
(บทที่ ๖๗)
มาประมาณสักเดือนเศษ เวลานั้นฤดูเดือนสามเดือนสี่ กำลังดอกไม้จะบาน พระถังซัมจั๋งชักม้าหยุด แล้วถามศิษย์ว่าเวลานี้ก็เป็นเวลาจวนจะค่ำอยู่แล้ว เราควรจะหาที่สำนักนอนสักคืนหนึ่ง เห้งเจียพูดว่าเดินไปข้างหน้าอีกสักหน่อยก็คงจะมีที่พักบ้าง เดินพลางพูดกันพลางมาตามทาง แลไปข้างทางเห็นมีหมู่บ้านไม่สู้ไกลนัก เห้งเจียพูดว่าดีแล้วที่นั้นมีบ้านคนอยู่มิใช่หรือ เราแวะเข้าไปอาศัยที่นั้นเห็นจะดี พูดแล้วก็พากันเข้าไป ครั้นเข้ามาถึงพระถังซัมจั๋งก็ลงจากม้า เดินเข้าไปยังประตูนอกรั้ว เห็นประตูปิดอยู่จึงเอามือเฆาะประตูร้องเรียก ก็เห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งถือไม้เท้าเดินออกมาเปิดประตู ถามว่าใครมาแต่ไหนมีธุระอะไรหรือจึงมาเรียก
พระถังซัมจั๋งย่อตัวแล้วตอบว่า อาตมภาพมาจากเมืองใต้ถังถือรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ เพื่อจะไปเชิญพระไตรปิฎกยังมัชฌิมประเทศบัดนี้มาถึงตำบลนี้ ก็พอเป็นเวลาจะพลบค่ำ แวะเข้ามาเพื่อจะขออาศัยพักนอนค้างสักคืนหนึ่ง ขอได้มีความกรุณา รุ่งเช้าก็จะลาท่านไป ตาเฒ่าตอบว่าท่านอาจารย์จะไปไซทีนั้น เห็นจะไปไม่ได้ ที่เขตนี้เรียกว่าเซี้ยวไซที ไซทีนั้นไปยากนักหนทางก็ไกลลำบากที่สุด ตาเฒ่าเอามือชี้บอกว่าตั้งแต่บ้านข้าพเจ้าไปไซทีนั้น ประมาณทางไกลสักสามสิบโยชน์เศษ มีทางภูเขานี้เขาเรียกว่าเขาลูกพลับ นามเรียกว่าชิดเจี๊ยดซัวที่เขามีนี้มีระยะทางแปดร้อยโยชน์จึงจะสุดทางได้ ทั่วทั้งเขามีแต่ลูกพลับทั้งนั้น แต่ผู้คนมีน้อย ที่ภูเขานี้ตั้งแต่เดิมมาไม่มีใครเดิน ถ้าถึงฤดูฝนลูกพลับสุกหล่นลงเต็มเขาปิดหนหางเดินเสีย ไม่มีใครจะเดินได้ครั้นผลพลับถูกน้ำค้างและฝนก็เน่าเหม็นเปื้อนเปรอะ คำชาวบ้านปากตลาดพูดกันว่าทางอุจจาระ
พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นจิตใจไม่สบาย เห้งเจียอดไม่ได้ก็ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า ตาเฒ่าแกทำไมจึงไม่เข้าใจการดังนั้น พวกข้าพเจ้าจะมาอาศัยพักนอน ทำไมจึงชักนิยายพูดหลอกให้คนกลัวดังนั้น เหมือนแกล้งพูดจะมิให้อาศัยแล้ว ถ้าเช่นนั้นพวกข้าพเจ้าจะอาศัยนอนอยู่ใต้ต้นไม้ก็ได้ ทำไมจึงกันห้ากันหกดังนี้เล่า ตาเฒ่าได้ยินดังนั้น แลไปก็เห็นรูปร่างเห้งเจียหยาบคายน่าเกลียดน่ากลัว จึงแข็งใจร้องตวาดด้วยเสียงอันดังคำหนึ่ง ยกไม้เท้าชี้หน้าว่าเจ้าเป็นคนมีโรคผีสิง ไม่รู้จักฟ้าต่ำดินสูง ยื่นปากออกมาพูดเสียดสีเราคนแก่ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านมีแต่ตาเนื้อไม่มีแก้วตาปัญญาจักษุไม่รู้จักพิจารณา แม้ว่ารูปร่างข้าพเจ้าอยาบคายก็จริง แต่มีฝีมือและความรู้ฤทธิ์เดชปราบภูตผีปีศาจยักษ์มารได้
ตาเฒ่าได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็ค่อยหายความโกรธจึงเชิญให้เข้าไปข้างในบ้าน อาจารย์กับศิษย์ก็พากันตามตาเฒ่าเข้าไป ตาเฒ่าก็เชิญให้นั่งที่อันสมควรแล้ว จึงให้ยกน้ำร้อนน้ำชามาเลี้ยงตาเฒ่าเอาใจจงรักภักดี โป๊ยก่ายมีความสงสัยจึงถามเห้งเจียว่าตาเฒ่าเมื่อแรกดูอัธยาสัยจะไม่พอใจให้เราอาศัย มาบัดนี้ดูเอาใจใส่มาก จะมีเหตุอย่างไรพี่ทราบหรือไม่ เห้งเจียตอบว่าคงจะมีเหตุสักอย่างหนึ่ง จะลองถามดูก็คงจะรู้ได้ สักประเดี๋ยวก็พลบค่ำ ตาเฒ่าเรียกให้คนใช้ตามไฟแล้ว เห้งเจียจึงถามตาเฒ่าว่าท่านตาแซ่อะไร ตาเฒ่าตอบว่าข้าพเจ้าแซ่ลี้ เห้งเจียถามว่าที่ตำบลนื้ชาวบ้านนี้เห็นจะแซ่ลี้ทั้งนั้นหรือ แลชื่อตำบลบ้านลี้จริงดอกกระมัง ตาเฒ่าตอบว่าไม่ใช่ ตำบลบ้านนี้เรียกว่าบ้านท่อล้อจึง รวมเรือนมีห้าร้อยหลังคนมีอยู่มาก แซ่อื่นก็มีมากแซ่ลี้นั้นมีแต่บ้านข้าพเจ้า เห้งเจียถามว่าท่านตาเห็นเอาใจใส่พวกข้าพเจ้ามากนัก ไม่ทราบว่าในใจท่านจะมีความเห็นอย่างไรจึงได้จงรักภักดีอย่างนี้
ตาเฒ่าย่อตัวแล้วพูดว่า เมื่อกี้นี้ข้าพเจ้าได้ยินท่านพูดว่า มีฝีมือปราบปีศาจยักษ์มารร้ายได้ ด้วยในแถบตำบลบ้านนี้ มีปีศาจร้ายหากท่านช่วยกำจัดจับได้ พวกข้าพเจ้าทั้งหลายจะมีรางวัลตอบแทนให้ถึงขนาด เห้งเจียได้ฟังตาเฒ่าพูดดังนั้น ก็ยกมือขึ้นขอรับคำกระทำให้ แต่โป๊ยก่ายพูดว่าตาเฒ่าคนนี้มันจะให้ร้ายแก่เรา ให้จับยักษ์มารอะไรที่ไหน แม้ว่าเป็นปู่ย่าตายายวงศ์ญาติของเราก็ควรอยู่ นี่เธอก็มิใช่วงศาคณาญาติอะไรของเราเลย ทำไมพี่เห้งเจียจึงไปรับปากรับคำแก่เขาเล่า เห้งเจียพูดว่าน้องยังไม่เข้าใจตลอด ที่พี่ขอรับอาสานั้นตกลงเอาเป็นแน่ได้ พูดแล้วเห้งเจียจึงถามตาเฒ่าว่า ที่ตำบลแถบนี้พิเคราะห์ดูก็เป็นสุขดี ผู้คนก็ประชุมกันอยู่มากปีศาจร้ายที่ไหนจะอาจเข้ามาได้
![]() |
รูปภาพ ; ปีศาจงูเหลือม (蟒蛇精) เป็นเย้ากว้ายที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ Tuoluo (駝羅庄) บนภูเขา Qijue (七絕山) เขามีหอกคู่หนึ่งซึ่งจริงๆ แล้วคือปลายลิ้นแฉก ร่างที่แท้จริงของเขาเป็นงูเหลือมยักษ์ที่มีเกล็ดสีแดงและดวงตาเรืองแสง เขากินคนและสัตว์ต่างๆ มากมายที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น เขาถูกฆ่าตายเมื่อซุนหงอคงเข้าไปในร่างของเขาในคราบแมลงวันและกระเพาะของเขาแตก |
ตาเฒ่าบอกแก่เห้งเจียว่า ข้าพเจ้าไม่ปิดบังอำพรางท่าน ที่ตำบลนี้ก็เป็นสุขสำราญมานานแล้ว ต่อมาเมื่อสามปีก่อนนั้น เดือนแปดเกิดลมพายุใหญ่พวกชาวบ้านกำลังหว่านข้าวกล้า ต่างก็พากันตกใจว่าฟ้าแปรปรวนเสียแล้ว มิได้มีผู้ใดรู้สึกเหตุผล พอลมข้ามไปแล้วก็มีปีศาจร้ายลงจับวัวกระบือ แพะ แกะ เป็ด ไก่ ของชาวบ้านกินเสียหมดสิ้น แลปะพบหญิงก็จับกินเสียทั้งสิ้น แต่ทำร้ายมาดังนี้สองปีแล้ว หากว่าท่านมีฝีมือและรู้วิชาอันเชี่ยวชาญอาจปราบปีศาจนั้นให้สงบได้ ข้าพเจ้าจะรางวัลท่านให้ถึงขนาด เห้งเจียว่า อย่างนี้ยากที่จะปราบได้ โป๊ยก่ายก็พูดว่ายากจริง พวกข้าพเจ้าเป็นคนเดินทาง พักอยู่คืนหนึ่งพอรุ่งแจ้งก็จะไป จะไปคอยจับผีร้ายอะไรที่ไหนได้ ตาเฒ่าว่านี่ท่านเห็นจะเป็นพวกที่หาข้าวกินดอกกระมัง เมื่อแรกมาอวดว่ามีฝีมือจับผี ปีศาจยักษ์มารร้ายได้ ครั้นคาดคั้นจะเอาจริงเข้าก็พูดไถลกลบเกลื่อนว่าจับยาก
เห้งเจียตอบว่า ข้าพเจ้าสามารถจะจับได้จริง แต่เกรงว่าพวกชาวบ้านนี้จะไม่พร้อมใจกัน เพราะฉะนั้นจึงว่าจับยาก ตาเฒ่าพูดว่าทำไมจึงรู้ว่าใจคนชาวบ้านนี้จะไม่พร้อมใจกัน เห้งเจียพูดว่าปีศาจนั้นมารบกวนไม่รู้ว่าฆ่าสัตว์สักเท่าใดแล้ว ข้าพเจ้าคิดดูคนเหล่านั้น ทุก ๆ บ้าน บ้านหนึ่งออกหนึ่งตำลึง รวมห้าร้อยตำลึงหากไม่ไปหาขุนนางมาเป็นพยาน ถ้าจับได้แล้วที่ไหนคนเหล่านั้นจะยอมออกเงิน จะหาได้คิดถึงสามปีที่เป็นทุกเดือดร้อนนั้นไม่
ตาเฒ่าได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงว่าถ้าจะคิดเอาเงินนั้นอย่าว่าแต่ตำลึงหนึ่งเลย จะเอาบ้านละห้าตำลึงก็ได้ เมื่อปีก่อนก็ได้นิมนต์พระสงฆ์ที่เขาน่ำซัวมาองค์หนึ่ง จับปีศาจก็ไม่สำเร็จ เห้งเจียถามว่าจับปีศาจนั้นวิธีทำประการใด ตาเฒ่าบอกว่า พระสงฆ์นั้นตั้งพิธีแล้วครองจีวรเข้าจุดธูปเทียนสักการะบูชาสวดมนต์แล้ว เอาระฆังเล็กขึ้นสั่นในเวลากำลังสวดมนต์นั้น ก็ไหวหวั่นถึงปีศาจ เกิดลมพายุใหญ่เมฆหมอกออกมืดท้องฟ้า มาถึงหมู่บ้านนี้ พระสงฆ์สู้รบกับปีศาจเมฆหมอกออกกลุ้ม ครั้นสงบเงียบแล้วพวกข้าพเจ้าออกมาดูก็เห็นพระสงฆ์นอนตายอยู่กับพื้น ตัวเนื้อน่วมดุจแตงโมสุกอย่างเดียวกัน เห้งเจียพูดว่าทำอย่างนี้ให้ป่วยการเปล่า ๆ ตาเฒ่าพูดว่า เธอมาทิ้งชีวิตทำให้พวกข้าพเจ้าเสียการ ต้องช่วยซื้อโลงใส่ศพไปฝัง และเอาเงินให้แก่สานุศิษย์พระสงฆ์นั้น ๆ ไม่ยอมร้บเงินจะฟ้องร้องพวกข้าพเจ้า เห้งเจียถามว่า ต่อมาภายหลังได้ไปหาผู้ใดมาทำอย่างไรบ้างอีกหรือเปล่า ตาเฒ่าตอบว่า เมื่อก่อนหน้ามานี้ได้ไปหาหมอฆราวาสคนหนึ่งมาจับไล่ เห้งเจียถามว่าหมอฆราวาสนั้น มาทำวิธีขับไล่ประการใด
ตาเฒ่าตอบว่า หมอเข้าพิธีร่ายเวทใช้เจ้าใช้ผีถึงปีศาจ ก็บังเกิดลมพายุใหญ่ปีศาจก็มา หมอกับปีศาจต่อสู้กัน พอเวลาบ่ายก็เห็นท้องฟ้าแจ่มแจ้งสว่างดี พวกข้าพเจ้าก็พากันเที่ยวค้นหาดู ก็ได้เห็นหมอนั้นนอนตายอยู่ข้างร่องน้ำ จึงเก็บเอาศพมา พิเคราะห์ดูเนื้อดุจไก่ตกในน้ำร้อน เห้งเจียได้ฟังตาเฒ่าเล่าแล้วก็หัวเราะ พูดว่าทำดังนั้นก็เสียเวลาทั้งสิ้น ตาเฒ่าพูดว่า หมอมาทำดังนี้แลทิ้งเสียชีวิตด้วย พาให้พวกข้าพเจ้ามีความเดือดร้อนต้องเสียเงินโสหุ้ยไปทุกคนเปล่า ๆ เห้งเจียพูดว่าท่านตาอย่าวิตก ข้าพเจ้าจะแทนคุณท่านจับปีศาจนั้นให้จงได้ ตาเฒ่าพูดว่าแม้ท่านจับปีศาจได้จริงแล้ว ข้าพเจ้าจะไปเชิญผู้ใหญ่บ้านมาทำหนังสือสัญญาให้ไว้แก่ท่าน แม้ว่าท่านจับปีศาจได้แล้ว ก็ตามแต่ท่านจะเอาค่าบำเหน็จรางวัลสักเท่าใด ข้าพเจ้าจะกราบเท้าท่านให้เต็มตามสัญญาสักหนึ่งหุนก็มิให้ขาดได้ หากว่าพลั้งพลาดเสียทีสู้ปีศาจมิได้ อย่าให้มีโทษเกี่ยวข้องมาถึงข้าพเจ้าด้วย ตามแต่บุญกรรมเป็นใหญ่
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ท่านเคยถูกเขาพาโลหรือ จึงได้กลัวไปดังนั้น ท่านตารีบไปเชิญผู้ใหญ่บ้านมาเถิด ตาเฒ่าดีใจให้คนใช้ไปเชิญผู้ใหญ่บ้านมาแปดคน ครั้นผู้ใหญ่บ้านมาพร้อมกันแล้ว ตาเฒ่าแซ่ลี้จึงเล่าเรื่องให้ผู้ใหญ่บ้านฟัง ก็พากันมีความยินดีทุก ๆ คน ผู้ใหญ่บ้านเหล่านั้นถามว่า ท่านผู้ใดจะรับจับปีศาจ เห้งเจียว่าข้าพเจ้านี้แหละ ตาเฒ่าผู้ใหญ่บ้านเหล่านั้นตกใจกลัว พูดว่าเห็นจะไม่พอการ ด้วยปีศาจมีฤทธาอานุภาพมากนัก ทั้งรูปร่างใหญ่โตมีกำลังพลังมาก ด้วยท่านรูปร่างผอมเล็กนิ๊ดหนึ่งเท่านี้ แต่มันจะเคี้ยวก็จะลอดฟันไป จะไปจับมันที่ไหนได้
เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านทั้งหลายดูข้าพเจ้าไม่ถูก แม้ว่าข้าพเจ้ามีรูปร่างเล็กก็จริง แต่ข้าพเจ้ามีความรู้อาจจับปีศาจได้แล้ว ตาเฒ่าเหล่านั้นเห็นพูดดังนั้นก็ตามใจ จึงถามว่าถ้าท่านจับปีศาจได้จะต้องการค่าแรงสักเท่าใด เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าจะเอาอะไรมี ด้วยพวกข้าพเจ้ารักษาแต่กุศลเท่านั้น ไม่ต้องการเงินทองอะไรทั้งสิ้น ตาเฒ่าผู้ใหญ่บ้านทั้งหลายพูดว่า ถ้าท่านไม่เอาเงินแล้วจะมิป่วยการเปล่า ๆ หรือ อันพวกข้าพเจ้าทั้งหลายนี้หาเลี้ยงชีพทางไร่นา แม้ว่าท่านจับปีศาจได้จริงดังว่าแล้ว พวกข้าพเจ้าจะเรี่ยรายกันออกที่นาพันไร่ ยกให้ท่านอาจารย์กับศิษย์ปลูกสร้างวัดอยู่สวดมนต์ไหว้พระนั่งกระทำกรรมฐานวิปัสนาตามความประสงค์ จะดีกว่าไปเที่ยวเมืองบน
เห้งเจียได้ฟังก็หัวเราะพูดว่า อย่างความคิดของท่านก็ไม่เป็นประโยชน์จริง จะต้องเป็นกังวลลำบากเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย จะหลับนอนและนั่งภาวนาก็จะไม่เป็นปรกติ ไม่เห็นว่าดีอย่างไรเลย ตาเฒ่าทั้งหลายพูดว่า สิ่งใดก็ไม่ต้องการ ถ้าดังนั้นพวกข้าพเจ้าจะได้อันใดเป็นที่ขอบคุณเล่า เห้งเจียชี้แจงว่า พวกข้าพเจ้าเป็นคนถือศีลกินเพลถือเพศเป็นสมณะ ก็ประสงค์ข้าวน้ำผ้านุ่งห่มที่พักอาศัยและยาแก้โรคพอข้ามเวลาไปวันๆ หนึ่งเท่านั้น ตามที่ท่านผู้เฒ่าได้ต้อนรับเท่านี้ก็พอสมควรอยู่แล้ว พวกผู้เฒ่าพูดว่าอย่างนั้นก็เป็นที่ง่าย แต่ยังไม่ทราบว่าท่านจะทำอย่างไรในการที่จะจับปีศาจนั้น จึงจะได้ตัวมันเล่า เห้งเจียบอกว่า ถ้ามันมาข้าพเจ้าก็จะจับมันอย่างนั้นไม่ต้องวิตกอะไรเลย
ตาเฒ่าพูดว่าปีศาจนั้นมันใหญ่โตเหลือเกิน มันไปมามีพายุใหญ่มืดฟ้ามัวฝน ท่านจะทำอย่างไรจึงจะใกล้มันได้ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า หากมันทำเมฆหมอกมืดฟ้ามัวฝนอย่างนั้น เปรียบเหมือนลูกหลานการเล็กน้อย แม้ร่างกายมันจะโตใหญ่อย่างไรก็ไม่ประหลาดอะไรดอก ในขณะที่พูดกันอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงอู้ ๆ เป็นลมพายุใหญ่พัดมา พวกตาเฒ่าแปดคนนั้น ก็พากันตกใจตัวสั่นไปทุก ๆ คน พูดวาปากท่านผู้ศักสิทธิ์พูดถึงปีศาจ ๆ ก็มาทันที
ตาเฒ่าแซ่ลี้เปิดประตูชั้นใน พาพวกวงศาคณาญาติเรียกเข้าในห้อง พระถังซัมจั๋งและเฒ่าที่มาแปดคนนั้น ให้เข้าแอบในห้องบอกว่าผีปีศาจมันมาแล้ว โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งก็พากันตกใจกลัวจะวิ่งเข้าไปในห้อง เห้งเจียจึงยึดไว้คนละมือ ถามว่าจะพากันวิ่งไปข้างไหน จงออกไปดูปีศาจกับเราให้รู้ว่าจะเป็นปีศาจอะไร เห้งเจียก็พากันออกไปยืนดูที่นอกชานบ้าน บัดเดี๋ยวก็เกิดลมพัดใหญ่โป๊ยก่ายตกใจกลัว กระโดดลงเอาปากซุกอยู่กับดินแน่นดุจตีตาปู ซัวเจ๋งก็ยืนตัวสั่นไม่กล้าลืมตา เห้งเจียยืนคอยแลดูสายลมและปีศาจบัดเดี๋ยวก็เห็นม้วนลมข้ามไปแล้ว ที่บนอากาศมีโคมไฟสว่างสองโคมลอยลิ่ว ๆ มา เห้งเจียจึงร้องเรียกโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งว่าลมเงียบแล้ว จงลุกขึ้นดูอะไรบนอากาศ โป๊ยก่ายกระชากปากขึ้นจากดิน แหงนขึ้นไปดูบนอากาศก็เห็นโคมไฟคู่หนึ่ง พลั้งปากพูดว่าดีจริง ซัวเจ๋งว่าเวลานี้ก็เป็นกลางคืน ทำไมจึงรู้ได้ว่าดีและร้าย
โป๊ยก่ายพูดว่า โบราณท่านกล่าวไว้ว่า เดินกลางคืนอย่างนี้ถ้ามีโคมก็ย่อมเป็นที่เชื่อได้ว่าคนดี ซัวเจ๋งพูดว่าพี่พูดผิดไปแล้ว นั่นไม่ใช่โคมไฟ เป็นลูกตาของปีศาจมัน โป๊ยก่ายแลไปก็เห็นชัดว่านัยน์ตา ถึงพูดว่านัยน์ตามันเท่านี้ปากมันจะเท่าไหน เห้งเจียพูดว่าน้องจงคอยรักษาอาจารย์ พี่จะขึ้นไปกำจัดมันเสียเดี๋ยวนี้ ว่าแล้วเห้งเจียก็เหาะขึ้นไปสกัดกลางอากาศ ถือตะบองชี้ไปร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า จึงหยุดก่อนเราอยู่นี่ ฝ่ายปีศาจเมื่อแลเห็นเห้งเจียก็ยั้งอยู่แกว่งทวนไปมา เห้งเจียถามว่าเจ้าเป็นปีศาจชนิดใดอยู่ที่ไหน มีประสงค์จะมาทำร้ายเราหรือ ปีศาจก็มิได้โต้ตอบประการใด แกว่งแต่ทวนคว้างอยู่อย่างนั้น เห้งเจียถามอีกก็ไม่ตอบว่ากระไร เห้งเจียยกตะบองร้องตวาดว่ามึงอย่าหนี ฝ่ายปีศาจก็ไม่กลัว ควงทวนรอรับอยู่กลางอากาศ ต่างต่อสู้กันไปมาจนเวลายามสาม
โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งยืนดูอยู่หน้าบ้านเห็นแจ่มแจ้ง ปีศาจเอาทวนควงรบไม่เป็นท่า เห้งเจียก็จ้องแต่จะตีที่ศรีษะปีศาจ โป๊ยก่ายจึงพูดแก่ซัวเจ๋งว่า น้องจงคอยรักษาอาจารย์ไว้ พี่จะขึ้นไปช่วยรบขนาบชิงเอาความชอบอย่าให้เห้งเจียเอาได้ พูดแล้วโป๊ยก่ายก็เหาะขึ้นไปยกคราดกระโจนเข้าสับ ปีศาจก็เอาทวนแกว่งรับซ้ายรับขวาโดยแคล่วคล่องว่องไวดุจ งูขว้างค้อน โป๊ยก่ายชมว่าปีศาจชำนาญในเพลงทวนมาก มิใช่เพลงธรรมดา เรียกว่าด้ามอ่อนเพลง เห้งเจียว่าเพลงด้ามอ่อนที่ไหนมี โป๊ยก่ายว่าพี่ไม่ดูมันรำทวนรอรบเราทำไมจึงไม่เห็นด้ามทวน มันเอาซ่อนไว้ที่ไหน เห้งเจียพูดว่าปีศาจนี้มันไม่รู้จักภาษาคน ไอกลิ่นโสโครกของมันเหม็นมากที่สุด มันกลัวเวลากลางวัน แม้ว่าแสงตะวันขึ้นก็จะหนี ถ้ามันหนีเราจึงไล่ตามอย่าได้ละปล่อยมัน
โป๊ยก่ายพูดว่าเห็นจะดีจริง คิดเห็นดังนั้นแล้วก็เข้ารบอีกพักหนึ่ง เวลาก็สว่างแจ้งปีศาจก็หันกลับจะหนีไป เห้งเจียโป๊ยก่ายก็ไล่ติดกระชั้นมาก มีความเหม็นเหลือกำลัง คือที่เขาชิดเจี๊ยดซัวดงมะพลับ โป๊ยก่ายว่ากลิ่นเหมือนกลิ่นคูถ หรือจะมีบ้านช่องที่มีเว็จดอกกระมัง จึงได้เหม็นเหลือทนดังนี้ เห้งเจียร้องว่ารีบตามไป ฝ่ายปีศาจข้ามเขามาแล้วก็กลายกลับเป็นรูปเดิม คือเป็นงูแสงอาทิตย์ โป๊ยก่ายพูดว่านี่มันเป็นงู หากว่ามันจะกินคนมันก็กลืนเข้าไปทั้งตัวทีเดียว แม้สักห้าสิบคนก็ไม่พอจะเต็มท้องมัน เห้งเจียว่าที่มันแกว่งทวนนั้น คือหัวและหางมันเราไล่ไปให้มันจนมุมแล้วจึงค่อยตี โป๊ยก่ายก็รีบไล่กระชั้นมาเอาคราดสับ ปีศาจก็มุดเข้าไปในรู ยังเหลือแต่หางอยู่ข้างนอกอีกสักวาหนึ่ง โป๊ยก่ายก็ทิ้งคราดตรงเข้าไป สองมือจับยึดหางลากไว้จนสิ้นแรงรั้งไว้ก็ไม่ไหว เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะร้องว่าปล่อยมันไปเสียเถิด แล้วจึงค่อยคิดอุบายจับมันจึงจะได้ โป๊ยก่ายรั้งไม่อยู่แล้วก็ปล่อยมือ ปีศาจก็เลื้อยเข้าไปสุดตัว โป๊ยก่ายบ่นว่าถ้าไม่ปล่อยข้าพเจ้าก็จะจับลากออกมาได้เสียแล้ว ที่ไหนมันจะกล้ากลับออกมาอีกเล่า
เห้งเจียพูดว่าเราคิดดูตัวมันโตใหญ่ แต่รูนั้นเล็กคงจะกลับตัวไม่ได้ เห็นจะเลื้อยตรงไปหากจะมีทางออกข้างโน้น โป๊ยก่ายจงรีบไปสกัดไว้ พี่จะตามเข้าไปในรูไล่ออกไป โป๊ยก่ายก็รีบข้ามโขดไปสกัดทางไว้ แลไปก็เห็นมีรูโป๊ยก่ายก็หยุดอยู่ เห้งเจียก็ไล่ติดตามเข้าไปในรู ปีศาจกลัวก็มุดเลื้อยออกทางปล่องข้างหลัง เอาหางตวัดถูกโป๊ยก่ายหกล้มลง เพราะไม่ทันจะรู้ตัวลุกไม่ขึ้น เห้งเจียไล่ตามมาเห็นแล้วก็ไม่รอรั้งร้องว่าปีศาจออกมาแล้ว โป๊ยก่ายผุดลุกขึ้นมายกคราดสับซ้ายสับขวา เห้งเจียหัวเราะพูดว่า มันหนีไปเสียนานแล้วจะละเมอสับอะไรอยู่อีกเล่า
โป๊ยก่ายแกล้งไถลพูดว่า ข้าพเจ้าสับหญ้าให้ปีศาจมันกลัว เห้งเจียว่าอ้ายหมูเองปล่อยให้มันไปเสียแล้ว ยังจะมาทำพูดแก้ตัวเร็วเข้าเถิดรีบตามไป สองคนก็รีบมาพร้อมกันตามไป ข้ามห้วงเขาแลไปข้างหน้าก็เห็นปีศาจขดอยู่เป็นกองใหญ่ อ้าปากยกศรีษะขึ้นชูร่อนจะคาบโป๊ยก่าย ๆ ตกใจกลัวก็ถอยมาอยู่ข้างหลังเห้งเจีย ๆ ก็ตรงเข้าไปใกล้งู ๆ ก็ฉกคาบเห้งเจียกลืนเข้าไปในท้อง โป๊ยก่ายแลเห็นดังนั้นก็ทุบศรีษะและทุบ อกตัวเองร้องว่าพี่เห้งเจียตายแล้ว
เห้งเจียอยู่ในท้องปีศาจเอาตะบองตั้งค้ำขึ้น ร้องเรียกโป๊ยก่ายพูดว่า น้องอย่าโทมนัเลยพี่จะให้มันทำสะพานให้ดู ปีศาจก็ร่นตัวโก่งหลังขึ้นงอ วงดุจสายรุ้ง
โป๊ยก่ายพูดว่าเหมือนสะพานก็จริงแต่คนไม่กล้าข้าม เห้งเจียว่าพี่จะให้มันทำเรือให้ดู เห้งเจียก็เอาตะบองค้ำขวางท้อง ปีศาจก็แผ่ตัวแบนออกหัวหางงอโง้งขึ้นดุจเรือกัลยา
โป๊ยก่ายว่าเหมือนเรือก็จริง แต่ไม่มีประทุนและหางเสือจะแล่นไปไม่ได้
เห้งเจียว่าน้องจงหลีกไปให้พ้นพี่จะให้มันทำลมแล่นให้ดู เห้งเจียก็เอาตะบองแทงทะลุ กลางสันหลังขึ้นเจ็ดแปดวาดุจเสากระโดง
ปีศาจทนเจ็บไม่ได้ก็วิ่งเลื้อยไปโดยเร็วยิ่งกว่าลม ไกลประมาณยี่สิบโยชน์แล้วก็กลับมาทางเก่า ล้มกลิ้งอยู่กับพื้นจะพลิกแพลงก็ไม่ได้ก็สิ้นชีวิตในเวลานั้น
โป๊ยก่ายวิ่งตามมาเอาคราดสับป่นปี้ เห้งเจียก็ออกจากท้องงูเรียกโป๊ยก่ายว่า อ้ายหมูปีศาจมันตายแล้วจะสับทำไม โป๊ยก่ายพูดว่าพี่ยังหารู้จักใจข้าพเจ้าไม่
ข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดมาก็ชอบแต่ตีงูตาย เห้งเจียโป๊ยก่ายต่างก็เก็บอาวุธเข้าที่แล้ว ก็ช่วยกันจับงูลากมายังบ้านท่อล้อจึง ฝ่ายเฒ่าแซ่ลี้กับผู้ใหญ่บ้านทั้งหลาย พูดกับพระถังซัมจั๋งว่าศิษย์ของท่านสองคนนั้นเห็นจะไม่กลับมาแล้ว พระถังซัมจั๋งว่าไม่เป็นไรท่านอย่าวิตกเลย พวกเราพากันออกไปคอยดูพูดแล้วก็พากันออกมา แลไปก็เห็นเห้งเจียโป๊ยก่ายเอะอะ ๆ ลากงูมา คนเหล่านั้นแลเห็นก็พากันดีใจ ในหมู่บ้านนั้นไม่ว่าชายและหญิงผู้ใหญ่และเด็กต่างพากันมาเคารพและพูดว่า ปีศาจนี้มันอยู่ที่นี่มันได้ฆ่ามนุษย์และสัตว์เดรัจฉานเสียมากแล้ว บัดนี้ได้พึ่งท่านทั้งสองกำจัดเสียได้พวกข้าพเจ้าทั้งหลายจะค่อยมีความสุข พวกชาวบ้านคิดถึงคุณต่างก็นิมนต์ไว้เลี้ยงดูหกเจ็ดวันแล้ว พระถังซัมจั๋งกับศิษย์จึงขอลา พวกชาวบ้านเห็นไม่รู้ที่ว่าจะทำประการใดได้ก็ต้องยอมให้ไป พวกชาวบ้านเห็นเธอไม่รับบำเหน็จรางวัลเงินทองอะไรสักอย่างหนึ่ง ต่างก็จัดทำข้าวตูข้าวตากขนมแห้งและผลไม้มาถวาย ในหมู่บ้านท่อล้อจึงนี้มีห้าร้อยหลังต่างก็มาตามส่งทุกๆ คน เดินมาประมาณชั่วโมงเศษก็มาถึงต้นทางเขาชิดเจียดซัว
![]() |
วีดีโอ |
พระถังซัมจั๋งก็ได้กลิ่นเหม็นแลหนทางก็ปิดช่องเดินจึงเรียกเห้งเจียถามว่า หนทางเป็นเช่นนี้จะข้ามไปอย่างไรได้ เห้งเจียกลั้นใจพูดว่าเห็นจะยากแท้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียบอกว่ายากก็มีความวิตกมีสีหน้าอันเศร้าหมอง
ฝ่ายพวกชาวบ้านที่ตามมาส่งเห็นดังนั้น ก็พากันพูดว่าท่านอาจารย์อย่าได้วิตกเลย พวกข้าพเจ้ามาส่งท่านจนถึงที่นี่ก็ได้ตั้งใจไว้แล้วว่า สานุศิษย์ใหญ่ของท่านได้กำจัดปีศาจร้ายให้พวกข้าพเจ้ามีความสุข พวกข้าพเจ้าพร้อมใจกันจะตัดเลาะทางอื่นให้ท่านไปจนตลอด เห้งเจียได้ฟังดังนั้นแล้วจึงพูดว่าท่านตาคิดการยังไม่พอ เมื่อแรกท่านพูดว่าหนทางไกลถึงแปดร้อยโยชน์ พวกท่านก็มิใช่เจ้าหรือเทพาอารักษ์อะไรกำลังอภินิหารฤทธิ์เดชก็ไม่มี ทำอย่างไรจึงจะสามารถเปิดทางไปได้เล่า แม้ว่าพระอาจารย์ข้าพเจ้าจะข้ามไป ต้องพวกข้าพเจ้าออกกำลังตามทางเก่านี้ไป วิตกด้วยไม่มีผู้จะจัดหาข้าวเลี้ยง
ตาเฒ่าว่าท่านพูดอะไรอย่างนั้นเล่าตามแต่ใจท่านจะผันแปรอย่างไร มากน้อยสักกี่เวลาพวกข้าพเจ้าจะรับเลี้ยงทั้งสิ้น ทำไมท่านต้องวิตกว่าไม่มีคนจะเลี้ยงเล่า เห้งเจียพูดว่าถ้าได้ดังนั้น ท่านจงพากันไปจัดหาข้าวสุกมาสักสองถังและขนมของหวานมาด้วย ข้าพเจ้าจะได้เลี้ยงอ้ายปากยาวให้มันกินสักอิ่มหนึ่ง คือจะให้มันแปลงเป็นหมูใหญ่เปิดทาง ให้อาจารย์ขึ้นขี่ม้าพวกข้าพเจ้าจะได้คอยรักษาข้ามไป
โป๊ยก่ายได้ยินพูดว่าจะให้ทำดังนั้น จึงถามว่าพี่ทำไมจึงพากันเอาตัวรอดอยู่เปล่าๆ จะให้ข้าพเจ้าทนเหม็นแต่คนเดียวเล่า พระถังซัมจั๋งว่าโป๊ยก่ายหากมีอภินิหารเปิดทางได้จริงดังนั้นแล้ว อาตมาข้ามพ้นไปได้แล้วในครั้งนี้ ความชอบของโป๊ยก่ายเป็นที่หนึ่ง โป๊ยก่ายได้ฟังอาจารย์พูดดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า พระอาจารย์อย่าได้มีความวิตกเลย ข้าพเจ้าจะแปลงเป็นสุกรใหญ่เมื่อตัวโตแล้วใส้พุงและกระเพาะก็ใหญ่ตามตัว จะต้องกินให้อิ่มจึงจะออกแรงทำการได้ พวกชาวบ้านเหล่านั้นพูดว่า เรื่องเข้าสุกและของหวานนั้นท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าให้รีบกลับไปจัดเตรียมมาไว้พร้อมแล้ว สิ่งของที่พวกข้าพเจ้าจัดหามาส่งมีอยู่บ้าง เชิญท่านรับประทานก่อนเมื่อขาดเหลือประการใด พวกข้าพเจ้าจะจัดหามาให้พอจงได้
โป๊ยก่ายดีใจถอดเสื้อคาดบั้นเอ็วแล้วพูดว่า ท่านทั้งหลายอย่าหัวเราะจงดูข้าพเจ้าจะเอาความชอบในทางที่เหม็นนี้ พูดดังนั้นแล้วก็ร่ายคาถาเอามือท้าวเอ็วไหวกายทีหนึ่ง ร่างกายก็กลายเป็นสุกรใหญ่ เห้งเจียเห็นโป๊ยก่ายแปลงเป็นสุกรใหญ่แล้ว จึงให้พวกชาวบ้านเอาข้าวตูเข้าตากและขนมต่าง ๆ มากองวางไว้แห่งหนึ่งแล้ว จึงเรียกโป๊ยก่ายมากินให้อิ่มแล้วจะได้ไปขุดเปิดทาง โป๊ยก่ายก็เข้ามากิน เห้งเจียบอกให้ซัวเจ๋งถอดรองเท้าพยุงอาจารย์ขึ้นม้า เห้งเจียก็ถอดรองเท้า จึงบอกแก่พวกชาวบ้านให้กลับไปยังที่เถิด หากมีจิตศรัทธาก็ให้เอาข้าวมาตามส่ง พวกข้าพเจ้าจะได้อาศัยเป็นกำลัง พวกที่มาตามส่งนั้นที่มีม้าลาก็รีบกลับไปจัดหาข้าวปลาอาหาร ได้แล้วก็รีบเอากลับมาส่ง
ฝ่ายอาจารย์กับสานุศิษย์ก็ออกเดินไปไกลแล้ว พวกชาวบ้านที่มาตามไม่ทันก็รีบตามไปทั้งคืนยังรุ่งต่อเช้าจึงทันกัน จึงร้องเรียกว่าท่านอาจารย์จงหยุดก่อนพวกข้าพเจ้าเอาข้าวมาตามส่ง พระถังซัมจั๋งมีความขอบคุณยิ่งนักจึงเรียกโป๊ยก่ายให้กินอาหารเป็นกำลัง โป๊ยก่ายตั้งหน้าขุดสองวันแล้วโดยเวลาหิว ก็ดีใจมากินจนสิ้นของพออิ่มก็รีบไปขุดอีก ฝ่ายเห้งเจียซัวเจ๋งก็พากันมาขอบคุณชาวบ้านแล้วก็ต่างคนลาจากกันไป พวกชาวบ้านท่อล้อจึงพากันกลับบ้าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น