Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กัจจาย.วรรค แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กัจจาย.วรรค แสดงบทความทั้งหมด

16 พฤศจิกายน 2568

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก อปทาน โมฆราชเถราปทานที่ ๑๐ ว่าด้วยบุพจริยาของพระโมฆราชเถระ

  
 [๑๓๐] ในกัปนับจากภัทรกัปนี้ไปแสนหนึ่ง พระพิชิตมารพระนามว่า ปทุมุตระ ผู้ทรงรู้แจ้งโลกทั้งปวง เป็นนักปราชญ์ มีจักษุ ได้เสด็จ อุบัติขึ้นแล้ว พระองค์เป็นผู้ตรัสสอน ทรงแสดงให้สัตว์รู้ชัด ยัง สรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นวัฏสงสาร ทรงฉลาดในเทศนา เป็นผู้เบิกบาน ทรงช่วยประชุมชนให้ข้ามพ้นไปเสียเป็นอันมาก พระองค์เป็นผู้ อนุเคราะห์
 ประกอบด้วยพระกรุณา แสวงหาประโยชน์ให้สรรพสัตว์ ยังเดียรถีย์ที่มาเฝ้าให้ดำรงอยู่ในเบญจศีลได้ทุกคน เมื่อเป็น เช่นนี้ พระศาสนาจึงไม่มีความอากูล ว่างสูญจากเดียรถีย์ วิจิตร ด้วยพระอรหันต์ผู้คงที่ มีความชำนิชำนาญ พระมหามุนีพระองค์นั้น สูงประมาณ ๕๘ ศอก มีพระฉวีวรรณงามคล้ายทองคำอันล้ำค่า มี พระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ
                        ครั้งนั้น อายุของสัตว์ แสนปี พระชินสีห์พระองค์นั้น เมื่อดำรงพระชนม์อยู่โดยกาล ประมาณเท่านั้น ได้ทรงยังประชุมชนเป็นอันมาก ให้ข้ามพ้น วัฏสงสารไปได้
                        ครั้งนั้น เราเป็นผู้ประกอบในหนทางแห่งการงาน ของบุคคลอื่น ในสกุลหนึ่ง ในพระนครหงสวดี ทรัพย์สิน อะไรๆ ของเราไม่มี เราอาศัยอยู่ที่พื้นซึ่งเขาทำไว้ที่หอฉัน เรา ได้ก่อไฟที่พื้นหอฉันนั้น พื้นศิลาจึงดำไปเพราะไฟลน
                        ครั้งนั้น พระโลกนาถผู้ประกาศสัจจะ ๔ ได้ตรัสสรรเสริญพระสาวกผู้ทรง จีวรเศร้าหมองในที่ประชุมชน เราชอบใจในคุณของท่าน จึงได้ ปฏิบัติพระตถาคตปรารถนาฐานันดรอันสูงสุด คือ ความเป็นผู้เลิศ กว่าภิกษุผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง
 ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคพระนามว่า ปทุมุตระ ได้ตรัสกะพระสาวกทั้งหลายว่า จงดูบุรุษนี้ผู้มีผ้าห่มน่า เกลียด ผอมเกร็ง มีหน้าผ่องใสเพราะปีติประกอบด้วยทรัพย์ คือ ศรัทธา มีกายและใจสูง เพราะปีติ ร่าเริง ไม่หวั่นไหว หนาแน่น ไปด้วยธรรมที่เป็นสาระ บุรุษนี้ชอบใจในคุณของภิกษุผู้ทรงจีวรเศร้า หมอง ปรารถนาฐานันดรนั้นอย่างจริงใจ เราได้ฟังพุทธพยากรณ์นั้น แล้ว ก็เบิกบาน ถวายบังคมพระพิชิตมารด้วยเศียรเกล้า ทำแต่ กรรมที่ดีงามในศาสนาของพระชินเจ้าตราบเท่าสิ้นชีวิต เพราะกรรม ที่ทำไว้ดีนั้น และเพราะการตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
 เพราะกรรมคือการเอาไฟลนพื้นที่หอฉัน เราจึงถูกเวทนาเบียดเบียน ไหม้แล้วในนรกพันปี ด้วยเศษกรรม ที่ยังเหลือนั้น เราเป็นมนุษย์เกิดในสกุล จึงเป็นผู้มีรอยเป็นเครื่อง หมายถึง ๕๐๐ ชาติโดยลำดับ เพราะอำนาจกรรมนั้น เราจึงเป็นผู้ เพียบพร้อมด้วยโรคเรื้อน เสวยมหันตทุกข์ถึง ๕๐๐ ชาติเหมือน กัน ในภัทรกัปนี้ เรามีจิตเลื่อมใสเลี้ยงดูพระอุปริฏฐะผู้มียศให้อิ่ม หนำด้วยบิณฑบาต เพราะเศษกรรมที่ยังเหลือนั้น และเพราะการ ตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อถึงภพสุดท้าย ได้บังเกิดในสกุลกษัตริย์
 เมื่อพระชนกล่วงไป แล้ว ก็ได้เป็นพระมหาราชา เราถูกโรคเรื้อนครอบงำ กลางคืนไม่ได้ รับความสุข เพราะสุขที่เกิดจากความเป็นพระเจ้าแผ่นดินหาประ- โยชน์มิได้ ฉะนั้น เราจึงชื่อว่า โมฆราช เราเห็นโทษของร่างกาย จึงได้บวชเป็นบรรพชิต มอบตัวเป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรีผู้ ประเสริฐ เราเข้าไปเฝ้าพระผู้นำนรชนพร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก ได้ทูลถามปัญหาอันละเอียดลึกซึ้งว่า โลกนี้ โลกหน้า พรหมโลก กับทั้งเทวโลก ข้าพระองค์ไม่ทราบความเห็นของพระองค์ ผู้ทรง พระนามว่าโคดม ผู้มียศ
 เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงได้มีปัญหามาถึง พระองค์ผู้ทรงเห็นล่วงสามัญชน ข้าพระองค์จะพิจารณาเห็นโลก อย่างไร มัจจุราชจึงจะไม่เห็น พระพุทธเจ้าผู้ทรงรักษาโรคทุกอย่าง ให้หายได้ ได้ตรัสกะเราว่า ดูกรโมฆราช ท่านจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า ถอนความเห็นว่าตัวตน เสีย บุคคลพึงข้ามพ้นมัจจุราชไปได้ด้วยอุบายเช่นนี้ ท่านพิจารณา เห็นโลกอย่างนี้ มัจจุราชจึงจะไม่เห็น เราเป็นผู้ไม่มีผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ เป็นภิกษุ พร้อมกับเวลาจบพระคาถา เราเป็น ผู้ถูกโรคเบียดเบียน ถูกเขาว่ากล่าวว่า
 วิหารอย่าเสียหายเสียเลย จึงไม่ได้อยู่ในวิหารของสงฆ์ เรานำเอาผ้ามาจากกองหยากเยื่อ ป่าช้า และหนทาง แล้วทำผ้าสังฆาฏิด้วยผ้าเหล่านี้ ทรงจีวรที่เศร้าหมอง พระผู้นำชั้นพิเศษผู้เป็นนายแพทย์ใหญ่ ทรงพอพระทัยในคุณข้อนั้น ของเรา จึงทรงตั้งเราไว้ในตำแหน่งภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายที่ ทรงจีวรเศร้าหมอง เราสิ้นบุญและบาป หายโรคทุกอย่าง ไม่มี อาสวะ ดับสนิท เหมือนเปลวไฟที่หมดเชื้อ เราเผากิเลสทั้งหลาย แล้ว ...
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
                        ทราบว่า ท่านพระโมฆราชเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ โมฆราชเถราปทาน.
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
                ๑. มหากัจจายนเถราปทาน ๖. พหิยเถราปทาน
                ๒. วักกลิเถราปทาน ๗. มหาโกฏฐิตเถราปทาน
                ๓. มหากัปปินเถราปทาน ๘. อุรุเวลกัสสปเถราปทาน
                ๔. ทัพพมัลลปุตตเถราปทาน ๙. ราธเถราปทาน
                ๕. กุมารกัสสปเถราปทาน ๑๐. โมฆราชเถราปทาน
                ในวรรคนี้ บัณฑิตประมวลคาถาได้ ๓๖๒ คาถา.
จบ กัจจายนวรรคที่ ๕๔.

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก อปทาน ราธเถราปทานที่ ๙ ว่าด้วยบุพจริยาของพระราธเถระ

  
[๑๒๙] ในกัปนับจากภัทรกัปนี้ไปแสนหนึ่ง พระพิชิตมารพระนามว่า ปทุมุตระ ผู้ทรงรู้แจ้งโลกทั้งปวงเป็นนักปราชญ์ มีจักษุได้เสด็จอุบัติ ขึ้นแล้ว พระองค์เป็นผู้ตรัสสอน ทรงแสดงให้สัตว์รู้ชัดได้ ยัง สรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นวัฏสงสาร ทรงฉลาดในเทศนา
 เป็นผู้เบิกบาน ทรงช่วยประชุมชนให้ข้ามพ้นไปเสียเป็นอันมาก พระองค์เป็นผู้ อนุเคราะห์ ประกอบด้วยพระกรุณาแสวงหาประโยชน์ให้สรรพสัตว์ ยังเดียรถีย์ที่มาเฝ้าให้ดำรงอยู่ในเบญจศีลได้ทุกคน เมื่อเป็นเช่นนี้ พระศาสนาจึงไม่มีความอากูลว่างสูญจากเดียรถีย์ วิจิตรด้วยพระ อรหันต์ผู้คงที่ มีความชำนิชำนาญ พระมหามุนี พระองค์นั้นสูง ประมาณ ๕๘ ศอก มีพระฉวีวรรณงามคล้ายทองคำอันล้ำค่า มีพระ ลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ ครั้งนั้น อายุของสัตว์แสนปี พระชินสีห์พระองค์นั้น เมื่อดำรงพระชนม์อยู่โดยกาลประมาณเท่า นั้น ได้ยังประชุมชนเป็นอันมากให้ข้ามพ้นวัฏสงสารไปได้
 ครั้งนั้น เราเป็นพราหมณ์ชาวพระนครหงสวดี ผู้เรียนจบไตรเพท ได้เข้าไป เฝ้าพระผู้มีพระภาค ผู้ประเสริฐกว่านรชน ทรงมีความเพียรใหญ่ ทรงแกล้วกล้าในบริษัท กำลังทรงแต่งตั้งภิกษุผู้มีปฏิภาณไว้ใน ตำแหน่งเอตทัคคะ แล้วได้ฟังพระธรรมเทศนา
 ครั้งนั้น เราทำ สักการะในพระโลกนายกพร้อมทั้งพระสงฆ์ แล้วหมอบศีรษะลง แทบพระบาทปรารถนาฐานันดรนั้น ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ผู้มีพระรัศมีซ่านออกจากพระองค์ ดุจลิ่มทองสิงคี ได้ตรัสกะ เราด้วยพระสุรเสียงอันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดี มีปรกตินำไปซึ่ง มลทินคือกิเลสว่า ท่านจงเป็นผู้มีความสุขมีอายุยืนเถิด ปณิธาน ความปรารถนาของท่านจงสำเร็จเถิด สักการะที่ท่านทำในเรากับ พระสงฆ์ ก็จงมีผลไพบูลย์ยิ่งเถิด ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระศาสดา มีพระนามชื่อว่าโคดมซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จ อุบัติขึ้นในโลก
 พราหมณ์นี้ จักได้เป็นธรรมทายาทของพระศาสดา พระองค์นั้นเป็นโอรสอันธรรมเนรมิต เป็นสาวกของพระศาสดา มีนามชื่อว่าราธะ พระนายกจักทรงแต่งตั้งท่านว่า เป็นผู้เลิศกว่า ภิกษุทั้งหลายผู้มีปฏิภาณ เราได้สดับพุทธพยากรณ์นั้นแล้วก็เป็นผู้ เบิกบาน มีจิตประกอบด้วยเมตตาบำรุงพระพิชิตมารในกาลนั้นตลอด ชีวิต เพราะเราเป็นผู้ประกอบด้วยปัญญา ด้วยกรรมที่เราได้ทำไว้ดี แล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไป สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้เสวยราชสมบัติในเทวโลก ๓๐๐ ครั้ง ได้เป็น พระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ครั้ง และเป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ โดยคณนานับมิได้ เพราะกรรมนั้นนำไปเราจึงเป็นผู้ถึงความสุขใน ทุกภพ
 เมื่อถึงภพสุดท้ายเราเกิดในสกุลที่ยากจนขาดเครื่องนุ่งห่ม และอาหาร ในพระนครราชคฤห์อันอุดม ได้ถวายภิกษาทัพพีหนึ่งแก่ ท่านพระสารีบุตรผู้คงที่ ในเวลาเราแก่เฒ่าเราอาศัยวัดอยู่ ใครๆ ไม่ ยอมบวชให้เราผู้ชราหมดกำลังเรี่ยวแรง เพราะฉะนั้นครั้งนั้น เราผู้ เป็นคนยากเข็ญจึงเป็นผู้ปราศจากผิวพรรณ เศร้าโศก พระมหามุนีผู้ ประกอบด้วยพระมหากรุณาทอดพระเนตรเห็นเข้าจึงตรัสถามเราว่าลูก ไฉนจึงเศร้าโศก จงบอกถึงโรคที่เกิดในจิตของเจ้า เราได้กราบทูล ว่าข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรข้าพระองค์ไม่ได้บวชในศาสนาของ พระองค์ ซึ่งพระองค์ตรัสดีแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงมีความ เศร้าโศก ข้าแต่พระนายก ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่งของข้าพระองค์ ด้วยเถิด
 ครั้งนั้น พระมหามุนีผู้สูงสุดได้รับสั่งให้เรียกภิกษุมาประชุม พร้อมแล้วตรัสถามว่า ผู้ที่นึกถึงอธิการของพราหมณ์นี้ได้มีอยู่ จง บอกมาเวลานั้น พระสารีบุตรได้กราบทูลว่า ข้าพระองค์นึกถึงอธิการ ของเขาได้อยู่ พราหมณ์ผู้นี้ได้ถวายภิกษาทัพพีหนึ่งแก่ข้าพระองค์ผู้ กำลังเที่ยวบิณฑบาต พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีละๆ สารีบุตร เธอเป็นคนกตัญญู เธอจงยังพราหมณ์นี้ให้บวช พราหมณ์ นี้จักเป็นผู้ควรบูชา
 ลำดับนั้นเราได้การบรรพชาและอุปสมบทด้วย กรรมวาจา โดยเวลาไม่นานเลย เราก็ได้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไป แห่งอาสวะเพราะเราเป็นผู้เพลิดเพลิน สดับพระพุทธดำรัสโดย เคารพ ฉะนั้น พระพิชิตมารจึงทรงแต่งตั้งเราว่า เป็นผู้เลิศกว่า ทั้งหลายผู้มีปฏิภาณ เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
                        ทราบว่า ท่านพระราธเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
 จบ ราธเถราปทาน.
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๔. กัจจายวรรค
๙. ราธเถราปทาน
                        ๕๓๙. อรรถกถาราธเถราปทาน         
                        พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๙ ดังต่อไปนี้:- อปทานของท่านพระราธเถระมีคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้. 
                        คำนั้นทั้งหมด วิญญูชนทั้งหลายพึงกำหนดรู้ได้โดยง่ายด้วยการติดตามเนื้อความไปตามลำดับของปาฐะนั่นแล จะต่างกันก็แต่บุญกุศลอย่างเดียวเท่านั้นแล.
จบอรรถกถาราธเถราปทาน

15 พฤศจิกายน 2568

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก อปทาน อุรุเวลกัสสปเถราปทานที่ ๘ ว่าด้วยบุพจริยาของพระอุรุเวลกัสสปเถระ

  
[๑๒๘] ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระพิชิตมารพระนามว่าปทุมุตระ ผู้รู้แจ้ง โลกทั้งปวง เป็นนักปราชญ์มีจักษุ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์ เป็นผู้ตรัสสอน ทรงแสดงให้สัตว์รู้ชัดได้ ยังสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้น วัฏสงสาร ฉลาดในเทศนา เป็นผู้เบิกบาน ทรงช่วยประชุมชนให้ ข้ามพ้นไปเสียเป็นอันมาก
 พระองค์เป็นผู้อนุเคราะห์ประกอบด้วย พระกรุณา แสวงหาประโยชน์ให้สรรพสัตว์ ยังเดียรถีย์ที่มาเฝ้า ให้ดำรงอยู่ในเบญจศีลทุกคน เมื่อเป็นเช่นนี้ พระศาสนาจึงไม่มี ความอากูล ว่างสูญจากเดียรถีย์ วิจิตรด้วยพระอรหันต์ผู้คงที่ มีความชำนิชำนาญ พระมหามุนีพระองค์นั้น สูงประมาณ ๕๘ ศอก มีพระฉวีวรรณงามคล้ายทองคำอันล้ำค่า มีพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ ครั้งนั้น อายุของสัตว์แสนปี พระชินสีห์พระองค์ นั้น เมื่อดำรงพระชนม์อยู่โดยกาลประมาณเท่านั้น ได้ทรงยัง ประชุมชนเป็นอันมากให้ข้ามพ้นวัฏสงสารไปได้ ครั้งนั้นเราเป็น พราหมณ์ชาวเมืองหงสวดี อันชนสมมติว่าเป็นคนประเสริฐ ได้ เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ส่องโลก แล้วสดับพระธรรมเทศนา ครั้งนั้น เราได้ฟังพระผู้มีพระภาคทรงตั้งสาวกของพระองค์ ในตำแหน่งเอต- ทัคคะ ในที่ประชุมใหญ่ ก็ชอบใจจึงนิมนต์พระมหาชินเจ้ากับบริวาร เป็นอันมาก แล้วได้ถวายทานพร้อมกันกับพราหมณ์อีก ๑,๐๐๐ คน ครั้นแล้วเราได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคผู้นายก ยืนอยู่ ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง เป็นผู้ร่าเริง ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ด้วยความเชื่อในพระองค์และด้วยอธิการคุณ ขอให้ข้าพระองค์ผู้เกิด ในภพนั้นๆ มีบริษัทมากเถิด ครั้งนั้น พระศาสดาผู้มีพระสุรเสียง เหมือนคชสารคำรน มีพระสำเนียงเหมือนนกการเวก ได้ตรัสกะ บริษัทว่า จงดูพราหมณ์ผู้นี้ ผู้มีวรรณเหมือนทองคำ แขนใหญ่ ปาก และตาเหมือนดอกบัว มีกายและใจสูงเพราะปีติ ร่าเริง มีความเชื่อ ในคุณของเรา เขาปรารถนาตำแหน่งแห่งภิกษุผู้มีเสียงเหมือนราชสีห์ ในอนาคตกาล เขาจักได้ตำแหน่งนี้สมดังมโนรถปรารถนา ในกัป นับแต่นี้ขึ้นไปหนึ่งแสน พระศาสดามีพระนามชื่อว่าโคดม ซึ่ง สมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พราหมณ์ นี้จักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรม เนรมิต จักเป็นสาวกของพระศาสดา มีนามชื่อว่ากัสสป พระอัคร นายกของโลก พระนามว่าผุสสะ ผู้เป็นพระศาสดาอย่างยอดเยี่ยม หาตัวเปรียบมิได้ ไม่มีใครจะเสมอเหมือน ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ในกัปที่ ๙๒ แต่ภัทรกัปนี้ พระศาสดาพระนามว่าผุสสะพระองค์ นั้นแล ทรงกำจัดความมืดทั้งปวง สางรกชัฏใหญ่ ทรงยังฝนคือ อมตธรรมให้ตกลง ให้มนุษย์และทวยเทพอิ่มหนำ ครั้งนั้น เรา สามคนพี่น้องเป็นราชมหาอำมาตย์ในพระนครพาราณสี ล้วนแต่ เป็นที่ไว้วางพระทัยของพระมหากษัตริย์ รูปร่างองอาจแกล้วกล้า สมบูรณ์ด้วยกำลังไม่พ่ายแพ้ใครเลยในสงคราม ครั้งนั้นพระเจ้า แผ่นดินผู้มีเมืองชายแดนก่อการกำเริบ ได้ตรัสสั่งเราว่า ท่าน ทั้งหลายจงไปชนบทชายแดน พวกท่านจงยังกำลังของแผ่นดินให้ เรียบร้อย ทำแว่นแคว้นของเราให้เกษม แล้วกลับมาเถิด ลำดับ นั้นเราได้กราบทูลว่า ถ้าพระองค์จะพึงพระราชทานพระนายกเจ้า เพื่อให้ข้าพระองค์ทั้งหลายอุปัฏฐากไซร้ ข้าพระองค์ทั้งหลายก็จัก ทำกิจของพระองค์ให้สำเร็จ ลำดับนั้น เราผู้ได้รับพระราชทานพร สมเด็จพระภูมิบาลส่งไปทำชนบทชายแดน ให้วางอาวุธแล้วกลับ มายังพระนครนั้น เราทูลขอการอุปัฏฐากพระศาสดาแด่พระราชา ได้พระศาสดาผู้เป็นนายกของโลกผู้ประเสริฐกว่ามุนีแล้ว ได้บูชา พระองค์ตราบเท่าสิ้นชีวิต เราทั้งหลายเป็นผู้มีศีลประกอบด้วย กรุณา มีใจประกอบด้วยภาวนา ได้ถวายผ้ามีค่ามาก ภัตมีรสอันประณีต เสนาสนะอันน่ารื่นรมย์ และเภสัชที่เป็นประโยชน์ที่ตนให้เกิดขึ้น โดยชอบธรรมแก่พระมุนีพร้อมทั้งพระสงฆ์ อุปัฏฐากพระองค์ด้วย จิตเมตตาตลอดกาล ครั้นพระศาสดาผู้เลิศพระองค์นั้นเสด็จนิพพาน แล้ว เราได้ทำการบูชาตามกำลัง เราทุกคนจุติจากอัตภาพนั้น แล้ว ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เสวยมหันตสุขในดาวดึงส์นั้น นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา เมื่อเรากำลังท่องเที่ยวอยู่ในภพเป็นเหมือน นายช่างดอกไม้ ได้ดอกไม้แล้วแสดงชนิดแห่งดอกไม้แปลกๆ มากมาย ฉะนั้น ได้เกิดเป็นพระเจ้าวิเทหราช เพราะถ้อย คำของคุณอเจลก เราจึงมีอัธยาศัยอันมิจฉาทิฏฐิกำจัดแล้วขึ้นสู่ทาง นรก ไม่เอื้อเฟื้อโอวาทของธิดาเราผู้ชื่อว่ารุจา เมื่อถูกพรหมนารทะ สั่งสอนเสียมากมาย จึงละความเห็นที่ชั่วช้าเสียได้ บำเพ็ญกุศล กรรมบถ ๑๐ ให้บริบูรณ์โดยพิเศษ ละทิ้งร่างกายแล้วได้ไปสวรรค์ เหมือนไปที่อยู่ของตัว ฉะนั้น เมื่อถึงภพสุดท้ายเราเป็นบุตรของ พราหมณ์ เกิดในสกุลที่สมบูรณ์ในพระนครพาราณสี เรากลัวต่อ ความตาย ความเจ็บไข้และความแก่ชราจึงเข้าป่าใหญ่ แสวงหาหน ทางนิพพาน ได้บวชในสำนักของชฎิล ครั้งนั้น น้องชายทั้งสอง ของเรา ก็ได้บวชพร้อมกับเรา เราได้สร้างอาศรมอาศัยอยู่ที่ตำบล อุรุเวลา เรามีนามตามโคตรว่ากัสสป แต่เพราะอาศัยอยู่ที่ตำบลอุรุ เวลา เราจึงมีนามบัญญัติว่า อุรุเวลกัสสป เพราะน้องชายของเรา อาศัยอยู่ที่ชายแม่น้ำ เขาจึงได้นามว่านทีกัสสป เพราะน้องชาย ของเรา อีกคนหนึ่ง อาศัยอยู่ที่ตำบลคยา เขาจึงถูกประกาศนามว่า คยากัสสป น้องชายคนเล็กมีศิษย์ ๒๐๐ คน น้องชายกลางมี ๓๐๐ คน เรามี ๕๐๐ ถ้วน ศิษย์ทุกคนล้วนแต่ประพฤติตามเรา ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าผู้เลิศในโลกเป็นสารถีฝึกนรชนได้เสด็จมาหาเรา ทรงทำ ปาฏิหาริย์ต่างๆ แก่เราแล้วทรงแนะนำ เรากับบริวารพันหนึ่งได้ อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ ได้บรรลุอรหัตพร้อมกับภิกษุเหล่านั้นทุก                           องค์ ภิกษุเหล่านั้นและภิกษุพวกอื่นเป็นอันมาก แวดล้อมเราเป็น                           ยศบริวาร และเราก็สามารถที่จะสั่งสอนได้ เพราะฉะนั้นพระผู้มี พระภาคผู้สูงสุด จึงทรงตั้งเราไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะความเป็นผู้มี บริษัทมาก โอ สักการะที่ได้ทำไว้ในพระพุทธเจ้าได้ก่อให้เกิดสิ่งที่ มีผลต่อเราแล้ว เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... 
                        พระพุทธศาสนาเราได้ ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. 
                        ทราบว่า ท่านพระอุรุเวลกัสสปเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
 จบ อุรุเวลกัสสปเถราปทาน.
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๔. กัจจายวรรค
๘. อุรุเวลกัสสปเถราปทาน
         ๕๓๘. อรรถกถาอุรุเวลกัสสปเถราปทาน         
         พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๘ ดังต่อไปนี้ :- 
         อปทานของท่านพระอุรุเวลกัสสปเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้. 
         แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ. 
         ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านบังเกิดในเรือนอันมีสกุล เจริญวัยแล้ว ได้ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา ได้มองเห็นภิกษุรูปหนึ่งซึ่งพระศาสดาทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้มีบริวารมาก แม้ตนเองก็ปรารถนาตำแหน่งนั้น ได้ถวายมหาทาน กระทำปณิธานไว้แล้ว. 
         และพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นว่าเขาไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล ในพระศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้า เขาจักเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้มีบริวารมาก. 
         เขากระทำบุญไว้ในภพนั้นเป็นอันมากจนตลอดอายุ จุติจากอัตภาพนั้นแล้วท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในที่สุด ๙๒ กัปแต่กัปนี้ ได้บังเกิดเป็นพระกนิษฐภาดาต่างพระมารดาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าผุสสะ เขาได้มีกนิฏฐภาดา ๒ คนแม้เหล่าอื่น. 
         คน ๓ คนเหล่านั้นได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข บูชาด้วยเครื่องบูชาอย่างยอดเยี่ยมได้กระทำกุศลไว้จนตลอดชีวิตแล้วท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ได้บังเกิดเป็นพี่น้องกัน ๓ คนในตระกูลพราหมณ์ ในกรุงพาราณสี ก่อนหน้าที่พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายทรงอุบัติขึ้นทีเดียว 
         ทั้ง ๓ คนได้มีชื่ออย่างนี้ว่ากัสสปะ ด้วยอำนาจแห่งโคตร. คนทั้ง ๓ คนเหล่านั้นเจริญวัยแล้วก็ได้เล่าเรียนจบไตรเพท. 
         บรรดาคนทั้ง ๓ เหล่านั้น คนพี่ชายใหญ่มีบริวาร ๕๐๐ คน คนกลางมีบริวาร ๓๐๐ คน คนน้องเล็กมีบริวาร ๒๐๐ คน. คนทั้ง ๓ นั้นตรวจดูสารถประโยชน์ในคัมภีร์ทั้งหมดของตน ได้เห็นแต่เพียงประโยชน์ปัจจุบันเท่านั้น จึงพากันยินดีการบวช. 
         บรรดาพี่น้อง ๓ คนนั้น คนพี่ใหญ่ได้ไปยังตำบลอุรุเวลาพร้อมกับบริวารของตน บวชเป็นฤๅษี ได้ปรากฏชื่อว่าอุรุเวลกัสสปะ. คนกลางบวชอยู่ที่ทางโค้งแม่น้ำคงคา ปรากฏชื่อว่านทีกัสสปะ. คนเล็กบวชอยู่ที่คยาสีสะได้ปรากฏชื่อว่าคยากัสสปะ. 
         เมื่อพี่น้อง ๓ คนนั้นได้บวชเป็นฤๅษีอย่างนั้น ต่างก็อยู่กันในที่นั้นๆ โดยล่วงไปได้หลายวัน. 
         พระโพธิสัตว์ของพวกเราได้เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ทรงประกาศธรรมจักรให้เป็นไปแล้วโดยลำดับ ทรงให้พระเถระปัญจวัคคีย์ ดำรงอยู่แล้วในพระอรหัต ทรงแนะนำคน ๕๕ คนซึ่งเป็นสหายกันอันมียสกุลบุตรเป็นหัวหน้า (ให้ดำรงอยู่ในพระอรหัต) ทรงส่งพระอรหันต์ ๖๐ องค์ไปด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริกไปเถิด ดังนี้แล้ว ทรงแนะนำพวกภิกษุภัททวัคคีย์ ๓๐ รูป แล้วได้เสด็จไปยังที่อยู่ของอุรุเวลกัสสปะ เสด็จเข้าไปยังโรงไฟเพื่อพักอาศัย ณ ที่นั้น ได้ทรงแนะนำอุรุเวลกัสสปะพร้อมทั้งบริวาร ด้วยปาฏิหาริย์ ๓,๕๐๐ มีการทรมานนาคเป็นต้นเสร็จแล้ว จึงให้เขาได้บรรพชา. 
         วิธีการบรรพชาของอุรุเวลกัสสปะนั้นและการกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ทั้งหมดจักมีแจ่มแจ้งในอรรถกถาอปทานของท่านนทีกัสสปะแล. 
         แม้ถึงพี่น้องที่เหลืออีก ๒ คนนอนกนี้ พอได้ทราบข่าวว่าอุรุเวลกัสสปะผู้พี่ใหญ่นั้นบวชแล้ว ต่างก็พร้อมด้วยบริวาร พากันมาบวชในสำนักของพระศาสดาแล้ว. พี่น้อง ๓ คนทั้งหมดนั้นทรงบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ ได้เป็นเอหิภิกขุแล้ว. พระศาสดาทรงพาสมณะ ๑,๐๐๐ องค์นั้น เสด็จไปยังคยาสีสะ ประทับนั่งบนแผ่นหิน ทรงให้สมณะทั้งหมดนั้นดำรงอยู่ในพระอรหัต ด้วยพระอาทิตตปริยายเทศนา. 
         พระอุรุเวลกัสสปะนั้นพอได้บรรลุพระอรหัตแล้วอย่างนั้น เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อนของตน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้. 
         ข้าพเจ้าจักพรรณนาเฉพาะบทที่ยากเท่านั้นแล. 
         บทว่า โส จ สฬพํ ตมํ หนฺตฺวา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าผุสสะ พระองค์นั้นทรงกำจัดได้แล้วซึ่ง มหาชฏํ ความว่า สะสาง ทำลายล้างผลาญชัฏเครื่องยุ่งกันใหญ่ ด้วยหมู่แห่งกิเลส ๑,๕๐๐ มีตัณหาและมานะเป็นต้น. 
         มีวาจาประกอบความว่า 
         ทำเทวโลกคือโลกสันนิวาสทั้งสิ้นให้ยินดี ให้อิ่มใจ ให้ชุ่มใจอยู่ ยังฝนคืออมตะมหานิพพานให้ตกลงไหลเอิบอาบแล. 
         บทว่า ตทา หิ พาราณสิยํ มีอรรถวิเคราะห์ว่า 
         คำว่า พารส แปลว่า ๑๒ ดุจในประโยคเป็นต้นว่า มนุษย์ ๑๒ คน เมืองที่มี ๑๒ ราศี ฤๅษีจากหิมวันตประเทศ และฤๅษีคือพระปัจเจกมุนีมาจากภูเขาคันธมาทน์โดยทางอากาศ ย่อมพากันไป คือหยั่งลง ได้แก่ย่อมเข้าไปในเมืองที่มี ๑๒ ราศีนั้น เหตุนั้น เมืองนั้นจึงชื่อว่าพาราณสี. 
         อีกความหมายหนึ่งว่า สถานที่อันบุคคลคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลายแสนพระองค์ทรงหยั่งลงเพื่อประกาศพระธรรมจักรให้เป็นไปทั่ว. 
         บัณฑิตเรียกกันว่าพาราณสี ด้วยอำนาจทางศัพท์เป็นอิตถีลิงค์ เพราะว่า นครศัพท์ให้เป็นลิงควิปลาส. ในพระนครพาราณสีนั้น. 
         บทว่า นิกฺขิตฺตสตฺถํ ปจฺจนฺตํ ความว่า ทำปัจจันตชนบทให้ทิ้งศัสตรา ให้วางอาวุธ ให้สิ้นพยศ. 
         บทว่า กตฺวา ปุนรุปจิจ ตํ ความว่า แล้วกลับเข้ามาถึงยังพระนครนั้นอีก. 
         คำที่เหลือมีเนื้อความพอที่จะกำหนดรู้ได้โดยง่ายทีเดียวแล.
จบอรรถกถาอุรุเวลกัสสปเถราปทาน

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก อปทาน มหาโกฏฐิตเถราปทานที่ ๗ ว่าด้วยบุพจริยาของพระมหาโกฏฐิตเถระ

  
 [๑๒๗] ในกัปนับจากภัทรกัปนี้ไปแสนหนึ่ง พระพิชิตมารพระนามว่า ปทุมุตระ ผู้รู้แจ้งโลกทั้งปวง เป็นมุนีจักษุ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์ตรัสสอน ทรงแสดงให้สัตว์รู้ชัดได้ ทรงยังสรรพสัตว์ให้ ข้ามวัฏสงสาร ทรงฉลาดในเทศนา เป็นผู้เบิกบาน ทรงช่วยให้ ประชุมชนข้ามพ้นไปเสียเป็นอันมาก
 พระองค์เป็นผู้อนุเคราะห์ ประกอบด้วยพระกรุณา แสวงหาประโยชน์ให้สรรพสัตว์ ยัง เดียรถีย์ที่มาเฝ้าให้ดำรงอยู่ในเบญจศีลได้ทุกคน เมื่อเป็นเช่นนี้ พระศาสนา จึงไม่มีความอากูล ว่างสูญจากเดียรถีย์ วิจิตรด้วย พระอรหันต์ผู้คงที่ มีความชำนิชำนาญ พระมหามุนีพระองค์นั้น สูงประมาณ ๕๘ ศอก พระฉวีวรรณงามคล้ายทองคำอันล้ำค่า มี พระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ ครั้งนั้น อายุของสัตว์แสนปี พระชินสีห์พระองค์นั้น เมื่อดำรงพระชนม์อยู่โดยกาลประมาณ เท่านั้น ได้ทรงยังประชุมชนเป็นอันมากให้ข้ามพ้นวัฏสงสารไปได้
 ครั้งนั้น เราเป็นพราหมณ์ผู้เรียนจบไตรเพท ชาวพระนครหงสวดี ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้เลิศกว่าโลกทั้งปวง แล้วสดับพระธรรม- เทศนา ครั้งนั้น พระธีรเจ้าพระองค์นั้น ทรงตั้งสาวกผู้แตกฉานใน ปฏิสัมภิทา ฉลาดในอรรถ ธรรม นิรุตติ และปฏิภาณ ในตำแหน่ง เอตทัคคะ เราได้ฟังดังนั้นแล้วก็ชอบใจ จึงได้นิมนต์พระชินวรเจ้า พร้อมด้วยพระสาวกให้เสวยและฉันถึง ๗ วัน ในกาลนั้น เรายัง พระพุทธเจ้าผู้เปรียบด้วยสาคร พร้อมทั้งพระสาวก ให้ครองผ้าแล้ว หมอบลงแทบเท้าบาทมูล ปรารถนาฐานันดรนั้น
 ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าผู้เลิศกว่าโลกได้ตรัสว่า จงดูพราหมณ์ผู้สูงสุดที่หมอบอยู่ แทบเท้าผู้นี้ มีรัศมีเหมือนกลีบดอกบัว พราหมณ์นี้ปรารถนา ตำแหน่งแห่งภิกษุผู้แตกฉาน ซึ่งเป็นตำแหน่งประเสริฐสุด เพราะ การบริจาคทานด้วยศรัทธานั้น และเพราะการสดับพระธรรมเทศนา พราหมณ์นี้จักเป็นผู้ถึงสุขในทุกภพ เที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ จักได้สมมโนรถเช่นนี้ ในกัปนับแต่นี้ขึ้นไปแสนหนึ่ง พระศาสดามี พระนามชื่อว่าโคดม ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จ อุบัติขึ้นในโลก พราหมณ์นี้จักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดา พระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรมเนรมิต เป็นสาวกของพระศาสดา มีนามชื่อว่า โกฏฐิตะ เราได้ฟังพระพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว เป็นผู้ เบิกบาน มีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระชินสีห์เจ้าตราบเท่า สิ้นชีวิตในครั้งนั้น เพราะเราเป็นผู้ประกอบด้วยปัญญา เพราะผล กรรมนั้นและเพราะการตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไป สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เราได้เสวยราชสมบัติ ในเทวโลก ๓๐๐ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ครั้ง
 และได้เป็นพระเจ้าประเทศราช อันไพบูลย์โดยคณนานับมิได้ เพราะกรรมนั้นนำไป เราจึงเป็นผู้ถึง ความสุขในทุกภพ เราท่องเที่ยวไปแต่ในสองภพ คือในเทวดาและ มนุษย์ คติอื่นเราไม่รู้จัก นี้เป็นผลแห่งกรรมที่สั่งสมไว้ดี เราเกิดแต่ ในสองสกุล คือสกุลกษัตริย์ และสกุลพราหมณ์ หาเกิดในสกุล อันต่ำทรามไม่นี้ เป็นผลแห่งกรรมที่สั่งสมไว้ดี เมื่อถึงภพสุดท้าย เราเป็นบุตรของพราหมณ์ เกิดในสกุลที่มีทรัพย์สมบัติมาก ใน พระนครสาวัตถี 
 มารดาของเราชื่อจันทวดี บิดาชื่ออัสสลายนะ ใน คราวที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำบิดาเรา เพื่อความบริสุทธิ์ทุกอย่าง เราเลื่อมใสในพระสุคตเจ้า ได้ออกบวชเป็นบรรพชิต พระโมค- คัลลานะ เป็นอาจารย์ พระสารีบุตรเป็นอุปัชฌาย์ เราตัดทิฏฐิ พร้อมด้วยมูลรากเสียได้ในเมื่อกำลังปลงผม และเมื่อกำลังนุ่งผ้ากาสาวะ ก็ได้บรรลุอรหัต เรามีปรีชาแตกฉานในอรรถ ธรรม นิรุตติ และปฏิภาณ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคผู้เลิศกว่าโลก จึงทรงตั้งเราไว้ ในตำแหน่งเอตทัคคะ เราอันท่านพระอุปติสสะไต่ถามในปฏิสัมภิทา ก็แก้ได้ไม่ขัดข้อง ฉะนั้น เราจึงเป็นผู้เลิศในพระพุทธศาสนา เรา เผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. 
                        ทราบว่า ท่านพระมหาโกฏฐิตเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. 
จบ พระมหาโกฏฐิตเถราปทาน.
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๔. กัจจายวรรค
๗. มหาโกฏฐิตเถราปทาน
               ๕๓๗. อรรถกถามหาโกฏฐิกเถราปทาน         
               ๑- บาลีเป็น มหาโกฏฐิตเถราปทาน 
               พึงทราบเรื่องราวอปทานที่ ๗ ดังต่อไปนี้ :- 
               อปทานของท่านพระมหาโกฏฐิกเถระมีคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้. 
               มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร? 
               แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ. 
               ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในตระกูลที่มีโภคะมากในหังสวดีนคร บรรลุนิติภาวะแล้ว พอมารดาบิดาล่วงลับไปแล้ว ดำรงตำแหน่งกุฎุมพีอยู่ครองฆราวาส. 
         วันหนึ่งในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระทรงแสดงธรรม เขาได้มองเห็นชาวหังสวดีนคร ถือของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น ซึ่งกำลังนอบน้อม ค้อมกายไปในที่เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมกับคนเหล่านั้นด้วย ได้เห็นภิกษุรูปหนึ่งซึ่งพระศาสดาทรงสถาปนาเธอไว้ ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้บรรลุปฏิสัมภิทาจึงคิดว่า ภิกษุรูปนี้ เยี่ยมยอดกว่าพวกภิกษุผู้บรรลุปฏิสัมภิทาในพระศาสนานี้ ถ้าแม้ไฉนเราพึงเป็นผู้ยอดเยี่ยม กว่าพวกภิกษุผู้บรรลุปฏิสัมภิทาเหมือนดังภิกษุรูปนี้บ้าง ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง ดังนี้ 
               ในเวลาจบเทศนาของพระศาสดา เมื่อบริษัทลุกไปแล้ว จึงเข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วกราบทูลนิมนต์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พรุ่งนี้ขอนิมนต์รับภิกษาที่เรือนของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า. 
               พระศาสดาทรงรับนิมนต์แล้ว. 
         เขาถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ทำประทักษิณแล้ว กลับไปยังเรือนของตน เอาของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น ประดับที่ที่ประทับนั่งของพระพุทธเจ้า และที่นั่งของภิกษุสงฆ์ตลอดทั้งคืนยังรุ่งแล้ว ให้คนจัดแจงขาทนียะและโภชนียะ ณ ที่อยู่ของตน พอล่วงราตรีนั้นไป ได้นิมนต์พระศาสดาซึ่งมีภิกษุแสนรูปเป็นบริวารให้ฉันข้าวสาลีอันมีกลิ่นหอม พร้อมทั้งสูปะและพยัญชนะ อันเป็นบริวารของยาคูและของเคี้ยวนานาชนิด ในเวลาเสร็จภัตรกิจ คิดว่า เราจะขอปรารถนาตำแหน่งให้ยิ่งใหญ่แล แต่เราไม่ควรถวายทานเพียงวันเดียวเท่านั้น ควรถวายทานตลอด ๗ วันตามลำดับเพื่อปรารถนาตำแหน่งนั้น แล้วจักปรารถนา. 
         เขาได้ถวายมหาทานตลอด ๗ วัน โดยทำนองนั้นนั่นแล ในเวลาเสร็จภัตรกิจ ให้คนเปิดโรงเก็บผ้าแล้ว วางผ้าเนื้อละเอียดชั้นเยี่ยมซึ่งเพียงพอทำเป็นไตรจีวรได้ ณ ที่บาทมูลของพระพุทธเจ้า และได้ถวายไตรจีวรแก่ภิกษุแสนรูปแล้ว เข้าไปใกล้พระตถาคตเจ้า หมอบลงที่บาทมูลของพระศาสดาแล้วตั้งความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุรูปใดที่พระองค์ทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ปฏิสัมภิทาในวันที่ ๗ นับแต่วันนี้ แม้ข้าพระองค์ก็พึงเป็นเหมือนภิกษุรูปนั้นบ้าง คือขอให้ได้บวชในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้จะทรงอุบัติในอนาคตกาลแล้ว พึงเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้บรรลุปฏิสัมภิทาเถิด. 
               พระศาสดาทรงทราบถึงความสำเร็จของเขา จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาลคือในที่สุดแห่งแสนกัปแต่นี้ไป พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม จักทรงอุบัติขึ้นในโลก ความปรารถนาของเธอจักสำเร็จในพระศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล. 
               เขากระทำบุญไว้ในที่นั้นเป็นอันมากจนตลอดอายุ จุติจากอัตภาพนั้นแล้วได้เสวยเทวสมบัติวนเวียนอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก. เขาท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลกอย่างนั้น ได้รวบรวมสั่งสมบุญสมภารไว้ในภพนั้นๆ. 
               ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาลในกรุงสาวัตถี. มารดาบิดาได้ตั้งชื่อเขาว่าโกฏฐิกะ. 
               หากจะมีคำถามว่า ทำไม่ไม่ตั้งชื่อตามมารดา หรือตามฝ่ายญาติมีปู่ ตาเป็นต้น เพราะเหตุไรจึงพากันตั้งชื่ออย่างนั้นเล่า. 
               บัณฑิตพึงทราบคำตอบว่า มารดาบิดาได้ตั้งชื่อเขาตามความหมายว่า เป็นผู้ทำชนที่ตนเห็นแล้ว เห็นแล้วให้หลบซ่อน เที่ยวเจาะแทงด้วยหอกคือปาก เพราะว่าตนเป็นผู้ฉลาด ในเวทางคศาสตร์ ในตักกศาสตร์ของตนและของผู้อื่น ในนิฆัณฑุศาสตร์ เกฏุภศาสตร์ของตน ในประเภทแห่งอักษรสมัยของตน และในการพยากรณ์ทั้งหมดแล. 
         เขาเจริญวัยแล้วเล่าเรียนไตรเพทจนถึงความสำเร็จในศิลปของพราหมณ์ วันหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระศาสดาฟังธรรมแล้ว ได้มีศรัทธาบวช ตั้งแต่เวลาได้อุปสมบทแล้ว ก็บำเพ็ญวิปัสสนากัมมัฏฐาน ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔ เป็นผู้เชี่ยวชาญในการประพฤติในปฏิสัมภิทา ไม่กลัวแม้เข้าไปหาพระมหาเถระก็ถามปัญหา เข้าไปเฝ้าพระทศพลแล้วก็ยังถามปัญหาในปฏิสัมภิทา ๔ นั่นแล. 
               พระเถระรูปนี้กลายเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้บรรลุปฏิสัมภิทาได้ ก็เพราะท่านได้สั่งสมบุญไว้ในปฏิสัมภิทานั้น และเพราะท่านชำนาญในการประพฤติปฏิสัมภิทานั้น. 
               ลำดับนั้น พระศาสดาได้ทรงกระทำมหาเวทัลลสูตรให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุแล้ว ทรงสถาปนาท่านไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้บรรลุปฏิสัมภิทา และตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาโกฏฐิกะนี้เป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้บรรลุปฏิสัมภิทาแล. 
               สมัยต่อมา ท่านเมื่อได้เสวยความสุขอันเกิดแต่วิมุตติ เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อนของตน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้. 
               คำนั้นทั้งหมดมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังแล. 
               คำว่า สุทํ ในบทว่า อิตถํ สุทมายมฺมา มหาโกฏฺฐิโก นี้เป็นนิบาตใช้ลงในการชี้แจงแสดงตัวอย่าง. 
               คำว่า อายสฺมา เป็นคำเรียกโดยความเคารพอย่างยิ่ง เหมือนดังคำว่า อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ดังนี้แล.
จบอรรถกถามหาโกฏฐิกเถราปทาน

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก อปทาน พาหิยเถราปทานที่ ๖ ว่าด้วยบุพจริยาของพระพาหิยเถระ

  
               [๑๒๖] ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระผู้มีพระภาคผู้นายกมีพระรัศมีใหญ่ เลิศกว่าไตรโลก มีพระนามชื่อว่าปทุมุตระ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
               เมื่อพระมุนี ตรัสสรรเสริญคุณของภิกษุผู้ตรัสรู้ได้เร็วพลันอยู่ เรา ได้ฟังแล้วก็ชอบใจ จึงได้ทำสักการะแด่พระผู้มีพระภาคผู้แสวงหา คุณอันใหญ่ ถวายทานแด่พระมหามุนีพร้อมด้วยพระสาวกตลอด ๗ วัน ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้าแล้ว ปรารถนาฐานันดรในกาล นั้น
 ลำดับนั้น พระสัมพุทธเจ้าได้ทรงพยากรณ์เราว่า จงดูพราหมณ์ ที่หมอบอยู่แทบเท้าของเรานี้ ผู้สมบูรณ์ด้วยโสมนัส มีผิวพรรณ เหมือนเด็กอายุ ๑๖ ปี มีร่างกายอันบุญกรรมสร้างสรรให้คล้าย ทองคำ ผุดผ่อง ผิวบาง ริมฝีปากแดง เหมือนผลตำลึงสุก มี ฟันขาวคมเรียบเสมอ มากด้วยกำลังคือคุณ มีกายและใจสูงเพราะ โสมนัส เป็นบ่อเกิดแห่งกระแสน้ำ คือคุณ มีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ด้วยปีติ เขาปรารถนาตำแหน่งแห่งภิกษุผู้ตรัสรู้ได้โดยเร็วพลัน พระมหาวีรเจ้าพระนามว่าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้นในอนาคตกาล เขา จักเป็นธรรมทายาทของพระมหาวีรเจ้าพระองค์นั้น เป็นโอรสอัน ธรรมเนรมิต จักได้เป็นสาวกของพระศาสดา มีนามชื่อว่าพาหิยะ ก็ครั้งนั้น เราเป็นผู้ยินดี หมั่นกระทำสักการะพระมหามุนีเจ้า ตราบเท่าสิ้นชีวิต จุติแล้วได้ไปสวรรค์ ดุจไปที่อยู่ของตน ฉะนั้น เราจะเป็นเทวดาหรือมนุษย์ย่อมเป็นผู้ถึงความสุข เพราะกรรมนั้น ชักนำไป เราจึงได้ท่องเที่ยวไปเสวยราชสมบัติ
 เมื่อพระศาสนาของ พระกัสสปธีรเจ้าเสื่อมไปแล้ว เราได้ขึ้นสู่ภูเขาอันล้วนแล้วด้วยหิน บำเพ็ญเพียรตามคำสอนของพระชินสีห์ เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ มี ปัญญา ทำกิจพระศาสนาของพระชินสีห์ เรา ๕ คนด้วยกัน จุติจาก อัตตภาพนั้นแล้วไปสู่เทวโลก เราเกิดเป็นบุรุษชื่อพาหิยะ ในภารุ กัจฉนคร อันเป็นเมืองอุดม ภายหลังได้แล่นเรือไปยังสมุทรสาคร ซึ่งมีความสำเร็จเพียงเล็กน้อย ไปได้ ๒-๓ วัน เรือก็อัปปาง ครั้งนั้น เราตกลงไปยังมหาสมุทร อันเป็นที่อยู่แห่งมังกรร้ายกาจ น่าหวาดเสียว
 ครั้งนั้น เราพยายามว่ายข้ามทะเลใหญ่ไปถึงท่าสุป- ปารกะ มีคนรู้จักน้อย เรานุ่งผ้าครองเข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต ครั้งนั้น หมู่ชนเป็นผู้ยินดีกล่าวว่านี้พระอรหันต์ท่านมาที่นี่ พวกเราสักการะ พระอรหันต์ด้วยข้าว น้ำ ผ้า ที่นอนและเภสัชแล้วจักถึงความสุข ครั้งนั้น เราได้ปัจจัยอันเขาสักการะบูชา ด้วยปัจจัยเหล่านั้น เกิด ความดำริโดยไม่แยบคายขึ้นว่า เราเป็นพระอรหันต์ ทีนั้น บุรพเทวดา รู้วาระจิตของเรา จึงตักเตือนว่า ท่านหารู้ช่องทางแห่งอุบายไม่ ที่ไหนจะเป็นพระอรหันต์เล่า ครั้งนั้น เราอันเทวดานั้นตักเตือน แล้วสลดใจ จึงสอบถามเทวดานั้นว่า พระอรหันต์ผู้ประเสริฐกว่า นรชนในโลกนี้ คือใคร อยู่ที่ไหน เทวดานั้นบอกว่า พระพิชิตมารผู้มีพระปัญญามาก ประเสริฐ มีปัญญาเสมือน แผ่นดิน ประทับอยู่ที่นครสาวัตถีแคว้นโกศล พระองค์ เป็นโอรสของพระเจ้าศากยะ เป็นพระอรหันต์ไม่มีอาสวะ
 ทรงแสดงธรรมเพื่อบรรลุอรหัตฯ เราได้สดับคำของเทวดา นั้นแล้ว อิ่มใจเหมือนคนกำพร้าได้ขุมทรัพย์ ถึงความ อัศจรรย์ เบิกบานใจที่จะได้พบพระอรหันต์อันอุดม เห็น งาม พึงใจ มีอารมณ์ ไม่มีที่สุด ครั้งนั้น เราออกจากที่ นั้นไป ด้วยตั้งใจว่า เมื่อเราชนะกิเลสได้ ก็จะได้เห็น พระพักตร์อันปราศจากมลทิน ของพระศาสดาทุกทิพาราตรี กาล เราไปถึงแคว้นอันน่ารื่นรมย์นั้นแล้ว ได้ถาม พวกพราหมณ์ว่า พระศาสดาผู้ยังโลกให้ยินดี ประทับอยู่ ที่ไหน ครั้งนั้น พราหมณ์ทั้งหลายตอบว่า พระศาสดา อันนรชนและทวยเทพถวายวันทนาเสด็จเข้าไปสู่บุรีเพื่อทรง แสวงหาพระกระยาหารแล้ว พระองค์ก็คงเสด็จกลับมา ท่านขวนขวายที่จะเข้าเฝ้าพระมุนีเจ้า ก็จงรีบเข้าไปถวาย บังคมพระองค์ผู้เป็นเอกอัครบุคคลนั้นเถิด
 ลำดับนั้น เรารีบไปยังเมืองสาวัตถีบุรีอันอุดม ได้พบพระองค์ผู้ไม่ กำหนัดในอาหาร ไม่ทรงมุ่งด้วยความโลภ ทรงยังอมตธรรมให้                           โชติช่วง อยู่ ณ พระนครนี้ ประหนึ่งว่าเป็นที่อยู่ของศิริ พระ- พักตร์โชติช่วงเหมือนรัศมีพระอาทิตย์ ทรงถือบาตรกำลังเสด็จโคจร บิณฑบาตอยู่ ครั้นพบพระองค์แล้ว เราจึงได้หมอบลงแล้ว                           กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดม ขอพระองค์โปรดเป็นที่พึ่งของข้า พระองค์ผู้เสียหายไปในทางที่น่าเกลียดด้วยเถิด พระมุนีผู้สูงสุด                           ได้ตรัสว่า เรากำลังเที่ยวบิณฑบาต เพื่อประโยชน์แก่การยังสัตว์                           ให้ข้ามพ้น เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะแสดงธรรมแก่ท่าน
                         ครั้งนั้น เราปรารถนาได้ธรรมนัก จึงได้ทูลอ้อนวอนพระพุทธเจ้าบ่อยๆ พระองค์ ได้ตรัสพระธรรมเทศนาสุญญตบทอันลึกซึ้งแก่เรา เราได้สดับธรรม ของพระองค์แล้ว โอ เราเป็นผู้อันพระศาสดาทรงอนุเคราะห์ เราเผา กิเลสทั้งหลายแล้ว ...
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
 พระพาหิยทารุจิริยเถระผู้ล้มลงที่กองหยากเยื่อ เพราะแม่โคภูตผีมอง ไม่เห็นตัวขวิดเอา ได้กล่าวพยากรณ์ด้วยประการดังกล่าวฉะนี้ พระเถระผู้มีปรีชามาก เป็นนักปราชญ์ ครั้นกล่าวบุรพจริตของตน แล้ว ท่านปรินิพพาน ณ พระนครสาวัตถี เมืองอุดมสมบูรณ์ สมเด็จพระฤาษีผู้สูงสุดเสด็จออกจากพระนคร ทอดพระเนตรเห็น ท่านพระพาหิยะผู้นุ่งผ้าคากรองนั้น ผู้เป็นนักปราชญ์ มีความเร่าร้อน อันลอยเสียแล้ว ล้มลงที่ภูมิภาค ดุจเสาคันธงถูกลมล้มลง ฉะนั้น หมดอายุ กิเลสแห้ง ทำกิจพระศาสนาของพระชินสีห์เสร็จแล้ว
 ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสเรียกพระสาวกทั้งหลาย ผู้ยินดีในพระ- ศาสนามาสั่งว่า ท่านทั้งหลายจงช่วยกันจับร่างของเพื่อนสพรหมจารี แล้วเผาเสีย จงสร้างสถูปบูชา เขาเป็นคนมีปรีชามาก นิพพานแล้ว สาวกผู้ทำตามคำของเราผู้นี้ เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายที่ตรัสรู้ได้เร็ว พลัน คาถาแม้ตั้งพัน ถ้าประกอบด้วยบทที่แสดงความฉิบหายมิใช่ ประโยชน์ไซร้ คาถาบทเดียวที่บุคคลฟังแล้วสงบระงับได้ ก็ ประเสริฐกว่า น้ำ ดิน ไฟ และ ลม ไม่ตั้งอยู่ในนิพพานใด ในนิพพานนั้น บุญกุศลส่องไปไม่ถึง พระอาทิตย์ส่องแสงไม่ถึง พระจันทร์ก็ส่องแสงไม่ถึง ความมืดก็ไม่มี
                         อนึ่ง เมื่อใด พราหมณ์ ผู้ชื่อว่ามุนีเพราะความเป็นผู้นิ่ง รู้จริงด้วยตนเองแล้ว เมื่อนั้นเขา ย่อมพ้นจากรูป อรูป สุขและทุกข์ พระโลกนาถผู้เป็นมุนี เป็นที่ นับถือของโลกทั้งสาม ได้ภาษิตไว้ด้วยประการดังกล่าวฉะนี้แล.
                         ทราบว่า ท่านพระพาหิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ ฉะนี้แล.
 จบ พาหิยเถราปทาน.
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๔. กัจจายวรรค
๖. พาหิยเถราปทาน
         ๕๓๖. อรรถกถาพาหิยเถราปทาน         
         อปทานของท่านพระพาหิยพารุจิริยเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า อิโต สตสหสสมหิ ดังนี้. 
         แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ. 
         ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ถึงความสำเร็จในศิลปะของพวกพราหมณ์แล้ว เป็นผู้มีความรู้ไม่ขาดตกบกพร่องในเวทางคศาสตร์ทั้งหลาย. 
         วันหนึ่งได้ไปยังสำนักของพระศาสดา ขณะฟังธรรมมีใจเลื่อมใส ได้เห็นภิกษุรูปหนึ่งซึ่งพระศาสดาทรงสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ขิปปาภิญญา (ตรัสรู้ได้เร็วไว) เป็นผู้ประสงค์จะได้ตำแหน่งนั้นบ้าง 
         จึงได้ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ตลอด ๗ วัน โดยล่วง ๗ วันไปแล้ว จึงหมอบลงที่บาทมูลของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ตั้งความปรารถนาไว้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในวันที่ ๗ แต่วันนี้ไป พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงได้สถาปนาภิกษุใดไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุขิปปาภิญญา ในอนาคตกาล แม้ข้าพระองค์ก็พึงเป็นเหมือนภิกษุรูปนั้น คือพึงเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ขิปปาภิญญา ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเถิด. 
         พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูด้วยอนาคตังสญาณแล้ว ทรงทราบว่าสำเร็จผลแน่ จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล เขาบวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโคดม จักเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุขิปปาภิญญาแล. 
         เขาได้ทำบุญไว้เป็นอันมากจนตลอดอายุ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้บังเกิดในเทวโลก ได้เสวยสมบัติในกามาวจร ๖ ชั้นในเทวโลกนั้นแล้ว ก็ได้เสวยสมบัติมีจักรพรรดิสมบัติเป็นต้นในมนุษยโลกอีกหลายร้อยโกฏิกัป. 
         ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เขาได้บังเกิดในตระกูลแห่งหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว จึงได้บวชแล้ว. 
         เมื่อพระศาสนาเสื่อมสิ้นลง ภิกษุ ๗ รูปมองเห็นความประพฤติผิดของบริษัท ๔ ถึงความสังเวชสลดจิต พากันเข้าไปป่า คิดว่า พวกเราจักกระทำที่พึ่งแก่ตนเองตลอดเวลาที่พระศาสนายังไม่เสื่อมสิ้นไป จึงพากันไหว้พระสุวรรณเจดีย์แล้ว ได้มองเห็นภูเขาลูกหนึ่งในป่านั้นพูดว่า ผู้มีความห่วงใยในชีวิตจงกลับไปเสีย ผู้ไม่ห่วงใยในชีวิตจงพากันขึ้นไปยังภูเขาลูกนี้เถิด แล้วจึงพาดพะอง ทั้งหมดพากันขึ้นไปยังภูเขาลูกนั้นแล้ว ผลักพะองให้ตกไปแล้วต่างก็บำเพ็ญสมณธรรม. 
         ในบรรดาภิกษุทั้ง ๗ รูปเหล่านั้น พระสังฆเถระได้บรรลุพระอรหัต โดยล่วงไปเพียงราตรีเดียวเท่านั้น. พระเถระนั้นเคี้ยวไม้สีฟันชื่อนาคลดา ในสระอโนดาด ล้างหน้าแล้ว นำเอาบิณฑบาตมาจากอุตตรกุรุทวีปแล้ว พูดกะภิกษุเหล่านั้นว่า ผู้มีอายุจงฉันบิณฑบาตนี้เถิด. 
         ภิกษุเหล่านั้นพูดว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกเราได้กระทำกติกาอย่างนี้ไว้แล้วหรือว่า รูปใดบรรลุพระอรหัตก่อน รูปที่เหลือจงบริโภคฉันบิณฑบาตที่รูปนั้นนำมาแล้ว. 
         พระเถระกล่าวว่า ผู้มีอายุ ข้อนั้นมิใช่เป็นเช่นนั้น. ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ก็ถ้าว่าแม้พวกเราจักได้ทำคุณวิเศษให้บังเกิดขึ้นได้เหมือนอย่างทานไซร้ ตนเองก็จักนำมาบริโภคฉันเอง ดังนี้จึงไม่ปรารถนาแล้ว. 
         ในวันที่ ๒ พระเถระรูปที่ ๒ ได้เป็นพระอนาคามี ได้นำเอาบิณฑบาตมาแล้วอย่างนั้นเหมือนกันแล้ว นิมนต์ให้ภิกษุนอกนี้ฉัน ภิกษุเหล่านั้นกล่าวแล้วอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ พวกเราได้ทำกติกากันไว้แล้วหรือว่า พวกเราจักไม่ฉันบิณฑบาตที่พระมหาเถระนำมา จักฉันบิณฑบาตเฉพาะที่พระอนุเถระนำมาแล้ว. 
         พระเถระกล่าวว่า ผู้มีอายุ ก็ข้อนั้นมิใช่เป็นเช่นนั้น. 
         ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ แม้พวกเราจักทำคุณวิเศษให้บังเกิดขึ้นเหมือนอย่างพวกท่านอย่างนั้นแล้ว ก็จักอาจเพื่อขบฉันตามความเป็นอย่างบุรุษของตนของตน ดังนี้ ไม่ปรารถนาแล้ว. 
         ในบรรดาภิกษุเหล่านั้นพระเถระที่ได้บรรลุพระอรหัต ได้ปรินิพพานแล้ว. 
         พระเถระรูปที่ ๒ ได้เป็นพระอนาคามีได้ไปบังเกิดพรหมโลก.
         ภิกษุอีก ๕ รูปนอกนี้ไม่สามารถจะทำคุณวิเศษให้บังเกิดขึ้นได้ จึงเศร้าโศกใจในวันที่ ๗ ได้กระทำกาละไปบังเกิดในเทวโลก. ได้เสวยทิพยสุขในเทวโลกนั้นแล้ว ในพุทธุปบาทกาลนี้ จุติจากอัตภาพนั้นแล้วบังเกิดในมนุษยโลก. 
         ในบรรดาชน ๕ คนเหล่านั้น คนหนึ่งไปเป็นพระราชาพระนามว่าปุกกุสะ อยู่ในกรุงตักกสิลา แคว้นคันธาระ คนหนึ่งชื่อว่ากุมารกัสสปะ คนหนึ่งชื่อว่าพาหิยทารุจิริยะ คนหนึ่งชื่อว่าทัพพมัลลบุตร และคนหนึ่งชื่อว่าสภิยปริพาชกแล. 
         ในบรรดาชน ๕ คนเหล่านั้น พาหิยทารุจิริยะคนนี้ได้บังเกิดในตระกูลพ่อค้าที่ท่าสุปปารกะ ถึงความสำเร็จในพาณิชยกรรมแล้ว มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก. เขาได้ขึ้นเรือไปต่างประเทศพร้อมกับพวกพ่อค้าซึ่งกำลังเดินทางไปยังสุวรรณภูมิ เดินทางไปได้เล็กน้อย เรือก็อับปาง ผู้คนที่เหลือก็กลายเป็นภักษาของปลาและเต่า เหลือเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นเกาะไม้กระดานแผ่นหนึ่งพยายามว่ายน้ำ ในวันที่ ๗ ก็ล่วงถึงฝั่งแห่งท่าสุปปารกะ. 
         เขาไม่มีผ้านุ่งและผ้าห่ม เขามองไม่เห็นใครอื่น จึงเอาปอผูกท่อนไม้แห้งแล้ว นุ่งและห่ม ถือเอากระเบื้องจากเทวสถานได้ไปยังท่าสุปปารกะ. 
         พวกมนุษย์เห็นเขาเข้าแล้ว ต่างก็พากันให้ยาคูและภัตเป็นต้นแล้วยกย่องว่า ท่านผู้นี้คนเดียวเป็นพระอรหันต์. เมื่อพวกชาวบ้านนำเอาผ้านุ่งผ้าห่มมาให้มากมายเขาจึงคิดว่า ถ้าว่า เราจะนุ่งหรือจะห่มผ้าไซร้ ลาภและสักการะของเราก็จักเสื่อมสิ้นไป จึงพูดห้ามผ้าเหล่านั้นเสียแล้ว ใช้สอยเฉพาะแต่ผ้าเปลือกไม้อย่างเดียว. 
         ลำดับนั้น เมื่อเขาได้รับยกย่องจากประชาชนเป็นอันมากว่าเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ดังนี้ จึงมีความปริวิตกเกิดขึ้นในใจอย่างนี้ว่า พวกที่เป็นพระอรหันต์หรือว่าปฏิบัติดำเนินไปเพื่อบรรลุพระอรหัตมีอยู่ในโลกนี้ ตัวเราก็เป็นผู้หนึ่งของพวกนั้น. เขาเลี้ยงชีวิตด้วยการงานที่หลอกลวงคนอื่นโดยทำนองนั้นแล. 
         ในพระศาสนาแห่งพระกัสสปทศพล เมื่อชนทั้ง ๗ คนขึ้นไปยังภูเขาบำเพ็ญสมณธรรม คนหนึ่งได้เป็นพระอนาคามีได้ไปบังเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ตรวจดูพรหมสมบัติของตน รำพึงถึงสถานที่ที่ตนมาแล้ว ขึ้นไปยังภูเขา เห็นที่บำเพ็ญสมณธรรมแล้ว รำพึงถึงสถานที่ที่คนที่เหลือไปเกิด รู้ว่าท่านหนึ่งปรินิพพานแล้ว และรู้ว่านอกนี้อีก ๕ คนไปบังเกิดในเทวโลกชั้นกามาวจร ได้รำพึงถึงคนทั้ง ๕ เหล่านั้นตามกาลอันสมควร. 
         เมื่อรำพึงว่า ก็ในเวลานี้คนทั้ง ๕ เหล่านั้นไปบังเกิดในที่ไหนหนอ จึงได้เห็นทารุจิริยะผู้อาศัยท่าสุปปารกะเลี้ยงชีวิตด้วยการงานคือการหลอกลวงแล้ว คิดว่าผู้นี้เป็นคนพาลฉิบหายแล้วหนอ เขาบำเพ็ญสมณธรรมในกาลก่อน ไม่ได้ฉันบิณฑบาตแม้ที่พระอรหันต์นำมาแล้วโดยความอุกฤษฎ์ยิ่ง บัดนี้เป็นผู้ไม่สมควรเพราะเหตุแห่งท้อง อ้างว่าเป็นพระอรหันต์ เที่ยวหลอกลวงชาวโลกอยู่ ไม่รู้ว่าพระทศพลทรงอุบัติขึ้นแล้ว เราจะไปทำให้เกิดความสังเวช จักให้เขาได้ทราบว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้ว ดังนี้ 
         ในขณะนั้นนั่นแล จึงลงจากพรหมโลกแล้วได้ปรากฏข้างหน้าทารุจิริยะ ในระหว่างภาคราตรี ณ ที่ท่าสุปปารกะ. 
         ทารุจิริยะนั้นเห็นแสงสว่างส่องมาในที่อยู่ของตน จึงออกมาข้างนอกเห็นท้าวมหาพรหมเข้า จึงประคองอัญชลีถามว่า ท่านเป็นใครหนอ. 
         ท้าวมหาพรหมตอบว่า เราเป็นสหายเก่าของท่าน ได้บรรลุอนาคามิผลแล้วไปบังเกิดในพรหมโลก หัวหน้าของพวกเราทั้งหมด เป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานแล้ว ส่วนพวกท่าน ๕ คน ไปบังเกิดในเทวโลก บัดนี้เรานั้นได้เห็นท่านเลี้ยงชีวิตด้วยการงานคือการหลอกลวงในที่นี้ จึงได้มาเพื่อสั่งสอนท่านแล้วกล่าวถึงเหตุนี้ว่า พาหิยะ ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ทั้งไม่ใช่เป็นผู้ปฏิบัติตามหนทางพระอรหัตด้วยปฏิปทาใด ปฏิทาแม้นั้นไม่ได้มีแก่ท่านเลย. 
         ลำดับนั้น ท้าวมหาพรหมได้บอกเขาว่า พระศาสดาทรงอุบัติขึ้นแล้ว และได้บอกเขาว่า พระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ได้ส่งเขาไปด้วยสั่งว่า จงไปเฝ้าพระศาสดาเถิด แล้วก็ได้กลับไปยังพรหมโลกตามเดิม. 
         ฝ่ายพาหิยะมองดูท้าวมหาพรหมผู้ยืนกล่าวอยู่ในอากาศแล้ว คิดว่า โอ เราได้กระทำกรรมหนักหนอ เรามิได้เป็นพระอรหันต์ แต่คิดว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว ท้าวมหาพรหมนี้กล่าวกะเราว่า ท่านไม่ใช่เป็นพรอรหันต์เลย ทั้งท่านก็มิได้ปฏิบัติตามหนทางพระอรหัตด้วย ดังนี้ คนอื่นที่เป็นพระอรหันต์ในโลกนี้ มีหรือไม่หนอ. 
         ลำดับนั้น พาหิยะจึงถามเทวดานั้นว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกใครเล่าเป็นพระอรหันต์ หรือว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามหนทางพระอรหัต. 
         ลำดับนั้น เทวดาจึงบอกเขาว่า พาหิยะ ในอุตตรชนบทมีพระนครหนึ่งชื่อสาวัตถี บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้อรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นกำลังประทับอยู่ในพระนครนั้น พาหิยะ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ และทรงแสดงธรรมเพื่อให้คนเป็นพระอรหันต์. 
         ในส่วนแห่งราตรีนั้น พาหิยะได้ฟังถ้อยคำของเทวดาแล้วมีความสังเวชสลดใจ จึงได้ออกจากท่าสุปปารกะในขณะนั้นนั่นเอง แล้วได้ไปยังกรุงสาวัตถีโดยคืนเดียวแล. ก็เมื่อขณะกำลังเดินทางไปด้วยอานุภาพแห่งเทวดา และด้วยอานุภาพของพระพุทธเจ้าจึงทำให้เขาเดินทางไปได้ถึง ๑๒๐ โยชน์ ถึงกรุงสาวัตถี. 
         ในขณะนั้น พระศาสดากำลังเสด็จเข้าไปยังกรุงสาวัตถีเพื่อบิณฑบาต เขาเข้าไปยังพระเชตวันแล้ว ถามพวกภิกษุมากรูปผู้กำลังเดินจงกรมอยู่ในที่กลางแจ้งว่า บัดนี้ พระศาสดาเสด็จไปไหนเสียเล่า?
         พวกภิกษุตอบว่า พระศาสดาเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถีแล้วถามว่า คุณมาจากไหนเล่า? 
         เขาตอบว่า ผมมาจากท่าสุปปารกะขอรับ. 
         ถามว่า คุณออกเดินทางเวลาเท่าไร? 
         เขาตอบว่า ผมออกเดินทางเมื่อเย็นวานนี้ ขอรับ. 
         พวกภิกษุกล่าวต้อนรับว่า คุณเดินทางมาไกล เชิญนั่ง ล้างเท้าทาน้ำมันเสียก่อน พักผ่อนสักหน่อย ในเวลาไม่นานนักจักได้เห็นพระศาสดา. 
         พาหิยะกราบเรียนว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ผมไม่รู้ถึงอันตรายในชีวิตของพระศาสดาเสียก่อนแล้ว จึงพักผ่อนภายหลัง. 
         เขาพูดอย่างนั้นแล้วก็รีบร้อน เข้าไปยังกรุงสาวัตถี ได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งกำลังเสด็จจาริกไปด้วยพระพุทธสิริอันหาที่เปรียบมิได้ คิดว่าเป็นเวลานานหนอที่เราได้พบพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าดังนี้ ตั้งแต่ที่ได้พบเห็นแล้วก็น้อมสรีระไปแล้ว กราบลงที่ระหว่างถนนด้วยเบญจางคประดิษฐ์จับที่ข้อพระบาทไว้มั่นแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงแสดงธรรมเถิด ขอพระสุคตเจ้าจงทรงแสดงธรรมเถิด ซึ่งจะได้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนาน. 
         ลำดับนั้น พระศาสดาทรงตรัสห้ามเขาไว้ว่า เวลานี้มิใช่กาล พาหิยะ เราจะเข้าไปยังละแวกบ้านเพื่อบิณฑบาต. 
         พาหิยะได้สดับพระดำรัสนั้นแล้ว จึงกราบทูลวิงวอนอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผู้ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏไม่เคยได้อาหารคือคำข้าวไม่มี ข้าพระองค์ไม่รู้อันตรายในชีวิตของพระองค์หรือว่าของข้าพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด ขอพระสุคตเจ้าจงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด. 
         พระศาสดาตรัสห้ามอย่างนั้นนั่นแลแม้ครั้งที่ ๒. 
         นัยว่า พระศาสดาได้มีพระดำริอย่างนี้ว่า ตั้งแต่เวลาที่พาหิยะนี้เห็นแล้ว สรีระทั้งสิ้นของเขามีปิติท่วมทับหาระหว่างมิได้ กำลังแห่งปิติที่มีกำลังมาก แม้จะได้ฟังธรรมแล้วก็จำไม่สามารถเพื่อบรรลุได้เลย จงพักผ่อนด้วยมัชฌัตตุเปกขาเสียก่อน เพราะเมื่อเขาเดินทางมาสิ้นหนทางถึง ๑๒๐ โยชน์โดยราตรีเดียวเท่านั้น จงระงับความเหน็ดเหนื่อยอันนั้นเสียก่อน เพราะเหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสห้ามถึง ๒ ครั้ง เขาทูลขอในครั้งที่ ๓ ประทับยืนอยู่ในระหว่างทางนั่นแล ได้ทรงแสดงธรรมโดยอเนกปริยายโดยนัยเป็นต้นว่า 
         เพราะเหตุนั้นในข้อนี้ เธอพึงศึกษาอย่างนี้ พาหิยะ เมื่อเธอเห็นแล้ว จักเป็นสักว่าเห็น. 
         พาหิยะนั้นขณะกำลังฟังธรรมของพระศาสดาอยู่นั่นแล ได้ทำอาสวะทั้งปวงให้หมดสิ้นไปแล้ว ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔. 
         พาหิยะนั้น ในขณะที่ได้บรรลุพระอรหัตแล้วนั่นแล ระลึกถึงบุรพกรรมของตน เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนได้เคยประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า อิโต สตสหสสมหิ ดังนี้. 
         คำนั้นมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล. ข้าพเจ้าจักกระทำการพรรณนาเฉพาะบทที่ยากเท่านั้น. 
         บทว่า หสนํ ปจฺจเวกฺขณํ ความว่า พิจารณาดูความสมบูรณ์ด้วยโสมนัส คือมีวรรณะของคนวัยหนุ่มวัยสาว ละเอียดอ่อนยิ่งนัก. 
         บทว่า เหมยณฺโญปจิตงฺคํ ความว่า ผู้มีอวัยวะสรีระร่างกายอันบุญกรรมสร้างสรรให้คล้ายกับเส้นทองคำ. 
         บทว่า ปลมฺพพิพฺพตมฺโพฏฺฐํ ความว่า มีริมฝีปากทั้ง ๒ ข้างเป็นสีแดงคล้ายกับผลตำลึงสุก. 
         บทว่า เสตติณฺหสมํ ทิชํ ความว่า มีฟันเสมอคล้ายกระทำการตัดด้วยเครื่องตัดเหล็กและโลหะอันคมด้วยหินลับมีดชั้นดี ทำให้เสมอ. 
         บทว่า ปีติสมฺผุลฺลิตานนํ ความว่า มีใบหน้าเบิกบานด้วยดีด้วยปีติ คือมีหน้าแจ่มใสเช่นกับพื้นกระจก. 
         บทว่า ขิปฺปาภิญฺญสฺส ภิกฺขุโน ความว่า แห่งภิกษุผู้สามารถจะตรัสรู้ได้โดยพิเศษยิ่งโดยเร็วพลัน คือในขณะที่ยกธรรมขึ้นแสดงเท่านั้น. 
         บทว่า สคฺคํ อคํ สภวนํ ยถา ความว่า เราได้ไปสู่โลกสวรรค์ซึ่งคล้ายกับบ้านเรือนของตนฉะนั้น. 
         บทว่า น ตฺวํ อุปายมคฺคญฺญู ความว่า เธอมิใช่เป็นผู้รู้หนทางอันเป็นอุบายให้ได้บรรลุพระนิพพาน. 
         บทว่า สตฺถุโน สทา ชินํ มีประโยชน์ว่า เราพ่ายแพ้ต่อความกำเริบจักได้เห็นพระชินเจ้าผู้มีพระพักตร์อันผ่องใสดุจพื้นกระจก ของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดกาลทั้งปวง คือจักออกไปเพื่อเข้าเฝ้า. 
         บทว่า ทิเช อปุจฺฉึ กุหึ โลกนนฺทโน ความว่า เราได้ถามพวกผู้เกิดสองครั้งคือพราหมณ์ ได้แก่พวกภิกษุว่า พระศาสดาผู้ทรงกระทำให้ชาวโลกเลื่อมใส ประทับอยู่ ณ ที่ไหน. 
         บทว่า สโสว ขิปฺปํ มุนิทิสฺสนุสฺสุโก ความว่า เป็นผู้มีความพยายามอุตสาหะในการเห็นพระมุนีเจ้า คือในการเห็นพระตถาคตเจ้า ดุจกระต่ายหมายจันทร์ฉะนั้น ย่อมบรรลุโดยพลัน. 
         บทว่า ตุวฏํ คนฺตฺวา คือ ไปโดยเร็วพลัน. 
         บทว่า ปิณฺฑตฺถํ อปิหาคิธํ ความว่า อาศัยบิณฑบาตไม่ละโมบ ปราศจากความละโมบ ไม่กำหนด ไม่มีตัณหา. 
         บทว่า อโลลกฺขํ เชื่อมความว่า เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ไม่เหลียวมองดูข้างโน้นข้างนี้ เสด็จเที่ยวไปเพื่อบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีอันอุดม. 
         บทว่า สิรีนิลยสงฺกาสํ ความว่า คล้ายกับที่อยู่อันงดงามด้วยสิริลักษณะและอนุพยัญชนะ คือเช่นกับเสาค่ายอันลุกโพลง. 
         บทว่า รวิทิตฺติหรานนํ ความว่ามณฑลหน้ามุขอันลุกโชติช่วง คล้ายกับมณฑลพระอาทิตย์อันรุ่งโรจน์ฉะนั้น. 
         บทว่า กุปเถ วิปฺปนฏฺฐสูส ความว่า ขอพระองค์จงเป็นสรณะคือจงเป็นที่พึ่งของข้าพระองค์ ผู้หลงทาง ปฏิบัติผิดในหนทางที่บัณฑิตติเตียน คือในหนทางที่มีอันตราย. 
         คำว่า โคตม ความว่า พาหิยะย่อมร้องเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยพระโคตร. 
         บทว่า น ตตฺถ สุกฺกา โชตนฺติ ความว่า หมู่ดาวมีดาวประกายพรึกที่เรืองแสงเป็นต้น สมบูรณ์ด้วยรัศมีสุกปลั่ง ย่อมไม่รุ่งโรจน์อับแสงไป. 
         คำที่เหลือมีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล. 
         พาหิยะนั้น ครั้นได้ประกาศเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อนอย่างนั้นแล้ว จึงได้ทูลขอบรรพชากะพระผู้มีพระภาคเจ้าในขณะนั้นนั่นแล. และเขาถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า บาตรและจีวรของเธอมีครบแล้วหรือ จึงกราบทูลว่า ยังไม่ครบ พระเจ้าข้า. 
         ลำดับนั้น พระศาสดาจึงตรัสกะเขาว่า ถ้าอย่างนั้น เธอจงไปแสวงหาบาตรและจีวรมาเถิด แล้วก็เสด็จหลีกไป. 
         ได้ทราบมาว่า เขาบำเพ็ญสมณธรรมมาสิ้น ๒ หมื่นปี กล่าวว่า ธรรมดาว่าภิกษุได้ปัจจัยทั้งหลายมาด้วยตัวเอง ไม่ห่วงใยภิกษุรูปอื่น ตนเองนั้นย่อมสมควรเพื่อจะใช้สอยเอง ดังนี้แล้วจึงไม่ได้ทำการสงเคราะห์ด้วยบาตรหรือจีวรแม้แก่ภิกษุรูปหนึ่งเลย. 
         พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า บาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์จักไม่เกิดขึ้นแก่เขาแน่ จึงมิได้ประทานการบรรพชาด้วยเอหิภิกขุ. 
         อมนุษย์ผู้มีเวรกันในกาลก่อน เข้าสิงในร่างของโคแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่ง ขวิดเขาเข้าที่โคนขาข้างซ้าย นำเขาผู้กำลังแสวงหาบาตรและจีวร ซึ่งฉุดดึงเอาท่อนผ้าออกจากกองหยากเยื่อแม้นั้นให้ถึงความสิ้นชีวิตไป. 
         พระศาสดาเสด็จจาริกไปบิณฑบาตแล้วทรงกระทำภัตรกิจเสร็จแล้ว ขณะกำลังเสด็จออกพร้อมกับพวกภิกษุมากรูป ได้ทอดพระเนตรเห็นร่างของพาหิยะ ซึ่งฟุบจมกองหยากเยื่อแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงประคองพาหิยทารุจิริยะนี้ไป ดังนี้แล้วประทับยืนที่ประตูเรือนแห่งหนึ่ง ทรงสั่งพวกภิกษุว่า จงนำร่างนี้ขึ้นเตียงนำออกไปจากประตูเมืองแล้ว ให้ทำการฌาปนกิจ เก็บเอาธาตุไว้ก่อเป็นสถูป. 
         พวกภิกษุเหล่านั้นช่วยกันก่อสร้างสถูปบรรจุพระธาตุไว้ที่หนทางใหญ่แล้วเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ได้กราบทูลให้ทรงทราบถึงการงานที่ตนได้ทำเสร็จแล้ว แต่นั้นมาในท่ามกลางสงฆ์ก็เกิดถ้อยคำขึ้นว่า พระตถาคตเจ้าทรงบังคับให้เก็บเอาพระธาตุบรรจุไว้ที่เจดีย์ หนทางไหนหนอ ที่พาหิยะนั้นได้บรรลุแล้ว เขาเป็นสามเณรหรือว่าภิกษุหนอแล. 
         พระศาสดาทรงทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พาหิยะ ทารุจิริยะดำรงอยู่ในพระอรหัตแล้ว ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเพิ่มเติมขึ้นอีก. และพระศาสดาได้ตรัสบอกว่า พาหิยะนั้นปรินิพพานแล้ว จึงทรงสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พาหิยะ ทารุจิริยะเลิศกว่าภิกษุสาวกทั้งหลายของเราผู้ตรัสรู้ได้โดยพลันแล. 
         ลำดับนั้น พวกภิกษุจึงกราบทูลถามพระองค์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่า พาหิยะ ทารุจิริยะบรรลุพระอรหัตแล้ว เขาได้บรรลุพระอรหัตในเวลาใด พระเจ้าข้า. 
         พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเวลาที่เขาได้ฟังธรรมของเราแล้ว. 
         พวกภิกษุทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระองค์ตรัสแสดงธรรมแก่เขาเมื่อไร? 
         พระศาสดาตรัสว่า เมื่อเวลาที่เราจาริกไปเพื่อภิกษา ยืนอยู่ระหว่างถนน. พวกภิกษุทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ประทับยืนอยู่ระหว่างถนนแสดงธรรมเพียงเล็กน้อย เขายังคุณวิเศษให้บังเกิดขึ้น ได้ด้วยพระธรรมเพียงเท่านั้นได้อย่างไร. 
         ลำดับนั้น พระศาสดาจึงตรัสกะภิกษุเหล่านั้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าคิดว่า ธรรมของเราน้อยหรือมาก ด้วยว่าคาถา ๑,๐๐๐ คาถาที่ประกอบด้วยบทอันหาประโยชน์มิได้ แม้จะมีเป็นอเนกก็ตาม ย่อมไม่ประเสริฐเลย ส่วนว่าบทแห่งคาถาแม้บทเดียวที่ประกอบด้วยประโยชน์ ย่อมประเสริฐแท้ ดังนี้. 
         เมื่อจะทรงสืบต่ออนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :- 
               หากว่าคาถาที่ประกอบด้วยบทอันไม่มีประโยชน์ แม้มีตั้ง   ๑,๐๐๐ คาถา บทแห่งคาถาเพียงคาถาเดียวที่ตนได้ฟัง 
               แล้วสงบได้ ประเสริฐกว่าคาถาตั้ง ๑,๐๐๐ นั้น. 
         ในเวลาจบเทศนา สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ได้บรรลุธรรมาภิสมัยแล.
จบอรรถกถาพาหิยเถราปทาน

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก อปทาน กุมารกัสสปเถราปทานที่ ๕ ว่าด้วยบุพจริยาของพระกุมารกัสสปเถระ

  
[๑๒๕] ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระผู้มีพระภาคผู้นายก ทรงเกื้อกูลแก่ สัตว์โลกทั้งปวง เป็นนักปราชญ์ มีพระนามว่าปทุมุตระ ได้เสด็จ อุบัติขึ้นแล้ว
 ครั้งนั้น เราเป็นพราหมณ์มีชื่อเสียงโด่งดัง รู้จบ ไตรเพท เที่ยวไปในที่พักสำราญกลางวัน ได้พบพระผู้มีพระภาค ผู้นายกของโลก กำลังทรงประกาศสัจจะ ๔ ทรงยังมนุษย์พร้อมด้วย ทวยเทพให้ตรัสรู้ กำลังทรงสรรเสริญพระสาวกของพระองค์ผู้กล่าว ธรรมกถาวิจิตรอยู่ในหมู่มหาชน
 ครั้งนั้น เราชอบใจ จึงได้นิมนต์ พระตถาคต แล้วประดับประดามณฑปให้สว่างไสวด้วยรัตนะนานา ชนิด ด้วยผ้าอันย้อมด้วยสีต่างๆ นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วย พระสงฆ์ให้เสวยและฉันในมณฑปนั้น เรานิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสาวกให้เสวยและฉันโภชนะมีรสอันเลิศต่างๆ ถึง ๗ วัน แล้วเอาดอกไม้ที่สวยงามต่างๆ ชนิด บูชาแล้วหมอบลง แทบบาทมูลปรารถนาฐานันดรนั้น
 ครั้งนั้น พระมุนีผู้ประเสริฐ มีความเอ็นดู เป็นที่อาศัยอยู่แห่งกรุณา ได้ตรัสว่า จงดูพราหมณ์ นี้ ผู้มีปากและตาเหมือนดอกปทุม มากด้วยความปรีดาปราโมทย์ มี กายและใจสูงเพราะโสมนัส นำความร่าเริงมา จักษุกว้างใหญ่ มีความ อาลัยในศาสนาของเรา เขาปรารถนาฐานันดรนั้น คือ การกล่าว ธรรมกถาอันวิจิตรในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระศาสดามีพระนามว่า                           โคดม ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ผู้นี้จักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรสอัน ธรรมเนรมิต จักได้เป็นสาวกของพระศาสดา มีนามว่ากุมารกัสสป
 เพราะอำนาจดอกไม้และผ้าอันวิจิตรกับรัตนะ เขาจักถึงความเป็น ผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้กล่าวธรรมกถาอันวิจิตร เพราะกรรมที่ทำ ไว้ดีแล้ว และเพราะการตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เราท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ เหมือน ตัวละครหมุนเวียนอยู่กลางเวทีเต้นรำ ฉะนั้น เราเป็นบุตรของเนื้อ ชื่อสาขะ หยั่งลงในครรภ์แห่งแม่เนื้อ ครั้งนั้น เมื่อเราอยู่ในท้อง มารดาของเรา ถึงเวรที่จะต้องถูกฆ่า มารดาของเราถูกเนื้อสาขะ ทอดทิ้ง จึงยึดเอาเนื้อนิโครธเป็นที่พึ่ง มารดาของเราอันพระยาเนื้อ นิโครธ ช่วยให้พ้นจากความตาย สละเนื้อสาขะแล้ว ตักเตือน เราผู้เป็นบุตรของตัวในครั้งนั้นอย่างนี้ว่า ควรคบหาแต่เนื้อนิโครธ เท่านั้น ไม่ควรเข้าไปคบหาเนื้อสาขะ ตายในสำนักเนื้อนิโครธ ประเสริฐกว่า มีชีวิตอยู่ในสำนักเนื้อสาขะจะประเสริฐอะไร.
 เรามารดาของเราและเนื้อนอกจากนี้ อันเนื้อนิโครธ ผู้เป็น นายฝูงนั้นพร่ำสอน อาศัยโอวาทของเนื้อนิโครธนั้น จึง ได้ไปยังที่อยู่อาศัย คือ สวรรค์ชั้นดุสิตอันรื่นรมย์ ประหนึ่งว่าไปยังเรือนของตัวที่ทิ้งจากไป ฉะนั้น. เมื่อพระศาสนาของพระกัสสปธีรเจ้า กำลังถึงความสิ้นสูญอันตรธาน เราได้ขึ้นภูเขาอันล้วนด้วยหิน บำเพ็ญเพียรตามคำสอนของพระ- พิชิตมาร ก็บัดนี้ เราเกิดในสกุลเศรษฐีในพระนครราชคฤห์ มารดาของเรามีครรภ์ ออกบวชเป็นภิกษุณี พวกภิกษุณีรู้ว่ามารดา ของเรามีครรภ์
 จึงนำไปหาพระเทวทัต พระเทวทัตนั้นกล่าวว่าจง นาสนะภิกษุผู้ลามกนี้เสีย ถึงในบัดนี้มารดาบังเกิดเกล้าของเรา เป็นผู้ อันพระพิชิตมารจอมมุนีทรงอนุเคราะห์ไว้ จึงได้ถึงความสุขใน สำนักของภิกษุณี พระเจ้าแผ่นดินพระนามว่าโกศล ได้ทรงทราบเรื่อง นั้นจึงทรงเลี้ยงดูเราไว้ด้วยเครื่องบริหารแห่งกุมาร และตัวเรามีชื่อว่า กัสสป เพราะอาศัยท่านพระกัสสปเถระ เราจึงถูกเรียกว่ากุมาร กัสสป เพราะได้สดับพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า กายเช่นเดียวกับจอมปลวก จิตของเราจึงพ้นจากอาสวะกิเลส ไม่ ถือมั่นด้วยอุปาทานโดยประการทั้งปวง เราได้รับตำแหน่งเอตทัคคะ ก็เพราะทรมานพระเจ้าปายาสิ เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... 
                        พระพุทธ ศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. 
                        ทราบว่า ท่านพระกุมารกัสสปเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. จบ กุมารกัสสปเถราปทาน.
 จบ ภาณวารที่ ๒๕ 
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๔. กัจจายวรรค
๕. กุมารกัสสปเถราปทาน
             ๕๓๕. อรรถกถากุมารกัสสปเถราปทาน         
             พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๕ ดังต่อไปนี้ :- 
             อปทานของท่านพพระกุมารกัสสปเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า อิโต สตสหสสมหิ ดังนี้. 
         ได้ทราบว่า พระเถระรูปนี้ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่ง ขณะที่กำลังฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา ได้เป็นภิกษุรูปหนึ่งซึ่งพระศาสดาทรงสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าภิกษุผู้กล่าวธรรมกถาอันวิจิตร แม้ตนเองก็ปรารถนาตำแหน่งนั้น ดำรงชีวิตอยู่จนตลอดอายุ จุติจากอัตภาพนั้นท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ได้เสวยสมบัติในโลกทั้ง ๒ แล้ว. 
             ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เขาได้บังเกิดในเรือนอันมีสกุล บวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล้ว บำเพ็ญสมณธรรม ท่องเที่ยวไปเฉพาะในสุคติทั้งหลายอย่างเดียว ได้เสวยทิพยสุขและมนุษยสุขแล้ว. 
             ในพุทธุปบาทกาลนี้เขาได้บังเกิดในท้องลูกสาวเศรษฐีคนหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์. 
             ทราบว่า ลูกสาวเศรษฐีนั้น ในเวลาที่เป็นเด็กหญิงนั่นแล มีความประสงค์จะบวช จึงขออนุญาตมารดาบิดา เมื่อไม่ได้รับอนุญาตให้บวชจึงไปยังตระกูลสามี ได้มีครรภ์ แต่ไม่รู้ว่ามีครรภ์นั้น จึงคิดแล้วว่า เราจักทำให้สามียินดี (ทำให้ถูกใจสามี) แล้วจึงจักขออนุญาตบวช. 
             เมื่อนางจะทำให้ถูกใจสามี จึงชี้ให้ถึงโทษของสรีระโดยนัยเป็นต้นว่า ถ้าว่าในภายในของร่างกายนี้ จะถึงกลับออกมาในภายนอกไซร้ บุคคลก็จะต้องถือท่อนไม้คอยไล่หมู่กาและหมู่สุนัขแน่นอน ดังนี้. 
             จึงทำให้สามีผู้ประเสริฐนั้นได้ยินดีแล้ว 
             หญิงนั้นได้รับอนุญาตจากสามีแล้ว ไม่รู้ว่ามีครรภ์จึงได้บวชในหมู่นางภิกษุณีฝ่ายของพระเทวทัต. พวกนางภิกษุณีได้เห็นว่านางมีครรภ์จึงไปถามพระเทวทัต. พระเทวทัตนั้นตัดสินว่า นางภิกษุณีนี้ไม่เป็นสมณะ. 
             นางภิกษุณีนั้นจึงคิดว่า เรามิได้บวชอุทิศพระเทวทัต. แต่เราบวชอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ จึงได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ทูลถามพระทศพล. 
             พรศาสดาทรงมอบหมายให้พระอุบาลีเถระรับหน้าที่ไป. 
             พระเถระสั่งให้เรียกตระกูลชาวพระนครสาวัตถี และนางวิสาขาอุบาสิกามาแล้ว เมื่อจะวินิจฉัยเรื่อองนั้นพร้อมกับบริษัทผู้มีความขัดแย้ง จึงกล่าวว่า นางได้มีครรภ์ก่อนบวช ครรภ์ไม่มีอันตรายบวชแล้ว. 
             พระศาสดาได้ทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ตรัสว่า อุบาลีวินิจฉัยอธิกรณ์ถูกต้องดีแล้ว จึงทรงประทานสาธุการแก่พระเถระ. 
             นางภิกษุณีรูปนี้ได้คลอดบุตรรูปร่างงดงามดุจทองคำ. 
             พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพระดำริว่า การเลี้ยงดูทารกจะเป็นความกังวลใจแก่พวกนางภิกษุณี จึงทรงรับสั่งให้แก่พวกญาติแล้ว รับสั่งให้เลี้ยงดู. 
             พวกญาติได้ตั้งชื่อทารกนั้นว่า กัสสป. 
             ในกาลต่อมา มารดาประดับตกแต่งแล้ว นำไปเฝ้าพระศาสดาแล้วทูลขอบรรพชาแล้ว. ก็เพราะท่านบวชในเวลาที่เป็นเด็ก เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอจงเรียกกัสสปะมา พวกเธอจงให้ผลไม้หรือว่าของที่ควรเคี้ยวนี้แก่กัสสปะ พวกภิกษุจึงทูลถามว่า กัสสปะไหน. 
              ต่อมาในเวลาเจริญวัยแล้ว จึงปรากฏชื่อว่ากุมารกัสสปะ เพราะตั้งชื่อเสียใหม่ว่ากุมารกัสสปะ และเพราะเป็นบุตรที่พระราชาทรงชุบเลี้ยง. 
              จำเดิมแต่บวชแล้ว ท่านก็บำเพ็ญวิปัสสนากัมมัฏฐาน และศึกษาเล่าเรียนพระพุทธวจนะ. 
              ลำดับนั้น ท้าวมหาพรหมผู้เป็นพระอนาคามีบังเกิดในชั้นสุทธาวาส ได้บำเพ็ญสมณธรรมบนยอดภูเขาร่วมกับท่านคิดว่า เราจักชี้ทางวิปัสสนาแล้ว กระทำอุบายเพื่อบรรลุมรรคผลได้ ดังนี้แล้วจึงแต่งปัญหาขึ้น ๑๕ ข้อแล้วบอกแก่พระเถระผู้อยู่ในป่าอันธวันว่า ท่านควรถามปัญหาเหล่านี้กะพระศาสดา. 
              ทีนั้น ท่านจึงทูลภามปัญหาเหล่านั้นกะพระผู้มีพระภาคเจ้า. 
              แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ทรงวิสัชนาแก่เธอแล้ว. 
              พระเถระเล่าเรียนปัญหาเหล่านั้น โดยทำนองที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วทั้งหมด ยังวิปัสสนาให้ถือเอาซึ่งห้องแล้ว ให้บรรลุพระอรหัต.
              พระกุมารกัสสปะนั้น พอได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ระลึกถึงบุรพกรรมของตน ได้เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า อิโต สตสหสสมหิ ดังนี้ 
              คำใดในคาถานั้น มีเนื้อความซ้ำกับที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในหนหลัง คำนั้นทั้งหมด ข้าพเจ้าจักไม่พรรณนา ข้าพเจ้าจักพรรณนาเฉพาะบทที่ยากๆ เท่านั้น. 
              บทว่า อาปนนสตตา เม มาตา ความว่า มารดาของเรามีครรภ์แก่เป็นหญิงมีครรภ์ ได้แก่มีครรภ์แก่ใกล้เวลาคลอด. 
              บทว่า วมมิกสทิสํ กายํ ความว่า ขึ้นชื่อว่าสรีระเป็นเช่นกับจอมปลวก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงคือทรงประกาศไว้ว่า ร่างกายนี้มีช่องอยู่ ๙ ช่องซึ่งไหลไปอยู่เป็นนิตย์ เปรียบเหมือนจอมปลวกมีช่องเล็กช่องใหญ่ข้างโน้นข้างนี้ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทั้งหลาย เช่น มอดและตัวปลวกเป็นต้น ฉันนั้นเหมือนกัน. 
              อธิบายว่า ครั้นได้สดับพระดำรัสนั้นแล้ว จิตของเราไม่ยึดถืออาสวะทั้งหลาย พ้นแล้วจากกิเลสได้โดยพิเศษ คือดำรงอยู่แล้วในพระอรหัตผล. 
              ในกาลต่อมา พระศาสดาได้ทรงทราบจากภิกษุทั้งหลายในที่นั้นๆ ว่า พระเถระนั้นเป็นผู้กล่าวธรรมกถาได้อย่างวิจิตร จึงทรงสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุมารกัสสปะนี้เป็นผู้เลิศแห่งภิกษุสาวกของเราผู้กล่าวธรรมกถาให้วิจิตรแล.
จบอรรถกถากุมารกัสสปเถราปทาน

11 พฤศจิกายน 2568

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก อปทาน ทัพพมัลลปุตตเถราปทานที่ ๔ ว่าด้วยบุพจริยาของพระทัพพมัลลปุตตเถระ

  
[๑๒๔] พระพิชิตมารพระนามว่าปทุมุตระ ทรงรู้แจ้งโลกทั้งหมดเป็นมุนี มีพระจักษุ ได้เสด็จอุบัติขึ้นในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระองค์ทรง ตรัสสอน ทำสัตว์ให้รู้ชัด ยังสรรพสัตว์ให้ข้ามวัฏสงสาร ทรง ฉลาดในเทศนา เป็นผู้เบิกบาน ทรงยังประชุมชนเป็นอันมากให้ ข้ามพ้นไปได้
 พระองค์เป็นผู้อนุเคราะห์ ทรงประกอบด้วยพระกรุณา ทรงแสวงหาประโยชน์แก่สรรพสัตว์ ยังเดียรถีย์ที่มาเฝ้าทุกคนให้ ดำรงอยู่ในเบญจศีล เมื่อเป็นเช่นนี้ พระศาสนาจึงหมดความอากูล ว่างจากพวกเดียรถีย์ และวิจิตรด้วยพระอรหันต์ผู้คงที่ มีความชำนิ ชำนาญ พระมหามุนีพระองค์นั้นสูง ๕๘ ศอก มีพระฉวีวรรณงาม คล้ายทองคำอันล้ำค่า มีพระลักษณะประเสริฐ ๓๒ ประการ ครั้งนั้น อายุขัยของสัตว์แสนปี พระชินสีห์พระองค์นั้น ดำรงพระชนม์อยู่ โดยกาลประมาณเท่านั้น ทรงยังประชุมชนเป็นอันมากให้ข้ามพ้น วัฏสงสารไปได้
 ครั้งนั้น เราเป็นบุตรเศรษฐีมียศใหญ่ในพระนคร หงสวดี เข้าไปเฝ้าพระองค์ผู้ส่องโลกให้สว่างไปทั่ว แล้วได้สดับ พระธรรมเทศนา เราได้ฟังพระดำรัสของพระองค์ผู้แต่งตั้งเสนาสนะ ให้ภิกษุทั้งหลาย ก็ชอบใจ จึงทำอธิการแด่พระองค์ผู้แสวงหาคุณ อันใหญ่พร้อมทั้งพระสงฆ์แล้ว หมอบลงแทบพระบาทด้วยเศียรเกล้า แล้วปรารถนาฐานันดรนั้นแท้จริง ในครั้งนั้น พระมหาวีรเจ้าพระองค์ นั้น ได้ทรงพยากรณ์กรรมของเราไว้ว่า เศรษฐีบุตรนี้ ได้นิมนต์ พระโลกนายกพร้อมด้วยพระสงฆ์ให้ฉันตลอด ๗ วัน เขาจักมีอินทรีย์ ดังใบบัว มีจะงอยบ่าเหมือนของราชสีห์ มีผิวพรรณดุจทองคำ หมอบอยู่แทบเท้าของเราปรารถนาตำแหน่งอันสูงสุด ในกัปที่แสน แต่กัปนี้พระศาสดามีพระนามว่าโคดม ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้า โอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เศรษฐีบุตรนี้จักได้เป็นสาวก ของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
 ปรากฏโดยชื่อว่าทัพพะ เป็นภิกษุ ผู้เลิศฝ่ายเสนาสนปัญญาปกะเหมือนปรารถนา ด้วยกรรมที่ทำไว้ดี แล้ว และด้วยการตั้งเจตน์จำนงค์ไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไป สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เราได้เสวยราชสมบัติในเทวโลก ๓๐๐ ครั้ง และได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ครั้ง เป็นพระเจ้าประเทศราช อันไพบูลย์โดยคณานับมิได้ เพราะกรรมนั้นนำไป เราจึงมีความสุข ในที่ทุกสถาน ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระนายกพระนามว่าวิปัสสีผู้มีพระเนตร งาม ทรงเห็นแจ้งธรรมทั้งปวง ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว เราเป็นผู้มีจิต ขัดเคือง ได้พูดตู่สาวกของพระพุทธเจ้าผู้คงที่พระองค์นั้น ผู้สิ้นอาสวะ ทั้งปวงแล้ว ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ และเราจับสลากแล้ว ถวายข้าวสุกที่หุงด้วยน้ำนม แก่พระเถระทั้งหลายผู้แสวงหาคุณอัน ใหญ่ผู้เป็นสาวกของพระผู้แกล้วกล้ากว่านรชนพระองค์นั้นแหละ
 ใน ภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของพรหม มีพระยศใหญ่ ประเสริฐกว่านักปราชญ์ พระนามว่ากัสสป ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์ทรงยังศาสนธรรมให้รุ่งโรจน์ ข่มขี่เดียรถีย์ผู้หลอกลวงเสีย ทรงแนะนำเวไนยสัตว์แล้ว เสด็จปรินิพพานพร้อมทั้งพระสาวก ครั้นเมื่อพระโลกนาถพร้อมทั้งพระสาวกปรินิพพานแล้ว ครั้นเมื่อ พระศาสนธรรม กำลังจะสิ้นศูนย์อันตรธาน ทวยเทพและมนุษย์พา กันสลดใจ สยายผม มีหน้าเศร้า คร่ำครวญว่า ดวงตาคือธรรมจัก ดับแล้ว เราจักไม่ได้เห็นท่านที่มีวัตรดีงามทั้งหลาย เราจักไม่ได้ฟัง พระสัทธรรม น่าสังเวช เราเป็นคนมีบุญน้อย
 ครั้งนั้น พื้นปฐพี ทั้งหมดนี้ ทั้งใหญ่ทั้งหนา ได้ไหวสะเทือน สาครสมุทรพูดได้ แม่น้ำร้องอย่างน่าสงสาร อมนุษย์ตีกลองดังทั่วทั้งสี่ทิศ อสนีบาต อันน่ากลัวตกลงไปรอบๆ อุกกาบาตตกจากท้องฟ้า ดาวหางปรากฏ เกลียวแห่งเปลวไฟมีควันพวยพุ่ง หมู่มฤคร้องครวญครางอย่างน่า สงสาร ครั้งนั้น เราทั้งหลายเป็นภิกษุรวม ๗ รูปด้วยกัน ได้เห็น ความอุบาทว์อันร้ายแรง แสดงเหตุว่าพระศาสนาจะสิ้นสูญ จึง เกิดความสังเวช คิดกันว่า เว้นพระศาสนาเสีย ไม่ควรที่เราจะมี ชีวิตอยู่ เราทั้งหลายจึงเข้าไปสู่ป่าใหญ่แล้วจะบำเพ็ญเพียรตาม คำสอนของพระชินสีห์เจ้า
 ครั้งนั้น เราทั้งหลายได้พบภูเขาหินใน ป่าสูงลิ่ว เราไต่มันขึ้นทางพะอง แล้วผลักพะองให้ตกลงเสีย ครั้งนั้น พระเถระได้ตักเตือนเราว่า การอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าหา ได้ยาก อีกประการหนึ่ง ความเชื่อที่บุคคลได้ไว้ ก็หาได้ยาก และพระศาสนายังเหลืออีกเล็กน้อย ผู้ที่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเสีย จะต้องตกลงไปในสาคร คือความทุกข์อันไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้น พวกเราควรกระทำความเพียร ตลอดเวลาที่พระศาสนายังดำรงอยู่ เถิด ดังนี้ 
 ครั้งนั้น พระเถระนั้นเป็นพระอรหันต์ พระอนุเถระ ได้เป็นพระอนาคามี พวกเราที่เหลือจากนี้ เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ประกอบความเพียร จึงได้ไปยังเทวโลก องค์ที่ข้ามสงสารไปได้ ปรินิพพานแล้ว อีกองค์หนึ่งเกิดในชั้นสุทธาวาส เราทั้งหลาย คือ ตัวเรา ๑ พระปุกกุสาติ ๑ พระสภิยะ ๑ พระพาหิยะ ๑ พระกุมารกัสสป ๑ เกิดในที่นั้นๆ อันพระโคดมบรมศาสดา ทรง อนุเคราะห์ จึงหลุดพ้นไปจากเครื่องจองจำ คือสงสารวัฏได้ เรา เกิดในพวกมัลลกษัตริย์ ในพระนครกุสินารา เมื่อเรายังอยู่ในครรภ์ นั่นแล มารดาได้ถึงแก่กรรม เขาช่วยกันยกขึ้นสู่เชิงตะกอน
 ลำดับนั้น เราตกลงมา ตกลงไปในกองไม้ ฉะนั้นจึงปรากฏ นามว่าทัพพะ ด้วยผลแห่งการประพฤติพรหมจรรย์ เรามีอายุได้ ๗ ขวบ ก็หลุดพ้นจากกิเลสด้วยผลที่ถวายข้าวสุกผสมน้ำนม เรา จึงประกอบด้วยองค์ ๕ ด้วยบาปเพราะกล่าวตู่พระขีณาสพ เราจึง ถูกคนโจทมากมาย บัดนี้เราล่วงบุญและบาปได้ทั้งสองอย่างแล้ว ได้บรรลุสันติชั้นสูง เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ เราแต่งตั้งเสนาสนะให้ ท่านผู้มีวัตรอันดีงามทั้งหลายยินดี พระพิชิตมารทรงพอพระทัยใน คุณข้อนั้น จึงได้ทรงตั้งเราไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เราเผากิเลส ทั้งหลายแล้ว ... 
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. 
                        ทราบว่า ท่านพระทัพพมัลลปุตตเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. 
จบ ทัพพมัลลปุตตเถราปทาน.
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๔. กัจจายวรรค
๔. ทัพพมัลลปุตตเถราปทาน
              ๕๓๔. อรรถกถาทัพพมัลลปุตตเถราปทาน         
              พึงทราบเรื่องราวในอปาทานที่ ๔ ดังต่อไปนี้ :- 
              อปทานของท่านพระทัพพมัลลปุตตเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า ปทุมมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้. 
              แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมแต่บุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ. 
         ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้เกิดเป็นบุตรเศรษฐี ได้เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสมบัติ เขาเลื่อมใสในพระศาสดา กำลังฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาอยู่ได้มองเห็นภิกษุรูปหนึ่งผู้ซึ่งพระศาสดาทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าภิกษุผู้จัดแจงเสนาสนะแล้ว มีใจเลื่อมใส นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ได้ถวายมหาทานตลอด ๗ วัน พอล่างได้ ๗ วันได้หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วปรารถนาตำแหน่งนั้น. 
              แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบถึงความสำเร็จของเขาจึงได้ตรัสพยากรณ์แล้ว. 
         เขาได้บำเพ็ญกุศลกรรมจนตลอดชีวิตแล้วจิตจากอัตภาพนั้น ได้เสวยทิพยสมบัติในหมู่เทวดาชั้นดุสิตเป็นต้น แล้วจุติจากอัตภาพนั้น ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี เขาได้บังเกิดในตระกูลแห่งหนึ่ง เพราะได้คบหากับอสัปบุรุษ แม้รู้ว่าภิกษุสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ก็ยังได้พูดกล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง. เขาได้ถวายสลากภัตรน้ำนมแด่พระสาวกทั้งหลายของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นนั่นแล. เขาได้ทำบุญจนตลอดอายุแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ได้เสวยสมบัติในโลกทั้ง ๒ แล้ว. 
              ในกาลแห่งพระกัสสปทศพล เขาได้บังเกิดในเรือนอันมีสกุล ในกาลที่สุดบวชแล้วในพระศาสนา เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ความโกลาหลอลหม่านก็ได้เกิดขึ้นในสกลโลก. 
              ภิกษุ ๗ รูปเป็นบรรพชิตขึ้นไปยังภูเขาลูกหนึ่งในท่ามกลางป่า ในปัจจันตชนบทแล้ว ผลักพะองให้ตกลงด้วยคิดว่า ความหวังในชีวิตจงตกลงไป ความสิ้นอาลัย จงจมลงไปเสียเถิด. 
              หัวหน้าพระเถระผู้ให้โอวาทแก่ภิกษุเหล่านั้น ภายใน ๗ วันก็ได้เป็นพระอรหันต์. พระเถระที่รองลงมาจากพระเถระนั้น ได้เป็นพระอนาคามี. พระเถระอีก ๕ รูปนอกนี้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ จุติจากอัตภาพนั้นแล้วไปบังเกิดในเทวโลก ได้เสวยทิพยสุขในเทวโลกนั้นตลอดพุทธันดรหนึ่ง. 
              ในพุทธุปบาทกาลนี้ ภิกษุ ๔ รูปเหล่านี้คือ ปุกกุสาติ ๑ สภิยะ ๑ พาหิยะ ๑ กุมารกัสสปะ ๑ ได้บังเกิดแล้วในที่นั้น. ส่วนพระเถระนี้ได้บังเกิดในอนุปิยนครในมัลลรัฐ. 
              มารดาได้กระทำกาละเสีย ในระหว่างที่ทารกนั้นยังมิทันได้ออกจากท้องมารดาแล. 
              ลำดับนั้น บุคคลหนึ่งจึงให้ช่วยกันยกร่างของนางขึ้นวางบนจิตกาธาน เพื่อทำการฌาปนกิจ แล้วได้ช่วยกันรับประคับประคองกุมารซึ่งตกลงมาในระหว่างกองไม้ไว้. ดังนั้น พระเถระนี้จึงได้ปรากฏชื่อว่า ทัพพมัลลบุตร เพราะตกลงมาที่กองไม้. 
              ในกาลต่อมา ด้วยอำนาจบุญสมภารที่ทำไว้ในปางก่อน ท่านจึงได้บวชแล้วประกอบความเพียรเจริญกัมมัฏฐาน ไม่นานเท่าไรนักก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔. 
              ลำดับนั้น พระศาสดาจึงทรงมอบหมายท่านไว้ในตำแหน่งจัดเสนาสนะ และในตำแหน่งจัดแจงเรื่องภัตรแก่ภิกษุทั้งหลาย เพราะว่าท่านวางตนเป็นกลาง และเพราะท่านมีอานุภาพสมบูรณ์ และพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดก็พร้อมกันยกย่องท่าน อันว่าเรื่องนั้นได้มาแล้วในวินัยขันธกะนั่นแล. 
              ในกาลต่อมา พระเถระได้เจาะจงสลากภัตรของท่านผู้ให้สลากอันประเสริฐคนหนึ่ง แก่พวกภิกษุเมตติยภูมชกะ. 
              พวกภิกษุเหล่านั้นร่าเริงดีใจ พูดกันว่า พรุ่งนี้พวกเราจักบริโภคภัตรที่เจือด้วยถั่วเขียวเนยใสและน้ำผึ้งของเรา ดังนี้แล้วจึงได้มีความอุตสาหะ. 
         ฝ่ายอุบาสกนั้นทราบว่าถึงวาระของภิกษุเหล่านั้นจึงสั่งนางทาสีว่า แน่ะแม่ พรุ่งนี้ภิกษุเหล่าใดจักมาถึงในที่นี้ เจ้าจงอังคาสภิกษุเหล่านั้นด้วยข้าวปลายเกรียน มีน้ำผักดองเป็นที่ ๒. แม้ทาสีนั้นก็ได้นิมนต์ให้ภิกษุเหล่านั้นผู้มาถึงแล้วให้นั่ง ณ ที่มุมซุ้มประตู นิมนต์ท่านบริโภคแล้วอย่างที่นายสั่งนั้นแล. 
              ภิกษุเหล่านั้นไม่พอใจ เดือดดาลอยู่ด้วยความโกรธ ผูกอาฆาตในพระเถระพูดติเตียนว่า พระเถระรูปนี้นี่แหละที่ใช้ให้ทายกผู้ให้ ภัตรอันอร่อย สั่งให้ให้ภัตรอันไม่อร่อยแก่พวกเรา จึงมีความทุกข์ เศร้าใจ นั่งแล้ว. 
              ลำดับนั้น นางภิกษุณีชื่อว่าเมตติยาจึงถามภิกษุเหล่านั้นว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านมีความทุกข์ใจเรื่องอะไร? ภิกษุเหล่านั้นพูดว่า น้องหญิง! เรื่องอะไรพวกเราจึงมาถูกพระทัพพมัลลบุตรเบียดเบียน คอยเพ่งโทษ. 
              นางภิกษุณีจึงถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ มีเรื่องอะไรที่ดิฉันพอสามารถจะช่วยทำได้ไหม? ภิกษุเหล่านั้นพูดว่า เธอจงยกโทษของพระทัพพมัลลบุตรนั้นขึ้นเถิด. 
              นางภิกษุณีนั้นจึงได้กระทำการกล่าวตู่ยกโทษแก่พระเถระในเรื่องนั้นๆ. 
              ภิกษุทั้งหลายได้สดับเรื่องนั้นแล้ว จึงกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทราบ. 
              ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงรับสั่งเรียกหาพระทัพพมัลลบุตรแล้วตรัสถามว่า ทัพพะ ได้ยินว่าเธอได้กระทำประการอันแปลกแก่นางเมตติยาภิกษุณี จริงไหม? 
              พระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบว่าข้าพระองค์เป็นอย่างไร. 
              พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ทัพพะ พวกทัพพมัลลบุตรทั้งหลายย่อมไม่อธิบายอย่างนั้นแล เธอจงบอกมาว่า เป็นผู้กระทำหรือว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำ. 
              พระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ได้เป็นผู้กระทำ พระเจ้าข้า. 
              พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอจงประกอบภิกษุเหล่านั้นให้เมตติยาภิกษุณีพินาศเสีย. 
              ภิกษุทั้งหลายมีพระอุบาลีเถระเป็นประธาน จึงสั่งให้นางภิกษุณีนั้นสึกเสียแล้ว ซักถามพวกภิกษุเมตติยภูมชกะ. เมื่อพวกภิกษุเหล่านั้นกราบเรียนว่า พวกเราได้ใช้นางภิกษุณีนั้นเอง ดังนี้แล้วจึงได้พากันกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าให้ทรงทราบ. 
              พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงบัญญัติอาบัติสังฆาทิเสสในเพราะกล่าวตู่เรื่องอันไม่มีมูลแก่พวกภิกษุเมตติยภูมชกะ.
         ก็โดยสมัยนั้นแล พระทัพพเถระเมื่อจะจัดแจงเสนาสนะสำหรับพวกภิกษุ คือเมื่อจะส่งพวกภิกษุผู้ที่เสมอกันไปในพระมหาวิหาร ๑๘ แห่งรอบพระเวฬุวันมหาวิหาร ในส่วนแห่งราตรีคือในเวลามืด ใช้นิ้วทำแสงประทีปให้ลุกโพลงแล้ว ส่งพวกภิกษุผู้ไม่มีฤทธิ์ไปด้วยแสงสว่างนั้นนั่นแล. 
         เมื่อหน้าที่จัดแจงเสนาสนะและหน้าที่จัดแจงเรื่องภัตรของพระเถระเกิดปรากฏแล้วอย่างนั้น พระศาสดาเมื่อจะทรงแต่งตั้งพระทัพพเถระไว้ในฐานันดร ในท่ามกลางหมู่พระอริยเจ้าจึงทรงแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งที่เลิศว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระทัพพมัลลบุตรเป็นผู้เลิศแห่งหมู่ภิกษุสาวกของเราผู้จัดแจงเสนาสนะแล. 
              พระเถระระลึกถึงบุรพกรรมของตน เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนได้เคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้ 
              ถ้อยคำนั้นทั้งหมดมีเนื้อความดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล. 
              เชื่อมความว่าในกัปที่ ๙๑ แต่นี้ไป พระผู้นำของชาวโลกพระนามว่าวิปัสสีทรงได้อุบัติขึ้นแล้วในโลกแล. 
              บทว่า ทุฏฺฐจิตฺโต ความว่า ผู้มีจิตอันโทษประทุษร้ายแล้ว คือผู้มีจิตไม่ผ่องใสเพราะสมาคมกับคนไม่ดี. 
              บทว่า อุปวทึ สาวกํ ตสฺส ความว่า เราได้ให้ร้ายพระสาวกที่เป็นพระขีณาสพ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น คือเราได้ยกเอาถ้อยคำที่ไม่เป็นจริงกล่าวทับถม ได้แก่เราได้กระทำการกล่าวตู่ด้วยเรื่องที่ไม่เป็นจริง. 
              บทว่า ทุนฺทุภิโย ความว่า เภรีท่านเรียกว่าทุนทุภิ กลองมโหระทึกเพราะเปล่งเสียงว่า ทุง ทุง ดังนี้. 
              บทว่า นายึสุ แปลว่า เปล่งเสียงดัง. 
              บทว่า สมนฺตโต อสนิโย เชื่อมความว่า ประกอบลงแล้วในหิน คือให้พินาศไปโดยทิศาภาคทั้งหมด. 
              รวมความว่า สายฟ้าอาชญาของเทวดาอันนำมาซึ่งความหวาดกลัวได้ผ่าแล้ว. 
              บทว่า อุกฺกา ปตึสุ นภสา ความว่า ก็กองไฟได้ตกลงแล้วจากอากาศ. 
              บทว่า ธุมเกตุ จ ทิสฺสติ ความว่า และกองไฟอันประกอบด้วยกลุ่มควัน ย่อมปรากฏชัดเจน. 
              คำที่เหลือมีเนื้อความพอที่จะกำหนดได้โดยง่ายทีเดียวแล.
จบอรรถกถาทัพพมัลลปุตตเถราปทาน