Translate

16 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 40 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๕๓)
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเดินมาได้ยินเสียงร้องเรียกก็ตกใจ แลไปเห็นพระภูมิเจ้าที่เจ้าเขา ยกบาตรเข้ามาพูดว่า บาตรข้าวนี้เป็นบาตรข้าวของท่านอาจารย์ คือท่านให้เห้งเจียไปบิณฑบาต เพราะท่านทั้งหลายไม่เชื่อฟังคำเห้งเจีย จึงได้รับความเดือดร้อนเพราะปีศาจร้ายกระทำให้เธอได้ทุกข์ยากเหลือเกินหาที่เปรียบมิได้ จนวันนี้จึงได้แก้เอาออกมาได้ นิมนต์ท่านฉันเสียก่อนแล้วจึงค่อยไปเถิด อย่าให้เสียความกตัญญูของท่านเห้งเจียเลย พระถังซัมจั๋งพูดว่า ซึ่งอาตมภาพทำให้เห้งเจียได้ความยากลำบากนั้น แม้ว่ารู้เป็นการเช่นนี้จะออกจากวงไปทำไมให้ได้ความเดือดร้อนถึงเพียงนี้
   เห้งเจียพูดว่าเป็นเหตุเพราะอาจารย์ไม่เชื่อวงนั้น จึงให้ข้าพเจ้าไปรับทุกข์ทรมารห่วงของปีศาจ ทั้งน่าแค้นอ้ายกลับกลอกโป๊ยก่ายมึงแกล้งทำเล่น ให้​พระอาจารย์ไปต้องภัยใหญ่และให้เราต้องขึ้นฟ้าลงดิน เชิญพลเทพบุตรทั้งไฟทั้งน้ำ แม้พระพุทธเจ้าให้ยากิมตันมาก็ยังไม่สามารถจะปราบปีศาจได้ อาศัยพระพุทธเจ้าทรงชี้แจงเหตุผลให้ จึงไปเชิญท่านท้ายเสียงเล่ากุนลงมาจับจึงได้ อันปีศาจนั้นคือโคเขียวของท่านท้ายเสียงเล่ากุนหนีลงมาเป็นปีศาจร้าย
   พระถังซัมจั๋งได้ยินเห้งเจียเล่าความดังนั้น ก็มีความรู้สึกได้สติคิดถึงความดีของเห้งเจีย จึงพูดแก่สานุศิษย์ว่า การที่เป็นแล้วก็พ้นมาได้แล้ว ต่อไปภายหน้าต้องเชื่อคำแนะนำของเห้งเจีย พูดดังนั้นแล้วก็ฉันจังหัน เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งก็แบ่งกันรับประทาน เห้งเจียเห็นข้าวยังร้อน ๆ จึงถามว่าข้าวนี้ก็หลายเวลาแล้วทำไมยังร้อนอยู่เล่า พระภูมิเจ้าที่คุกเข่าลงบอกว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านใต้เซียจะสำเร็จการจึงได้เอาข้าวร้อนมาให้กิน ครั้นกินข้าวอิ่มแล้วก็เก็บข้าวของเสร็จแล้วก็ลาพระภูมิเจ้าที่
   พระถังซัมจั๋งขึ้นม้าออกเดิน ตัดมรรคาข้ามเขาใหญ่หมายทิศปราจิณ เดินมาหลายเวลาในฤดูนั้นเป็นเดือนสามเดือนสี่ กำลังเดินมาก็พบลำคลองน้อยน้ำใสสีเขียวเยือกเย็น พระถังซัมจั๋งยอม้าพิจารณาดูเห็นต้นไม้ผลิดอกออกช่ออรชร งดงามน่าพึงชม มีเรือนกระท่อมน้อย ๆ อยู่ใต้ร่มไม้สองสามหลังเห้งเจียชี้ว่า ที่มีบ้านคนอยู่นั้นเห็นจะเป็นคนรับจ้างส่งข้ามเป็นแน่ โป๊ยก่ายก็วางหาบร้องเรียกว่า เจ้าเรือโวยเอาเรือมารับข้ามฟากทีเถิด เรียกซ้ำสองสามคำก็เห็นคนค้ำเรือเกะกะออกมา บัดเดี๋ยว​ก็ค้ำข้ามมาถึงฝั่งตะวันออก ร้องถามว่าผู้ที่จะข้ามฟากนั้นอยู่ที่ไหนมา พระถังซัมจั๋งขยับม้ามาริมฝั่ง แลไปก็เห็นหญิงเฒ่าค้ำเรือมา เห้งเจียถามว่าแม่เฒ่าหรือเป็นคนส่งเรือจ้าง
   หญิงนั้นรับว่าข้าพเจ้าเอง เห้งเจียถามว่า ก็ท่านตาไปไหนเล่าจึงไม่มา ใช้ให้ท่านยายส่งอย่างนี้ หญิงนั้นหัวเราะยิ้ม ๆ แล้วก็ไม่ตอบว่ากระไร พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็จูงม้ายกหาบลงเรือ หญิงนั้นก็ค้ำเรือออกจากท่าข้ามถึงฝั่ง พระถังซัมจั๋งก็ขึ้นบกสั่งให้โป๊ยก่ายแก้เอาเงินให้เจ้าของเรือจ้าง แล้ว
ตอน เรื่องวุ่นๆในเมืองแม่หม้าย ปิศาจแมงป่อง (ช่วงที่1)
เวลานั้นพระถังซัมจั๋ง อยากน้ำเห็นน้ำใสเย็นก็นึกอยากกิน เรียกโป๊ยก่ายให้เอาบาตรไปตักน้ำสักครึ่งบาตร โป๊ยก่ายพูดว่าข้าพเจ้าก็อยากกินเหมือนกัน โป๊ยก่ายฉวยได้บาตรก็ลงไปตักน้ำขึ้นมาส่งให้อาจารย์ พระถังซัมจั๋งรับบาตรมาฉันเข้าไปจนอิ่ม แล้วก็ส่งให้โป๊ยก่าย ๆ ก็กินเข้าไปจนอิ่มอีกคนหนึ่ง แล้วก็พะยุงพระถังซัมจั๋งขึ้นม้าจึงพากันเดินไปเดินมายังไม่ทันครึ่งชั่วโมง พระถังซัมจั๋งบ่นว่าปวดท้อง โป๊ยก่ายเดินตามอยู่ข้างหลังก็บ่นว่าเจ็บในท้อง
   ซัวเจ๋งพูดว่าเห็นจะถูกน้ำดอกกระมังพูดยังไม่ทันขาดคำ พระอาจารย์ร้องว่าเจ็บกระชั้นยิ่งหนักขึ้นทุกที โป๊ยก่ายก็ร้องกระชั้นเข้าอาจารย์กับศิษย์เจ็บเหลือที่จะทนได้ ท้องก็โตขึ้นทุกที เอามือคลำดูจุดก้อนโลหิตเคลื่อนไปเคลื่อนมา ในกายตัวพระถังซัมจั๋งไม่เป็นปรกติ แลไปข้างริมทางก็เห็นมีหมู่บ้าน เห้งเจียพูดว่าดีแล้วอาจารย์ที่ข้างนั้นมีโรงงานขายสุรา เราพากันเข้าไปบิณฑบาตรน้ำร้อนให้อาจารย์ฉัน แล้วถามดูบางทีจะ​มียาให้เจียดกินแก้เจ็บท้อง พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงพากันเข้าไปครั้นถึงพระถังซัมจั๋งก็ลงจากม้า แลไปเห็นที่นอกประตูบ้านมียายเฒ่านั่งอยู่ที่พื้นดินกำลังมัดปอ เห้งเจียก็เดินเข้าไปไกล้ ปราศรัยถามว่าท่านยายสบายอยู่หรือ พวกข้าพเจ้ามาจากประเทศทิศบูรพา อาจารย์ของข้าพเจ้าเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ ของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินใต้ถัง เพราะเมื่อเวลาข้ามคลองมากินน้ำในคลองเข้าไปมีอาการให้เจ็บในท้องเป็นกำลัง
   ยายเฒ่าได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วถามว่า นี่ท่านไปกินน้ำในลำคลองนั้นมาหรือ เห้งเจียรับว่ากินมา ยายเฒ่าว่าเห็นจะเกิดสนุกขึ้นแล้ว พวกท่านจงเข้ามาข้าพเจ้าจะเล่าให้ท่านฟัง เห้งเจียก็ออกไปพยุงพระถังซัมจั๋งเข้ามา ซัวเจ๋งก็พยุงโป๊ยก่ายเข้ามา พระถังซัมจั๋งก็ร้องครางหน้านิ่วคิ้วย่นด้วยเจ็บท้องเหลือที่จะทนได้ เห้งเจียร้องขอน้ำร้อนยายเฒ่าจะให้อาจารย์กิน ยายเฒ่าก็ไม่ให้น้ำร้อนหัวเราะแล้วก็เดินไปหลังบ้านเรียกหญิงกลางคนออกมาสามสี่คน มองพระถังซัมจั๋งแล้วก็พากันหัวเราะ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็โกรธขยับเขี้ยวตวาดด้วยเสียงอันดัง พวกหญิงเหล่านั้นก็พากันตกใจ ต่างหกคว่ำคะมำหงายพากันวิ่งหนีเข้าไปหลังบ้าน เห้งเจียวิ่งมายึดไว้พูดว่าจงไปต้มน้ำร้อนเราจะปล่อย 
   ฝ่ายยายเฒ่าตัวสั่นงกๆ งันๆ บอกว่าน้ำร้อนนั้นแก้ไม่ได้ ท่านจงปล่อยข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟัง เห้งเจียก็ปล่อยยายเฒ่า ๆ บอกว่าที่เมืองนี้มีนามเรียกว่าไซเหลียงก๊ก ล้วนแต่หญิงทั้ง​เมืองไม่มีผู้ชาย เพราะฉะนั้นเห็นพวกท่านมาก็มีความชื่นชม อาจารย์ของท่านกินน้ำผิด ลำคลองนั้นเรียกว่าจื๊อป๊อฮ้อ คือคลองน้ำแม่ลูกนอกจากกำแพงเมือง มีหอรับลมอากาศ ที่ประตูมีสระเรียกส่องท้องสระชาวเมืองนี้ แม้อายุได้ยี่สิบปีกว่า จึงกล้ากินน้ำในคลองจื๊อป๊อฮ้อ ครั้นกินแล้วท้องเจ็บไปได้สามวันก็ตั้งครรภ์ก็ แล้วก็ไปที่หอกินลมอากาศ แล้วก็มายืนที่ปากสระส่องดูเงา แม้ว่ามีเงาคู่ก็มีครรภ์ อาจารย์ท่านได้กินน้ำในคลองนั้นแล้ว ก็จะมีครรภ์กำหนดว่าจะมีบุตร อันน้ำร้อนที่ไหนจะแก้ได้
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังยายเฒ่าพูดดังนั้นก็ตกใจถามเห้งเจียว่า ถ้าดังนั้นจะทำประการใด โป๊ยก่ายก็ค่อยประคองท้องเดินมาถามว่า หากจะมีลูกพวกเราไม่มีทวารลูกจะออกทางไหน เห้งเจียหัวเราะว่า เขาย่อมว่าแตงสุกก็หล่นเอ็ง อันท้องนั้น ครั้นถึงเวลาก็แยกชายโครงมีทางลูกก็ออกมาเอ็ง โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ยิ่งมีความเจ็บปวดมากขึ้น ซัวเจ๋งหัวเราะว่าพี่อย่าดิ้นรนไปท้องลูกจะช้ำชอกจะเกิดเจ็บปวดมากขึ้น โป๊ยก่ายเสียใจร้องไห้ จับเห้งเจียไว้แล้วพูดว่าพี่จ๋า พี่ช่วยถามยายเฒ่านั้นดูว่าที่ไหนจะมีหมอตำแยรับมาสำรองสักสองสามคน ถึงเวลาจะได้ช่วยนวดเคล้น ซัวเจ๋งหัวเราะพูดว่าพี่อย่านวดเคล้นนักกระเพาะลูกจะแตกตาย พระถังซัมจั๋งถามว่าท่านยาย ที่ตำบลนี้มียาแก้บ้างหรือไม่ จะได้ให้สานุศิษย์ไปเจียดมาจะได้กินแก้ให้ท้องลดเสีย
   ​ยายเฒ่าจึงบอกว่า ถึงจะกินยาก็แก้ไม่ได้ ที่ตำบลนี้ไปทางทิศอาคเนย์มีภูเขาหนึ่ง นามเรียกว่าเขาเก๊ยเอี่ยงซัว มีถ้ำเรียกว่ากั้วยี้ต๋อง ในถ้ำนั้นมีสระน้ำเรียกว่าสระโละทัยจั๊ว ถ้าได้น้ำในสระนั้นมากินสักอึกหนึ่ง ท้องลูกนั้นก็ยุบหายไปเป็นปรกติเหมือนอย่างเดิม แต่ในปัจจุบันนี้จะเอาน้ำนั้นไม่ได้เสียแล้ว เมื่อปีก่อนมีเต้าหยินคนหนึ่ง ตั้งนามว่ายู่อี่จินเซียม มาจองเอาถ้ำนั้นเป็นของตน แปลงนามเรียกว่า สำนักจิ๋วเซียนอาน และปกครองรักษาสระนั้นไม่ให้ผู้ใดมาตักน้ำได้โดยง่าย หากผู้ใดจะต้องการก็ต้องมีของกำนัน เป็ดไก่เหล้าแลของหวานต่าง ๆ และเงินด้วยถ้ามีให้ดังนั้น จึงจะให้น้ำไป ก็ท่านอาจารย์มาจากทางไกล จะเอาของกำนันที่ไหนไปให้เขาได้เล่า จะต้องคอยรอตามเวลาเมื่อคลอดเถิด
   เห้งเจียได้ฟังยายเฒ่าพูดดังนั้นก็ดีใจ จึงถามว่าท่านยายระยะทางตั้งแต่นี้ไปถึงเขาเก๊ยเอี่ยงซัวนั้น หนทางประมาณสักเท่าใด ยายเฒ่าบอกว่าสามพันโยชน์เศษ เห้งเจียว่าดีแล้ว ๆ จึงบอกแก่พระอาจารย์ว่า ท่านอย่าวิตกเลยจงวางใจเถิด ไว้ธุระข้าพเจ้าจะไปเอาน้ำนั้นมาให้ท่านฉัน เห้งเจียก็ยืมขวดยายเฒ่าใบหนึ่งถือออกจากบ้าน เหาะขึ้นบนอากาศไปยังเขาเก๊ยเอี่ยงซัว ยายเฒ่าเห็นเห้งเจียเหาะเหินได้ดังนั้นก็ยกมือขึ้นเคารพ พูดว่าท่านผู้นี้มีฤทธิ์อานุภาพมากเชี่ยวชาญแท้ จึงเรียกหญิงในบ้านออกมาสองสามคน มาทำความเคารพพระถังซัมจั๋ง ต่างสรรเสริญว่าเป็นพระอัศจรรย์ ทุกคนก็พากันไปหาข้าวแจมาถวาย ​ฝ่ายเห้งเจียเหาะมาประเดี๋ยวก็ถึงเขาเก๊ยเอี่ยงซัว จึงลงยังยอดเขาเที่ยวสอดส่องแลไป ก็เห็นข้างหลังเขามีสำนัก เห้งเจียก็เดินเข้าไปยังประตู แลเข้าไปดูเห็นมีตาเฒ่าคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าลาน เห้งเจียก็ลงกับพื้นแล้ว ก็เดินเข้าไปใกล้กระทำความคำนับปราศรัย
   ฝ่ายตาเฒ่าก็ทำคำนับตอบแล้วถามว่า ท่านมาจากไหน มาถึงที่นี้มีธุระ ประสงค์สิ่งใดหรือ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้ามาจากเมืองใต้ถังเพราะมีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้ไปประเทศไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรม อาจารย์ข้าพเจ้ากินน้ำในลำคลอง จื๊อป๊อฮ้อเข้าไปก็ให้ปวดท้องเหลือที่จะทนได้ ถามชาวบ้านบอกว่ากินน้ำนั้นเข้าไปก็มีครรภ์เหลือที่จะแก้ได้ จึงสืบถามชาวบ้านนั้น เขาบอกว่าเขานี้มีสระน้ำทำลายครรภ์ ให้เอาน้ำสระนี้กินจึงจะแก้ได้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้ามาหาท่านยู่อี่จินเซียม ขอน้ำนั้นไปแก้ไขอาจารย์ข้าพเจ้า ขอท่านได้ช่วยนำไปชี้สระให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
   ตาเฒ่าเต้าหยินได้ฟังเห้งเจียเล่าบอกดังนั้นก็หัวเราะ แล้วพูดว่าที่ตำบลนี้เดิมเรียกว่า กั๊วยี้ต๋องบัดนี้เรียกว่า (จิ๋วเซียนอาน) ข้าพเจ้าเป็นสานุศิษย์ของยู่อี่จีนเซียน ก็ท่านมีนามกรชื่อใด เราจะได้บอกให้ท่านทราบ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าเป็นศิษย์ใหญ่ของพระถังซัมจั๋งมีนามเรียกว่าซึงหงอคง ตาเฒ่าถามว่าก็ของกำนันเป็ด หมู ไก่ เหล้าและเครื่องตามเคยมีครบแล้วหรือ เห้งเจียตอบว่าพวกข้าพเจ้าเดินทางไกลมีแต่ความกันดารจะ​เอาหมูเป็ดไก่แลสุราของกำนันมาแต่ไหน ตาเฒ่าได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าท่านอาจารย์ทำไมจึงโง่อย่างนั้นเล่า ท่านอาจารย์ของข้าพเจ้าปกครองรักษาสระน้ำนี้ ก็หาได้ให้ท่านผู้ใดไปเปล่า ๆ ไม่ ท่านจงกลับไปหาของมาก่อนเราจึงจะนำความเข้าไปบอกให้ ถ้ามิฉะนั้นก็จงเชิญท่านกลับไปเสียเถิด อย่าพึงนึกว่าจะได้เลย
   เห้งเจียพูดว่ามนุษย์จิตกว้างใหญ่ดุจฟ้า ท่านโปรดนำชื่อข้าพเจ้าเข้าไปบอกท่านคงจะมีจิตเมตาบางทีจะให้บ้างดอกกระมัง เต้าหยินก็นำความเข้าไปบอก ฝ่ายยู่อี่จินเซียม ยังไม่ทันฟังเหตุการณ์ตลอด ได้ยินออกชื่อซึงหงอคง ก็บันดาลโทสะมีจิตร้ายเกิดขึ้น ก็ผุดลุกขึ้นเรียกเอาเสื้อมาเปลี่ยน มือก็ถืออาวุธไม้ตะขอเหล็กเดินออกมาข้างนอกประตูร้องถามว่าอ้ายซึงหงอคงอยู่ที่ไหน เห้งเจียแลเห็นก็ยกมือขึ้นคำนับ พูดว่าข้าพเจ้าเองคือหงอคง ยูอี่จินเซียนพูดว่าตัวคือหงอคงจำเราได้หรือไม่ เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าเข้ารับปฏิบัติตามทางพระพุทธศาสนาแล้ว เพื่อนฝูงพี่น้องที่รู้จักกันมาแต่เดิม ก็ห่างเหินมิได้ไปมาหาสู่กันนานแล้ว บัดนี้มีธุระติดตามอาจารย์ ขึ้นเขาลงห้วยก็ไม่ว่าง ที่รู้จักกันก็ลืมไปบ้าง บัดนี้ข้ามลำคลองจื๊อป๊อฮ้อ ถามชาวบ้านไซเหลียงบอกชื่อท่านจึงได้ทราบว่าท่านอยู่ที่นี้ ยู่อี่จินเซียมได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ตัวจงไปตามทางของตัว ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตามทางของข้าอย่ามาเกี่ยวข้องกันเลย
   เห้งเจียพูดว่าเพราะอาจารย์ของข้าพเจ้ากินน้ำในลำคลองจื๊อป๊อฮ้อ​เข้าไปก็เจ็บท้องตั้งครรภ์ ข้าพเจ้าจึงได้มาถึงสำนักท่านจะใคร่ขอน้ำสักขวดหนึ่ง ช่วยอาจารย์ข้าพเจ้าให้พ้นจากภัย ยู่อี่จินเซียมได้ฟังดังนั้นนัยน์ตาลุก ถามว่าอาจารย์ของตัวชื่อถังซัมจั๋งมิใช่หรือ เห้งเจียว่านั่นและ จินเซียมกัดฟันว่าพวกเจ้าได้ พบปะเซี้ยเอ็งใต้อ๋องบ้างหรือเปล่า เห้งเจียพูดว่าเธออยู่ที่ถ้ำฮ้วยหุ้นต๋องนามเรียกว่าอั้งฮั้ยยี้ปีศาจนั่นหรือ ท่านกับเธอเป็นอะไรกันดอกกระมัง ยู่อี่จินเซียมพูดว่าอั้งฮั้ยยี้นั้นคือหลานของเรา งู่หม้ออ๋องนั้นคือพี่น้องของเรา ครั้งก่อนเธอได้ให้ข่าวมาให้เราว่า ถังซัมจั๋งมีสานุศิษย์ใหญ่ชื่อซึงหงอคงถือตัวว่ามีฤทธิ์ฆ่าเธอเสียแล้ว เราจะใคร่แก้แค้นบัดนี้เจ้าจะมาขอน้ำอะไร
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านอาจารย์เห็นจะผิด งู่หม้ออ๋องพี่ของท่านนั้น เดิมได้คบเป็นมิตรสหายแก่ข้าพเจ้า แต่ตัวท่านข้าพเจ้าหาได้รู้จักไม่ บัดนี้หลานของท่าน อั้งฮั้ยยี้ก็ได้ดีแล้วเป็นสานุศิษย์พระกวนอิม นามเรียกว่า (เสียนใช้ท่งจื๊อ) พวกข้าพเจ้าก็ยังไม่เท่าเธอ ทำไมท่านอาจารย์จึงมีความเคืองแค้นข้าพเจ้าเล่า ยู่อี่จินเซียมตวาดว่า อ้ายลิงยังมาพูดกลับกลอก หลานของเราอยู่แต่ลำพังตามสบาย ต้องไปตามหลังเป็นข้าเขาจะดีอะไร เจ้าอย่าทำล่วงเกินจงมาลองกินขอเหล็กสักทีหนึ่ง จะมีรสชาติอย่างไรบ้าง ว่าแล้วก็ยกตะขอเหล็กขึ้นจะตีเห้งเจีย ๆ ก็ยกตะบองขึ้นรับหยุดพูดว่าอย่าพูดเรื่องรบพุ่งกันเลย ขอน้ำให้ข้าพเจ้าไปเถิด ยู่อี่จินเซียมด่าว่าอ้ายลิงมึงไม่รู้จักตาย จงมาลองดูสักสามสี่​เพลง ถ้าเจ้าชนะเรา ๆ จะยอมให้น้ำไป ถ้าแพ้เรา ๆ จะฆ่าเจ้าเสียเพื่อแก้แค้นแทนหลานเรา เห้งเจียขัดใจจึงว่าอ้ายนี่ ไม่รู้จักพระกาฬมึงอยากจะแพ้ชนะก็จงมาลองดู ว่าแล้วก็แกว่งตะบองตรงมาจะตี ยู่อี่จินเซียมยกขอเหล็กรับรบกันได้ยี่สิบเพลง เห้งเจียแกว่งตะบองดุจกังหันตีบุกบั่นมิได้ยั้งมือ
   ยู่อี่จินเซียมอ่อนกำลังลงรับไม่อยู่ ก็ผละหนีขึ้นบนเขา เห้งเจียไล่ตามไปไม่ทันแล้วก็กลับมาที่สำนัก เต้าหยินแลเห็นดังนั้นก็ปิดประตู เห้งเจียฉวยขวดก็ลงมาถีบประตูหักลงไปที่บ่อน้ำ แลเห็นตาเฒ่าเต้าหยินนอนซ่อนอยู่ข้างบ่อน้ำ เห็นเห้งเจียเข้ามาก็วิ่งหนีไป เห้งเจียก็เอาถังหย่อนลงไปจะตักน้ำ ยู่อี่จินเซียมก็ย้อนแอบเข้ามาเอาตะขอเหล็กตีหลังเห้งเจียทีหนึ่งก็ล้มคว่ำลงกับพื้น เห้งเจียลุกขึ้นได้เอาตะบองไล่ตียู่อี่จินเซียม ๆ ก็วิ่งตลบหนีอยู่ข้างบ่อ แล้วพูดว่าเจ้าทำอย่างไรก็ตักน้ำไปไม่ได้
   เห้งเจียพูดว่ามึงจะมาตีกู ๆ จับได้จะทำมึงให้สาหัส ยู่อี่จินเซียมก็ไม่อาจจะเข้ามาใกล้ คอยระวังมิให้เห้งเจียตักน้ำได้ มือขวาเห้งเจียถือตะบองมือซ้ายจับเชือก หย่อนถังลงไปลากน้ำขึ้นมา ยู่อี่จินเซียมก็เอาไม้ขอเหล็กมาเกี่ยวเชือกมิให้ลากขึ้น ต่างดึงกันไปมา เชือกก็หลุดจากมือเห้งเจียถังตกลงไปในบ่อน้ำ เห้งเจียขัดใจจับไม้ตะบองไล่มาตีตะบมไม่เลือกว่าหัวหู ยู่อี่จินเซียมก็วิ่งหนีไป เห้งเจียจะกลับมาเอาน้ำก็ไม่มีถังจะตัก แลวิตกว่าอ้ายยู่อี่จินเซียมจะเอาขอมาเกี่ยวอิกคิดขึ้นได้ว่า จำจะต้องไปเรียกซัวเจ๋งมาช่วยจึง​จะได้ คิดดังนั้นแล้วก็เหาะกลับมายังบ้านที่พัก เห้งเจียลดลงยังพื้นเดินเข้าไปเรียกซัวเจ๋ง ข้างในบ้านก็ได้ยินพระอาจารย์กับโป๊ยก่ายร้องครางไม่หยุด
   ซัวเจ๋งได้ยินเสียงเห้งเจียเรียกก็ออกมารับ เห้งเจียเข้าไปหาพระอาจารย์แล้วเล่าให้ฟังทุกประการ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็โทมนัสร้องไห้แล้วพูดว่า ถ้าดังนั้นจะทำอย่างไรดี เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้ากลับมาเพื่อพาซัวเจ๋งไปช่วยกัน คือข้าพเจ้าจะคอยต้อนตีอ้ายยู่อี่จินเซียมไว้ แม้ได้ช่องให้ซัวเจ๋งเข้าตักน้ำ พระถังซัมจั๋งว่าไปทั้งสองคนแล้ว อาตมภาพกับโป๊ยก่ายก็เจ็บจะได้ผู้ใดปฏิบัติรักษาเล่า ฝ่ายยายเฒ่าเจ้าของบ้านจึงพูดว่า ท่านผู้เป็นเจ้าขอจงวางใจเถิด พวกข้าพเจ้าจะขอรับดูแลเอง พวกท่านก็จวนเวลาการที่จะคลอด ข้าพเจ้ามีความสงสารแก่ท่าน จะมีความลำบากมาก พวกข้าพเจ้าเห็นฤทธาอานุภาพสานุศิษย์ของท่านเชี่ยวชาญ เหาะเหินเดินอากาศได้ พวกข้าพเจ้าก็ทราบว่าท่านเป็นผู้มีอะภินิหารย์บารมีธรรมมากแก่กล้าเป็นอันขาดพวกข้าพเจ้าไม่อาจทำร้ายท่าน
   เห้งเจียร้องเอ๊ะพวกท่านเป็นผู้หญิงจะคิดฆ่าใครได้ ยายเฒ่าหัวเราะแล้วพูดว่า นี่หากพวกท่านพากันมาที่บ้านข้าพเจ้าก่อน ถ้าหากว่าเลยไปหมู่บ้านที่สองก็จะรอดไปไม่พ้น โป๊ยก่ายกำลังครางอยู่ได้ยินดังนั้น ถามว่าจะรอดไม่พ้นจะเป็นอย่างไร ยายเฒ่าบอกว่าในบ้านข้าพเจ้านี้มีห้าหกคนก็มีอายุมากด้วย​กันทุกคน แลความกำหนัดในการประเวณีก็หมดสิ้นฤดูแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่คิดความที่จะทำลายท่านได้ หมู่บ้านที่สองนั้นอายุก็กำลังรุ่นเรี่ยวแรงด้วยความกำหนัดในการประเวณี ที่ไหนเลยจะยอมให้ท่านรอดพ้นไปได้ คงจะจับไว้รวมประเวณีแก่พวกเขาเป็นแน่ แม้พวกท่านไม่ยอมก็จะช่วยกันจับฆ่าเสีย และตัดเพศในตัวท่านไปที่ไหนเลยชีวิตจะได้รอดไปได้
   โป๊ยก่ายพูดว่าถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าคงไม่เป็นไรเพราะเนื้อข้าพเจ้าเป็นหมู จะตัดเอาไปก็เหม็นคาว ถ้าเห็นดังนั้นจะตัดเอาของข้าพเจ้าไปทำไม เห้งเจียหัวเราะว่าอย่าพูดให้มากไปจงฝ่าฝืนกำลังไว้จะได้ออกลูก เห้งเจียก็ยืมถังเอาเชือกของยายเฒ่าส่งให้ซัวเจ๋งพร้อมกันเหาะไปบัดเดี๋ยวก็ถึงเขาเก๊ยเอี๊ยงซัวลงยังพื้น เห้งเจียจึงสั่งซัวเจ๋งว่าน้องจงซ่อนแอบคอยดู แม้พี่ล่อมันออกนอกแล้วเวลารบกันชุลมุน ก็รีบไปที่บ่อตักเอาน้ำไปก่อน เห้งเจียสั่งซัวเจ๋งเสร็จแล้ว ก็ถือตะบองมายังประตูถ้ำ ร้องเรียกให้เปิดประตู ตาเฒ่าเต้าหยินก็วิ่งเข้าไปบอก ฝ่ายยู่อี่จินเซียมได้ฟังก็โกรธถือขอเหล็กออกมาที่ประตูถ้ำ ตวาดว่าอ้ายลิงมึงจะมาทำไมอีกเล่า เห้งเจียตอบว่าเราจะมาเอาน้ำ
   ยู่อี่จินเซียมพูดว่า อันบ่อนี้เป็นบ่อของเราได้ปกครองเป็นเจ้าของรักษามาช้านาน แม้ว่าพระยามหากระษัตริยเจ้านายขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยจะต้องการ ก็ต้องมีเครื่องของกำนันหมู เป็ด ไก่ เหล้าคาวหวานมาคำนับเราจึงจะได้ไป อันตัวเจ้ากับเราเป็นผู้ไม่ชอบกัน จะขืนมามือเปล่าจะให้เจ้า​อย่างไรได้ เห้งเจียถามว่าเอ็งจะไม่ยอมให้เราแน่ละหรือ ยู่อี่จินเซียมว่า ข้าไม่ยอมให้เจ้าเป็นแน่แล้ว เห้งเจียแกว่งตะบองกระโจม ตี จินเซียมยกขอเหล็กขึ้นรับรบกันไปมาที่หน้าประตูถ้ำ ล่อไล่กันไปข้างชายเขา ซัวเจ๋งเห็นได้ที ก็ตรงเข้าไปในถ้ำ เดินมาที่บ่อแลไปเห็นตาเฒ่าเต้าหยินออกมากั้นถามว่าเจ้าคนนี้มาแต่ไหนเข้ามาทำไมที่นี่ จะเข้ามาตักน้ำหรือ
   ซัวเจ่งก็วางถังลงชักพลองออกตีตาเฒ่าทีหนึ่งถูกที่แขนขวาหักล้มลงร้องดินร้องฟ้าอึกกะทึกแล้วก็คลานหนีไปข้างใน ซัวเจ๋งก็เอาถังลงไปในบ่อตักน้ำได้แล้วก็หิ้วออกพ้นประตูสำนักแล้วก็เหาะไปร้องตะโกนเห้งเจียว่าพี่ปล่อยมันเสียเถิด ข้าพเจ้าตักน้ำได้แล้ว เห้งเจียได้ยินซัวเจ๋งร้องบอกดังนั้น ก็ยั้งมือพูดว่า จินเซียมจงฟังข้าพูด เราตั้งใจจะตีเจ้าให้สิ้นชีวิต เพราะเจ้าทำผิดแต่ยังไม่ถึงที่ตาย เพราะข้ารู้อยู่ว่าเจ้าเป็นพี่น้องของงู่หม้ออ๋อง บัดนี้น้องเราก็เอาน้ำทำได้แล้วเรายกโทษให้เจ้า แม้ว่าภายหลังมีผู้ใดมาจะเอาน้ำ เจ้าอย่าได้ขัดขืนอย่างนี้ต่อไป จินเซียนก็ไม่เชื่อฟังตรงเข้ามายกตะขอเหล็กจะตีเห้งเจีย เห้งเจียหลบทันกระโดดรุกเข้าใกล้กระชากแย่งเอาตะขอเหล็กมาได้ก็หักเสียเป็นสองท่อนแล้ว รวมเข้าสองท่อนหักเสียอีกเป็นสี่ท่อนโยนทิ้งลงกับพื้นแล้วพูดว่า อ้ายสัตว์เดรัจฉาน มึงอาจสามารถถึงอย่างนี้หรือ
   จินเซียมเห็นดังนั้น มีความอดสูเป็นที่สุดร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งกาย เห้งเจียหัวเราะแล้วก็เหาะตามซัวเจ๋งมา เห้งเจียซัวเจ๋งพากันเหาะมา​บัดเดี๋ยวก็ถึงบ้านที่พักอาศัยเดินเข้าไปในบ้าน เห็นโป๊ยก่ายนั่งพิงประตูกุมท้องร้องคราง เห้งเจียถามว่าเมื่อไรโป๊ยก่ายจะอยู่ไฟ โป๊ยก่ายว่าพี่อย่าหัวเราะเยาะเลยพี่ไปได้น้ำมาหรือเปล่า ซัวเจ๋งเดินตามหลังมาบอกว่าได้น้ำมาแล้ว พระถังซัมจั๋งพูดว่าทำให้ศิษย์ทั้งสองได้ความลำบากมาก ฝ่ายยายเฒ่าในบ้านก็พากันดีใจพูดสรรเสริญ เห้งเจียว่าศิษย์อย่างนี้หายากนัก ยายเฒ่าก็เอาถ้วยอย่างงามตักเอาน้ำที่เอามานั้นถวายพระถังซัมจั๋งให้ฉัน แล้วบอกว่าท่านอาจารย์ค่อย ๆ ฉันเถิด สักถ้วยหนึ่งท้องนั้นก็จะยุบหายไปเอง
   โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าไม่ต้องเอาถ้วยชามใส่ดอก จะกินทั้งถังอย่างนั้นก็ได้ ยายเฒ่าพูดว่าท่านกินอย่างนั้นจะมิฆ่าตัวเสียหรือ แม้ว่ากินหมดทั้งถังก็จะไหลออกมาทั้งสิ้น โป๊ยก่ายตกใจพูดว่า ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าไม่กล้ากินมาก ขอครึ่งถ้วยก็พอ โป๊ยก่ายก็กินเข้าไปครึ่งถ้วย สักประเดี๋ยวพระถังซัมจั๋งทั้งโป๊ยก่ายท้องก็ลั่นครืดคราดไปพักหนึ่ง โป๊ยก่ายอดทนไม่ได้ทั้งอุจจาระ ปัสสาวะก็ไหลออกมา พระถังซัมจั๋งคิดจะออกไปนอกบ้านหาที่ลับถ่ายอุจาระ เห้งเจียห้ามว่าอย่าออกไปเลย วิตกจะไปต้องลมร้ายโรคจะกำเริบขึ้น จะทำให้เกิดความเดือดร้อนมากไป ยายเฒ่าเจ้าของบ้านไปเอาถังมาสองใบตั้งไว้สำรอง บัดเดี๋ยวใจพระถังซัมจั๋งกับโป๊ยก่ายในท้องก็หายเจ็บ ที่ก่อเป็นก้อนโลหิต​ก็หายยุบท้องก็เล็กไปเหมือนอย่างเดิม ยายเฒ่าก็ไปต้มเข้าต้มน้ำแล้วก็ยกมาให้กินแก้ระหวย โป๊ยก่ายพูดว่าท่านยายขอน้ำให้ชะล้างก่อนแล้วกินข้าวต้มจึงจะดี ยายเฒ่าก็ไปต้มน้ำร้อนยกมาตั้งไว้ พระถังซัมจั๋งกับโป๊ยก่ายก็มาอาบน้ำชำระกายแล้วก็ฉันข้าวต้ม พระถังซัมจั๋งฉันได้สองชาม โป๊ยก่ายกินได้ถึงสิบสี่ สิบห้าชาม เห้งเจียหัวเราะพูดว่า อ้ายหมูอย่ากินมากนักท้องจะครากตาย ยายเฒ่าเห็นโป๊ยก่ายกินได้มากจึงสั่งให้จัดแจงหุงข้าวมาเติมอีก
   ยายเฒ่าบอกแก่พระถังซัมจั๋งว่า น้ำที่เหลือนั้นขอไว้ให้ข้าพเจ้าเถิด เห้งเจียจึงอนุญาตว่า ท่านยายจะเอาไว้ทำอะไรก็ตามแต่ใจท่านยายเถิด ยายเฒ่าก็เอาขวดใส่แล้วนำไปฝังไว้ในบ้าน บอกว่าน้ำในขวดนี้ข้าพเจ้าจะเอาไว้ใส่โลง คนทั้งหลายต่างมีความยินดี ครั้นข้าวสุกแล้วก็จัดยกมาถวาย พระถังซัมจั๋งกับศิษย์กินเสร็จแล้วก็พักอยู่คืนหนึ่ง พอรุ่งแจ้งฉันแล้วอาจารย์กับศิษย์ต่างก็ลายายเฒ่าแลคนในบ้านใหญ่น้อยทุก ๆ คนแล้วก็ออกจากบ้านเดินไป
(บทที่ ๕๔)
  ประมาณได้สี่สิบโยชน์ แลไปข้างหน้าเห็นกำแพงเมือง พระถังซัมจั๋งชี้ว่านี่ก็ใกล้กำแพงเมืองไซเหลียงก๊กมีแต่ผู้หญิงทั้งเมือง พวกเราจงสำรวมอิริยาบถอย่าให้เพลิดเพลินไปด้วยรูปและสี ศิษย์ทั้งสามก็ฟังอาจารย์สั่ง เดินมาประเดี๋ยวก็ถึงต้นถนนทางทิศตะวันออก เห็นผู้คนกำลังแออัด บ้างสาวบ้างแก่บ้างขายบ้างซื้อ ล้วนแต่ผู้หญิงทั้งนั้น พอแลเห็นอาจารย์กับศิษย์ทั้งสี่คนเดินมา คนเหล่านั้นก็พากันรื่นเริง​ดีใจพูดกันว่า พระมนุษย์มาแล้ว พระมนุษย์มาแล้ว บัดเดี๋ยวก็พากันมาดูแน่นหลามไปทั้งถนน พูดหัวเราะกันออกแซ่หู พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้าเดินไปไม่ได้ โป๊ยก่ายร้องว่าข้าเชื้อหมู ข้าเชื้อหมู เห้งเจียร้องห้ามว่าอย่าพูดเลอะเทอะไป จงออกกิริยาหยาบ ๆ จึงจะดี โป๊ยก่ายก็ตั้งใบหูชันขึ้น ขนหัวพองยื่นปากออกร้องเสียงดังคำหนึ่ง พวกผู้หญิงเหล่านั้นก็พากันหกล้มคว่ำหงายวิ่งหนีแหวกทางออกกว้าง
   พระถังซัมจั๋งก็ขับม้ารีบเดินไป มาได้อีกสักประเดี๋ยวแลเห็นสองข้างถนนมีตึกรามห้องหอเป็นลำดับเรียงรายดูงดงาม บ้างขายสุราและยาของกินและสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ อาจารย์กับศิษย์พากันเดินไปพอถึงที่เลี้ยว แลไปเห็นขุนนางหญิงคนหนึ่ง ร้องเรียกว่าท่านเป็นแขกเมืองมาจากทางไกล อย่าเพิ่งเข้าไปในเมือง เชิญไปพักที่หอรับแขกที่ประตูเมืองนั้นก่อน เอาชื่อเสียงลงบัญชีแล้ว ข้าพเจ้ากราบทูลแล้วจึงจะเซ็นอนุญาตให้ไป
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ลงจากม้า แลไปที่ประตูเห็นมีแผ่นป้ายหนังสือใหญ่สามตัวว่า หอเงงเอี๊ยงเป็นที่สำหรับพักแขกเมือง พระถังซัมจั๋งบอกแก่เห้งเจียว่า ยายเฒ่านั้นได้บอกว่าที่ประตูเมืองมีหอเงงเอี๊ยงที่รับแขกก็มีจริงดังที่ยายเฒ่าบอก ซัวเจ๋งหัวเราะแล้วพูดว่าพี่โป๊ยก่ายไม่ไปส่องท้องดูจะมีสองรูปหรือเปล่า ยายเฒ่าบอกว่าที่นี่มีบ่อส่องท้อง โป๊ยก่ายว่าอย่าพูดเลอะไป เรากินน้ำทำลายเสียแล้วจะไปส่องดูอะไรอีกเล่า พระถังซัมจั๋งบอกว่าจงระงับไว้บ้าง ​หญิงขุนนางก็มานิมนต์ขึ้นบนหอนั่งที่สมควรแล้ว จึงให้ยกน้ำชามาถวาย อันคนใช้เหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้หญิงทั้งสิ้น ทั้งมีแต่สาว ๆ ทั้งนั้น ทั้งรูปร่างก็สะอาดสำอางนุ่งห่มแต่งตัวก็ล้วนแต่แพรสีต่าง ๆ หญิงขุนนางจึงถามว่า ท่านอาจารย์เป็นชาวเมืองไหนพากันมาจะไปข้างไหน เห้งเจียตอบว่าพวกข้าพเจ้าอยู่ทิศตะวันออกเมืองใต้ถัง มีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้ไปเมืองไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ท่านอาจารย์นั้นคือพระเจ้าน้องยาเธอนามเรียกถังซัมจั๋ง ข้าพเจ้าทั้งสามนี้คือสานุศิษย์ของเธอ รวมทั้งม้าข้าพเจ้าเป็นห้าด้วยกัน และมีหนังสือเดินทางสำหรับตัวมาด้วย ขอท่านได้พิจารณาเถิด
   ขุนนางหญิงได้ฟังแล้วจึงจับปากกาเขียนลงสารบบ ลงจากที่คุกเข่าทำความเคารพพระถังซัมจั๋ง ข้าพเจ้าขออนุญาตข้าพเจ้าคือขุนนางพนักงานน่าที่รับแขกเมือง ไม่ทราบว่าท่านผู้ใหญ่จะได้ออกไปรับแต่ไกล ทำความเคารพแล้วก็ลุกขึ้น เรียกคนพนักงานเลี้ยงมาสั่งให้จัดข้าว กับมาเลี้ยง พนักงานก็จัดมาพร้อมตามสั่งเสร็จ หญิงขุนนางจึงพูดว่า นิมนต์ท่านอาจารย์ฉันจังหัน ข้าพเจ้าจะนำความเข้าไปกราบทูลเปลี่ยนหนังสือให้ท่านไปไซที พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงนั่งลงฉัน ฝ่ายหญิงขุนนางนั้นครั้นถวายแล้ว ก็ไปแต่งตัวเข้าในพระราชวังในตำหนักเง้าห้องเล้าบอกแก่พวกขันธีว่า ข้าพเจ้าขุนนางรับแขกเมืองมีกิจธุระจะเข้าเฝ้าพระองค์ ขันธีก็เข้าไปกราบทูลจึงมีรับสั่งให้เข้าไปชั้นใน ขันธีก็ออกมานำเข้าไป ครั้นถึงก็ถวายคำนับตามธรรมเนียม
   เจ้า​ผู้หญิงจึงถามว่าเข้ามามีกิจธุระอะไรหรือ หญิงขุนนางกราบทูลว่าข้าพเจ้ารับผู้อยู่เมืองใต้ถัง นามเรียกพระถังซัมจั๋งเป็นน้องของพระเจ้าแผ่นดินใต้ถัง มีสานุศิษย์มาสามคนกับม้าด้วยหนึ่งม้ารวมเป็นห้า จะขึ้นไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎก จะมาขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง เจ้าหญิงได้ฟังดังนั้นก็มีความเลื่อมใสโสมนัสยินดี จึงตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่า เมื่อคืนนี้เราฝันเห็นไปว่า ขวดทองมีลายสีระยับอย่างงดงามส่องแสงสว่างไสว พิเคราะห์ดูก็สมแก่เหตุอันนี้เปนการดีหาที่เปรียบมิได้ ขุนนางซ้ายขวากราบทูลถามว่า พระองค์ทรงเห็นว่าด้วยประการใด เจ้าหญิงจึงตรัสว่า เมืองใต้ถังคือเป็นผู้ชายและพระถังซัมจั๋งพระเจ้าน้องยาเธอ อันเมืองเรานี้ตั้งแต่มีฟ้ามีดินมีเมืองนี้มา ที่เป็นเจ้าต่อ ๆ มาก็ไม่เคยเห็นผู้ชายมาถึงเมืองนี้ บัดนี้มีน้องชายพระเจ้าแผ่นดินใต้ถังมาคิดดูจะเป็นเทวดาดลใจให้มา เราจะยกราชสมบัติให้เธอเป็นเจ้าเมือง เราจะยอมเป็นอัครมเหสีร่วมรักแก่เธอให้เกิดบุตรเกิดนัดดาต่อเชื้อต่อวงศ์ต่อๆ กันไป เราคิดอย่างนี้ท่านทั้งหลายจะเห็นเป็นประการใด 
   พวกขุนนางผู้หญิงได้ฟังดังนั้น ต่างก็สรรเสริญขึ้นพร้อมกันว่าควรแล้ว ขุนนางพนักงานรับแขกจึงทูลขึ้นว่า ซึ่งพระองค์ทรงคิดการนั้นก็ดีอยู่แล้ว แต่วิตกว่าพระถังซัมจั๋งเธอมีสานุศิษย์สามคน มีลักษณะไม่สมเป็นรูปมนุษย์ เจ้าหญิงถามว่า ก็รูปร่างน้องยาเธอนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ขุนนางรับแขกกราบทูลว่า น้องยาเธอนั้นรูปลักษณะสมควรเป็นเจ้าคนนายคน​ผิวพรรณผ่องใส คนทั้งสามนั้นหน้าตาดุร้ายรูปร่างหยาบคายคล้ายปีศาจยักษ์มาร เจ้าหญิงว่าถ้ากระนั้นก็ให้เธอทั้งสามรับหนังสือเดินทางไปไซที เอาไว้แต่พระถังซัมจั๋งองค์เดียวอย่างนี้จะไม่ดีหรือ ขุนนางผู้หญิงทั้งหลายพร้อมกันทูลว่า พระองค์ทรงคิดอย่างนี้ดีแล้ว พวกข้าพเจ้าเห็นชอบด้วยแล้ว แต่ยังขัดอยู่ที่จะจัดวิวาหะการ จะต้องมีเฒ่าแก่จึงจะเป็นการถูกต้อง
   เจ้าหญิงตรัสว่าตามแต่ท่านจะเห็นควรอย่างไร ครั้นตรัสเสร็จแล้ว จึงสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่ที่จัตุสดมภ์ไปกับขุนนางรับแขก แล้วจึงจะให้ราชรถไปรับ ขุนนางทั้งสองก็ออกมาจากพระราชวังไปยังหอรับแขก ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์พักอยู่ที่หอพอฉันเข้าแล้วแลเห็นคนมามาก จึงถามสานุศิษย์ว่าเขาจะมาทำไมกัน โป๊ยก่ายว่าเห็นจะเป็นเจ้าหญิงใช้ให้มารับพวกเราดอกกระมัง เห้งเจียว่า เห็นจะไม่ใช่มาเชิญ ชะรอยจะเป็นเฒ่าแก่ พระถังซัมจั๋งถามว่า ถ้าหากว่าจะข่มขืนเราโดยเหตุนั้น เราจะขัดขวางโต้ตอบอย่างไร เห้งเจียพูดว่าแม้เป็นดังนั้นจริง พระอาจารย์ต้องผ่อนผันตามการ ข้าพเจ้าจะคิดแก้ไขต่อภายหลัง พูดยังไม่ทันขาดคำขุนนางทั้งสองก็พอมาถึง เข้ามาแล้วก็คุกเข่าลงเคารพ
   พระถังซัมจั๋งย่อตัวลงปราศรัยพูดว่า อาตมภาพไม่มีบุญวาสนาอะไร ท่านทั้งสองต้องลงคุกเข่าดังนี้ ขุนนางทั้งสองสอดตาดูพระถังซัมจั๋งเห็นลักษณะรูปร่างงดงามมีราศีเปล่งปลั่งสมควรจะเป็นสามีของเจ้า​เรา เห็นดังนั้นแล้วก็มีความพอใจพูดว่า ถ้าดังนี้ในเมืองของเราก็จะมีความเจริญขึ้น ขุนนางทั้งสองก็ลุกขึ้นพนมมือ ยืนอยู่สองข้างพูดว่า ข้าพเจ้าทั้งสองเห็นท่านน้องยาเธอก็มีความยินดีที่สุด พระถังซัมจั๋งย่อตัวปราศรัยว่า อาตมภาพเป็นผู้ถือบวชจะมีอะไรที่ไหนยินดีเล่า ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองพูดว่าที่เมืองนี้ คือเมืองไซเหลียงก๊ก ล้วนแต่เป็นผู้หญิงทั้งเมือง ตั้งแต่เดิมมาก็หามีผู้ชายมาถึงนี่ไม่ มาบัดนี้ท่านมาถึงนี่ก็เป็นบุญ จึงได้พบปะแก่ท่าน ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งของเจ้าแห่งข้าพเจ้า ให้มาขอท่านเป็นสามีของเจ้าข้าพเจ้า
   พระถังซัมจั๋งพูดว่า อาตมาภาพมาถึงเมืองนี้ ก็มีสานุศิษย์มาด้วยสามคน ใจคอหยาบช้าไม่ทราบว่าท่านจะประสงค์คนไหน ขุนนางรับแขกพูดว่า ข้าพเจ้าได้นำความเข้าไปกราบทูลแล้ว เจ้าของข้าพเจ้าก็มีความยินดีที่สุด ตรัสว่าเมื่อคืนนี้พระองค์ทรงพระสุบินไปว่า พระองค์เห็นขวดทรงมีรัศมีเป็นดอกดวงดูงดงาม แลบานกระจกทรงมีแสงส่องฟุ้งออกสว่างไสว เพราะฉะนั้นพระองค์ทราบว่าท่านมาถึงเมืองนี้ ก็เป็นที่นิยมของพระองค์ จะใคร่ผูกสมัครร่วมรักแก่ท่านเป็นสามีภรรยา และจะยกราชสมบัติให้แก่ท่านครอบครองเป็นเจ้าเมือง ส่วนเจ้าหญิงจะยอมเป็นพระมเหสี จึงให้ขุนนางผู้ใหญ่มาพูดให้ข้าพเจ้าเป็นเฒ่าแก่ฝ่ายชาย เพื่อจะได้กระทำการวิวาหะมงคล
   ​พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก้มหน้านิ่งมิได้โต้ตอบประการใด ขุนนางผู้ใหญ่พูดว่า แม้ว่าเชื้อผู้ชายพบปะเวลาอย่างนี้แล้ว ไม่ควรจะให้คลาดเคลื่อน เพราะอย่างนี้จะไปหาที่ไหน ธรรมดาเขาจะให้ครอบครองบ้านเมือง ควรท่านจะต้องมีความยินดียอมรับไมตรีเถิด พวกข้าพเจ้าจะได้ไปกราบทูล พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งงงงวยดุจคนบ้าหาสติมิได้ โป๊ยก่ายยืนอยู่ข้างนั้นอดไม่ได้ ก็ร้องว่าท่านจัตุสดมภ์จงกลับไปกราบทูลเถิด ว่าพระอาจารย์ของข้าพเจ้าปฏิบัติบวชมาก็สำเร็จแล้ว เป็นอันขาดไม่รับซึ่งราชสมบัติบริโภคกามคุณ ท่านไม่มีความยินดีในการบ้านเรือนของฆราวาสแล้ว ชอให้รีบไปเปลี่ยนหนังสือเดินทางให้ไปไซที ข้าพเจ้าจะอยู่รับธุระนี้ท่านจะเห็นเป็นประการใด
   ขุนนางจัตุสดมภ์ครั้นได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น อกใจก็ซ่านเสียวรัวสั่นไปทั้งกาย มิได้อาจตอบโต้ประการใด จึงขุนนางรับแขกพูดแก่โป๊ยก่ายว่าตัวท่านเป็นผู้ชายก็จริง แต่รูปร่างหยาบคายไม่เป็นที่พอพระทัยของเจ้านายเรา โป๊ยก่ายว่าท่านยังไม่เข้าใจของหยาบก็ตามหยาบจะต้องใช้ได้ทั้งสิ้น เห้งเจียตวาดว่าอย่าพูดให้เลอะเทอะไปตามแต่ความพอใจของพระอาจารย์ควรไปก็ไปควรอยู่ก็อยู่ พระถังซัมจั๋งถามเห้งเจียว่าพูดอย่างไรจึงจะดี เห้งเจียว่าถ้าอย่างใจข้าพเจ้าคิดก็ได้อาจารย์อยู่ที่นี่ดี พบเนื้อคู่ไกลร้อยโยชน์ดังนี้ก็นับว่าเป็นนิสัยอันใหญ่ พระถังซัมจั๋งพูดว่า ถ้าอยู่รับราชสมบัติที่นี่แล้ว ใครเล่าจะไปไซที การของพระเจ้าแผ่นดินใต้ถังจะมิล้มละลายหรือ
   ​ขุนนางจัตุสดมภ์พูดว่านางพระยาให้ข้าพเจ้ามาพูดแก่ท่านว่า ต่อตามความประสงค์ของพระองค์ แล้วจึงจะเปลี่ยนหนังสือเดินทางให้ท่านทั้งสามไปไซทีอย่างนั้นจะไม่ดีหรือ เห้งเจียว่าท่านคิดดังนั้นเห็นจะสำเร็จได้ พวกข้าพเจ้าไม่ขัดข้องจะยอมให้อาจารย์อยู่เป็นสามีของเจ้าท่าน ขอท่านจงเปลี่ยนหนังสือให้ข้าพเจ้าพี่น้องไปไซที อาราธนาพระธรรมกลับมาแล้ว จึงจะแวะขอเสบียงอาหารกลับไปเมืองใต้ถัง ขุนนางจัตุสดมภ์และขุนนางรับแขกก็คำนับเห้งเจียแล้วพูดว่า มีความขอบใจท่านเป็นที่สุด
   โป๊ยก่ายว่าบัดนี้พวกข้าพเจ้าพี่น้องก็พร้อมใจยอมแล้ว ท่านจงไปกราบทูลแก่นางพระยาเจ้าของท่าน ให้จัดเครื่องโต๊ะมาให้พวกข้าพเจ้าพี่น้องรับประทานสักเวลาหนึ่งจะได้ลาไปไซที ขุนนางจัตุสดมภ์พูดว่าข้าพเจ้าจะจัดมาให้ตามท่านต้องการ ว่าแล้วก็สั่งเจ้าพนักงานให้จัดทำเครื่องโต๊ะมาให้ พวกเจ้าพนักงานก็ไปจัดมาตั้งพร้อมตามสั่งของขุนนางผู้ใหญ่ ๆ มีความยินดีกลับไปกราบทูล ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเห็นขุนนางทั้งสองกลับไปแล้ว ก็มาจับมือเห้งเจียพูดว่าเห้งเจียทำดังนี้จะมิคิดฆ่าเราเสียหรือ ทำไมจึงรับเขาว่าจะให้เราอยู่ทำการวิวาหะเป็นผัวเมียแก่เจ้าหญิง พวกเจ้าจะไปไซทีถ้าดังนั้นอาตมภาพตายเสียดีกว่า เห้งเจียว่าท่านอาจารย์จงวางใจเถิดข้าพเจ้ามิใช่จะไม่รู้กิริยาจิตของท่านเมื่อไรมี เพราะมาพบมนุษย์อย่างนี้จำเป็นจะต้องเอากลซ้อนกลจึงจะได้ 
   พระถังซัมจั๋งถามว่าอย่างไรจึงเรียกว่าเอากลซ้อนกล เห้งเจียพูดว่าถ้าหากถือมั่นไม่ยอมเธอก็จะไม่เปลี่ยนหนังสือให้ไป บางทีจะกลุ้มรุมมาจับอาจารย์จะเชือดเนื้อเถือหนัง พวกข้าพเจ้าที่ไหนจะยอมให้ทำ ก็คงจะต้องเกิดวิวาทรบพุ่งกันขึ้นพวกข้าพเจ้ามีอาวุธไม้มือหนัก ที่เมืองนี้ก็เพียงเป็นมนุษย์มิใช่ปีศาจยักษ์ร้ายอะไร ส่วนพระอาจารย์ก็ตั้งแต่เมตาจิตสัตว์เล็กใหญ่ก็ไม่ทำให้ถึงแก่ชีวิต แม้ว่าเกิดตีรันรบพุ่งมนุษย์ก็คงจะตายนับไม่ถ้วน ที่ไหนอาจารย์จะยอมให้ทำได้ พระถังซัมจั๋งพูดว่าที่เห้งเจียคิดได้ดังนี้ก็เป็นความดีที่สุดอยู่แล้ว แต่วิตกว่าถ้าแต่งการวิวาหะแล้วนางจะให้ร่วมประเวณีด้วยเธอดังนั้น อาตมจะยอมให้เสียพรหมจรรย์ได้หรือ เมื่อไม่ยอมแล้วการก็จะไม่สำเร็จอยู่เอ็งจะทำประการใด
   เห้งเจียพูดว่าวันนี้ทำยอมตามเร็ว ๆ คงจะแต่งตามธรรมเนียมของกษัตริย์มีราชรถมารับท่าน ๆ อย่าขัดขืนจงขึ้นราชรถเข้าไปในวัง ขึ้นนั่งที่บัลลังก์แก้วแล้ว เรียกเอาตรามาประทับหนังสือมอบให้พวกข้าพเจ้าแล้ว ท่านรับสั่งให้จัดราชรถจะตามส่งพวกข้าพเจ้า และให้จัดโต๊ะเลี้ยงแล้วจึงขึ้นราชรถส่งไป ท่านจึงบอกแก่นางเจ้าว่าจะส่งสานุศิษย์ออกจากเมืองแล้ว จึงกลับมาทำการวิวาหะมงคลอยู่กับนางพระยา กระทำให้พวกเจ้าและขุนนางมีความยินดีไม่ขัดขวาง แต่พอส่งออกนอกเมืองแล้ว พระอาจารย์ลงจากราชรถให้ซัวเจ๋งพยุงขึ้นม้าออกเดิน ข้าพเจ้าจะร่ายคาถาทำให้คนทั้งหลายนั้นยืนอยู่ที่เดียว พวกเราเดินไปสักคืนหนึ่งวันหนึ่งแล้ว ข้าพเจ้าจะเรียกคาถาถอนปล่อยให้คนเหล่านั้นกลับรู้สึกตัวคืนเข้าเมือง ซึ่งทำการตามที่ข้าพเจ้าคิดนี้​เป็นประโยชน์สองประการ คือหนึ่งไม่เป็นอันตรายแก่ชีวิตมนุษย์ สองไม่เสียพรหมจรรย์ของพระอาจารย์ อย่างนี้เรียกกลสนิทคิดหนีออกจากอันภัย ทั้งสองฝ่ายก็ไม่เป็นอันตราย พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น ดุจบุคคลอันเสพสุราเมาแล้วสร่าง หรือหนึ่งนอนหลับฝันแล้วตื่น สรรเสริญเห้งเจียว่าขอบคุณสานุศิษย์ มีความลึกซึ้งอย่างนี้ดีที่สุดแล้ว
   ฝ่ายขุนนางทั้งสองกลับเข้าไปเฝ้า ครั้นถึงจึงถวายคำนับแล้วกราบทูลว่า ที่พระองค์ทรงพระสุบินนั้นเป็นการตรงแก่เหตุการณ์เป็นมงคลหาที่เปรียบมิได้ นางพระยาได้ฟังขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองเข้ามากราบทูลดังนั้นมีพระทัยใสโสมนัส สา จึงลงจากพระแท่นที่ประทับทรงพระสรวลยิ้มแย้ม ตรัสถามว่าท่านทั้งสองออกไปถามพระอนุชาพระเจ้าแผ่นดินถังพูดว่ากระไรบ้าง ขุนนางผู้ใหญ่กราบทูลว่าข้าพเจ้าออกไปถึงที่รับแขก ก็กระทำคำนับพระอนุชาพระเจ้าแผ่นดินใต้ถัง ๆ ได้ปราศรัยรับรองตามกิริยาแขกเมืองแล้ว ข้าพเจ้าชักนำพูดถึงวิวาหะการท่านก็ยังไม่ยอมตกลง สานุศิษย์ใหญ่เอออวยยอมให้อาจารย์เป็นสามีของพระองค์ ขอให้เปลี่ยนหนังสือเดินทางให้เธอทั้งสามไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎก เมื่อขากลับจะแวะขอเสบียงอาหารแล้วจะลากลับไปเมืองใต้ถัง นางพระยาถามว่า พระเจ้าน้องยาเธอได้พูดจาว่ากระไรบ้างหรือเปล่า นางขุนนางจัตุสดมภ์ทูลว่า พระอนุชาเจ้าแผ่นดินใต้ถัง​หาได้พูดจาว่ากระไรไม่ ยอมตามความประสงค์ของพระองค์ แต่สานุศิษย์ทั้งสามของเธอจะขอให้เลี้ยงโต๊ะก่อน นางกษัตริย์ได้ฟังดังนั้นมีความปลุกปลื้มโสมนัสยินดี จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดโต๊ะและจัดราชรถออกไปรับพระอนุชาพระเจ้าใต้ถัง
   ฝ่ายขุนนางทั้งหลาย ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานทุกหน้าที่ก็จัดการตามสั่งและจัดรถพระที่นั่งพร้อม ครั้นได้เวลานางพระยาก็ขึ้นทรงรถ ขุนนางผู้หญิงก็แห่ห้อมล้อมตามเสด็จออกจากพระราชวัง มาถึงที่หอรับแขกขุนนางรับแขกเมือง ก็บอกแก่พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ให้ทราบว่าเสด็จมาแล้ว พระถังซัมจั๋งก็จัดแจงแต่งตัวคอยรับ พอราชรถถึงนางกษัตริย์ก็แหวกพระวิสูตรลงจากราชรถตรัสถามว่า ไหนพระอนุชาพระเจ้าแผ่นดินใต้ถัง ขุนนางจัตุสดมภ์ทูลว่าที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะนั่นแล นางกษัตริย์ทอดพระเนตรพิเคราะห์ดูพระถังซัมจั๋งโดยละเอียด เห็นว่าสมควรเป็นผู้มีวาสนาที่จะครอบบ้านครองเมืองได้ แลทั้งรูปโฉมก็เป็นที่น่าเสน่หา นางให้มีความปฏิพัทธ์ลุ่มหลงจนลืมพระองค์ตรัสเชิญว่า ขอเชิญพระเจ้าน้องยาเธอขึ้นประทับบนราชรถ พระถังซัมจั๋งให้มีความอดสูละอายแก่ใจ โดยเหตุที่มิได้คุ้นเคยในการประโลมโลก และปราศจากความยินดีในรูปเสียงกลิ่นรส จึงไม่มีความกระสันพันธ์ผูกพิสมัยในนาง 
   แต่โป๊ยก่ายเป็นคนหนักอยู่ในกามเป็นนิสัยนอนจมอยู่ในสันดาน เมื่อได้เห็นรูปโฉมนางพระยาโสภาผ่องใสน่าพึงชม ก็ให้เกิดความปฏิพัทธ์กำหนัดในการสังวาส ที่สุด​ไม่ควรกล่าว จนน้ำลายโป๊ยก่ายไหลลืมสติตะลึงไป เวลานั้นมือแลเท้าโป๊ยก่ายอ่อนเพลียลง ดุจพระยาสีหราชถูกน้ำค้างเข้าผิงไฟ บัดเดี๋ยวใจก็เหือดแห้งไปหมด ฝ่ายนางพระยาไม่สามารถจะอดกลั้นความเสน่หาอยู่ได้ก็ตรงเข้าจับมือพระถังซำจั๋งพูดว่า ท่านจงขึ้นราชรถเสด็จเข้าไปในพระราชวังด้วยข้าพเจ้าเถิด พระถังซัมจั๋งได้ฟังนางพูดดังนั้น จิตใจให้หวั่นหวาดอุธัจสะทกสะท้านพูดไม่ออกตัวสั่น เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงพูดว่า พระอาจารย์จะเกรงกลัวอะไรนักหนา ขอท่านจงขึ้นรถเข้าไปในพระราชวังเถิด จะได้เปลี่ยนหนังสือเดินทางให้พวกข้าพเจ้า พระถังซัมจั๋งได้ยินเห้งเจียพูดเตือนให้สติดังนั้น จึงขืนใจเดินออกมาเคียงกับนางขึ้นราชรถเดียวกัน เคลื่อนรถเข้าในพระราชวัง เห้งเจียให้ซัวเจ๋งยกหาบใส่บ่าจูงม้าตามรถไป โป๊ยก่ายก็วิ่งไปก่อนเข้าไปที่ตำหนักเหงาฮ่องเล้า บ่นว่าถาวรสบายดีจริง แต่ไม่ได้การทำไมไม่เห็นมีเหล้ายากับแกล้มเล่า
   ขุนนางเจ้าพนักงานผู้หญิง เห็นโป๊ยก่ายมาร้องทวงกินดังนั้นก็ตกใจ ไม่กล้าจะเข้าไปจึงกลับมายังราชรถกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทราบ ที่เหงาฮ่องเล้ามีคนปากยาวร้องทวงกินเหล้ากินแกล้มอยู่อึกกระทึก นางพระยาได้ทราบดังนั้น จึงถามพระถังซัมจั๋งว่า คนปากยาวหูใหญ่นั้นเป็นศิษย์คนใหญ่มิใช่ พระถังซัมจั๋งตอบว่า เป็นศิษย์ที่สองของอาตมภาพ เธอท้องใหญ่กินจุ เป็น​ห่วงแต่การกินกลัวจะไม่พอเพียงเท่านั้น ขอนางเจ้าได้ให้เจ้าพนักงานจัดหาเลี้ยงเธอก่อน นางกษัตริย์จึงตรัสถามเจ้าพนักงานว่า ได้จัดหาไว้พร้อมแล้วหรือ เจ้าพนักงานทูลว่าได้จัดหาไว้บนตำหนักพร้อมแล้วทุกประการทั้งสองอย่าง นางจึงถามว่าจัดอะไรไว้ทั้งสองอย่าง นางขุนนางจึงทูลว่า คือจัดไว้ทั้งเครื่องแจแลเครื่องโช
   นางกษัตริย์จึงถามพระถังซัมจั๋งว่า ท่านจะกินแจหรือจะกินโช พระถังซัมจั๋งตอบว่าอาตมภาพก็กินแจสานุศิษย์ทั้งสามก็กินแจทั้งสามคน พูดยังไม่ทันขาดคำลงขุนนางจัตุสดมภ์ก็มาเชิญขึ้นตำหนักเลี้ยงโต๊ะ พูดว่าวันนี้วันดีเลี้ยงโต๊ะแล้วจะได้ทำการวิวาหะมงคล พรุ่งนี้จะได้ยกพระถังซัมจั๋งขึ้นเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติ เมื่อนางกษัตริย์ได้ฟังขุนนางกราบทูลดังนั้น มีพระทัยใสโสมนัส สา หาที่เปรียบมิได้ จึงจูงมือพระถังซัมจั๋งลงมาจากราชรถขึ้นสู่พระที่นั่งตังก๊อกเดินเข้าไปเห็นที่ข้างตำหนักมีพวกมโหรีพิณพาทย์นั่งคอยท่าอยู่ สองข้างโต๊ะมีหญิงรุ่นกำหนัดผัดหน้าทาแป้งแต่งตัวนุ่งแพรห่มสี ยืนเรียงรายกันอยู่ดุจนางเทพธิดา ที่กลางตำหนักก็จัดไว้สองที่ ข้างขวาโต๊ะแจ ข้างซ้ายโต๊ะโช ลดลงชั้นล่างล้วนแต่เครื่องโชทั้งนั้น นางกษัตริย์เห็นจัดเสร็จแล้ว จึงรินสุราใส่ถ้วยมาเชิญให้พระถังซัมจั๋งกิน เห้งเจียพูดว่า อาจารย์แลพวกข้าพเจ้ากินแจทั้งนั้น จงเชิญอาจารย์นั่งโต๊ะแจนั้นเถิด พวกข้าพเจ้านั่งชั้นล่างก็ได้
   นางขุนนางพูดชมว่าดีอย่างนี้แลควรแล้ว อาจารย์กับศิษย์ก็​เหมือนบิดากับบุตรไม่ควรนั่งเสมอกัน ขุนนางพนักงานก็รีบจัดลดลงอีกสามที่เสร็จแล้ว นางพระยาก็ยกถ้วยสุราเชิญพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสาม เห้งเจียขยิบตาอาจารย์ให้ยกถ้วยตอบคำนับ พระถังซัมจั๋งลุกจากเก้าอี้ยกถัวยมาเชิญนาง ๆ รับถ้วยสุรามานั่งโต๊ะที่หนึ่งแล้ว บรรดานางขุนนางใหญ่น้อยก็ทำคำนับแล้วพร้อมกันเข้านั่งตามลำดับยศ พวกมโหรีพิณพาทย์ก็กระทำเพลงบำเรอขับร้อง ฝ่ายโป๊ยก่ายเสพสุราแลอาหารมากสิ้นสุราเจ็ดแปดถ้วย แล้วร้องว่าเอามาขวดใหญ่ ๆ จะกินให้สบายใจ แล้วจะได้ต่างคนต่างไปตามมีธุระอย่ามาหลงกินให้มากจะเสียการ เรารีบกินจะได้เปลี่ยนหนังสือเดินทาง นางกษัตริย์ได้ยินโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงสั่งเจ้าพนักงานให้เอาสุราขวดใหญ่มาให้โป๊ยก่ายกินตามสบาย เจ้าพนักงานก็เอาสุราปั้นใหญ่มารินให้โป๊ยก่ายกินอีกถ้วยหนึ่ง
   พระถังซัมจั๋งก็ย่อตัวลุกขึ้นเดินมาที่โต๊ะนางพูดว่า อาตมภาพมีความขอบใจเป็นที่สุด ส่วนที่เลี้ยงก็พอแล้ว ขอเชิญขึ้นพระที่นั่งจะได้เปลี่ยนหนังสือเดินทางให้แก่สานุศิษย์ไป นางกษัตริย์ก็ลุกออกจากที่จับมือพระถังซัมจั๋งพากันเดินขึ้นบนปราสาทใหญ่ นางอนุญาตให้พระถังซัมจั๋งขึ้นบนพระที่นั่ง พระถังซัมจั๋งว่าไม่ควรตามท่านเสนาบดีจัตุสดมภ์ว่า วันพรุ่งนี้เป็นวันมหามงคลฤกษ์ อาตมภาพจึงจะขึ้นนั่งได้ แต่วันนี้ขอจงเปลี่ยนหนังสือประทับตราส่งให้เธอทั้งสามไปเสียก่อน นางพระยาก็ประทับบนเก้าอี้แล้วเรียกเอาหนังสือเดินทาง​เห้งเจียก็หยิบหนังสือออกส่งให้ นางพระยาทรงรับมาคลี่ดูโดยละเอียดก็เห็นมีดวงตราของพระเจ้าแผ่นดินใต้ถังประทับอยู่ข้างบน รองลงมาตราเมืองโป๊เชียงก๊ก รองลงมาตราเมืองโอเกยก๊ก รองลงมาตราเมืองเซียตี้ก๊ก ทรงพิเคราะห์ดูตลอดแล้วก็ยิ้มสรวล แล้วตรัสว่าท่านนี้แซ่ตั๊นหรือ
   พระถังซัมจั๋งบอกว่าแซ่ตั๊นชื่อเหี้ยนจึง แต่พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้โปรดให้เป็นพระอนุชา จึงพระราชทานให้แซ่ถัง นางกษัตริย์ทรงถามว่าในหนังสือนี้ทำไมไม่มีชื่อสานุศิษย์ทั้งสามเล่า พระถังซัมจั๋งตอบว่า ศิษย์ทั้งสามคนนี้มิใช่คนในเมืองใต้ถัง อาตมภาพได้เมื่อมาตามทาง เพราะฉะนั้นจึงไม่มีชื่ออยู่ในหนังสือ นางกษัตริย์ตรัสว่า ถ้ากระนั้นท่านกับข้าพเจ้าเติมชื่อเธอทั้งสามลงในหนังสือจะมิดีหรือ พระถังซัมจั๋งว่าแล้วแต่จะทรงเห็นควร นางจึงเรียกให้พนักงานนำพู่กันกับน้ำหมึกมาแล้ว จึงถามชื่อและแซ่คนทั้งสามนั้นแล้วก็เขียนลงท้ายหนังสือชื่อซึงหงอคง แลหงอเหนง ซัวหงอเจ๋ง เขียนชื่อคนทั้งสามเสร็จแล้ว ก็ประทับตราเข้าผนึกส่งให้เห้งเจีย ๆ ก็รับหนังสือพลัน ส่งให้ซัวเจ๋งเก็บสิ่งของเข้าห่อเสร็จแล้ว จึงรับสั่งให้ขันธีเอาทองคำมาถาดหนึ่ง รางวัลให้แก่เห้งเจียแล้วตรัสว่า จงเอาไปเป็นเสบียงใช้สอยตามทาง เมื่อไปอาราธนาพระไตรปิฎกกลับมาแล้วจะขอบคุณท่านให้จงหนัก
   ​เห้งเจียว่าพวกข้าพเจ้าเป็นผู้บวช อันเงินทองไม่ต้องเอาติดไป ไปตามทางถึงแห่งหนตำบลใดก็บิณฑบาตเขากินต่อ ๆ ไป นางเห็นเห้งเจียไม่รับทอง จึงมีรับสั่งให้เอาแพรมาสิบม้วน แล้วรับสั่งว่าจะทำก็ไม่ทันเวลา จงเอาไปทำเสื้อผ้านุ่งห่มกันหนาวเถิด เห้งเจียว่าคนถือบวชจะนุ่งห่มแพรสีไม่ควร ผ้าผ่อนก็ยังมีอยู่ขอพระองค์อย่ามีความวิตกเลย นางกษัตริย์เห็นเห้งเจียไม่รับแล้ว จึงรับสั่งให้ขันทีนำข้าวสารมาสามถัง แล้วพูดแก่เห้งเจียว่า ของเหล่านั้นไม่รับไปก็ตามทีเถิด จงเอาข้าวสารไปจะได้หุงกินตามทาง โป๊ยก่ายก็รับข้าวสารใส่ย่ามเสร็จแล้ว ก็พร้อมกันทั้งสามคนมาคำนับนางพระยา
   พระถังซัมจั๋งจึงพูดแก่นางว่า ขอเชิญพระองค์เสด็จไปกับอาตมภาพเพื่อส่งคนทั้งสามออกไปจากเมือง อาตมภาพสั่งเสียเธอเสร็จแล้วจะได้กลับมากับพระองค์ ครองราชสมบัติเป็นบรมสุขอยู่สิ้นกาลนาน ส่วนนางกษัตริย์พาซื่อมิได้รู้สึกในกลอุบาย จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดราชรถเสร็จแล้ว ก็ขึ้นทรงรถพร้อมด้วยพระถังซัมจั๋ง นางขุนนางใหญ่น้อยก็ตามเสด็จ บรรดาพวกชาวเมืองก็ตั้งโต๊ะบูชาตลอดสองข้างทาง ชาวเมืองตั้งใจจะคอยดูราชรถนางพระยาและพระถังซัมจั๋ง ครั้นชาวเมืองได้เห็นก็พากันสรรเสริญออกแส้เสียงทั้งสองข้างทาง ประเดี๋ยวรถพระที่นั่งก็มาถึงประตูเมืองด้านข้างทิศปราจิณ เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งเตรียมตัวเสร็จแล้ว ก็เดินมาใกล้ราชรถร้องด้วย​เสียงอันดังว่า พระองค์ไม่ต้องไปส่งไกลดอก พวกข้าพเจ้าจะขอทูลลาที่นี้ นางจึงให้รถหยุดพระถังซัมจั๋งก็ลงจากรถทำคำนับพูดว่า ขอพระองค์จงเสด็จกลับไปเถิด อาตมภาพจะขอถวายพระพรลาไปไซทีอาราธนาพระธรรม
   ฝ่ายนางกษัตริย์ เมื่อได้ทรงฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้นก็ตกตะลึงจับพระถังซัมจั๋งไว้แล้วก็ตรัสว่า พระเจ้าน้องยาเธอ ข้าพเจ้ายกราชสมบัติให้จะขอท่านไว้เป็นพระราชสามี พรุ่งนี้ฤกษดีก็จะได้ขึ้นเสวยราชสมบัติแล้ว เหตุใดจึงได้มาแปรปรวนไปดังนี้เล่า โป๊ยก่ายได้ยินนางตรัสดังนั้น ก็เดินตรงเข้ามาที่ข้างรถยกหัวขึ้นทำหูชันตวาดด้วยเสียงอันดังว่าพวกข้าพเจ้าถือบวช ใครจะมาร่วมรักกับกระดูกแห้งอย่างนั้นได้หรือ จงปล่อยอาจารย์เราไปเถิด เมื่อนางได้เห็นรูปร่างโป๊ยก่ายน่าเกลียดน่ากลัวดังนั้น แลทำเสียงดังออกท่าดุร้ายดังนั้นก็ตกพระทัยล้มเข้าไปในรถ ซัวเจ๋งก็เข้าอุ้มอาจารย์ออกจากหมู่คนแล้วพยุงให้ขึ้นม้า เห็นผู้หญิงคนหนึ่งร้องตวาดว่า พระเจ้าน้องยาเธอจะหนีไปข้างไหนเราจะมาร่วมรักแก่ท่าน ซัวเจ๋งร้องด่าว่าอีขโมยมึงไม่รู้จักหรือ จึงชักไม้ตะบองออกตีลงไปที่ศรีษะหญิงนั้น ๆ ก็อันตรธานกลายเป็นลมใหญ่มืดมัว หอบเอาพระถังซัมจั๋งไปทางไหนก็ไม่ทันรู้

ไม่มีความคิดเห็น: