Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ นิสสัคคิยกัณฑ์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ นิสสัคคิยกัณฑ์ แสดงบทความทั้งหมด

04 กันยายน 2567

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ วรรคที่ ๓ ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ ว่าด้วย การน้อมลาภที่เขาจะถวายเป็นของสงฆ์ พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

บทสรุป
               [๑๗๒] ท่านทั้งหลาย ธรรม คือนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบท ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดง แล้วแล. ข้าพเจ้าขอถามท่านทั้งหลายในธรรม คือนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบทเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ?
               ข้าพเจ้าขอถามแม้ครั้งที่สองว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์ แล้วหรือ? 
               ข้าพเจ้าขอถามแม้ครั้งที่สามว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ? ท่านทั้งหลาย เป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว ในธรรมคือนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบทเหล่านี้ เหตุนั้นจึงนิ่ง,
               ข้าพเจ้า ทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้. นิสสัคคิยกัณฑ์ จบ.
               นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปัตตวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๑๐  พรรณนาปริณตสิกขาบท      
               ปริณตสิกขาบท ว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-   ในปริณตสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               บท ว่า ปูคสฺส แปลว่า หมู่. ความว่า หมู่ผู้บำเพ็ญธรรม.
               บท ว่า ปฏิยตฺตํ แปลว่า ตกแต่งแล้ว.
               ด้วยคำว่า พหู สงฺฆสฺส ภตฺตา นี้ พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ย่อมแสดงความหมายว่า สงฆ์มีภัตมากมาย คือมีทางเกิดลาภมิใช่น้อย สงฆ์ไม่บกพร่องด้วยอะไรๆ.
                บท ว่า โอโณเชถ แปลว่า พวกท่านจงถวาย.
                ถามว่า ก็การที่ภิกษุกล่าวอย่างนี้ ควรหรือ?
                ตอบว่า เพราะเหตุไร จะไม่ควร? เพราะว่าภิกษาที่เขานำมาจำเพาะนี้ เป็นของที่เขานำมาตกแต่งไว้  เพื่อประโยชน์แก่สงฆ์ในคราวหนึ่ง. ธรรมดาปยุตวาจา (การออกปากขอ) ย่อมไม่มีในปัจจัยมีจีวรเป็นต้น ที่เขานำมาตระเตรียมไว้ และในส่วนที่เขาตั้งเจาะจงไว้.
               [อธิบายลาภสงฆ์และการน้อมลาภสงฆ์]
               บท ว่า สงฺฆิกํ แปลว่า ของมีอยู่แห่งสงฆ์.
               จริงอยู่ ลาภนั้นแม้ยังไม่ถึงมือ ก็จัดว่าเป็นของสงฆ์ โดยปริยายหนึ่ง เพราะเขาน้อมไปเพื่อสงฆ์แล้ว.
               แต่ในบทภาชนะ ท่านพระอุบาลีแสดงลาภของสงฆ์โดยตรงทีเดียว ด้วยอำนาจแห่งการขยายความอย่างนี้ว่า ที่ชื่อว่าของสงฆ์ ได้แก่ของที่เขาถวายแล้ว บริจาคแล้วแก่สงฆ์.
              พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสวัตถุที่สงฆ์ควรได้ ด้วยบท ว่า ลาภํ. ด้วยเหตุนั้นแล ในนิเทศแห่งบทว่า ลาภํ นั้น จึงตรัสคำว่า จีวรํปิ เป็นต้น.
               บท ว่า ปริณตํ ได้แก่ ที่เขาถวายสงฆ์ คือที่เขาตั้งไว้เป็นของโอนไปเพื่อสงฆ์ เอนไปเพื่อสงฆ์. ก็เพื่อทรงแสดงการณ์เป็นเหตุที่เขาน้อมลาภนั้นไป พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบทภาชนะว่า คือที่เขาเปล่งวาจาว่า พวกข้าพเจ้าจักถวาย จักกระทำ ดังนี้.
               สอง บท ว่า ปโยเค ทุกฺกฏํ มีความว่า เป็นทุกกฏทุกประโยคที่น้อมลาภซึ่งเขาน้อมไป (เพื่อสงฆ์) มาเพื่อตน. เป็นนิสสัคคีย์เพราะได้มา คือเพราะลาภนั้นถึงมือ. แต่ถ้าว่าของนั้นเป็นอันเขาถวายสงฆ์แล้ว, จะรับเอาของที่เขาถวายสงฆ์แล้วนั้นมา ไม่ควร, พึงถวายแก่สงฆ์นั้นแล.
               ก็ภิกษุใดพลอยกินกับพวกคนวัด, สงฆ์พึงให้ตีราคาภัณฑะนั้น ปรับอาบัติแก่ภิกษุนั้น. แต่เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้รู้ว่าลาภเขาน้อมไปเพื่อสงฆ์ แล้วน้อมลาภที่เขาน้อมไปแล้ว ของพวกสหธรรมิกก็ดี ของพวกคฤหัสถ์ก็ดี โดยที่สุดแม้ของมารดา มาเพื่อตนว่า ท่านจงให้สิ่งนี้แก่เรา แล้วถือเอา. เป็นปาจิตตีย์ล้วนๆ แก่ภิกษุผู้น้อมไปเพื่อคนอื่นอย่างนี้ว่า ท่านจงให้แก่ภิกษุนี้.
               ภิกษุน้อมบาตรใบหนึ่ง หรือจีวรผืนหนึ่งมาเพื่อตน น้อมไปเพื่อคนอื่นใบหนึ่ง หรือผืนหนึ่ง, เป็นทั้งนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ทั้งสุทธิกปาจิตตีย์.
               ในบาตรและจีวรมาก ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน.
               ข้อนี้ สมจริงดังคำที่พระอุบาลีเถระกล่าวไว้ว่า๑-
               ภิกษุพึงต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ และอาบัติ
               ปาจิตตีย์ล้วน ที่ตรัสไว้ในขุททกสิกขาบทพร้อมกัน,
               ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
๑- วิ. ปริ. เล่ม ๘/ข้อ ๑๓๑๒/หน้า ๕๓๑.
               ก็ปัญหานี้ ท่านกล่าวหมายเอาการน้อม (ลาภ).
               ฝ่ายภิกษุใดทราบว่า ผ้าอาบน้ำฝนเขาน้อมไปเพื่อสงฆ์แม้ในเรือนของมารดา ในสมัยแห่งผ้าอาบน้ำฝนแล้วน้อมเอาไปเพื่อตน เป็นนิสสัคคีย์แก่ภิกษุนั้น.
               น้อมไปเพื่อผู้อื่น เป็นปาจิตตีย์ล้วน.
               พวกชาวบ้านปรึกษากันว่า พวกเราจักกระทำสังฆภัต จึงนำเนยใสและน้ำมันเป็นต้นมา. ถ้าแม้นภิกษุอาพาธรู้ว่าเขาน้อมไปเพื่อถวายสงฆ์แล้ว ยังขออะไรๆ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์เหมือนกัน.
               ก็ถ้าภิกษุอาพาธนั้นถามว่า เนยใสเป็นต้นของพวกท่านที่นำมา มีอยู่หรือ? เมื่อพวกเขาตอบว่า มีอยู่ขอรับ! แล้วกล่าวว่า พวกท่านจงให้แก่เราบ้าง ดังนี้ สมควร.
               ถ้าแม้นพวกอุบาสก รังเกียจภิกษุอาพาธนั้น พูดว่า แม้สงฆ์ ย่อมได้เนยใสเป็นต้นที่พวกเราถวายนี้แหละ. นิมนต์ท่านรับเถิด ขอรับ! แม้อย่างนี้ ก็ควร.
               ข้อว่า สงฺฆสฺส ปริณตํ อญฺญสงฺฆสฺส มีความว่า น้อมลาภที่เขาน้อมไปเพื่อถวายสงฆ์ในวัดหนึ่ง หรือที่เขาน้อมไปเฉพาะวัดอื่นด้วยพูดว่า พวกท่านจงถวายแก่สงฆ์ในวัดชื่อโน้น.
               บท ว่า เจติยสฺส วา มีความว่า น้อมไปเพื่อเจดีย์อย่างนี้ว่า ถวายสงฆ์จะมีประโยชน์อะไร? พวกท่านจงทำการบูชาแก่พระเจดีย์ ดังนี้ก็ดี.
               ในคำว่า เจติยสฺส ปริณตํ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
                แม้จะบูชาดอกไม้ที่เจดีย์อื่น จากต้นไม้ดอกที่เขากำหนดปลูกไว้ เพื่อประโยชน์แก่เจดีย์อื่น ก็ไม่ควร. แต่เห็นฉัตรหรือธงแผ่นผ้าที่เขาบูชาไว้แก่เจดีย์หนึ่ง แล้วให้ถวายของที่เหลือแก่เจดีย์อื่น สมควรอยู่.
                สอง บท ว่า ปุคฺคลสฺส ปริณตํ มีความว่า ชั้นที่สุดแม้อาหารที่เขาน้อมไปเพื่อสุนัข ภิกษุน้อมไปเพื่อตัวอื่นอย่างนี้ว่า ท่านอย่าให้แก่สุนัขตัวนี้ ดังนี้ ก็เป็นทุกกฏ.
                แต่ถ้าพวกทายกกล่าวว่า พวกเราอยากจะถวายภัตแก่สงฆ์, อยากจะบูชาพระเจดีย์. อยากจะถวายบริขารแก่ภิกษุรูปหนึ่ง, จักถวายตามความพอใจของพวกท่าน, ขอท่านโปรดบอก, พวกเราจะถวายในที่ไหน?
                เมื่อพวกทายกกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้นพึงบอกพวกเขาว่า พวกท่านจงถวายในที่ซึ่งพวกท่านปรารถนา. แต่ถ้าพวกทายกถามอย่างเดียวว่า พวกข้าพเจ้าจะถวาย ณ ที่ไหน, ภิกษุพึงกล่าวตามนัยที่มาแล้วในบาลีนั่นแล.
               คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ตื้นทั้งนั้น.
               สิกขาบทนี้มี ๓ สมุฏฐาน เกิดขึ้นทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.
               พรรณนาปริณตสิกขาบท ในอรรถกถาพระวินัย
                 ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ
                   ติงสกกัณฑ์ จบ.

นิสสัคคิยกัณฑ์ วรรคที่ ๓ ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ ว่าด้วย การน้อมลาภที่เขาจะถวายเป็นของสงฆ์ พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่องพระฉัพพัคคีย์
[๑๖๙] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ในพระนครสาวัตถี มีชาวบ้านหมู่หนึ่งจัดภัตตาหารพร้อมทั้งจีวรไว้ถวายสงฆ์ ด้วยตั้งใจว่าจักให้ฉันแล้วจึงให้ครองจีวร ณ เวลาเดียวกัน นั้นแล. 
               พระฉัพพัคคีย์ได้เข้าไปหาชาวบ้านหมู่นั้น ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะชาวบ้านหมู่นั้นว่า ท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านจงให้จีวรเหล่านี้แก่พวกอาตมา.
               ชาวบ้านหมู่นั้นกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า พวกกระผมจะถวายไม่ได้ เพราะพวกกระผม จัดภิกษาหารพร้อมทั้งจีวรไว้ถวายพระสงฆ์ทุกปี. 
               พระฉัพพัคคีย์กล่าวว่า ดูกรท่านทั้งหลาย ทายกของสงฆ์มีมาก, ภัตตาหารของสงฆ์ก็มีมาก, พวกอาตมาอาศัยพวกท่าน เห็นอยู่แต่พวกท่าน จึงอยู่ในที่นี้. ถ้าพวกท่านไม่ให้แก่พวกอาตมา, เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครเล่าจักให้แก่พวกอาตมา, ขอพวกท่านจงให้จีวรเหล่านี้ แก่พวกอาตมาเถิด.
               เมื่อชาวบ้านหมู่นั้น ถูกพระฉัพพัคคีย์แค่นไค้ จึงได้ถวายจีวรตามที่ได้จัดไว้แก่พระฉัพพัคคีย์แล้วอังคาสพระสงฆ์เฉพาะภัตตาหาร.
              บรรดาภิกษุที่ทราบว่า เขาจัดภัตตาหารพร้อมทั้งจีวรไว้ถวายพระสงฆ์, แต่ไม่ทราบว่าเขาได้ถวายจีวรแก่พระฉัพพัคคีย์ไปแล้ว จึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านจงน้อมถวายจีวรแก่พระสงฆ์เถิด.
              ชาวบ้านหมู่นั้นกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า จีวรตามที่ได้จัดไว้ไม่มี, เพราะพระคุณเจ้าเหล่า พระฉัพพัคคีย์น้อมไปเพื่อตนแล้ว.
              บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์รู้อยู่ จึงได้น้อมลาภที่เข้าน้อมไว้เป็นของจะถวายสงฆ์มาเพื่อตนเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
  ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอรู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมไว้เป็นของจะถวายสงฆ์มาเพื่อตน จริงหรือ?
             พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน
 พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉน พวกเธอรู้อยู่ จึงได้น้อมลาภที่เขาน้อมไว้เป็นของจะถวายสงฆ์มาเพื่อตนเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว, โดยที่แท้ การกระทำของพวกเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และ เพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
ทรงบัญญัติสิกขาบท
 พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนพระฉัพพัคคีย์โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความจำกัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย, ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย
 เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย     อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ 
                        เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ 
                        เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ 
                        เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ 
                        เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ 
                        เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ 
                        เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ 
                        เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ 
                      เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ 
                             เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ 
                             เพื่อถือตามพระวินัย ๑.
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
               พระบัญญัติ ๔๙. ๑๐. อนึ่ง ภิกษุใด รู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมไว้เป็นของจะถวายสงฆ์มาเพื่อตน, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.    เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๑๗๐] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด มีการงานอย่างใด มีชาติอย่างใด มีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด มีปกติอย่างใด มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็นเถระก็ตาม เป็นนวกะก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อนึ่ง ... ใด.
 บท ว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าประพฤติภิกขาจริยวัตร. ชื่อว่า ภิกษุเพราะอรรถว่าทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว. ชื่อว่า ภิกษุโดยสมญา. ชื่อว่า ภิกษุ โดยปฏิญญา. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นเอหิภิกขุ. ชื่อว่า ภิกษุเพราะอรรถว่าเป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้เจริญ. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่ามีสารธรรม. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นพระเสขะ. ชื่อว่า ภิกษุเพราะอรรถว่าเป็นพระอเสขะ. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่สงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
               ที่ชื่อว่า รู้อยู่ คือ รู้เอง หรือคนอื่นบอกเธอ หรือเจ้าตัวบอก.
               ที่ชื่อว่า เป็นของจะถวายสงฆ์ ได้แก่ ของที่เขาถวายแล้ว บริจาคแล้ว แก่สงฆ์.
               ที่ชื่อว่า ลาภ ได้แก่ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ เภสัชบริขาร อันเป็นปัจจัยของภิกษุไข้ โดยที่สุด แม้ก้อนแห่งจุรณ ไม้ชำระฟัน ด้ายชายผ้า.
               ที่ชื่อว่า ที่เขาน้อมไว้ คือเขาได้เปล่งวาจาไว้ว่า จักถวาย จักกระทำ, ภิกษุน้อมมาเพื่อตนในประโยคที่ทำ. เป็นทุกกฏ. ได้มา. เป็นนิสสัคคีย์ คือเป็นของจำต้องเสียสละ
แก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละลาภนั้น อย่างนี้:-
วิธีเสียสละ    เสียสละแก่สงฆ์
               ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่านั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
               ท่านเจ้าข้า ลาภนี้เขาน้อมไปเป็นของจะถวายสงฆ์. ข้าพเจ้ารู้อยู่ น้อมมาเพื่อตน เป็นของจำจะสละ. ข้าพเจ้าสละลาภนี้แก่สงฆ์.
               ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ. ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนลาภที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
               ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. ลาภนี้ของภิกษุมีชื่อนี้เป็นของจำจะสละ. เธอสละแล้วแก่สงฆ์. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว. สงฆ์พึงให้ลาภนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่คณะ
               ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
               ท่านเจ้าข้า ลาภนี้เขาน้อมไปเป็นของจะถวายสงฆ์. ข้าพเจ้ารู้อยู่ น้อมมาเพื่อตน เป็นของจำจะสละ. ข้าพเจ้าสละลาภนี้แก่ท่านทั้งหลาย.
               ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ. ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนลาภที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
               ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า. ลาภนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ.เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย. ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว. ท่านทั้งหลายพึงให้ลาภนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่บุคคล
               ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระหย่งประนมมือกล่าวอย่างนี้ว่า:-
               ท่าน ลาภนี้เขาน้อมไปเป็นของจะถวายสงฆ์. ข้าพเจ้ารู้อยู่ น้อมมาเพื่อตนเป็นของจำจะสละ. ข้าพเจ้าสละลาภนี้แก่ท่าน.
               ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ. ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืนลาภที่เสียสละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้ลาภนี้แก่ท่าน ดังนี้.
               บทภาชนีย์ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ลาภที่เขาน้อมไว้ ภิกษุสำคัญว่าเขาน้อมไว้ น้อมมาเพื่อตน, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ทุกกฏ ลาภที่เขาน้อมไว้ ภิกษุสงสัย น้อมมาเพื่อตน, ต้องอาบัติทุกกฏ.
               ไม่ต้องอาบัติ ลาภที่เขาน้อมไว้        ภิกษุสำคัญว่าเขาไม่ได้น้อมไว้ น้อมมาเพื่อตน, ไม่ต้องอาบัติ.
               ทุกกฏ ลาภที่เขาน้อมไว้เพื่อสงฆ์ ภิกษุน้อมมาเพื่อสงฆ์หมู่อื่นก็ดี เพื่อเจดีย์ก็ดี, ต้องอาบัติทุกกฏ
               ลาภที่เขาน้อมไว้เพื่อเจดีย์ ภิกษุน้อมมาเพื่อเจดีย์อื่นก็ดี เพื่อสงฆ์ก็ดี เพื่อคณะก็ดี เพื่อบุคคลก็ดี. ต้องอาบัติทุกกฏ. 
               ลาภที่เขาน้อมไว้เพื่อบุคคล ภิกษุน้อมมาเพื่อบุคคลอื่นก็ดี เพื่อสงฆ์ก็ดี เพื่อคณะก็ดี เพื่อเจดีย์ก็ดี, ต้องอาบัติทุกกฏ
               ลาภที่เขาไม่ได้น้อมไว้ ภิกษุสำคัญว่าเขาน้อมไว้              น้อมมาเพื่อตน, ต้องอาบัติทุกกฏ.
               ลาภที่เขาไม่ได้น้อมไว้ ภิกษุสงสัย ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
               ไม่ต้องอาบัติ ลาภที่เขาไม่ได้น้อมไว้ ภิกษุสำคัญว่า เขาไม่ได้น้อมไว้ น้อมมาเพื่อตน, ไม่ต้องอาบัติ
อนาปัตติวาร
[๑๗๑] ภิกษุอันพวกทายกถามว่า จะถวายที่ไหน ดังนี้ บอกแนะนำว่า ไทยธรรมของ พวกท่าน พึงได้รับการใช้สอย พึงได้รับการปฏิสังขรณ์ หรือพึงตั้งอยู่ได้นาน ในที่ใด ก็หรือจิตของพวกท่านเลื่อมใสในภิกษุรูปใด ก็จงถวายในที่นั้น หรือภิกษุรูปนั้นเถิดดั่งนี้ ๑, ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล.
ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ.    นิสสัคคิยปาจิตตีย์ วรรคที่ ๓ จบ.
หัวข้อประจำเรื่อง
            ๑. ปัตตสิกขาบท ว่าด้วยบาตร
            ๒. อูนปัญจพันธนสิกขาบท ว่าด้วยบาตรมีแผลหย่อนห้า
            ๓. เภสัชชสิกขาบท ว่าด้วยเภสัช
            ๔. วัสสิกสาฏิกสิกขาบท ว่าด้วยผ้าอาบน้ำฝน
            ๕. จีวรอัจฉินทนสิกขาบท ว่าด้วยการให้จีวรแล้วชิงเอามา
             ๖. สุตตวิญญัตติสิกขาบท ว่าด้วยการขอด้ายมาเอง
             ๗. เปสการสิกขาบท ว่าด้วยการสั่งช่างหูก ให้ทอจีวร
             ๘. อัจเจกจีวรสิกขาบท ว่าด้วยอัจเจกจีวร
             ๙. สาสังกสิกขาบท ว่าด้วยเสนาสนะป่าเป็นที่มีรังเกียจ และ
             ๑๐. ปริณตสิกขาบท ว่าด้วยการน้อมลาภ ที่เขาจะถวายเป็นของสงฆ์
             รวม ๑๐ สิกขาบทเหล่านี้ พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้วดังนี้แล.

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ วรรคที่ ๓ ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๙ ว่าด้วย เสนาสนะป่าเป็นที่มีรังเกียจ พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

               นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปัตตวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๙ พรรณนาสาสังกสิกขาบท   
               สาสังกสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :- ในสาสังกสิกขาบทนั้นมีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
       สอง บท ว่า วุฏฺฐวสฺสา อารญฺญเกสุ มีความว่า ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น แม้ในกาลก่อน ก็อยู่ในป่าเหมือนกัน. แต่ภิกษุเหล่านั้นอยู่จำพรรษาในเสนาสนะใกล้แดนบ้าน ด้วยสามารถแห่งปัจจัย เพราะเป็นผู้มีจีวรคร่ำคร่า เป็นผู้มีจีวรสำเร็จแล้ว ปรึกษากันว่า บัดนี้พวกเราหมดกังวลแล้ว จักกระทำสมณธรรม จึงพากันอยู่ในเสนาสนะป่า.
               บท ว่า กตฺติกโจรกา ได้แก่ พวกโจรในเดือน ๑๒.
               บท ว่า ปริปาเตนฺติ มีความว่า ย่อมรบกวน คือ วิ่งขวักไขว่ไปมาในที่นั้นๆ แล้วทำให้หวาดเสียว ให้หนีไป.
               สอง บท ว่า อนฺตรฆเร นิกฺขิปิตุํ ได้แก่ เพื่อเก็บไว้ในภายในบ้าน.    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตให้เก็บไว้ในละแวกบ้าน เพื่อสงวนจีวรไว้ เพราะธรรมดาว่า ปัจจัยทั้งหลายเป็นของหาได้ยากโดยชอบธรรม.
               จริงอยู่ ภิกษุผู้มีความขัดเกลา ไม่อาจเพื่อจะขอจีวร แม้กะมารดา. แต่พระองค์ไม่ทรงห้ามการอยู่ป่า เพราะเป็นการสมควรแก่ภิกษุทั้งหลาย.
               ในคำว่า อุปวสฺสํ โข ปน นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               บท ว่า อุปวสฺสํ คือ เข้าอยู่แล้ว. มีคำอธิบายว่า เข้าอยู่จำพรรษาแล้ว. แท้จริง บัณฑิตพึงเห็นนิคหิตในคำว่า อุปวสฺสํ นี้ ดุจในคำมีคำว่า อุปสมฺปชฺชํ เป็นต้น. ความว่า เข้าถึงฤดูฝนและอยู่แล้ว (เข้าจำพรรษาและปวารณาแล้ว).
               และบท ว่า อุปวสฺสํ นี้ สัมพันธ์ด้วยคำนี้ว่า ตถารูเปสุ ภิกฺขุ เสนาสเนสุ วิหรนฺโต แปลว่า ภิกษุอยู่ในเสนาสนะเห็นปานนั้น.
           ท่านกล่าวอธิบายไว้อย่างไร? ท่านกล่าวไว้ว่า ภิกษุเข้าถึงฤดูฝนและอยู่แล้ว (เข้าจำพรรษาและปวารณาแล้ว) จะอยู่ในเสนาสนะป่าที่รู้กันว่าเป็นที่รังเกียจ มีภัยจำเพาะหน้าเห็นปานนั้น ตลอดกาลอันเป็นที่สุดแห่งวันเพ็ญเดือนกัตติกาหลัง ต่อจากนั้นมา เมื่อปรารถนาพึงเก็บจีวร ๓ ผืนผืนใดผืนหนึ่งไว้ในละแวกบ้านได้
               อนึ่ง เพราะว่า ภิกษุใดเข้าจำพรรษาแล้ว         อยู่มาจนถึงวันเพ็ญเดือนกัตติกาต้น, ภิกษุรูปนั้นเป็นผู้อยู่ภายในแห่งพวกภิกษุผู้อยู่จำพรรษาแล้ว ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะไม่ทรงทำการวิจารณ์พยัญชนะที่รกรุงรังยิ่งนี้ แสดงบุคคลผู้ควรแก่การเก็บจีวรอย่างเดียวในบทภาชนะ จึงตรัสคำว่า วุฏฺฐวสฺสานํ ดังนี้.
               ถึง บท ว่า วุฏฺฐวสฺสานํ นั้นก็สัมพันธ์กับคำนี้ว่า ภิกษุเมื่ออยู่ในเสนาสนะ.
               จริงอยู่ ในคำว่า วุฏฺฐวสฺสานํ นี้มีใจความดังนี้ว่า อยู่ในเสนาสนะทั้งหลาย ของพวกภิกษุผู้อยู่จำพรรษาแล้ว.               มีคำอธิบายว่า ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งอยู่ภายในแห่งภิกษุทั้งหลายผู้เห็นปานนี้.
               ลักษณะแห่งป่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วในวรรณนาแห่งอทินนาทาน.
               ส่วนความแปลกกันดังต่อไปนี้ :-
              ถ้าว่า วัดมีเครื่องล้อม พึงวัดตั้งแต่เสาเขื่อนแห่งบ้านซึ่งมีเครื่องล้อม และจากสถานที่ควรล้อมแห่งบ้านที่ไม่ได้ล้อมไป จนถึงเครื่องล้อมวัด. ถ้าเป็นวัดที่ไม่ได้ล้อม, สถานที่ใดเป็นแห่งแรกเขาทั้งหมด จะเป็นเสนาสนะก็ดี โรงอาหารก็ดี สถานที่ประชุมประจำก็ดี ต้นโพธิ์ก็ดี เจดีย์ก็ดี, ถ้าแม้นมีอยู่ห่างไกลจากเสนาสนะ พึงวัดเอาที่นั้นให้เป็นเขตกำหนด.
          ถ้าแม้นว่า มีหมู่บ้านอยู่ใกล้, พวกภิกษุอยู่ที่วัด ย่อมได้ยินเสียงของพวกชาวบ้าน, แต่ไม่อาจจะไปทางตรงได้ เพราะมีภูเขาและแม่น้ำเป็นต้นกั้นอยู่. และทางใดเป็นทางตามปกติของบ้านนั้น ถ้าแม้นจะต้อง โดยสารไปทางเรือ, ก็พึงกำหนดเอาที่ห้าร้อยชั่วธนู จากบ้านโดยทางนั้น. แต่ภิกษุใดปิดกั้นหนทางในที่นั้นๆ เพื่อยังบ้านใกล้ให้ถึงพร้อมด้วยองค์. ภิกษุนี้ พึงทราบว่า ผู้ขโมยธุดงค์.
               บท ว่า สาสงฺกสมฺมตานิ แปลว่า รู้กันว่า เป็นที่มีรังเกียจ. อธิบายว่า เขารู้กันแล้วอย่างนั้น.
               แต่ในบทภาชนะ เพื่อจะทรงแสดงการณ์เป็นเหตุให้เสนาสนะเหล่านั้นเป็นที่รู้กันว่า เป็นที่มีรังเกียจ จึงตรัสคำมีว่า อาราเม อารามูปจาเร เป็นต้น. เสนาสนะที่เป็นไปกับด้วยภัยเฉพาะหน้า
               ชื่อว่า สปฏิภยะ (มีภัยเฉพาะหน้า). อธิบายว่า มีภัยร้ายแรงชุกชุม.
               แต่ในบทภาชนะ เพื่อทรงแสดงการณ์เป็นเหตุให้เสนาสนะเหล่านั้นเป็นที่มีภัยจำเพาะหน้า จึงตรัสคำว่า อาราเม อารามูปจาเร เป็นต้น.
               ข้อว่า สมนฺตา โคจรคาเม นิกฺขิเปยฺย มีความว่า เมื่อมีองค์ครบพึงเก็บไว้ ในโคจรคามที่ตนพอใจ ในทุกทิศาภาคโดยรอบแห่งเสนาสนะ
               ในเสนาสนะป่านั้น มีองคสมบัติดังต่อไปนี้ :-
           ภิกษุเข้าพรรษาในวันเข้าพรรษาแรก ปวารณาในวันมหาปวารณา, นี้เป็นองค์อันหนึ่ง. ถ้าภิกษุเข้าพรรษาในวันเข้าพรรษาหลังก็ดี มีพรรษาขาดก็ดี ย่อมไม่ได้เพื่อจะเก็บไว้. เป็นเดือน ๑๒ เท่านั้น,  นี้เป็นองค์ที่ ๒. นอกจากเดือน ๑๒ ไป ย่อมไม่ได้เพื่อจะเก็บ.เป็นเสนาสนะที่ประกอบด้วยประมาณอย่างต่ำ ๕๐๐ ชั่วธนูเท่านั้น, นี้เป็นองค์ที่ ๓. ในเสนาสนะที่มีขนาดหย่อน หรือมีขนาดเกินคาวุตไป ย่อมไม่ได้ (เพื่อจะเก็บไว้).
               จริงอยู่ ภิกษุเที่ยวบิณฑบาตแล้วอาจเพื่อกลับมาสู่วัดทันเวลาฉัน ในเสนาสนะใด, เสนาสนะนั้น ทรงประสงค์เอาในสิกขาบทนี้.
               แต่ภิกษุผู้รับนิมนต์ไว้ไปสิ้นทางกึ่งโยชน์บ้าง โยชน์หนึ่งบ้าง แล้วกลับมาเพื่อจะอยู่. ที่นี้ไม่ใช่ประมาณ. เป็นเสนาสนะมีความรังเกียจ และมีภัยเฉพาะหน้าเท่านั้น, นี้เป็นองค์ที่ ๔.
               จริงอยู่ ภิกษุผู้อยู่ในเสนาสนะ ไม่มีความรังเกียจ ไม่มีภัยเฉพาะหน้า แม้ประกอบด้วยองค์ก็ไม่ได้ เพื่อจะเก็บไว้ ฉะนี้แล.
               สอง บท ว่า อญฺญตฺร ภิกฺขุสมฺมติยา มีความว่า เว้นไว้แต่โกสัมพิกสมมติ ที่ทรงอนุญาตไว้ในอุทโทสิตสิกขาบท. ก็ถ้าว่า มีภิกษุได้สมมตินั้นไซร้, จะอยู่ปราศจากเกิน ๖ ราตรีไปก็ได้.
            คำว่า ปุน คามสีมํ โอกฺกมิตฺวา มีความว่า ถ้ามีเสนาสนะอยู่ทางทิศตะวันออกจากโคจรคาม และภิกษุนี้จะไปยังทิศตะวันตก, เธอไม่อาจจะมายังเสนาสนะให้ทันอรุณที่ ๗ ขึ้น แวะลงสู่แม้คามสีมาพักอยู่ในสภาหรือในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ทราบข่าวคราวแห่งจีวรแล้วจึงหลีกไป ควรอยู่. ภิกษุผู้ไม่อาจอย่างนั้น พึงยืนอยู่ในที่ที่ตนไปแล้วนั้นนั่นแล ปัจจุทธรณ์ (ถอน) เสีย. 
            จีวรจักตั้งอยู่ ในฐานแห่งอติเรกจีวร ฉะนี้แล.                                   คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้นแล.
            สิกขาบทนี้มีกฐินเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นทางกายกับวาจา ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นอกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
สาสังกสิกขาบท จบ.

นิสสัคคิยกัณฑ์ วรรคที่ ๓ ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๙ ว่าด้วย เสนาสนะป่าเป็นที่มีรังเกียจพระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่องภิกษุหลายรูป
[๑๖๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายออกพรรษาแล้วยังยับยั้งอยู่ใน เสนาสนะป่า. พวกโจรเดือน ๑๒ เข้าใจว่า ภิกษุทั้งหลายได้ลาภแล้ว จึงพากันเที่ยวปล้น. ภิกษุ ทั้งหลายได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
 ทรงอนุญาตให้เก็บจีวรไว้ในละแวกบ้าน
 ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะ เหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่ ในเสนาสนะป่า เก็บไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งไว้ในละแวกบ้านได้. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่ใน เสนาสนะป่า เก็บไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งไว้ในละแวกบ้านได้, จึงเก็บไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งไว้ใน ละแวกบ้าน แล้วอยู่ปราศเกิน ๖ คืน. จีวรเหล่านั้น หายบ้าง ฉิบหายบ้าง ถูกไฟไหม้บ้าง ถูกหนูกัดบ้าง. ภิกษุทั้งหลายมีแต่ผ้าไม่ดี มีแต่จีวรปอน, จึงถามกันขึ้นอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย เพราะเหตุใด พวกท่านจึงมีแต่ผ้าไม่ดี มีแต่จีวรปอน?
 ครั้นแล้วภิกษุเหล่านั้นได้แจ้งเรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย. บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุทั้งหลายจึงเก็บไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งไว้ในละแวกบ้านแล้วอยู่ปราศเกิน ๖ คืนเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
             ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกภิกษุเก็บไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งไว้ในละแวกบ้าน แล้วอยู่ปราศเกิน ๖ คืน จริงหรือ?
             ภิกษุทั้งหลาย ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน
 พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของพวกภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉน ภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้นจึงได้เก็บไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งไว้ในละแวกบ้าน แล้วอยู่ปราศเกิน ๖ คืน เล่า? การกระทำของภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่ เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว, โดยที่แท้ การกระทำของภิกษุ โมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็น อย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว. 
ทรงบัญญัติสิกขาบท  
 พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนภิกษุเหล่านั้นโดยอเนกปริยาย ดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่ง  ความ เป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความ มักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การ ปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย, ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่ เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า 
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจ ประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑.
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
  ๔๘. ๙. อนึ่ง ภิกษุจำพรรษาแล้ว จะอยู่ในเสนาสนะป่า ที่รู้กันว่าเป็นที่มี รังเกียจ มีภัยจำเพาะหน้า ตลอดถึงวันเพ็ญเดือน ๑๒, ปรารถนาอยู่ พึงเก็บจีวร ๓ ผืนๆ ใดผืนหนึ่งไว้ในละแวกบ้านได้. และปัจจัยอะไรๆ เพื่อจะอยู่ปราศจากจีวรนั้นจะพึงมีแก่ภิกษุนั้น, ภิกษุนั้นพึงอยู่ปราศจากจีวรนั้นได้ ๖ คืนเป็นอย่างยิ่ง, ถ้าเธออยู่
ปราศยิ่งกว่านั้น เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เรื่องภิกษุหลายรูป จบ.
สิกขาบทวิภังค์
             [๑๖๖] บทว่า อนึ่ง ... จำพรรษาแล้ว คือ ภิกษุออกพรรษาแล้ว. วันเพ็ญเดือน ๑๒ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ตรงกับวันปุรณมีดิถีเป็นที่เต็ม ๔ เดือน ในกัตติกมาส.
             คำว่า เสนาสนะป่า เป็นต้น ความว่า เสนาสนะที่ชื่อว่า ป่านั้นมีระยะไกล ๕๐๐ ชั่วธนู เป็นอย่างน้อย.
             ที่ชื่อว่า เป็นที่รังเกียจ คือ ในอาราม อุปจารแห่งอาราม มีสถานที่อยู่ ที่กิน ที่ยืน ที่นั่ง ที่นอน ของพวกโจรปรากฏอยู่.
             ที่ชื่อว่า มีภัยเฉพาะหน้า คือ ในอาราม อุปจารแห่งอาราม มีมนุษย์ถูกพวกโจร ฆ่า ปล้น ทุบตี ปรากฏอยู่.
             คำว่า ภิกษุ  จะอยู่ในเสนาสนะป่า  ความว่า ภิกษุจะยับยั้งอยู่ในเสนาสนะเห็นปานนั้น.
             บท ว่า ปรารถนาอยู่ คือ พอใจอยู่.
             คำว่า จีวร ๓ ผืนๆ ใดผืนหนึ่ง ได้แก่ ผ้าสังฆาฏิ ผ้าอุตราสงค์ หรือผ้าอันตรวาสก.
             คำว่า พึงเก็บ ... ไว้ในละแวกบ้านได้ คือ พึงเก็บไว้ในโคจรคามโดยรอบได้.
             คำว่า และปัจจัยอะไรๆ เพื่อจะอยู่ปราศจากจีวรนั้น จะพึงมีแก่ภิกษุนั้น คือ มีเหตุ มีกิจจำเป็น.
             คำว่า ภิกษุนั้นพึงอยู่ปราศจากจีวรนั้นได้ ๖ คืนเป็นอย่างยิ่ง ความว่า พึงอยู่ปราศจากได้เพียง ๖ คืนเป็นอย่างมาก.
             บท ว่า เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ คือ ยกเว้นภิกษุผู้ได้รับสมมติ.
             คำว่า ถ้าเธออยู่ปราศยิ่งกว่านั้น ความว่า เมื่ออรุณที่ ๗ ขึ้นมา, จีวรนั้นเป็นนิสสัคคีย์ คือ เป็นของจำต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละจีวรนั้นอย่างนี้:-
วิธีเสียสละ   เสียสละแก่สงฆ์
             ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
             ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า อยู่ปราศแล้วเกิน ๖ คืนเป็นของจำจะสละ เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ. ข้าพเจ้าสละจีวรนี้แก่สงฆ์.
             ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้เป็นของจำจะสละ. เธอสละแล้วแก่สงฆ์. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว. สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่คณะ 
             ภิกษุรูปนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
             ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า อยู่ปราศแล้วเกิน ๖ คืน เป็นของจำจะสละเว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ. ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย.
             ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ. ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
             ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า. จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ.เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย. ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว. ท่านทั้งหลายพึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่บุคคล
             ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระหย่งประนมมือกล่าวอย่างนี้ว่า:-
             ท่าน จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า อยู่ปราศแล้วเกิน ๖ คืน เป็นของจำจะสละ เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ. ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่าน.
             ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ. ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้.
บทภาชนีย์   นิสสัคคิยปาจิตตีย์
[๑๖๗] จีวรเกิน ๖ คืน ภิกษุสำคัญว่าเกิน อยู่ปราศ เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรเกิน ๖ คืน ภิกษุสงสัย อยู่ปราศ เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรเกิน ๖ คืน ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ถึง อยู่ปราศ เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ, เป็นนิสสัคคีย์ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ได้ถอน ภิกษุสำคัญว่าถอนแล้ว อยู่ปราศ เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ได้สละ ภิกษุสำคัญว่าสละแล้ว อยู่ปราศ เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่หาย ภิกษุสำคัญว่าหายแล้ว อยู่ปราศ เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ฉิบหาย ภิกษุสำคัญว่าฉิบหายแล้ว อยู่ปราศ เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ถูกไฟไหม้ ภิกษุสำคัญว่าถูกไฟไหม้แล้ว อยู่ปราศ เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ถูกชิงไป ภิกษุสำคัญว่าถูกชิงไปแล้ว อยู่ปราศ เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ทุกกฏ จีวรเป็นนิสสัคคีย์ ภิกษุไม่ได้สละ บริโภค, ต้องอาบัติทุกกฏ. จีวรยังไม่ถึง ๖ ราตรี ภิกษุสำคัญว่าเกิน ..., ต้องอาบัติทุกกฏ. จีวรยังไม่ถึง ๖ ราตรี ภิกษุสงสัย ..., ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ไม่ต้องอาบัติ จีวรยังไม่ถึง ๖ ราตรี ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ถึง ๖ ราตรี บริโภค, ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๑๖๘] ภิกษุอยู่ปราศ ๖ ราตรี ๑, ภิกษุอยู่ปราศไม่ถึง ๖ ราตรี ๑,            ภิกษุอยู่ปราศ ๖ ราตรี  แล้วกลับมายังคามสีมา อยู่แล้วหลีกไป ๑, ภิกษุถอนเสียภายใน ๖ ราตรี ๑, ภิกษุสละให้ไป ๑, จีวรหาย ๑, จีวรฉิบหาย ๑, จีวรถูกไฟไหม้ ๑, จีวรถูกชิงเอาไป ๑, ภิกษุถือวิสาสะ ๑, ภิกษุได้สมมติ ๑, ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล.
ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ.

นิสสัคคิยกัณฑ์ วรรคที่ ๓ ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๘ ว่าด้วย อัจเจกจีวร พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

รื่องมหาอำมาตย์คนหนึ่ง
[๑๖๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.  ครั้งนั้น มหาอำมาตย์ผู้หนึ่งเมื่อจะไปแรมคืนต่างถิ่น ได้ส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า นิมนต์ท่านผู้เจริญทั้งหลายมา, ข้าพเจ้าจักถวายผ้าจำนำพรรษา. ภิกษุทั้งหลายไม่ไป รังเกียจอยู่ว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตผ้าจำนำพรรษา แก่ภิกษุทั้งหลายผู้ออก พรรษาแล้ว. จึงท่านมหาอำมาตย์ผู้นั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เมื่อเราส่งทูตไปแล้ว จึงได้ไม่มาเล่า? เพราะเราจะไปในกองทัพ จะเป็นหรือจะตายก็ยากที่จะรู้ได้.  
               ภิกษุทั้งหลายได้ทราบข่าวมหาอำมาตย์ผู้นั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูล เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ทรงอนุญาตอัจเจกจีวร
 ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะ เหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเพื่อรับอัจเจก จีวรแล้วเก็บไว้ได้.
               สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายทราบพระพุทธานุญาตนั้นแล้ว รับอัจเจกจีวรเก็บไว้ล่วงสมัย จีวรกาล. จีวรเหล่านั้น ภิกษุห่อแขวนไว้ที่สายระเดียง.
               ท่านพระอานนท์เที่ยวจาริกไปตามเสนาสนะ ได้พบเห็นจีวรเหล่านั้น ที่ภิกษุทั้งหลายห่อแขวนไว้ที่สายสะเดียง, ครั้นแล้วได้เรียกภิกษุทั้งหลายมาถามว่า อาวุโสทั้งหลาย จีวรเหล่านี้ของ ใครห่อแขวนไว้ที่สายระเดียง
               ภิกษุทั้งหลายตอบว่า อัจเจกจีวรของพวกกระผม ขอรับ.
               ท่านพระอานนท์ซักว่า เก็บไว้นานเท่าไรแล้ว?
               จึงภิกษุเหล่านั้นได้แจ้งแก่ท่านพระอานนท์ ตามที่ตนได้เก็บไว้นานเท่าไร.
               ท่านพระอานนท์เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุทั้งหลายรับอัจเจกจีวรแล้วจึงได้เก็บไว้ล่วงสมัยจีวรกาลเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุทั้งหลายรับอัจเจกจีวรแล้ว เก็บไว้ล่วงสมัยจีวรกาลจริงหรือ?
               ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน
 พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของภิกษุโมฆบุรุษ เหล่านั้นนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ, ไฉน ภิกษุ โมฆบุรุษเหล่านั้นจึงได้รับอัจเจกจีวรแล้ว เก็บไว้ล่วงสมัยจีวรกาลเล่า? การกระทำของภิกษุ โมฆบุรุษเหล่านั้นนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใส ยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว, โดยที่แท้ การกระทำของภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น เป็นไปเพื่อความ ไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
  ทรงบัญญัติสิกขาบท
 พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนภิกษุเหล่านั้นโดยอเนกปริยายดั่งนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความ เป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความ มักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภ ความเพียร โดยอเนกปริยาย, ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจ ประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อ ข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิด ในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ ความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑.
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
               พระบัญญัติ ๔๗. ๘. วันปุรณมีที่ครบ ๓ เดือน แห่งเดือนกัตติกา ยังไม่มาอีก ๑๐ วัน, อัจเจกจีวรเกิดขึ้นแก่ภิกษุ,   ภิกษุรู้ว่าเป็นอัจเจกจีวร พึงรับไว้ได้. ครั้นรับไว้แล้วพึงเก็บไว้ได้จนตลอดสมัยที่เป็นจีวรกาล,  ถ้าเธอเก็บไว้ยิ่งกว่านั้น, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. เรื่องมหาอำมาตย์คนหนึ่ง จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๑๖๒] บทว่า ยังไม่มาอีก ๑๐ วัน คือ ก่อนวันปวารณา ๑๐ วัน.
           บทว่า วันปุรณมีที่ครบ ๓ เดือน แห่งเดือนกัตติกา นั้น คือวันปวารณา ท่านกล่าวว่าวันเพ็ญเดือนกัตติกา.
     ที่ชื่อว่า อัจเจกจีวร อธิบายว่า บุคคลประสงค์จะไปในกองทัพก็ดี, บุคคลประสงค์จะไปแรมคืนต่างถิ่นก็ดี, บุคคลเจ็บไข้ก็ดี, สตรีมีครรภ์ก็ดี, บุคคลยังไม่มีศรัทธา มามีศรัทธาเกิดขึ้น ก็ดี, บุคคลที่ยังไม่เลื่อมใส มามีความเลื่อมใสเกิดขึ้นก็ดี. ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่านิมนต์ท่านผู้เจริญมา,ข้าพเจ้าจัดถวายผ้าจำนำพรรษา, ผ้าเช่นนี้ชื่อว่าอัจเจกจีวร.
             คำว่า ภิกษุรู้ว่าเป็นอัจเจกจีวร พึงรับไว้ได้. ครั้นรับไว้แล้ว พึงเก็บไว้ได้จนตลอดสมัยที่เป็นจีวรกาล ดังนี้นั้น คือ พึงทำเครื่องหมายว่า นี้อัจเจกจีวร แล้วเก็บไว้.
             ที่ชื่อว่า สมัยที่เป็นจีวรกาล คือ เมื่อไม่ได้กรานกฐิน, ได้ท้ายฤดูฝน ๑ เดือน, เมื่อกรานกฐินแล้ว, ได้ขยายออกไปเป็น ๕ เดือน.
             คำว่า ถ้าเธอเก็บไว้ยิ่งกว่านั้น คือ เมื่อไม่ได้กรานกฐิน, เก็บไว้ล่วงเลยวันสุดท้ายแห่งฤดูฝน, เป็นนิสสัคคีย์. เมื่อได้กรานกฐินแล้ว, เก็บไว้ล่วงเลยวันกฐินเดาะ, เป็นนิสสัคคีย์ คือเป็นของจำต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละอัจเจกจีวรนั้นอย่างนี้:-
วิธีเสียสละ   เสียสละแก่สงฆ์
             ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
             ท่านเจ้าข้า ผ้าอัจเจกจีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า เก็บไว้ล่วงเลยสมัย จีวรกาลเป็นของจำจะสละ. ข้าพเจ้าสละผ้าอัจเจกจีวรผืนนี้แก่สงฆ์.
             ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ. ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. อัจเจกจีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ. เธอสละแล้วแก่สงฆ์. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว. สงฆ์พึงให้ผ้าอัจเจกจีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่คณะ
             ภิกษุรูปนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
             ท่านเจ้าข้า ผ้าอัจเจกจีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า เก็บไว้ล่วงเลยสมัย จีวรกาลเป็นของจำจะสละ. ข้าพเจ้าสละผ้าอัจเจกจีวรผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย.
             ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ. ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
             ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า. ผ้าอัจเจกจีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้เป็นของจำจะสละ. เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย. ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว. ท่านทั้งหลายพึงให้ผ้าอัจเจกจีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่บุคคล
             ภิกษุรูปนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประนมมือกล่าวอย่างนี้ว่า
             ท่าน ผ้าอัจเจกจีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า เก็บไว้ล่วงเลยสมัยจีวรกาลเป็นของจำจะสละ. ข้าพเจ้าสละผ้าอัจเจกจีวรผืนนี้แก่ท่าน.
             ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ. ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้ผ้าอัจเจกจีวรผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้.
บทภาชนีย์   นิสสัคคิยปาจิตตีย์
             [๑๖๓] อัจเจกจีวร ภิกษุสำคัญว่าเป็นอัจเจกจีวร เก็บไว้ล่วงสมัยจีวรกาล, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             อัจเจกจีวร ภิกษุสงสัย เก็บไว้ล่วงสมัยจีวรกาล, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             อัจเจกจีวร ภิกษุสำคัญว่ามิใช่อัจเจกจีวร เก็บไว้ล่วงสมัยจีวรกาล, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ได้อธิษฐาน ภิกษุสำคัญว่าอธิษฐานแล้ว เก็บไว้ล่วงสมัยจีวรกาล, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ได้วิกัป ภิกษุสำคัญว่าวิกัปแล้ว เก็บไว้ล่วงสมัยจีวรกาล, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ได้สละ ภิกษุสำคัญว่าสละแล้ว เก็บไว้ล่วงสมัยจีวรกาล, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่หาย ภิกษุสำคัญว่าหายแล้ว เก็บไว้ล่วงสมัยจีวรกาล, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ฉิบหาย ภิกษุสำคัญว่าฉิบหายแล้ว เก็บไว้ล่วงสมัยจีวรกาล, เป็นนิสสัคคีย์ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ถูกไฟไหม้ ภิกษุสำคัญว่าถูกไฟไหม้แล้ว เก็บไว้ล่วงสมัยจีวรกาล, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ถูกชิงไป ภิกษุสำคัญว่าถูกชิงไปแล้ว เก็บไว้ล่วงสมัยจีวรกาล, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ   จีวรเป็นนิสสัคคีย์ ภิกษุยังไม่ได้สละ บริโภค, ต้องอาบัติทุกกฏ.  ไม่ใช่อัจเจกจีวร ภิกษุสำคัญว่าอัจเจกจีวร, ต้องอาบัติทุกกฏ.  ไม่ใช่อัจเจกจีวร ภิกษุสงสัย, ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ  ไม่ใช่อัจเจกจีวร ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่อัจเจกจีวร ..., ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๑๖๔] ภิกษุอธิษฐาน ๑, ภิกษุวิกัป ๑, ภิกษุสละให้ไป ๑, จีวรหาย ๑, จีวรฉิบหาย ๑, จีวรถูกไฟไหม้ ๑, จีวรถูกชิงเอาไป ๑, ภิกษุถือวิสาสะ ๑, ในภายในสมัย ๑, ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล. ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ.
            นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปัตตวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๘ พรรณนาอัจเจกจีวรสิกขาบท   
            อัจเจกจีวรสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
               ในอัจเจกจีวรสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               บท ว่า ทสาหานาคตํ มีความว่า วันทั้งหลาย ๑๐ ชื่อว่า ทสาหะ. (วันปุรณมีที่ครบ ๓ เดือนแห่งเดือนกัตติกา) ยังไม่มาโดยวัน ๑๐ นั้น ชื่อว่า ทสาหานาคตะ.
               อธิบายว่า ยังไม่มาถึง ๑๐ วัน. ในวันปุรณมีที่ยังไม่มาถึงอีก ๑๐ วันนั้น. ทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ ด้วยอำนาจแห่งอัจจันตสังโยค. 
               เพราะเหตุนั้นแล ในบทภาชนะแห่งบทว่า ทสาหานาคตํ นั้น จึงตรัสว่า ทสาหานาคตาย.
               ก็คำว่า ปวารณาย นี้ เป็นคำประกอบตามหลัง เพื่อความไม่ฉงน เพื่อจะแสดงปวารณาที่ตรัสไว้ว่า ทสาหานาคตา โดยสรูป.
               [อธิบายการเกิดแห่งอัจเจกจีวร]
               บท ว่า กตฺติกเตมาสิกปุณฺณมํ แปลว่า วันปุรณมีที่ครบ ๓ เดือนแห่งเดือนกัตติกาต้น. 
               แม้ในบทว่า กตฺติกเตมาสิกปุณฺณมํ นี้ก็เป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ โดยนัยก่อนเหมือนกัน เพราะประกอบตามหลังบทต้น.
               มีคำอธิบายว่า วันมหาปวารณาแรก ตรัสเรียกว่า ทสาหานาคตา ตั้งแต่กาลใดไป, 
               ถ้าแม้นว่า อัจเจกจีวรพึงเกิดขึ้นแก่ภิกษุแน่นอนตลอดวันเหล่านั้นทีเดียว (ใน ๑๐ วันนั้นวันใดวันหนึ่ง). 
               ภิกษุรู้ว่า นี้เป็นอัจเจกจีวร (จีวรรีบด่วน) พึงรับไว้ได้แม้ทั้งหมด. ด้วยคำว่า ทสาหานาคตํ กตฺติกเตมาสิกปุณฺณมํ นั้นเป็นอันพระองค์ทรงแสดงกาลเป็นที่เก็บจีวรซึ่งเกิดขึ้นจำเดิมแต่วันที่ ๕ ค่ำแห่งชุณหปักษ์ของเดือนปวารณา.
               ก็กาลเป็นที่เก็บจีวรนั่นสำเร็จด้วยคำว่า พึงทรงอติเรกจีวรได้ ๑๐ วัน เป็นอย่างยิ่ง นี้ก็จริงแล แต่ทรงแสดงเรื่องเหมือนไม่เคยมี ด้วยอำนาจแห่งเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วทรงตั้งสิกขาบทไว้. จีวรรีบด่วนตรัสเรียกว่า อัจเจกจีวร.
               ก็เพื่อแสดงจีวรนั้นเป็นผ้ารีบด่วน จึงตรัสคำว่า
 บุคคลประสงค์จะไปในกองทัพก็ดี เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น ด้วย บท ว่า สทฺธา นี้ ทรงแสดงเหตุเพียงสัทธาธรรมดาเท่านั้น.
               ด้วย บท ว่า ปสาโท นี้ ทรงแสดงสัทธาอย่างแรงกล้า มีความผ่องใสดี.
               จีวรที่ทายกมีความประสงค์จะถวายด้วยเหตุเหล่านี้จึงส่งทูตมา หรือมาบอกเองอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าจักถวายผ้าจำนำพรรษา ได้ชื่อว่า อัจเจกจีวร ในคำว่า เอตํ อจฺเจกจีวรํ นาม นี้แล. แต่ถึงจีวรที่ภิกษุปัจจุทธรณ์ 
               ถอน) แม้ซึ่งจีวรที่มิใช่อัจเจกจีวร อันเกิดขึ้นตั้งแต่วัน ๖ ค่ำแล้ว เก็บไว้ ก็ได้บริหารนี้เหมือนกัน.
               หลายบท ว่า สญฺญาณํ กตฺวา นิกฺขิปิตพฺพํ ได้แก่ พึงทำเครื่องหมายบางอย่างแล้ว เก็บไว้. 
               คำว่า พึงทำเครื่องหมายแล้วเก็บไว้ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ทำไม? เพราะว่า ถ้าภิกษุทั้งหลายแจกอัจเจกจีวรนั้นก่อนวันปวารณา, ภิกษุที่ได้ผ้าอัจเจกจีวรนั้นไป ต้องไม่เป็นผู้ขาดพรรษา. แต่ถ้าเป็นผู้ขาดพรรษา จีวรจะกลายเป็นของสงฆ์ไปเสีย เพราะฉะนั้น จักต้องกำหนดแจกให้ดี (เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำนี้ไว้).
               คำอย่างนี้ว่า อจฺเจกจีวเร อจฺเจกจีวรสญฺญี เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาเฉพาะจีวรที่แจกกันไปแล้ว. แต่ถ้ายังไม่ได้แจกกัน หรือเป็นจีวรที่เก็บไว้ในเรือนคลังของสงฆ์, แม้ในเพราะล่วงสมัยไป ก็ไม่เป็นอาบัติ. 
               อติเรกจีวรได้บริหาร ๑๐ วัน ด้วยประการฉะนี้ ไตรจีวรไม่มีบริหารเลยแม้วันเดียว.
               ผู้ศึกษาพึงทราบว่า จีวร คือ ผ้าอาบน้ำฝนที่ยังไม่ได้ทำ เมื่อไม่ได้กรานกฐิน ได้บริหาร ๕ เดือน, เมื่อเพิ่มฤดูฝน (เพิ่มอธิกมาส) ได้บริหาร ๖ เดือน, เมื่อได้กรานกฐินได้บริหารอีก ๔ เดือน, ได้บริหารอีกหนึ่งเดือน ด้วยอำนาจการอธิษฐานให้เป็นจีวรเดิม เมื่อมีความหวังจะได้ (ผ้า) ในวันสุดท้ายแห่งฤดูหนาว รวมเป็นได้บริหาร ๑๑ เดือนอย่างนี้. อัจเจกจีวร เมื่อไม่ได้กรานกฐิน ได้บริหาร ๑ เดือนกับ ๑๑ วัน, เมื่อได้กรานกฐิน ได้บริหาร ๕ เดือน กับ ๑๑ วัน, ต่อจากนั้นไป ไม่ได้บริหาร แม้วันเดียว.
               บท ว่า อนจฺเจกจีวเร ได้แก่ ในจีวรอื่นที่คล้ายกับอัจเจกจีวร.
               คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้นแล.
               สิกขาบทนี้มีกฐินเป็นสมุฏฐาน เป็นอกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.
 อัจเจกจีวรสิกขาบท จบ.

03 กันยายน 2567

นิสสัคคิยกัณฑ์ วรรคที่ ๓ ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๗ ว่าด้วย การสั่งช่างหูก ให้ทอจีวร พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร
               [๑๕๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
              ครั้งนั้น บุรุษผู้หนึ่ง เมื่อจะไปแรมคืนต่างถิ่น ได้ กล่าวคำนี้กะภรรยาว่า จงกะด้ายให้แก่ช่างหูกคนโน้นให้ทอจีวรแล้วเก็บไว้,
               ฉันกลับมาแล้วจักนิมนต์พระคุณเจ้าอุปนันทะให้ครองจีวร.
               ภิกษุรูปหนึ่ง ผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ได้ยินบุรุษผู้นั้นกล่าววาจานี้ จึงเข้าไปหา ท่านพระอุปนันทศากยบุตรถึงสำนัก.
               ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้แก่ท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า อาวุโส อุปนันทะ ท่านเป็นผู้มีบุญมาก ณ สถานตำบลโน้น, 
               บุรุษผู้หนึ่ง เมื่อจะไปแรมคืนต่างถิ่น ได้กล่าวคำนี้กะภรรยาว่า จงกะด้ายให้แก่ช่างหูกคนโน้นให้ทอจีวรแล้วเก็บไว้ ฉันกลับมาแล้วจักนิมนต์พระคุณเจ้าอุปนันทะให้ครองจีวร ดังนี้.
               ท่านพระอุปนันทะกล่าวรับรองว่า มีขอรับ เขาเป็นอุปัฏฐากของผม. 
               แม้ช่างหูกผู้นั้น ก็เป็นอุปัฏฐากของท่านพระอุปนันทศากยบุตร. จึงท่านพระอุปนันทศากยบุตร เข้าไปหาช่างหูกผู้นั้นถึงบ้าน. 
               ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะช่างหูกผู้นั้นว่า ท่าน จีวรผืนนี้แล เขาให้ท่านทอเฉพาะเรา, ท่านจงทำให้ยาว, ให้กว้าง ให้แน่น ให้เป็นของที่ขึงดี ให้เป็นของที่ทอดี ให้เป็นของที่สางดี และให้เป็นของที่กรีดดี.
               ช่างหูกกล่าวว่า เขากะด้ายส่งมาให้กระผมเท่านี้เอง ขอรับ แล้วสั่งว่า จงทอจีวรด้วย ด้ายเท่านี้, กระผมไม่สามารถจะทำให้ยาว ให้กว้าง หรือให้แน่นได้, แต่สามารถจะทำให้เป็น ของที่ขึงดี ให้เป็นของที่ทอดี ให้เป็นของที่สางดี และให้เป็นของที่กรีดดีได้ ขอรับ.
               ท่านพระอุปนันทะ กล่าวรับรองว่า เชิญท่านช่วยทำให้ยาว ให้กว้าง และให้แน่นเถิด, ความขัดข้องด้วยด้ายนั้น จักไม่มี.
               ครั้นช่างหูกนำด้ายตามที่เขาส่งมาเข้าไปในหูกแล้ว, ด้ายไม่พอ. จึงเข้าไปหาสตรีเจ้าของ แจ้งว่า ต้องการด้าย ขอรับ. 
               สตรีเจ้าของกล่าวค้านว่า ดิฉันสั่งคุณแล้วมิใช่หรือว่า จงทอจีวรด้วยด้ายเท่านั้น?
               ช่างหูกอ้างเหตุว่า ท่านสั่งผมไว้จริง ขอรับ, แต่พระคุณเจ้าอุปนันทะบอกผมอย่างนี้ว่า เชิญท่านช่วยทำให้ยาว ให้กว้าง และให้แน่นเถิด, ความขัดข้องด้วยด้ายนั้น จักไม่มี.
               จึงสตรีผู้นั้นได้ให้ด้ายเพิ่มไปอีกเท่าที่ให้ไว้คราวแรก. 
               ท่านพระอุปนันทศากยบุตรได้ทราบข่าวว่า บุรุษนั้นกลับมาจากที่แรมคืนต่างถิ่นแล้ว จึงกลับเข้าไปหาถึงเรือนบุรุษนั้น. ครั้นแล้ว นั่งบนอาสนะที่เขาจัดไว้.
               จึงบุรุษนั้นเข้าไปหาท่านพระอุปนันทศากยบุตร กราบแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้ถามภรรยาว่า จีวรที่ให้ทอเสร็จแล้วหรือยัง?.
               ภรรยาตอบ เสร็จแล้ว เจ้าค่ะ.  บุรุษนั้นสั่งว่า จงหยิบมา, ฉันจักยังพระคุณเจ้าอุปนันทะให้ครองจีวร.
               จึงสตรีนั้นหยิบจีวรออกมาให้สามี แล้วได้เล่าเรื่องให้ทราบ. 
               บุรุษนั้นถวายจีวรนั้นแก่ ท่านพระอุปนันทศากยบุตรแล้ว ได้เพ่งโทษ ติเตียน โพทะนาขึ้นในขณะนั้นแลว่า พระสมณะเชื้อ สายพระศากยบุตรเหล่านี้ เป็นคนมักมาก ไม่สันโดษ จะให้ครองจีวรก็ทำไม่ได้ง่าย ไฉน พระคุณเจ้าอุปนันทะอันเราไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน จึงได้เข้าไปหาช่างหูก แล้วถึงการกำหนดในจีวร
               ภิกษุทั้งหลายได้ยินบุรุษนั้นเพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษมีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่าน ไฉนท่านพระอุปนันทศากยบุตร อันเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน จึงได้เข้าไปหาช่างหูกของเจ้าเรือนแล้วถึงการกำหนดในจีวรเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม 
 ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ใน เพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงถามท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า ดูกรอุปนันทะ ข่าวว่า เธออันเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน ได้เข้าไปหาช่างหูกของเจ้าเรือนแล้วถึงการกำหนดในจีวร จริงหรือ?
               ท่านพระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
               ภ. เขาเป็นญาติของเธอ หรือมิใช่ญาติ.
               อุ. มิใช่ญาติ พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียน
 พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ คนที่ไม่ใช่ญาติ ย่อมไม่รู้การกระทำ อันสมควร หรือไม่สมควร ของที่มีอยู่หรือไม่มีของคนที่มิใช่ญาติ เมื่อเป็นเช่นนั้น เธออันเขา ไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน ยังเข้าไปหาช่างหูกของเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ แล้วถึงกำหนดในจีวรได้ การกระทำของเธอนั้นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใส ยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว, โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของ ชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว. 
ทรงบัญญัติสิกขาบท
 ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตรโดยอเนกปริยายดั่งนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่ สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคน บำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่ สะสม การปรารภความเพียรโดยอเนกปริยาย, ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลายอาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่ม บุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดใน ปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑. 
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ
 ๔๖. ๗. อนึ่ง เจ้าพ่อเรือนก็ดี เจ้าแม่เรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ สั่งช่างหูกให้ ทอจีวรเฉพาะภิกษุ, ถ้าภิกษุนั้น เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาช่างหูกแล้ว ถึงความกำหนดในจีวรในสำนักของเขานั้นว่า จีวรผืนนี้ทอเฉพาะรูป, ขอท่านจงทำให้ ยาว, ให้กว้าง ให้แน่น ให้เป็นของที่ขึงดี ให้เป็นของที่ทอดี ให้เป็นของที่สางดี ให้เป็นของที่กรีดดี; แม้ไฉนรูปจะให้ของเล็กน้อยเป็นรางวัลแก่ท่าน, ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้นให้ของเล็กของน้อยเป็นรางวัล โดยที่สุดแม้สักว่าบิณฑบาต, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ.
 สิกขาบทวิภังค์ 
                   [๑๕๘] บท ว่า อนึ่ง ... เฉพาะภิกขุ ความว่า เพื่อประโยชน์ของภิกษุ คือ ทำภิกษุให้เป็นอารมณ์แล้ว ใคร่จะให้ภิกษุครอง. 
                   ที่ชื่อว่า ผู้มิใช่ญาติ คือ ไม่ใช่คนเนื่องถึงกัน ทางมารดาก็ดี ทางบิดาก็ดี ตลอด ๗ ชั่วอายุของบุรพชนก. 
                   ผู้ชื่อว่า พ่อเจ้าเรือน ได้แก่ บุรุษผู้ครอบครองเรือน. 
                   ผู้ชื่อว่า แม่เจ้าเรือน ได้แก่ สตรีผู้ครอบครองเรือน. 
                   บท ว่า ช่างหูก ได้แก่ คนทำการทอ. 
                   ที่ชื่อว่า จีวร ได้แก่ผ้าจีวร ๖ ชนิดๆ ใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเข้าองค์กำหนดแห่งผ้าต้องวิกัปเป็นอย่างต่ำ. 
                   บท ว่า ให้ทอ คือ ให้ทออยู่. 
                   บท ว่า ถ้าภิกษุนั้น ... ในสำนักของเขานั้น ได้แก่ ภิกษุที่เขาสั่งให้ช่างหูกทอจีวรไว้ถวายเฉพาะ. 
                   บท ว่า เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน คือ เป็นผู้อันเขาไม่ได้บอกไว้ก่อนว่า ท่านเจ้าข้า ท่านจะต้องการจีวรเช่นไร ผมจักทอจีวรเช่นไรถวาย. 
                   บท ว่า เข้าไปหาช่างหูกแล้ว คือ ไปถึงเรือนแล้ว เข้าไปหาในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง. 
                   คำว่า ถึงความกำหนดในจีวรนั้น คือ ถึงการกำหนดในจีวรว่า จีวรผืนนี้ทอเฉพาะรูป, ขอท่านจงทำให้ยาว, ให้กว้าง ให้แน่น ให้เป็นของที่ขึงดี ให้เป็นของที่ทอดี ให้เป็นของที่สางดี ให้เป็นของที่กรีดดี,
                   แม้ไฉนรูปจะให้ของเล็กน้อยเป็นรางวัลแก่ท่าน. 
                   คำว่า ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุให้ของเล็กน้อยเป็นรางวัล โดยที่สุดแม้สักว่า บิณฑบาต
                   อธิบายว่า ยาคูก็ดี ข้าวสารก็ดี ของเคี้ยวก็ดี ก้อนจุรณก็ดี ไม้ชำระฟันก็ดี ด้ายเชิงชายก็ดี โดยที่สุดแม้กล่าวธรรมก็ชื่อว่าบิณฑบาต, เขาทำให้ยาวก็ดี ให้กว้างก็ดี ให้แน่นก็ดี ตามคำของเธอ, เป็นทุกกฏในประโยคที่เขาทำ. เป็นนิสสัคคีย์ด้วยได้จีวรมา. ต้องเสียสละ แก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล. 
                  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละจีวรนั้น อย่างนี้:-
วิธีเสียสละ เสียสละแก่สงฆ์ 
               ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่ง กระโหย่งประนมมือกล่าวอย่างนี้ว่า
               ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า. เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน, ข้าพเจ้าเข้าไป หาช่างหูกของเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ถึงความกำหนดในจีวร เป็นของจำจะสละ. ข้าพเจ้า สละจีวรผืนนี้แก่สงฆ์.
               ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ. ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสีย สละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
               ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้เป็นของจำจะสละ. เธอสละแล้วแก่สงฆ์. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว. สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้แก่ ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่คณะ
               ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตรา
สงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่ พรรษากว่า นั่งกระโหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:- 
              ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน, ข้าพเจ้าไปหา ช่างหูกของเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ถึงความกำหนดในจีวรเป็นของจำจะสละ. ข้าพเจ้า สละจีวรผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย.
               ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ. ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ
 พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละ ให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
               ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า. จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ. เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย. ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว. ท่านทั้งหลายพึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
 เสียสละแก่บุคคล
               ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่านั่งกระโหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-
              ท่าน จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน, ข้าพเจ้าเข้าไปหาช่าง หูกของเจ้าเรือน ผู้มิใช่ญาติ ถึงความกำหนดในจีวรเป็นของจำจะสละ. ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่าน. 
              ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ. ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละ ให้ด้วยคำว่าข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน 
บทภาชนีย์ ติกนิสสัคคิยปาจิตตีย์
[๑๕๙] เจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน, เข้าไป หาช่างหูกของเจ้าเรือนแล้ว ถึงความกำหนดในจีวร, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
               เจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน, เข้าไปหาช่างหูกของเจ้า เรือนแล้ว ถึงความกำหนดในจีวร, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
               เจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน, เข้าไปหาช่างหูก ของเจ้าเรือนแล้ว ถึงความกำหนดในจีวร, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ทุกกฏ
               เจ้าเรือนเป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ  ต้องอาบัติทุกกฏ. เจ้าเรือนเป็นญาติ ภิกษุสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.
               ไม่ต้องอาบัติ เจ้าเรือนเป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ  ไม่ต้องอาบัติ.
 อนาปัตติวาร
[๑๖๐] ภิกษุขอต่อญาติ ๑, ภิกษุขอต่อคนปวารณา ๑, ภิกษุขอเพื่อประโยชน์ของ ภิกษุอื่น ๑, ภิกษุจ่ายมาด้วยทรัพย์ของตนเอง ๑, เจ้าเรือนใคร่จะให้ทอจีวรมีราคามาก ภิกษุให้ทอจีวรมีราคาน้อย ๑, ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล. 
ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ.
      นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปัตตวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๗  พรรณนามหาเปสการสิกขาบท 
               มหาเปสการสิกขาบท ว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
               ในมหาเปสการสิกขาบทนั้นมีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               สอง บท ว่า สุตฺตํ ธารยิตฺวา ได้แก่ ชั่งด้ายให้ได้กำหนดหนึ่งปละ.
               บท ว่า อปฺปิตํ แปลว่า ให้แน่น.
               บท ว่า สุวีตํ ได้แก่ ให้เป็นของที่ทอดี คือให้เป็นของที่ทอเสมอในที่ทุกแห่ง.
               บท ว่า สุปฺปวายิตํ ได้แก่ ขึงให้ดี คือขึงหูกให้ตึงเสมอในที่ทุกแห่ง.
               บท ว่า สุวิเลขิตํ แปลว่า ให้เป็นของสางดีด้วยเครื่องสาง.
               บท ว่า สุวิตจฺฉิตํ แปลว่า ให้เป็นของกรีดดีด้วยหวี (ด้วยแปรง).
               อธิบายว่า ให้เป็นของชำระเรียบร้อย.
               บท ว่า ปฏิพทฺธํ แปลว่า ความขาดแคลน.
               บท ว่า ตนฺเต มีความว่า นำเข้าไปในหูกที่ขึงไปทางด้านยืนนั่นแล (ด้านยาว).
               หลายบท ว่า ตตฺร เจโส ภิกฺขุ มีความว่า ในคามหรือนิคมที่พวกช่างหูกเหล่านั้นอยู่.
               สอง บท ว่า วิกปฺปํ อาปชฺเชยฺย มีความว่า ถึงความกำหนดเอาพิเศษ คือจัดแจงเอาอย่างยิ่ง. แต่ในบาลี เพื่อทรงแสดงอาการที่เป็นเหตุให้ภิกษุถึงความกำหนดเอา พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อิทํ โข อาวุโส เป็นต้น.
               สอง บท ว่า ธมฺมํปิ ภณติ ได้แก่ กล่าวธรรมกถา.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอาการ คือการเพิ่มด้ายเท่านั้น ด้วยคำว่า เขาทำให้ยาวก็ดี ให้กว้างก็ดี ให้แน่นก็ดี ตามคำของภิกษุนั้น.
               สอง บท ว่า ปุพฺเพ อปฺปวาริโต ได้แก่ เป็นผู้อันเจ้าของแห่งจีวรทั้งหลายมิได้ปวารณาไว้.
               คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้นแล.
               สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.
มหาเปสการสิกขาบท จบ.

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ วรรคที่ ๓ ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๖ ว่าด้วย การขอด้ายมาเอง พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

       นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปัตตวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๖ พรรณนาสุตตวิญญัตติสิกขาบท
       สุตตวิญญัตติสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
                  ในสุตตวิญญัตติสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
                  [ว่าด้วยกำเนิดด้าย ๖ ชนิด]
                  บท ว่า โขมํ ได้แก่ ด้ายที่ทำด้วยเปลือกไม้โขมะ.
                  บท ว่า กปฺปาสิกํ ได้แก่ ด้ายที่เกิดจากฝ้าย.
                  บท ว่า โกเสยฺยํ ได้แก่ ด้ายที่กรอด้วยใยไหม.
                  บท ว่า กมฺพลํ ได้แก่ ด้ายทำด้วยขนแกะ.
                  บท ว่า สาณํ ได้แก่ ด้ายที่ทำด้วยเปลือกไม้สาณะ (ป่าน).
                  บท ว่า ภงฺคํ อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ได้แก่ ด้ายที่ทำด้วยปอชนิดหนึ่งต่างหาก. แต่ด้ายที่เขาทำผสมกันด้วยสัมภาระทั้ง ๕ อย่างนั่น ผู้ศึกษาพึงทราบว่า ภังคะ.
                หลายบท ว่า วายาเปติ ปโยเค ทุกฺกฏํ มีความว่า ถ้าช่างหูกไม่มีกระสวยและฟืมเป็นต้น, เขาคิดว่า เราจักนำของเหล่านั้นมาจากป่า จึงลับมีดหรือขวาน, ตั้งแต่นั้นไปเขากระทำประโยคใดๆ เพื่อต้องการเครื่องอุปกรณ์ก็ดี เพื่อต้องการจะทอจีวรก็ดี เป็นทุกกฏแก่ภิกษุทุกๆ ประโยคนั้นของช่างหูกในกิจทั้งปวง. เมื่อช่างหูกทอผ้าได้ด้านยาว ประมาณคืบ ๑ และด้านกว้างประมาณศอก ๑ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.  แต่ในมหาปัจจรี ท่านกล่าวว่า เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ทุกๆ ผัง๑- (ทุกๆ ช่วงผัง) แก่ภิกษุผู้ให้ช่าง หูกทออยู่จนถึงที่สุด (จนสำเร็จ). แม้คำนั้น ก็พึงทราบว่า ท่านกล่าวหมายเอาประมาณนี้นั่นแหละ.
                จริงอยู่ ประมาณผ้าอย่างต่ำควรวิกัปได้ จึงถึงการนับว่าจีวรแล. ๑- ไม้สำหรับถ่างผ้าที่ทอให้ตึง ปลายทั้งสองมีเข็มสำหรับเสียบที่ริมผ้า.
     [อธิบายการใช้ให้ช่างหูกทอด้วยด้ายกัปปิยะเป็นต้น] 
               อนึ่ง บัณฑิตพึงทราบวินิจฉัยในคำว่า วายาเปติ ปโยเค ทุกฺกฏํ นี้อย่างนี้ :-
               จะกล่าวถึงด้ายก่อน ที่ภิกษุขอเองเป็นอกัปปิยะ. ด้ายที่เหลืออันบังเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งญาติเป็นต้น เป็นกัปปิยะ. แม้ช่างหูกก็ไม่ใช่ญาติและไม่ใช่คนปวารณา ภิกษุได้มาด้วยการขอ เป็นอกัปปิยะ. ช่างหูกที่เหลือเป็นกัปปิยะ.
               บรรดาด้ายและช่างหูกเหล่านั้น ด้ายที่เป็นอกัปปิยะ เป็นนิสสัคคีย์แก่ภิกษุผู้ให้ช่างหูกที่เป็นอกัปปิยะทอ โดยนัยดังกล่าวแล้วในก่อน.
               อนึ่ง เมื่อภิกษุให้ช่างหูกที่เป็นอกัปปิยะนั้นแลทอด้ายที่เป็นกัปปิยะ เป็นทุกกฏ เหมือนเป็นนิสสัคคีย์ในเบื้องต้นนั่นแล.
               เมื่อภิกษุให้ช่างหูกอกัปปิยะนั้นแล ทอด้ายกัปปิยะและ อกัปปิยะ ถ้าจีวรเป็นดุจกระทงนา เนื่องกันเท่าประมาณแห่งจีวรขนาดเล็ก อย่างนี้ คือ ตอนหนึ่งสำเร็จด้วยด้ายกัปปิยะล้วน ๆ ตอนหนึ่งสำเร็จด้วยด้ายอกัปปิยะ. เป็นปาจิตตีย์ในทุกๆ ตอนที่สำเร็จด้วยด้ายอกัปปิยะ. เป็นทุกกฏใน (ตอนที่สำเร็จด้วยด้ายเป็นกัปปิยะ) นอกนี้ อย่างนั้นเหมือนกัน.
               ถ้ามีหลายตอนหย่อนกว่า ขนาดจีวรที่ควรวิกัปเป็นอย่างต่ำนั้น โดยที่สุด แม้ขนาดเท่าดวงไฟก็เป็นทุกกฏตามจำนวนตอนในทุกๆตอน.
               ถ้าจีวรทอด้วยด้ายที่คั่นลำดับกันทีละเส้นก็ดี ทอให้ด้ายกัปปิยะอยู่ทางด้านยาว (ด้านยืน) ให้ด้ายอกัปปิยะ อยู่ทางด้านขวาง (ด้านพุ่ง) ก็ดี, เป็นทุกกฏทุกๆ ผัง.
               จริงอยู่ เมื่อภิกษุใช้ให้ช่างหูกกัปปิยะทอด้ายที่เป็นอกัปปิยะ เป็นทุกกฏ เหมือนเป็นนิสสัคคีย์ในเบื้องต้น.
               เมื่อภิกษุให้ช่างหูกกัปปิยะนั้นนั่นเอง ทอด้ายที่เป็นกัปปิยะและอกัปปิยะ ถ้าว่า มีตอนแห่งด้ายอกัปปิยะหลายตอนขนาดเท่าจีวรอย่างเล็ก หรือหย่อนกว่า,
               ในตอนด้ายอกัปปิยะเหล่านั้น เป็นทุกกฏด้วยจำนวนตอน. 
               ในตอนด้ายที่เป็นกัปปิยะทั้งหลาย ไม่เป็นอาบัติ. ถ้าจีวรทอด้วยด้ายคั่นลำดับกันทีละเส้นก็ดี ทอให้ด้ายกัปปิยะอยู่ทางด้านยาว (ด้านยืน)    ให้ด้ายอกัปปิยะอยู่ด้านขวาง (ด้านพุ่ง) ก็ดี, เป็นทุกกฏในทุกๆ ผัง (ทุกๆ ช่วงผัง).
               [ว่าด้วยช่างหูก ๒ คนผลัดกันทอ]
    ก็ถ้ามีช่างหูก ๒ คน คนหนึ่งเป็นกัปปิยะ คนหนึ่งเป็นอกัปปิยะและด้ายก็เป็นอกัปปิยะ, ถ้าช่างหูก ๒ คนนั้นผลัดกันทอ, เป็นปาจิตตีย์ในทุกๆ ผังที่ช่างหูกอกัปปิยะทอ เป็นทุกกฏ ในจีวรที่หย่อนลงมา. เป็นทุกกฏในตอนทั้งสองที่ช่างหูกกัปปิยะนอกนี้ทอ. ถ้าช่างหูกทั้ง ๒ คนจับฟืมทอด้วยกัน เป็นทุกกฏในทุกๆ ผัง.
               ถ้าด้ายเป็นกัปปิยะ และจีวรมีตอนด้วยการกั้นดังกระทงนาเป็นต้น เป็นทุกกฏในทุกๆ ตอนที่ช่างหูกอกัปปิยะทอในตอนที่ช่างหูกกัปปิยะนอกนี้ทอ ไม่เป็นอาบัติ.
               ถ้าช่างหูกทั้ง ๒ คน จับฟืมทอด้วยกัน เป็นทุกกฏในทุกๆ ผัง. ถ้าแม้ด้ายเป็นทั้งกัปปิยะทั้งอกัปปิยะ,
            ถ้าช่างหูกทั้งสองคนนั้นผลัดกันทอ, ในตอนที่สำเร็จด้วย ด้ายอกัปปิยะ มีขนาดเท่าจีวรอย่างเล็ก ซึ่งช่างหูกอกัปปิยะทอ เป็นปาจิตตีย์ ตามจำนวนตอน. เป็นทุกกฏในตอนทั้งหลายที่หย่อนลงมา และที่สำเร็จด้วย ด้ายกัปปิยะ. เป็นทุกกฏเหมือนกันในตอนที่สำเร็จด้วยด้ายอกัปปิยะ ซึ่งได้ขนาดหรือหย่อนลงมา ที่ช่างหูกกัปปิยะทอ. ในตอนที่สำเร็จด้วยด้ายกัปปิยะ ไม่เป็นอาบัติ.
                ถ้าช่างหูกทั้ง ๒ คนทอด้วยด้ายที่สลับกันทีละเส้นก็ดี ทอให้ด้ายอกัปปิยะอยู่ทางด้านยาว (ด้านยืน) ให้ด้ายกัปปิยะอยู่ทางด้านขวาง (ด้านพุ่ง) ก็ดี แม้ทั้งสองคนจับฟืมทอด้วยกันก็ดี, เป็นทุกกฏทุกๆ ผัง ในจีวรที่ไม่มีตอน.
                ส่วนเนื้อความว่า ในจีวรที่มีตอนเป็นทุกกฏหลายตัว ด้วยอำนาจแห่งตอน นี้ไม่ปรากฏในมหาอรรถกถา ปรากฏแต่ในมหาปัจจรีเป็นต้น,
                 ในอรรถกถานี้ปรากฏโดยอาการทุกอย่างแล.
                 ถ้าทั้งด้ายก็เป็นกัปปิยะ ทั้งช่างหูกก็เป็นกัปปิยะ คือ เป็นญาติและเป็นคนปวารณา หรือภิกษุจ้างมาด้วยมูลค่า ไม่เป็นอาบัติ เพราะการใช้ให้ทอเป็นปัจจัย. แต่ภิกษุเมื่อจะป้องกันอาบัติ เพราะการล่วง ๑๐ วันเป็นปัจจัย
                  พึงอธิษฐานจีวรที่ทอแล้วนั่นแหละ ในเมื่อหูกที่ช่างหูกทอได้ขนาดเท่าจีวรที่ควรวิกัป.
                  เพราะว่า จีวรที่ช่างหูกทอให้สำเร็จลงโดยล่วง ๑๐ วันไป จะพึงเป็นนิสสัคคีย์ ฉะนี้แล.
               แม้ในจีวรที่พวกญาติเป็นต้นยกหูขึ้นแล้วมอบถวายว่า ท่านผู้เจริญ! ท่านพึงรับเอาจีวรนี้ เพื่อท่าน ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. ถ้าช่างหูกอันภิกษุว่าจ้างมาอย่างนี้ หรือเป็นผู้ประสงค์จะถวายเสียเอง จึงกล่าวว่า ท่านขอรับ! ผมจักทอจีวรถวายท่านในวันชื่อโน้นแล้วจักเก็บไว้,  และภิกษุให้ล่วง ๑๐ วันไปจากวันที่ช่างหูกนั้นกำหนดไว้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
               แต่ช่างหูกกล่าวว่า ผมจักทอจีวรถวายท่านแล้วจักส่งข่าวไปให้ทราบ แล้วทำเหมือนอย่างที่พูดไว้,
               แต่ภิกษุที่เขาวานไป ไม่บอกแก่ภิกษุนั้น, ภิกษุรูปอื่นเห็น หรือได้ยินแล้วบอกว่า ท่านขอรับ! จีวรของท่านสำเร็จแล้ว, การบอกของภิกษุนี้ ไม่เป็นประมาณ.
               แต่ในเวลาเมื่อเธอให้ล่วง ๑๐ วันไป จำเดิมแต่วันที่เธอได้ยินคำของภิกษุที่ช่างหูกนั้นวานไปนั่นแหละบอก จึงเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
               ถ้าช่างหูกกล่าวว่า กระผมทอจีวรเพื่อท่านแล้ว จักส่งไปถวายในมือของภิกษุบางรูป แล้วกระทำตามที่พูดนั้น, 
               แต่ภิกษุที่รับจีวรไปเก็บไว้ที่บริเวณของตน ไม่บอกแก่เธอ ภิกษุอื่นบางรูปกล่าวว่า ท่านขอรับ! จีวรที่มาใหม่สวยดีบ้างหรือ? เธอกล่าวว่า จีวรที่ไหนกัน คุณ!? ภิกษุนั้นจึงตอบว่า ที่เขาส่งมาในมือแห่งภิกษุชื่อนี้, คำพูดแม้ของภิกษุนี้ ก็ไม่เป็น ประมาณ.
               ต่อเมื่อใดภิกษุนั้นถวายจีวร เมื่อเธอให้ล่วง ๑๐ วันไปนับแต่วันที่ตนได้จีวรมานั้น เป็นนิสสัคคิย  ปาจิตตีย์.
               แต่ถ้าค่าจ้างให้ทอเป็นของที่ภิกษุยังไม่ได้จ่ายให้, ยังรักษาอยู่ตราบเท่าที่ค่าจ้างทำยังเหลืออยู่ แม้เพียงกากณิกหนึ่ง.
               ข้อว่า อนาปตฺติ จีวรํสิพฺพิตุํ มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ขอด้ายเพื่อต้องการเย็บจีวร.
               ในจีวรทั้งหลายมีว่า ผ้ารัดเข่าเป็นต้น มีอธิบายว่า คำว่า อาโยเค เป็นต้น เป็นสัตตมีวิภัตติลงในอรรถแห่งนิมิต. ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ขอด้ายมีผ้ารัดเข่าเป็นต้นเป็นนิมิต.
               คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ มีอรรถตื้นทั้งนั้นแล.
               สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
 สุตตวิญญัตติสิกขาบท จบ.