Translate

07 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 34 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
        (บทที่ ๔๐) ฝ่ายพวกขุนนางข้าราชการทั้งหลายก็พากันออกมารับ เห้งเจียจึงเล่าเรื่องที่พระโพธิสัตว์มาจับปีศาจให้พระมหากระษัตริย์และขุนนางฟังทุกประการแล้ว ต่างก็ยกมือขึ้นคำนับเนื่องไป มีความรื่นเริงทั่วกันทุกๆคน ในเวลาเมื่อกำลังสรรเสริญเห้งเจียอยู่นั้น เห็นขุนนางขันทีเข้ามาทูลว่าบัดนี้ ข้างนอกประตูมีพระสงฆ์สี่รูปจะเข้ามาเฝ้า จึงทรงพระอนุญาตให้รับเข้ามา ครั้นพระสงฆ์สี่รูปเข้ามาถึงแล้ว คือเป็นพระสงฆ์ที่วัดโป๊ลิ้มยี่ นำเครื่องทรงของฮ่องเต้มาถวาย เห้งเจียแลเห็นก็มีความยินดีพูดว่าดีแล้วดีแล้ว บอกให้พวกขุนนางเอาเครื่องแต่งให้พระเจ้าแผ่นดิน แล้วเห้งเจียเชิญให้ขึ้นครองราชสมบัติไปตามเดิม และให้ไท้จื๊อเอาก้อนหยกชาวนั้นมาถวาย
 ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก ไม่อาจขึ้นนั่งบนพระที่นั่ง คุกเข่าลงกลางพื้นท้องพระโรงแล้วก็ทรงพระกันแสง ตรัสว่าข้าพเจ้าตายไปสามปีแล้ว บัดนี้ได้คืนเป็นมา โดยอำนาจสติปัญญาของท่านช่วยข้าพเจ้าไม่อาจขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อไปได้ ขอเชิญท่านอาจารย์ถังซัมจั๋งขึ้นครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์เถิด ข้าพเจ้าจะพาบุตรภรรยาไปอยู่นอกพระนครขอเป็นไพร่ พระถังซัมจั๋งได้ฟังเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กตรัสดังนั้น จึงพูดแก่เห้งเจียว่า ท่านจงรับครองราชสมบัติเถิด เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ปิดบังท่านทั้งหลาย แม้ข้าพเจ้าจะอยากเป็นฮ่องเต้แล้ว ในใต้หล้าทุก ๆ เมืองก็จะเป็นได้ตลอดไปทั้งสิ้น ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในทางสมณะกิจประพฤติพรตพรหมจรรย์ อันการครอบครองเคหะสถานบ้านเรือนย่อมเป็นที่รังเกียจไม่พอใจ แม้ว่าเป็นฮ่องเต้กลางคืนก็ไม่ได้นอน ยิงปืนก็ต้องตื่นได้ยินแต่ข่าวบ้านเมืองก็ไม่สบาย ราษฎรมีความเดือดร้อนก็ไม่เป็นสุข พวกข้าพเจ้าจะรับอย่างไรได้ สมบัติของท่าน ท่านก็จงรับเป็นฮ่องเต้ต่อไปเถิด ข้าพเจ้าเป็นสมณะปฏิบัติพรตพรหมจรรย์ไปกว่าจะสำเร็จซึ่งมรรคและผล เชิญท่านขึ้นรักษาบ้านเมืองเถิด
 พระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก เห็นพระถังซัมจั๋งแลศิษย์ไม่รับครองราชสมบัติแล้ว ก็ขึ้นครองราชสมบัติรับเป็นกษัตริย์ไปตามเดิม จึงพระราชทานรางวัลแก่พระสงฆ์วัดโป๊ลิ่มยี่ แลรับสั่งให้ปล่อยนักโทษและเปิดพระคลังจ่ายเงินออกให้เป็นทาน แลจัดตำหนักกังกั๊กจัดเครื่องแจโต๊ะเลี้ยงพระถังซัมจั๋งแลพวกสานุศิษย์ทั้งสาม แลประชุมขุนนางเป็นที่รื่นเริง แล้วสั่งให้เปิดพระคลังใน นำของวิเศษประจำเมืองมาถวายพระถังซัมจั๋งและศิษย์ทั้งสาม แต่พระถังซัมจั๋งและสานุศิษย์ก็มิได้รับคืนกลับให้ไว้สำหรับบ้านเมือง ขอแต่เปลี่ยนหนังสือเดินทางเท่านั้นแล้วก็เร่งเห้งเจียให้รีบจัดแจงจะลาไป
 ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก ก็ไม่พอใจจะให้ไป แต่จนใจขัดมิได้ จึงรับสั่งให้จัดราชรถ นิมนต์พระถังซัมจั๋งขึ้นนั่งบนรถแล้วรับสั่งให้ขุนนางทั้งหลายตามไปส่ง แลรับสั่งให้พระญาติพระวงษ์​ทั้งหลายออกมาเชิญรถส่งพระถังซัมจั๋ง ส่วนพระองค์ก็ตามส่งจนนอกประตูเมือง พระถังซัมจั๋งลงจากรถแล้ว ต่างก็คำนับลากันไป เจ้าเมืองโอเกยก๊ก น้ำพระเนตรก็ไหลลงโหมพระพักตร์ พระถังซัมจั๋งไปลับแล้ว พระองค์ก็กลับเข้าพระราชวัง ปกครองบ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขต่อไป
รูปภาพ ; 16.转过山坡,赫然见一个七岁孩童,赤条条被捆住 手脚,高吊在树上,满面泪痕。
         ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสาม เดินตามทางใหญ่ไป เวลานั้น
กำลังเป็นเดือนเก้าเดือนสิบพากันเดินมาได้ครึ่งเดือน แลไปข้างหน้าเห็นภูเขาใหญ่สูงยอดเทียมเมฆบังตะวันร่ม พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้าเห็นดังนั้นอกใจให้หวั่นหวาด จึงเรียกเห้งเจียร้องสั่งว่าข้างหน้ามีภูเขาสูงขวางอยู่ จงระวังระไวให้ดี เห้งเจียพูดว่าตั้งใจเดินไปเถิด อย่าคิดให้มากไปเลย ข้าพเจ้าก็ต้องระวังอยู่เอง ถังซัมจั๋งก็ขับม้ารีบเดิน บัดเดี๋ยวก็มาถึงเนินเขาดูน่ากลัวยิ่งนัก เมื่อเวลาอาจารย์กับศิษย์เดินขึ้นเขาอยู่นั้น ในใจก็หวั่นหวาดอยู่ด้วยกันทุกคน เห้งเจียแลไปที่ซอกเขาเห็นมีสายเมฆแดงฟุ้งขึ้นไปข้างบนอากาศแล้วม้วนกลมเป็นก้อนไฟ.
         เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงวิ่งมาอุ้มพระถังซัมจั๋งลงจากหลังม้า
 แล้วเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่าอย่าเพิ่งไปปีศาจร้ายมันจะมา โป๊ยก่ายซัวเจ๋งตกใจ ต่างก็ผูกรัดผ้าผ่อนถืออาวุธคอยระวังทีอยู่ อันที่ในแสงแดงนั้นคือปีศาจสามสองปีมาแล้ว ได้ยินว่าเมืองใต้ถังมีพระถังซัมจั๋งจะไปไซทีอาราธนาพระธรรม ถ้าใคร่ได้กินเนื้อพระถังซัมจั๋งแล้วจะมี​อายุยืน เพราะฉะนั้นปิศาจจึงได้ตั้งใจคอยดูอยู่ทุกวัน บังเอิญวันนั้นปิศาจอยู่บนอากาศ แลลงมาเห็นพระถังซัมจั๋งนั่งมาบนหลังม้าหน้าขาว ที่สานุศิษย์ทั้งสามนั้นดูหน้าตาหยาบคาย ถืออาวุธคุมเชิงอยู่ดังจะคอยรบสู้แก่ศัตรู หากจะมีคนหนึ่งในสามคนนั้น ที่มีแก้วตารู้เห็นเหตุการณ์ได้ จึงได้คอยระวังอยู่อย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นที่ไหนเราจะกินได้ง่าย ๆ เล่า เช่นนี้เราจะควรทำประการใดดี อย่าเลยจะต้องคิดอุบายเอาน้ำเย็นเข้าฉโลมจะดีกว่า ถ้าหลงกลเราแล้วก็จะจับตัวได้โดยง่าย จะต้องลงไปลองดูก่อน
         คิดแล้วก็ลดลงยังซอกเขา แปลงกายเป็นเด็กน้อยอายุเจ็ดขวบ เปลือยกายมิได้นุ่งห่ม เอาเถาวัลย์ผูกมือแลเท้าแขวนอยู่บนยอดไม้สูงปากก็ร้องเรียกให้ช่วยชีวิตด้วย
 ฝ่ายเห้งเจียแหงนดูบนอากาศ เห็นแสงแดงสูญหายไปจึงบอกพระถังซัมจั๋งให้ขึ้นม้าไปเถิด พระถังซัมจั๋งถามว่า เมื่อตะกี้ตัวพูดว่าปีศาจร้าย ทำไมจึงจะไปเล่า เห้งเจียตอบว่า เมื่อตะกี้ข้าพเจ้าเห็นเมฆแดงฟุ้งขึ้นบนอากาศ รวมเป็นควันไฟแดงจึงรู้แน่ว่าปีศาจร้าย บัดนั้ก็หาย แสงแดงเห็นจะเปนปีศาจเดินทาง โป๊ยก่ายว่าปีศาจเดินทางมีหรือ เห้งเจียว่าเจ้าที่ไหนจะล่วงรู้ได้ บางทีมีภูเขามีถ้ำมีพระยาใต้อ๋อง พวกปีศาจจะเลี้ยงกันก็เที่ยวเชิญบรรดามิตรสหายปีศาจด้วยกันไปประชุมเลี้ยงโต๊ะ เพราะตั้งใจจะไปประชุมจึงมิได้กระทำอันตรายแก่เรา ถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น เชื่อ​บ้างไม่เชื่อบ้างลังเลอยู่ไม่แน่แก่ใจนัก ก็ขับม้าเดินไป
ตอน ปะทะหงไหเอ๋อ[ลูกไฟแดงน้อย] (ช่วงที่1)
 ขณะนั้นได้ยินเสียงเด็กร้องให้ช่วยชีวิต พระถังซัมจั๋งตกใจถามว่าในกลางป่าเขาอย่างนี้ มีคนอะไรมาร้องเรียกอึกกะทึกเล่า เห้งเจียพูดว่าท่านอย่าเป็นธุระจงตั้งใจเดินไปเถิด
 คร้นเดินมาบัดเดี๋ยว ก็ได้ยินเสียงร้องเรียกให้ช่วยชีวิตอีก พระถังซัมจั๋งว่านี่เห็นจะมีคนต้องภัยได้ทุกข์ดอกกระมัง จึงได้ร้องเรียกดังนี้ พวกเราไปช่วยดูเป็นไร เห้งเจียพูดว่าวันนี้พระอาจารย์จงเก็บเมตตาจิตเสียบ้างเถิด ด้วยความดีน้อยความร้ายมากนัก พระถังซัมจั๋งขับม้ารีบเดินไป เห้งเจียคิดอยู่แต่ในใจว่า ไม่รู้ว่าปีศาจระยำนี้มันเรียกอยู่ที่ไหน จำเราจะร่ายพระคาถาแยกทางอย่าให้พบกัน คิดแล้วเห้งเจียปล่อยให้ไปก่อนสักสิบเก้า จึงร่ายคาถาย่นทางเอากระบองชี้ตามหลังส่งพระถังซัมจั๋งข้ามเขาไปแล้ว จึงร่ายคาถาทิ้งปิศาจให้อยู่ข้างหลัง แล้วเห้งเจียก็วิ่งตามพระถังซัมจั๋งไป
 ฝ่ายปีศาจอยู่บนยอดเขาร้องเรียกสามสี่คำ ก็ไม่มีใครเข้าไป ปีศาจนึกว่าเมื่อกี้นี้เราเห็นถังซัมจั๋งมาไม่สู้ไกล ทำไมเป็นนานก็ไม่เห็นมาถึง เห็นจะแยกทางไปดอกกระมัง คิดดังนั้นแล้วก็สลัดเชือกขาดเหาะขึ้นไปสูงพิจารณาดู เห้งเจียแหงนหน้าขึ้นดูก็เห็นมีแสงแดงขึ้นอีก เห้งเจียก็วิ่งมาอุ้มถังซัมจั๋งลงจากม้า แลกำชับว่าพี่น้องระวังให้ดี ปีศาจมันมาอีกแล้ว โป๊ยก่ายซัวเจ๋งตกใจต่างก็ถืออาวุธล้อมพระถังซัมจั๋งอยู่มิได้มีความประมาท
 ฝ่ายปิศาจอยู่บนอากาศแสลงมาเห็นดังนั้น ก็สรรเสริญว่า พวกเหล่านี้มันดีจริง มันมีคนตาสว่างรู้เห็นได้ทันท่วงที จำเราจะต้องจับอ้ายคนนี้ก่อน จึงจะจับถังซัมจั๋งได้ มิดังนั้นก็จะเสียการ คิดแล้วก็ลดลงยังพื้นแปลงกายเป็นเด็กยังเยาว์ เอาเถาวัลย์มัดมือแล้วก็เหาะขึ้นแขวนอยู่กับยอดไม้ ประมาณที่พระถังซัมจั๋งเดินไกลสักเส้นหนึ่ง ฝ่ายเห้งเจียแหงนหน้าดู เห็นแสงแดงนั้นหายไป จึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งขึ้นม้าเดินต่อไป พระถังซัมจั๋งถามว่า เมื่อตะกี้บอกว่าปีศาจมาเดี๋ยวนี้จะให้ขึ้นม้าไปอย่างไรอยู่ เห้งเจียว่านี่ก็เปนปีศาจเดินทางเหมือนกัน มันจึงไม่กล้าทำร้ายเรา พระถังซัมจั๋งโกรธด่าว่าอ้ายสัตว์ลิงมึงหลอกเล่นตามสบายที่ไม่มีหลอกว่ามี ทำให้เราหวั่นหวาดบ่อย ๆ อย่างนี้หรือ ประเดี๋ยวจับขึ้นประเดี๋ยวจับลง จนจะล้มลงแข้งขาหักจะได้ไม่ต้องไปอย่างนั้นหรือ เห้งเจียพูดว่า อันขาแข้งหักยังแก้ได้ ถ้าปีศาจมันจับไปได้จะไปค้นหาที่ไหน
 พระถังซัมจั๋งก็ยิ่งโกรธใหญ่ จะใคร่ภาวนาคาถา ซัวเจ๋งอ้อนวอนขอมิให้ภาวนา พระถังซัมจั๋งจึงขึ้นม้าเดินไป ออกเดินไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงเรียก หลงพ่อช่วยชีวิตข้าพเจ้าด้วย พระถังซัมจั๋งแลไปเห็นเด็กน้อยแขวนอยู่บนยอดไม้ผ้านุ่งห่มก็ไม่มี พระถังซัมจั๋งก็หยุดม้าด่าเห้งเจียว่าอ้ายชาติลิง ข้าว่าเสียงคนเรียกมันว่าปีศาจยักษ์ร้าย จงดูที่แขวนอยู่บนยอดไม้นั้นคนหรือปีศาจ เห้งเจียเห็นอาจารย์ขัดเคืองก็มิได้โต้​ตอบประการใด พระถังซัมจั๋งก็เดินเข้าไปใกล้เอาแซ่ชี้ถามว่า เจ้านี้เป็นลูกเต้าใครที่ใหน จึงได้มาแขวนอยู่อย่างนี้ จงบอกแก่เรา ๆ จะช่วยแก้ให้
 ปิศาจเห็นพระถังซัมจั๋งเข้ามาถามดังนั้น ก็ทำร้องไห้ว่าท่านอาจารย์ที่เขานี้ไปข้างทิศตะวันตกมีหมู่ต้นสนแห้งและห้วยน้ำเขาที่นั้น มีหมู่บ้านคือบ้านข้าพเจ้าอยู่ ปู่ข้าพเจ้าแซ่อั๊งนามเรียกแปะบ้วนอายุชราก็ล่วงไปแล้ว สมบัตินั้นก็ยกให้แก่บิดาข้าพเจ้า ๆ ทรุดโทรมบ้านเรือนก็ทิ้งไม่ดูแล เที่ยวคบหาแต่คนที่มีฝีมือเก่งกาจจำหน่ายเงินทองให้กู้ให้ยืมจะใคร่ได้ผลประโยชน์ ก็บังเอิญถูกคนไม่ดีหลอกหลอนเอาไป ต้นทุนและกำไรก็ไม่ได้คืน บิดาข้าพเจ้าก็มีความแค้น จึงสาบานตัวว่าไม่ให้ใครกู้ยืมต่อไปอีก พวกคนเหล่านั้นจะคิดอย่างไรก็ไม่ได้ จึงคุมสมัครพรรคพวกล้วนแต่คนดุร้าย พากันมาปล้นบ้านบิดาข้าพเจ้าในเวลากลางวัน เก็บขนเอาทรัพย์สิ่งของไปหมดสิ้นแล้ว ฆ่าบิดาข้าพเจ้าเสียด้วย จับมารดาข้าพเจ้าไป มารดาอุ้มข้าพเจ้ามาด้วย โจรจะฆ่าข้าพเจ้า มารดาข้าพเจ้าอ้อนวอนขออย่าให้ฆ่าข้าพเจ้าด้วยมีดฟันเลย
 โจรจึงจับข้าพเจ้ามัดแขวนไว้บนต้นไม้ให้อดตายเอง แล้วโจรพามารดาข้าพเจ้าไปข้างไหนก็ไม่ทราบ ข้าพเจ้าต้องแขวนอยู่อย่างนี้สามวันมาแล้ว ไม่มีผู้ใดเดินมาทางนี้แต่สักคน แม้ว่าท่านมีเมตาจิตร ช่วยชีวิตรให้ข้าพเจ้ารอดไปแล้ว ข้าพเจ้าไปถึงบ้านจะขายตัวแทนคุณท่านไม่ลืมพระคุณท่านจนวันตาย
 ​พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็ให้สงสารบอกโป๊ยก่ายให้ขึ้นไปแก้ลงมา โป๊ยก่ายจะปีนขึ้นไป เห้งเจียยืนอยู่ข้างนั้นอดไม่ได้ ร้องตวาดว่าอ้ายสัตว์เขาทึ้ง กูจำได้มึงอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ บ้านมึงถูกโจรปล้นหมดแล้ว พ่อมีงโจรฆ่าตายแล้ว แม่มึงโจรจับไปแล้ว จะช่วยมึงลงมาแล้วจะเอามึงไปส่งให้ใคร มึงจะเอาอะไรมาตอบแทนคุณกู ปีศาจได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ตกใจกลัว และเข้าใจแน่ว่าเห้งเจียรู้เท่า จึงทำมารยาร้องไห้แล้วพูดว่า หลวงพ่อ แม้ว่าบิดามารดาข้าพเจ้าตายก็จริงสมบัติหมดก็จริง แต่ที่ทางเรือกสวนยังอยู่ ทั้งวงศ์ญาติฝ่ายบิดามารดาก็ยังบริบูรณ์พร้อมเพรียง หลวงพ่อช่วยข้าพเจ้าให้รอดตายแล้ว ท่านไปบ้านข้าพเจ้าจะประชุมญาติทั้งหลาย ขายไร่นาเรือกสวนสนองพระเดขพระคุณท่านหาน้อยไม่
 โป๊ยก่ายพูดแก่เห้งเจียว่า อ้ายเด็กทารกนิดเดียวพี่จะถามไปทำไมให้มากความ ช่วยให้ลงมาก็แล้วกัน โป๊ยก่ายก็ปีนขึ้นไปเอามีดโกนตัดเชือกที่มือที่เท้าปีศาจแล้ว ปีศาจก็ก้มหน้าอยู่ตรงหน้าพระถังซัมจั๋งร้องไห้ไม่หยุด พระถังซัมจั๋งก็มีความเมตตา เรียกเจ้าหนูจงมาขึ้นม้าเราจะพาไป
 ปีศาจว่าข้าพเจ้าถูกมัดมือแลเท้าเจ็บไปหมดทั้งตัว และในแถบนี้ชาวบ้านไม่เคยขี่ม้า พระถังซัมจั๋งว่าถ้าอย่างนั้นโป๊ยก่ายให้เขาขี่ไป ปีศาจร้องว่าหลวงพ่อ ท่านผู้นี้ข้าพเจ้าไม่กล้าขี่ ขนคอแหลมดุจเข็มข้าพเจ้ากลัวนัก พระถังซัมจั๋งว่าดังนั้น ซัวเจ๋งให้เขาขี่ไป ปีศาจร้อง​ว่าหลวงพ่อเมื่อวานนี้ปล้นบ้านข้าพเจ้าหน้าตาคล้าย ๆ ท่านผู้นี้ ข้าพเจ้ากลัวไม่กล้าขี่ พระถังซัมจั๋งจึงว่าถ้าดังนั้นเห้งเจียจงให้เขาขี่ไปเถิด เห้งเจียหัวเราะก๊ากใหญ่ ไว้ข้าพเจ้าจะให้ขี่ไปเองปีศาจก็ดีใจ เห้งเจียลองจับขยับยกดูมีน้ำหนักสามชั่งสิบตำลึง หัวเราะแล้วพูดว่าอ้ายปีศาจนี้มึงจะถึงที่ตายแล้ว มึงอาจสามารถทำผีหลอกอย่างนี้จะได้อยู่หรือ ปีศาจเรียกหลงพ่อว่าข้าพเจ้าเป็นลูกคนแท้ มีทุกข์ร้อนเคราะห์ร้ายอย่างนี้
 เห้งเจียถามว่ามึงเป็นลูกคนทำไมกระดูกจึงเบาเล่า ปีศาจว่าข้าพเจ้ายังเป็นทารกกระดูกเล็กยังเด็กอยู่ เห้งเจียพูดว่าเอาเถอะก็จะให้ขี่ไป แม้จะขี้เยี่ยวจงบอกให้กูรู้ก่อน เห้งเจียก็เดินตรงไปทางทิศตะวันตก เห้งเจียให้ปีศาจขี่อยู่บนหลัง ก็นึกแค้นอยู่ในใจจะใคร่หาอุบายฆ่ามันเสีย ปีศาจก็รู้ซึ่งความคิดของเห้งเจีย จึงร่ายพระเวทอ้าปากคาบอากาศทั้งสี่ทิศ เป่ามนต์บนหลังให้หนักประมาณพันชั่ง
 เห้งเจียรู้สึกตัวก็หัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายลูกของกูมึงทำมนต์อะไรบนหลังกูให้หนักอย่างนั้นเล่า ปีศาจกลัวเห้งเจียจะทำร้ายก็ถอดรูปออกจากหลังเห้งเจีย เหาะขึ้นยืนอยู่บนเวหา ทิ้งรูปแปลงอยู่ที่หลังเห้งเจีย ๆ ก็ยิ่งหนัก จึงคิดโทโสคว้าลากลงจากหลังเอาฟาดลงกับศิลา ตัวก็น่วมดุจแป้งขนม แล้วฉีกมือเท้าละเอียดไปทั้งสิ้น ทิ้งศพไว้ข้างทาง
 ​ฝ่ายปิศาจอยู่บนอากาศแลลงมาเห็นดังนั้น อดโทโสไม่ได้จึงพูดว่า อ้ายสัตว์ลิงนี้มันถือดีนัก เวลานี้ถ้าเราไม่ตามจับถังซัมจั๋งไว้ช้ามันจะมีปัญญาขึ้นมากจะลำบาก ปีศาจจึงร่ายเวททำเป็นลมพายุใหญ่ หอบพัดดินทรายหินกรวดซัดสาดมาโดยแรง พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้าก็เหลือจะทนได้ โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ก้มหัวปิดตาเห้งเจียก็รู้ได้ว่าปีศาจมันทำลมพายุ จึงรีบวิ่งตามพระถังซัมจั๋ง
 เวลานั้นปีศาจก็จับเอาพระถังซัมจั๋งไปแล้ว บัดเดี๋ยวลมพายุก็หายแสงตะวันก็ออกสว่างท้องฟ้า เห้งเจียเดินมาเรียกโป๊ยก่าย ๆ ก็ผุดลุกขึ้นพูดว่ามีพายุใหญ่เหลือเกิน เห้งเจียถามว่าพระอาจารย์อยู่ที่ไหน โป๊ยก่ายว่าเมื่อเกิดลมพายุนั้น ข้าพเจ้าทั้งสองหาที่หลีกหลบมิได้ พระอาจารย์ก็ฟุบอยู่บนหลังม้า ประเดี๋ยวนี้ทำไมไม่ได้ยินเสียงเลย ไม่รู้ว่าจะอยู่หรือจะไปข้างไหน เห็นลมพายุจะหอบเอาไปเสียแล้วดอกกระมัง
 เห้งเจียเมื่อได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงพูดว่าตั้งแต่นี้ไปก็ตามแต่ใครจะไปข้างไหนเถิด โป๊ยก่ายว่าถ้ากระนี้แล้วก็รีบหาทางไปดีกว่า ซัวเจ๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความเสียใจเป็นอันมาก จนตกตะลึงไปแล้วพูดว่า พี่เอาถ้อยคำอะไรมาพูดดังนี้เล่า พี่ไม่รู้สึกหรือว่าพวกเรามีโทษ ได้พึ่งพระกวนอิมท่านสั่งสอนชักนำให้เข้าอยู่ในทางชอบธรรม เปลี่ยนชื่อแปลงนามเคารพต่อพระพุทธศาสนา ก็ได้อธิฐานตั้งจิตรักษาพระอาจารย์ถังซัมจั๋งไปไซที เพื่อแสวงหาความดีลบล้างโทษที่ได้ล่วงไปแล้ว มาวันนี้พี่เอาคำอันไม่สมควรมากล่าวขึ้นดังนี้ จะมิเอา​โทษมาทำลายล้างคุณความดีที่ได้ทำมาแล้วนั้นเสีย หรือ และความดีที่พวกเราได้อุตสาหะพยายามมาจะมิสูญเสียไปเปล่าหรือ
 เห้งเจียว่าที่น้องพูดดังนี้ก็ถูกต้องจริงหมด แต่เหตุผลขัดข้องย่อมมาจากพระอาจารย์ทั้งสิ้น โดยท่านมิได้เชื่อความดีแลพมิได้รู้จักดีแลชั่วผิดและชอบ เมื่อตะกี้เกิดลมพายุใหญ่นั้น คืออ้ายปีศาจเด็กที่อยู่บนต้นไม้นั้นเอง พี่รู้ว่ามันคือปีศาจยักษ์ร้าย น้องทั้งสองก็ไม่รู้ได้ว่ามันเป็นปีศาจ พระอาจารย์ก็มิได้รู้เท่าทันมัน เข้าใจเสียว่ามันเป็นมนุษย์ พี่จับมันฟาดลงกับศิลามันจึงถอดรูปหนีไปแล้ว จึงได้บันดาลให้เป็นลมพายุใหญ่ มาหอบเอาพระอาจารย์ไป เราแค้นเหลือที่จะแค้นในข้อที่เธอมิได้เชื่อฟังเราเลย ทุก ๆ ครั้งชอบช่วยแต่ปีศาจร้าย เราจึงได้มีจิตเบื่อหน่ายคิดเห็นไปว่า จะหาทางกลับจะดีกว่า แม้ว่าซัวเจ๋งน้องมีจิตคิดดังนั้น พวกเราควรจะรีบจัดแจงไปค้นหาปีศาจ
 เมื่อพบแล้วจะได้ช่วยกันแก้พระอาจารย์ โป๊ยก่ายว่าถูกจริง ๆ ต่างคนก็พร้อมกันรวบรวมเข้าของแล้วก็จูงม้าเดินตัดเข้าดงไป คนทั้งสามเดินมาประมาณร้อยเส้นเศษก็ไม่ได้ข่าวคราว เห้งเจียยิ่งเดือดดาลในใจ ก็ไหวตัวเผ่นขึ้นบนเพิงผาสูงกระทำสีหนาทตวาดคำหนึ่งร้องว่าแปลง ร่างกายก็แปลงเป็นสามเศียรหกกรชักกระบองออกแกว่งกวัดแปลงเป็นสามอัน ยกขึ้นตีไปข้างตะวันออก แล้วก็กลับมาตีข้างตะวันตก หวดซ้ายป่ายขวา แผลงฤทธิ์ศักดาอานุภาพ หวั่นไหวไปทั้งเขาดุจทรุดจะทำลายไหวสะเทื้อนไป​ทั้งเขา บัดเดี๋ยวใจเจ้าที่แลเจ้าเขาเจ้าป่าเจ้าดงก็พากันวิ่งมาคุกเข่าลงคำนับอยู่ต่อหน้าเห้งเจีย ร้องบอกว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายมาแล้ว เห้งเจียจึงถามว่าทำไมเจ้าจึงมากหลายดังนี้
 เจ้าทั้งหลายจึงคำนับแล้วตอบว่า ที่เขานี้เรียกว่า (ลักแป๊ะลี้จั๊บเท้าพ้อซัว) รวมหกร้อยโยชน์สิบโยชน์มีเจ้ารักษา รวมสามสิบเจ้าเขา เมื่อวานนี้ได้ยินว่าใต้เซียมา แต่รวมกันยังไม่พร้อมจึงได้ช้าไป ขอใต้เซียได้ยกโทษพวกข้าพเจ้าด้วย เห้งเจียจึงถามว่าบนเขานี้มีปีศาจผีร้ายสักเท่าใดเจ้ารู้หรือไม่ เจ้าทั้งหลายตอบว่ามีตนเดียว แต่มันได้ทำพวกข้าพเจ้าเหลือที่จะทนได้ มันทำจนไม่มีธูปเทียนและผู้เซ่นไหว้ ไม่พอกินไม่พอนุ่งห่ม อ้ายปีศาจตัวเดียวเท่านั้น มันทำให้ได้ความเดือดร้อนอย่างนี้
 เห้งเจียถามว่าที่อยู่ของปีศาจมันอยู่ที่ไหน เจ้าเขาเหล่านั้นจึงบอกว่า ที่ดงไม้สนแห้งมีห้วยน้ำไหล ข้างตำบลนั้นมีที่หนึ่งเรียกว่าถ้ำ (ฮ้วยหุ่นต๋อง) ปีศาจนั้นอยู่ในถ้ำอันนี้ แต่มันมีฤทธาอานุภาพมาก มันจับพวกข้าพเจ้าใช้การอยู่เนืองนิตย์ แลเก็บเงินค่าส่วยอะไรไม่รู้ เห้งเจียพูดว่า พวกท่านเป็นเทพอารักษ์จะมีเงินทองอะไรที่ไหน หมู่เจ้าพูดว่าจริงของท่านเงินทองไม่มีจริง ก็ต้องจับละมั่ง กวาง ซาย เอาไปให้มันแทนเงิน มีดังนั้นมันก็แกล้งรื้อศาล ลอกเสื้อและกางเกงเสียสิ้น มันทำแก่พวกข้าพเจ้าทั้งหลายมิให้มีความสุข ขอใต้เซียได้กำจัดปีศาจนี้เสียให้จงได้ ช่วยชีวิตสัตว์ทั้งหลายในตำบลนี้ไว้ ให้พ้นภัยแห่งปีศาจถึงซึ่งความสุข
รูปภาพ ; 陈惠冠・新绘西游记 第四十一火木
เห้งเจียถามว่าปีศาจนั้นมันอยู่ที่ใด มันชื่อใดจงบอกให้รู้ด้วย พวกเจ้าทั้งหลายจึงบอกว่า ปีศาจนี้มันเป็นลูกงู้หม้ออ๋องแม่มันคือล่อซัว มันบวชเรียนรู้วิชาที่เขาฮ้วยเอี๊ยมซัว ได้สามร้อยปีแล้ว มันเรียนอัคคีฌานสำเร็จ งู้หม้ออ๋องให้มันตั้งอยู่ที่ตำบลเขานี้ ชื่อเดิมมันเรียกว่า (อั้งฮั้ยยี้) ยี่ห้อเรียกว่า (เซี้ยเองใต้อ๋อง) เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ดีใจบอกให้เจ้าทั้งหลายกลับไปยังถิ่นฐานตามเดิม เห้งเจียก็แปลงกายกลับเป็นรูปเดิมเผ่นลงมาจากยอดเขา พูดว่าพี่น้องเราอย่าวิตกเลย อาจารย์เราคงจะไม่ถึงที่ตาย อ้ายปีศาจนี้เกี่ยวเป็นญาติของพี่ มันเป็นบุตรของงู้หม้ออ๋อง แม่มันชื่อนางล่อซัว ชื่อมันเรียกว่า อั้งฮั้ยยี้คิดมาห้าร้อยปี
 ก่อนนั้น ได้ผูกเป็นมิตรสหายกันกับบิดาของมัน คืองู้หม้ออ๋อง ปีศาจนั้นถ้าคิดมามันต้องเรียกเราว่าเป็นอา มันที่ไหนจะอาจฆ่าอาจารย์ เรามาพากันรีบไปตาม ซัวเจ๋งหัวเราะแล้วพูดว่า สามปีไม่ได้ไปมาญาตินั้นก็จะขาดญาติ นี่พี่กับเขาก็จากกันมาห้าร้อยปีกว่าแล้ว มิได้ไปมาหากัน และ ทั้งมิได้พบปะกันเขาจะจำพี่ได้หรือ เห้งเจียพูดว่า แม้ว่าเขาจำเรามิได้ ที่จะฆ่าอาจารย์นั้นก็คงยังฆ่าไม่ได้ พี่น้องทั้งสามพูดกันดังนั้นแล้ว ก็พากันเดินตัดทางไป เดินมาได้ประมาณสองร้อยเล้น แลไปเห็นดงไม้สนที่กลางนั้นมีลำห้วย น้ำในห้วยมีน้ำใสไหลเชี่ยวแรง ที่ปลายลำห้วยนั้นมีสะพานศิลาข้ามตลอดไปกระทั่งถ้ำ พี่น้องทั้งสามยืนพิจารณาดูก็รู้ว่าปีศาจนั้นคงจะอยู่ในถ้ำนี้ เห้งเจียจึงเรียกซัวเจ๋ง ให้จูงม้ากับหาบไปแอบอยู่ในชายป่าแล้ว กำชับว่าจงระวังระไวให้ดี เห้งเจีย โป๊ยก่ายต่างก็ถืออาวุธเดินไปเที่ยวค้นหาเดินเลียบตามลำห้วยขึ้นไป
(บทที่ ๔๑)
 ครั้นมาถึงสะพานศิลาก็พากันเดินข้ามไป ตรงเข้าในถ้ำก็รู้ชัดว่าปีศาจอยู่ แลไปเห็นแผ่นศิลาทั้งอยู่จารึกอักษรแปดตัว คือเขาพ้อซัวห้วยโกช่งกั๊น ถ้ำฮ้วยหุ่นต๋อง ข้างหน้าประตูถ้ำนั้นมีบริวารปีศาจอยู่ กำลังโลดโผนถืออาวุธลองฝีมือกัน เห้งเจียเดินเข้าไปใกล้ ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยเจ้าพวกนั้น มึงจงรีบไปบอกนายมึงว่า จงรีบส่งพระอาจารย์ของกูออกมาโดยเร็ว พวกเจ้าจะได้รอดชีวิตทั้งถ้ำ พวกปีศาจน้อยได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็วิ่งเข้าไปในถ้ำบอกนาย
 ฝ่ายปีศาจตั้งแต่จับถังซัมจั๋งเข้าไปไว้ในถ้ำแล้ว ก็เปลื้องเอาผ้าผ่อนออกหมด ใช้ให้ปีศาจน้อยตักน้ำมารดขัดล้างให้สะอาด โดยที่คิดจะต้มกิน บังเอิญพอปีศาจบริวารมาบอกว่าข้างหน้าถ้ำ มีอ้ายหน้าขนรามสูรพาอ้ายหูใหญ่ปากยาวมาด้วยอีกคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าถ้ำ ไม่รู้ว่ามาทวงอาจารย์อะไรของมัน ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังบริวารบอกดังนั้นก็หัวเราะพูดว่าสองคนนี้ คือเห้งเจียโป๊ยก่ายจะตามมาค้นหาถังซัมจั๋งพูดดังนั้นแล้ว จึงเรียกบริวารที่แข็งแรง ให้จัดเตรียมเข็นเกวียนเล็กห้าเล่มออกไปตั้งที่ประตูถ้ำ พวกปีศาจบริวารก็จัดแจงเข็นเกวียนออกไปรายตั้งเป็นเหงาเฮ้ง คือตั้งเป็นธาตุ น้ำ ไฟ ลม ไม้ ดิน
 ฝ่ายปิศาจใต้อ๋อง ถือทวนเป็นอาวุธยาวไม่แต่งตัวใส่อะไรสักสิ่งหนึ่ง นุ่งผ้าผืนเดียวเดินตรงออกมาหน้าถ้ำ ร้องตวาดว่าใครที่ไหนสามารถมาอึกกระทึกอยู่หน้าถ้ำเรา เห้งเจียโป๊ยก่ายยืนพิเคราะห์ดูปีศาจหน้าขาวนวลดุจผัดแป้ง คิ้วดุจวงเดือน ริมฝิปากแดงดุจชาด ผมเขียวเกล้าจุก เห้งเจียจึงมึวาจาตอบว่า พ่อหลานรักของอา เจ้าจับอาจารย์ของอาไปพ่อจงรีบส่งออกมาอย่าช้า อย่าให้ถึงความผิดใจกัน บิดาของเจ้าจะติ อาว่าไม่คิดถึงน้ำสาบานที่พูดกันไว้
 ปีศาจอั้งฮั้ยยี้ได้ฟังเห้งเจียพูดเช่นนั้น ยิ่งบันดาลโทสะดุจไฟเข้าจุดในทรวงอก ร้องตวาดว่าอ้ายชาติลิง เรากับเจ้าเป็นวงศ์ญาติอะไรกัน ใครเป็นหลานของเจ้าที่ไหน เห้งเจียพูดว่านี่แน่หนุ่มน้อยเจ้ายังไม่เข้าใจ ข้าพเจ้าเมื่อห้าร้อยปีก่อนนั้น ข้ากำลังรบกับเทพยดาข้าผูกสมัครกับบิดาของเจ้า ร่วมสาบานกันเจ็ดคน บิดาเจ้าคืองู้หม้ออ๋อง ข้าคือซีเทียนใต้เซีย ซึงหงอคง คือเรานี้แหละ ในเวลานั้นเจ้าก็ยังไม่เกิด ปีศาจอั้งฮั้ยยี้ได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งบังเกิดโทสะถือทวนตรงเข้ามาแทงเห้งเจีย ๆ แกว่งกระบองเข้าประจันหน้ารบกันทั้งสองก็เหาะขึ้นกลางเวหา 
 เห้งเจียด่าว่าอ้ายสัตว์เดรัจฉานมึงไม่รู้สูงต่ำ ต่างรบกันโดยกำลังความสามารถอิทธิฤทธิ์แห่งตน ๆ ได้ประมาณยี่สิบเพลงยังไม่แพ้ชนะกัน โป๊ยก่ายยืนอยู่ที่นั่นดูเห็นชัดว่าปีศาจอ่อนกำลังลงแล้ว ไม่มีใจจะรบอยู่แล้ว โป๊ยก่ายเห็นดังนั้น มือถือคราดเหล็กกระโจนเข้าสับปีศาจ ๆ เห็นดังนั้นก็ตกใจล่าถอยหนีกลับลงมายังประตูถ้ำ เห้งเจียโป๊ยก่ายก็ไล่ติดลงมา ปีศาจมือหนึ่งถือทวนขึ้นยืนบนเกวียน มือหนึ่งกำมือทุบเข้าที่สันจมูกของตัวเองสองที โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็หัวเราะพูดว่า อ้ายนี่ไม่มีความอายมันจะทุบจมูกมันให้เลือดออกแล้วมันจะเอาทาหน้าให้แดง มันจะไปฟ้องที่ไหนดอกกระมังมิได้รู้ว่ามันจะแผลงฤทธิ์
 ปีศาจทุบจมูกสองทีแล้ว ก็ร่ายพระเวทในทันใดในปากลุกเป็นไฟออกมา ในรูจมูกควันก็ฟุ้งออกมามืดมัวไปทั้งอากาศ เกวียนเล็กนั้นไฟก็ลุกขึ้นพร้อมกันแดงไปทั้งท้องฟ้ารอบที่เขตถ้ำนั้น ล้วนแต่ไฟและควันทั้งสิ้นมืดมัวแลไม่เห็นอะไร โป๊ยก่ายแลเห็นดังนั้นก็ตกใจ บอกแก่เห้งเจียว่าเห็นจะไม่เป็นการเสียแล้ว เราเข้ามาอยู่ในถ้ำดังนี้ อย่าได้คิดว่าจะรอดไปได้เลย ข้าพเจ้าจะต้องถูกไฟเผาเป็นแน่ และยิ่งมีรสหอมให้มันอร่อยทีเดียว จงรีบหนีโดยเร็วเถิด พูดแล้วก็ออกวิ่งมิได้เหลียวหลังดูเห้งเจีย โป๊ยก่ายวิ่งข้ามสะพานมา เห้งเจียก็แซกเข้าไปในไฟค้นหาปีศาจ ไฟก็ยิ่งลุกขึ้นแรงกว่าเก่า
         (ถามว่าไฟนี้คือไฟอะไร) ตอบว่าไฟนี้ไม่ใช่ไฟฟ้า ไม่ใช่ไฟป่า คือไฟปีศาจมันฝึกประกอบจิตสำเร็จในทางฌาน เรียกว่าไฟภาคจิต และเรียกว่าไฟซิมม้วยฮวย คือไฟที่จิตเที่ยงเป็นดวงเดียว เห้งเจียถูกควันไฟฟุ้งมืดมัวไม่เห็นปีศาจและไม่เห็นประตูถ้ำ ก็รีบหลีกออกมาพ้นไฟ
 ฝ่ายปิศาจเห็นเห้งเจียหนีออกไปแล้ว เรียกไฟคืนแล้วก็เก็บเครื่องไฟเข้าถ้ำปิดประตูถ้ำ นึกว่าเอาชัยชนะได้ก็รื่นเริง ฝ่ายเห้งเจียหนีข้ามห้วยมาแล้ว ก็ลดลงยังพื้นดินเดินมา ก็ได้ยินโป๊ยก่ายนั่งคุยอยู่กับซัวเจ๋ง เห้งเจียตวาดว่า อ้ายโป๊ยก่ายมึงชาติหมูเห็นไฟก็หนีเอาตัวรอดมาแต่ผู้เดียว ทิ้งกูไว้อย่างนี้มึงจะเป็นคนได้หรือ โป๊ยก่ายได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้นก็หัวเราะว่า พี่เห้งเจียอันคำโบราณท่านย่อมว่าให้รู้เวลาจึงจะเป็นคนเชี่ยวชาญได้ อ้ายปิศาจมิใช่ญาติของพี่ ๆ ก็ขืนพูดว่ามันเป็นญาติ มันต่อสู้กับพี่แลมันปล่อยไฟไม่มีจิตเกรงดังนี้ยังไม่หนีจะคิดสู้รบอะไรได้ 
 เห้งเจียถามว่าเพลงทวนปีศาจรบกับพี่เจ้าเห็นเป็นอย่างไรบ้าง โป๊ยก่ายพูดว่ามันสู้ไม่ได้จึงช่วยระดมตี เอาคราดสับทีหนึ่งก็บังเอิญมันล่าหนีลงมาเสีย ครั้นมันปล่อยไฟออกมาเมา ข้าพเจ้าก็ต้องเลี่ยง เห้งเจียโป๊ยก่ายนั่งสนทนากันอยู่ ซัวเจ๋งนั่งพิงอยู่ข้างต้นสนกลั้นหัวเราะไม่ได้ เห้งเจียจึงถามว่าน้องหัวเราะอะไร ซัวเจ๋งว่าที่พี่พูดว่าปีศาจสู้ฝีมือไม่ได้นั้นเมื่อข้าพเจ้าตรองไปแล้ว ก็เห็นว่าเป็นความหนุนและยอกันจัดนัก แม้จะเอาชัยชนะก็จะไม่สู้ยากอะไรนัก
 เห้งเจียได้ฟังซัวเจ๋งพูดดังนั้น ก็หัวเราะแล้วจึงว่า พี่น้องพูดดังนั้นก็ถูกต้องแล้ว ถ้าจะเอาความหนุนแลความขัดกันนั้น ก็จะต้องเอาน้ำขัดไฟ ถ้ากระนั้นน้องทั้งสองพักคอยอยู่ที่นี่ก่อน พี่จะไปหาพระยาเล่งอ๋อง ขอแรงให้เอาน้ำมาช่วยดับไฟ สั่งแล้วเห้งเจียก็เหาะไปยังทะเลทิศตะวันออก บัดเดี๋ยวก็มาถึง จึงร่ายพระคาถา​แซกน้ำลงไปยังบาดาน เดินเข้าไปยังปราสาทจุ้ยเจียทำคำนับกันแก่พระยาเล่งอ๋องแล้ว เห้งเจียจึงพูดแก่เง่ากวั้งเล่งอ๋องว่า ข้าพเจ้าจะมาขอให้ท่านช่วยธุระสักครั้งหนึ่ง ด้วยบัดนี้ท่านพระถังซัมจั๋งเดินทางมาถึงตำบลเขาพ้อซัว ตำบล (ห้วยโคกั๊น) ถ้ำฮ้วยหุ่นต๋อง
 มีปีศาจอั้งฮั้ยยี้จับเอาตัวพระถังซัมจั๋งไป ข้าพเจ้าได้เข้าชิงชัยแก่ปีศาจ ๆ พ่นไฟออกมาพวกข้าพเจ้าจะเอาชัยชนะมิได้ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาขอให้ท่านช่วยทำฝนเพื่อดับไฟสักครั้งหนึ่ง จะได้ช่วยพระถังซัมจั๋งพ้นจากภัยแห่งปีศาจได้ เล่งอ๋องพูดว่า แม้ว่าท่านได้ขอฝนข้าพเจ้าไม่อาจทำเองได้ ถ้าได้ท้องตรารับสั่งของเง็กเซียงฮ่องเต้ พร้อมด้วยเมฆขลารามสูรแล้วจึงจะทำได้
 เห้งเจียพูดว่า ไม่ต้องมีเมฆขลา รามสูรแลเมฆลมทำไม ขอท่านทำน้ำดับไฟให้เท่านั้น พระยาเล่งอ๋องพูดว่าถ้ากระนั้น ท่านคอยสักประเดี๋ยว ข้าพเจ้าจะบอกน้องทั้งสามมาช่วยท่านเป็นกำลัง เง้ากวั้งเล่งอ๋องก็ส่งจิตไปถึงทะเลทิศปราจิณ ทิศอุดร ทิศอาคเนย์ เล่งอ๋องทั้งสามรู้แล้ว ก็พร้อมกันมากับเง่ากวั้งเล่งอ๋องแลบริวารนาค บัดเดี๋ยวก็ถึงเขาพ้อซัว เห้งเจียจึงสั่งว่าท่านทั้งหลายจงหยุดพักอยู่บนอากาศนี้ก่อน ข้าพเจ้าจะต่อสู้กับปีศาจ แม้ได้ทีท่านทั้งหลายไม่ต้องจับ แม้ว่ามันปล่อยไฟออก ข้าพเจ้าจะเรียกท่านทั้งหลายจงพ่นน้ำลงไปดับไฟ เล่งอ๋องทั้งสี่ก็รับคำเห้งเจียคอยจะทำการตามคำสั่ง เห้งเจียก็ลดลงเดินเข้าไปหาโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง บอกให้คนทั้งสองรู้แล้ว ก็เดินเข้าไปในประตูถ้ำยืนเรียกปีศาจพวกเฝ้าประตูบอกว่า ให้พวกเจ้าเข้าไปบอกนาย พวกปีศาจที่เฝ้าประตูก็วิ่งเข้าไปบอกว่าเห้งเจียมาอีกแล้ว
 อั้งฮั้ยยี้ได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้นจับทวนให้ปีศาจบริวารเข็นเกวียนไฟออกไป อั้งฮั้ยยี้ออกมาถึงประตูถ้ำแล้ว จึงร้องถามเห้งเจียว่าเจ้าจะมาทำไมอีก เห้งเจียพูดว่ามึงรีบส่งอาจารย์กูออกมาโดยเร็ว อั้งฮั้ยยี้พูดว่า อ้ายหัวลิงมึงชั่งไม่รู้ผันแปร ถังซัมจั๋งเป็นอาจารย์ของเจ้าก็จริง แต่เป็นเครื่องแกล้มเหล้าของเรา เจ้าจะคอยมุ่งหมายจะใคร่ได้คืนนั้น เห็นจะป่วยการเสียแล้ว เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็โกรธดุจไฟเข้าจ่อจุดในอก ชักกระบองออกจากหูตรงเข้าตีปีศาจ อั้งฮั้ยยี้ยกทวนขึ้นรับรบกันได้ประมาณยี่สิบเพลง ปีศาจเห็นจะเอาชัยชนะมิได้ ก็เอาทวนแทงไปทีหนึ่งก็ชักทวนถอยหนี กำหมัดทุบที่สันจมูกสองที ก็พ่นไฟออกเกวียนเหล่านั้นก็เป็นไฟลุกขึ้นบิน ที่ตาที่ปากปีศาจล้วนแต่ไฟลุกบินขึ้นเป็นเปลวแดงทั้งอากาศ
 เห้งเจียหันหน้ามาร้องว่าเล่งอ๋องอยู่ที่ไหน เล่งอ๋องพี่น้องพร้อมกับบริวารก็พ่นน้ำเข้าไปที่ปีศาจจะให้ดับไฟก็มิได้ เพราะน้ำที่พระยานาคพ่นออกนั้น จะดับได้แต่ไฟธรรมดา อันจะดับไฟฤทธิ์ของปีศาจด้วยนั้นมิได้ แม้เอาน้ำรดเข้าไปก็ดุจดังเอาน้ำมันเข้าใส่ไฟให้ลุกมากขึ้น เห้งเจียมุดเข้าไปในไฟจะค้นหาปีศาจ ๆ เห็นเห้งเจียเข้ามา ก็พ่นไฟออกที่หน้าเห้งเจีย เห้งเจียถูกควันไฟเข้าตาก็ทนไม่ได้ หันหน้ากลับมาลืมตาไม่ขึ้นน้ำตาไหลพราก ๆ เห้งเจียนั้นมิได้กลัวไฟ กลัวแต่ควัน​ที่เข้าตาและจมูกปากหายใจไม่ออก เพราะฉะนั้นเห้งเจียจึงต้องถอยหนีกลับออกมา เมื่อปีศาจเห็นเห้งเจียไปแล้ว ก็สั่งให้เก็บเครื่องไฟเข้าถ้ำปิดประตู

ไม่มีความคิดเห็น: