเชิง จงขับไล่พวกสัตว์ต่าง ๆ ออกไปให้พ้นในสามโยชน์ เจ้าทั้งหลายรับคำสั่งพระโพธิสัตว์แล้ว ก็ไปจัดการเตรียมไว้เสร็จบัดเดี๋ยวก็กลับมา
ส่วนพระโพธิสัตว์จึงเอาขวดมณีวิเศษ เทออกเสียงดังดุจฟ้าร้อง เห้งเจียเห็นดังนั้นก็นึกสรรเสริญในใจว่า อย่างนี้แลจริงแท้ว่ามี เมตากรุณา มุทิตา อุเบกขาจริง พระโพธิสัตว์จึงเรียกเห้งเจียให้ยื่นมือออกมา เห้งเจียก็ยื่นมือซ้ายออกมา พระโพธิสัตว์ก็หยิบกิ่งสนจุ่มน้ำมนต์แล้วเขียนอักขระลงกลางใจมือเห้งเจีย คือตัว (บี๊) แปลว่าเคลิบเคลิ้ม พระโพธิสัตว์บอกเห้งเจียให้กำมือไว้ ไปชวนปีศาจอั้งฮั้ยยี้ให้ออกรบทำแพ้อย่าเอาชนะล่อให้ออกมาถึงที่อาตมาอยู่ อาตมภาพจะจับมันเอง เห้งเจียรับคำสั่งแล้วก็เดินมายังประตูถ้ำร้องเรียกอั้งฮั้ยยี้ ปีศาจพวกเฝ้าประตูก็วิ่งเข้าไปบอกอั้งฮั้ยยี้ว่าเห้งเจียมาอีกแล้ว อั้งฮั้ยยี้บอกให้ปิดประตูแล้วพูดว่าอย่าไปธุระแก่มัน
เห้งเจียร้องเรียกอีกแล้วพูดว่า อ้ายลูกน้อยมึงไล่พ่อออกมาแล้ว ทำไมไม่เปิดประตูออกมาสู้กันเล่า ปีศาจน้อยวิ่งเข้าไปบอกอีกว่า เห้งเจียมาร้องด่าท้าทายอยู่ที่นอกประตู ปีศาจอั้งฮั้ยยี้ว่าชั่งมัน เห้งเจียเห็นช้าก็โกรธ ชักไม้กระบองออกจากหูกระทุ้งประตูพังทะลายลงไปทั้งสิ้น ปีศาจเห็นประตูพังลงไปดังนั้นก็บันดาลโทสะมือถือทวนเดินออกมา พอแลเห็นเห้งเจียก็ด่าว่าอ้ายลิงอายุมากแล้วไม่รู้จักอะไร มาตีประตูของเราให้ล้มไปดังนี้ จะจับโทษอะไรหรือ เห้งเจียว่าอายลูกของพ่อก็มึงไล่ออกมานอกประตู มึงจะคาดโทษอะไรแก่กูเล่า
อั้งฮั้ยยี้โกรธเอาทวนแทงหมายตรงท้องเห้งเจีย ๆ เอากระบองปัดแล้วทำล่าถอยหนีออกมา ปีศาจยืนหยุดพูดว่า เราจัดล้างถังซัมจั๋งไว้แล้ว เพื่อจะได้ต้มแกล้มเหล้า ทำไมเอ็งวิ่งหนีไปเล่า เห้งเจียพูดว่าอ้ายลูกของพ่อ บนฟ้ามองดูเอ็งอยู่แล้ว เอ็งจงไล่ออกมาเถิด ปีศาจได้ฟังดังนั้น ก็ยิ่งโกรธดุจไฟกัลป์ ตวาดด้วยเสียงอันดังแล้วก็รุกไล่ออกมาทันที เห้งเจียต่อสู้ได้สองสามเพลงก็ทำถอยหนี
ฝ่ายอั้งฮั้ยยี้ก็หารู้ว่าเป็นกลอุบายไม่ ถือทวนไล่ตามออกมาอีก เห้งเจียก็ทอดกระบองล่าหนีมา จึงเอามือที่พระโพธิสัตว์เขียนอักขระสยายปรายออก ปีศาจอั้งฮั้ยยี้ก็ให้เคลิบเคลิ้ม ตั้งใจไล่เห้งเจียออกมา บัดเดี๋ยวก็แลเห็นพระโพธิสัตว์ เห้งเจียจึงหันหน้าพูดแก่อั้งฮั้ยยี้ว่าข้ากลัวเจ้าแล้ว เจ้าไล่มาถึงน่ำไฮ้กวนอิมแล้ว เจ้ายังไม่กลับไปอีกหรือ ปีศาจไม่เชื่อก็ขยิกไล่ต่อมาอีก เห้งเจียเห็นจวนก็ตลบเข้าซ่อนตัวอยู่ข้างตัวพระโพธิสัตว์ ปีศาจเข้ามาใกล้เหลือบแลไปเห็นพระโพธิสัตว์จึงพูดว่า นี่เห็นจะเป็นเห้งเจียนิมนต์มาช่วยดอกกระมัง พระโพธิสัตว์ก็มิได้พูดจาว่ากระไร
![]() |
รูปภาพ 陈惠冠,新绘西游记 •第四十二大动车 红 |
ปีศาจยกทวนแล้วตวาดด้วยเสียงอันดัง พระโพธิสัตว์ก็มิได้โต้ตอบว่ากระไร ปีศาจยกทวนแทงพระโพธิสัตว์ทีหนึ่ง พระโพธิสัตว์ก็บันดาลเป็นแสงทองเหาะหนีขึ้นอยู่บนเวหา เห้งเจียฮุยไง้ก็เหาะตามขึ้นไปอยู่กลางเวหา ปีศาจหัวเราะว่า อ้ายลิงมันคิดผิดมันไม่รู้จักเรา มันต่อสู้แก่เราหลายครั้งก็เอาชัยชนะเราไม่ได้ มันยังไปหาพระโพธิสัตว์เป๋าน๋องที่ไหนมาถูกทวนเราทีหนึ่งก็สูญหายไปไม่เห็นเงา ทิ้งแท่นกลีบบัวอยู่นี่ ไว้เราขึ้นนั่งเล่นจึงจะดี ปีศาจก็ขึ้นนั่งขัดสมาธิอยู่กลางแท่น พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้น ก็เอายอดสนชี้ลงร้องว่าถอยคำหนึ่ง ดอกบัวนั้นก็หายไป ปีศาจก็นั่งอยู่กับมีด พระโพธิสัตว์ก็ให้ฮุยไง้เอาไม้ท้าวปราบปีศาจลงไป เคาะไปเคาะมาที่มีดนั้น ประมาณสักร้อยทีมีดก็แทงตามแข้งขาปีศาจโลหิตไหลออกนองไป
ฝ่ายปีศาจติดอยู่จะไปทางใดก็มิได้ ต้องทนความเจ็บปวดสุดที่จะพรรณา ก็เอาทวนโยนทิ้งสองมือจับมีดถอน พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้น ก็เอากิ่งสนชี้ลงไปร่ายพระคาถามีดนั้นก็ยิ่งมัดแน่นเข้าจะดิ้นรนไปอย่างไรก็ไม่ไหว ปีศาจรู้สึกตัวกลัวตายร้องไห้พูดว่าขอพระเมตาปราณีแห่งพระโพธิสัตว์เจ้า ข้าพเจ้าเป็นคนไม่มีแก้วตา ไม่รู้จักท่านผู้มีอภินิหารย์บารมี แม้ท่านได้โปรดปล่อยข้าพเจ้าออก ข้าพเจ้าไม่อาจทำร้ายต่อไป จะขอปฏิบัติตามทางชอบธรรม พระโพธิสัตว์ได้ฟังปีศาจร้องขอโทษดังนั้น ก็พาเห้งเจียลดลงมายังที่ปีศาจ พระโพธิสัตว์ถามว่าเจ้าจะยอมถือศีลตามอาตมาไปหรือ
ปิศาจว่าแม้ท่านยกชีวิตไว้ ข้าพเจ้าจะขอถือทางชอบธรรมตามท่านไป พระโพธิสัตว์ว่าถ้ากระนั้นอาตมาจะโกนผมให้และรับศีล พระโพธิสัตว์จึงเอามีดโกนออกจากมือเสื้อเดินเข้ามาใกล้ จับผมทำเป็นสามแหยมนอกนั้นก็โกนเสีย เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะ พูดว่าอ้ายปีศาจดูแปลกประหลาด พิเคราะห์ดูมิใช่ชายมิใช่หญิง ไม่รู้ว่าจะเหมือนรูปอะไรที่ไหน พระโพธิสัตว์ชำระเสร็จแล้วจึงพูดว่าบัดนี้เจ้าได้รับศีลแล้ว อาตมาก็ไม่กล้าจะพูดดูถูกได้อาตมาจะให้ชื่อ คือให้เรียกว่า (เสียนใช้ท่งจื๊อ) จะดีหรือไม่ ปีศาจผงกศรีษะยอมแต่จิตก็คิดจะให้พระโพธิสัตว์ปล่อยเท่านั้น พระโพธิสัตว์เอามือชี้ไปที่แท่นร้องว่าถอนคำหนึ่ง มีดสามสิบหกอันก็ตกลงไปทั้งสิ้น ปีศาจก็หลุดออกได้ พระโพธิสัตว์สั่งให้ฮุยไง้เก็บเอามีดไปส่งเสียยังที่เดิม บัดเดี๋ยวก็กลับมา
ฝ่ายปีศาจอั้งฮั้ยยี้จิตใจบาปยังไม่หมด แลเห็นที่แข้งขามีบาดแผลยับเยิน และบนศรีษะก็มีผมอยู่สามหย่อม จึงคิดว่าเธอนี้มีฤทธิ์อานุภาพสักเท่าใด อันที่จริงก็ทำแต่บังคับเราเท่านั้น คิดดังนั้นแล้วจึงวิ่งไป เก็บเอาทวนตรงมาแทงพระโพธิสัตว์ เห้งเจียเห็นดังนั้น ก็ชักกระบองออกจะตี พระโพธิสัตว์ร้องห้ามว่าอย่าทำอาตมาจะบังคับเอง พระโพธิสัตว์จึงล้วงมงคลออกจากมือเสื้อวงหนึ่งบอกแก่เห้งเจียว่า อันมงคลนี้เดิมพระพุทธเจ้าให้มาสามวง วงหนึ่งเรียกว่ารัตนมงคล ก็ใส่ให้เห้งเจียแล้วอีกวงหนึ่งเรียกว่าคุ้มห้ามมงคลใส่ให้เจ้าเฝ้าเขานั้นแล้ว วงนี้เรียกสุวรรณมงคล จะต้องใส่ให้คนนี้ โดยเหตุมันเชี่ยวชาญมาก
พระโพธิสัตว์พูดดังนั้นแล้ว ก็เอามงคลโยนขึ้นไป ร้องว่าแปลงก็แปลงเป็นห้าวง แล้วจับมาหมายตรงอั้งฮั้ยยี้ขว้างไปร้องว่าใส่ มงคลห้าวงนั้นก็สวมใส่หัวหนึ่งวงใส่มือสองวงใส่เท้าสองวง แล้วพระโพธิสัตว์ก็ร่ายพระคาถา มงคลทั้งห้านั้นก็รัดเอาปีศาจเจ็บปวดเหลือที่จะทนได้ ก็หมุนล้มลงกับพื้น
(บทที่ ๔๓)
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ร่ายพระคาถาสองรอบสามรอบ ก็หยุดปีศาจก็หายเจ็บปวด จึงลุกขึ้นแลดูในตัวที่คอและมือและเท้าทั้งสองข้างใส่ห่วงทองคำรึงรัดเจ็บปวดเหลือที่จะทน จะถอดออกก็อย่าพึงนึกเลยว่าจะถอดได้ คือห่วงนั้นกระทบเนื้อก็มีรากขึ้น ยิ่งถอดดึงก็ยิ่งเจ็บ
เห้งเจียเห็นแล้วก็หัวเราะพูดว่า พระโพธิสัตว์วิตกว่าจะเลี้ยงเจ้าไม่ใหญ่ จึงให้เจ้าใส่วงแหวน อั้งฮั้ยยี้ได้ฟังดังนั้นก็ร้อนใจวุ่นวาย ฉวยทวนไล่แทงเห้งเจีย ๆ ก็หลบอยู่ที่ข้างพระโพธิสัตว์ ร้องเรียกพระโพธิสัตว์ให้ร่ายพระคาถา พระโพธิสัตว์จึงเอายอดสนจุ่มน้ำมนต์พรมไปทีหนึ่ง ร้องให้ประนมมือทวนนั้นก็หล่นไป สองมือก็ประนมเข้าหว่างอก ก็เลยเปิดไม่ออก
ฝ่ายท่งจื๊อเปิดมือไม่ออกจะจับทวนก็ไม่ได้ จึงรู้สึกว่าอำนาจพระบารมีของพระโพธิสัตว์นั้นเชี่ยวชาญใหญ่กล้า ไม่รู้แห่งที่จะแก้ได้ด้วยประการใด จึงได้ก้มศรีษะลงเคารพต่อพระโพธิสัตว์ ๆ จึงร่ายพระคาถาเอาขวดมณีน้ำมนต์ เทกลับคืนไปยังทะเลใหญ่ ไม่เหลือสักหยดหนึ่ง แล้วพระโพธิสัตว์จึงบอกแก่เห้งเจียว่า ปีศาจนี้มันก็ยอมแล้ว แต่จิตของมันยังไม่เรียบได้ อาตมภาพจะต้องทรมานมันให้เดินก้าวหนึ่งไหว้ทีหนึ่ง กว่าจะถึงเขาพ่อซัวจึงจะถอนอาคมให้มัน แต่เห้งเจียจงรีบไปแก้อาจารย์ออกเถิด เห้งเจียได้ฟังพระโพธิสัตว์ตรัสดังนั้น ก็มีความยินดี ฝ่ายปีศาจก็กระทำความเคารพต่อพระโพธิสัตว์สามสิบห้าที
ฝ่ายซัวเจ๋งนั่งอยู่ในดงไม้สน คอยท่าเห้งเจียหายไปอย่างไรจึงไม่เห็นกลับมา ก็ยกหาบวางลงบนหลังม้าแล้ว เดินออกจากดงตั้งตาแลไปทางทิศอาคเนย์ สักประเดี๋ยวก็แลเห็นเห้งเจียเดินมาดูกิริยารื่นเริง ซัวเจ๋งออกต้อนรับถามว่า พี่ไปเชิญพระโพธิสัตว์ป่านนี้จึงมาถึง เห้งเจียจึงเล่าเรื่องที่พระโพธิสัตว์ปราบปีศาจให้ซัวเจ่งฟังทุกประการ ซัวเจ๋งก็ดีใจ ทั้งสองคนเก็บหาบจูงม้าเข้าไปยังประตูถ้ำ เข้าไปในถ้ำ ตีขนาบเข้าไป จนพวกปีศาจบริวารล้มตายหมดสิ้น ก็เข้าไปแก้โป๊ยก่ายออกจากถุงแล้ว เลยเข้าไปแก้พระอาจารย์ออก แล้วเห้งเจียจึงเล่าเรื่องที่พระโพธิสัตว์มาช่วยจับปีศาจได้พระถังซัมจั๋งฟังทุกประการ
พระถังซัมจั๋งก็คุกเข่าลงนมัการเนื่องไปยังน่ำไฮ้ แล้วจึงสั่งซัวเจ๋งให้หาข้าวแจ อาจารย์กับสานุศิษย์กินอาหารเสร็จแล้วก็ออกจากถ้ำ หมายปราจิณทิศออกเดินไปตามลำดับ อ่านต่อ_
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น