Translate

04 กันยายน 2567

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ วรรคที่ ๓ ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ ว่าด้วย การน้อมลาภที่เขาจะถวายเป็นของสงฆ์ พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
บทสรุป
               [๑๗๒] ท่านทั้งหลาย ธรรม คือนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบท ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดง แล้วแล.
              ข้าพเจ้าขอถามท่านทั้งหลายในธรรม คือนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบทเหล่านั้นว่า 
   ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ?
        ข้าพเจ้าขอถามแม้ครั้งที่สองว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์ แล้วหรือ?  ข้าพเจ้าขอถามแม้ครั้งที่สามว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ?
 ท่านทั้งหลาย เป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว ในธรรมคือนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบทเหล่านี้ เหตุนั้นจึงนิ่ง, ข้าพเจ้า ทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้. นิสสัคคิยกัณฑ์ จบ.
           นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปัตตวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๑๐            
                พรรณนาปริณตสิกขาบท      
 ปริณตสิกขาบท ว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-   ในปริณตสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-                      บท ว่า ปูคสฺส แปลว่า หมู่. ความว่า หมู่ผู้บำเพ็ญธรรม.
                          บท ว่า ปฏิยตฺตํ แปลว่า ตกแต่งแล้ว.
               ด้วยคำว่า พหู สงฺฆสฺส ภตฺตา นี้ พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ย่อมแสดงความหมายว่า สงฆ์มีภัตมากมาย คือมีทางเกิดลาภมิใช่น้อย สงฆ์ไม่บกพร่องด้วยอะไรๆ.
               บท ว่า โอโณเชถ แปลว่า พวกท่านจงถวาย.
               ถามว่า ก็การที่ภิกษุกล่าวอย่างนี้ ควรหรือ?
               ตอบว่า เพราะเหตุไร จะไม่ควร? เพราะว่าภิกษาที่เขานำมาจำเพาะนี้ เป็นของที่เขานำมาตกแต่งไว้ 
        เพื่อประโยชน์แก่สงฆ์ในคราวหนึ่ง. ธรรมดาปยุตวาจา (การออกปากขอ) ย่อมไม่มีในปัจจัยมีจีวรเป็นต้น 
      ที่เขานำมาตระเตรียมไว้ และในส่วนที่เขาตั้งเจาะจงไว้.
               [อธิบายลาภสงฆ์และการน้อมลาภสงฆ์]               
               บท ว่า สงฺฆิกํ แปลว่า ของมีอยู่แห่งสงฆ์.
               จริงอยู่ ลาภนั้นแม้ยังไม่ถึงมือ ก็จัดว่าเป็นของสงฆ์ โดยปริยายหนึ่ง เพราะเขาน้อมไปเพื่อสงฆ์แล้ว.
 แต่ในบทภาชนะ ท่านพระอุบาลีแสดงลาภของสงฆ์โดยตรงทีเดียว ด้วยอำนาจแห่งการขยายความอย่างนี้ว่า ที่ชื่อว่าของสงฆ์ ได้แก่ของที่เขาถวายแล้ว บริจาคแล้วแก่สงฆ์.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสวัตถุที่สงฆ์ควรได้ ด้วยบท ว่า ลาภํ. ด้วยเหตุนั้นแล ในนิเทศแห่งบทว่า ลาภํ นั้น จึงตรัสคำว่า จีวรํปิ เป็นต้น.
               บท ว่า ปริณตํ ได้แก่ ที่เขาถวายสงฆ์ คือที่เขาตั้งไว้เป็นของโอนไปเพื่อสงฆ์ เอนไปเพื่อสงฆ์. 
ก็เพื่อทรงแสดงการณ์เป็นเหตุที่เขาน้อมลาภนั้นไป พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบทภาชนะว่า คือที่เขาเปล่งวาจาว่า พวกข้าพเจ้าจักถวาย จักกระทำ ดังนี้.
         สอง บท ว่า ปโยเค ทุกฺกฏํ มีความว่า เป็นทุกกฏทุกประโยคที่น้อมลาภซึ่งเขาน้อมไป (เพื่อสงฆ์) มาเพื่อตน.
 เป็นนิสสัคคีย์เพราะได้มา คือเพราะลาภนั้นถึงมือ. แต่ถ้าว่าของนั้นเป็นอันเขาถวายสงฆ์แล้ว, จะรับเอาของที่เขาถวายสงฆ์แล้วนั้นมา ไม่ควร, พึงถวายแก่สงฆ์นั้นแล.
               ก็ภิกษุใดพลอยกินกับพวกคนวัด, สงฆ์พึงให้ตีราคาภัณฑะนั้น ปรับอาบัติแก่ภิกษุนั้น. แต่เป็น
นิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้รู้ว่าลาภเขาน้อมไปเพื่อสงฆ์ แล้วน้อมลาภที่เขาน้อมไปแล้ว ของพวกสหธรรมิกก็ดี
 ของพวกคฤหัสถ์ก็ดี โดยที่สุดแม้ของมารดา มาเพื่อตนว่า ท่านจงให้สิ่งนี้แก่เรา แล้วถือเอา. เป็นปาจิตตีย์ล้วนๆ 
แก่ภิกษุผู้น้อมไปเพื่อคนอื่นอย่างนี้ว่า ท่านจงให้แก่ภิกษุนี้.
               ภิกษุน้อมบาตรใบหนึ่ง หรือจีวรผืนหนึ่งมาเพื่อตน น้อมไปเพื่อคนอื่นใบหนึ่ง หรือผืนหนึ่ง, เป็นทั้งนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ทั้งสุทธิกปาจิตตีย์.
               ในบาตรและจีวรมาก ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน.
               ข้อนี้ สมจริงดังคำที่พระอุบาลีเถระกล่าวไว้ว่า๑-
               ภิกษุพึงต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ และอาบัติ
               ปาจิตตีย์ล้วน ที่ตรัสไว้ในขุททกสิกขาบทพร้อมกัน,
               ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
๑- วิ. ปริ. เล่ม ๘/ข้อ ๑๓๑๒/หน้า ๕๓๑.
      ก็ปัญหานี้ ท่านกล่าวหมายเอาการน้อม (ลาภ).
               ฝ่ายภิกษุใดทราบว่า ผ้าอาบน้ำฝนเขาน้อมไปเพื่อสงฆ์แม้ในเรือนของมารดา ในสมัยแห่งผ้าอาบน้ำฝน
แล้วน้อมเอาไปเพื่อตน เป็นนิสสัคคีย์แก่ภิกษุนั้น. น้อมไปเพื่อผู้อื่น เป็นปาจิตตีย์ล้วน. พวกชาวบ้านปรึกษากันว่า
 พวกเราจักกระทำสังฆภัต จึงนำเนยใสและน้ำมันเป็นต้นมา. ถ้าแม้นภิกษุอาพาธรู้ว่าเขาน้อมไปเพื่อถวายสงฆ์แล้ว ยังขออะไรๆ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์เหมือนกัน.
               ก็ถ้าภิกษุอาพาธนั้นถามว่า เนยใสเป็นต้นของพวกท่านที่นำมา มีอยู่หรือ? เมื่อพวกเขาตอบว่า มีอยู่ขอรับ!
แล้วกล่าวว่า พวกท่านจงให้แก่เราบ้าง ดังนี้ สมควร. ถ้าแม้นพวกอุบาสก รังเกียจภิกษุอาพาธนั้น พูดว่า แม้สงฆ์
                   ย่อมได้เนยใสเป็นต้นที่พวกเราถวายนี้แหละ. นิมนต์ท่านรับเถิด ขอรับ! แม้อย่างนี้ ก็ควร.
               ข้อว่า สงฺฆสฺส ปริณตํ อญฺญสงฺฆสฺส มีความว่า น้อมลาภที่เขาน้อมไปเพื่อถวายสงฆ์ในวัดหนึ่ง หรือที่เขาน้อมไปเฉพาะวัดอื่นด้วยพูดว่า พวกท่านจงถวายแก่สงฆ์ในวัดชื่อโน้น.
               บท ว่า เจติยสฺส วา มีความว่า น้อมไปเพื่อเจดีย์อย่างนี้ว่า ถวายสงฆ์จะมีประโยชน์อะไร? พวกท่านจงทำการบูชาแก่พระเจดีย์ ดังนี้ก็ดี.
               ในคำว่า เจติยสฺส ปริณตํ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               แม้จะบูชาดอกไม้ที่เจดีย์อื่น จากต้นไม้ดอกที่เขากำหนดปลูกไว้ เพื่อประโยชน์แก่เจดีย์อื่น ก็ไม่ควร. 
แต่เห็นฉัตรหรือธงแผ่นผ้าที่เขาบูชาไว้แก่เจดีย์หนึ่ง แล้วให้ถวายของที่เหลือแก่เจดีย์อื่น สมควรอยู่.
               สอง บท ว่า ปุคฺคลสฺส ปริณตํ มีความว่า ชั้นที่สุดแม้อาหารที่เขาน้อมไปเพื่อสุนัข ภิกษุน้อมไปเพื่อตัวอื่นอย่างนี้ว่า ท่านอย่าให้แก่สุนัขตัวนี้ ดังนี้ ก็เป็นทุกกฏ.
          แต่ถ้าพวกทายกกล่าวว่า พวกเราอยากจะถวายภัตแก่สงฆ์, อยากจะบูชาพระเจดีย์. อยากจะถวายบริขารแก่
ภิกษุรูปหนึ่ง, จักถวายตามความพอใจของพวกท่าน, ขอท่านโปรดบอก, พวกเราจะถวายในที่ไหน? เมื่อพวกทายก
กล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้นพึงบอกพวกเขาว่า พวกท่านจงถวายในที่ซึ่งพวกท่านปรารถนา. แต่ถ้าพวกทายกถาม
อย่างเดียวว่า พวกข้าพเจ้าจะถวาย ณ ที่ไหน, ภิกษุพึงกล่าวตามนัยที่มาแล้วในบาลีนั่นแล.
               คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ตื้นทั้งนั้น.
               สิกขาบทนี้มี ๓ สมุฏฐาน เกิดขึ้นทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา
 สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.
               พรรณนาปริณตสิกขาบท ในอรรถกถาพระวินัย               
                 ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ   
                   ติงสกกัณฑ์ จบ.               

ไม่มีความคิดเห็น: